หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 506-507
บทที่ 506 เงาของตระกูลไม่รู้สิ้น
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ข้ารับใช้อย่างนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อตัวแข็งทื่อ จ้องมองศพเบื้องหน้า สัมผัสได้ถึงพลังขั้นกำเนิดแก่นในที่แผ่ออกมาจากร่าง เขางุนงงไปเล็กน้อย
“ใช่ ถ้าดูจากโครงสร้างของสำนักวังเต๋าไพศาล พื้นที่ตรงนี้คือพื้นที่รอบนอก ซึ่งเป็นจุดที่ข้ารับใช้อาศัยอยู่ ส่วนใหญ่อยู่แค่ขั้นกำเนิดแก่นใน มีบ้างที่ดูมีศักยภาพ แต่ส่วนมากก็เป็นแค่ข้ารับใช้ชั้นต่ำเท่านั้น” แม่นางน้อยเล่ารายละเอียดคร่าวๆ จากนั้นก็เร่งให้หวังเป่าเล่อรีบค้นหาชิ้นส่วนหน้ากากต่อ
ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึก ดูจะไม่ค่อยเชื่อสิ่งที่เพิ่งได้ฟัง แม่นางน้อยสัมผัสได้ว่าหวังเป่าเล่อคิดอะไรอยู่ จึงแค่นเสียงอย่างไม่ค่อยพอใจนัก
“อะไรกัน เจ้าไม่เชื่อข้าอย่างนั้นหรือ ข้าก็แค่จำวัตถุเวทแห่งความมืดชิ้นนั้นผิดไปนิดเดียว ข้าเคยมีวัตถุเวทแห่งความมืดที่เหมือนกันอยู่ เลยนึกว่าเป็นชิ้นเดียวกัน ผิดมากหรือไรที่ข้าคิดว่าเป็นของตัวเอง จะยอมยกโทษให้ไม่ได้เลยหรือ
“หึ! แล้วถ้าข้าบอกว่าบริเวณนี้เป็นที่อยู่อาศัยของข้ารับใช้ชั้นต่ำ มันก็เป็นเช่นนั้นตามที่พูด จริงๆ แล้วเกาะหลักสำนักวังเต๋าไพศาลบนทะเลเพลิงนั่นเป็นแค่สำนักนอก สร้างขึ้นบนเทือกเขาในเขตด้านนอกที่อยู่ห่างไกลออกไป
“ข้าตรวจดูรอบๆ แล้วตอนที่เจ้ามาถึง ถึงจะมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็ยังเหมือนเมื่อก่อน สำนักวังเต๋าไพศาลที่แท้จริงตั้งอยู่ในบริเวณตัวกระบี่ที่เสียบทะลุดวงอาทิตย์ สำนักจริงๆ ตั้งอยู่ในนั้น และจากสถานการณ์ปัจจุบัน มีความเป็นไปได้สูงว่าที่นั่นจะหลงเหลือแค่เพียงซากเมือง…
“ทว่าตราบใดที่แก่นหลักของสำนักยังอยู่ สำนักวังเต๋าไพศาลก็จะไม่ดับสิ้น แก่นหลักของสำนักวังเต๋าไพศาลอยู่ที่ปลายกระบี่ ถ้าข้าเดาไม่ผิด น่าจะยังมีผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์และระดับดารานิรันดร์ รวมถึงเหล่าผู้นำระดับดาราจักรอาศัยอยู่ในบริเวณนั้น พวกเขาคงกำลังหลับใหลและฟื้นฟูพลังอยู่”
ดวงตาของชายหนุ่มเบิกกว้างเมื่อได้ยินที่แม่นางน้อยพูด แม่นางน้อยเหมือนจะจับสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายกำลังตื่นตะลึงก็รู้สึกพอใจ ที่นางไม่ค่อยปรากฏกายก่อนหน้านี้เป็นเพราะเขินอายเรื่องวัตถุเวทแห่งความมืด พอโอกาสที่จะได้พิสูจน์ตัวตนมารออยู่เบื้องหน้าเช่นนี้ นางจึงไม่มีทางปล่อยให้หลุดมือไป แม่นางน้อยกระแอมกระไอก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบอย่างผู้มากด้วยประสบการณ์
“แปลกใจหรือ ไม่เห็นมีอะไรให้น่าประหลาดใจเลย แต่ก่อนพื้นที่บริเวณนี้เป็นที่อาศัยของเหล่าสามัญชนและข้ารับใช้ ข้าไม่ได้รู้สึกประทับใจอะไรเลยกับพวกคนที่ชื่อเมี่ยเลี่ยจื่อหรืออะไรนั่น ดูจากระดับการฝึกตนแล้วน่าจะเป็นแค่ศิษย์สำนักในตอนก่อนที่กระบี่สำริดเขียวโบราณจะพุ่งปักดวงอาทิตย์ จริงๆ พวกเขาดูเหมือนพวกศิษย์ที่ไม่มีศักยภาพพอจะพัฒนาได้ด้วยซ้ำ
“แต่พอหายนะมาเยือน เหล่าผู้อาวุโสที่ปลายกระบี่ก็ตกอยู่ในภวังค์หลับใหล ส่วนสำนักหลักของสำนักวังเต๋าไพศาลถูกทำลาย คนในสำนักกว่าร้อยละเก้าสิบล้มตายไป ไม่ก็ได้รับบาดเจ็บรุนแรง ทำให้สามคนนั้นต้องขึ้นมาเป็นผู้อาวุโสและสร้างสำนักวังเต๋าไพศาลขึ้นมาใหม่ ด้วยความดีความชอบที่พวกเขาสร้างให้สำนัก พอเหล่าผู้อาวุโสตื่นขึ้น พวกนั้นน่าจะบรรลุจากระดับจิตวิญญาณอมตะไประดับดาวพระเคราะห์!”
หวังเป่าเล่อเบิกตากว้างอีกครั้งกับข้อมูลมากมายที่ได้รับ เขาเองก็คิดไว้บ้างแล้ว แต่ก็ยังตื่นตะลึงกับตัวตนที่แท้จริงของพวกเมี่ยเลี่ยจื่ออยู่ดี
พวกเขาเป็นแค่ศิษย์สำนักในหรือ หวังเป่าเล่ออ้าปากค้าง กะพริบตาและถามขึ้น
“แม่นางน้อย เจ้าเป็นใครกันแน่ในสำนักวังเต๋าไพศาล”
“ข้าหรือ ผู้นำระดับดาราจักรของสำนักวังเต๋าไพศาลยังต้องเรียกข้าว่าผู้อาวุโสถ้าตื่นมาพบเข้า ดังนั้นเจ้าคิดว่าข้าเป็นใครกันล่ะ” แม่นางน้อยเอ่ยเสียงราบเรียบ ไม่ได้แสดงอาการอะไรผ่านทางสีหน้า
หวังเป่าเล่อตื่นตะลึงไปเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาเหม่อมองไปเบื้องหน้าอย่างไม่รู้จุดหมาย ผ่านไปครู่หนึ่ง ชายหนุ่มก็ตบหน้าขาตัวเอง
“แม่นางน้อย ข้าเป็นน้องชายของเจ้า หมายความว่าข้าก็เป็นผู้อาวุโสในสำนักนี้เช่นกัน ไม่ยักจะรู้ว่าข้ายิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ เสียดายที่ข้านึกสงสัยเจตนารมณ์ของพวกเมี่ยเลี่ยจื่อ ถ้าข้าบอกความจริงไป พวกเขาจะต้องหวาดกลัวขึ้นมาจับจิตแน่!” หวังเป่าเล่อมุ่งหน้าไปยังจุดที่แม่นางน้อยบอกด้วยความตื่นเต้น
เขาตระหนักแล้วว่าต้องสนใจแม่นางน้อยให้มากกว่านี้ สิ่งที่เขาทำได้คือตามหาชิ้นส่วนหน้ากากเพื่อทำให้นางสุขใจ ชายหนุ่มคิดว่าตนไม่ต้องคิดหาความจริงความเท็จในคำพูดของนางให้มากความ จากมุมมองของเขา แม้แม่นางน้อยอาจจะพูดเกินจริงไปบ้าง แต่ก็ไม่น่าจะห่างไกลจากความเป็นจริงไปมากนัก
แม่นางน้อยต้องเป็นคนที่สำคัญมากแน่ๆ! หวังเป่าเล่อตื่นเต้นมาก คิดว่าตนทำตามที่แม่นางน้อยบอกมานานแล้ว และน่าจะต้องทำต่อไป คงจะดีถ้าสามารถเป็นเช่นนี้ได้จนเขาขึ้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐ
ชายหนุ่มมุ่งเข้าไปใกล้จุดที่แม่นางน้อยบอกด้วยความคาดหวังเต็มเปี่ยม พอไปถึงก็ต้องตื่นตกใจเมื่อได้เห็นศีรษะยักษ์เบื้องหน้า มันล้มตะแคงอยู่และกำลังจ้องมองเขาตาไม่กะพริบ
ศีรษะตรงหน้ามีรูปลักษณ์เหมือนแม่นางน้อยไม่มีผิดเพี้ยน หวังเป่าเล่อตื่นตะลึงจนสะดุดถอยหลังไปสองสามก้าว พอสังเกตดูดีๆ ก็พบว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของรูปปั้น ส่วนอื่นๆ อยู่กระจัดกระจายออกไปไกล
“จะมากเกินไปแล้ว!” หวังเป่าเล่อตัวแข็งทื่อ ก่อนจะเดือดจัดขึ้นมาในทันที
“ใครกัน ใครกล้ามาทำเช่นนี้กับรูปปั้นของแม่นางน้อยอันเป็นที่รักของข้า อย่าเป็นกังวลไป แม่นางน้อย ข้าจะตามหาคนผู้นั้นเอง และจะทำให้มันได้รับรู้ว่าจะเจอดีเช่นไรที่มาทำกับรูปปั้นพี่สาวที่รักของข้าเช่นนี้!” ชายหนุ่มตะโกนขึ้นด้วยความเดือดดาล เขาเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าศีรษะของรูปปั้นด้วยสีหน้าเจ็บปวด
แม่นางน้อยดูพอใจที่เห็นหวังเป่าเล่อพยายามเอาใจตนเองอยู่ตลอด แม้จะรู้ว่าวาจาที่พรั่งพรูออกมาจากปากชายหนุ่มจะไม่มีอะไรจริงแท้ แต่นางก็ยังกระแอมกระไอขึ้นและเอ่ยบอกว่าตนเห็นถึงความจงรักภักดีของอีกฝ่าย
หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ว่าแม่นางน้อยน่าจะอารมณ์ดีทีเดียว เขาค้นหาอยู่สักพักก็เจอชิ้นส่วนหน้ากากขนาดประมาณเล็บมืออยู่ใต้ซากแผ่นหิน ชายหนุ่มหลอมเศษชิ้นนั้นรวมเข้ากับหน้ากาก ก่อนจะรีบพูดขึ้น
“แม่นางน้อย ยังมีสมบัติล้ำค่าอะไรในบ้านของเราไหม อย่างโอสถอะไรหรืออะไรเช่นนี้ เจ้าจำได้ไหมว่าเราเก็บมันไว้ที่ใด เราจะให้คนนอกขโมยไปไม่ได้ ควรไปเก็บมาไว้ก่อนดีกว่า ยิ่งข้ามีระดับการฝึกตนสูงขึ้นเร็วเท่าไหร่ ข้าก็จะแก้แค้นให้เจ้าได้ไวยิ่งขึ้น จริงไหม”
“ไม่ต้องเป็นห่วง ถึงข้าจะไม่ค่อยคุ้นเคยกับเขตรอบนอก แต่ก็รู้จักสำนักวังเต๋าไพศาลหลักเป็นอย่างดี ไว้เราค่อยหาโอกาสเข้าไปในนั้น แล้วข้าจะช่วยให้เจ้าบรรลุขั้นการฝึกตนเอง ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร” แม่นางสุขใจกับชิ้นส่วนที่หลอมเพิ่มเข้ามา เสียงของนางดูห่างไกลไม่ชัดเจนเล็กน้อย ราวกับว่าการหลอมส่งผลกระทบกับนางโดยตรง จึงต้องใช้เวลาในการปรับตัว
หวังเป่าเล่อเริ่มตื่นเต้นเมื่อได้ยินแม่นางน้อยตอบตกลงจะให้ความช่วยเหลือ เขาคิดว่าตราบใดที่มีแม่นางน้อยคอยหนุนหลังบนกระบี่สำริดเขียวโบราณ ทุกอย่างก็จะเป็นไปได้อย่างราบรื่น ตนจะได้รับเคล็ดวิชามากมาย เสร็จแล้วก็กลับไปเป็นผู้นำสหพันธรัฐ ทุกสิ่งทุกอย่างจะง่ายดายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก
ชายหนุ่มผิวปากด้วยความสุขใจขณะตรวจดูรอบๆ พื้นที่ แต่ก็ไม่พบของมีค่าอะไร เขาคำนวณเวลา จากนั้นก็ขึ้นขับเรือวิญญาณออกไป
เรือวิญญาณพุ่งทะยานออกจากซากเมืองขึ้นไปยังทะเลเพลิงและมุ่งหน้าไปบนผิวน้ำเหมือนดังเส้นสายรุ้ง ในตอนนั้น…หวังเป่าเล่อและแม่นางน้อยในหน้ากากเหมือนจะไม่รู้ตัว…ว่ามีร่างหนึ่งยืนอยู่ในส่วนลึกของซากเมืองที่พวกเขาเข้าไปค้นหาเมื่อครู่ ภายในซากตำหนักหนึ่ง มีคนกำลังจ้องมองพวกเขาที่กลับออกไปด้วยสายตาเย็นชา!
ร่างนั้นสูงประมาณสามสิบเมตร มีสามหัวหกแขน ศีรษะตรงกลางมีสีหน้าเคร่งขรึม ด้านขวากำลังร้องไห้ และด้านซ้ายกำลังหัวเราะ ดูน่าขนลุกยิ่งนัก แขนทั้งหกข้างหนาใหญ่เหมือนจะมีพลังร้ายกาจแฝงอยู่
หากหวังเป่าเล่ออยู่ตรงนั้น เขาจะรู้ทันทีว่าร่างนั้นคือผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้น!
นัยน์ตาของผู้ฝึกตนฉายแสงอำมหิต เขาจ้องมองหวังเป่าเล่อหายออกไปไกล ไม่ได้คิดจะเข้าไปหยุด มุมปากของเขากระตุกยิ้มลุ่มลึกขึ้น
นาง…ยังมีชีวิตอยู่จริงๆ ด้วย!
น่าสนใจดี…ใช้ชีวิตอยู่ในหน้ากาก พึ่งพาอาศัยผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐ…
เหมือนว่าข้าจะต้องปรับแผนการสักเล็กน้อย… ตัวตนปริศนาจากตระกูลไม่รู้สิ้นพูดพึมพำขณะหรี่ตาลง เขาก้าวเท้าไปข้างหน้า
ก่อนจะหายวับไปในอากาศ!
บทที่ 507 ข้าอยากแก้แค้น!
โดย
Ink Stone_Fantasy
หวังเป่าเล่อกำลังขับเรือวิญญาณอยู่ในทะเลเพลิง เขาไม่ได้กลับขึ้นไปในทันที มัวออกตามหาหนูเพลิงนรกและจับมาได้สองตัว จากนั้นจึงออกจากทะเลเพลิงและเหาะลอยขึ้นไปในอากาศ
หนูเพลิงนรกจับยากมาก มันเหมือนผีที่หายตัวไปมาอยู่ในทะเลเพลิง มิน่าถึงได้มีรูปร่างเหมือนหนู เพราะวิ่งไวไม่ต่างกันเลย ชายหนุ่มดูเสียใจที่เลือกภารกิจนี้ เขาต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างมากกว่าจะจับมาได้สองตัว
ถ้าหนูเพลิงนรกไม่ได้อยู่ในทะเลเพลิง ด้วยระดับการฝึกตนของชายหนุ่มในตอนนี้ เขาคงสามารถจับมากี่ตัวก็ได้ แต่ตอนนี้ชายหนุ่มทำได้แค่ถอนหายใจ จากนั้นก็เอาหนูไปแลกเอาแต้มการรบและเดินทางกลับเกาะเพลิงเขียว
ระหว่างทางขากลับ เขาพยายามเรียกหาแม่นางน้อยซ้ำๆ หลังจากหลอมชิ้นส่วนเสร็จ เสียงของแม่นางน้อยก็เบาลงเรื่อยๆ จนเงียบหายไป หวังเป่าเล่อแปลกใจ คิดว่านางคงไม่ได้แกล้งตาย แต่น่าจะหลับใหลไปจริงๆ
ข้าจะคอยพึ่งแม่นางน้อยอยู่ตลอดไม่ได้ สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือแต้มการรบ… พอคิดถึงเรื่องแต้มการรบ ชายหนุ่มก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาเนื่องจากคิดขึ้นได้ว่าตอนนี้ตนเป็นหนี้อยู่ ในหัวเต็มไปด้วยหนทางการหาแต้มการรบเพิ่ม
ขณะที่จมอยู่ในห้วงความคิด เกาะเพลิงเขียวก็เด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ ในสายตา หวังเป่าเล่อกำลังจะมุ่งหน้าไปยังถ้ำที่พักของตนเอง แต่ก็พลันได้ยินเสียงตะโกนดังลั่นมาจากลานกว้างตรงตีนเขา เป็นเสียงที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังและเดือดดาล
“หวังเป่าเล่อ ข้ารอเจ้ามานานแล้ว เตรียมตัวตายเสีย!”
ทันทีที่เสียงตะโกนดังขึ้น ระฆังยักษ์ที่หวังเป่าเล่อปล่อยออกไปก็ระเบิดเป็นชิ้นๆ เหลียงหลงพุ่งออกมาในทันใด ทะยานไปทางหวังเป่าเล่ออย่างรวดเร็ว
รอบนี้ชายหนุ่มเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี กระบี่บินสีดำจากคาถาปรากฏขึ้นรอบกาย เหนือศีรษะมีศิลาภูผาขนาดมหึมาซึ่งภายในมีพลังแม่เหล็กอยู่ บรรยากาศรอบตัวบิดเบี้ยวในทันทีเมื่อมันปรากฏขึ้น มือขวาของเหลียงหลงมีวังน้ำวนที่สร้างขึ้นจากของเหลวสีแดงสดราวเลือด ในวังน้ำวนมีใบหน้าน่าหวาดกลัวมากมายกำลังดิ้นรนหาทางออกจากในนั้น ช่างเป็นภาพที่น่าขนลุกยิ่ง
เหลียงหลงจะทลายระฆังลงตั้งแต่เมื่อวานก็ได้ แต่เขาก็รอจนเตรียมตัวเสร็จ จากนั้นก็คอยจับตาดูสถานการณ์ด้านนอกและรอจนหวังเป่าเล่อกลับมา
ครั้งนี้ชายหนุ่มมั่นใจเป็นอย่างมาก เชื่อว่าแม้อีกฝ่ายจะมีระฆังแบบเดียวกันอีก ตนก็มีแผนรับมือเตรียมไว้แล้ว จะหลบก็ได้ ให้ทำลายทิ้งก็ไม่มีปัญหา ความโอหังในใจผสานเข้ากับความกระหายอยากแก้แค้น ชายหนุ่มร้องคำรามลั่นขณะจ้องเขม็งไปยังหวังเป่าเล่อที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
ทว่า…หวังเป่าเล่อกลับขมวดคิ้ว เขาไม่ชอบให้มีใครมาขัดเวลากำลังคิดอะไรอยู่ ตอนนี้ชายหนุ่มกำลังหมกมุ่นอยู่กับการหาวิธีที่จะได้แต้มการรบเพิ่มซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ไม่มีเวลามารับมือกับเหลียงหลง เขาโบกมือขวา หยิบผลึกแก้วขนาดเท่ากำปั้นเจ็ดถึงแปดชิ้นออกมาจากกระเป๋าคลังเวท
“ตะโกนไปเพื่ออะไร คิดว่าเสียงดังได้คนเดียวหรือ ไปเล่นคนเดียวไป!” หวังเป่าเล่อพูดพร้อมกับโยนผลึกแก้วใส่อีกฝ่าย ผลึกแก้วพุ่งไปทางเหลียงหลงอย่างรวดเร็ว
“หวังเป่าเล่อ ข้าจะทำให้เจ้าได้รู้ว่าผู้ฝึกตนนั้นควรจะเป็นเช่นไร ขยะชั้นต่ำเช่นเจ้าจะได้รู้ที่ต่ำที่สูงเสียที!” เหลียงหลงหัวเราะอย่างโอหัง เขาประสานมือตั้งผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ ศิลาภูผาเหนือศีรษะสั่นไหวอย่างรุนแรง คลื่นพลังวิญญาณพลันพวยพุ่งตรงไปทางผลึกแก้ว
“แหลกละเอียดไปเสีย!” เหลียงหลงร้องคำรามขณะพุ่งไปหาหวังเป่าเล่อ เขาคิดไว้แล้วว่าจะโจมตีอีกฝ่ายอย่างไรเมื่อเข้าประชิดตัวได้ ทันใดนั้น…ผลึกแก้วของหวังเป่าเล่อก็สั่นไหวและระเบิดเมื่อปะทะเข้ากับคลื่นพลังจากศิลาภูผาแม่เหล็ก
ผลึกแก้วไม่ได้แหลกละเอียดเป็นผุยผง แต่กลับแปรสภาพหลังจากระเบิด กลายเป็นตาข่ายแน่นหนาขนาดใหญ่พุ่งเข้าใส่เหลียงหลง
ตาข่ายจากผลึกแก้วเจ็ดแปดชิ้นดูแปลกประหลาด พลังแม่เหล็กจากศิลาภูผาไม่มีผลกับมันเลยแม้แต่น้อย เหลียงหลงตื่นตะลึง พยายามหลบ แม้จะหลบไปได้บ้าง แต่ก็ไม่สามารถหลบได้ทั้งหมด ขณะที่กำลังจะเข้าตาจน ชายหนุ่มก็ร้องคำรามลั่น ปล่อยพลังจากวังน้ำวนสีแดงในมือพร้อมควบคุมกระบี่บินรอบๆ เพื่อเข้าจัดการกับเหล่าตาข่าย
สมบัติเวทของเขาพุ่งเข้าปะทะตาข่าย ไม่มีเสียงอะไรดังขึ้น ทันทีที่คาถาและสมบัติเวทของชายหนุ่มสัมผัสตาข่าย พวกมันก็สูญพลัง ก่อนจะร่วงลงไปพร้อมตาข่าย
แม้แต่ศิลาภูผาบนศีรษะก็ถูกตาข่ายสองผืนคลุมจนร่วงลงไปบนพื้นเช่นกัน เหตุการณ์เบื้องหน้าทำให้เหลียงหลงตกใจจนพูดอะไรไม่ออก
ของพวกนี้คืออะไรกัน! ชายหนุ่มหายใจถี่รัวขณะมองออกไป นัยน์ตาดำหดเล็กเมื่อเห็นหวังเป่าเล่อเคลื่อนผ่านไปพร้อมโยนผลึกแก้วออกมาเพิ่ม
เหล่าผลึกแก้วพุ่งตรงมาทางชายหนุ่มในชั่วพริบตา เหลียงหลงพยายามจะหลบ แต่ก็หลบบางส่วนไม่พ้น ในที่สุดผลึกแก้วก็ระเบิดกลายเป็นตาข่ายผืนใหญ่ เขาถูกตาข่ายสี่ผืนรวบไว้ ก่อนจะตกลงไปบนพื้นเสียงดัง!
เหลียงหลงหน้าแดงจัดขณะพยายามดิ้นรนพร้อมร้องคำราม ตาข่ายนั้นแน่นหนาและยืดหยุ่นมาก ไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไรก็ไม่สามารถหลุดออกไปได้ นอกจากลุกขึ้นยืนก็ทำได้เพียงฉีกตาข่ายออกเป็นชั้นบางๆ
ฝันร้ายของเขายังไม่จบลงเพียงแค่นั้น ทั้งหมดนี้เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น ขณะที่เหลียงหลงตะเกียกตะกายลุกยืนขึ้น หวังเป่าเล่อก็ตั้งผนึกฝ่ามือปล่อยตาข่ายออกมาตะปบใส่เหลียงหลงราวกับเป็นแผ่นแป้งขนาดยักษ์
“หวัง…เป่า…” เหลียงหลงตาแดงก่ำจนเหมือนเลือดจะหยดออกจากตา เขาร้องคำรามด้วยความเดือดดาลอันมากล้นกว่าครั้งใดๆ ยังไม่ทันจะได้ร้องสุดเสียง ชั้นตาข่ายเหนียวก็ตะปบทับซ้อนกันไปมาจนเสียงของชายหนุ่มเงียบหายไป…
หากมองดูไกลๆ ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าคนผู้นี้คือเหลียงหลง สิ่งที่เห็นนั้นเป็นเพียงร่างที่โดนตาข่ายหลายชั้นซ้อนทับผนึกกดติดกับพื้น และทำได้เพียงดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งเท่านั้น…
หวังเป่าเล่อกลับถ้ำที่พักไป ไม่ชายตามองเหลียงหลงเลยแม้แต่น้อย เขารู้สึกว่าการสั่งสอนเหลียงหลงนั้นเป็นเรื่องง่ายดาย ไม่จำเป็นต้องไปให้ค่าอะไรมาก ทว่าเหล่าผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นบนเกาะเพลิงเขียวนั้นเห็นต่างออกไป โดยเฉพาะโจวเปี่ยว พวกเขาตื่นตกใจเมื่อได้เห็นภาพเหตุการณ์ตรงหน้า แม้จะรู้สึกสงสารเหลียงหลง แต่ความเคารพยำเกรงในตัวหวังเป่าเล่อก็พุ่งสูงขึ้น
“ชายคนนี้แข็งแกร่งเกินไป แค่โยนอะไรไม่รู้ออกมา เหลียงหลงก็คลุ้มคลั่งแต่ตอบโต้อะไรกลับไปไม่ได้เลย…”
“ไม่ใช่แค่นั้น พวกเจ้าสังเกตไหม เจ้าหวังเป่าเล่อ…พอจู่โจม เขาจะทำให้คู่ต่อสู้…จะว่าอย่างไรดี ทั้งระฆังกับอะไรไม่รู้ที่ใช้เมื่อครู่ เขาชอบทำให้คู่ต่อสู้หงุดหงิดจนคิดอยากตาย!”
“อย่าไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจดีกว่า เขาดูจะมีความคิดชั่วร้ายอยู่เต็มหัว นอกจากนี้ยังเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นอีกด้วย”
ขณะที่โจวเปี่ยวและคนอื่นๆ กำลังหวาดเกรงความชั่วร้ายของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มก็กำลังครุ่นคิดหาวิธีเพิ่มแต้มการรบอย่างหนักหลังจากกลับถึงที่พักแล้ว ชายหนุ่มหันไปมองแผ่นหินรับภารกิจ ภารกิจที่ได้แต้มการรบเยอะที่สุดคือภารกิจรวบรวมตราประจำตัว
ตราประจำตัวนั้นต้องเข้าไปหาในตัวกระบี่ หวังเป่าเล่อเริ่มรวบรวมข้อมูลต่างๆ สองสามวันต่อมา เขาก็นั่งขมวดคิ้วพลางถอนหายใจอยู่ภายในห้อง จากข้อมูลที่ได้มา ตัวกระบี่ที่ถูกฝังลึกอยู่ในดวงอาทิตย์นั้นเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยภัยอันตราย แม้จะเป็นผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในก็ยังมีโอกาสเสียชีวิตสูงหากเข้าไปในตัวกระบี่ ตามปกติแล้ว คนจากสำนักวังเต๋าไพศาลจะตั้งกลุ่มกันเข้าไป ไม่ค่อยมีใครเข้าไปตามลำพังสักเท่าใด
แม่นางน้อยยังคงหลับใหล ชายหนุ่มจึงไม่ค่อยมั่นใจว่าจะทำได้สำเร็จ เขาตัดสินใจพักเรื่องภารกิจรวบรวมตราประจำตัวในตัวกระบี่ไปก่อน เว้นเสียแต่ว่าจะไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริงๆ
จะให้เป็นเช่นนี้ไปตลอดไม่ได้… หวังเป่าเล่อลูบหน้าผาก ดวงตาฉายแววชั่วร้ายเมื่อผุดคิดขึ้นว่าควรจะไปขโมยคนอื่น…ไหนๆ ก็มีเหยื่อคนหนึ่งอยู่ใกล้ตัวแล้ว
แต่ถ้าทำเช่นนั้น เขาก็ต้องฆ่าปิดปากคนเหล่านั้น ไม่ก็ต้องคอยจัดการไม่ให้พวกเขาแจ้นไปฟ้องสำนัก…
น่าปวดหัวจริงๆ… หวังเป่าเล่อส่ายหัว หยิบแผ่นหยกเครือข่ายวิญญาณประจำพื้นที่ออกมา ตั้งใจจะตรวจดูว่าคนอื่นๆ รวบรวมแต้มการรบไปได้เท่าไหร่และมีวิธีดีๆ วิธีใดในการหาแต้มการรบบ้าง
เขาเห็นข้อความจากหลี่อี้ทันทีที่เปิดเครือข่ายวิญญาณ
“สหายเต๋า พวกเจ้าต้องขยันกว่านี้ ข้ารวบรวมไปได้หกร้อยแต้มแล้ว!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น