หมอดูยอดอัจฉริยะ 506-513
ตอนที่ 506 แหวกหญ้าให้งูตื่น
โดย
Ink Stone_Fantasy
เยี่ยเทียนเดินไปถึงข้างกระจกรถคันหน้า มือเอื้อมไปควานหาบุหรี่ในกระเป๋าเสื้อ แล้วตบเรียกที่กระจกรถคนนั้น พูดว่า “โคนิจิวะ!”
“โคนิจิวะ!”
แม้สำเนียงภาษาญี่ปุ่นของเยี่ยเทียนจะฟังดูแปร่งๆ แต่คนขับรถก็ยอมลดกระจกลง เอื้อมมือมารับบุหรี่ไปจากเยี่ยเทียน เพราะตัวเขาเองตั้งแต่ลงไปงมทองที่สระน้ำขึ้นมายังตัวเปียกอยู่เลย
“เจ้าผี ซาโยนาระ…”
พอเห็นหน้าต่างกระจกเปิดออก เยี่ยเทียนจึงปั้นหน้ายิ้มแย้ม พูดภาษาจีนคำญี่ปุ่นคำ อาศัยตอนที่ฝ่ายนั้นยังไม่ทันตั้งตัว มือขวาของเยี่ยเทียนคว้าไปจับคอหอยของคนขับรถอย่างรวดเร็ว
เสียง “แป้ก!”ดังขึ้นเบา ศีรษะของคนญี่ปุ่นคนนั้นตกลงมาชิดอกเพราะว่าคอหัก โดยที่ตายังเบิ่งค้างอยู่ด้วยความสงสัย เขาคิดไม่ถึงว่าคนในตระกูลเดียวกัน ทำไมต้องลงมือกับเขา
เยี่ยเทียนประคองร่างให้นั่งตรง จัดศีรษะของเขาให้ฟุบลงไปที่พวงมาลัย ถ้ามองไกลๆ เหมือนคนกำลังฟุบหลับด้วยความเหนื่อยอ่อน เยี่ยเทียนตบมือ หยิบบุหรี่ที่ตกอยู่ยัดใส่เข้าไปในปากของศพให้ดูสมจริงยิ่งขึ้น
ตอนนี้ความสนใจของตระกูลคิตะมิยะทั้งหมดอยู่ที่ทางเข้าหุบเขาปีศาจ จึงไม่มีใครสังเกตเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นที่ท้ายขบวน ทั้งยังมีอีกหลายคนที่เดินลงมาจากรถเพื่อสูบบุหรี่พักผ่อนแบบเยี่ยเทียน จึงไม่มีใครหันมาสนใจเขา
แค่อาศัยประโยค “สวัสดี” ด้วยน้ำเสียงเพี้ยนคำเดียว ภายในเวลาสามสี่นาทีเยี่ยเทียนก็สามารถหักคอคนญี่ปุ่นสิบสี่คนต่อกันแบบที่ทำกับคนแรก พวกเขาไม่คิดมาก่อนว่าในขบวนของตัวเองจะมีนักฆ่าปะปนเข้ามา
……
เยี่ยเทียนกำลังยุ่งอยู่ท้ายขบวน หลังจากคิตะมิยะ นาโอกิที่ได้รับคำสั่งให้ไปสำรวจทางข้างหน้า เดินพาคนในตระกูลห้าคนเดินออกไปตรงทางเข้า
ทางเข้าหุบเขาเป็นรูปตัวเอส ระยะทางประมาณหนึ่งร้อยเมตรเศษจากปากทางทั้งสองไม่สามารถมองเห็นกันได้โดยตรง ต้องเดินบุกไปด้านหน้าอย่างเดียวจึงจะเห็น เหมือนกับคิตะมิยะ ฮิเดโอะก็เช่นเดียวกัน ตอนนี้ในใจของนาโอกิมีแต่ความตื่นตัวระแวดระวัง
ต้องรู้ว่า การจัดคนที่รออยู่หน้าปากทางเข้าหุบเขานั้นเขาเป็นคนจัดการ ถ้าเขาเดินมาถึงตรงนี้แล้วก็ควรจะมีสมาชิกเดินมาต้อนรับ แต่ในซอกเขาตอนนี้กลับว่างเปล่าเงียบเชียบ ทำให้เขารู้สึกขนลุก
แสงอาทิตย์แห่งรุ่งอรุณสาดมาที่ลำตัวของนาโอกิ แต่เขากลับไม่รู้สึกอบอุ่นขึ้นเลย ในใจรู้สึกหนาวเย็บจับจิต ยิ่งกว่าตอนที่อยู่ในถ้ำเสียอีก
ยิ่งเข้าใกล้ปากทางเท่าไร ความรู้สึกยิ่งรุนแรงขึ้น แต่ตอนที่คนที่เดินนำหน้าสุดไปหยุดยืนที่ปากทางเข้า กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“คนที่มารอรับล่ะ?”
นาโอกิยังไม่ผ่อนคลายความระมัดระวัง ความรู้สึกวุ่นวายใจยิ่งทวีคูณขึ้น เพราะเมื่อมองตรงไปด้านหน้า นอกจากควันไฟจากการประกอบอาหารที่ลอยเหนือหมู่บ้านแล้ว กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของคนที่อยู่เฝ้าปากทางเข้าสี่ห้าคนนั้นเลย
“เจ้าโง่เอ๊ย พวกฉันเข้าไปเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายอยู่ในถ้ำ แต่เจ้าพวกเลวนั่นกลับหาที่หลบไปนอน!”
คนที่ยืนอยู่หน้าสุดก่นด่าเสียงดัง การเผชิญความเป็นความตายเมื่อคืนทำให้เขาตกใจจนแทบเสียสติ พอเดินออกมาแล้วถึงจะรู้สึกวางใจผ่อนคลายลงบ้าง ในใจคิดว่าคนพวกนั้นคงหลบไปหาที่นอนที่ไหนสักแห่ง
“อาจจะเป็นไปได้นะ?”
นาโอกิได้ฟังคำก่นด่าแล้วความเคลือบแคลงในใจทุเลาลงไปบ้าง จึงเผยตัวออกมาจากซอกเขา เดินไปด้านหน้ามองหาไปทั่วบริเวณ แล้วออกคำสั่ง “พวกนายเฝ้าอยู่ตรงนี้ ฉันจะกลับไปรายงานหัวหน้า!”
ตอนที่พูดอยู่นั้นสายตาของนาโอกิ จู่ๆ ก็มัวขึ้น รีบกระพริบตาถี่ๆ มองจ้องไปที่พุ่มไม้ตรงปากทาง กลับเห็นเป็นแผ่นกระจกชิ้นหนึ่งสะท้อนแสงมาที่ใบหน้าของเขา
“แย่แล้ว!”
นาโอกิตกใจมาก หันหลังจะวิ่งกลับไปในหุบเขา “ปัง” เสียงปืนดังขึ้น ตรงหว่างคิ้วของนาโอกิเป็นหลุมกระสุนมีเลือดไหลออกมา ด้วยแรงกระแทกจากกระสุนทำให้ตัวเขาลอยไปด้านหลังไกลถึงสี่ห้าเมตร
เสียงปืนดังเป็นสัญญาณ คนที่เหลืออีกห้าคนจึงรู้ตัว แล้วห่ากระสุนก็ตามมานับไม่ถ้วน กราดยิงไปที่คนทั้งห้าจนตัวกระตุก บนร่างของแต่ละคนมีรอยกระสุนเป็นสิบรอย
เสียงปืนสงบลง เงาคนสี่คนรีบรุดออกมาจากพุ่มไม้ เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วมาทางปากทางเข้าหุบเขา หนึ่งในนั้นนำปืนอาก้าที่ถูกดัดแปลงจนร้ายกาจขึ้นมาประทับบ่า
“สมควรตาย เมื่อกี้ใครเป็นคนยิงก่อน? ไม่รู้หรือไงว่าพวกนี้เป็นแค่คนมาสำรวจทางน่ะ? จะทำให้พวกนั้นรู้ตัวกันหมด!”
หลังจากเฝ้าดูอยู่ที่ปากทางเข้า มาราไกย์เบาใจลง มองด้วยสายตาไม่เป็นมิตรไปที่พวกหูหงเต๋อ ใช้คำด่าเป็นภาษาอังกฤษปนจีน
ต้องรู้ว่า ตามข่าวที่พวกเขาได้รับรายงานมา ฝ่ายตรงข้ามมีตั้งร้อยกว่าคน อาศัยพวกเขาแค่สิบกว่าคนคงจะจัดการฝ่ายตรงข้ามได้ยาก อีกทั้งคนของอู่เฉินนั้นไม่มีกำลังในการรบเลย สุดท้ายแล้วคงต้องพึ่งพวกเขาแค่สี่คน
ดังนั้นมาราไกย์จึงฝังระเบิดเอาไว้ที่ทางเข้าหุบเขา เตรียมรอขบวนคนญี่ปุ่นลดจำนวนลงเหลือสักครึ่งหนึ่งค่อยจุดระเบิด ตีประกบทั้งหน้าหลัง อย่างนี้ถึงจะเป็นการโจมตีที่หนักหน่วงต่อคู่ต่อสู้
แต่เมื่อครู่ไม่รู้ว่าใครวู่วาม จัดการเก็บคนญี่ปุ่นกลุ่มเล็กๆ นี้เสีย เมื่อเป็นเช่นนี้ คนที่อยู่ด้านในจะต้องไหวตัวทัน ถ้าจะหาทางล่อให้พวกนั้นออกมาคงจะยากแล้ว
“แค่กๆ คือว่า…ฉันส่องกล้องเล็งเป้าดูเจ้าผีพวกนี้ ถูกมันรู้ตัวเข้า”
หูหงเต๋อถูกมาราไกย์ตำหนิเข้าก็หน้าแดง เขาไม่เคยใช้กล้องเติดปืนของปืนไรเฟิลมาก่อน เมื่อครู่ลองใช้มองศัตรูจากตำแหน่งไกล ไม่คิดว่าแสงแดดจะส่องมาที่เลนส์แล้วสะท้อนไปที่ใบหน้าของคิตะมิยะ นาโอกิเสียได้
หูหงเต๋อตอบสนองอย่างรวดเร็ว พอเห็นสีหน้านาโอกิเปลี่ยน จึงตัดสินใจลั่นไกปืนทันที ไม่อย่างนั้นแล้ว ถ้ารอจนเจ้าผีพวกนี้กลับเข้าไปในหุบเขาอีก คงจะไม่เป็นผลดีต่อพวกเขาแน่
มาราไกย์เข้าใจเหตุผลข้อนี้ดี โบกมือแล้วพูดว่า “ช่างเถอะ พวกนายถอยหลังไปหน่อยตรงนี้มีพวกฉันเป็นแนวกำบังก็พอ”
มาราไกย์ไม่กล้าไว้ใจในกำลังรบของพวกอู่เฉินเลย การกราดยิงศัตรูเมื่อครู่เห็นชัดอยู่แล้วว่ากระสุนที่ถูกสาดออกไปเกินร้อยนัด แต่มีเพียงไม่กี่นัดเท่านั้นที่เข้าเป้า นอกนั้นคือยิงไปเสียเปล่า
มาราไกย์ยังมองออกอีกว่า คนพวกนี้ฆ่าคนเป็นครั้งแรก สีหน้ายังแสดงความหวาดหวั่นผสมกับความตื่นเต้น ถ้าให้ไปรบที่ชนะได้ง่ายนั้นพอได้อยู่ แต่ถ้าเกิดการบาดเจ็บล้มตายละก็ พวกนี้จะต้องเป็นตัวถ่วงอย่างแน่นอน
“ได้ยินรึยัง? พวกนายถอยหลังไปก่อน ฉันกับเซี่ยวเทียนอยู่ตรงนี้ก็พอแล้ว”
หูหงเต๋อแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินมาราไกย์พูด ไล่พวกอู่เฉินกลับไปแล้วตัวเองก็ยังคงยืนพิงหินด้านหลังอยู่ที่เดิม คว้าเอาบุหรี่ออกมาสูบพ่นควันฉุย
ท่าทางดื้อดึงของหูหงเต๋อทำให้มาราไกย์เหนื่อยหน่ายไม่รู้จะทำอย่างไร แต่ฝีมือยิงปืนของหูหงเต๋อนั้นแม่นเหมือนจับวาง จะอยู่ด้วยกันก็ไม่เสียหาย เพียงแต่ทำเป็นไม่รับรู้ แต่เซี่ยวเทียนกลับแย่งบุหรี่มาจากมือของหูหงเต๋อ และต่อว่าอย่างไม่พอใจว่า “ศิษย์พี่หู พวกญี่ปุ่นมันออกมาแล้ว อาจารย์ผมยังอยู่ในนั้นนะ”
แม้โจวเซี่ยวเทียนอายุจะน้อยกว่าเยี่ยเทียนไม่กี่ปี แต่ตั้งแต่ที่คำนับเยี่ยเทียนเป็นอาจารย์แล้ว ชีวิตของโจวเซี่ยวเทียนก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ดวงตาของแม่เขาได้รับการรักษาเป็นอย่างดี เขาเองไม่ใช่คนไร้น้ำใจ เขาได้ยอมรับเยี่ยเทียนเป็นอาจารย์ด้วยใจจริง
“เยี่ยเทียน?”
หูหงเต๋อเบะปากใส่โจวเซี่ยวเทียนทีหนึ่ง เอื้อมมือไปคว้าบุหรี่คืนมาก แล้วตอบตวัดเสียงกลับว่า “อาจารย์นายน่ะหรือ ทั้งลื่นไหล ทั้งเจ้าเล่ห์ ทั้งยังมีวิชาอำพรางตัวชั้นยอด ต่อให้มีผีญี่ปุ่นสักร้อยคน ไม่สิสักพันคนก็ทำอะไรอาจารย์นายไม่ได้”
หูหงเต๋อแม้จะไม่ได้รับการสืบทอดวิชาค่ายกลประจำตระกูล แต่ก็เข้าใจถึงวิธีการของคนในสำนักวิชาที่ใช้ค่ายกลเป็นอย่างดี คนในสำนักเหมินกับคนในยุทธภพต่างกันที่คนพวกนี้จะมีลางสังหรณ์ด้านอันตรายที่เก่งกว่า น้อยนักที่เอาตัวเองไปอยู่ในที่อันตราย
อีกทั้งวรยุทธของเยี่ยเทียนก็เหนือชั้น ถือว่าเป็นคนเก่งที่สุดที่หูหงเต๋อเคยพบมา เขาจึงเชื่อว่าเยี่ยเทียนไม่มีทางเป็นอะไรไปแน่นอน
หลังจากได้ยินที่หูหงเต๋อพูด โจวเซี่ยวเทียนจึงเบาใจลงเล็กน้อย แต่ในมือยังกำปืนไว้แน่น สายตาจับจ้องไปที่ทางโค้งของซอกเขาตรงปากทางเข้า
……-
“เจ้าโง่ เกิดอะไรขึ้น?”
ขบวนรถที่อยู่ห่างจากปากทางหุบเขาสองร้อยกว่าเมตรได้ยินเสียงปืนดังสนั่นคิตะมิยะ ฮิเดโอะที่ตอนแรกนั่งหลับตาพักผ่อนอยู่นั้นก็ตกใจราวกับกระต่ายตื่นตูม หรือสิ่งที่เขารู้สึกเคลือบแคลงใจแต่แรกนั้นเกิดเป็นจริงขึ้นมาแล้ว
คนอื่นอีกสี่ห้าคนที่ยืนสูบบุหรี่คุยกันอยู่นั้น พอได้ยินเสียงปืนก็ตกใจก้มตัวลงต่ำ ใช้รถเป็นที่กำบัง เอาตัวเองหลบไปอยู่ด้านหลังรถ ความตกใจหวาดหวั่นจากเมื่อคืนยังทำให้พวกเขาหวาดระแวงตกใจง่ายแม้กระทั่งเสียงลมพัดใบไม้ไหว
“บ้าจริง ไหนว่าเป็นทหารต่างชาติไง ยังไม่ทันดูให้ชัดเลยว่าฝั่งนั้นมีกี่คน?”
เยี่ยเทียนที่หักคอคนญี่ปุ่นไปแล้วหลายคน พอได้ยินเสียงปืนก็หงุดหงิดใจ ตอนแรกเหลือศัตรูแค่ยี่สิบเก้าคน ถูกเขาหักคอไปอีกสิบสี่คน มีหกคนที่ไปสำรวจซอกเขาปากทางเข้า ตอนนี้ถ้านับพวกฮิเดโอะเข้าไปฝ่ายศัตรูก็เหลือเพียงเก้าคนเท่านั้น
ถ้าเสียงปืนดังช้ากว่านี้อีกหน่อย เยี่ยเทียนจะสามารจัดการเก็บพวกที่เหลือนอกจากพวกฮิเดโอะได้อีกสี่คน ถึงตอนนั้นถ้านับจำนวนคน พวกเขาต้องชนะอยู่เห็นๆ
“หัวหน้า ที่ปากทางเข้ามีคนลอบวางกับดัก!” รอเวลาผ่านไปหลายนาทียังไม่เห็นคนที่ไปสำรวจทางกลับมาสักคน ฮิโคโตชิจึงมีสีหน้าเปลี่ยนทันที
ฮิเดโอะพิจารณาดูลู่ทางแล้วเอ่ยขึ้น “ฮิโคโตชิ เรียกพวกนั้นออกมาให้หมด ให้เฝ้าอยู่ตรงนี้ พวกเราค่อยคิดหาทางต่อ!”
ปากทางซอกเขาของทางเข้าออกนั้นมีสภาพเหมือนกันคือเหมาะจะตั้งรับ ไม่เหมาะจะรุก ขอแค่ตั้งรับอยู่ตรงนี้ ฝ่ายตรงข้ามไม่มีทางบุกเข้ามาได้ง่ายแน่
……
ตอนที่ 507 ทนรับการถูกดูหมิ่น
โดย
Ink Stone_Fantasy
คิตะมิยะ ฮิเดโอะคิดเหมือนกับเยี่ยเทียนว่าในหุบเขานั้นห่างไกลผู้คน แทบไม่มีใครเดินทางมาถึง จึงเกิดสัตว์แปลกประหลาดอย่างงูยักษ์ตัวนั้นที่ตอนนี้มันได้ถูกกำจัดไปแล้ว พวกเขาสามารถหาทางอื่นออกจากหุบเขาได้
ดังนั้นการปิดปากทางเข้าออกหุบเขาถึงเป็นเรื่องสำคัญมาก ฮิเดโอะเตรียมสั่งการให้คนที่เหลือครึ่งหนึ่งอยู่เฝ้าขบวนรถ ส่วนที่เหลือออกสำรวจทาง ไม่ว่าอย่างไรสมบัติพวกนี้ต้องไม่ตกไปถึงมือคนอื่นได้
“ครับ หัวหน้า พวกนายสองสามคน อยู่เฝ้าปากทาง!”
คิตะมิยะ ฮิโคโตชิได้ยินคำสั่งแล้วก็รับคำ ถ่ายทอดคำสั่งต่อให้รถคันด้านหน้าสองสามคัน จากนั้นรีบวิ่งไปทางท้ายขบวน เขาเกิดสงสัยขึ้นมาว่าเสียงดังสนั่นเมื่อครู่ทำไมกลับไม่มีคนออกมายืนดูเลย?
“เจ้าโง่ เกียวโค ทำไมยังนอนหลับอยู่ได้? รีบออกมาสิ!”
เมื่อฮิโคโตชิเดินมาถึงรถคันแรก เขาเห็นหลานของตัวเองคิตะมิยะ เกียวโคฟุบหลับอยู่ที่พวงมาลัยรถ มองผ่านช่องกระจกที่ถูกลดลงมาเข้าไปเห็นใบหน้าครึ่งซีกของเขา
แม้ในปกติฮิโคโตชิจะมีนิสัยค่อนข้างนุ่มนวล แต่เมื่อหัวร้อนขึ้นมาก็ใช้อารมณ์เช่นกัน ครั้งนี้เขาเอื้อมมือไปตบเข้าที่ท้ายทอยของหลานชาย
“เกียว…เกียวโค แกเป็นอะไร?”
ฮิโคโตชินึกไม่ถึงว่าคิตะมิยะ เกียวโค พอโดนฝ่ามือของเขาฟาดเข้าทีหนึ่งก้มล้มตัวลงไปด้านข้าง ใบหน้าซีดขาวผิดปกติ ดวงตาทั้งสองเบิ่งค้างไว้ ที่มุมปากยังมีคราบเลือดที่ยังไม่แห้ง
คิตะมิยะ ฮิโคโตชิตกใจแทบสิ้นสติ กระโดดถอยหลังไปหลายก้าว ตอนนั้นนั่นเอง จู่ๆ ด้านหลังรถออฟโรดก็ปรากฎเงาคนคนหนึ่งซึ่งกำลังเงื้อมมือมาคว้ามือขวาของฮิโคโตชิรัดกุมไว้ ใช้เรี่ยวแรงมหาศาลลากฮิโคโตชิเข้าไปในรถ
เยี่ยเทียนไม่รอให้ฮิโคโตชิอ้าปากร้องขอ มือซ้ายของเยี่ยเทียนที่แข็งแกร่งรวดเร็วราวกับลิ้นแฉกของงูร้ายนั้นบีบลงไปที่คอของเขา “แป้ก” เสียงกรอบแตกหักดังออกมาจากกระดูกคอหอยของฮิโคโตชิ
“เออ…..เออ….”
ตอนนี้สีหน้าท่าทางของฮิโคโตชิเหมือนกับหลานชายของเขาไม่มีผิด เพราะอย่างไรเขาก็ไม่เชื่อว่าตัวเขาซึ่งจะได้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งหัวหน้า กลับต้องมาจบชีวิตลงที่นี่?
ในใจของฮิโคโตชิยังมีความเสียดายมากมาย เขายังอยากจะเห็นความเจริญรุ่งเรืองของตระกูลที่สร้างด้วยมือของตัวเอง เขาอยากจะให้ชื่อของตัวเองถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์อันยาวนานของตระกูล เขายังอยาก…..
แต่ทั้งหมดทั้งมวลเป็นแค่ความคิดจิตสุดท้ายที่ค่อยๆ จางหายไปของคิตะมิยะ ฮิโคโตชิ ดวงตาคู่นั้นยังเบิ่งค้างด้วยความสงสัยและความอาลัยอาวรณ์ราวกับจะบอกให้เยี่ยเทียนรับรู้ว่าเขายังอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อ
“อืม คนนี้เหมือนจะเป็นคนเก็บรักษากุญแจ?”
เยี่ยเทียนที่พุ่งตัวออกมาจากเบาะหลัง โดยที่ยังไม่รู้ว่าคนที่มาเปิดประตูรถเป็นใคร พอเห็นใบหน้าของฮิโคโตชิตอนนี้ก็อดตะลึงไม่ได้ จากการเฝ้าดูมาทั้งคืน เขามองออกว่าคนๆ นี้มีความสำคัญต่อตระกูลคิตะมิยะแค่ไหน เหมือนจะมีตำแหน่งด้อยกว่าคิตะมิยะ ฮิเดโอะเพียงเล็กน้อย
ความคิดในใจผุดขึ้น เยี่ยเทียนล้วงมือขวาเข้าในเสื้อตรงหน้าอกของฮิโคโตชิ ตอนที่เอามือออกมา ในมือคว้าได้ทองคำแท่งหนึ่ง แม้จะยังไม่รู้ว่าเจ้าสิ่งนี้ใช้ทำอะไร แต่ตอนที่เห็นท่าทางของฮิเดโอะตอนที่มองเจ้าของสิ่งนี้แล้ว เยี่ยเทียนจำได้ขึ้นใจ
“ฮิโคโตชิ ฮิโคโตชิ เกิดอะไรขึ้น?”
ฮิเดโอะที่ตอนแรกเอาแต่สนใจในเหตุการณ์ตรงหน้า เมื่อครู่ได้เห็นฮิโคโตชิพุ่งตัวเข้าไปรถแล้วรู้สึกถึงความผิดปกติ จึงรีบเดินมาดู
เยี่ยเทียนได้ยินเสียงตะโกนของฮิเดโอะดังมาก็รีบเก็บกุญแจเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ ค่อยๆ เปิดประตูด้านขวาของรถออก แล้วกลิ้งม้วนตัวลงจากรถไปที่พื้นหญ้าด้านข้าง
“เจ้าโง่!”
ตำแหน่งที่ฮิเดโอะยืนอยู่ ห่างจากรถคันนั้นเจ็ดแปดเมตร อีกแค่ไม่กี่ก้าวจะถึงตัวรถ เขาถึงสังเกตเห็นฮิโคโตชิที่นอนหงายตาค้างอยู่ในรถ อดไม่ได้ที่จะถลึงตา มือขวาคว้าไปด้านหลังชักเอาดาบญี่ปุ่นออกมาดัง “ชิ้ง”
“ใคร…เป็นฝีมือใคร ออกมา ออกมาเดี๋ยวนี้!”
ฮิโคโตชิเป็นคนที่ฮิเดโอะคัดสรรและฝึกฝนให้ด้วยตัวเองมาสิบกว่าปี คิตะมิยะ ฮิเดโอะที่ไม่มีลูกหลาน จึงทุ่มเทแรงกายแรงใจให้คนๆ นี้ไปหมด การตายของฮิโคโตชิทำให้เขาอกแทบระเบิด อยากจะฆ่าแล้วสับเจ้าฆาตกรคนนั้นให้เป็นหมื่นๆชิ้น
ท่านโชตะที่ยืนอยู่ไม่ไกลได้ยินเสียงคำรามด้วยโทสะของฮิเดโอะก็รีบเข้ามาดู ถามว่า “ฮิเดโอะ มีอะไร เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
ฮิเดโอะกัดฟันกรอดตอบว่า “ฮิโคโตชิพลีชีพเพื่อตระกูลแล้วครับ!”
“อะไรนะ?”หลังจากได้ยินคำพูดของฮิเดโอะ ท่านโชตะก็ตกใจใหญ่ รีบเข้าไปดูที่ตัวรถและเบิกตาค้าง
“มีคน ลักลอบเข้ามา…”
ลักษณะการตายของคนทั้งสองในรถแสดงให้เห็นชัดว่าเหยื่อถูกลงมือโดยไม่ทันระวังตัว นั่นก็แสดงว่า ฆาตกรจะต้องปะปนอยู่ในหมู่พวกเขาแห่งชาติ หรืออาจจะเป็นกบฏในตระกูลก็เป็นได้
คิตะมิยะ ฮิเดโอะ พาพรรคพวกที่มีฝีมือชั้นสูงในตระกูลมาถึงพม่า กลับคาดไม่ถึงว่าไม่เพียงจะพาคนในตระกูลมาตายแล้ว ยังทำให้คนที่จะมารับตำแหน่งต่อจากเขาต้องมาจบชีวิตลงด้วย ทำให้ฮิเดโอะทั้งโกรธทั้งแค้น
“ฮิเดโอะ กุญแจดอกนั้นฮิโคโตมิเป็นคนเก็บรักษาใช่ไหม?” คิตะมิยะ โชตะเป็นผู้อาวุโสในตระกูล ปกติแล้วไม่ค่อยได้ใกล้ชิดกับฮิโคโตมิมากนัก จึงแค่รู้สึกโกรธต่อการตายของฮิโคโตชิเท่านั้น สิ่งสำคัญที่นึกถึงเป็นอันดับแรกคือกุญแจตู้เซฟในธนาคารแห่งชาติสวิส
หลังจากได้ยินคำพูดของท่านโชตะแล้ว ฮิเดโอะเหมือนตื่นจากฝันรีบพุ่งไปถึงร่างของฮิโคโตชิ ควานหาเข้าไปในเสื้อของศพ สีหน้าเปลี่ยน พูดอึกอักว่า “ไม่…ไม่มีแล้ว…”
“ฮิเดโอะ ฝ่ายศัตรูได้วางแผนมาก่อน ไป พวกเราขึ้นรถกัน อย่าให้พวกมันมาซุ่มโจมตีทั้งหน้าหลังได้!”
ถึงจะสูญเสียกุญแจดอกนั้นไป แต่ในอ้อมอกของฮิเดโอะยังมีหลักฐานที่สำคัญพอกัน นี่เป็นสิ่งจำเป็นต่อการฟื้นฟูตระกูลของเขาว่าจะรุ่งโรจน์หรือร่วงโรย ท่านโชตะฉุดรั้งเรียกสติฮิเดโอะไว้ แล้ววิ่งไปที่รถถัง
“เปรี้ยง…เปรี้ยง เปรี้ยง ! เจ้าโง่เอ๊ย!”
ตอนที่คิตะมิยะ โชตะกำลังจะหมดกำลังใจนั้น จู่ ที่ปากทางหุบเขาเกิดเสียงปืนดังขึ้นพร้อมกับเสียงคำรามด้วยความโกรธเคือง ตามมาติดๆ ด้วยเสียงร้องครวญคราง ภายในเวลาสั้นๆ กว่าเสียงจะมาถึงโสตประสาทของคนทั้งสอง เสียงคำรามนั้นก็สิ้นสุดลง
พวกเขาเดินอ้อมรถออฟโรดไปอีกด้านแล้วก็ต้องตะลึงกับภาพที่เห็น คนในตระกูลที่เหลืออยู่เพียงสี่ห้าคนตอนนี้นอนอยู่กับพื้น แขนขายังคงกระตุกอยู่แสดงว่ายังไม่ตายสนิท
แต่ตรงบริเวณคอของพวกเขามีบาดแผลขนาดเท่าปากปลาคาล์ฟประทับอยู่และกำลังพ่นเลือดให้ไหลออกมาจากปาก คิตะมิยะ ฮิเดโอะมองออกในทันทีว่าคนพวกนี้ไม่มีทางช่วยชีวิตได้แล้ว
ตอนนี้ สมาชิกตระกูลทั้งหมดที่ร่วมเดินทางมาพม่าในครั้งนี้ เหลือเพียงแต่ท่านผู้อาวุโสฟูจิโอะ ท่านโชตะ และฮิเดโอะเพียงสามคนเท่านั้น ส่วนคนอื่นตายหมด
ถ้าเทียบกับบรรยากาศตอนเดินทางเข้าหุบเขาครั้งแรกที่ครึกครื้น ตอนนี้เหลือแค่ตาแก่สามคนที่พอบวกอายุรวมกันแล้วเกินกว่าสองร้ายห้าสิบปี ฮิเดโอะดูแก่ลงไปอีกยี่สิบสามสิบปีในพริบตา ผมสีชาวดอกเลาที่เคยจัดแต่งทรงเรียบกลับยุ่งเหยิงพันกัน หลังที่ค่อมลงต้องอาศัยดาบญี่ปุ่นพยุงตัวไว้ไม่ให้ล้ม ให้ความรู้สึกเหมือนเขาเป็นแสงเทียนวูบสุดท้ายของชีวิต
“หัวหน้า ไป รีบไป!”
คนที่ตายเมื่อครู่เป็นเพียงกลุ่มนักฆ่าที่ไม่ค่อยมีฝีมือ แม้ในประเทศญี่ปุ่นเป็นผู้กล้าตัวจริง แต่ตอนที่พวกเขาจากโลกนี้ไปนั้นไม่ทันยังได้ต่อสู้เลย พวกเขาถูกฆ่าเหมือนเป็ดไก่ที่ถูกเชือดคอ คิตะมิยะ โชตะยังอดรู้สึกหวาดหวั่นไม่ได้
“ในเมื่อมาแล้ว ก็อย่าได้กลับไปอีกเลย!”
ท่านโชตะพูดยังไม่ทันขาดคำ ก็มีเสียงๆ หนึ่งดังก้องขึ้น ถึงจะไม่ได้พูดภาษาญี่ปุ่น แต่เยี่ยเทียนมองออกว่าคนทั้งสองกำลังหนีไปทางรถถังคันนั้น
“แก…แกเป็นคนจีน?”
หากเทียบกับเยี่ยเทียนแล้ว ทั้งผู้อาวุโสโชตะและฮิเดโอะนั้นคุ้นเคยกับภาษาจีนมาก เมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่สอง คนญี่ปุ่นกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ได้เลือกเรียนภาษาจีนเป็นวิชาภาคบังคับ
“ฟังผมพูดรู้เรื่องด้วยเหรอ?”
เยี่ยเทียนเลิกคิ้วอย่างฉงน ดวงตาซ่อนรอยยิ้มพูดต่อว่า “งั้นก็ยิ่งดีเลย พวกเราจะได้ไม่ต้องพูดอ้อมค้อม ทองคำพวกนี้เป็นของผมทั้งหมด พวกคุณจะว่ายังไง?”
“เจ้าโง่ สมบัติพวกนี้เป็นของตระกูลคิตะมิยะต่างหาก!”
ฮิเดโอะโมโหเลือดขึ้นหน้า กำดาบในมือแน่นจนเห็นข้อนิ้วขาวโพลน เขาไม่เคยเจอใครไร้ยางอายขนาดนี้มาก่อน ฆ่าคนทั้งตระกูลเขาแล้ว ยังจะมาอ้างว่าสมบัติเป็นของเขาอีก
เยี่ยเทียนส่ายหน้าตอบว่า “ผิดแล้ว สมบัติพวกนี้ศิษย์พี่ของผมเป็นคนนำมาซ่อนไว้ ไม่เกี่ยวอะไรกับตระกูลคิตะมิยะของพวกคุณเลย?”
“ศิษย์พี่ของแก?” ฮิเดโอะได้ฟังแล้วงุนงง คล้ายกับจะสัมผัสได้ถึงพลังพิฆาตที่พุ่งเข้าใส่ตัวเอง หรี่ตาแล้วตอบว่า “แกกับโก่วซินเจียเป็นอะไรกัน?”
“สิ่งของพวกนี้โก่วซินเจียเป็นคนนำมาซ่อนไว้ เขาก็ต้องเป็นศิษย์พี่ของผมน่ะสิ!” เยี่ยเทียนหัวเราะเยาะเย้ย ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้เยี่ยเทียนได้ฆ่าฝ่ายศัตรูไปหลายสิบคน ทำให้พลังพิฆาตในตัวเขาเข้มข้นขึ้น ให้ความรู้สึกเย็นเยียบน่าหวาดเกรงต่อผู้ที่ได้พบเห็น
“เจ้าโง่!”
ฮิเดโอะโกรธสุดขีด ตอนที่กำลังจะชักดาบออกมานั้นกลับถูกท่านโชตะห้ามไว้ “ในประเทศจีนมีประโยคหนึ่งกล่าวว่า ถ้าเป็นคนร้องทุกข์ถูกใส่ความต้องหาทางแก้ไขไม่ใช่ผูกใจเจ็บ ทองคำนี่พวกเรายกให้แกได้ แต่แกต้องปล่อยพวกเราไป!”
“ท่านโชตะ?!”
ในใจของฮิเดโอะที่เดือดดาลพลุ่งพล่านจนเก็บอาการไม่อยู่ ต้องหาทางระบายออก พอได้ยินประโยคที่ท่านโชตะพูดออกมา ยิ่งทนไม่ได้ ตะโกนเสียงดัง “เขาเป็นศัตรูตัวร้ายของตระกูล จะปล่อยเขาไปไม่ได้!”
“โง่เง่า” ท่านโชตะฟาดฝ่ามือลงบนหน้าของฮิเดโอะฉาดใหญ่ แล้วใช้ภาษญี่ปุ่นสั่งสอน “ฮิเดโอะ ทรัพย์สินในธนาคารแห่งชาติสวิสต่างหากถึงจะใช้สร้างรากฐานให้ตระกูลของเราได้ ทนกับการดูถูกเหยียดหยามแค่นี้มันเล็กน้อย แกต้องเอามันกลับไปที่ตระกูลเราให้จนได้!”
“รับทราบ! ท่านโชตะพูดถูกแล้ว!”
การตบนี้เตือนสติให้ฮิเดโอะคิดได้ เมื่อตอนที่เขาไปปล้นโก่วซินเจีย พวกเขามีตั้งร้อยกว่าคนแต่ไม่สามารถจับตัวโก่วซินเจียไว้ได้ ตอนนี้เหลือแค่ตัวเขากับท่านโชตะสองคน จะเอาอะไรไปสู้กับคนหนุ่มตรงหน้าได้
……………
ตอนที่ 508 วิชาพรางตัว
โดย
Ink Stone_Fantasy
จิตสังหารรุนแรงของเยี่ยเทียนเกิดจากการฆ่าคนในตระกูลคิตะมิยะอย่างต่อเนื่อง คิตะมิยะ ฮิเดโอะร้อนใจขึ้นมา แต่ ณ ตอนนี้เขากลับไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว เพราะกลัวเยี่ยเทียนจะโจมตีถึงชีวิต
การมีชีวิตอยู่จนอายุเท่าฮิเดโออะนั้นจึงมองความตายเป็นเรื่องธรรมดา แต่ความปรารถนาต่อเรื่องเอกสารและทรัพย์สินในธนาคารแห่งชาติสวิสนั้นไม่อาจลบล้างไปได้ ไม่เช่นนั้นชื่อของเขาจะถูกจารึกไว้บนเสาไร้ยางอายในตระกูล
“ครั้งนี้ตระกูลคิตะมิยะของเรายอมแพ้แล้ว ทองคำพวกนี้ แกขนไปได้เลย!”
หลังจากที่เงียบไปพักใหญ่ในที่สุดฮิเดโอะก็เงยหน้าขึ้น ในดวงตาปรากฏแววยอมรับความพ่ายแพ้ เคยมีหลายครั้งที่เขามองชนชาติจีนเป็นผู้อ่อนแอกว่า แต่ตอนนี้กลับรู้สึกเหมือนมีภูเขาลูกใหญ่ทับอยู่บนอกจนทำให้เขาหายใจไม่ออก
“ทองคำน่ะ ผมเอากลับไปแน่ จะให้ปล่อยพวกคุณไปก็ได้อยู่นะ”
เยี่ยเทียนทำหน้าทะเล้นใส่ฮิเดโอะ “เอาซองเอกสารนั่นออกมาให้ผมสิ แล้วพวกคุณจะออกไปจากหุบเขาปีศาจนี้ได้ทันที!”
แม้ยังไม่รู้แน่ชัดว่าเอกสารในอกเสื้อของฮิเดโอะคืออะไรกันแน่ แต่การที่พวกเขายอมถูกลบหลู่ดูหมิ่นเพราะมันได้ แสดงว่ามันต้องมีความสำคัญมากกว่าทองคำยี่สิบคันรถนี้เสียอีก พวกเขาจึงต้องการปกป้องเอกสารนี้ เยี่ยเทียนรู้ในทันทีว่าต้องเป็นของสำคัญ
“เจ้าโง่เอ๊ย แกมัน แกมันช่างโลภจริง!”
พอเยี่ยเทียนยื่นข้อเสนอจบ ฮิเดโอะอดกลั้นไฟโทสะต่อไปไม่แล้ว มือขวาชักดาบยาวออกมาดัง “ชิ้ง” แล้วเขวี้ยงดาบออกไปพลางตวาดว่า “คนจีนอย่างพวกแกมีคำพูดที่ว่าผู้ชนะเป็นอ๋อง ผู้แพ้เป็นสัตว์ ถ้าแกเอาชนะฉันได้ สิ่งของที่อยู่ตรงนี้ทั้งหมดจะตกเป็นของแก”
ตั้งแต่เมื่อครึ่งศตวรรษก่อนการต่อสู้กับโก่วซินเจียที่บาดเจ็บสาหัสทั้งคู่ เมื่อฮิเดโอะกลับประเทศไปแล้วต้องอดทนต่อความเจ็บปวดจากพลังพิฆาต ต้องสงบกายใจรักษาอาการบาดเจ็บอยู่เป็นสิบปี แล้วยังฝึกวิชาดาบคิตะมิยะจนสำเร็จถึงขั้นสูงสุด จึงจะกล้าไปท้าต่อสู้กับพ่อเพื่อแย่งชิงตำแหน่งผู้นำ
แม้ว่าหลายปีมานี้ร่างกายของฮิเดโอะจะทรุดโทรมลง ไม่ได้แข็งแกร่งกำยำเหมือนตอนหนุ่มๆ แต่เขาก็เชื่อว่าหากตัวเองได้พบกับโก่วซินเจียอีกครั้ง จะไม่มีทางพ่ายแพ้ ตอนนี้ถูกเยี่ยเทียนบีบบังคับ สุดท้ายแล้วเขาจึงแสดงออกถึงสัญชาติญาณที่แท้จริง
ฮิเดโอะอายุเกินเจ็ดสิบปี รูปร่างไม่ได้สูงใหญ่ แต่หลังยังตรงอยู่ สองมือจับดาบไว้มั่น ผมขาวปลิวไสวตามลม ดูราวกับแบบอย่างของปรมาจารย์ในตำรา
“พูดได้ดีนี่ ผู้ชนะเป็นอ๋อง ผู้แพ้เป็นสัตว์ หลักการในยุทธภพก็เป็นแบบนี้ ตอนนั้นคุณตัดแขนของศิษย์พี่ผมขาด วันนี้ผมจะมาทวงความยุติธรรมให้ศิษย์พี่!”
เยี่ยเทียนดึงผ้าปิดหน้าออกเผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขา ใบหน้าอันหนุ่มแน่นของเยี่ยเทียนทำให้ทั้งฮิเดโอะและท่านโชตะที่ยืนอยู่ข้างๆ ตกตะลึง ฟังจากน้ำเสียงแล้วพอเดาได้ว่าเยี่ยเทียนอายุยังน้อย แต่คิดไม่ถึงว่าเยี่ยเทียนยังเป็นแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้น
เยี่ยเทียนใช้เท้าตวัดทีเดียว ดาบญี่ปุ่นเล่มนั้นก็ลอยขึ้นมาใส่มือขวาเขาทันที พร้อมกับยื่นนิ้วชี้ข้างซ้ายออกไปชี้หน้าฮิเดโอะ กระดิกนิ้วเรียก “คุณแก่มากแล้ว ผมจะยอมให้คุณหนึ่งกระบวนท่าก่อน!”
แม้ท่าทางของเยี่ยเทียนดูแคลนฝ่ายตรงข้าม แต่นัยน์ตาเขาไม่ได้มีความประมาทเลินเล่อเลยสักนิด การท้าทายฮิเดโอะเมื่อครู่ เขาไม่ได้จู่โจมโดยไม่ได้ยั้งคิด เพราะความอดทนอดกลั้นของฮิเดโอะทำให้เยี่ยเทียนนับถือ
“เจ้าโง่!” การท้าทายจากเยี่ยเทียนทำให้อารมณ์ของฮิเดโอะคุกรุ่นขึ้นกว่าเดิม ขอแค่หาช่องโหว่เยี่ยเทียนได้ มือทั้งสองถือดาบพุ่งไปด้านหน้า วิ่งเข้าใส่เยี่ยเทียนอย่างรวดเร็วราวกับพายุถาโถม
“ชิ้ง…ชิ้งชิ้ง…”
เยี่ยเทียนถือดาบมือเดียว ไม่ได้หลบหลีกการโจมตีเลย รับการโจมตีของดาบอันแข็งกร้าวด้วยความแข็งแกร่ง สลายแรงปะทะออกไปหมด ฝ่าเท้ายืนอยู่มั่นคงราวกับถูกตรึงไว้ด้วยรากไม้ใหญ่ เสียงดาบกระทบกันหลายครั้ง แล้วทั้งสองก็ผละออกจากกัน
“วิชาดาบคิตะมิยะก็แค่นี้ ยังสู้วิชาดาบหัวเซี่ยของฉันไม่ได้ และยังจะก่อตั้งสำนักดาบได้อีกเหรอ?” ปลายดาบแหลมคมของเยี่ยเทียนชี้ไปที่ฮิเดโอะที่ยืนห่างออกไปห้าเมตร ยิ้มเย็นพลางเอ่ยเย้ยหยัน
ในญี่ปุ่นถ้าเทียบกับวิชามวยใต้ดินของคาโต้ ทาคุมิแล้ว วิชาดาบอันแข็งแกร่งของคิตะมิยะ ฮิเดโอะนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ความเข้มแข็งของทุกฝีดาบไม่ได้ใช้พลังทั้งหมด ใช้เพียงแค่เจ็ดแปดส่วนเท่านั้น การเคลื่อนไหวลื่นไหลไม่มีที่ติ มีความคล้ายกับวิชาดาบไท้เก็กของประเทศจีน
เพียงแต่เยี่ยเทียนไม่รู้ซึ้งถึงเคล็ดลับวิชาดาบ ไม่ว่าฮิเดโอะจะดัดแปลงกระบวนท่าไปอย่างไร เยี่ยเทียนก็ยังคงโจมตีกลับด้วยความรวดเร็วรุนแรง ในสิบกว่ากระบวนท่าที่ผ่านมา ไม่เพียงแต่รับทุกกระบวนท่าของฮิเดโอะได้ทั้งหมด ยังส่งแรงกระแทกทำให้มือของฮิเดโอะเกิดอาการชาขึ้นด้วย
“เจ้าโง่!” ฮิเดโอะรู้ดีว่าวันนี้ผลการต่อสู้ตัวเองต้องจบไม่สวยแน่นอน ถึงจะยอมมอบเอกสารกับใบรับรองการฝากเงินให้ ฝ่ายเยี่ยเทียนต้องไม่ยอมปล่อยตัวเองไปแน่นอน พลันนึกแค้นในใจ บุกเข้าใส่เยี่ยเทียนอีกครั้ง
ตอนนี้ฮิเดโอะไม่มีการป้องกันตัวใด ทุกดาบที่ฟันลงไปนั้นใช้แรงทั้งหมดที่เหลืออยู่ในร่างกาย เป็นการโจมตีที่จะทำให้บาดเจ็บหนักทั้งคู่ บีบเค้นให้เยี่ยเทียนถอยหลังไปสองก้าว
ขณะเดียวกัน คิตะมิยะ โชตะที่ยืนดูการต่อสู้อยู่ จู่ๆ ก็ค่อยพรางตัวหายไปกับอากาศ เหมือนกับว่าตรงนั้นไม่เคยมีใครยืนอยู่เลย
“คุณฟันจนพอใจแล้วใช่ไหม? ต่อไปตาผมบ้างละ?”
เยี่ยเทียนดูเหมือนจะสู้แบบหมาจนตรอก แต่เพราะฝ่ายตรงข้ามกำลังหาช่องโหว่เขาอยู่ ฮิเดโอะใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดฟันดาบไปหลายสิบครั้ง ทุกครั้งถูกเยี่ยเทียนรับเอาไว้ได้หมด เมื่อดูท่าทางอ่อนกำลังลงของฮิเดโอะแล้ว เยี่ยเทียนจึงสั่นมือขวาครั้งหนึ่ง เปลี่ยนจากการรับเป็นรุก ความเยือกเย็นได้แผ่ออกมาจากดาบที่เฉียบคม ถึงกับทำให้อุณหภูมิโดยรอบลดลงหลายองศา
“ชิ้ง…ฟึบ ฉับ!”
เสียงดาบโลหะที่กระทบสลับกัน ฮิเดโอะรู้สึกว่ามือขวาของตัวเองที่รับดาบของเยี่ยเทียนจู่ๆ ก็เบาลงไปมาก พอหันไปดู ก็ต้องตกใจใหญ่ เพราะดาบเหล็กกล้าของเขาถูกเยี่ยเทียนฟันขาดเป็นสองท่อนไปแล้ว
ควรทราบว่า คิตะมิยะ ฮิเดโอะมีตำแหน่งเป็นถึงระดับผู้นำ ดาบที่เขาถือก็มีประวัติเรื่องราวมาเช่นกัน ดาบโอนิมุระ คูนิสึนะ เป็นดาบที่ตกทอดมาในตระกูลคามาคูระ โฮโจ เป็นดาบที่มีชื่อเสียงหนึ่งในสิบของญี่ปุ่น พอตระกูลคามาคูระ โฮโจล่มสลาย ดาบนี้ก็ตกไปอยู่ในมือของบุคคลภายนอก คิตะมิยะ ฮิเดโอะมีโอกาสได้ไปพบเข้า ใช้เงินจำนวนมากเพื่อจะซื้อมันมาครอบครอง
ส่วนดาบของเยี่ยเทียนเป็นดาบนักรบ ที่มีเพียงคนในตระกูลเท่านั้นที่จะครอบครองมันได้ ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงของดาบหรือวัสดุของดาบต่างก็ยอดเยี่ยมพอที่จะตัดดาบโอนิมุระ คูนิสึนะให้หักเป็นสองท่อนได้
ตอนนี้ฮิเดโอะไม่มีเวลาไปนั่งเสียดายดาบแล้ว อาศัยโอกาสที่ดาบโอนิมุระ คูนิสึนะของเขายับยั้งเยี่ยเทียนไว้อยู่ แล้วกระโดดถอยตัวไปด้านหลัง เยี่ยเทียนฟาดดาบลงอีกครั้ง ส่วนปลายแหลมของดาบห่างจากร่างของฮิเดโอะเพียงไม่ถึงคืบ แต่ไม่สามารถทำอันตรายฮิเดโอะได้
“หักเดี๋ยวนี้!”
เยี่ยเทียนกราดสายตาพิฆาต พร้อมกับตะโกนเสียงกร้าว กำลังในมือขวาไม่ได้ลดลง แต่สิ่งที่ทำให้ฮิเดโอะประหวั่นพรั่นพรึงคือ ที่ตรงปลายดาบอันเยือกเย็นที่เยี่ยเทียนส่งออกมา มีลำแสงสีขาวพาดผ่าน
คนทั้งสองตอนแรกที่ยืนอยู่ใกล้กันมาก เมื่อเยี่ยเทียนใช้กระบวนท่าดาบออกไป คิตะมิยะ ฮิเดโอะไม่มีทางหลบหลีกได้เลย ได้แต่มองดูลำแสงนั้นตัดไปที่ไหล่ขวาของตัวเอง
เสียง “ฉับ” ดังขึ้นเบาๆ ฮิเดโอะยังไม่ทันได้รู้สึกถึงความเจ็บปวดด้วยซ้ำ แขนด้านขวาของเขาขาดไปแล้ว กระดูกสีขาวโพลนปรากฎขึ้นอย่างชัดเจน กลิ่นคาวจากเลือดที่ฉีดพุ่งออกมาไกลถึงเมตรกว่า
คิตะมิยะ ฮิเดโอะยังกัดฟันทนต่อแม้จะยืนไม่ไหว ก้าวถอยร่นไปด้านหลังอีกเจ็ดแปดเมตร ทรุดตัวคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ใช้ดาบหักที่อยู่ในมือซ้ายค้ำยันร่างกายเอาไว้
“ดาบนี้ ชดเชยให้ศิษย์พี่ของฉัน!”
เยี่ยเทียนมองดูแขนขวาข้างนั้นที่เพิ่งถูกตัดไป ใบหน้าไม่มีอารมณ์ใดๆ ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ในเมื่อเลือกยุทธภพแล้ว ก็ต้องทำความเข้าใจในจุดนี้ เยี่ยเทียนพึมพำถามตัวเอง ไม่แน่อาจจะมีสักวันหนึ่ง อาจมีคนมาเหยียบย่ำศพของตัวเอง เพื่อก้าวไปสู่จุดหมายเช่นกัน
มีผู้อาวุโสในยุทธภพมากมายที่พอถึงวัยหนึ่งแล้วเกิดอยากจะล้างมือจากวงการ ในยุทธจักรคลื่นลูกใหม่มาแทนคลื่นลูกเก่าเสมอ ถ้าหากไม่ระวัง คลื่นลูกเก่าอาจจะถูกซัดมาตายบนฝั่งก็เป็นได้
ความแค้นในยุทธภพที่ไม่สิ้นสุด ตั้งแต่ต้นจนจบ เยี่ยเทียนไม่เคยปล่อยศัตรูให้รอดไปได้ง่ายๆ หลังจากฟันดาบลงไปที่แขนของฮิเดโอะแล้ว เยี่ยเทียนกระตุกข้อมือกลับ แล้วรุดเข้าไปประชิดตัวศัตรูทันทีปานสายฟ้าแลบ
ตอนนั้นเอง ฮิเดโอะล้วงมือที่เหลืออยู่เข้าไปในอกเสื้อหยิบเอาของสิ่งหนึ่งออกมา แล้วโยนใส่เยี่ยเทียน เสียง“พรวด”ดังเบาๆ สิ่งที่ตกอยู่ตรงเท้าเยี่ยเทียนกำลังพ่นควันสีดำออกมา ล้อมรอบตัวเยี่ยเทียนเป็นรัศมีสิบกว่าเมตร
“แกล้งหลอกผีรึ!” เยี่ยเทียนนึกในใจ จังหวะลมหายใจเปลี่ยนเป็นยาวขึ้น ดวงตาสองข้างปิดสนิท เขาเองก็ไม่รู้ว่าควันนี้มีพิษหรือไม่ เอาเป็นว่าระวังไว้ก่อนดีที่สุด
“รนหาที่ตาย!”
เยี่ยเทียนเพิ่งเปลี่ยนการหายใจด้วยลมปราณ ถึงรู้สึกว่าด้านหลังของเขามีเงาของคนคนหนึ่งใกล้เข้ามา สัมผัสจากพลังลมปราณแล้วน่าจะเป็นท่านโชตะที่ยังไม่ได้ลงต่อสู้ด้วย
เยี่ยเทียนแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เดินไปข้างหน้าอีกสองก้าว ร่างของเขากำลังจะออกจากวงล้อมของหมอกควันแล้ว ที่ด้านหลังคิตะมิยะ โชตะถือกริชอยู่ในมือ ย่องเข้าไปจะปาดคอเยี่ยเทียน
วิชาพรางตัวของตระกูลคิตะมิยะนั้น ในยุคแรกเริ่มผู้ฝึกวิชานี้ได้ดีกว่าคนที่ฝึกวิชาดาบต่อสู้เสียอีก อย่างท่านโชตะถึงจะไม่ได้เชี่ยวชาญด้านการพรางตัวเท่าคิตะมิยะ ฟูจิโอะ แต่ก็มีฝีมือชั้นยอดทีเดียว ประสบการณ์การต่อสู้ก็มีมาก
การเคลื่อนไหวของท่านโชตะนั้นเบาเงียบถึงที่สุด ไม่มีความรีบร้อนแม้แต่น้อย อาวุธของท่านก็ถูกกำบังอย่างมิดชิด เป็นการลอบสังหารที่สมบูรณ์แบบ ไม่รู้ว่ากี่ชีวิตที่ต้องมาจบลงด้วยกริชแหลมของท่านเล่มนี้
ศิลปะการพรางตัวที่ถูกคนภายนอกร่ำลือไปต่างๆ นานา แต่ในสายตาของเยี่ยเทียนนั้นน่าขำสิ้นดี ผู้ที่มีวิชายุทธขั้นสูงเขาสามารถรับรู้ได้อยู่แล้วว่าผู้พรางตัวอยู่ในตำแหน่งไหน แม้วิชาพรางตัวของท่านโชตะจะเหนือชั้น กลับคิดไม่ถึงว่าการเคลื่อนไหวทุกอิริยาบถของท่านจะถูกเยี่ยเทียนจับทางได้หมด
ตอนที่ท่านโชตะกำลังจะเอื้อมกริชไปพาดที่คอของเยี่ยเทียนนั้น จู่ๆ เยี่ยเทียนก็ชะงัก เท้าขวาวางลงบนพื้นให้มั่นคง ส่วนท่านโชตะที่เป็นฝ่ายไม่ทันตั้งตัวรู้สึกแค่ความเย็นวาบที่หน้าอก ตามด้วยแรงปะทะหนักหน่วงซัดเอาร่างของท่านลอยออกไป
……………..
ตอนที่ 509 พลีชีพ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“นี่…นี่มันอะไรกัน?”
ร่างของคิตะมิยะ โชตะที่ลอยออกไปไกลเป็นสิบเมตร ตรงกลางอกมีดาบนักรบเล่มหนึ่งปักอยู่ ท่านโชตะยังตกอยู่ในความงุนงง ไม่เข้าใจว่าตอนแรกยืนอยู่ด้านหลังเยี่ยเทียน ทำไมเขาถึงรับรู้ถึงการเข้าใกล้ของตัวเอง? แล้วดาบเล่มนั้น แทงเข้าไปกลางอกตัวเองได้อย่างไร?
คิตะมิยะ โชตะไม่รู้เลยว่า เมื่อครู่ที่ได้เดินเข้ามาในวงล้อมของหมอกควัน เยี่ยเทียนก็รู้แล้วว่าท่านเข้ามาใกล้
ตอนที่ท่านโชตะเข้าใกล้เยี่ยเทียนมาก เยี่ยเทียนใช้เท้าตวัดดาบนักรบที่ตกอยู่กับพื้นขึ้นมา แล้วใช้ส่วนส้นเท้ากระแทกด้ามดาบเบาๆ ด้วยระยะห่างเพียงเท่านี้ ด้วยพลังลมปราณของเยี่ยเทียนที่ส่งผ่านดาบไป มีหรือที่ท่านโชตะจะหลบหลีกได้? ดาบนั้นจึงทะลุผ่านช่องอกของท่านได้อย่างง่ายดาย
เยี่ยเทียนเดินออกจากวงล้อมของกลุ่มควันด้วยชัยชนะ เหลือบมองคิตะมิยะ โชตะที่ยังตะลึงงันอยู่ด้วยสายตาเย็นชาและเอ่ยพูด “ศิลปะการพรางตัวของพวกคุณ เป็นแค่มายากลหลอกเด็กเท่านั้น ยังกล้าเอามาใช้กับฉันอีก ถือว่าพวกคุณหาเรื่องใส่ตัวเองนะ!”
เมื่อก่อนในโทรทัศน์หรือภาพยนตร์ มักมีการแสดงฉากการพรางตัวอันลึกลับดูน่าอัศจรรย์ใจ วิชานั้นช่างตื้นเขินเทียบไม่ได้กับวิชาทั่วไปของสำนักวิชาต่างๆ เลย ความจริงแล้ววิชาแบบนี้เป็นแค่วิชาหลอกตาในประเทศจีนเท่านั้นเอง
อย่างที่เรียกกันว่าเป็นวิชาห้าธาตุ หรืออีกความหมายหนึ่งคือวิชาพื้นๆ ทั่วไป
วิชาธาตุทองเป็นการใช้แสงสะท้อนจากโลหะเพื่อบดบังการมองเห็นของฝ่ายตรงข้ามแล้วหลบหนีเอาตัวรอด และยังใช้ลอบทำร้ายศัตรูได้ด้วย
วิชาธาตุไม้ เป็นวิธีการปีนหรือกระโดดไกล ซึ่งต้องอาศัยอุปกรณ์บางอย่าง บ้านญี่ปุ่นโบราณมักสร้างพื้นค่อนข้างเตี้ย ผู้ที่สามารถกระโดดขึ้นต้นไม้ได้นั้น ก็จะลอบเข้าไปในบ้านไหนก็ได้ ทำให้เหล่านินจาสามารถกระโดดขึ้นกำแพงส่งข่าวให้กันได้
วิชาธาตุน้ำคือการฝึกดำน้ำ โดยใช้หลอดกลวงเพื่อหายใจจากใต้น้ำ สวมรองเท้าที่ทำจากไม้ออกแบบพิเศษเพื่อการเดินข้ามแม่น้ำ คนที่ไม่รู้ก็จะนึกว่ามีฝีมือล้ำเลิศ ดูคล้ายกับตาเฒ่าที่สามารถกระโดดได้ไกลพันวาในเรื่องดาบมังกรหยกของกิมย้ง
ส่วนวิชาธาตุไฟคือการใช้สารเคมีมาผสมเป็นระเบิดควันเป็นต้น หรืออุปกรณ์ที่ใช้เดินสายเพลิง เมื่อก่อนยังไม่มีระเบิด วิชาไฟจึงหมายถึงการควบคุมให้เชื้อเพลิงอยู่กับตำแหน่งควันไฟที่เดิม เมื่อครู่วิชาที่คิตะมิยะ ฮิเดโอะใช้ก็คือวิชานี้นี่เอง
ในละครโทรทัศน์วิชาดำดินของธาตุดินที่น่าพิศวงที่สุด ความจริงแล้วไม่ได้เหมือนที่ดาราแสดง คนกระโดดทีหนึ่งก็มุดดำดินหายไปกับตา ความจริงแล้ว ภายใต้ดินโคลนนั้น มักมีทางเดินใต้ดินที่ถูกขุดไว้แล้วอีกทั้งต้องทำในพื้นที่ที่พื้นดินอ่อนนุ่มจึงจะทำได้ ไม่เช่นนั้นคุณหาที่ดินโคลนสักแห่งให้พวกเขาแสดงฝีมือดำดินให้ดู?
ในลัทธิเต๋าก็มีวิชาห้าธาตุเช่นกัน เยี่ยเทียนเองยังไม่ได้รับการถ่ายทอดวิชาที่ว่านี้เลย ตอนนี้เขาทำได้แต่เพียงใช้ความเคลื่อนไหวของพลังลมปราณแท้ที่มีอยู่รอบตัวเพื่อสกัดกั้นลมหายใจและตำแหน่งของตัวเองเท่านั้น ไม่ได้กระทำสิ่งที่น่าพิศวงอะไรเลย
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ การแสดงฝีมือเล็กน้อยของคิตะมิยะ ฮิเดโอะจึงไม่เข้าตาเยี่ยเทียนเลยสักนิด ถ้าไม่ได้จะดูปฏิกิริยาจากฝ่ายตรงข้ามว่าจะมาไม้ไหนแล้วล่ะก็ เยี่ยเทียนคงใช้พลังลมปราณของเขาปัดเป่าหมอกควันตรงหน้าให้สลายไป
“สำนักวิชาฉีเหมิน สมคำร่ำลือจริงๆ!”
คิตะมิยะ โชตะรู้สึกอาลัยอาวรณ์ต่อทัศนียภาพภูเขาเขียวขจี มุมปากมีรอยเลือดที่กระอักออกมา แล้วให้มือทั้งคู่จับด้ามดาบนักรบที่ปักอยู่กลางอกตัวเอง ออกแรงดันมันลงไปลึกขึ้น แล้วดึงดาบลงด้านล้าง ทำให้อกและท้องถูกกรีดแหวะออก เครื่องในตับไตลำไส้ไหลล้นออกมากองที่พื้น
“นักรบอย่างพวกเรา มีวิธีการตายแบบนักรบ!” ท่านโชตะเหมือนจะยิ้มให้เยี่ยเทียน ร่างกายค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งกับพื้น ศีรษะตกลงและขาดใจตาย
“ทำไมต้องทำขนาดนี้? ให้ศพอยู่ครบถ้วนไม่ดีกว่าหรือ?”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกเคารพต่อท่านโชตะแห่งตระกูลคิตะมิยะคนนี้ การทำฮาราคีรีนั้นเป็นเกียรติอย่างสูง ต้องมีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว ในสงครามโลกครั้งที่สอง ทหารญี่ปุ่นตั้งเท่าไรที่ยอมใช้ปืนยาวยิงตัวตายเพื่อหลีกหนีการทำฮาราคีรี
“คิตะมิยะ ฮิเดโอะ ออกมาเถอะ ฉันยังพูดเหมือนเดิม ขอแค่คุณส่งมอบเอกสารให้ผม ผมก็จะไว้ชีวิตคุณ!”
เยี่ยเทียนยืนอยู่เงียบๆ ข้างร่างไร้วิญญาณของท่านโชตะครู่ใหญ่ แล้วเยี่ยเทียนก็หันไปมองทางรถถังคันนั้น แม้ว่าจะยังมีหมอกควันบดบังอยู่ แต่เขาก็เห็นอย่างชัดเจนว่าฮิเดโอะได้หนีไปขึ้นรถถังแล้ว
“แคร้ก!” ตอนที่เยี่ยเทียนกำลังพูดอยู่นั้น มีเสียงคลิกเบาๆ ดังเข้าไปในหูของเขา เยี่ยเทียนตกใจสะดุ้ง รู้สึกราวกับหัวใจทั้งดวงถูกมืออันใหญ่ตะครุบไว้ ขนลุกไปทั้งตัว ความรู้สึกถึงภยันตรายถาโถมใส่อย่างรุนแรง
ยังไม่ทันคิดอะไร เยี่ยเทียนทรุดหมอบลงกับพื้นในทันใด ทั้งมือและเท้าคืบคลานรวดเร็วราวกับสัตว์ป่า จากที่ตัวแนบกับพื้นดินก็ดีดตัวขึ้นมา ถ้าไม่ระวัง เยี่ยเทียนอาจจะดับสูญไปแล้วก็เป็นได้
“ปังปัง….ปังปังปัง!!!”
จังหวะตอนที่เยี่ยเทียนทรุดตัวลงหมอบ เสียงปืนดังเป็นระลอกตามมา ห่ากระสุนขนาด 13 มิลลิเมตรราวกับพายุฝนสาดซัดเข้าใส่
ร่างของท่านโชตะที่กองอยู่กับพื้นตอนนี้แหลกเหลวราวกับเศษข้าวสาลีที่เพิ่งเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง ถูกห่ากระสุนตัดเอาร่างหลุดออกเป็นสองท่อน เศษเนื้อหยดเลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว
“ฮิเดโอะ ยิงโดนเขาบ้างไหม?”
คำถามดังขึ้นในรถถังคันนั้น ถ้ามองทะลุกลุ่มหมอกควันไป บนรถถังมีคนสองคนนั่งอยู่ นอกจากคิตะมิยะ ฮิเดโอะแล้ว ยังมีผู้อาวุโสฟูจิโอะที่บาดเจ็บสาหัสอยู่อีกคน
เมื่อครู่คนที่กดปุ่มลั่นไกปืนใหญ่บนรถบรรทุกรัวๆ นั่นคือท่านฟูจิโอะ ความอดทนของเขานั้นเข้มแข็งเหนือคนธรรมดา ร่างกายท่อนล่างที่ถูกงูยักษ์บดขยี้ ยังดิ้นรนอยู่ต่อได้ราวกับแมลงสาบที่ตายยาก พลังชีวิตที่รุ่งโรจน์แม้แต่ฮิเดโอะยังสู้ไม่ได้
“ท่านฟูจิโอะ เหมือนจะไม่โดน”
ฮิเดโอะสั่นศีรษะ แขนขวามีเลือดออกไม่หยุด สีหน้าซีดขาวราวกระดาษ เริ่มจะครองสติไม่อยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่การฝึกฝนความอดทนมาหลายสิบปี ป่านนี้คงสลบไปนานแล้ว
“เหอะๆ วันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิตฉันฟูจิโอะแล้ว”
ปืนใหญ่ที่ติดอยู่บนรถถัง ได้เตรียมกระสุนไว้เพียงชุดเดียว เขาทั้งสองคนหนึ่งแขนขาดคนหนึ่งขาพิการ ต้องมาสู้กับเยี่ยเทียนจะไหวได้อย่างไร
สีหน้าของท่านฟูจิโอะฉายแววของการปล่อยวาง ปากบ่นพึมพำว่า “ตอนนั้นฉันเคยได้พบผู้วิเศษคนหนึ่งในประเทศจีน เขาเคยบอกว่าฉันจะมีอายุขัยแปดสิบห้าปี แต่กลับต้องตายโหงด้วยอาวุธดาบหรือไม่ก็ปืน ฉัน…ฉันโกรธมากจึงได้ฆ่าเขาทิ้งเสีย หรือ…หรือว่านี่จะเป็นผลกรรมจากการกระทำครั้งนั้น?”
“ใช่ นี่คือผลกรรม สิ่งที่คุณทำตอนนั้นมาเป็นผลที่เกิดขึ้นวันนี้ เป็นวัฏจักรที่ไม่มีใครหนีพ้น คุณสองคน ตายซะเถอะ!”
เสียงของท่านฟูจิโอะเพิ่งจบลง เงาของเยี่ยเทียนก็ปรากฏขึ้นที่ด้านข้างรถถัง บนใบหน้ามีรอยขีดข่วนเล็กน้อย เพราะตอนที่หลบห่ากระสุนผืนใหญ่นั้น ถูกใบหญ้าข้างทางกรีดเอา
เยี่ยเทียนโตมาในภูเขาเหมาซาน นิสัยใจคอที่แท้จริงแล้วเป็นคนดี มีครั้งหนึ่งตอนที่ออกจากอารามเต๋ากำลังจะกลับบ้าน เห็นงูพิษเลื้อยขวางทางเดินอยู่ ตอนนั้นเยี่ยเทียนอายุแค่แปดขวบ เขาใช้กิ่งไม้เขี่ยไล่งูให้พ้นทาง ไม่ถึงกับตีงูจนตาย
แต่ใครจะรู้ว่า ตอนที่เยี่ยเทียนกำลังเดินผ่านนั้น งูพิษเกิดพุ่งเข้าฉกที่น่องของเยี่ยเทียน ถ้าเขาไม่ได้ร้องตะโกนขอความช่วยเหลือจนนักพรตเฒ่าได้ยิน เกรงว่าคงจะไม่ได้อยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้
เยี่ยเทียนจึงจดจำมาตลอดว่าถ้าตีงูไม่ตายมันจะแว้งกลับมากัดตน เหมือนกับคนญี่ปุ่นพวกนี้ ตอนสู้รบกับประเทศจีน จีนไม่ได้บีบคั้นเรียกร้องค่าปฏิกรรมสงครามจากญี่ปุ่นเลยเพราะเห็นญี่ปุ่นกำลังลำบาก พอญี่ปุ่นเริ่มฟื้นตัวขึ้นได้ ก็เริ่มมารีดเลือดกับปูจากประเทศจีนด้วยวิธีการต่างๆ นานา นี่ก็เป็นเพราะตอนนั้นจีนไม่ได้จัดการกับญี่ปุ่นให้เด็ดขาด
แต่แรกเริ่มเยี่ยเทียนไม่ได้ตั้งใจจะปล่อยคนญี่ปุ่นพวกนี้ไป ตามที่อาจารย์และศิษย์พี่ใหญ่ได้เคยบอกไว้ว่าคนญี่ปุ่นเป็นสัตว์เดรัจฉาน จะฆ่ามากเท่าไรก็ไม่ผิด ตั้งแต่เมื่อวานที่เยี่ยเทียนฆ่าคนไปเจ็ดแปดสิบคนแล้ว เขาไม่ได้รู้สึกว่ามีแรงกดดันอะไร
“ส่งของมาสิ ไม่อย่างนั้นฉันก็ไม่รังเกียจที่จะหยิบมันออกมาจากศพของพวกคุณเอง!”
เยี่ยเทียนก้าวไปข้างหน้าอีกก้าว แบมือขวาออก เสียง“ตึง”ดังขึ้นจากดาบที่เยี่ยเทียนแทงเข้าไปที่ข้างตัวรถถังทะลุไปข้างใน เหลือคมดาบอีกครึ่งที่โผล่ออกมาใต้ด้าม เกิดเสียงโลหะสั่น “วิ้งวิ้ง”
“ถ้าแกอยากได้ก็เข้ามาเอาเองสิ!”
คิตะมิยะ ฟูจิโอะกับฮิเดโอะสบตากันหนึ่งครั้ง ฮิเดโอะเผยรอยยิ้มที่ดูบ้าระห่ำ ใช้มือข้างที่เหลืออยู่ล้วงเข้าไปในอกเสื้อ หยิบเอาซองเอกสารออกมา
“ให้ตายแถอะ บ้าไปแล้ว!”เยี่ยเทียนเห็นการเคลื่อนไหวของฮิเดโอะ แต่ไม่ได้เคลื่อนตัวไปด้านหน้า ใช้ปลายเท้าดันตัวสะท้อนกลับมาด้านหลัง
ตอนที่เยี่ยเทียนถอยหลังออกมา ท่านฟูจิโอะมีแววเสียดายในใบหน้า มีควันสีเขียวลอยออกมาจากมือของท่าน เพราะมือทั้งสองมีระเบิดแรงดันสูงที่จุดติดแล้วถืออยู่ข้างละอัน ตอนที่ฮิเดโอะกำลังพูดอยู่นั้นก็ได้จุดมันขึ้นมาแล้ว
“ตูม!”
เสียงระเบิดกึกก้องดังขึ้น ส่วนหลังคาของรถถังถูกแรงระเบิดฉีกออกเป็นชิ้นๆ คิตะมิยะ ฮิเดโอะและคิตะมิยะ ฟูจิโอะร่างกายแตกกระจุยกลายเป็นละอองเลือดแดงฉาน แรงกระแทกสะเทือนไปไกลถึงยี่สิบกว่าเมตรตรงที่เยี่ยเทียนถอยหลังไป
เนื่องจากระยะห่างจากปากทางเข้าหุบเขาเพียงแค่สองสามร้อยเมตร เสียงระเบิดจึงดังออกไปถึงภายนอกทำให้หินน้อยใหญ่กลิ้งลงมาจากบนเขา เกือบจะทับเอาพวกมาราไกย์ที่ดักซุ่มอยู่จนต้องถอยหลังไปอีกสิบกว่าเมตร
“ศิษย์พี่หู นั่นเสียงอะไร?” โจวเซี่ยวเทียนขมวดคิ้ว คลึงใบหูแรงๆ เสียงระเบิดรุนแรงเมื่อครู่ดังออกมาจากในหุบเขาปีศาจ ข้างในเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“เสียงระเบิด!” หูหงเต๋อให้คำตอบอย่างชัดเจน
โจวเซี่ยวเทียนมองดูหูหงเต๋ออย่างไม่สบอารมณ์ แล้วบ่นว่า “เหลวไหล ผมรู้อยู่แล้วว่ามันเป็นเสียงระเบิด แต่…เสียงมันไม่ดังไปหน่อยหรือเปล่า?”
“นั่นเป็นระเบิดแรงดันสูง แล้วยังไปจุดติดกับระเบิดอื่น ฉันว่า…ในหุบเขาต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว?”
ผู้เชี่ยวชาญด้านการรบออกโรงเอง มาราไกย์สามารถรับรู้ได้ถึงชนิดระเบิดที่ถูกจุดขึ้น เขาเดาไม่ผิด ถ้าเพียงแค่ระเบิดแรงดันสูงสองลูกจะไม่ทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนขนาดนี้ โดยหลักแล้วน่าจะมีระเบิดหลงเหลือซุกอยู่ในรถถังได้เกิดระเบิดขึ้นด้วยพร้อมกัน
………………….
ตอนที่ 510 ทำลายศพ ลบร่องรอย
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เหล่าหม่า อย่างนั้น…พวกเราเข้าไปดูกันไหม?”
หลังจากนอนเฝ้าปากทางเข้ามาคืนหนึ่งแล้ว หูหงเต๋อตะขิดตะขวงใจอย่างไรชอบกล ปกติเขาเป็นคนใจกล้าชอบเรื่องท้าทาย คำร่ำลือถึงความโหดร้ายของหุบเขาปีศาจไม่ทำให้เขารู้สึกเกรงกลัวเลย
ก่อนเข้าไปในหุบเขา เยี่ยเทียนสั่งการให้มาราไกย์รับผิดชอบเรื่องการระวังภัย หูหงเต๋อกล้าแต่พูดคุยหยอกเย้ากับเยี่ยเทียนเฉพาะเรื่องเล็กน้อย แต่ถ้าเป็นเรื่องใหญ่เรื่องสำคัญ เขาจะขอความคิดเห็นจากมาราไกย์ก่อน
“ข้างในน่าจะเกิดเหตุการณ์บางอย่าง จะเข้าไปดูหน่อยคงไม่เป็นไร….”
มาราไกย์เงียบขรึมลง คิดทบทวนครู่หนึ่งแล้วตัดสินใจว่า “สตีฟ นายคุมพวกนั้นเฝ้าอยู่ตรงนี้ ฉันกับคุณหูและคุณโจวจะเข้าไปในหุบเขาดูหน่อย”
ตามภารกิจที่ได้รับมอบหมายให้จัดการกำจัดคนญี่ปุ่นทั้งสามสิบกว่าคนนั้นเสร็จสิ้นแล้ว แต่เขายังคงสงสัยในวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของเยี่ยเทียน จึงยิ่งอยากรู้ว่า เยี่ยเทียนเข้าไปในหุบเขาเพียงลำพังจะสู้รบปรบมือกับกำลังคนญี่ปุ่นเป็นร้อยคนได้อย่างไร
หลังจากสะสางสั่งงานเสร็จแล้ว มาราไกย์เดินเข้าไปตรงทางเข้าหุบเขา ตามมาด้วยหูหงเต๋อแล้วก็โจวเซี่ยวเทียน ทั้งสามคนเดินลึกเข้าไปในหุบเขาปีศาจอย่างระมัดระวัง
“นี่….นี่มันอะไรกัน?”
ระยะเวลาที่เดินในทางเข้ารูปตัวเอสของปากทางเข้าหุบเขาใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที พอทุกคนเดินมาถึงปากทางอีกด้าน ก็หลบอยู่หลังแท่นหินอันใหญ่มองออกไปแล้วตกตะลึง
รถออฟโรดหลายสิบคันจอดเรียงราย ที่หัวขบวนมีรถถังคันหนึ่งจอดอยู่ แต่รถถังคันนี้รูปร่างมันพิกลพิการไปไม่น้อย ด้านบนของตัวรถหายไป เหลือเพียงแต่เศษเหล็กซากรถด้านล่าง
ด้านหน้ารถถัง มีคนสามคนยืนอยู่ ส่วนขบวนรถทั้งแถวนั้นเงียบเชียบมาก บรรยากาศแปลกประหลาดเหนือบรรยาย
“หรือว่า…เสียงระเบิดเมื่อครู่เป็นฝีมือเยี่ยเทียน?” ทั้งสามปรึกษากันเบาๆ อยู่หลังแท่นหินใหญ่ พวกเขาคิดไม่ออกว่าเยี่ยเทียนตัวคนเดียวจะรับมือคนตั้งมากมายขนาดนั้นได้อย่างไร?
“พวกนายเองเหรอ? ออกมาเถอะ ไม่ต้องหลบแล้ว!”
เยี่ยเทียนขมวดคิ้วเพราะได้ยินการเคลื่อนไหวจากภายนอก เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังลมหายใจว่าทั้งสามเป็นคนของเขาเอง
“โอ้พระเจ้า บอส นี่คุณทำอะไรลงไป? คุณทำไปได้ยังไง?”
เมื่อเผยตัวออกมาจากหลังแท่นหิน มาราไกย์มองดูศพสี่ร่างที่นอนอยู่กับพื้นแล้วคิดว่า เยี่ยเทียนช่างเป็นคนระดับเทพตัวจริง ตอนที่เยี่ยเทียนเข้ามาในหุบเขา แม้แต่ปืนสักเล่มก็ไม่ได้พกมา
“ไม่ต้องพูดมาก เหล่าหม่า นายขึ้นรถคันนนั้น ดันรถถังให้หลบไปด้านข้าง!”
เยี่ยเทียนอารมณ์ไม่ดี เพราะว่าหลังเกิดระเบิดแล้ว เขาพบว่า อย่าว่าแต่เอกสารที่อยู่กับคิตะมิยะ ฮิเดโอะเลย ตอนนี้แม้เศษกระดาษสักชิ้นเขายังหาไม่เจอเลย จนถึงตอนนี้รถถังคันนั้นยังมีไฟลุกอยู่
แม้ไม่ทราบว่าเอกสารนั้นคืออะไร แต่เยี่ยเทียนเชื่อว่า คิตะมิยะ ฮิเดโอะยอมก้มหัวให้เยี่ยเทียนเพื่อปกป้องเอกสารนี้ แปลว่ามันต้องมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด
เพียงแต่หลังการระเบิดแล้ว ทุกอย่างสูญสลายไปหมด เอกสารที่ถูกเก็บอย่างดีในซองเอกสารจึงกลายเป็นปริศนาไปตลอดกาล
“บอส รถมากมายอย่างนี้ เราขับออกไปไม่หมดหรอก?”
มาราไกย์เป็นคนสายตาเฉียบแหลม ได้ยินคำสั่งของเยี่ยเทียนแล้ว ก็เข้าใจความหมายในทันที ตำแหน่งที่รถถังจอดขวางอยู่นั้น ทำให้รถคันอื่นขับออกไปต่อไม่ได้
เยี่ยเทียนโบกมือ “ไม่ต้องขับออกไปหมดหรอก นายขึ้นไปบนรถแล้วจะรู้เอง”
“รถเส็งเคร็งคันนี้จะมีค่าสักกี่ตังค์ รถยนต์ที่ผลิตในญี่ปุ่นน่ะ คุณภาพห่วยที่สุดเลย”
มาราไกย์เก็บงำความสงสัยเปิดประตูรถออกพลางบ่นพึมพำ ช่วงยุคปี 60-70 รถยนต์ที่บริษัทญี่ปุ่นผลิตออกมาขายนั้นเพื่อแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดจากอเมริกา พ่อของมาลาไกย์จึงต้องตกงานด้วยเหตุผลนี้
“ดูประตูรถนี่สิ ไม่แข็งแรงเลย”
มาราไกย์เบียดตัวเข้าไปนั่งในรถ ยังคงบ่นอุบ แต่เมื่อสายตาของเขาเหลือบไปมองที่แถวหลังแล้วก็ตะลึงตาค้าง “บอส…บอส นี่ผมอยู่บนสวรรค์หรือนี่?”
ด้วยปริมาณและน้ำหนักของทองคำที่บรรจุอยู่ด้านหลังทำให้รถเสียสมดุล ดังนั้นทองคำแท่งทุกอันที่ถูกวางไว้อย่างเป็นระเบียบบนเบาะหลังของรถออฟโรด รถแต่ละคันบรรจุทองคำไว้ถึงหลายร้อยกิโลกรัม
แม้ว่าจะมีทองคำบางส่วนที่หล่นหายไปตามข้างทาง แต่ทองคำที่เรียงอยู่ที่เบาะหลังนั้นดึงดูดสายตาของมาราไกย์ การเป็นทหารพรานนานาชาติระดับพระกาฬ เขาไม่มีทางดูผิดเป็นทองเหลืองแน่นอน
“เหล่าหม่า เป็นอะไรไป?” หูหงเต๋อได้ยินเสียงอุทานอย่างตกใจของมาราไกย์ จึงชะโงกหัวเข้ามาดูในตัวรถ พอเห็นทองคำเข้าเท่านั้นก็ตาลุกวาว
“ให้ตายสิ ทองคำพวกนี้เป็นทองคำบริสุทธิ์สูงซะด้วย!”
หูหงเต๋อต่างจากมาราไกย์ที่รู้ถึงการดำรงอยู่ของทองคำเหล่านี้ จึงยื่นมือไปหยิบทองคำออกมาก้อนหนึ่ง อ้าปากใช้ฟันขบดูทีหนึ่ง พอเอาออกมาจากปาก บนเนื้อทองมีรอยฟันเรียงเป็นแถวอยู่
“บอส ภารกิจครั้งนี้ คือการตามหาทองคำเหรอ?”
ที่ประเทศอาหรับ มาราไกย์เคยเห็นทองคำจำนวนมหาศาล ทั้งอาคารที่ถูกสร้างด้วยทองคำเหลืองอร่ามทั้งหลัง เขาตะลึงค้างอยู่เพียงครู่หนึ่งแล้วจึงเรียกสติกลับคืนมาได้ พลางมองไปทางเยี่ยเทียน
“ไม่ผิดแน่ ทองคำพวกนี้ เป็นจุดหมายของการเดินทางครั้งนี้”
เยี่ยเทียนพยักหน้า มองหน้ามาราไกย์เหมือนจะยิ้ม ตอบว่า “เหล่าหม่า นายไม่ได้อยากได้ส่วนแบ่งหรือ? บนรถทั้งยี่สิบกว่าคันนี่ ทุกคันเต็มไปด้วยทองคำ!”
“ทุก…ทุกคันมีทองคำมากขนาดนี้เลยเหรอ?”
เมื่อฟังเยี่ยเทียนจบ มาราไกย์กลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น สีหน้าดูเหมือนไม่อยากจะเชื่อ แต่เมื่อมาราไกย์มองดูภาพรถถังที่กำลังถูกเผามอดไหม้กับศพที่เกลื่อนอยู่ตรงหน้ารถถังแล้ว ก็ตั้งสติกลับมาได้
“บอส อาชีพของพวกผมคือทหาร เกียรติศักดิ์ศรีมาเป็นอันดับแรก อีกอย่างตามกฎหมายของอเมริกา เสาะแสวงหาทรัพย์สินมีค่ามาแล้ว ต้องตกเป็นของผู้เป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว!”
แม้มาราไกย์จะเป็นหน่วยรบที่มีกำลังเข้มแข็งที่สุดกลุ่มหนึ่งของโลก แต่เมื่อเทียบกับเยี่ยเทียนที่ต่อสู้กับคนเป็นร้อยด้วยมือเปล่าแล้ว เขาเทียบไม่ได้เลย
โดยเฉพาะเยี่ยเทียนที่ยืนอยู่ใต้แสงอาทิตย์ตอนนี้ ทั้งร่างกายมีไอแห่งความอันตรายแผ่ออกมา ความรู้สึกกดดันโดยไม่รู้สาเหตุทำให้มาราไกย์เกือบหายใจไม่ออก
“เหอะๆ งั้นก็ดี เหล่าหม่า เงินสามแสนล้านดอลลาร์ของพวกนายน่ะ รอออกไปจากที่นี่แล้วจะยกให้!”
ไม่ว่าพวกมาราไกย์จะจริงใจหรือหวังผลประโยชน์ เยี่ยเทียนก็ไม่ได้กลัวว่าเขาจะคิดตุกติก คนต่างชาติพวกนี้แม้จะโลภอยากได้เงิน แต่พวกเขามีสิ่งที่รู้ซึ้งยิ่งกว่าคือการมีเงินแต่ไม่ได้อยู่ใช้เงิน
ตอนนี้มาราไกย์ไม่ได้มีความคิดไม่ซื่อผุดขึ้นมาเลย เขาลากศพของคนญี่ปุ่นที่ตายไปนานแล้วออกมาโยนไปไว้ข้างทาง แล้วถามเยี่ยเทียนว่า “บอส ศพพวกนี้จะทำอย่างไรดี?”
เยี่ยเทียนคิดเล็กน้อยแล้วตอบ “ทุกคันจะมีศพแบบนี้หนึ่งศพ พวกนายขนออกมาแล้วโยนไว้ที่รถถังแล้วกัน”
หูหงเต๋อกับโจวเซี่ยวเทียนรับคำ เปิดประตูรถแต่ละคันเริ่มทำการเคลื่อนย้ายศพ ยังดีที่คนพวกนี้เพิ่งตายไม่นาน ยังไม่ส่งกลิ่นเน่าเหม็น
แม้เป็นเช่นนี้ แต่เมื่อขนร่างไร้วิญญาณถึงยี่สิบกว่าศพมากองรวมกันที่รถถังแล้วโจวเซี่ยวเทียนยังหน้าซีดปากสั่น เขาไม่ได้เป็นคนในยุทธภพ นอกจากตอนที่กราดยิงปืนมั่วตรงปากทางช่องภูเขาปีศาจแล้ว เขาไม่เคยฆ่าคนกับมือเลยสักครั้ง
ส่วนหูหงเต๋อก็ไม่ได้ดีไปกว่าโจวเซี่ยวเทียนเท่าไร เขาไม่กลัวคนตาย แต่ตกใจที่เห็นฝีมือโหดร้ายของเยี่ยเทียน ดูจากร่องรอยบนตัวของศพแต่ละรายแล้ว คงถูกหักกระดูกคอจนตายทั้งนั้น เยี่ยเทียนไม่ได้พกอาวุธอื่นใด กลับสามารถจัดการฆ่าคนด้วยมือเปล่ามากขนาดนี้
หูหงเต๋อไม่มีความเห็นกับฉากตรงหน้า ตอนที่เขาเป็นเด็กนั้น เคยเห็นคนแก่ในบ้านลอกหนังมนุษย์เป็นๆ หากเทียบกันแล้วภาพตรงหน้านั้นไม่เท่าไหร่ พอขนศพสุดท้ายเสร็จ ขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้นมาว่า “เยี่ยเทียน กองไฟใกล้มอดแล้ว คงไม่พอเผาศพพวกนี้หมด?”
เยี่ยเทียนพยักหน้า ตอบกลับว่า “บนรถด้านหลังขบวนยังมีน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่แกลลอนหนึ่ง เซี่ยวเทียน ไปยกมาสิ”
“ครับผม!”
โจวเซี่ยวเทียนเก็บอาการวิ่งไปท้ายขบวนที่รถคันสุดท้าย ยกเอาแกลลอนน้ำมันออกมา ราดใส่ที่ตัวรถถัง อีกชั่วครู่ไฟก็ลุกโหมขึ้นอีก เปลวไฟอันร้อนแรงได้เผาไหม้ร่างทั้งยี่สิบกว่าร่างไปจนหมด
“บอส ไม่ใช่ว่ามีตั้งร้อยกว่าคนหรือ? ทำไมเหลือแค่นี้เล่า?”
พอทำลายศพเสร็จแล้ว มาราไกย์สบโอกาสก็ถามอย่างสงสัย คำถามนี้ของเขาทำเอาหูหงเต๋อและโจวเซี่ยวเทียนหันมามองเยี่ยเทียนเป็นตาเดียว เมื่อครู่มัวแต่ยุ่ง จึงไม่มีใครนึกถึงข้อนี้
“ตายไปในที่ซ่อนทองคำเกือบหมดแล้ว” เยี่ยเทียนยิ้มเย็นชา “ค่ายกลของศิษย์พี่จะถูกทำลายง่ายๆ ได้อย่างไร? ในหุบเขามีพลังพิฆาตสะสมมาหลายสิบปี หล่อเลี้ยงให้กำเนิดงูประหลาดหดร้ายสองหัว….”
เยี่ยเทียนเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในถ้ำอย่างคร่าวๆ ทำเอาผู้ฟังทั้งสามนิ่งอึ้งตาค้างกันทีเดียว พวกเขาคิดไม่ถึงว่า ชื่อเรียกหุบเขาปีศาจแห่งนี้เกิดจากงูประหลาดยักษ์ตัวนั้น
“โอ้พระเจ้า นี่มันบ้ามาก โชคดีที่พวกเราไม่ได้เข้าไปด้วย” ฟังเยี่ยเทียนเล่าจบ มาราไกย์ทำรูปไม้กางเขนขึ้นกลางอกขอบคุณพระเจ้า งูยักษ์ที่เขมือบคนไปเป็นร้อยนั้น ต้องเป็นโพไซดอนเทพเจ้าแห่งท้องทะเลของตะวันตกแน่นอน
“ใช่แล้ว เหล่าหม่า นายดูสิ่งนี้หน่อยสิ นายรู้จักไหม?”
ตอนที่กำลังเผากองศพนั้น เยี่ยเทียนล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อหยิบเอาวัตถุชิ้นหนึ่งออกมา เขาไม่รู้จริงๆ ว่าของสิ่งนี้คืออะไร ดูจากลวดลายแล้วน่าจะเป็นศิลปะแบบตะวันตก บางทีมาราไกย์อาจจะรู้จักก็ได้
“ของสิ่งนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน…”
มาราไกย์รับวัตถุสีทองมาจากเยี่ยเทียนแล้ว เกาหัวแกรกๆ พูดต่อว่า “บอส นี่ดูเหมือนจะเป็นกุญแจตู้นิรภัย แต่ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจนะ”
……………………..
ตอนที่ 511 ออกนอกประเทศ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ของสิ่งนี้เป็นกุญแจเหรอ? ไม่ใช่งานศิลปะ?”
เยี่ยเทียนได้ยินก็อึ้งไป รับเอาวัตถุทองคำกลับคืนมา กลิ้งไปมาในมือก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่ามันเหมือนกับกุญแจธรรมดาตรงไหน ดูลวดลายแกะสลักบนนั้นแล้ว หากจะบอกว่ามันคือผลงานศิลปะชิ้นหนึ่งยังจะน่าเชื่อมากกว่า
มาราไกย์ส่ายหัว ตอบว่า “บอส ผมไม่กล้ารับรอง แต่ถ้ามันเป็นกุญแจจริงๆ ล่ะก็ มันจะใช้เปิดตู้นิรภัยที่น่าจะซับซ้อนที่สุดในโลก”
“เอาเถอะ มันจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ เก็บไว้ดูเล่นแล้วกัน”
เยี่ยเทียนเห็นกับตาว่าคิตะมิยะ ฮิเดโอะหยิบของสิ่งนี้ออกมาจากกล่องนิรภัยใบนั้น ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร ราคาต้องไม่น้อยทีเดียว น่าเสียดายที่กล่องนิรภัยใบนั้นถูกเก็บไว้ในรถถัง ไม่เช่นนั้นเยี่ยเทียนจะต้องนำมันกลับไปสอบถามเอาจากผู้รู้
เยี่ยเทียนสั่นหัวไล่ความคิดวุ่นวายออกไปจากสมอง เขาปรบมือเรียกพูดว่า “เหล่าหู เรียกพวกอู่เฉินให้ขับรถถังเข้ามาให้หมด ไปบรรจุทองคำจากรถสามคันนั้นก่อน พอน้ำหนักเกินแล้วค่อยกระจายไปที่รถออฟโรดคันอื่น
เพื่อการดูแลอย่างทั่วถึง เยี่ยเทียนจัดให้คนอีกสามคนนอกจากมาราไกย์เฝ้าที่ปากทางเข้าหุบเขา เพื่อระวังไม่ให้พวกคิตะมิยะมาทำการปิดล้อมทั้งหน้าหลัง แน่นอนว่าจะโทษคิตะมิยะ ฮิเดโอะที่วางแผนสะเพร่าไม่ได้ ควรจะบอกว่าเพราะความสามารถของเยี่ยเทียนนั้นเหนือมนุษย์จะดีกว่า
เมื่อพวกอู่เฉินเห็นทองคำจำนวนมหาศาลนี้ จึงออกอาการยิ่งกว่ามาราไกย์เสียอีก แต่ละคนยืนตะลึงกันอยู่นานกว่าจะเรียกสติกลับมาได้ ถ้าไม่มีฉากตรงหน้าที่เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณกับรถถังที่ถูกเผาไหม้พร้อมกับกองศพ กลิ่นเนื้อไหม้คละคลุ้ง อาจทำให้พวกเขามีใจคิดไม่ซื่อขึ้นมาได้
พลังจิตสังหารของเยี่ยเทียนยังระอุอยู่ในตัว ยิ่งกระตุ้นประสาทของพวกเขา หลังจากความหวาดหวั่นใจในตอนแรก ทุกคนจึงช่วยกันขนย้ายของ พวกเขายังถือว่าฉลาดที่คิดได้ว่าเงินแบบไหนที่ไม่ควรจะอยากได้
“เหล่าหู นายเฝ้าให้ดี ฉันจะไปพักผ่อนสักครู่”
ทองจำนวนหลายตันมีค่ามหาศาล การขนย้ายต้องใช้เวลาครู่ใหญ่ เยี่ยเทียนสั่งการหูหงเต๋อเสร็จ ก็หาที่นั่งขัดสมาธิพักผ่อน เมื่อคืนเหนื่อยมาทั้งคืนทำให้ตอนนี้เขารู้สึกไร้เรี่ยวแรง
สิ่งที่สำคัญกว่านั้น เยี่ยเทียนได้ฆ่าคนญี่ปุ่นไปหลายสิบคน บนร่างของตัวเองมีกลิ่นของคนตายคละคลุ้ง ซึ่งมีผลต่อสภาพจิตใจของเขา ตอนนี้รู้สึกว่าในใจว้าวุ่นผิดปกติ นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกแบบนี้นับตั้งแต่ฝึกวิชาของสำนักเสื้อป่านมา
“เคล็ดวิชาชั้นยอด มนุษย์วนเวียน ในมารมีเทพ พบจากเป็นปกติ เงินทองลาภยศ ไม่มีของจริง…”
เยี่ยเทียนท่องคัมภีร์โปรดมนุษย์ พลังความแค้นพลังพิฆาตที่ปกคลุมร่างกายของเยี่ยเทียนอยู่ค่อยๆ หลุดลอกออกมาทีละส่วน คำสอนในสำนักวิชากล่าวว่าวิธีการต่างๆ ไม่เกี่ยวข้อง กล่าวถึงวิธีการชำระล้างพลังพิฆาต ถ้าหากเป็นแค่คนธรรมดา จะต้องถูกพลังพิฆาตทำให้จิตใจวิปริตได้
เหมือนกับแม่ทัพเฒ่ากรำศึก พอรบเสร็จต้องกลับมาทำการสงบจิตใจ ฝึกวิชามวยภายในเพื่อลบล้างพลังพิฆาตที่เป็นผลจากการฆ่าคนมากมายในสนามรบ
แต่ยังมีคนที่ไม่ทำตาม พอบั้นปลายชีวิตจะกลายเป็นคนอารมณ์แปรปรวนรุนแรง เพราะไม่ได้ทำการสลายพลังพิฆาตออกไป เมื่ออายุมากขึ้นร่างกายไม่อาจทนต่อแรงกดดันของพลังพิฆาตได้
ผ่านไปถึงสามชั่วโมงเต็ม พระอาทิตย์ตั้งตรงหัวพอดี เยี่ยเทียนถึงได้ลุกขึ้นยืน พลังพิฆาตที่ปกคลุมตัวเขาอยู่นั้นหายไปหมดแล้ว ตอนนี้เยี่ยเทียนดูเหมือนเด็กหนุ่มที่สดใสราวกับพระอาทิตย์ไม่ปาน
“เยี่ยเทียน พักพอแล้วเหรอ?” หูหงเต๋อเห็นเยี่ยเทียนเดินมาก็เอ่ยทัก “ของพวกนี้ขนย้ายขึ้นไปหมดแล้ว นอกจากรถถังสามคันนั้น ยังต้องใช่รถออฟโรดอีกห้าคันถึงจะพอ”
ทองคำยี่สิบตันคิดเป็นน้ำหนักสองหมื่นกิโลกรัม ถ้าไม่ได้รถถังคันใหญ่ที่พอรับน้ำหนักได้แล้ว การขนย้ายคงจะทำให้เยี่ยเทียนปวดหัวมากกว่านี้
“บอส ของพวกนี้ของคุณ จะให้ผมช่วยขนออกไปไหม?” มาราไกย์เดินเข้ามาถาม เขาอยู่ต่างประเทศนานปี ทำเรื่องลักลอบแบบนี้หลายครั้งแล้ว จึงพอรู้จักช่องทางพิเศษที่จะขนส่งทองคำพวกนี้ออกจากพม่า
“ไม่ต้อง เหล่าหม่า แบ่งคนของนายออกมา ช่วยฉันขับรถก็พอ” เยี่ยเทียนส่ายหน้า มองท้องฟ้าแล้วตอบว่า “ไปเถอะ สายมากแล้ว ออกจากภูเขา!”
รถออฟโรดที่เหลืออยู่ถูกเยี่ยเทียนรวมเข้าด้วยกัน แล้วปล่อยน้ำมันเชื้อเพลิงในถังน้ำมันรถออกมา รอจนขบวนของเขาออกห่างไปแล้ว จึงจุดไฟเผารถพวกนนั้น กลุ่มควันดำลอยปกคลุมไปทั่วภูเขาปีศาจ
เยี่ยเทียนและพวกไม่ได้มีรู้จักสนิทสนมกับคนในหมู่บ้าน พอพวกเขากลับไปถึงตัวหมู่บ้าน คนในหมู่บ้านต่างก็คิดว่าพวกเขาอยู่ในหมู่บ้านมาโดยตลอดไม่ได้ออกไปไหน ส่วนเรื่องสยองขวัญของภูเขาปีศาจ ทำให้พวกชาวบ้านไม่กล้าเข้าไปดู
เวลาใกล้พลบค่ำ ขบวนรถของเยี่ยเทียนออกห่างจากภูเขาปีศาจมาสองร้อยกว่ากิโลเมตรแล้ว พอถึงนอกตัวอำเภอ เดินทางต่อไปอีกหลายสิบกิโลเมตรจึงถึงชายแดนประเทศพม่า
ขบวนรถของเยี่ยเทียนแน่นอนว่าไม่กล้าเข้าไปในตัวอำเภอ จึงสั่งให้คนของมาราไกย์ไปซื้อเสบียงกลับมา ทุกคนรับประทานอาหารกันอย่างง่ายๆ
หูหงเต๋อหยิบเอาก้อนทองคำขึ้นมาโยนเล่นในมือ พลางถามเยี่ยเทียน “เยี่ยเทียน ของพวกนี้เราจะเอาออกไปได้ยังไง? ตะลุยฝ่าชายแดนออกไป?”
“ฉันยังไม่อยากตายนะ!” เยี่ยเทียนกลอกตาขาว หยิบเอาโทรศัพท์มือถือที่ถังเหวินหย่วนมอบให้ออกมา เปิดประตูลงจากรถออฟโรด เดินห่างจากขบวนรถออกไปสิบกว่าเมตร
“ฮัลโหล ฉันคือเยี่ยเทียน ขอสายซ่งเฮ่าเทียนหน่อย!”
หลังจากโทรติดแล้วเยี่ยเทียนไม่รีรอ บอกชื่อของคนที่เขาต้องการคุยด้วยออกไปทันที เขารู้ว่าคนสำคัญอย่างซ่งเฮ่าเทียน โทรศัพท์ทุกสายต้องมีเจ้าหน้าที่หรือเลขาเป็นคนรับ ตัวเขาเองไม่สามารถโทรติดต่อโดยตรงได้
“เยี่ยเทียน ไม่เรียกตาสักคำเลยนะ?”
ปลายสายเงียบไปพักหนึ่ง หลังจากนั้นไม่กี่นาที เสียงของซ่องเฮ่าเทียนก็ดังมาตามโทรศัพท์ เสียงของชายชราเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“แม้แต่แม่แท้ๆ ผมยังไม่เคยเจอเลย แล้วจะมีตามาจากไหน?”
เยี่ยเทียนตอบแบบไม่ไว้หน้า แล้วพูดเรื่องสำคัญต่อ “ศิษย์พี่คงจะได้บอกคุณแล้วว่าผมจะขนทองคำจำนวนหนึ่งกลับเข้าประเทศจีน คุณสามารถจัดการให้ได้ไหมครับ?”
“อะไรนะ? เธอได้ทองคำพวกนั้นมาแล้วเหรอ? แล้วเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นไหม?”
คำบอกเล่าของเยี่ยเทียนทำให้ซ่งเฮ่าเทียนสงสัย ซ่งเฮ่าเทียนรู้ว่าเยี่ยเทียนไปพม่า แต่ไม่รู้ว่าเยี่ยเทียนจะนำทองคำกลับมาได้หรือไม่ ชายชราไม่ได้คิดแง่ดีนัก เขาใช้ผลประโยชเข้าแลกเปลี่ยน ออกคำสั่งให้กองทหารพิเศษชายแดนจีนกับอินเดียให้รีบเดินทางไปที่ชายแดนพม่าเหมือนกัน เพื่อเตรียมให้ความช่วยเหลือเยี่ยเทียนตลอดเวลา
“เกิดเรื่อง เหอะๆ มีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นนิดหน่อย แต่จัดการได้แล้ว”
เยี่ยเทียนหัวเราะเบาๆ เหตุการณ์ผ่านไปหนึ่งวันกับหนึ่งคืนเต็มๆ แต่เขายังมีความหวาดหวั่นอยู่ในใจ โดยเฉพาะเจ้างูประหลาดสองหัวนั่น ทำให้เยี่ยเทียนเรียนรู้ถึงความอัศจรรย์แห่งธรรมชาติ เขาไม่รู้ว่ายังมีเรื่องที่มวลมนุษยชาติยังเข้าไม่ถึงอีกเท่าไร ยังมีสัตว์เหนือธรรมชาติที่ยังดำรงอยู่อีกมากแค่ไหน
“เธอได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า?”เสียงของซ่งเฮ่าเทียนดูร้อนรน แม้จะเพิ่งรู้จักเยี่ยเทียนเป็นเวลาไม่นาน แต่ในฐานะหลานนอกตระกูล เยี่ยเทียนที่อยู่ในใจซ่งเฮ่าเทียนนั้นถือว่ามีความสำคัญระดับหนึ่ง
“ไม่ครับ ผมจะบอกตำแหน่งที่อยู่ให้คุณ เมื่อไรถึงจะมีคนมารับครับ?”
เยี่ยเทียนขี้เกียจคุยเรื่องไร้สาระ ถ้าไม่ใช่เพราะโก่วซินเจียยืนยันจะให้เขาติดต่อซ่งเฮ่าเทียนทางโทรศัพท์ ไม่เช่นนั้นเยี่ยเทียนอาจจะให้พวกมาราไกย์ลักลอบขนทองคำเข้าประเทศ เพราะเขารู้ว่ามาราไกย์ไม่กล้าลองดีกับเขาแน่
“ภายในสามชั่วโมง จะมีคนที่ไปรับพวกเธอถึงที่นั่น!”
พอรู้ว่าเยี่ยเทียนไม่ได้รับอันตราย ซ่งเฮ่าเทียนถึงวางใจ เมื่อถามถึงตำแหน่งที่อยู่ของพวกเยี่ยเทียนแล้ว จึงพูดต่อว่า “พอพบพวกเขาแล้ว เธอกลับเข้าประเทศพร้อมกับพวกเขาได้เลย!”
“ผมยังมีธุระต่อ เดี๋ยวผมจะเปลี่ยนเส้นทางไปฮ่องกง!” เยี่ยเทียนส่ายหัว ปฏิเสธคำชี้แนะของซ่งเฮ่าเทียน ยังไม่ทันฟังชายชราพูดจบ เยี่ยเทียนก็กดตัดสายทิ้งไปเฉยๆ
“ไอ้เด็กบ้า เหมือนพ่อมันไม่มีผิด!”
คนสูงส่งอย่างเฮ่าเทียนยังถูกเยี่ยเทียนกดตัดสายแบบไม่มีเยื่อใย เขาอยู่ในตำแหน่งระดับสูงของประเทศ ยังไม่เคยถูกใครวางโทรศัพท์ใส่เลย หรือแม้แต่ตอนที่คุยโทรศัพท์กับผู้มีตำแหน่งเท่าเทียมกัน ยังต้องพูดจากล่าวลาเป็นพิธีกันก่อนถึงจะวางสาย
“เยี่ยเทียน ทำไมอารมณ์ดีขนาดนั้น?” หูหงเต๋อเห็นเยี่ยเทียนเดินฮัมเพลงกลับมาก็อดถามขึ้นไม่ได้ ตั้งแต่รู้จักกับเยี่ยเทียนมา น้อยมากที่จะเห็นเยี่ยเทียนแสดงท่าทางราวกับเด็กน้อยออกมา
“ผมดูอารมณ์ดีเหรอ?”
เยี่ยเทียนงุนงงกับคำถามแ แล้วสำรวมกลับมาเหมือนเดิม ในใจมีความรู้สึกแปลกประหลาด สงสัยตัวเองคงจะลำพองใจที่ได้เอาชนะชายชราอย่างซ่งเฮ่าเทียน? หรืออาจเป็นเพราะความแค้นในใจที่อาจจะไม่ได้ลึกมากอย่างที่คิด
“ทุกคนพักผ่อนกันก่อน เดี๋ยวจะมีคนมารับพวกเราเข้าประเทศ!”
เยี่ยเทียนไม่รู้ว่าซ่งเฮ่าเทียนใช้วิธีการใดในการจัดการให้คนมารับขบวนรถขนทองของเขา เพราะในเขตชายแดนพม่านั้นมีทหารของทั้งสองประเทศ แต่ระดับซ่งเฮ่าเทียนแล้วแน่นอนว่าน่าเชื่อถือได้
ทุกคนหลังจากได้รับคำสั่งจากเยี่ยเทียนแล้ว ก็หาที่นอนหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า ผ่านไปราวสองชั่วโมง มีเสียงเฮลิคอปเตอร์ดังกระหึ่มขึ้น ปลุกเอาผู้ที่หลับใหลอยู่ให้ตกใจตื่น
“โอ้โห เฮลิคอปเตอร์?”
เยี่ยเทียนเห็นแสงไฟจากเฮลิคอปเตอร์ที่สะท้อนตา ทำให้เขาตกตะลึง เพราะบนท้องฟ้ามีเฮลิคอปเตอร์บินวนอยู่หลายลำ แต่ละลำเป็นเฮลิคอปเตอร์สำหรับขนย้ายลำใหญ่ทั้งนั้น การเดินทางเข้าเขตประเทศเพื่อนบ้านด้วยวิธีนี้ ไม่รู้ว่าซ่งเฮ่าเทียนทำได้อย่างไร?
ตำแหน่งที่ขบวนของเยี่ยเทียนอยู่นั้นมีป่าทึบรายล้อม ตรงกลางเป็นลานกว้างขนาดใหญ่ เฮลิคอปเตอร์ทั้งหมดห้าลำค่อยๆ บินลงจอดบนพื้น
ทหารวัยกลางคนยศพลโทคนหนึ่งกระโดดลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ เดินตรงมาอยู่หน้าเยี่ยเทียนแล้วเอ่ยถามว่า “ใครคือเยี่ยเทียนครับ? ผมชื่อซ่งเฟย มารับหน้าที่ตามคำสั่งครับ!”
ตอนที่ 512 เข้าใจผิด
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ให้ตาย นี่มันโอเวอร์เกินไปหรือเปล่า?”
เดิมทีเยี่ยเทียนเพียงคิดว่าซ่งเฮ่าเทียนจะส่งกำลังคนมาสมทบเขา นำขบวนรถพวกนี้ลอบพาออกจากเขตชายแดนพม่า แต่ไม่คาดคิดว่าเขากลับส่งเฮลิคอปเตอร์มา ทั้งยังไม่ใช่แค่ลำเดียว นี่ช่างห่างไกลจากที่เยี่ยเทียนคาดการณ์เอาไว้เหลือเกิน
ในอดีตเยี่ยเทียนเคยดูข่าว รู้สึกมาตลอดว่าประเทศจีนออกจะขี้ขลาดไม่สู้คน ขนาดประเทศเล็กๆ อย่างเวียดนามพวกนั้นยังกล้ามายุแยงปลุกปั่น แต่เวลานี้ได้เห็นกองทัพเฮลิคอปเตอร์กลุ่มหนึ่งบุกรุกเข้ามายังประเทศอื่นอย่างกล้าหาญชาญชัยกับตา เขาจึงสำนึกได้อย่างแท้จริงว่า สิ่งที่เคยได้ยินมากับหูอาจไม่ใช่เรื่องจริงแท้เสมอไป
อีกอย่างครั้งนี้เป็นเยี่ยเฮ่าเทียนตกปากรับคำกับศิษย์พี่ เยี่ยเทียนจึงไม่เกรงใจเท่าไร ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวกล่าวขึ้นทันใด “ผมคือเยี่ยเทียน เรียกคนของพวกคุณมา เตรียมตัวย้ายข้าวของกันเถอะครับ”
“ขอโทษครับ พวกเราได้รับคำสั่งให้นำของออกไปล็อตหนึ่งเท่านั้น ไม่มีภารกิจต้องขนย้าย”
และที่ทำให้เยี่ยเทียนไม่คาดคิดก็คือ พันโทผู้นั้นส่ายหน้าอย่างตรงไปตรงมา กล่าวต่อว่า “อีกอย่างนอกจากพลขับเฮลิคอปเตอร์แล้ว ปฏิบัติการครั้งนี้ก็มีผมเพียงคนเดียว คุณคงไม่ให้ผมขนย้ายคนเดียวหรอกใช่ไหมครับ?”
“ก็ได้ครับ งั้นพวกเราขนกันเอง!”
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วชะงักไปชั่วขณะ พันโทคนนี้ไม่ชอบให้ใครติดตามตัวเองหรือไง? ขับเฮลิคอปเตอร์มาทั้งที ทำไมถึงไม่พานายทหารมาด้วยล่ะ? แต่ว่าเมื่อฝ่ายตรงข้ามพูดอย่างนั้นแล้ว เยี่ยเทียนก็ไม่พูดอะไรต่ออีก โบกไม้โบกมือไปทางพวกอู่เฉิน พูดว่า พวกเรา ขนทองคำพวกนี้ขนขึ้นไปกันเถอะ…”
“โอเค!”
พวกอู่เฉินที่ถูกเสียงดังกระหึ่มของเฮลิคอปเตอร์ใหญ่ยักษ์กระตุ้นจนตาสว่างขานรับหนึ่งเสียง เมื่อครู่ตอนที่เฮลิคอปเตอร์บินเข้ามา พวกเขายังนึกว่าเป็นกองทหารพม่ามาจับกุมเสียอีก ตอนนี้พอได้เห็นว่าที่แท้เป็น “พวกเดียวกัน” ต่างเก็บหัวใจที่ขึ้นมาจุกคอหอยปล่อยกลับลงไป
ขณะเดียวกันท่าทีของพวกอู่เฉินกลับกลายเป็นยิ่งเคารพเยี่ยเทียนมากขึ้น เพียงโทรศัพท์ครั้งเดียวก็สามารถนำเฮลิคอปเตอร์ลำใหญ่มายังต่างประเทศได้ นี่นับว่าขั้นสูงถึงระดับนานาชาติ คนที่อยู่เบื้องหลังเกี่ยวกับเยี่ยเทียนนั้น พวกเขาไม่อาจคาดเดาได้อย่างแท้จริง
ด้วยกล่องไม้ซึ่งบรรจุทองคำในอดีตล้วนผุพังหมดแล้ว ทองคำที่มีจึงอยู่กระจัดกระจาย ทองคำแท่งทุกชิ้นมีน้ำหนักถึงสองกิโล หอบหิ้วครั้งหนึ่งมากสุดได้เพียงแค่สิบกว่าชิ้นเท่านั้น โชคดีที่บนเฮลิคอปเตอร์มีรถเข็นอยู่จำนวนหนึ่ง จึงช่วยให้การขนย้ายรวดเร็วขึ้น
เมื่อเห็นทองคำแท่งแต่ละชิ้นส่องแสงแวววาว สีหน้าของพันโทซ่งเฟยอดเผยให้เห็นความประหลาดใจไม่ได้ ก่อนหน้าตอนที่รับภารกิจนี้ เขายังรู้สึกว่าเบื้องบนออกจะตื่นตูมกับเรื่องจิ๊บจ้อย เพียงทองคำเล็กน้อยกลับเรียกใช้คนของเขา แต่เมื่อเห็นทองคำจำนวนมหาศาลเท่านี้ ซ่งเฟยจึงตกตะลึงงันขึ้นในใจทันที
ที่สำคัญ หากทองคำพวกนี้ใส่เต็มรถเหล่านี้ ปริมาณที่ได้อย่างน้อยอาจถึงประมาณยี่สิบตัน เทียบกับทองคำในคลังของประเทศชาติหนึ่งนั้นนับว่าเป็นจำนวนไม่น้อย ราวกับกักตุนวัตถุดิบเงินตราไว้ทำสงครามเลยทีเดียว
ตอนนี้ซ่งเฟยถึงได้เข้าใจ ว่าทำไมก่อนเฮลิคอปเตอร์เหล่านี้จะขึ้นบิน จึงต้องปลดอาวุธยุทโธปกรณ์ทั้งหลายออกให้หมด ที่แท้ก็เพื่อลดน้ำหนักสำหรับบรรทุกทองคำพวกนี้นั่นเอง
ขณะที่รถเข็นคันหนึ่งเคลื่อนผ่านหน้าเขาไป ซ่งเฟยยื่นมือไปหยิบทองคำหนึ่งชิ้นจากข้างหน้าขึ้นมา หลังจากเพ่งมองอย่างละเอียดแล้ว ก็พูดกับเยี่ยเทียนที่อยู่ข้างตัวเอง “เยี่ยเทียน ทองคำเหล่านี้ของพวกคุณ คงจะมาจากชาวญี่ปุ่นสินะ?”
“ถูกต้องครับ นี่คือทองคำที่ชาวญี่ปุ่นทิ้งเอาไว้เมื่อสงครามโลกครั้งที่สอง!”
เยี่ยเทียนไม่ได้ปกปิดที่มาของทองคำเหล่านี้ เพราะว่าตอนที่ทองคำพวกนี้ถูกหลอมแล้วหล่อเป็นทองคำก้อน ด้านบนล้วนมีอักษรภาษาญี่ปุ่นหลงเหลืออยู่ คนช่างสังเกตจึงสามารถดูที่มาของมันออกได้ภายในพริบตา
ซ่งเฟยเบิ่งตาโต พยักหน้ากล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นทองคำพวกนี้ควรจะเป็นของประเทศชาติจึงจะถูก ขอบคุณมากที่คุณสามารถเสาะหาทองคำเหล่านี้จากพม่ากลับมาเพื่อประเทศเรา!”
“หึ ๆ เป็นของประเทศเหรอ?” เยี่ยเทียนได้ยินแล้วสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นประหลาดใจ คนพวกนี้เป็นทหารนานจนโง่แล้วหรือไง?เยี่ยเทียนคิดอยู่สักครู่ แล้วจึงอธิบายตอบ “ทองคำพวกนี้ญี่ปุ่นช่วงชิงมาจากประเทศต่างๆ ในทวีปตะวันออกเฉียงใต้ ไม่เกี่ยวกับประเทศจีนหรอกครับ”
ของที่ญี่ปุ่นช่วงชิงไปจากคนจีนนั้นมีมากมาย ปัจจุบันในพิพิธภัณฑ์สถานของประเทศญี่ปุ่น ล้วนเป็นทรัพย์สินล้ำค่าทางวัฒนธรรมของจีน ทำไมไม่เห็นพวกคุณไปเจรจากับพวกญี่ปุ่น นำเอาสมบัติกลับคืนสู่ประเทศล่ะ?
“พูดอย่างนั้นได้ยังไง ในอดีตประเทศจีนทนรับการทรมานจากพวกญี่ปุ่นหนักที่สุด นำของพวกนี้มาเป็นสิ่งชดเชยนับว่าสมควรแล้ว” ซ่งเฟยยิ้มแห้ง ออกจะไม่เห็นพ้องกับคำพูดของเยี่ยเทียน
“เอาน่ะ พอเถอะคุณ”
เยี่ยเทียนออกจะอารมณ์ขึ้นเล็กน้อย เขาต่อสู้เสี่ยงตายช่วงชิงทองคำเหล่านี้มา คนพวกนี้กลับบอกว่าอยากส่งให้รัฐบาล คิดว่าเรื่องมันง่ายดายได้อย่างนั้นหรือ?
“ประเทศจีนได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง แต่การละทิ้งค่าปฏิกรรมสงครามเมื่อในอดีต ก็เป็นเพราะบางคนเป็นคนตัดสินใจไม่ใช่หรือ?”
สายตาของเยี่ยเทียนเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวขึ้นมา “ผมเป็นเพียงประชาชนคนหนึ่ง สิ่งที่ไม่ใช่ของผมผมไม่ต้องการ แต่สิ่งที่ควรเป็นของผม ใครก็อย่าคิดจะมาช่วงชิงไป ไม่เชื่อคุณก็ลองดู!”
ตอนนี้เยี่ยเทียนชักจะสงสัยขึ้นมาแล้ว ว่าตาแก่ซ่งเฮ่าเทียนคนนี้จงใจวางกับดัก หลังจากเขานำทองคำเข้าประเทศ ก็โกยกลับเข้าเป็นของรัฐบาลหรือเปล่า? อย่างนี้ไม่เรียกว่าหลอกใช้เขาหรอกหรือ?
ซ่งเฟยส่ายหน้ากล่าว “ไม่ต้องลองหรอกครับ ผมเชื่อว่าเบื้องบนจะต้องจ่ายค่าชดเชยให้คุณแน่ แต่ว่าทองคำเหล่านี้ ต้องเก็บกลับเป็นสมบัติของบ้านเมือง”
“ผมไม่มีอะไรจะพูดกับคุณแล้ว!” เมื่อได้ยินคำพูดของนายทหารคนนี้ เยี่ยเทียนแทบอยากจะยื่นมือออกไปบีบคอเขาให้ตาย แล้วจึงหยิบเอาโทรศัพท์มือถือออกมาทันที ค้นหาหมายเลขที่เพิ่งโทรแล้วกดโทรออก
“เยี่ยเทียน ขอสายซ่งเฮ่าเทียน!” หลังจากโทรติดแล้ว เยี่ยเทียนก็ตะคอกออกมาไม่กี่คำ หากซ่งเฮ่าเทียนบังอาจหลอกเขาเรื่องนี้ ทันทีที่กลับถึงประเทศเขาจะไปขุดพลิกสุสานตระกูลซ่งสักรอบ ไอ้เวรนี่ข่มเหงกันไม่รู้จักจบสิ้น
สองสามนาทีถัดมา ก็มีเสียงของซ่งเฮ่าเทียนดังมาจากในโทรศัพท์ “เยี่ยเทียน คนที่ไปรับเธอถึงแล้วใช่ไหม ฉันจะบอกให้นะ เธอกลับมากับพวกเขาจะดีกว่า…”
“พอ คุณเงียบก่อนเลย ผมจะบอกคุณว่าทองคำทั้งหมดนี้ผมแย่งชิงมาจากผีน้อยร้อยกว่าตัว ผมต้องเสี่ยงด้วยชีวิต ใครก็อย่าคิดจะช่วงชิงเอาไปได้ ไม่งั้นคุณก็ลองดู ถ้าหากผมไม่ขุดสุสานตระกูลซ่งของพวกคุณขึ้นมา ผมก็ไม่ใช่สกุลเยี่ย!”
หากเป็นคำพูดของคนอื่น เยี่ยเทียนอาจไม่จำเป็นต้องเดือดดาลขนาดนี้ เพียงแต่เดิมทีเขาก็มีอคติต่อตระกูลซ่งอยู่แล้ว พอมาถูกซ่งเฮ่าเทียนข่มเหงเอา จึงทำให้เยี่ยเทียนพลันสูญเสียความใจเย็น จนเกือบจะหลุดสาปแช่งด่าทอออกมาทางโทรศัพท์
“หา นี่เธอพูดถึงเรื่องอะไรกันน่ะ? ใครต้องการทองพวกนั้นของเธอกัน ตาแก่อย่างฉันตาต่ำอย่างนั้นเลยเรอะ?”
ซ่งเฮ่าเทียนที่อยู่ไกลถึงเมืองหลวงได้ยินเยี่ยเทียนพูดก็ใจระทึก แม้เขาจะเป็นบอลเชวิคเก่า แต่ก่อนปฏิรูปเศรษฐกิจก็ติดต่อกับผู้คนมากมาย โดยเฉพาะเมื่อยิ่งสนิทสนมกับโก่วซินเจีย และเขาก็เชื่อเรื่องฮวงจุ้ยภูมิลักษณ์พยากรณ์ ทั้งยังกลัวว่าเยี่ยเทียนจะบุ่มบ่ามไปขยับเขยื้อนฮวงจุ้ยของตระกูลซ่งเข้าจริงๆ
“ตาไม่ต่ำแล้วจะยังมาจับจ้องทองพวกนี้ของผมทำไม?”
เยี่ยเทียนไม่สนใจคำอธิบายของซ่งเฮ่าเทียนแม้แต่น้อย พลางเอ่ยปากว่า “สหายซ่งเฟยของคุณคนนี้บอกว่า ทองทั้งหมดนี้จะถูกเก็บเข้าเป็นสมบัติชาติ!”
“ซ่งเฟยเรอะ? พูดจาไร้สาระ เธอส่งโทรศัพท์ให้เขาซิ!” ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้วซ่งเฮ่าเทียนก็โกรธจัด
เขามีแผนจะยึดทองคำทั้งหมดนี้ แต่แน่นอนว่าย่อมไม่กระทำอย่างบุ่มบ่าม คาดไม่ถึงว่าจะถูกเจ้าหนูซ่งเฟยคนนี้ทำก่อกวนแผนการจนเละเทะ
“มีคนจะคุยกับคุณ!” เยี่ยเทียนมองยังซ่งเฟยอย่างหงุดหงิด แล้วโยนโทรศัพท์ให้เขา
“สวัสดีครับหัวหน้า!” จากบทสนทนาของเยี่ยเทียนเมื่อครู่ มีหรือว่าซ่งเฟยจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคือใคร? คราวนี้ถึงกับเหงื่อแตกเต็มหน้า พอรับโทรศัพท์ก็ยืดตัวตรงแหนว น้ำเสียงก้องดังฟังชัดจนดึงดูดความสนใจจากพวกอู่เฉิน
“ครับ ๆ ผมฝ่าฝืนกฎระเบียบ กลับไปจะต้องเขียนหนังสือพิจารณาตัวเอง เชื่อฟังคำสั่งจากหัวหน้าอย่างเคร่งครัดครับ!” ไม่รู้ว่าซ่งเฮ่าเทียนพูดอะไรเหมือนกัน ซ่งเฟยเดิมทีเคยอวดเบ่งเต็มที่ กลับกลายเป็นเชื่ออกเชื่อฟัง กระทั่งหยาดเหงื่อที่ไหลลงมาจากหน้าผากก็ยังไม่กล้าเช็ด
ผ่านไปสามนาทีเต็ม ซ่งเฟยจึงได้ยื่นโทรศัพท์คืนให้เยี่ยเทียน กล่าวว่า “เยี่ยเทียน หัวหน้ามีเรื่องจะคุยกับคุณ…”
เดิมทีซ่งเฟยก็เป็นลูกหลานแท้ๆ ของตระกูลซ่ง ยามฉลองปีใหม่ในทุกๆ ปี ก็สามารถได้พบท่านปู่ที่เมืองหลวง ดังนั้นจึงมีสิทธิ์พูดคุยกับซ่งเฮ่าเทียนโดยตรง และยังเป็นสาเหตุที่ซ่งเฮ่าเทียนส่งเขามา
แต่ที่ซ่งเฟยคาดไม่ถึงก็คือเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ กลับเป็นหลานนอกแท้ๆ ของท่านปู่ ซึ่งรับว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องของตัวเอง นี่มันราวกับคลื่นน้ำซัดวังมังกร คนบ้านเดียวกันแต่กลับไม่รู้จักกัน!
“ไม่เกี่ยวกับคุณก็ดีแล้ว” หลังรับสาย น้ำเสียงของเยี่ยเทียนดีกว่าเมื่อครู่มาก นิสัยของเขาก็เหมือนกับลา ขนเรียบไปตามหวีที่สางแต่ถ้าหากสางขนย้อนกลับ ก็จะพองขู่ทันที
“แค่กๆ เยี่ยเทียน ฉันยังมีเรื่องจะคุยกับเธอ”
ซ่งเฮ่าเทียนในโทรศัพท์กระแอมเสียงออกมาหนึ่งที กล่าวว่า “ทองคำจำนวนนี้ที่เธอหามาได้ ก็คิดจะเปลี่ยนมือเป็นเงินไม่ใช่หรือ? ตอนนี้รัฐบาลไม่อนุญาตให้เอกชนค้าขายแร่โลหะมีค่านะ ความหมายของฉันก็คือ หากเธอขายทองจำนวนนี้ให้กับรัฐบาล ฉันจะจ่ายตามเรททองคำปัจจุบันที่สมควรได้รับให้กับเธอ!”
การขับเคลื่อนเฮลิคอปเตอร์ข้ามเขตแดน ต่อให้เป็นซ่งเฮ่าเทียนที่อดีตเคยมีอำนาจล้นฟ้า ก็ยังไม่อาจทำได้ ครั้งนี้เขาจึงติดต่อกับข้าราชการระดับสูงบางคน หนึ่งในเงื่อนไขนั้นก็คือทองคำจำนวนนี้ต้องขายให้กับประเทศ
“อย่างนี้เองหรือครับ?”
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วก็ลังเลอยู่ชั่วครู่ ทองคำจำนวนมากขนาดนั้นก็ไม่มีประโยชน์กับเขา หากสามารถแลกเป็นเงินสดได้ย่อมดีกว่า แม้จะถูกไปบ้างเยี่ยเทียนก็ยังรับได้ จึงพยักหน้าบอกทันที “เหลือไว้ให้ผมห้าตัน ที่เหลือสามารถขายให้พวกคุณได้หมดเลย!”
“ฉันว่านะเจ้าหนู จะเก็บทองไว้ในมือเยอะขนาดนั้นทำไม?” เมื่อได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว ผู้เฒ่าเองก็ถอนหายใจโล่งอก เจ้าหนูคนนี้รับมือยากเหลือหลาย ไม่อย่างนั้นคราวก่อนคงไม่บังคับให้เขาตีพิมพ์คำขอโทษเยี่ยเทียนที่ฮ่องกงหรอก
“ผมเก็บไว้ปูพื้นไม่ได้หรือไง? จริงสิ ทองคำห้าตันคุณช่วยผมหลอมแล้วหล่อใหม่ขึ้นหน่อย ค่าใช้จ่ายหักจากในนั้นก็ได้ครับ”
ทองคำนี้แม้จะเฉิ่มเชย แต่ครอบครัวชนชั้นสูงมากมายชอบให้ตกแต่งห้องหับ เนื่องจากทองคำมีคุณประโยชน์เรียกทรัพย์ในทางฮวงจุ้ย เยี่ยเทียนเหลือทองคำห้าตันไว้เพราะคิดจะใช้ในคฤหาสน์ของเขาที่ฮ่องกง
……………….
ตอนที่ 513 ชนะใจด้วยคุณธรรม
โดย
Ink Stone_Fantasy
ผู้คนจากทั่วทุกหนแห่งในสมัยโบราณล้วนเห็นทองคำเป็นทรัพย์สินติดตัวที่ดีที่สุดยามออกเดินทางไกล แม้กระทั่งตอนนี้ ทองคำก็ยังเป็นเงินตราที่ใช้กันทั่วโลก ขอเพียงในมือมีทองคำแท้ ไม่ว่าจะเป็นธนาคารที่ไหนบนโลกนี้ ร้านเครื่องประดับ ร้านค้าทองล้วนสามารถนำทองคำแลกเปลี่ยนให้กลายเป็นเงินสดได้ในทันที ทองคำสามารถเดินทางได้ทั่วโลกโดยไม่มีอุปสรรค ค่าเงินของมันยังมีความมั่นคงกว่าเงินดอลลาร์สหรัฐเสียอีก
อีกทั้งดูเหมือนสินค้าหรูหราแต่ละชนิดล้วนต้องพบกับปัญหาการเสื่อมราคา เฉกเช่นนาฬิกาหรือกระเป๋ายี่ห้อดัง ตอนซื้อกลับมาใหม่ๆ ก็ไม่อาจขายไปด้วยราคาเดิมอีก หลังจากใช้ไปเวลานานแล้วมูลค่ายิ่งเสื่อมลงอย่างมาก กระทั่งครึ่งหนึ่งของราคาเดิมก็อาจมีค่าไม่ถึง
แต่ว่าทองคำไม่มีปัญหาเรื่องเสื่อมราคา มูลค่าและความแวววาวของมันคงอยู่ตลอดกาล ขณะที่ทองคำเมื่อใส่เป็นเวลานานจะกลายเป็นสีซีดลง แต่มูลค่าของตัวทองคำนั้นกลับไม่มีเสื่อมถอย ในตลาดไม่มีทองคำมือสองลดราคา ทองคำนั้นเพียงทำความสะอาดใหม่ก็สามารถฟื้นคืนความแวววาวกลับมาได้อย่างเคย และจะนำมาหลอมหล่อเป็นเครื่องประดับทองคำใหม่ทั้งหมดหรือทองคำแท่งก็ยังได้
ทองคำในสายตาชาวโลกเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่ง แต่ว่าในสายตาของเยี่ยเทียน ทองคำยังมีประโยชน์อย่างอื่น ทีแรกที่โก่วซินเจียให้เยี่ยเทียนไปขุดทองคำขึ้นมา ในใจของเยี่ยเทียนก็วางแผนใช้ทองคำเหล่านี้ไว้ในใจเรียบร้อยแล้ว
ชาวอินคาโบราณเห็นทองคำดังหยาดเหงื่อของพระอาทิตย์ ฟาโรห์อียิปต์โบราณยืนกรานว่าต้องฝังลงในทองคำอันเป็นเนื้อหนังของเทพเจ้า หนึ่งในของขวัญที่นักปราชญ์ตะวันออกทั้งสามนำมาในพระวรสารนักบุญมัทธิวก็คือทองคำ อีกทั้งในหนังสือวิวรณ์ก็อธิบายถึงถนนหนทางในเมืองศักดิ์สิทธิ์เยรูซาเลมว่าทำจากทองคำบริสุทธิ์
สัญลักษณ์เหล่านี้แสดงให้เห็นว่า ทองคำในศาสนาต่างประเทศ ก็มีสถานะอันล้ำค่า และผู้คนไม่น้อยต่างรู้ว่า คุณประโยชน์ของทองคำในตำราฮวงจุ้ยภูมิลักษณ์ศาสตร์ก็มีหลากหลาย พวกสถาปัตยกรรมที่เห็นว่าตกแต่งด้วยทองคำและหยกอันเฉิ่มเชยหาใครเปรียบนั้น ความจริงแล้วมีเหตุผลบาสงอย่างอยู่ภายใน
ความมั่นคง ล้ำค่าหายากของทองคำเป็นสัญลักษณ์ของสถานะและความมั่งคั่ง สถาปัตยกรรมและฮวงจุ้ยที่ถูกสร้างขึ้นด้วยทองคำจะก่อเกิดพลังงานอันเป็นเอกลักษณ์ ช่วยส่งเสริมความร่ำรวยให้ผู้เป็นเจ้าของอย่างมากมายมหาศาล
เพียงแต่จำนวนทองคำในประเทศจีนมีน้อย นับแต่โบราณมา มีเพียงฮ่องเต้ที่สามารถนำทองคำมาใช้ประกอบฮวงจุ้ย มหาเศรษฐีผู้ตกแต่งห้องหับด้วยทองคำทั้งหลัง กระทั่งส้วมล้วนยังทำจากทองคำ แท้จริงแล้วก็ได้รับคำแนะนำจากเหล่าผู้เชี่ยวชาญ
คฤหาสน์ของเยี่ยเทียนหลังนั้นในฮ่องกง ตั้งอยู่ตรงไหล่เขา ว่ากันด้วยที่ตั้งตำแหน่งฮวงจุ้ยนับว่าดีเลิศ สาเหตุที่เยี่ยนเทียนอยากเหลือทองคำเหล่านี้ไว้ ก็เพื่อสร้างเขตฮวงจุ้ยทองคำ ทำให้สถานที่นั้นเป็นไข่มุกรวมวิญญาณ ทั้งยังดึงดูดโชคลาภเงินทอง
แน่นอนว่าคำพูดเหล่านี้เยี่ยเทียนไม่อาจอธิบายแก่ซ่งเฮ่าเทียน ความแค้นนับศตวรรษของสองตระกูลเยี่ยและซ่งถือว่ายังมีข้อดีอยู่บ้าง นั่นก็คือเยี่ยเทียนสามารถทำตัวไร้เหตุผลต่อซ่งเฮ่าเทียน และไม่จำเป็นต้องอธิบายสาเหตุที่แอบซ่อนอยู่ภายใน
“ได้ ถือว่าฉันติดหนี้เธอ เงื่อนไขนี้ฉันตกลง!”
เมื่อได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว ซ่งเฮ่าเทียนก็ส่ายหน้าแค่นหัวเราะออกมา ชีวิตนี้เขาไต่เต้ามาถึงจุดสูงสุดของอาชีพข้าราชการได้ในวัยเกษียณ แต่กลับไม่คิดว่าเมื่อมาถึงบั้นปลายแล้วกลับมาพบกับศัตรูที่ไม่อ่านโค่นล้มได้เช่นนี้
เพียงเพราะข้อเรียกร้องนี้ของเยี่ยเทียนเขายังพอทำได้ คนอย่างซ่งเฮ่าเทียน เวลาเจรจาย่อมเหลือทางออกไว้สามส่วน ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาสื่อสารกับคนพวกนั้น ไม่ได้บอกถึงจำนวนทองคำอย่างชัดเจน เยี่ยเทียนหักออกไปห้าตัน เขาจึงยังพอควบคุมได้
“จริงสิ ที่เธอพูดเมื่อครู่นี้เป็นเรื่องจริงหรือหลอก? แย่งชิงทองคำพวกนี้มาจากคนอื่นจริงหรือ?” หลังจากตกปากรับคำข้อเรียกร้องของเยี่ยเทียนแล้ว ซ่งเฮ่าเทียนก็ถามขึ้นด้วยความสงสัย เขารู้สึกว่าอาการโกรธเกรี้ยวเมื่อครู่ของเยี่ยเทียน ดูไม่เหมือนเสแสร้ง
“ผมโม้น่ะ คุณอย่าทำเป็นจริงจังเลย ทองคำพวกนี้ศิษย์พี่ผมแอบซ่อนเอาไว้ ในฐานะศิษย์น้องไปนำออกมาก็เป็นเรื่องถูกต้องแล้ว ผมจำเป็นต้องแย่งมาจากมือคนอื่นหรือ…”
เยี่ยเทียนไม่หาเหาใส่หัวโดยยอมรับที่ทำน้ำเสียงหงุดหงิดเมื่อครู่แน่นอน หลังจากอธิบายอย่างขอไปทีแล้วก็พูดว่า “เอาล่ะ ไม่คุยกับคุณแล้ว ผมวางสายล่ะนะ!”
“ไอ้เด็กบ้า วางสายใส่ฉันอีกแล้วเรอะ?”
ได้ยินเสียงสายตัดดังมาจากลำโพง คราวนี้ผู้เฒ่าอดกลั้นไม่อยู่อีกต่อไป แล้วจึงเขวี้ยงโทรศัพท์ออกไป นั่งลงบนโซฟาอย่างขุ่นเคือง ทำเอาคุณหมอและเลขาประจำตัวต่างมองหน้ากันเลิกลัก ไม่รู้ว่าใครทำให้หัวหน้าโกรธจัดถึงขนาดนี้?
เพียงแต่พอเขวี้ยงโทรศัพท์ลงแล้ว ซ่งเฮ่าเทียนกลับหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง เขาตกต่ำและเฟื่องฟูอยู่ในวงการข้าราชการมาตลอดทั้งชีวิต เชี่ยวชาญทักษะเก็บงำความโกรธอย่างสมบูรณ์แบบมานาน ถึงตอนนี้ถูกเยี่ยเทียนยั่วยุจนควันออกหู นับว่าเจ้าหนูนั่นมีความสามารถ
“ไม่เป็นไร พวกเธอออกไปเถอะ”
พอโบกมือไล่ผู้คนออกไปนอกห้องแล้ว ซ่งเฮ่าเทียนก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง กดโทรหาโทรศัพท์สายในที่ค่อนข้างลึกลับ บอกกล่าวเรื่องบางอย่าง
สำหรับคนคนหนึ่ง ไม่ว่าจะรักหรือเกลียด ล้วนต้องอยากรู้เรื่องราวของคนคนนั้นบ้าง สาเหตุที่ซ่งเฮ่าเทียนโทรหาสายเหล่านี้ ก็เพราะยังติดใจกับคำพูดที่เยี่ยเทียนบอกเมื่อครู่ เขาจึงโทรบอกบางหน่วยงานให้ไปตรวจสอบ ด้วยอยากรู้ว่าช่วงที่ผ่านมามีชาวญี่ปุ่นกลุ่มใหญ่เข้าไปยังประเทศพม่าบ้างหรือเปล่า?
ห้าวันหลังจากนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ส่งข้อมูลกลับมาหาซ่งเฮ่าเทียนจำนวนหนึ่ง ทำเอาซ่งเฮ่าเทียนตกใจจนเผลอปล่อยกาน้ำชาแสนรักในมือหล่นลงตกแตก
ข้อมูลชี้ให้เห็นว่า เมื่อหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา มีชาวญี่ปุ่นหนึ่งร้อยเจ็ดสิบแปดคนโดยใช้ในนามกลุ่มนักท่องเที่ยวเข้าไปในเขตแดนพม่า แต่ว่าเมื่อห้าวันก่อนกลับหายตัวไปในพม่าอย่างประหลาด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทางญี่ปุ่นกำลังทำการเจรจาอยู่กับรัฐบาลพม่าอยู่
อีกทั้งตำแหน่งที่อยู่สุดท้ายของชาวญี่ปุ่นเหล่านั้น อยู่ห่างจากจุดที่ตั้งซึ่งเยี่ยเทียนส่งให้เขาไม่ไกลนัก ห่างกันเพียงร้อยสองร้อยกิโลเมตร นั่นทำให้ซ่งเฮ่าเทียนตกใจจนเหงื่อซึมเย็นไปทั้งร่าง เห็นได้ชัดว่าถ้อยคำของเจ้าหนูนั่นไม่ได้คุยโวโอ้อวด แต่กลับปิดบังความจริงบางอย่างไว้ต่างหาก
ซ่งเฮ่าเทียนที่กำลังร้อนรนรีบเร่งติดต่อเยี่ยเทียน จึงรับรู้ว่าตัวเขาอยู่ที่ฮ่องกงแล้ว จึงทำให้เขาถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้ล้วนผ่านไปหมดแล้ว
…….
“ทำไมล่ะ ยังคิดจะเอาทองคำพวกนี้ของผมยึดเป็นของหลวง?”
หลังจากวางสายแล้ว เยี่ยเทียนก็มองยังพันโทซ่งเฟยคนนั้นอย่างเย้ยหยัน ให้สนับสนุนการพัฒนาของรัฐบาลย่อมไม่มีปัญหา แต่จะทำให้ประชาชนตาดำๆ ลำบากไม่ได้ จะว่าไปตอนนี้เยี่ยเทียนเองก็จนกรอบแทบไม่มีกิน แล้วทำไมจะต้องยกทองคำให้รัฐบาลเปล่าๆ ด้วย?
ว่ากันที่จุดนี้ ลำดับขั้นและขอบเขตของรองประธานซ่งยังสูงกว่านายร้อยหรือพันโทคนนี้มากนัก ข้อเสนอที่ต่างฝ่ายต่างชนะและได้ผลประโยชน์กันทั้งคู่ ถึงจะเป็นการชนะใจด้วยคุณธรรม ไม่อย่างนั้นเยี่ยเทียนก็ไม่รังเกียจจะทำตัวเป็นปัญหาอีกครั้ง
“ไม่…ไม่กล้าหรอกครับ คุณ…ว่าทำยังไง ก็ทำอย่างนั้นเถอะครับ?”
ซ่งเฟยซึ่งทีแรกกำลังจ้องมองเยี่ยเทียนตาค้าง ถูกเขาพูดขู่จนตกใจสั่นไปทั้งตัว เขาเติบโตมาจนป่านนี้ เคยได้พบซ่งเฮ่าเทียนไม่เกินสิบกว่าครั้ง ซึ่งสำหรับในตระกูลถือว่าได้รับความเอ็นดูมากกว่าใครแล้ว
แต่ว่าการพบหน้าสิบกว่าครั้งนั้น คำพูดที่ซ่งเฮ่าเทียนพูดคุยกับเขา รวมกันแล้วยังไม่มากเท่ากับที่ตำหนิเขาทางโทรศัพท์เมื่อครู่ ด้วยเหตุนั้นสภาพจิตใจของซ่งเฟยที่ถูกด่าก่อนหน้านี้จึงลอยหลุดไป แน่นอนว่า เกิดความตกอกตกใจเป็นอย่างมาก
อีกทั้งบทสนทนาของเยี่ยเทียนกับท่านผู้เฒ่า ยังทำให้ซ่งเฟยได้ยินแล้วสับสนมึนงงอยู่ภายในใจ เขาไม่ค่อยเข้าใจ สองคนนี้ที่จริงแล้วใครเป็นปู่ใครเป็นหลานกันแน่? หรือว่าเด็กหนุ่มข้างหน้านี้จะเป็นลูกนอกสมรสของท่านผู้เฒ่า?
“ขนของกลับไป เบื้องบนจะจัดการเองว่านายต้องทำยังไง แต่ว่าถ้าหากฉันรู้ว่านายเล่นตุกติก ระวังเหอะฉันจะตามไปเล่นงานนายถึงบ้าน!”
ด้วยสาเหตุจากซ่งเสี่ยวหลง เยี่ยเทียนจึงไม่รู้สึกดีกับคนตระกูลซ่งเท่าไรนัก แต่ว่าถ้าหากเขารู้ความคิดสกปรกของเจ้าหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านี้ ไม่แน่อาจจะบีบคอเขาให้ตายตอนนี้เลยก็เป็นได้
“ครับ คุณวางใจเถอะ ผมจะทำภารกิจให้สำเร็จ!”
เวลานี้ซ่งเฟยไม่กล้ามองเยี่ยเทียนเป็นเหมือนญาติสนิทธรรมดาในตระกูลซ่งแล้ว ที่สำคัญคือ ต่อให้เป็นผู้สืบทอดมรดกรุ่นที่สองของตระกูลซ่งคนนั้น เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านผู้เฒ่าอาจไม่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้
เยี่ยเทียนโบกมือกล่าวว่า “เอาล่ะ เลิกยืนทื่อเป็นเสาไฟฟ้าอยู่ตรงนั้นได้แล้ว ช่วยกันทำงานสิ!”
ทุกสิ่งทุกอย่างนี้เกิดขึ้นที่เขตชายแดนพม่า เยี่ยเทียนกลัวว่ายิ่งรั้งอยู่นานจะเกิดปัญหา จึงออกตัวร่วมลงมือด้วย ซ่งเฟยจึงไม่กล้าทำวางก้ามต่อ ตามหลังเยี่ยเทียนอย่างเชื่อฟังไปช่วยขนย้ายทองคำแท่ง และเงินทองเครื่องประดับหยกเหล่านั้นมา
เวลาผ่านไปสองชั่วโมงกว่า นอกจากทองคำไข่มุกอัญมณีล้ำค่าที่กระจัดกระจายหายไปบางส่วนระหว่างทาง ของทั้งหมดล้วนถูกขนย้ายเข้าไปข้างในเฮลิคอปเตอร์หลายลำแล้ว
“เหล่าหู คุณกับเซี่ยวเทียนตามกลับไปประเทศด้วยกันเถอะ”
เยี่ยเทียนโบกมือ เกณฑ์คนเข้ามารวมกันแล้วกล่าวว่า “แล้วก็อู่เฉินพวกนายก็กลับไปด้วยกัน ใช่ รอหลอมทองคำแล้วทุกคนมารับไปคนละก้อนเป็นรางวัล ที่เหลืออีกหนึ่งล้าน รอฉันกลับไปเมืองหลวงแล้วจะจ่ายสดให้พวกนาย
“ขอบคุณครับท่านเยี่ย…”
“ท่านเยี่ยเกรงใจเกินไปแล้ว พวกเราไม่ได้ทำอะไรเลย!”
“นั่นสิ ครั้งหน้าหากท่านเยี่ยมีปัญหา ขอเพียงสั่งการมาก็พอ!”
คนเหล่านี้คาดไม่ถึงว่านอกจากเงินค่าจ้างหนึ่งล้านแล้ว กลับยังได้ทองคำแท่งเป็นรางวัลอีก จึงสีหน้าเผยให้เห็นความดีอกดีใจในทันที ที่สำคัญ หากคำนวณจากอัตราแลกเปลี่ยนทองคำหนึ่งกรัมเป็นมูลค่าร้อยแปดสิบหยวนแล้ว ทองคำแท่งสองกิโลกรัมจะมีมูลค่าถึงหนึ่งหรือสองแสนหยวน
“ข้าวของและเงินทอง พวกนายสามารถนำไปได้อย่างสบายใจ แต่มีเรื่องหนึ่ง ประสบการณ์ที่มายังพม่าครั้งนี้ นอกจากชิวเหวินตงแล้ว ห้ามไปบอกใครทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นอย่ามาโทษว่าฉันตัดความสัมพันธ์ไม่รู้จักพวกนาย!”
น้ำเสียงของเยี่ยเทียนแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา เจรจาด้วยบุ๋นก่อนค่อยบู๊ เยี่ยเทียนจึงนับว่าเป็นผู้ใช้คุณธรรมชนะใจคน อีกทั้งที่กลับไปหลอมทองแล้วจึงค่อยให้แก่พวกเขา ก็เพราะไม่อยากให้เรื่องราวนี้เล็ดรอดออกไป ไม่อย่างนั้นพวกวายร้ายที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในตระกูลคิตะมิยะ จะต้องมาตามล่าเอาชีวิตเขาถึงเมืองหลวงแน่
แต่ว่าเยี่ยเทียนกลับไม่คิดปิดบังชิวเหวินตง อย่างแรกคือหมอนั่นต้องถามถึงแน่นอน และลูกศิษย์พวกนี้ก็คงไม่กล้าเงียบไว้ อย่างที่สองชิวเหวินตงเองก็เป็นคนที่สายตามองทะลุปรุโปร่ง เขาจะต้องไม่นำเรื่องนี้ไปป่าวประกาศอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่มีชีวิตอยู่อย่างสงบสุขมาจนถึงวันนี้
“ท่านเยี่ย วางใจได้เลย หากใครในนี้กล้าโพนทะนาแม้เพียงคำเดียว เสี่ยวอู่อย่างผมจะตัดลิ้นมันออกมาให้คุณแกล้มเหล้า!”
เมื่อมองกองทัพเฮลิคอปเตอร์เบื้องหน้า แล้วพาลนึกถึงร่างนับสิบที่แผดเผาอยู่ภายในหุบเขาปีศาจ กับคนกว่าร้อยคนที่หายตัวไปอย่างปริศนา อู่เฉินก็รีบตบหน้าอกแทนทุกๆ คน
………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น