ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 507-510
ตอนที่ 507 ซือเป่ย
พี่ใหญ่?
ตู๋กูซิงหลันแทบจะไม่อยากเชื่อสายตาของตนเอง ใบหน้าของคนผู้นั้น….
ใบหน้าคมเข้มหล่อเหลา เปี่ยมไปด้วยไอสังหารที่โหดเ**้ยม
เขาสวมใส่เกราะทองทั่วทั้งร่าง หมวกเกราะบนศีรษะมีขนนกยาวสองเส้นทำให้โดดเด่นดึงดูดสายตาผู้คน
“ซือเป่ย ข้ารู้แต่แรกแล้วว่าจะต้องเป็นเจ้า” ซื่อมั่วกุมไม้เท้าในมือมั่น เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
เขาไม่ได้มีความประหลาดใจเลยแม้แต่น้อย เพียงกระชับไม้เท้าในมือเข้ามาเท่านั้น
ซือเป่ย?
สมองของตู๋กูซิงหลันทบทวนด้วยความตื่นตัวรอบหนึ่ง ชื่อนี้ …..เป็นคนรู้จักของอาจารย์ เขา ไม่ใช่พี่ใหญ่ของนาง?
“คิดไม่ถึงว่าผ่านมานานหลายปีหมิงอ๋องจะยังคงจดจำนามของข้าได้” คนผู้นั้นยิ้มอย่างเย็นชา ยกมือขึ้นลูบขนนกบนศีรษะครั้งหนึ่ง ฝ่ามือของเขาคล้ายจะเพิ่มประกายทองแวววาว ทำให้ตู๋กูซิงหลันคิดไปถึงคนผู้หนึ่ง
ลิโป้
ขอบหน้าและคางของเขามีเครา ท่ามกลางบรรยากาศของการฆ่าฟัน ยิ่งเสริมบุคลิกของเขาให้ทั้งหล่อเหลาและคมคาย พอรวมเข้ากับพละกำลังที่แข็งแกร่งปานทะลวงแผ่นฟ้าได้ ก็ยิ่งดูเหมือนกับเทพสงครามในตำนานที่เล่าสืบต่อกันมา
“นักรบอันดับหนึ่งของเผ่าสวรรค์ น้องชายของซือหนาน ข้าย่อมจดจำได้” ซื่อมั่วสีหน้าเย็นชา เขาฝืนกำลังเค้นพลังในร่างออกมา ไม่ยอมปล่อยให้เงาร่างของตนแปรปรวน
ซือเป่ยมองดูเขา จากนั้นก็เหลือบตาไปมองดูตู๋กูซิงหลันที่อยู่ข้างกายเขา ทั้งยังจับจ้องอยู่ที่ดาบยักษ์ในมือของนางอยู่ครู่หนึ่ง
หากว่าเขาจำได้ไม่ผิดพลาดละก็ อาวุธประจำกายที่ซือหนานใช้มาโดยตลอดก็คือดาบยักษ์เล่มหนึ่ง ซึ่งคล้ายคลึงกับดาบในมือของสาวน้อยผู้นี้อย่างยิ่ง
“ท่านยังจดจำซือหนานได้ ช่างลำบากหมิงอ๋องแล้ว” หลังเงียบไปอยู่ครู่หนึ่ง เขาค่อยเอ่ยปากขึ้นมา รอยยิ้มเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน “เจ้าสวะนั่น…..ตกตายใต้คมดาบไปนานนับหมื่นปีแล้ว ยังจะมีอะไรมาคู่ควรเป็นพี่ชายของข้าอีก?”
“ฮึ ก็แค่กบฎที่ทรยศเผ่าเทพแห่งสรวงสวรรค์เท่านั้น”
เขากล่าวออกมาอย่างเย็นชา ทั่วร่างเปล่งประกายออกมาจนบดบังใบหน้าลงไปอีกครั้ง
ง้าวสีทองในมือชี้ไปทางซื่อมั่วอีกครั้ง “ท่านกล่าววาจาไร้สาระไปตั้งมากมาย ก็ทำได้เพียงแค่ถ่วงเวลาเท่านั้น หมิงอ๋อง ….ท่านมันสมควรตายไปตั้งแต่เมื่อหมื่นปีก่อนโน้นแล้ว ตอนนี้ในเมื่อปรากฏตัว ได้ตายในมือของแม่ทัพอย่างข้า ก็ต้องถือว่าไม่เสียเกียรติหมิงอ๋องอย่างท่านแล้ว”
ทันทีที่พูดจบ เขาก็กระชับง้าวในมือเหาะเข้ามา
พร้อมกับที่เขาเหาะเข้ามานั้น พลันมีปักษายักษ์สีทองอร่ามตัวหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมา
นกตัวนั้นกางปีกออกกว้าง แทบจะบดบังดวงอาทิตย์ไปจนหมด กรงเล็บที่ขยุ้มลงมา ราวกับมีคมกระบี่นับพันเล่มพุ่งลงมาพร้อมๆกัน
นี่ชัดเจนเลยว่า เทพนักรบผู้นี้ไม่คิดจะเสียเวลาทำศึกกับเขาเนิ่นนานเกินไป จึงคิดจะจบการต่อสู้อย่างรวดเร็ว
แต่ว่าอีกฝ่ายจะอย่างไรก็เป็นถึงหมิงอ๋อง ….ถึงแม้พละกำลังจะลดน้อยถอยลงไปไม่เหมือนเมื่อก่อน แต่ไหนเลยจะถูกฆ่าได้โดยง่าย
ปักษายักษ์ตัวนี้คือสัตว์อสูรในพันธะสัญญาของเง็กเซียนฮ่องเต้ ก่อนที่เขาจะออกเดินทางมา เง็กเซียนทรงมีบัญชาให้เขานำมาเป็นพิเศษ
เพื่อให้พอถึงช่วงเวลาสำคัญ สามารถกำจัดหมิงอ๋องได้สำเร็จ
เนื่องเพราะปักษายักษ์ตัวนี้ คือสิ่งมีชีวิตระดับเทพที่คงอยู่มาตั้งแต่ยุคบรรพกาล มีอิทธิฤทธิ์สะกดข่มไอหยินและภูติผีปีศาจทั้งหลายโดยกำเนิด ถือเป็นดาวนำโชคของเผ่าสวรรค์
ยามที่ปักษายักษ์ตัวนี้ถลาลงมา บนกรงเล็บยังอาบไปด้วยเปลวเพลิง ที่ยืดยาวออกมาหลายเมตร มันพุ่งตรงเข้าหาทรวงอกของซื่อมั่ว หมายมั่นจะคว้านลงไปในอกของเขาจนว่างเปล่า
ง้าวของซือเป่ยเองก็บุกเข้ามาอย่างพร้อมเพรียง
“หมิงอ๋อง…..เจ้ายกมือยอมรับความพ่ายแพ้เสียเถอะ สรวงสวรรค์ไม่มีทางปล่อยเจ้า ในเมื่อจะช้าเร็วก็ต้องตาย ปล่อยให้เจ้าได้ยืนหยัดอยู่ในใต้หล้ามาเนิ่นนานหลายปีถึงเพียงนี้ ก็ต้องนับว่าเป็นความเมตตาของสวรรค์แล้ว” ซือเป่ยเปล่งเสียงลงมาจากด้านบน
“ข้าจะส่งเจ้าลงไปอยู่ในขุมนรกที่ไร้สิ้นสุด เป็นเพื่อนกับพี่ชายที่โง่เขลาผู้นั้น ใต้ธารน้ำพุเหลืองนั่น พวกเจ้าจะได้ไม่เปลี่ยวเหงาไงเล่า”
ตอนนั้นมิใช่เป็นเพราะซือหนาน สาบานว่าแม้ต้องตายก็จะขอปกป้องเผ่าหมิง จึงต้องมีจุดจบที่ดับอนาถหรอกหรือ?
เขาละทิ้งฐานันดรของเทพเซียน ไปเป็นยมราชเหยียนอ๋องอะไรนั่นในเผ่าหมิง สมองของคนผู้นั่นมิใช่ว่ามีปัญหาหนักหรอกหรือ?
ซือหนาน…..คือความอับอายชั่วกาลนานเพียงหนึ่งเดียวของเผ่าเทพในสวรรค์! ตายไปเสียก็ดี
เพราะยามนี้เขาเผชิญหน้ากับหมิงอ๋อง จึงอดที่จะคิดถึงเรื่องราวในอดีตขึ้นมาไม่ได้
ยามเมื่อกรงเล็บเพลิงของปักษายักษ์และง้าวของซือเป่ยพุ่งเข้ามานั้น ตู๋กูซิงหลันก็ยกดาบยักษ์ขึ้นสกัดเอาไว้ในทันที
“ตึง!” แม้ว่าดาบยักษ์เล่มนี้จะแข็งแกร่งถึงเพียงไหน แต่ก็ยังต้องชำรุดอยู่ดี หลังแรงระเบิด ถึงกับถูกกรงเล็บของปักษายักษ์ตัวนั้นทะลวงเป็นรูแห่งหนึ่ง
กรงเล็บของมันพุ่งเข้ามาถึงเสื้อผ้าของซื่อมั่ว กรีดทรวงอกของเขาเป็นรอยจางๆสายหนึ่ง
ง้าวของซือเป่ยฟาดลงมาบนข้อมือของตู๋กูซิงหลัน ยังดีที่ไม่ทันจะได้กรีดลงบนข้อมือของนาง ตู๋กูซิงหลันก็ถูกซื่อมั่วโอบเข้าไปในวงแขนก่อนแล้ว
มือข้างหนึ่งของเขาโอบนางเอาไว้ มืออีกข้างยกขึ้นรับง้าวของซือเป่ย
ทันใดนั้นเองฝ่ามือก็หลั่งเลือดทะลักออกมา สาดใส่ง้าวของซือเป่ย แสงสว่างเรืองรองบนตัวง้าวถึงกับหม่นหมองลงไปในทันที
ซื่อมั่วกำปลายแหลมของง้าวเอาไว้แน่น ใช้กำลังออกไปอย่างเต็มที่ เจดีย์สมบัติทองคำบนปลายง้าวถึงกับถูกเขาหักทิ้งลงมา
“ซือหนานคือเทพสงครามของเผ่าหมิงเรา เจ้าไม่มีคุณสมบัติจะลบหลู่เขา” ซื่อมั่วหรี่ดวงตาลง เป็นครั้งแรกของตู๋กูซิงหลันที่ได้เห็นแววตาที่เรียบเฉยของอาจารย์แปรเปลี่ยนไปเช่นนี้ แววตาที่เหมือนดังพญาอินทรี
เขาโกรธแล้ว
ไอหยินรอบตัวเย็นเฉียบขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ปลายง้าวที่อยู่ในฝ่ามือของเขาถูกบีบทำลายจนสลายเป็นผุยผง เขาตวัดฝ่ามือ สาดหยดเลือดกระจายออกไปสัมผัสโดนร่างของซือเป่ย
ซือเป่ยเห็นยอดคมง้าวถูกหักลงมา สีหน้าก็ต้องเปลี่ยนเป็นตกตะลึง
หมิงอ๋องที่มีพละกำลังไม่เท่ากับกาลก่อน …..ยังสามารถหักทำลายง้าวทองคำของเขาลงได้?
ทรวงอกของเขากระเพื่อมขึ้นลง สายตาจับจ้องอยู่ที่มือข้างนั้น เห็นเลือดไหลออกมาโดยไม่ขาดสาย
“หมิงอ๋อง เจ้าเอาตัวเองยังไม่รอด ยังคิดจะช่วงชิงชื่อเสียงใดให้กับสวะผู้นั้นอีก?” เขาสบถเสียงเย็นชา แสงทองในฝ่ามือเปล่งประกายออกมา เจดีย์สีทองก็กลับคืนสู่สภาพเดิม
“ที่จริงแล้ว…..ตอนนั้นหากไม่เป็นเพราะเจ้า ซือหนานก็คงไม่ต้องตาย”
เขาทางหนึ่งพูด ทางหนึ่งย่างเท้าออกมา ส่งเสียงตะโกนคำหนึ่ง “ปักษายักษ์!”
ทันทีที่ส่งเสียงเรียก ปักษายักษ์ตัวนั้นก็หันหัวกลับมา กางกรงเล็บออกพุ่งเข้ามาตะปบทรวงอกของซื่อมั่วอีกครั้ง
และครั้งนี้ ยังเ**้ยมโหดกว่าครั้งแรกเสียอีก
ถึงแม้ว่ามันยังไม่ทันได้เข้าใกล้ ตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกได้ถึงความร้อนที่คุ้นเคยอย่างยิ่งพุ่งออกมาก่อน
เนื่องด้วยพลังของมันเป็นดาวข่มธาตุพลังหยินโดยเฉพาะ ดังนั้นในความรู้สึกของตู๋กูซิงหลัน พลังนี้….ไม่ได้อ่อนด้อยกว่าอสูรโลกันตร์เท่าใดเลย
เห็นอีกฝ่ายพุ่งเข้ามาอย่างหมายมาด ครั้งแรกไม่สำเร็จก็กระทำซ้ำเป็นครั้งที่สอง และครั้งนี้ยังลงมืออย่างสุดกำลัง
“ติ๊งต๊อง!” ในชั่วขณะนั้นเอง ตู๋กูซิงหลันก็เปล่งเสียงสูงออกมา
ในชั่วขณะที่กรงเล็บของปักษายักษ์กำลังจะขยุ้มลงมานั้น ลำแสงสีทองสายหนึ่งก็พวยพุ่งออกมาจากกลางสวนดอกไม้
แสงเพลิงทรงพลังดุจเจ้าของ พุ่งเข้าใส่ร่างของปักษายักษ์และซือเป่ย
ความร้อนแรงสองสายปะทะเข้าหากัน ตู๋กูซิงหลันถึงกับหลั่งเหงื่อเม็ดโตๆออกมา
ผิวหนังถูกแผดเผาจนแสบร้อนผะผ่าว ในอากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นไหม้คละคลุ้ง
แม้ว่าแสงเพลิงของติ๊งต๊องจะมาอย่างรวดเร็ว แต่ก็คล้ายจะไม่ทันท่วงที
มือข้างหนึ่งของซื่อมั่วโอบอุ้มตู๋กูซิงหลันเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างโชกชุ่มไปด้วยเลือด แม้แต่ไม้เท้าอนันตกาลกำราบมารของเขายังไม่ทันได้ใช้ออก ก็ถูกปักษายักษ์ตนนั้นใช้กรงเล็บทะลวงเข้าไปในช่องท้องแล้ว
ท่ามกลางเปลวเพลิง ร่างของเขาอ่อนจางไหววูบ คล้ายจะถูกแผดเผาจนสูญสลายไปได้ทุกเมื่อ
ตอนที่ 508 ไม่มีใต้หล้า ไม่มีนาง
เส้มผมยาวสลวยปลิวสยายออกไป ใบหน้าที่งามล้ำนั้นโปร่งแสงส่องประกายอยู่ท่ามกลางไอหยินรอบกาย
เขากระอักเลือดออกมาน้อยๆคำหนึ่ง เลือดหยดลงมาโดนข้างแก้มของตู๋กูซิงหลัน เย็นยะเยือก
ปักษายักษ์คือธาตุหยางพิสุทธิ์ คือสัตว์อสูรแต่ครั้งบรรพกาล เป็นดาวข่มเผ่าหมิงโดยเฉพาะ ครั้งนั้นกว่าที่เง็กเซียนฮ่องเต้กำราบมันให้กลายเป็นสัตว์อสูรในพันธะสัญญาได้ต้องสูญเสียพลังในร่างไปกว่าครึ่ง
เดิมทีซื่อมั่วก็ได้รับบาดเจ็บหนัก บาดแผลไม่เคยประสานจนหายขาด
กรงเล็บของมันที่ทะลวงเข้าไปในช่องท้องของซื่อมั่ว แทบจะแผดเผาอวัยวะภายในของเขาจนหมดสิ้น
ตู๋กูซิงหลันถูกซื่อมั่วกอดเอาไว้ในอ้อมแขน จึงได้เห็นกรงเล็บของมันแทงทะลุเข้าไปในร่างของอาจารย์กับตาของตนเอง
ใบหน้าเย็นชาเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด ชั่วขณะนั้นหัวใจของนางเหมือนกับถูกผนึกแข็งไปด้วย
“อาจารย์!” นางอ้าปากขึ้นมา แต่กลับพบว่าน้ำเสียงของตนเองหายไป
จนผ่านไปอีกพักใหญ่นางถึงได้หาเสียงของตนเองเจอ มือของนางคว้าแขนของเขาเอาไว้ มืออีกข้างหยิบยันต์โลหิตออกมาหลายใบ นางรวบรวมพลังทั้งหมดในชั่วอึดใจซัดยันต์โลหิตสิบกว่าใบนั้นออกไป พุ่งเข้าใส่ปักษายักษ์และเทพสงครามอันดับหนึ่งซือเป่ย
ยันต์โลหิตเหล่านั้นแปลงเป็นตัวนางมากมาย แต่ละคนถือดาบยักษ์เอาไว้ในมือ ไอสังหารท่วมท้น พุ่งเข้าใส่ปักษายักษ์และซือเป่ย
ร่างแปลงที่เกิดจากยันต์โลหิตเหล่านั้นรับพลังทั้งหมดของนางไป แต่ว่าพวกมันสามารถคงอยู่ได้เพียงแค่ครึ่งชั่วยามเท่านั้น
“หึ….น่าสนใจไม่น้อย” ซือเป่ยส่งยิ้มเย็นชา เขากระชับง้าวทองคำในมือ ยืนตระหง่านอยู่บนหลังของปักษายักษ์ สายตาที่มองไปยังซื่อมั่วเหมือนกับมองคนที่ได้ตายไปแล้ว
หากจะให้ซื่อมั่วตายลงในทันที เขากลับอยากเห็นคนผู้นี้ทุกข์ทรมานและดิ้นรน จนตายอย่างช้าๆมากกว่า
หมิงอ๋อง ผู้ที่แสนจะทรนง ผู้ที่ผู้คนทั้งหกภพภูมิต้องศิโรราบให้
ยามนี้….กลับตายใต้เงื้อมือของเขา ซือเป่ย
ที่ผ่านมา…..คนผู้คร้านจะเหลือบแลเขาแม้สักครั้ง
ครั้งนี้ถือว่าตระกูลซือของพวกเขาได้กู้หน้าคืนมาบ้างแล้ว
เมื่อมีร่างแปลงจากยันต์โลหิตต่อต้านปักษายักษ์และซือเป่ยเอาไว้ชั่วคราว ตู๋กูซิงหลันค่อยมีเวลาหันมามองดูซื่อมั่ว นางเห็นร่างของเขายิ่งทีก็ยิ่งโปร่งแสงขึ้นเรื่อยๆ
หัวใจของนางเย็นเฉียบ นิ้วมือของนางที่คว้าแขนของเขาเอาไว้ แทบจะจมลึกลงไปในผิวของเขา
เดิมทีร่างกายของเขาเย็นเฉียบอยู่เสมอ ยามนี้เพราะผลจากการโจมตีของปักษายักษ์จึงเปลี่ยนเป็นร้อนระอุขึ้นมา ยามนี้ผิวหนังบนใบหน้าของเขาเริ่มหลุดลอกออกเป็นแผ่นๆ ราวกับเศษกระเบื้องที่แตกร้าวร่วงหล่นลงไป
ผิวพรรณทุกตารางนิ้วร้อนระอุ ผิวหนังที่หลุดร่วงออกไปกลายเป็นเถ้าถ่านที่ปลิวหายไป
ตู๋กูซิงหลันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า อาจารย์ที่แข็งแกร่งอยู่เสมอ อยู่ๆก็จะ…..
“อาจารย์ ไม่….อย่าได้….” นางยิ่งเพิ่มแรงคว้าเขาเอาไว้อย่างแนบแน่นกว่าเดิม “ท่านเป็นหมิงอ๋องมิใช่หรือ? ต้องคงอยู่นิจนิรันดร์สิ? จะปล่อยให้นกยักษ์ตัวหนึ่งมาเอาชีวิตท่านไปได้อย่างไร?”
ซื่อมั่วมองดูสีหน้าที่ทั้งเคร่งเครียดและตื่นตระหนกของนาง ด้วยความสงบนิ่งเช่นที่เคยเป็นมา
เขายกมือขึ้นมาบดบังดวงตาของนางเอาไว้
“ศิษย์เอ๋ย อย่าดู” เขาเอ่ยขึ้นเบาๆ “ทุกชีวิตโลกหล้าล้วนมีชะตาต้องตกตาย ไม่มีชีวิตใดจะคงอยู่ได้ชั่วกาล อาจารย์เองก็เช่นกัน”
ความตายมิใช่จุดสิ้นสุด
มือของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด เลือดที่รวมตัวกันอยู่บนใจกลางฝ่ามือกลายเป็นศิลาโลหิตชิ้นหนึ่ง
เขากุมมือของตู๋กูซิงหลันเอาไว้ พอคลายมือก็วางศิลาโลหิตชิ้นนั้นลงไปบนฝ่ามือของนาง” รอให้ศิลาโลหิตนี้ผลิบาน อาจารย์ก็จะกลับมา”
“ไปที่ธารน้ำพุเหลือง รอข้า” ขณะที่เขาพูดนั้น ใบหน้าครึ่งหนึ่งก็ถูกเพลิงเผาผลาญจนสลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว
เขายกมือขึ้นมา คิดจะโอบกอดนาง แต่สุดท้ายก็ดึงมือกลับไป นิสัยที่เก็บงำและสงวนท่าทีของซื่อมั่ว จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่ยอมเปลี่ยน
ควบคุมตนเองเคร่งครัดในกรอบจารีต ถึงตายก็ยังพึงรักษาไว้
คนที่ศิษย์น้อยรักคือจีเฉวียน คือร่างแบ่งภาคของเขา ….เช่นนั้นเขาก็จะส่งเสริมนาง
……………
อีกด้านหนึ่ง ในป่าทึบ จีเฉวียนคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ในมือกุมดาบสีดำทองที่หักครึ่งเอาไว้ ตัวดาบปักลงไปในดินข้างฝ่าเท้า
อากาศรอบด้านมีกลิ่นคาวเลือดเข้มข้นคละคลุ้ง พื้นดินแดงฉานไปด้วยเลือด รอบกายของเขามีศพนอนเกลื่อนกลาดอยู่นับสิบ
ทั้งหมดล้วนขาดเป็นชิ้น ไม่มีแม้แต่ร่างเดียวที่สามารถหายใจได้อีก
ปีศาจหมาป่าที่คิดร้ายต่อตู๋กูซิงหลันล้วนถูกเขาฆ่าทิ้งจนหมดสิ้น ไม่เหลือรอดแม้แต่ตัวเดียว
ในฐานะที่เป็นจีเฉวียน นี่ถือเป็นเรื่องสุดท้ายที่พระองค์สามารถทำเพื่อนางได้
เสื้อผ้าบนร่างของจีเฉวียนล้วนขาดวิ่นจนรุ่ยร่าย แผลเก่ามีแผลใหม่เพิ่มเติม
ผิวหนังทั่วทั้งร่างคล้ายถูกกัดขาดจนเหวอะหวะไปทั้งตัว
แม้แต่กระดูกก็ยังมีรอยเขี้ยวขบกัด
ทรวงอกของพระองค์เป็นแผลลึก โลหิตไหลรินไม่หยุด
พระองค์คุกเข่าข้างหนึ่งอยู่บนพื้น เส้นผมสีดำสยายลงมา พระพักตร์เปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิต ทั้งๆที่เจ็บปวดเหมือนถูกร้อยพันดาบฟาดฟัน แต่ก็สกัดกั้นเอาไว้ ไม่ยอมเปล่งเสียงออกมาแม้แต่คำเดียว
ยามนี้ แค่พระองค์ขยับเบาๆ ในลำคอก็หวานวูบ กระอักโลหิตคำโตออกมาในนั้นยังมีชิ้นเนื้อปะปน
ปีศาจหมาป่าเหล่านั้น….ทั้งโหดเ**้ยมและคุ้มคลั่ง แต่ละตัวแข็งแกร่งยิ่งว่าเยี่ยเฉิงเสียอีก
พวกมันหลายสิบตัวรุมเร้าเข้ามา โจมตีอย่างไม่คิดชีวิต ทุกครั้งล้วนมุ่งเป้าสังหาร
ยามที่อยู่ใต้ก้นทะเลลึก จีเฉวียนเองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก่อน และเหมือนกับซื่อมั่ว บาดแผลไม่ยอมประสาน ผ่านไปเนิ่นนานก็ไม่เคยหายขาด
วันนี้เมื่อพระองค์ลงมือฆ่าฟันพวกมันทั้งหมดก็ต้องถือว่าเกินขีดจำกัดไปแล้ว
ราวกับแม่ทัพโดดเดี่ยว ที่รั้งอยู่ท้ายสุด ใต้เท้ามีแต่ซากศพเกลื่อนกลาด และพระองค์ประทับอยู่เหนือภูเขาซากศพเหล่านั้น
ในที่สุด….พระองค์ก็ไม่ไหวอีกแล้ว อ่อนล้าแล้ว ดวงเนตรหนักอึ้งลืมไม่ขึ้นเสียแล้ว
ขนพระเนตรกระพริบเบาๆ ทรงคิดจะหันไปมองดูทิศทางที่ตู๋กูซิงหลันอยู่อีกสักครั้ง แต่พระองค์ก็ปราศจากพละกำลังที่เสียแล้ว
ซิงซิง….จากนี้ไป ใต้หล้านี้ก็จะไม่มีจีเฉวียนอีกแล้ว
จากนี้เป็นต้นไป….ซื่อมั่วจะเป็นผู้ปกป้องเจ้าให้ปลอดภัยไปชั่วชีวิต
ข้า จีเฉวียนรักเจ้า ย่อมต้องส่งเสริมเจ้า
เพียงแต่…..มันช่างยากเหลือเกินที่จะทำใจให้ละทิ้ง
ขนพระเนตรขยับน้อยๆ ข้อมือที่กุมดาบสีดำทองไว้แน่นจนซีดขาว ด้ายผูกชะตาที่อยู่บนข้อมือ เปลี่ยนจากสีแดงเข้มเป็นอ่อนจางแล้ว
ขณะที่มันกำลังเลือนลางเช่นนี้…….. แม้พระองค์คิดจะคว้ามันเอาไว้ แต่ก็ไม่อาจทำได้
วาสนาผูกพันระหว่างพระองค์กับนาง ต้องสิ้นสุดลงที่ตรงนี้แล้ว
สายลมยามค่ำโหมแรงกว่าเดิม สายฟ้าฟาดกระหน่ำลงมา เกิดฝนตกหนักรุนแรง
สายฝนที่ซัดลงมาอย่างหนัก สาดลงมาบนร่างของพระองค์
ร่างของจีเฉวียนตรึงอยู่กับที่เดิม แม้ถึงคราวสวรรคต โอรสสวรรค์แคว้นโจวก็ยังไม่คลายพระหัตถ์ออกจากดาบ
ท่ามกลางฝนที่กระหน่ำลงมา ร่างของพระองค์ติดไฟลุกโชน เป็นเช่นเดียวกับซื่อมั่ว ผิวเนื้อแตกออกเป็นชิ้นๆราวแผ่นกระเบื้อง
และเมื่อสายลมโหมมาอีกครั้ง ก็พัดทุกอย่างมลายหายไป
ยามที่พระองค์กำเนิดมาในโลก ฉางซุนฮองเฮาก็ประสบเหตุประสูติยาก พระบิดาไม่ปรารถนาจะพบพระพักตร์
ขาดพระมารดาแต่เยาว์วัย ถูกพระบิดาส่งไปเป็นเชลยที่แคว้นเหยียน ยาวนานถึงแปดปี
ทรงเติบโตขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิด ทรงชิงทุกสิ่งที่สมควรเป็นของพระองค์กลับมาด้วยพระหัตถ์และความตั้งพระทัยของตนเอง
แม้ว่าหลังจากนั้นจะทำให้ใต้หล้าต่างประณามว่าทรงเป็นโอรสสวรรค์แห่งแคว้นโจวที่โหดเ**้ยม เย็นชาและไร้พระทัย
แต่พระองค์ก็ไม่เคยลืมความตั้งพระทัยแต่เดิม ที่มุ่งมั่นจะทำให้ใต้หล้าประสบสุข
เมื่อพระองค์ได้พบกับนางด้วยความบังเอิญ ความเปล่าเปลี่ยวที่มีมานานชั่วชีวิตก็ค้นพบความอบอุ่นที่พิเศษที่สุด จึงทรงทุ่มเทความพยายามทั้งหมดเพียงเพื่อให้ได้อยู่กับนาง
และสุดท้าย เพื่อรักนี้ ก็ทรงยอมสละแม้กระทั่งชีวิตให้กับนางแล้ว
แม้ว่าสุดท้ายแล้ว พระองค์จะไร้ซึ่งแผ่นดิน ไม่มีนาง ไม่มีแม้แต่ความอบอุ่นใดๆเหลืออีกต่อไป
แต่พระองค์….ก็เต็มพระทัย
ตอนที่ 509 ติดตามข้ากลับไปสวรรค์
เพียงปรารถนาให้นางอยู่อย่างสงบสุขเท่านั้น
นั่นจึงเป็นความรักความเห็นแก่ตัวเล็กๆ ในรักที่ยิ่งใหญของจีเฉวียน
ซิงซิง ลาก่อน
……………………..
ท่ามกลางสายฟ้าที่ฟาดลงมากลางดึก ตู๋กูซิงหลันมองดูอาจารย์ของตนเองสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน
สายฝนกระหน่ำลงมาบนร่างของนาง
ในตอนนั้นเอง หัวใจของนางเหมือนกับถูกคว้านออกไป นางมองดูเถ้าที่สลายตัวไปท่ามกลางพายุฝน….ชั่วขณะนั้นสมองก็พลันผุดภาพใบหน้าของจีเฉวียนขึ้นมา
ด้ายผูกชะตาบนข้อมือสลายหายไปอย่างหมดจด
“จีเฉวียน!” ตู๋กูซิงหลันหันร่างกลับไป ด้านหลังของนางมีเพียงเถ้าถ่านควันไฟที่ลุกโชนอยู่กลางดงดอกกุหลาบ
เมื่อไม่มีอาจารย์ ก็ไม่มีจีเฉวียน
ร่างของนางเปียกจนชุ่มโชกอยู่ในพายุฝน น้ำตาไหลนองจนกลบลูกนัยตา
“หมิงอ๋อง….ในที่สุดก็ตายแล้วสินะ?” ซื่อเป่ยส่งเสียงเย็นชามาจากทางด้านหลังของนาง
ทันทีที่เขาวาดง้าวออกไป ร่างจำแลงเหล่านั้นของตู๋กูซิงหลันก็ฉีกขาดเป็นสองส่วน
ร่างจำแลงกลับคืนสู่แผ่นยันต์โลหิตที่ขาดวิ่น
ลอยละลิ่วจนตกลงบนพื้นท่ามกลางสายฝน
ทันใดนั้นเอง ตู๋กูซิงหลันก็คว้าดาบยักษ์กลับขึ้นมาไว้ในมือ นางขยับร่างวูบเดียว ก็พุ่งเข้าหาเขาอย่างต้องการจะแลกชีวิต
บุรุษที่มีใบหน้าเหมือนกับพี่ใหญ่ผู้นี้ ฆ่าท่านอาจารย์!
และนางก็ยังไม่รู้เลยว่า เขาใช้ฝีมือชนิดใด ทำให้จีเฉวียนต้องประสบเหตุไปด้วย
ในสมองของนางตอนนี้มีแต่ความโกรธและเคียดแค้น
ทรวงอกปวดร้าวอย่างรุนแรง ในลำคอหวานวูบ เจ็บปวดใจเกินทนรับ จนต้องกระอักเลือดออกมา
ดาบยักษ์ยังไม่ทันฟันออกไป ก็เห็นซือเป่ยเหาะเข้ามาก่อน
เขาสูงส่งอยู่เบื้องบน มองดูนางด้วยสายตาของเทพที่มองดูผู้ต่ำต้อย
“แม้แต่อาจารย์ของเจ้าก็ยังสู้ข้าไม่ได้ แล้วเจ้าจะสู้ข้าได้อย่างไร?”
น้ำเสียงของเขาเย็นเฉียบราวหิมะ ไม่ได้เห็นตู๋กูซิงหลันอยู่ในสายตาเลยด้วยซ้ำ
“สาวน้อย ข้าคือเทพไท้บนสรวงสวรรค์ย่อมไม่เข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ หากเจ้ายอมจำนน ข้าผู้เป็นแม่ทัพจะรับเจ้าเอาไว้ ให้เจ้าได้เป็นนางกำนัลน้อยบนตำหนักในสรวงสวรรค์ โอกาศที่ดีเลิศเช่นนี้ เจ้าอย่าได้ปล่อยผ่านไป”
ซือเป่ยรู้สึกว่าตนเองช่างเป็นผู้ที่มีจิตใจกว้างขวางจริงๆ แม้ว่าเขาจะจงเกลียดจงชังหมิงอ๋อง แต่ก็มิได้เอาความโกรธเกลียดนี้ไปลงกับผู้อื่น
อย่างเช่น…..สาวน้อยผู้นี้ ดูสิเขาถึงกับดีต่อนางเป็นพิเศษ
ด้วยอายุเพียงไม่เท่าไหร่ แต่นางกลับสามารถฝึกฝนได้ถึงเพียงนี้ ดูแล้วช่างไม่เลวเลย ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่เผ่าเทพ แต่หากสั่งสอนให้ดี ต่อไปจะต้องโดดเด่นเป็นพิเศษอย่างแน่นอน
อย่าว่าแต่….ใบหน้าของนาง ช่างคล้ายคลึงกับคนผู้นั้นเหลือเกิน
หากว่าเง็กเซียนฮ่องเต้ได้ทรงเห็น….ก็จะต้อง…….
พอคิดได้เช่นนี้ ซือเป่ยก็ตัดสินใจได้ในทันที
“ฝันไปเถอะ” ตู๋กูซิงหลันใช้มือข้างเดียวถือดาบ เรือนร่างที่บอบบางยืนตรงดุจพู่กัน
แม้ว่านางจะโลภมากและกลัวตาย ใช้เวลาส่วนมาในชีวิตกระทำเรื่องที่ไม่กลัวอับอายขายหน้า แต่ว่าในสถานการณ์เช่นนี้ ต่อให้นางต้องตาย ก็ไม่ขอก้มหัวให้กับศัตรูคู่แค้นที่สังหารอาจารย์
เผ่าเทพบนสรวงสวรรค์!
นางจะจดจำเอาไว้ หากว่าวันนี้สามารถรอดไปได้ เมื่อใดที่นางพบพวกเทพก็จะสังหารเทพ ชาวสวรรค์เหล่านั้น ไม่ให้เหลือรอดแม้แต่เพียงผู้เดียว!
นางก็เป็นคนเช่นี้เอง ผู้ที่นางทะนุถนอม ไม่ว่าใครก็อย่าได้แตะต้อง!
หากกล้าลงมือ ก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนออกมา!
สองคำนั้น ทำเอาสีหน้าของซือเป่ยเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมาในทันที เขากุมง้าวสีทองเอาไว้แน่น
สายตาที่แหลมคมราวมีดดาบพุ่งไปที่ร่างของนาง
“ช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง” น้ำเสียงที่เย็นชาดังออกมา “ข้าผู้เป็นแม่ทัพถูกใจเจ้า ก็ต้องนับว่าเป็นบุญกุศลที่เจ้าสั่งสมมาแปดชาติแล้ว!”
เหล่าผู้ที่บำเพ็ญเพียรอยู่ในโลกนี้ จะมีใครบ้างที่ไม่เค้นสมองครุ่นคิดจนหัวแทบแตกเพื่อจะได้ขึ้นสวรรค์กลายเป็นทวยเทพที่ผู้คนยกย่อง
เขาอุตส่าห์มอบโอกาสนี้ให้กับนาง นางกลับไม่รู้จักไขว่คว้าเอาไว้?
ดีนัก….
เช่นนั้นก็ตายไปเสียเถอะ!
ถึงอย่างไร ก็แค่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงอยู่บ้างเท่านั้น
ในเมื่อมิใช่ร่างหลักที่แท้จริง เช่นนั้นตายก็ตายไปเถอะ
ร่างของซือเป่ยกำจายไอสังหารออกมาอีกครั้ง ง้าวทองคำในมือพุ่งเข้าหาทรวงอกของนางอย่างไม่มีลังเล
จะจัดการกับเด็กสาวเช่นนาง เขาไม่จำเป็นจะต้องพึ่งพาปักษายักษ์ด้วยซ้ำ
“กะ กะต๊าก!” เมื่อครู่ติ๊งต๊องชักช้าไปก้าวหนึ่ง แต่ว่าครั้งนี้มันจะไม่ยอมชมดูอยู่ที่ด้านข้างอีกต่อไป
มันอ้าปากกว้างพ่นเปลวเพลิงสีทองออกมา ทางหนึ่งพ่นไฟ ทางหนึ่งก็กระพือปีกขึ้นมา กางเล็บและอ้าปากจิกใส่ซือเป่ย
ยามปกติ ที่มันสามารถต่อกรกับจีเฉวียนได้นั้น ก็เป็นเพราะว่าจีเฉวียนเห็นแก่หน้าของตู๋กูซิงหลัน ยอมอ่อนข้อให้กับมัน
แต่เมื่อถึงยามที่ต้องเผชิญหน้ากับทวยเทพจากแดนสวรรค์ แค่อีกฝ่ายฟาดง้าวลงมา กรงเล็บไก่กุ๊กของมันก็แทบจะถูกตัดออกมาแล้ว
ยังดีที่ตู๋กูซิงหลันสายตาแหลมคมฝีมือว่องไว สะกิดเท้าออกไปครั้งหนึ่ง ติ๊งต๊องก็ถูกเตะลอยออกไปไกลหลายร้อยเมตรแล้ว
นางกลับพุ่งเข้าไปรับง้าวของซือเป่ยด้วยตนเอง
ยามเมื่อดาบยักษ์และง้าวสงครามกระแทกกัน ก็เกิดสายฟ้าจนทำให้หัวใจของนางสั่นสะท้าน
นางขับเคลื่อนพลังของเผ่ามังกรทมิฬออกมา แต่เพราะว่าอายุยังน้อยจนเกินไป นางจึงยังไม่อาจควบคุมพละกำลังนั่นได้ดั่งใจปรารถนา ผู้ที่อยู่ตรงหน้านี้ คือเทพสงครามตัวจริง….ที่มีชีวิตมานานกว่าหลายหมื่นปี
พละกำลังของทั้งสองแตกต่างกันอย่างมาก
พอปะทะกันหลายครั้งเข้า ตู๋กูซิงหลันก็ต้องถึงกับกระอักเลือดสดๆออกมา
นี่เป็นครั้งแรกที่ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าตนเองช่างอ่อนแออย่างที่สุด
หากว่านาง…..แข็งแกร่งได้เหมือนอย่างอาจารย์……บางทีอาจารย์…..และจีเฉวียนที่ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นหรือตาย คงจะไม่ต้องมามีจุดจบเช่นนี้
“สาวน้อย ข้าแม่ทัพบอกแล้วว่า เจ้าไม่ใช่คู่มือของข้า!” ซือเป่ยกุมง้าวไว้แผ่พลังกดดันลงมา
ในใจของเขามีความประหลาดใจอยู่บ้าง
ปกติยามที่เขาลงมือ เพียงไม่กี่กระบวนท่าก็สมควรจะสามารถปลิดชีวิตอีกฝ่ายลงมาได้แล้ว แต่ว่าสาวน้อยที่อายุเพียงสิบกว่าปีนี้กลับสามารถต้านทานเอาไว้ได้
ทำให้เขารู้สึกว่าฐานะความเป็นเทพสงครามของเขากำลังถูกท้าทาย
แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าต้นกล้าที่ดีถึงเพียงนี้หากฆ่าทิ้งไปก็ออกจะน่าเสียดาย
เขายินดีจะให้โอกาสนางอีกครั้ง ขอเพียงนางผงกศีรษะรับ เขาก็เต็มใจจะพานางไปยังสวรรค์
แต่ว่าคำพูดนี้ยังไม่ทันได้ออกจากปาก ก็เห็นสาวน้อยผู้นั้นเขวี้ยงยันต์สีแดงออกมาหลายผืนอย่างไม่เสียดายชีวิต
ซือเป่ยมองดูเพียงแวบเดียวก็รู้แล้วว่านางต้องการจะทำอะไร
“ตกตายตามกันหรือ?” ดวงตาของเขาเคร่งขรึมขึ้นมา
จนถึงบัดนี้แล้ว นางยังสามารถเสกยันต์ออกมาได้มากมายถึงเพียงนี้ คิดจะสร้างเป็นค่ายกล
หากบอกอย่างรวบรัดก็คือ ยันต์นี้คือคำสาปที่ ‘ต่อให้ต้องตายก็ขอลากคนไปลงหลุม’
นางคิดจะใช้พลังชีวิตของตนเองเป็นข้อแลกเปลี่ยน สาปให้คนที่ต้องอาคมลงหลุมไปเป็นเพื่อน
สาวน้อยผู้หนึ่งสามารถทำได้ถึงเพียงนี้ ยิ่งทียิ่งทำให้เขารู้สึกว่าเหนือความคาดหมายแล้ว
ฝ่ามือของซือเป่ยเรืองแสงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทำลายยันต์สีแดงของนางจนแหลกละเอียดก่อนที่จะร่ายคาถาสร้างเขตอาคมสำเร็จ
ไม่น่าเชื่อว่าเขาที่เป็นถึงเทพบนสวรรค์ จะเกือบถูกสาวน้อยผู้หนึ่งสังหาร หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไปมิกลายเป็นหัวข้อขบขันไปทั่วหกภพภูมิหรอกหรือ?
ดังนั้นเขาจึงวาดฝ่ามือออกไปในทันที ตัดสินใจกำจัดเด็กสาวผู้นี้ให้ดับสูญ
แต่ว่าในชั่ววินาทีนั้นเอง ก็เห็นที่ด้านหลังภูเขาพลันเกิดความเคลื่อนไหวอึกทึกครึกโครม มังกรยักษ์ที่มีหน้าเป็นมนุษย์ร่างเป็นมังกรส่งเสียงคำรามดังกึกก้อง เหาะทะยานตรงมาจากด้านหลังภูเขา
ในขณะเดียวกันทันทีที่ฝ่ามือของซือเป่ยสัมผัสกับร่างของตู๋กูซิงหลัน ก็เห็นร่างของนางปรากฏแสงสีม่วงสว่างเรืองรองออกมา
ลำแสงนั้นระเบิดออกมาเจิดจ้า ซือเป่ยกำลังประมาททำให้ถอยไม่ทัน ลำแสงทำลายแขนซ้ายของเขาทิ้งไปในทันที
เขาร้องคำรามออกมาด้วยความเจ็บปวด
มองดูแสงสีม่วงเข้มบนปากแผลที่ยังไม่ทันจางหายไป
หมิงอ๋อง! เจ้าตัวร้ายผู้นั้นแม้ตนตายก็ยังไม่ยอมให้ศิษย์ของตนตายหรือ?
เขาถึงกับมอบพลังขุมสุดท้ายให้กับลูกศิษย์เพื่อเหลือทางรอดสายหนึ่งให้กับนาง!
ตอนที่ 510 เขา....ไปที่ใดแล้ว?
ซื่อเป่ยประคองแขนที่ขาดไว้ เจดีย์สมบัติสีทองในมือร่วงหล่นลงไปบนพื้น
ปักษายักษ์กระพือปีกอยู่เบื้องหลังของเขา สายตาจับจ้องไปยังจู๋จู๋ ในตาของมันเปล่งประกายด้วยความโลภขึ้นมา
มันมีข้อกิ่งเกรง จึงไม่กล้าไล่ติดตามไป
มังถูกเง็กเซียนฮ่องเต้กำราบไว้เป็นสัตว์ในพันธะรับคำสั่งให้ติดตามซือเป่ยมาทำภารกิจ ดังนั้นทุกสิ่งที่ทำในโลกปัจจุบันนี้ย่อมต้องโอนอ่อนตามบัญชาของซือเป่ย ไม่อาจทำตามอำเภอใจ
ทันใดนั้นเอง จู๋จู๋ใช้เส้นผมสีทองที่ยาวสลวยของมันโอบล้อมพันตู๋กูซิงหลันเอาไว้ จากนั้นก็พุ่งตัวลึกเขาไปในหุบเขา ทิ้งห่างซือเป่ยและปักษายักษ์เอาไว้ด้านหลังไกลแสนไกล
ติ๊งต๊องที่ก่อนหน้านี้ถูกตู๋กูซิงหลันถีบส่งไปไกลก็ติดตามมาด้วยเช่นกัน
เหลือแต่เพียงเสินฟางที่ยืนอยู่บนยอดหลังคาเรือนแต่เพียงลำพัง นัยตาของเขาหดเล็กลง ปลายนิ้วเกาะกุมอยู่บนสร้อยลูกปัดหินบนข้อมือ
ยามที่สายตาของเขาหันกลับไปที่ร่างของซือเป่ยใหม่อีกครั้ง นัยตาที่ปราศจากตาขาวนั้น สาดประกายความชิงชังออกมา
ก่อนที่เงาร่างของตู๋กูซิงหลันจะหายไปนั้น ปลายนิ้วของเขาขยับเล็กน้อย พลับพลึงแดงดอกหนึ่งเคลื่อนออกจากร่าง พุ่งไปตามทิศทางที่ตู๋กูซิงหลันหายลับไปในอากาศ
จู๋จู๋พันธนาการตู๋กูซิงหลันเอาไว้อย่างแน่นหนา เพราะเกรงว่านางจะคิดไม่ตกกระทำเรื่องโง่เขลาขึ้นมา
สถานการณ์เช่นนี้กลับไปปะทะกับซือเป่ยตรงๆ มิเท่ากับว่าหาเรื่องตายหรอกหรือ?
“ฮ่องเต้หญิง ทรงคลายความโทมนัสลงบ้างเถอะ …. หากว่ายังมีชีวิตอยู่ก็ย่อมต้องมีความหวังมิใช่หรือ?” จู๋จู๋เฝ้าอยู่หลังเขามาพักใหญ่ จึงไม่ได้พูดจากับใครมานานแล้ว
ก่อนหน้านี้ที่หลังเขายังกางกั้นด้วยอาคมหวงห้ามอย่างหนึ่ง ทำให้มันไม่อาจออกมาได้ง่ายๆ
แต่ว่าเมื่อครู่นี้ ทันทีที่เขตอาคมหลังเขาเปิดออก ในสมองของมันก็ได้รับพระบัญชาสุดท้ายจากโอรสสวรรค์แคว้นโจว ที่ต้องการให้มันคุ้มครองฮ่องเต้หญิงให้ปลอดภัย
จากนั้น มันก็ไม่อาจสัมผัสได้ถึงการคงอยู่ของฮ่องเต้อีก
มันคือสัตว์อสูรพิทักษ์แคว้นต้าโจว สามารถรับรู้ถึงชีพจรที่ไหลเวียนของคนในราชวงค์ต้าโจวได้โดยธรรมชาติ ในตอนที่ฮ่องเต้ทรงมีพระบัญชาสุดท้ายออกมานั้น ชีพจรสุดท้ายก็ได้ขาดหายไป
ฮ่องเต้ทรง….จากไปแล้วหรือ?
มันไม่กล้าฟันธงลงไป แต่ว่าจะอย่างไรก็ไม่อาจสัมผัสได้ถึงกระแสชีวิตของฮ่องเต้อีก
ดังนั้นจึงได้แต่รักษาสัญญาตามพระบัญชาของฮ่องเต้ ปกป้องฮ่องเต้หญิงให้ดีที่สุด
เพราะตอนที่อยู่ในก้นทะเลลึก พระองค์ก็เคยมีพระบัญชาเช่นนี้ต่อมันเช่นกัน
อาณาเขตในระยะสิบลี้หลังภูเขา คือพื้นที่สุดกันดารของเมืองหลวง นอกจากความรกร้างว่างเปล่าแล้ว แม้แต่เงาภูติผีสักตัวก็ยังไม่มี
ท้องฟ้ายามค่ำคืนปกคลุมไปด้วยหมู่เมฆ ฝนตกลงมาดังครืนๆ ทำเอาหัวใจของผู้คนเย็นเฉียบขึ้นมา
ท่ามกลางหมู่เมฆที่อึมครึมอยู่ด้านบน มีฟ้าผ่าลงมาบ้างอย่างประปราย
ตู๋กูซิงหลันถูกฝนสาดจนโชกชุ่ม คนค่อยสงบสติลงได้บ้าง ภาพที่อาจารย์ถูกเพลิงแผดเผาจนสลายเป็นเถ้าถ่าน ปรากฏขึ้นในสมองของนางรอบแล้วรอบเล่า ทำให้นางรู้สึกทุกข์ทรมานเจ็บปวดไปทั้งกายและใจ
พอสงบสติลงได้บ้าง นางถึงได้ถามจู๋จู๋ออกไปว่า “ข้าให้เสี่ยวเฉวียนเฉวียนไปหาเจ้าที่หลังเขามิใช่หรือ?”
ประโยคนั้นพอถามออกไป ในใจของนางก็บังเกิดลางร้ายขึ้นมาในทันที
นางนิ่งงันไปครู่หนึ่ง ค่อยเอ่ยอีกว่า “เขา….ไปที่ไหนแล้ว?”
จู๋จู๋เป็นสัตว์อสูรแสนซื่อ เสมือนเด็กน้อยที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสา ตู๋กูซิงหลันถามอะไร มันก็ตอบไปตามนั้น
ดังนั้นจึงได้เล่าถึงเรื่องที่มันสัมผัสได้ถึงชีพจรสุดท้ายของฮ่องเต้ให้นางฟังทั้งหมด
หัวใจของตู๋กูซิงหลันเหมือถูกมีดดาบกรีดลงไปอย่างแรงอีกครั้ง
นางก้มศีรษะลง จดจ้องไปที่ข้อมือของตนเอง ด้ายผูกชะตาที่เคยอยู่บนข้อมือเสมอมาสลายไปแล้ว….
จีเฉวียน…..
นางปิดดวงตาลง ไม่รู้ว่าทำไม แต่ในชั่วขณะนั้น ในสมองบังเกิดภาพของเขาที่สลายหายไปเช่นเดียวกับอาจารย์ขึ้นมา
ทรวงอกของนางเจ็บร้าวปวดแปลบ จนนางกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง
ในมือกุมศิลาโลหิตชิ้นนั้นที่ซื่อมั่วทิ้งเอาไว้ก่อนจะสลายกลายเป็นเถ้าถ่านเอาไว้อย่างแนบแน่น
“กลับไปที่ป่าทึบ ข้าจะไปตามหาจีเฉวียน” นางเก็บศิลาโลหิตของอาจารย์เอาไว้
ปาดเช็ดเลือดที่ไหลออกมาตรงมุมปาก ฝืนทนต่ออาการเจ็บหัวใจ นัยตายังคงทอประกายออกมา
ตู๋กูซิงหลันมิใช่คนที่อ่อนแอมาก่อน
นางเชื่อมั่น……เมื่ออาจารย์บอกว่าจะกลับมา เขาก็ต้องกลับมา
นางจะไปรอเขาที่ธารน้ำพุเหลือง
ส่วนจีเฉวียน……หากอยู่ต้องพบคน ตายต้องพบศพ
ในหัวใจของนางวาดหวังว่าเขาจะยังคงมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ แม้ว่าจู๋จู๋จะไม่รู้สึกถึงสัญญาณชีพจรของเขา หรือว่าด้ายผูกชะตาของพวกนางจะสลายไปแล้วก็ตาม…..
นางไม่เชื่อว่าจีเฉวียนจะตายง่ายๆไปอย่างนี้
เขายังมีความตั้งใจมากมายที่ยังไม่ได้ทำให้เป็นจริง และอยู่ๆเขาจะมา……
จู๋จู๋ไม่อาจขัดใจนางได้ลงคอ จึงได้แต่พานางกลับไปที่ป่าทึบอีกครั้ง ยังดีที่ทั้งซือเป่ยและปักษายักษ์ต่างก็หายลับไปแล้ว
สองสัตว์อสูรและหนึ่งมนุษย์ค้นหาในป่าจนแทบจะพลิกแผ่นดินขึ้นมา ในที่สุดก็พบจุดที่มีซากศพปีศาจหมาป่าจำนวนมาก
ซากศพกลาดเกลื่อนกระจัดกระจาย ต้นไม้ใหญ่ในป่าล้มลงมาเป็นแถบ แค่มองดูก็รู้แล้วว่าเกิดการต่อสู้ที่รุนแรงขึ้นที่นี่
กึ่งกลางของซากศพ มีดาบหักสีดำปักอยู่เล่มหนึ่ง ทั้งยังมีรอยเลือดแห้งกรังอยู่บนพื้นดิน
ดาบปลิดวิญญาณยมโลก เดิมทีเป็นอาวุธประจำกายของซื่อมั่ว แต่ว่ามันติดตามร่างแบ่งภาคนี้มายังโลกโบราณ
ผืนดินบริเวณรอบๆดาบถูกเพลิงเผาผลาญเป็นเถ้าถ่าน
ชั่วขณะนั้น หัวใจของตู๋กูซิงหลันเหมือนกับได้ตายไปแล้วอีกครั้ง
ภาพตรงหน้าเช่นนี้นางคุ้ยเคยอย่างที่สุดแล้ว ….ยามที่อาจารย์จากไปนั้น พื้นดินใต้ฝ่าเท้าของเขาก็ลุกไหม้จนกลายสภาพเป็นเช่นนี้
จีเฉวียน เขา….
ตอนนี้ ตู๋กูซิงหลันแทบอยากจะตบหน้าตนเองสักสองที
ทำไมนางจึงคิดไม่ถึง ในเมื่ออาจารย์ที่เป็นร่างหลักไม่อยู่แล้ว จีเฉวียนที่เป็นร่างแบ่งภาคมาเผชิญวิบากของเขา จะคงอยู่ต่อไปในโลกได้อย่างไร
พอคิดถึงว่าก่อนจีเฉวียนตายนั้น….ร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส ทุกข์ทรมานจนสิ้นใจ…..ตู๋กูซิงหลันก็เจ็บปวดจนเหมือนหมื่นมีดทิ่มแทง
เขาจากไปแล้ว…..จริงๆหรือ?
ภายในช่วงเวลาเดียวกัน นางไม่เพียงแต่สูญเสียอาจารย์ แต่ยังต้องสูญเสียจีเฉวียน
ทั้งสองคนนี้สำหรับนางแล้ว คนหนึ่งคือญาติสนิท อีกคนก็คือคนรัก
แม้ว่าจะได้เตรียมใจเอาไว้แต่แรกแล้ว แต่ว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริง ชั่วขณะนั้น ตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกว่าไม่อาจทนรับได้อยู่ดี
ตู๋กูซิงหลันอ้าปากขึ้นมา หัวใจปวดร้าว จนต้องกระอักเลือดออกมาอีก
ในช่วงเวลานั้น นางรู้สึกว่า จิตวิญญาณของตนจะแตกสลายอยู่แล้ว
น้ำตาหลั่งรินไม่ขาดสาย
ปลายจมูกแสบร้อนอย่างที่สุด นางปวดใจ นางโกรธแค้น
แค้นที่ตนเองไม่แข็งแกร่งเพียงพอ…..แค้นที่ตนเองไร้ความสามารถ
นางคุกเข่าอยู่บนพื้น มองดูรอยเลือดที่แห้งผาดและพื้นดินที่มอดไหม้เป็นถ่าน ก็ไม่กล้าคิดเลยว่าก่อนตายจีเฉวียนจะต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานและเจ็บปวดสักเพียงไร
เขาที่สูงส่งถึงเพียงนั้น สุดท้ายแล้วต้องมามีจุดจบอนาถอย่างที่ตนเองก็ไม่อาจล่วงรู้มาก่อน….
จู๋จู๋และติ๊งต๊องเฝ้ามองอยู่ด้านข้าง สัตว์อสูรทั้งสองต่างก็ไม่รู้ว่าสมควรจะปลอบประโลมเช่นไรดี
ได้แต่ปล่อยให้นางยืนหยัดขึ้นมาด้วยตนเอง
เลือดสดๆไหลหยดลงไปบนพื้นที่มอดไหม้ เพียงครู่เดียวก็เห็นประกายสีเขียวของบางสิ่งสะท้อนออกมา
ตู๋กูซิงหลันยื่นมือลงไปคว้าขึ้นมา ก็เห็นเป็นแหวนวงหนึ่ง
แหวนที่ดูเหมือนจะถูกเผาจนกลายเป็นถ่านดำ พอถูกน้ำตาของนางชะล้างก็สะท้อนประกายสีเขียวสดใสออกมา
ตู๋กูซิงหลันใช้มือปัดถู แหวนหยกวงนั้นก็คืนสู่ความงามดังเดิม
นี่เป็นแหวนที่จีเฉวียนเคยให้นาง…..แล้วนางก็เอาไปจำนำ
ไม่รู้ว่ามัน กลับมาอยู่ที่เขาได้อย่างไร
แม้จะถูกเพลิงเผาผลาญแต่ว่ามันกลับไม่แตกสลายไป…..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น