ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 505-511
ตอนที่ 505 จินอวี้หวน
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลิ่วหมิงมองดูป้ายนิกายบนเอวแล้วคิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหน้าไปมา
หากอยากจะรวบรวมแต้มคุณูปการให้ครบสองหมื่นแต้มในระยะเวลาสั้นๆ ย่อมเป็นไปไม่ได้ เขาไม่ยอมเสี่ยงอันตรายไปรับภารกิจยากๆ ของนิกายเพียงเพราะแต้มคุณูปการที่ขาดเพียงเล็กน้อยเด็ดขาด เพราะจำนวนของแต้มคุณูปการมีส่วนสัมพันธ์กับความยากง่ายของภารกิจ เขาไม่อยากเสียชีวิตด้วยเหตุผลแปลกๆ
ส่วนบัญชีความเป็นความตายนั้น เขายิ่งไม่ได้พิจารณาด้วยซ้ำ ด้านหนึ่งเป็นเพราะว่าผู้ฝึกฝนชั่วร้ายเหล่านั้นลึกลับเป็นอย่างมาก ไม่สามารถจับเส้นสนกลในได้เลยแม้แต่น้อย ไม่มีเวลาพอที่จะไปตามหา ส่วนอีกด้านหนึ่ง ผู้ฝึกฝนชั่วร้ายหนึ่งร้อยอันดับแรกล้วนไม่ใช่คนดี ตัวเขาเองก็ไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวชั่วคราว และรางวัลของผู้ที่ยังไม่เข้าร้อยอันดับแรก มันก็ไม่เพียงพอสำหรับเขา
น่าเสียดายที่เขาไม่อาจรอถึงตอนที่ดูดกลืนพลังเวท ทำให้พลังเวทบริสุทธิ์แล้วค่อยทะลวงคอขวด มิเช่นนั้นต่อให้ไม่อาศัยพลังจากภายนอก เขาก็มีความเชื่อมั่นในการทะลวงเขตแดนของเหลวขั้นปลายไม่ใช่น้อย
หลิ่วหมิงใช้จิตกวาดดูโอสถสีเงินในหอยสังข์ย่อส่วนที่อยู่บนเอว และยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
ครั้งนี้เขาใช้แต้มคุณูปการพลิกดูคัมภีร์แนะนำโอสถอย่างไม่เสียดาย แต่ยังคงไม่ค้นพบอะไร แม้ในใจจะรู้ว่าโอสถนี้ไม่ธรรมดา แต่ภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมัน ย่อมไปอาจเสี่ยงอันตรายไปทำอะไรกับมันได้
สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย หลังจากถอนหายใจเบาๆ แล้ว ก็ได้แต่พักเรื่องนี้ไว้ชั่วคราว
……
ผ่านไปราวๆ ครึ่งชั่วยาม หลังจากหลิ่วหมิงไปจากหอนานัปการแล้ว ก็ผ่านยอดเขาสูงตระหง่านหลายลูก และผ่านเทือกเขาที่ทอดยาวติดต่อกันผืนหนึ่ง จนมาถึงอากาศเหนือหุบเขาขนาดใหญ่ที่มีภูเขาล้อมรอบ บริเวณนั้นมีแสงหลบหลีกของผู้คนที่สัญจรไปมา
หลังจากเขากวาดสายตาดูเครื่องหมายบนแผนที่ของนิกายยอดบริสุทธิ์ที่อยู่ในมือแล้ว ก็มั่นใจว่าหุบเขาขนาดใหญ่นี้เป็นตลาดในนิกายยอดบริสุทธิ์
พอทอดสายตามองออกไป ตลาดในหุบเขาแห่งนี้ครอบครองพื้นที่ราวๆ หนึ่งพันหมู่ ดูคล้ายกับเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่ง
ทั่วทั้งตลาดมีลานหินสีดำเป็นศูนย์กลาง มีทางเดินทอดยาวไปเหนือตกออกใต้ ถนนทางใต้ทอดยาวไปตรงทางเข้าหุบเขา ริมถนนทั้งสองด้านมีตึกรามบ้านช่องขนาดต่างๆ ทั่วทั้งตลาดถูกจัดเรียงเป็นรูปวงรี
แม้จะบอกว่าเป็นตลาดในนิกาย แต่มันก็เหมือนกับตลาดในโลกภายนอก มีชั้นจำกัดเหินเวหาวางอยู่ห่างจากตลาดไปหลายลี้
หลังจากหลิ่วหมิงร่อนลงบนพื้นที่โล่งมุมหนึ่งแล้ว ก็ค่อยๆ เดินเข้าไปยังทางเข้าหุบเขา
พอหลิ่วหมิงเข้าไปในตลาด ก็ค้นพบว่าผู้คนบนท้องถนนคึกคักเป็นอย่างมาก ผู้คนที่ผ่านไปมามีผู้ที่สวมชุดศิษย์สายนอก และผู้ที่มีจำนวนมากสุดย่อมเป็นศิษย์ธรรมดา
ขณะที่เดินไปด้วย เขาก็กวาดสายตาดูร้านค้าสองข้างทางอยู่ตลอด ซึ่งมีขนาดค่อนข้างใหญ่
ไม่นาน หลิ่วหมิงก็มาถึงลานใจกลางหุบเขาขนาดใหญ่ แต่จะเห็นว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ของลานกว้าง มีแผงขายของตั้งเรียงรายเต็มไปหมด
สิ่งที่ทำให้หลิ่วหมิงค่อนข้างรู้สึกตกใจก็คือ แผงร้านค้าในตลาดส่วนมากล้วนเป็นของศิษย์ธรรมดา และมีของศิษย์สายนอกเพียงส่วนน้อยเท่านั้น
หลิ่วหมิงเดินดูหนึ่งรอบอย่างไม่รีบร้อน และเลี้ยวไปยังทางถนนเส้นหนึ่งที่อยู่ด้านหน้า จากนั้นก็เดินเข้าร้านค้าเล็กๆ ที่ดูไม่เตะตาร้านหนึ่งที่ตั้งอยู่มุมถนน
ไม่นาน เขาก็เดินออกมาแล้วหันหน้าเดินอ้อมไปทางถนนแคบๆ สายหนึ่ง และเดินเข้าไปในร้านค้าอีกร้านหนึ่ง
เขาทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนเวลาผ่านไปราวๆ ครึ่งชั่วยาม ขณะที่เขาเดินออกจากร้านค้าขนาดกลางแห่งหนึ่งนั้น สีหน้าของเขาก็ดูผ่อนคลายมาก ถุงผ้าบนเอวมีหินจิตวิญญาณเพิ่มขึ้นมาจากก่อนหน้าสี่แสนกว่าหินจิตวิญญาณ และแก่นบริสุทธิ์กับวัสดุที่ได้มาจากแดนอบอ้าว ก็ถูกเขาขายออกไปจนหมด
เนื่องจากเป็นตลาดในนิกาย หลิ่วหมิงจึงไม่คำนึงถึงอะไรมาก เพียงแค่ขายวัสดุให้กับร้านค้าที่ดูไม่เตะตาไม่กี่แห่ง แต่มีกำลังทรัพย์ที่เพียงพอก็เท่านั้น
ส่วนผลึกพลังเวทของราชาอัคคีจิตวิญญาณนั้น แม้จะเป็นวัสดุชั้นยอดในการปรุงโอสถ แต่เนื่องจากมีจำนวนจำกัด และวิชาปรุงโอสถที่เขาเรียนในก่อนหน้านั้น ยังไม่ถึงขั้นที่จะปรุงโอสถที่เขตแดนของเหลวขั้นปลายต้องการได้ หลังจากคิดใคร่ครวญดูแล้ว ก็ถูกเขาขายออกไปเม็ดละสองหมื่นหินจิตวิญญาณ
ต่อมา เขาเดินกลับเข้าไปในลานกว้าง และเดินไปหน้าแผงที่เขาแอบหมายตาไว้ในก่อนหน้านี้ และสอบถามเกี่ยวกับโอสถสองสามชนิดที่เกี่ยวข้องกับการทะลวงคอขวด
หนึ่งชั่วยามต่อมา หลิ่วหมิงก็กล่าวลากับผู้อาวุโสผมล้านที่ตั้งแผงร้านค้าด้วยรอยยิ้ม ภายในหอยสังข์ย่อส่วนของเขาในขณะนี้ มีโอสถสีฟ้ากับสีดำอย่างละหนึ่งเม็ด
สามารถซื้อโอสถที่ช่วยเพิ่มอัตราการทะลวงเขตแดนให้สำเร็จได้สองเม็ดในทีเดียว ทำให้หลิ่วหมิงดีใจเป็นพิเศษ เพราะโดยปกติแล้วโอสถชนิดนี้ หาได้ยากนัก
พอนึกถึงผู้อาวุโสร่างเตี้ยเล็ก ทั้งยังหลังค่อมและหัวล้านเล็กน้อยแล้ว หลิ่วหมิงยังคงรู้สึกประหลาดใจอยู่ คนผู้นี้เป็นศิษย์ธรรมดาระดับของเหลวขั้นต้น แต่กลับรู้ว่าเขาต้องการอะไร จึงนำโอสถทั้งสองเม็ดออกมาในทันที
หลังจากหลิ่วหมิงตรวจสอบดู ก็มั่นใจว่าโอสถทั้งสองเม็ดคือ ‘โอสถผลึกดำ’ กับ ‘โอสถวารีสีฟ้า’ ตามบันทึกในคัมภีร์ที่ช่วยยกระดับการทะลวงคอขวดนั่นเอง
หลังจากเขาถกราคาเล็กน้อยแล้ว ก็ซื้อมาในราคาเม็ดละหนึ่งแสนหนึ่งหมื่นหินจิตวิญญาณ
เขาเร่งฝีเท้าเล็กน้อย เพื่อเดินไปอีกด้านหนึ่งของลานกว้าง
แต่ทว่าหลังจากเขาเดินออกไปได้ร้อยกว่าจั้ง กลับเห็นผู้คนกำลังล้อมแผงของหญิงนางหนึ่ง และแผงตรงหน้านางก็มียันต์ที่เปล่งแสงสีเขียวผืนหนึ่ง
ยันต์ผืนนี้เปล่งแสงสีเขียวแวววาว บนพื้นผิวมีลวดลายจิตวิญญาณสีเงินทับซ้อนเป็นชั้นๆ ราวกับตาข่ายจำนวนมากที่ปกคลุมอยู่
ตอนแรกหลิ่วหมิงรู้สึกตกใจมาก แต่หลังจากจ้องมองด้วยสีหน้าตกตะลึงแล้ว ก็ค้นพบว่ายันต์ผืนนี้คือยันต์ทะลวงเส้นลมปราณที่ต้องใช้สองร้อยแต้มคุณูปการในการแลก!
คิดไม่ถึงว่ายันต์ชนิดนี้ จะมาปรากฏตัวบนแผงร้านค้าใจกลางลานกว้างของตลาดในนิกาย สิ่งนี้ย่อมทำให้เขาทั้งรู้สึกตกใจระคนดีใจ
หากเขาสามารถใช้หินจิตวิญญาณซื้อยันต์นี้ได้ล่ะก็ ย่อมช่วยประหยัดเวลาในการไปสะสมแต้มคุณูปการมาก
หลิ่วหมิงเบียดตัวเข้าไปมุงดูด้วยสีหน้าสงบ
แต่จะเห็นว่าชายฉกรรจ์หน้าตาอัปลักษณ์ผู้หนึ่ง กำลังพูดอะไรกับหญิงผู้นี้อยู่
“ศิษย์น้องจินอวี้หวน ข้าได้ยินมาว่ายันต์ทะลวงเส้นลมปราณของเจ้านี้ จะให้อย่างเดียวและไม่ขาย แต่ต้องไปกับเจ้าสักครั้ง ช่วยเจ้าทำเรื่องอย่างหนึ่งให้สำเร็จก็พอแล้ว ไม่ทราบว่าศิษย์น้อง คิดว่าข้าเป็นอย่างไรบ้าง?” ชายอัปลักษณ์กล่าว ขณะเดียวกัน ก็แผ่กลิ่นไอระดับของเหลวขั้นปลายของตนเองออกมา และจ้องมองยันต์ทะลวงเส้นลมปราณบนแผงด้วยสายตาละโมบ
“หากเจ้ารับปากไปสถานที่อันตรายกับข้า และรับรองความปลอดภัยให้ข้าได้ ยันต์ทะลวงเส้นลมปราณจะเป็นค่าตอบแทนในครั้งนี้” หญิงสาวสวยสดงดงามสังเกตดูชายฉกรรจ์เล็กน้อย หลังจากเม้มริมฝีปากแล้ว ก็กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“อ๋อ? ถ้าอย่างนั้น ไม่ทราบว่าศิษย์น้องจินจะให้ข้าไปสถานที่อันตรายแห่งใดกับเจ้า?” พอได้ยินหญิงสาวกล่าวเช่นนี้ ชายหน้าอัปลักษณ์ก็ตาเป็นประกาย จากนั้นก็หัวเราะและกล่าวออกมา
“สถานที่ใดนั้น ข้าไม่สะดวกที่จะบอก บอกได้แค่ว่าสถานที่แห่งนี้อันตรายอย่างแน่นอน ต่อให้เป็นศิษย์สายนอกไป ก็มีโอกาสเสียชีวิตไม่น้อย” หญิงใบหน้าสวยสดงดงามหยุดชะงักเล็กน้อย แต่กลับไม่คิดจะบอกชายฉกรรจ์หน้าตาอัปลักษณ์ตรงๆ
ผู้คนที่มุงดูอยู่เห็นเช่นนี้ ก็พากันกระซิบกระซาบอย่างอดไม่ได้ หลิ่วหมิงเองก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา
ยอมมอบยันต์ทะลวงเส้นลมปราณที่มีมูลค่าสูงเช่นนี้ สถานที่ที่นางพูดถึงย่อมเป็นสถานที่ที่อันตรายอย่างแน่นอน หากศิษย์ธรรมดาไปล่ะก็ เกรงว่าคงมีอันตรายถึงชีวิตจริงๆ ทั้งยังไม่บอกก่อนว่าเป็นสถานที่แห่งใด มองจากมุมบางแห่งแล้ว นับว่าเป็นเรื่องที่โหดร้ายอยู่บ้าง
“ได้! ไม่มีปัญหา เพียงแค่ศิษย์น้องมอบยันต์ทะลวงเส้นลมปราณนี้ให้ข้า ข้าจะไปกับเจ้าในทันที” เหนือความคาดหมายของหลิ่วหมิงไปหน่อย ชายอัปลักษณ์เพียงแค่ไตร่ตรองเล็กน้อย ก็ตอบรับด้วยตาที่เป็นประกาย
หญิงสาวงดงามดวงตาเป็นประกายด้วยความดีใจ พอสะบัดแขนเสื้อ แผ่นกระดาษประณีตหนาๆ แผ่นหนึ่งก็ปรากฏในมือ และคลี่ไปให้ชายฉกรรจ์หน้าตาอัปลักษณ์ดู
“สัญญาเวทของนิกาย?” พอชายอัปลักษณ์รับของสิ่งนี้มาอ่านดู สีหน้าก็เปลี่ยนไปในฉับพลัน
พอหลิ่วหมิงเขม้นตามอง ก็ต้องรู้สึกประหลาดใจเช่นกัน
สิ่งนี้ใช่แผ่นกระดาษซะที่ไหนกัน เห็นชัดๆ ว่าเป็นแค่ยันต์ที่แปลกประหลาดเท่านั้น
แต่บนผิวยันต์ผืนนี้มีแสงสีขาวสลัวๆ อักขระสีเลือดที่ดูโบราณหน่อยๆ ประทับอยู่บนนั้นเป็นจำนวนมาก มุมหนึ่งของกระดาษมีตราของนิกายประทับอยู่
“เจ้าเด็กนี่หมายความว่าอย่างไรกัน กะอีแค่ยันต์ทะยวงเส้นลมปราณ กลับให้ข้าลงนามสัญญาเวท” ชายอัปลักษณ์กร่นด่าออกมา
“ในเมื่อท่านรับปากไปกับข้า การลงนามในสัญญาเวทมีอะไรที่ไม่เหมาะสมเล่า?” หญิงสาวเห็นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วและตอบกลับด้วยความโมโห
ชายอัปลักษณ์กลับโยนสัญญาเวทใส่จินอวี้หวน หลังจากทำเสียงฮึดฮัดออกมาแล้ว ก็หันตัวเดินหนีไปทันที
เห็นได้ชัดว่าเขาวางแผนที่จะหลอกเอายันต์ทะลวงเส้นลมปราณมาไว้ก่อน ส่วนหลังจากนี้จะไปกับนางหรือไม่นั้น ก็ไม่อาจพูดได้
แม้ผู้คนที่มุงดูอยู่อยากจะได้ยันต์ทะลวงเส้นลมปราณใจจะขาด แต่พอเห็นสัญญาเวทในมือของหญิงสาว กลับมองหน้ากันอย่างอดไม่ได้ และต่างก็ปิดปากไม่กล้าพูดอะไรออกมา
แม้หลิ่วหมิงจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับสัญญาเวทนี้ แต่ขณะนั้นที่จ้องมองยันต์ทะลวงเส้นลมปราณที่วางอยู่บนแผงนั้น เขาก็ทำการครุ่นคิดอยู่ไม่หยุด
อย่างที่รู้ว่าตอนนี้ เขาอยู่ห่างจากการถูกดูดกลืนพลังเวทไม่มากแล้ว และการทะลวงระดับของเหลวขั้นปลาย ก็เป็นเรื่องจวนตัวแล้ว ต่อให้จะมีโอสถสองเม็ดที่ซื้อมาด้วยหินจิตวิญญาณจำนวนมากในก่อนหน้านั้น เขาก็ยังรู้สึกว่าไม่ค่อยปลอดภัยอยู่ดี
เพราะชีพจรจิตวิญญาณของเขามีคุณสมบัติต่ำเกินไป
และหากจะสะสมแต้มคุณูปการสองหมื่นแต้มในระยะเวลาสั้นๆ เพื่อไปแลกกับยันต์ทะลวงเส้นลมปราณล่ะก็ จะต้องไปทำภารกิจของหอในที่ให้แต้มเป็นจำนวนมากอย่างเลี่ยงไม่ได้ หากเป็นเช่นนี้ ไม่สู้ไปกับหญิงสาวตรงหน้าจะยังเร็วกว่าเสียอีก
แต่ว่าหญิงสาวที่ชื่อจินอวี้หวนไม่ได้บอกว่าจะไปที่ไหน ทำให้หลิ่วหมิงพะว้าพะวังยิ่งนัก
ส่วนสัญญาเวทนั้น เขากลับไม่ค่อยสนใจมากนัก
แต่หลังจากหลิ่วหมิงยืนพินิจพิเคราะห์อยู่ครู่หนึ่งแล้ว ก็ไม่สามารถต้านทานแรงยั่วยวนของของยันต์ทะลวงเส้นลมปราณได้ จึงตัดสินใจถามหญิงสาวทันที
แต่ขณะที่เขากำลังจะเดินเข้าไปนั้น พลันมีชายสวมชุดศิษย์สายนอกสองสามคน แหวกฝูงชนเข้ามา และเดินมาตรงหน้าแผงของจินอวี้หวน
ตอนที่ 506 สัญญาเวท
โดย
Ink Stone_Fantasy
จินอวี้หวนแหงนหน้ามองศิษย์สายนอกที่มาปรากฏตัวกระทันหันเหล่านี้ด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันที ดวงตาทั้งคู่จ้องมองชายหนุ่มแก้มตอบปากแหลมที่อยู่ในนั้น ดูเหมือนว่าพวกเขาจะรู้จักกัน
“ศิษย์น้องจิน ดูเหมือนว่าเจ้าจะลืมคำสั่งของศิษย์พี่ซาทงเทียนไปแล้ว ทุกท่าน หากไม่มีธุระอะไรล่ะก็ อย่าได้เพิ่มปัญหาให้กับศิษย์น้องจินเลย” ชายหนุ่มรูปร่างเตี้ยๆ ใบหน้าเป็นหลุมเป็นบ่อหัวเราะเฮ่อๆ! และชิงพูดออกมาก่อน
หลังจากชายตัวเตี้ยพูดชื่อซาทงเทียนออกมาแล้ว ฝูงชนที่อยู่มุงดูอยู่ก็เผยสีหน้าตกใจออกมา และเกิดความวุ่นวายขึ้น
“ซาทงเทียน”
“คือชายหนุ่มตะกูลซาที่กลายเป็นศิษย์สายในตั้งแต่อายุยังน้อยผู้นั้นหรือ?”
ไม่รู้ว่าใครกระซิบออกมา จากนั้นฝูงชนกว่าครึ่งหนึ่งก็หมุนตัวจากไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ส่วนคนที่ยังไม่เดินจากไป ต่างก็มีสีหน้าประหลาดใจเป็นอย่างมาก
บริเวณรอบๆ แผงของจินอวี้หวนเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง
แม้หลิ่วหมิงจะไม่รู้ที่มาของซาทงเทียนผู้นี้ แต่ฟังจากคำพูดของฝูงชนที่มุงดู ดูเหมือนว่าตระกูลซาจะมีเบื้องหลังอยู่บ้าง และดูเหมือนซาทงเทียนจะมีชื่อเสียงในกลุ่มศิษย์สายนอกไม่น้อย และพอมาคิดใคร่ครวญดูอีกที ที่หญิงผู้นี้นำยันต์ทะลวงเส้นลมปราณออกมาโดยง่ายเช่นนี้ คิดว่าคงจะมีที่มาอะไรบางอย่างแน่นอน
“ศิษย์พี่ซาให้พวกเรามาถามว่า เจ้าคิดอย่างไรกับเรื่องนั้น?” ชายหนุ่มหน้าตอบปากแหลมเดินออกจากฝูงชนอย่างเงียบๆ และเผยสีหน้าพอใจออกมา จากนั้นก็ถามด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม
จินอวี้หวนมองดูชายหนุ่มทีหนึ่ง ใบหน้าของนางซีดขาวเล็กน้อย แต่สีหน้ากลับดูเยือกเย็น และไม่พูดอะไรออกมา
“ศิษย์น้องจิน พวกเราก็ไม่ได้มาหาเข้าเป็นครั้งแรก ตามที่ข้ารู้มา เดิมทีตระกูลจินของเจ้ากับตระกูลซาต่างก็เป็นมิตรกันมาหลายร้อยปีแล้ว เรื่องดีงามราวกับเติมบุปผาลงบนผ้าดิ้นเงินดิ้นทองเช่นนี้ ใยต้องพิจารณาให้มากความด้วย?” พอชายที่มีท่าทีเหมือนบัณฑิตเห็นว่าหญิงสาวเงียบและไม่พูดอะไรออกมา เขาก็กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างอ่อนโยน
“พวกเจ้าล้มเลิกความคิดนี้เถอะ! ข้าจะไม่ตอบรับซาทงเทียนอย่างเด็ดขาด” ขณะนี้ จินอวี้หวนกัดฟันพูดด้วยสีหน้าซีดขาว ดวงตาของนางดูเด็ดขาดเป็นอย่างมาก
พอได้ยินเช่นนี้ ชายหนุ่มหน้าตอบแก้มแหลมกับชายเตี้ยอัปลักษณ์ก็มีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย ส่วนชายหนุ่มที่มีท่าทีเหมือนบัณฑิตก็ส่ายหน้าอย่างอดไม่ได้
“ฮึ! ในเมื่อศิษย์พี่ซาพูดออกมาก่อนแล้ว ยังจะมีศิษย์สายนอกคนใดกล้าเสี่ยงอันตรายช่วยเจ้าอีกเล่า ศิษย์น้องจิน เจ้าลองคิดให้ดีๆ อีกครั้ง พวกข้าจะมาหาเจ้าอีกแน่นอน” ชายหนุ่มหน้าตอบแก้มแหลมตั้งใจพูดออกมาดังๆ
หลังจากคนเหล่านี้ส่งเสียงหัวเราะแล้ว ก็เดินจากไปด้วยท่าทีหยิ่งยะโสในทันที
ขณะนี้ จินอวี้หวนมีสีหน้าเขียวปัด พอแหงนหน้ามองผู้คนที่มุงดูอยู่ พวกเขาก็พากันหลบสายตาของนางทั้งหมด
นางรู้สึกเย็นยะเยือกในใจ จากนั้นก็ลุกขึ้นมาเก็บแผง และเดินไปตามถนนทางใต้ที่เป็นทางออกอย่างเงียบๆ ท่ามกลางสายตาของฝูงชน
พอออกจากตลาด นางก็ทำท่ามือเบาๆ จากนั้นก้อนเมฆสีขาวก็พยุงตัวนางขึ้นมา ไม่นานก็หายไปจากสายตาของผู้คน
ขณะนี้ ผู้คนที่เหลืออยู่ต่างก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ออกมา
“ตามที่ข้าทราบมา ตระกูลจินกับตระกูลซาเป็นมิตรกันจริงๆ แต่นั่นเป็นเรื่องเมื่อหลายร้อยปีก่อนแล้ว ตอนนั้นทั้งสองตระกูลต่างก็มีศิษย์สายตรงระดับแก่นแท้ตระกูลละคน และทั้งสองตะกูลต่างก็สนิทสนมกันดี แต่น่าเสียดาย ตั้งแต่บรรพบุรุษของจินอวี้หวนเสียชีวิต ในระยะร้อยปีมานี้ตระกูลจินก็ค่อยๆ ตกต่ำลง ตอนนี้ในตระกูลของนางไม่มีผู้แข็งแกร่งระดับผลึกแม้แต่คนเดียว เหลือเพียงแค่จินอวี้หวนที่ยังอาศัยบารมีของบรรพบุรุษ ถึงกลายเป็นศิษย์สายนอกที่มีการฝึกฝนระดับของเหลวได้” ผู้อาวุโสผมขาวที่สวมชุดศิษย์สายนอก อายุราวๆ หกสิบเจ็ดสิบปี หันไปพูดกับสหายไว้หนวดเคราผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ข้างๆ
“ข้าไม่ค่อยรู้จักตระกูลจินมากนัก แต่ตระกูลซาข้าพอจะรู้จักอยู่บ้าง ตระกูลซามีผู้แข็งแกร่งระดับผลึกหลายคน และซาทงเทียนก็มีคุณสมบัติไม่เลว ทั้งยังมีพรสวรรค์ทางด้านการฝึกฝน ถูกผู้อาวุโสยอดเขากระบี่สวรรค์เห็นความสำคัญ และรับเป็นศิษย์สายในตั้งแต่อายุยังน้อย ภายในระยะเวลาสั้นๆ ก็เข้าสู่ระดับของเหลวขั้นปลายได้ ทั้งยังเป็นผู้ฝึกกระบี่ด้วย สามารถพูดได้ว่าเป็นศิษย์ที่มีศักยภาพที่สุดของตระกูลซา ได้ยินมาว่าภายหน้าอาจจะได้เป็นศิษย์สายตรง จะว่าไปก็แปลก! ด้วยพลังของซาทงเทียนกับอิทธิพลของตระกูลซาในขณะนี้ การหาคู่รักฝึกฝนเป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่งนัก แต่เขากลับต้องการจินอวี้หวน ไม่รู้มีเรื่องอะไรแอบแฝงอยู่หรือเปล่า” ชายไว้หนวดเคราที่อยู่ด้านข้างกล่าวออกมา
“พูดเช่นนี้ก็แสดงว่า ที่สองตระกูลกลายเป็นศัตรูกันในหลายปีมานี้ ก็เพราะเรื่องที่นางไม่ยอมเป็นคู่รักฝึกฝนหรอกหรือ?” ผู้อาวุโสผมขาวได้ยินก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา
“นางปฏิเสธน้ำใจของตระกูลซาไปหลายครั้ง คาดว่าคงจะทำให้ซาทงเทียนโมโห คนผู้นี้ไปตักเตือนศิษย์สายนอก และศิษย์ธรรมดาที่เข้าใกล้จินอวี้หวนตามที่ต่างๆ และประกาศว่าหากใครช่วยเหลือจินอวี้หวนก็จะเป็นศัตรูกับเขา คนจำนวนหนึ่งกลัวจะหาเรื่องใส่ตัว จึงทำตัวห่างเหินกับจินอวี้หวน มิเช่นนั้นนางคงไม่ถึงกับต้องมาปรากฏตัวในตลาด และใช้ยันต์ทะลวงเส้นลมปราณที่มีมูลค่าน่าตกใจเช่นนี้ เพื่อหาคนช่วยนางหรอก” ชายที่ไว้หนวดเคราหัวเราะย่างขมขื่น และค่อยๆ กล่าวออกมา
คนอื่นๆ ก็พากันวิพากษ์วิจารณ์อยู่ชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นก็แยกย้ายกันไป
พอหลิ่วหมิงได้ยินว่า ซาทงเทียนผู้นั้นเป็นแค่ศิษย์สายในระดับของเหลว เขาก็คิดไตร่ตรองอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ก้าวยาวๆ ไปทางที่จินอวี้หวนจากไป พอออกจากประตูใหญ่ของตลาดแล้ว ก็ขี่เมฆทะยานขึ้นฟ้าทันที
……
ทางด้านใต้ของตลาดในนิกายยอดบริสุทธิ์ หลังจากผ่านเขาเล็กๆ ที่สูงสิบกว่าจั้งไปสองลูก ก็จะเป็นป่าเฟิงแดงที่หนาแน่นเป็นอย่างมาก พอทอดสายตามองออกไป จะดูคล้ายกับทะเลเพลิง
สถานที่แห่งนี้มักจะมี ‘หนอนใบไม้แดง’ ที่กินใบเฟิงสีแดงเป็นอาหาร หนอนชนิดนี้นอกจากจะนำมาทำเป็นโอสถถอนพิษทั่วไปแล้ว ก็ไม่มีมูลค่าใดๆ อีก ด้วยเหตุนี้จึงมีคนมาสถานที่แห่งนี้น้อยมาก
หญิงสาวใบหน้าสวยสดงดงาม สวมชุดสีขาวกลับยืนอยู่ในส่วนลึกของป่า สีหน้าของนางเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ตลอดเวลา ดูเหมือนจะมีเรื่องหนักใจเป็นอย่างมาก และนางก็คือจินอวี้หวนนั่นเอง
หนึ่งชั่วยามก่อน ขณะที่นางออกไปจากตลาดไม่นาน และผ่านยอดเขาไปสองลูกเพื่อเตรียมกลับถ้ำที่พักนั้น พลันได้ยินเสียงราบเรียบดังขึ้นข้างหู
“แม่นางจิน ข้ายินดีไปสถานที่อันตรายแห่งนั้นกับเจ้า เพื่อแลกกับยันต์ทะลวงเส้นลมปราณผืนนั้น หากแม่นางยินยอมล่ะก็ อีกหนึ่งชั่วยามให้หลัง มาเจอกันตรงป่าเฟิงแดงทางด้านใต้ของตลาด”
และผู้ที่ส่งเสียงมานี้ ดูเหมือนจะมีระดับการฝึกฝนค่อนข้างสูง จินอวี้หวนใช้เคล็ดวิชาสำรวจดูในระยะหลายลี้ ก็ไม่ค้นพบร่องรอยของเขาเลยแม้แต่น้อย หลังจากนางลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ก็เปลี่ยนทิศทางพุ่งมายังป่าเฟิงแดงทางด้านใต้ในทันที
หลังจากรอจนเวลาผ่านไปราวๆ ครึ่งถ้วยชา ก็มีเสียงสวบสาบดังมาจากทิศทางบางแห่งของป่า จากนั้นเงาร่างสีดำก็กระพริบออกมา และหลังจากที่มันพร่ามัวแล้ว ชายหนุ่มผู้หนึ่งก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าจินอวี้หวน
ซึ่งเขาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
“ไม่ทราบว่า……”
คำว่า “ท่าน” ยังไม่ทันออกจากปาก จินอวี้หวนก็ใช้พลังจิตกวาดออกไปดู และจ้องมองชายหนุ่มสวมชุดศิษย์สายนอก ที่มีการฝึกฝนแค่ระดับของเหลวขั้นกลางด้วยความประหลาดใจ
“แม่นางจิน ข้ายินดีไปสถานที่อันตรายกับเจ้า และรับรองความปลอดภัยให้ ตอนอยู่ในตลาด แม่นางยอมใช้ยันต์ทะลวงเส้นลมปราณเป็นข้อแลกเปลี่ยน ตอนนี้ยังคงเป็นเช่นนั้นหรือไม่?” หลิ่วหมิงพูดออกมาตามตรง
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่ว่าศิษย์พี่ผู้นี้ สถานที่ข้าจะไปนั้นอันตรายมาก หากพลังไม่พอล่ะก็ เกรงว่า……”
จินอวี้หวนสังเกตดูหลิ่วหมิงสองสามที ชายหนุ่มตรงหน้ามีหน้าตาธรรมดา รูปร่างก็ธรรมดามาก ระดับการฝึกฝนก็ต่ำกว่าชายฉกรรจ์ในตลาดไปหน่อย สีหน้านางจึงเกิดความลังเลขึ้นมา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย และตะคอกเสียงออกมาในฉับพลัน ไอดำพวยพุ่งออกมาจากตัว ขณะที่มีเสียงดังเปรี๊ยะๆ! แขนข้างหนึ่งก็ขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่า และชกลงพื้นอย่างรุนแรง
ชั่วขณะนั้น หญิงผู้นี้ก็รับรู้ได้ถึงแรงกดดันมหาศาลที่โผเข้ามา เทียบกับระดับของเหลวขั้นปลายแล้ว ดูเหมือนจะแข็งแกร่งกว่าเล็กน้อย ทำให้นางรู้สึกเย็นสะท้านขึ้นมาทันที หลังจากมีเสียงดัง “ตู๊มต๊าม!” พื้นดินก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
ขณะเดียวกัน พายุบ้าระห่ำก็ม้วนตัวเข้ามาจากทั่วทิศ จนฝุ่นปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า หลังจากฝุ่นสลายไปหมดแล้ว ก็มีหลุมยักษ์ที่ลึกหลายจั้งปรากฏออกมาอย่างแจ่มชัด ในหลุมยังมีต้นเฟิงแดงจำนวนหนึ่งล้มระเนระนาดอยู่ในนั้น
จินอวี้หวนมองหลุมลึกบนพื้น และมองหลิ่วหมิงทีหนึ่งอย่างอดไม่ได้ สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความตกใจ
“ไม่ทราบว่าแม่นางจินพอใจหรือไม่?” หลิ่วหมิงเก็บไอดำเข้าไป และกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ท่านมีพลังน่าตกใจมาก หากยอมไปกับข้าในครั้งนี้ หลังจากเสร็จเรื่องแล้ว ยันต์ทะลวงเส้นลมปราณที่สัญญาไว้ย่อมมอบให้กับท่าน”
“ดีมาก! แต่ข้าก็มีเงื่อนไขสองอย่างเช่นกัน” หลิ่วหมิงไม่มีสีหน้าสะทกสะท้านแต่อย่างใด จากนั้นก็เลิกคิ้วกล่าวออกมา
“ศิษย์พี่มีเงื่อนไขอะไรก็พูดมาได้เลย” เห็นได้ชัดว่านางคิดไม่ถึงว่าหลิ่วหมิงจะมีเงื่อนไขด้วย จึงเอ่ยปากถามด้วยความตกตะลึงเล็กน้อย
“ประการแรก ข้าสามารถลงนามในสัญญาเวทนั้นได้ แต่ต้องมอบยันต์ทะลวงเส้นลมปราณให้ข้าก่อน ประการที่สอง เรื่องที่ข้าช่วยเหลือแม่นางนั้น ข้าไม่อยากให้คนอื่นรับรู้ และไม่อยากล่วงเกินศิษย์สายในกับตระกูลของเขาด้วย” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน
“เงื่อนไขของพี่หลิ่วนั้น ข้าตอบรับก็ได้ แต่สัญญาเวทนี้ ก็ต้องลงนามในตอนนี้” พอจินอวี้หวนนึกถึงเหตุการณ์ในตลาดแล้ว ก็คิดว่าต่อไปคนที่จะยอมยื่นมือเข้าช่วยนาง โดยที่ไม่สนใจว่าจะล่วงเกินซาทงเทียนนั้น คงมีอยู่น้อยมาก ดังนั้นนางจึงกัดฟัน และตกปากรับคำทันที
พูดจบ นางก็หยิบสัญญาเวทของนิกายยื่นให้หลิ่วหมิง
ก่อนหน้านั้นหลิ่วหมิงเพียงแค่มองดูจากที่ไกลๆ ตอนนี้เขาเอามันมาแปะไว้บนหน้าผาก พอใช้จิตกวาดดู ก็จะเห็นว่ามีอักขระเล็กๆ ลอยขึ้นมาแถวหนึ่ง เนื้อหาของมันระบุว่าผู้ลงนามจะต้องไปสถานที่แห่งหนึ่งกับหญิงนางนี้ และขณะที่คุ้มครองความปลอดภัยของนาง ก็คอยช่วยนางทำเรื่องหนึ่งให้สำเร็จภายใต้ความสามารถที่มีอยู่
“นี่คือสัญญาเวทที่นิกายเราทำขึ้นมาโดยเฉพาะ พอใช้โลหิตบริสุทธิ์ลงนามแล้ว ผู้ลงนามทั้งสองฝ่ายเพียงแค่ทำตามที่ระบุไว้ในสัญญา หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฝ่าฝืนล่ะก็ จะถูกพลังของสัญญาเวทสะท้อนกลับ อย่างเบาก็คือจิตวิญญาณได้รับบาดเจ็บสาหัส อย่างหนักก็คือโลหิตจะลุกไหม้จนเสียชีวิต แน่นอนว่าผู้ที่มีระดับการฝึกฝนเหนือกว่าสัญญาเวท ก็จะไม่อยู่ภายใต้ข้อผูกมัดของสัญญาเวทแต่อย่างใด ด้วยเหตุนี้จึงมีแต่ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ขึ้นไปเท่านั้น ถึงจะสร้างสัญญานี้ขึ้นมาได้” พอจินอวี้หวนเห็นความลังเลในแววตาของหลิ่วหมิง นางก็รีบอธิบายออกมา
หลิ่วหมิงย่อมไม่คิดจะฝ่าฝืนสัญญาเวทแต่อย่างใด ทันใดนั้น เขาก็พ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมากลุ่มหนึ่ง จากนั้นก็เอามือจิ้มมัน และแตะลงบนสัญญาเวท
แสงสีเขียวเปล่งประกายออกมาบนสัญเวท โลหิตบริสุทธิ์ค่อยๆ จมหายเข้าไปในนั้น แสงโลหิตเปล่งประกายจางๆ ตรงมุมซ้ายล่าง ผ่านไปซักพัก อักขระสีเลือดแปลกประหลาดก็ก่อตัวขึ้นมา
เขาคืนสัญญาเวทให้กับจินอวี้หวนทันที
หลังจากนางมองดูรอยประทับโลหิตบนสัญญาเวทแล้ว ก็พยักหน้าด้วยอย่างโล่งอก จากนั้นก็พ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมา และประทับไว้ข้างๆ รอยประทับโลหิตของหลิ่วหมิง หลังจากหลิ่วหมิงมองดูแล้ว ถึงเก็บสัญญาเวทเข้าไปในอย่างระมัดระวัง
“พี่หลิ่วดูให้ดีๆ นะ นี่คือยันต์ทะลวงเส้นลมปราณที่เป็นค่าตอบแทน”
พอจินอวี้หวนโบกแขนเสื้อ ยันต์ที่มีแสงสีเขียวก็ลอยออกมา และค่อยๆ หล่นลงบนมือของหลิ่วหมิงอย่างมั่นคง
ตอนที่ 507 เข้าตลาดอีกครั้ง
โดย
Ink Stone_Fantasy
พอหลิ่วหมิงรับยันต์ทะลวงเส้นลมปราณมาแล้ว ก็ปล่อยจิตเข้าไปดูอย่างรวดเร็ว หลังจากตรวจสอบจนแน่ชัดแล้ว ก็เก็บมันไว้ในหอยสังข์ย่อส่วนที่อยู่บนเอว แม้สีหน้าของเขาจะดูสงบ แต่ในแววตาเขากลับดูดีใจจนปิดไม่มิด
“แม่นางจิน ตอนนี้สามารถบอกสถานที่อันตรายแห่งนั้นได้หรือยัง ข้าต้องเตรียมอะไรบ้าง?” ขณะที่พูด หลิ่วหมิงก็เงยหน้ามองไปทางหญิงสาว
“สถานที่ที่จะไปคือบ่อเย็นแห่งหนึ่ง ข้าจะนำสมบัติชิ้นหนึ่งที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ออกมา แต่บ่อแห่งนี้หนาวเย็นตลอดปี ไอเย็นหนาแน่นมาก ศิษย์พี่ต้องเตรียมอาวุธจิตวิญญาณธาตุไฟสองสามชิ้น” จินอวี้หวนเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดนางก็บอกสถานที่ให้กับหลิ่วหมิง
พอได้ยินว่าเป็นบ่อเย็นแห่งหนึ่ง หลิ่วหมิงกลับไม่ได้สนใจอะไร แต่พอพูดถึงอาวุธจิตวิญญาณธาตุไฟ เขากลับรู้สึกปวดใจยิ่งนัก
ก่อนหน้านั้นเขาเพิ่งจะนำวัสดุที่ได้จากแดนอบอ้าวไปขายในตลาดของนิกายจนหมดเกลี้ยง มิเช่นนั้นหากนำวัสดุเหล่านั้นไปแลกอาวุธจิตวิญญาณ จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายไปมาก โดยเฉพาะไม้ตะวันยักษ์ท่อนนั้น ซึ่งเป็นวัสดุชั้นดีในการหลอมอาวุธจิตวิญญาณธาตุไฟ
ดูท่าเขาคงต้องกลับไปตลาดอีกรอบแล้ว อีกอย่างก่อนหน้านั้นเขารีบตามหญิงสาวมา จึงยังมีสิ่งของหลายอย่างที่ยังไม่ได้ซื้อ
“ศิษย์พี่ มีอะไรไม่เหมาะสมหรือ?” จินอวี้หวนรับรู้ถึงความผิดปกติบนใบหน้าหลิ่วหมิง จึงถามออกไปเบาๆ
“ไม่มี อีกสองวันพวกเราจะออกเดินทางกัน พอถึงเวลานั้น แม่นางจินพยายามออกไปอย่างเงียบๆ อย่าทำตัวให้เป็นจุดสนใจ” หลิ่วหมิงปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วกล่าวอย่างสงบ
ในเมื่อยันต์ทะลวงเส้นลมปราณอยู่ในมือแล้ว และยังมีโอสถสองเม็ดคอยช่วย เขาจึงอยากสิ้นสุดเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะได้กลับไปเก็บตัวทะลวงคอขวด
“ตามที่ศิษย์พี่บอก สองวันให้หลังพวกเราจะมาเจอกันที่นี่” จินอวี้หวนพยักหน้าและยกแขนข้างหนึ่งขึ้นมา จากนั้นแผ่นหยกก็พุ่งออกไป
หลิ่วหมิงคว้ามันเอาไว้ และนำไปแปะบนหน้าผาก หลังจากปล่อยจิตรับรู้เข้าไปดูแล้ว ก็พยักหน้าก่อนที่จะเก็บมันเข้าไป
“หากแม่นางจินไม่มีอะไรจะมอบหมายแล้วล่ะก็ ข้าต้องขอตัวก่อน” หลิ่วหมิงประสานมือคารวะ จากนั้นก็เตรียมหมุนตัวจากไป
“ใช่สิ! ข้ายังไม่รู้นามของศิษย์พี่…….” จินวี้หวนก้มหน้าถามด้วยแก้มที่แดงระเรื่อเล็กน้อย
“ข้าหลิ่วหมิง”
หลิ่วหมิงไม่ได้พูดอะไรมาก พอทำท่ามือด้วยมือเดียว ก็กลายเป็นแสงหลบหลีกสีเขียวพุ่งไปทางตลาดทันที
จินอวี้หวนยืนเงียบๆ อยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง จากนั้นถึงเหยียบเมฆพุ่งไปอีกทิศทางหนึ่ง
หนึ่งชั่วยามต่อมา หลิ่วหมิงก็มาปรากฏตัวบนถนนบางแห่งในตลาดของนิกายยอดบริสุทธิ์อีกครั้ง
หลังจากเดินเตร่อยู่ซักพัก เขาก็เดินเข้าไปในร้านค้าอาวุธจิตวิญญาณข้างถนนที่สูงสิบกว่าจั้งแห่งหนึ่ง แผ่นป้ายบนประตูมีอักขระคำว่า ‘หอฝานเซียง’ ติดอยู่
พอเขาเดินเข้าไปด้านใน จะเห็นว่าด้านหลังตู้สิ่งของจะมีเก้าอี้อยู่ตัวหนึ่ง ชายวัยกลางคนที่แต่งชุดผ้าเนื้อหยาบกำลังจ้องมองมีดบินในมือที่ถูกทำลายไปแล้ว
“ค้าขายวัสดุหลอมอาวุธอยู่ชั้นสอง ค้าขายและหลอมอาวุธจิตวิญญาณอยู่ชั้นสาม” พอรับรู้ได้ว่ามีคนเข้าร้าน ชายผู้นี้ก็ไม่เงยหน้าขึ้นมามองแต่อย่างใด แต่กลับกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
หลิ่วหมิงกลับเดินตรงขึ้นไปชั้นบนโดยไม่พูดอะไรออกมา
พอถึงชั้นสาม หลิ่วหมิงก็มองเห็นชายชุดขาวอายุสามสิบต้นๆ ที่มีรูปร่างสะโอดสะองกำลังจิบชาและสนทนาพาทีกับหญิงสาวหน้าตาธรรมดาที่มีรูปร่างยั่วยวนอยู่
“คุณหนูฝาน ดูเหมือนจะมีการค้าขายแล้ว ข้ายังมีเรื่องบางอย่างที่ต้องทำ วันหลังค่อยมาจิบชาพูดคุยกับคุณหนูใหม่” พอชายชุดขาวเห็นหลิ่วหมิงเข้ามา เขาก็ลุกขึ้นกล่าวลากับหญิงสาว
“รอหลอมอาวุธจิตวิญญาณชิ้นนั้นสำเร็จ ข้าจะต้องไปส่งให้คุณชายด้วยตนเองอย่างแน่นอน”
ชายชุดขาวยิ้มให้หลิ่วหมิงด้วยความเกรงใจ จากนั้นก็เดินลงบันไดไป
“ข้าน้อยฝานเสี่ยวเซียง ขอถามหน่อยว่าคุณชายผู้นี้ต้องการหลอมอาวุธจิตวิญญาณหรือซื้ออาวุธจิตวิญญาณที่สำเร็จแล้ว” นางพูดกับหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้มหวาน
“มีกระบี่จิตวิญญาณธาตุไฟหรือไม่ ข้าอยากจะได้สักเล่ม” หลิ่วหมิงเลิกคิ้วถามด้วยสีหน้าสงบ
“คุณชายกรุณารอสักครู่ เหลียนเอ๋อร์ ยกชามา” นางสั่งสาวใช้ที่มีอายุราวๆ สิบห้าสิบหกปี จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องที่อยู่ด้านหลังอย่างสุขุมเยือกเย็น
สาวใช้ผู้นั้นรีบรินชาให้หลิ่วหมิงหนึ่งถ้วย จากนั้นก็ไปยืนอยู่ด้านข้างเงียบๆ
พอหลิ่วหมิงเปิดฝาถ้วยเล็กน้อย กลิ่นหอมจรุงใจก็ลอยเข้ามาเตะจมูก หลังจากจิบไปหนึ่งคำ เขาก็พูดออกมาเบาๆ
“ชาดี!” จากนั้นก็หลับตาพักผ่อน
ชั่วเวลาครึ่งถ้วยชาผ่านไป หญิงที่มีรูปร่างยั่วยวนก็เดินออกจากห้องที่อยู่ด้านหลัง ในมือประคองกล่องขนาดยาวและสั้นอย่างละใบ
“คุณชายรอนานแล้ว นี่คือกระบี่จิตวิญญาณธาตุไฟสองเล่ม เล่มหนึ่งเป็นกระบี่จิตวิญญาณระดับกลางที่มียี่สิบชั้นจำกัด อีกเล่มเป็นกระบี่จิตวิญญาณธาตุไฟระดับสุดยอดที่มียี่สิบเก้าชั้นจำกัด เพิ่งหลอมเสร็จเมื่อไม่นานมานี้” หญิงรูปร่างยั่วยวนวางกล่องหยกทั้งสองไว้บนโต๊ะ และดันไปทางหลิ่วหมิงเบาๆ จากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม
พอหลิ่วหมิงเปิดกล่องหยกใบที่มีขนาดค่อนข้างสั้น ก็มีความร้อนแผ่ออกมา กระบี่เล็กสีแดงเล่มหนึ่งพุ่งออกไป พอเขาทำท่ามือด้วยมือเดียว พลังสายหนึ่งก็พุ่งใส่ตัวกระบี่เล็ก หลังจากกระบี่เล็กสั่นสะเทือนเบาๆ กลางอากาศ ชั้นจำกัดบางๆ ยี่สิบชั้นก็ก่อตัวรอบๆ กระบี่ และส่งเสียงดังหวึ่งๆ
“ที่แท้ก็เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับกลางยี่สิบชั้นจำกัด คิดว่าคงเพียงพอสำหรับการเดินทางในครั้งนี้แล้ว”
หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองอยู่ในใจ จากนั้นก็อดไม่ได้ที่จะเปิดกล่องหยกอีกใบที่มีขนาดยาวด้วยความสงสัย ทันใดนั้น คลื่นความร้อนก็โจมตีเข้ามา กระบี่เล็กสีทองที่มีแสงไฟหมุนวนอยู่บนพื้นผิวพุ่งขึ้นด้านบนด้วยเสียงที่ดังกังวาน และลอยอยู่กลางอากาศ
หนังตาเขากระตุกไปทีหนึ่ง แต่ก็ยกแขนขึ้นมาอย่างเงียบๆ และปล่อยพลังใส่กระบี่เล็กสีทองกลางอากาศ
กระบี่เล็กสั่นสะท้าน จากนั้นแสงสีทองก็เปล่งประกายออกมา เปลวไฟสีทองปกคลุมกระบี่ทั้งเล่มไว้ ขณะที่เปลวไฟสีทองพวยพุ่ง มันก็ก่อตัวเป็นวิหคสีทองเล็กๆ เมื่อมันกระพือปีกทั้งสอง อุณหภูมิในห้องก็สูงขึ้นเกือบครึ่งหนึ่ง
จากนั้นเปลวไฟก็ค่อยๆ ดับลง “จิ๊บ!” อักขระสีทองจำนวนมากทะลักออกจากกระบี่เล็ก และก่อตัวเป็นค่ายกลอันพร่ามัว
หลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งคู่ลง หลังจากนับดูอย่างละเอียด ก็พบว่ามีมากถึงยี่สิบเก้าชั้นจำกัด สิ่งนี้ทำให้เขาใจเต้นขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
พอเขาทำท่ามือ กระบี่บินกลางอากาศทั้งสอง ก็พุ่งกลับเข้าไปในกล่องหยก “ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!”
“ไม่ทราบว่ากระบี่บินทั้งสอง มีมูลค่าเท่าใด?” หลิ่วหมิงระงับความตื่นเต้นไว้ และกล่าวด้วยสีหน้าปกติ
“กระบินระดับกลางห้าหมื่นหินจิตวิญญาณ กระบี่บินระดับสุดยอดแปดแสนห้าหมื่นหินจิตวิญญาณ หากคุณชายซื้อกระบี่จิตวิญญาณระดับสุดยอด กระบี่จิตวิญญาณระดับกลางเล่มนั้นก็จะมอบให้คุณชายไปเลย” หญิงสาวกล่าวอย่างไม่ลังเล
ความจริงแล้ว แปดแสนห้าหมื่นหินจิตวิญญาณในสายตาหลิ่วหมิง นับว่าไม่แพงแต่อย่างใด เพราะกระบี่เล่มนี้เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดที่นับว่าหาได้ยากมาก แต่ว่าวิชาที่เขาฝึกฝนไม่ใช่ธาตุไฟ และบนตัวเขาในตอนนี้ ก็ไม่มีหินจิตวิญญาณมากถึงขนาดนั้น
หลังจากพินิจพิเคราะห์อยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ดันกล่องหยกที่ค่อนข้างยาวออกไปให้หญิงรูปร่างยั่วยวน และเก็บกล่องหยกที่ค่อนข้างเล็กกว่าไว้ จากนั้นก็หยิบหินจิตวิญญาณระดับสูงที่อยู่ในถุงผ้าบนเอวให้นางห้าก้อน
“เหลียนเอ๋อร์ เก็บกล่องหยกกลับไปเถอะ!” หญิงรูปร่างยั่วยวนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็รับกล่องหยกกับหินจิตวิญญาณไว้ และมอบให้กับสาวใช้ด้านข้างที่ชื่อว่าเหลียนเอ๋อร์
สาวใช้เดินมารับกล่องหยก และเดินตรงเข้าไปในห้อง
“ไม่ทราบคุณชายยังต้องการอะไรอีกบ้าง ให้ข้าน้อยช่วยได้หรือไม่?” ดูเหมือนนางจะไม่สนใจที่หลิ่วหมิงไม่ได้ซื้อกระบี่จิตวิญญาณระดับสุดยอด ยังคงกล่าวด้วยความกระตือรือร้น
“ศิษย์พี่ท่านหนึ่งได้ไหว้วานให้ข้ามาซื้อถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณระดับสูงสองใบ แต่ว่าร้านของท่านขายอาวุธจิตวิญญาณ คิดว่าคงไม่มีถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณขายใช่หรือไม่?” หลิ่วหมิงลูบจมูกแล้วกล่าวอกมาด้วยรอยยิ้ม
ก่อนหน้านั้นเขาได้เดินวนในตลาดไปรอบหนึ่งแล้ว ถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณระดับเดียวกับที่เขาใช้ในก่อนหน้านั้น มีขายตามแผงและร้านค้าต่างๆ ไม่น้อย แต่ถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณระดับสูงนี้ เขาได้ถามไปหลายร้านแล้ว แต่กลับไม่มีเลย
“ถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณระดับสูงขึ้นไป ในสถานที่แห่งนี้พบเห็นไม่มาก นับว่าคุณชายถามถูกคนแล้ว” หญิงรูปร่างยั่วยวนมองหลิ่วหมิงด้วยด้วยสีหน้าประหลาดใจ และกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“หรือว่านอกจากที่นี่จะขายอาวุธจิตวิญญาณแล้ว แม่นางยังขายถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณด้วย?” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก แต่กลับไปไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา
“ถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณที่ศิษย์สายนอกของนิกายยอดบริสุทธิ์ส่วนมากใช้กัน ล้วนมาจากมือของพี่ชายข้า แต่โดยปกติแล้วพี่ชายข้าจะเก็บตัวอยู่ในถ้ำที่พักไม่ออกมา หากคุณชายต้องการจริงๆ ต้องรออีกหนึ่งชั่วยาม”
“ไม่เป็นไร” หลิ่วหมิงจิบชาอีกคำ และเม้มริมฝีปาก จากนั้นก็หลับตาพักผ่อน
หญิงสาวตบเอว และหยิบยันต์สีทองออกมาผืนหนึ่ง หลังจากร่ายคาถาออกมาแล้วก็ชี้ไปที่มัน
ยันต์สีทองลุกไหม้กลางอากาศ และแสงสีทองก็พุ่งออกจากหน้าต่างไป ครู่ต่อมายันต์ผืนนี้ก็กลายเป็นเถ้าธุลี
เวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม ชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่ที่สวมชุดศิษย์สายนอกก็เดินขึ้นมา
“เสี่ยวเซียง ใครต้องการถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณระดับสูงอีก?”
“คือคุณชายท่านนี้” หญิงรูปร่างยั่วยวนรีบลุกขึ้นมา และกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ข้าน้อยอยากซื้อถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณระดับสูงสองใบ ไม่ทราบว่าท่านมีหรือไม่?” หลิ่วหมิงลุกขึ้นมากล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ที่แท้เป็นศิษย์น้องผู้นี้” ชายรูปร่างสูงใหญ่เห็นว่าหลิ่วหมิงก็สวมชุดศิษย์สายนอกเช่นกัน เขาจึงเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม และดึงถุงหนังสีดำบนเอวสองใบโยนเข้ามาทันที
พอหลิ่วหมิงคว้ามือข้างหนึ่งออกไปรับถุงหนังไว้ ก็พลันรับรู้ได้ถึงปราณหยินอันหนาแน่นที่พุ่งออกมา เห็นได้ชัดว่าคุณสมบัติของมัน ไม่ใช่สิ่งที่ถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณของเขาจะสามารถเทียบได้ ลวดลายสีดำบนถุงก็ชัดเจนกว่ามาก
“ไม่ทราบว่าถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณระดับสูงสองใบนี้ มีมูลค่าเท่าใด?” หลิ่วหมิงพยักหน้าด้วยความพอใจ และเอ่ยปากถามขึ้นมา
“ใบละหกหมื่นหินจิตวิญญาณ สองใบล่ะก็แสนเดียวก็พอ” ชายรูปร่างสูงใหญ่ตอบอย่างเบิกบานใจ
“ขอบคุณศิษย์พี่ท่านนี้มาก ข้ายังมีธุระอื่น ต้องขอตัวก่อน” หลิ่วหมิงควักหินจิตวิญญาณระดับสูงให้หญิงรูปร่างยั่วยวนสิบก้อนแล้ว จากนั้นก็เดินลงหอไป
หลังจากหลิ่วหมิงไปได้ไม่นาน
“พี่สี่ ถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณใบละหกหมื่นหินจิตวิญญาณ ใยต้องขายให้คนผู้นี้สองใบหนึ่งแสนหินจิตวิญญาณ?” หญิงสาวรูปร่างยั่วยวนถามขึ้นเบาๆ ด้วยตาที่เป็นประกาย
“น้องหญิงพูดเองไม่ใช่หรือว่า คนผู้นี้คือคนที่ขายวัสดุธาตุไฟในก่อนหน้านั้น? ตามที่ข้าทราบมา ในระยะนี้สาขาใหญ่ทั้งแปดของนิกายได้ทำการทดสอบเบื้องต้น สถานที่ก็คือแดนอบอ้าว ทั้งยังดูเหมือนว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในนั้น มีผู้คนเสียชีวิตกว่าครึ่งหนึ่ง นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และคนผู้นี้ไม่เพียงแต่มีชีวิตรอดกลับมา แต่ยังได้วัสดุกลับมามากมายเช่นนี้ คิดว่าคงไม่ใช่ศิษย์สายนอกธรรมดาๆ คนหนึ่ง” ชายรูปร่างสูงใหญ่กล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“ข้าเองก็คิดว่ามันแปลกๆ เหมือนกัน คิดว่าคนผู้นี้คงซื้อถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณไว้ใช้เองแล้ว” หญิงรูปร่างยั่วยวนแสดงสีหน้าครุ่นคิดออกมา
“อย่างไรซะ พวกเราผูกมิตรกับผู้ที่มีพลังแฝงเช่นนี้ไว้ ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร”
……
ขณะนี้ หลิ่วหมิงได้เดินออกไปไกลแล้ว ย่อมไม่รับรู้เรื่องราวที่สองพี่น้องคู่นี้พูดคุยกัน
เขาซื้อยันต์กับโอสถธาตุไฟจากแผงร้านค้าสองสามแห่ง จากนั้นก็ออกจากตลาด และขี่เมฆดำกลับไปยังถ้ำที่พัก
ตอนที่ 508 บ่อเย็น
โดย
Ink Stone_Fantasy
พอหลิ่วหมิงกลับถึงถ้ำที่พัก ก็ตรงไปยังห้องลับโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
เมื่อเหยียบเท้าเข้าไปในห้องลับ ก็ตบถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณบนเอวทันที จากนั้นไอดำก็ม้วนตัวออกมา หลังจากไอหมอกพวยพุ่งอยู่ครู่หนึ่ง แมงป่องกระดูกสีเงินที่มีขนาดเท่าฝ่ามือ ก็กระโดดขึ้นบนไหล่ของเขา
“นายท่าน…….” เสียงอ่อนนุ่มของแมงป่องกระดูกดังขึ้นข้างหนู
หลิ่วหมิงลูบหลังมันเบาๆ จากนั้นก็วางถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณใบเดิมลงพื้น เขาทำท่ามือด้วยมือเดียว และแตะมันเบาๆ ลวดลายจิตวิญญาณสีเงินบนถุงปรากฏออกมา และเปล่งประกายเล็กน้อย จากนั้นไอเย็นสะท้านก็ม้วนตัวออกมา
เขาโยนถุงหนังใบหนึ่งที่ซื้อมาใหม่ขึ้นไปบนอากาศในทันที ขณะเดียวกัน ท่ามือของเขาก็เปลี่ยนไป ลวดลายค่ายกลบนถุงหนังสีดำเปล่งประกายออกมา แรงดึงดูดมหาศาลม้วนตัวออกจากปากถุง
ปราณหยินบริเวณนั้นค่อยๆ รวมตัวเข้าด้วยกัน และทะลักเข้าไปในถุงหนัง
ไม่นาน ปราณหยินในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณใบเก่าก็ถูกกวาดไปจนหมดเกลี้ยง และพอหลิ่วหมิงโบกมือไปทางอากาศ ถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณใบใหม่ก็ลอยเข้ามาในมือ
หลิ่งหมิงสื่อสารกับแมงป่องกระดูกสองสามประโยค จากนั้นก็ตบถุงหล่อเลี้ยงวิญญานหนึ่งที แมงป่องกระดูกหมุนตัวติ้วๆ จนกลายเป็นไอหมอกดำและม้วนตัวเข้าไปในถุง
“นายท่าน…ถุง…ใบใหม่…สบายจังเลย” มีน้ำเสียงอ่อนนุ่มของเด็กสาวดังขึ้นข้างหู มีความดีใจในน้ำเสียงอย่างปิดไม่มิด
“ดีมาก! เจ้าคิดว่ามันเหมาะกับเจ้าก็ดีแล้ว”
หลังจากหลิ่วหมิงมั่นใจว่าถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณใบใหม่เหมาะสมกับแมงป่องกระดูกแล้ว เขาก็นำถุงหนังไว้บนเอวด้วยความสบายใจ และนั่งขัดสมาธิลงไป จากนั้นก็พลิกฝ่ามือข้างหนึ่งหยิบกล่องหยกออกมาใบหนึ่ง พอยื่นนิ้วไปแตะมันก็เกิดเสียงดัง “ฟู่!”
ฝากล่องเปิดออกมา กระบี่เล็กสีแดงพุ่งออกจากในนั้น และลอยอยู่บนอากาศเหนือค่ายกลที่มีขนาดใหญ่จั้งกว่าๆ
ขณะนี้ หลิ่วหมิงร่ายคาถาออกมา นิ้วทั้งสิบนิ้วดีดพลังใส่กระบี่เล็กสีแดงไม่หยุด
กระบี่เล็กสีแดงกลางอากาศสั่นสะเทือนทันที อักขระสีแดงจำนวนมากลอยออกมา ทั้งยังส่งเสียงระเบิดออกมาอย่างไม่ขาดสาย และกลายเป็นสะเก็ดไฟกระเด็นไปทั่วทิศ
กระบี่เล็กสีแดงค่อยๆ หมุนวนท่ามกลางแสงไฟ
ครึ่งชั่วยามผ่านไป หลิ่วหมิงตะคอกเสียงออกมา และหยุดทำท่ามือ เปลวไฟลุกไหม้บนผิวกระบี่จิตวิญญาณสีแดงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ม้วนตัวออกไปทั่วทิศ และชั้นจำกัดแรกบนกระบี่ ก็ชัดเจนขึ้นมาเป็นอย่างมาก
เนื่องจากระดับการฝึกฝนที่สูงขึ้น ทั้งยังมี ‘คัมภีร์หลอมอัคคี’ อยู่ในมือ จึงช่วยลดเวลาในการปรับแต่งอาวุธจิตวิญญาณระดับกลางที่มีแค่ยี่สิบชั้นจำกัดลงไปได้มาก
หนึ่งวันหนึ่งคืนผ่านไป ในที่สุดหลิ่วหมิงก็ปรับแต่งชั้นจำกัดทั้งยี่สิบชั้นของอาวุธจิตวิญญาณระดับกลางชิ้นนี้เสร็จ พอคว้ามือข้างหนึ่งไปกลางอากาศ กระบี่จิตวิญญาณสีแดงก็หมุนตัวติ้วๆ และพุ่งกลับมาในมือ
หลิ่วหมิงเก็บกระบี่เล็กสีแดงด้วยสีหน้าพอใจ และเดินออกไปจากห้องลับ
หลังจากพักผ่อนไปซักพักแล้ว เขาก็ออกไปจากถ้ำที่พัก เมฆดำใต้เท้าพยุงตัวเขาขึ้นมา และทะยานไปยังสถานที่ที่นัดหมายเอาไว้กับจินอวี้หวน
……
วันที่สอง ท้องยังมืดสลัวๆ ยังไม่ทันสว่าง ทั่วทั้งเทือกเขาหมื่นวิญญาณล้วนเงียบสงัด
บนยอดเขาลูกหนึ่ง หญิงวัยกลางคนสวมชุดสีขาวที่มีใบหน้าซีดขาวเล็กน้อย กำลังมองซ้ายมองขวา หลังจากนั้นก็ไปจากถ้ำที่พัก และเหยียบเมฆพุ่งไปยังทิศทางบางแห่ง
หลายชั่วยามต่อมา ท่ามกลางหมู่ยอดเขาที่อยู่ห่างเทือกเขาหมื่นวิญญาณไปร้อยกว่าลี้ หญิงวัยกลางคนร่อนลงไปในยอดเขาค่อนข้างเตี้ยที่สูงไม่กี่สิบจั้ง
บนยอดเขาในขณะนี้ ชายหนุ่มชุดคลุมสีเขียวผู้หนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่
ทันใดนั้น หางตาของชายหนุ่มก็กระตุกเล็กน้อย และค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา หลังจากมองดูหญิงวัยกลางคนตรงหน้าทีหนึ่งแล้ว ก็ค่อยๆ กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“คิดไม่ถึงว่าวิชาแปลงโฉมของแม่นางจินจะยอดเยี่ยมเช่นนี้ ข้าน้อยนับถือ!”
“ศิษย์พี่หลิ่วชมเกินไปแล้ว ท่านยังคงดูออกอย่างง่ายดาย” หญิงวัยกลางคนยิ้มออกมา และทำท่ามือด้วยมือเดียว จากนั้นก็เอามือถูศีรษะ ไอหมอกสีขาวทะลักออกมา หลังจากหมุนวนไปหนึ่งรอบแล้ว ก็ปกคลุมร่างของนางไว้
พอไอหมอกค่อยๆ สลายไปแล้ว หญิงวัยกลางคนก็กลายเป็นหญิงสาวใบหน้าสวยสดงดงามนามหนึ่ง ซึ่งก็คือจินอวี้หวนนั่นเอง
ชายหนุ่มชุดคลุมสีเขียวผู้นั้น ย่อมเป็นหลิ่วหมิงที่มารออยู่ก่อนแล้ว
“ผู้ที่มาปรากฏตัวในสถานที่แห่งนี้ในเวลานี้ ย่อมมีแค่แม่นางจินเท่านั้น” หลิ่วหมิงได้ยินก็หัวเราะฮ่าๆ ออกมา
“รบกวนศิษย์พี่ที่ให้รอนานแล้ว” จินอวี้หวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“แม่นางจินไม่ต้องเกรงใจ พวกเราออกเดินทางกันเถอะ!” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยสีหน้าสงบ
พอจินอวี้หวนตบถุงหนังบนเอว ไอหมอกสีเทาก็ม้วนตัวออกมา ตามด้วยเสียงร้องแหลม จากนั้นมันก็กลายเป็นวิหคน้อยสีเทาที่มีขนาดฉื่อกว่าๆ
นางคว้ามือไปกลางอากาศ
วิหคน้อยกระพือปีกทั้งคู่ ทำให้ร่างของมันขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่า และกลายเป็นอินทรียักษ์สีเทาขนาดใหญ่หลายจั้ง ทั้งยังมีลวดลายสีขาวแปลกประหลาดปกคลุมไปทั่วพื้นผิว
หลังจากทั้งสองขึ้นไปบนหลังอินทรียักษ์แล้ว จินอวี้หวนก็ตบสันหลังมันเบาๆ อินทรียักษ์กางปีกทั้งคู่ และทะยานขึ้นฟ้า ก่อเกิดเป็นพายุบ้าระห่ำ พุ่งไปยังทิศทางบางแห่ง
……
ในเวลาเดียวกัน ภายในถ้ำที่พักที่อยู่บนยอดเขาสีขาวหิมะแห่งหนึ่งในเทือกเขาหมื่นวิญญาณ ยอดเขาแห่งนี้ตั้งตรงราวกับใบมีดขนาดยักษ์
ชายหนุ่มหน้าตอบปากแหลมกับชายตัวเตี้ยที่เคยปรากฏตัวในตลาด และเคยข่มขู่จินอวี้หวน กำลังรายงานอะไรบางอย่างให้กับชายหนุ่มชุดผ้าแพรที่มีใบหน้าแคบยาว
“ศิษย์พี่ซา วันนี้มีคนเห็นศิษย์น้องจินออกจากถ้ำที่พักแต่เช้าอย่างกระทันหัน จนถึงบัดนี้ยังไม่ได้กลับไป เรื่องนี้จะต้องมีลับลมคมในอย่างแน่นอน ควรส่งคนไปหาหรือไม่?” ชายหนุ่มหน้าตอบปากแหลมประสานมือคารวะ และกล่าวกับชายหนุ่มชุดผ้าแพร
“ไม่ต้องแล้ว ข้ารู้ว่านางไปที่ใด เรื่องนี้พวกเจ้าไม่ต้องยุ่ง” ชายหนุ่มชุดผ้าแพรนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ในห้องโถงใหญ่ เขากำลังลูบไล้แหวนบนมือ และกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“ในเมื่อศิษย์พี่ได้ตัดสินใจแล้ว พวกข้าก็จะไม่รบกวนแล้ว” ชายหนุ่มปากแหลมแก้มตอบกับชายตัวเตี้ยโค้งตัวคารวะ และถอนออกไป
ชายหนุ่มชุดผ้าแพรนั่งคิดใคร่ครวญอยู่บนเก้าอี้อย่างเงียบๆ จากนั้นก็หัวเราะอย่างเยือกเย็น ทันใดนั้น เขาก็ลุกเดินออกไปจากถ้ำที่พัก แสงสีเขียวม้วนออกจากตัว และกลายเป็นสายรุ้งกระบี่สีเขียวพุ่งทะยานขึ้นฟ้า
……
สิบกว่าวันต่อมา หลิ่วหมิงกับจินอวี้หวนมาปรากฏตัวตรงหน้าภูเขาตั้งตระหง่านสูงเสียดฟ้าลูกหนึ่ง พอทอดสายตามองออกไป จะเห็นว่ามีต้นไม้สีเขียวแก่แปลกประหลาดปกคลุมเต็มภูเขา แลดูมืดครึ้มน่ากลัวเล็กน้อย
ไม่นาน ทั้งสองก็ขี่อินทรียักษ์ข้ามภูเขาใหญ่ไป ทันใดนั้นหุบเขาแคบยาวแห่งหนึ่งก็ปรากฏตรงด้านล่าง
จินอวี้หวนยกแขนข้างหนึ่งขึ้น และปล่อยยันต์สีเหลืองออกมา หลังจากมันค่อยๆ โบกสะบัดกลางอากาศแล้วก็ระเบิดอออกมา จนเกิดเสียงดังก้องไปทั่วหุบเขา
เวลาผ่านไปราวๆ ครึ่งถ้วยชา ชายวัยกลางคนสวมชุดสีขาวสองคนก็เหาะขึ้นมาจากหุบเขา
“คุณหนู ท่านมาแล้ว ท่านนี้คือ……” พอชายสองคนเห็นการมาของจินอวี้หวนก็รู้สึกดีใจมาก แต่พอเห็นว่ามีหลิ่วหมิงอยู่ข้างๆ ก็มีท่าทีระมัดระวังขึ้นมา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ใช้พลังจิตกวาดดูคร่าวๆ ชายทั้งสองต่างก็มีการฝึกฝนระดับศิษย์จิตวิญญาณ ทันใดนั้นเขาก็ไม่คิดจะพูดอะไรออกมา แต่กลับหลับตาพักผ่อนอยู่บนหลังอินทรียักษ์
“ท่านนี้คือศิษย์พี่หลิ่ว ครั้งนี้จะมาช่วยข้าทำเรื่องบางอย่าง พวกเจ้าทั้งสองดูแลหุบเขามาโดยตลอด ช่วงนี้มีคนเข้ามาหรือไม่?” จินอวี้หวนเอ่ยปากถามออกมา
“เรียนคุณหนู ตั้งแต่ท่านจากไปในครั้งนั้น ยังไม่เคยมีคนเข้ามาเลย” ชายที่มีตาเป็นรูปสามเหลี่ยมกล่าวออกมา
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี พวกเจ้าทั้งสองดูแลทางเข้าหุบเขาต่อไป อย่าให้คนแปลกหน้าเข้ามา หากมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ก็รีบส่งเสียงแจ้งข้าโดยเร็ว” จินอวี้หวนกำชับไปสองสามประโยค จากนั้นก็ตบหลังอินทรียักษ์และพาหลิ่วหมิงบินเข้าไป
ครึ่งชั่วยามผ่านไป หลิ่วหมิงตามหญิงผู้นี้เข้าไปในหุบเขา จากนั้นอินทรียักษ์ก็ร่อนลงบนเนินสูงในพื้นที่ราบเรียบแห่งหนึ่ง
“พี่หลิ่ว พวกเรามาถึงแล้ว” จินอวี้หวนหันมากล่าว จากนั้นก็กระโดดลงจากหลังอินทรียักษ์
พอหลิ่วหมิงขยับตัว ก็มาปรากฏตัวข้างๆ หญิงผู้นี้อย่างไร้สุ้มเสียง
พอจินอวี้หวนโบกแขนเสื้อ อินทรียักษ์ก็ส่งเสียงดังกังวาน และกลายเป็นไอหมอกเทาม้วนตัวเข้าไปในถุงหนังบนเอวของนาง
จากนั้นนางก็พาหลิ่วหมิงเดินไปยังหน้าผาที่อยู่บริเวณเนินสูง และพอพลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง ก็มีจี้หยกห้อยเอวปรากฏออกมา และนางก็โบกไปทางผนังหินสีดำ
แสงสีฟ้าเปล่งประกายบนหน้าผา จากนั้นก็มีเสียง “โครมคราม!” ดังมาจากด้านใน
ถ้ำหินขนาดใหญ่ที่สูงหลายจั้งปรากฏตรงหน้าหลิ่วหมิงทั้งสอง ไอเย็นม้วนตัวออกมาจากด้านใน ปากถ้ำถูกม่านแสงสีฟ้าจางๆ ปกคลุมไว้
จินอวี้หวนที่อยู่ข้างๆ หยิบยันต์สีแดงออกมาอย่างไม่รีบร้อน หลังจากขยี้แล้ว ก็นำมาแปะไว้บนตัว จากนั้นม่านแสงสีแดงก็ห่อหุ้มร่างของนางไว้ มีเปลวไฟหมุนวนอยู่บนพื้นผิวรำไร และแผ่ไออุ่นออกมา
หลิ่วหมิงยังคงยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่มีการกระทำใดๆ สำหรับการฝึกฝนระดับเขาแล้วไอเย็นแค่นี้ ไม่จำเป็นต้องไปใส่ใจ
จินอวี้หวนเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว นางทำท่ามือด้วยมือเดียวแล้วแตะม่านแสงสีฟ้าเบาๆ จากนั้นแสงสีขาวลำหนึ่งก็กระพริบผ่านไป
ม่านแสงสีฟ้ากระพริบสองสามที ก็สลายไปอย่างไร้ร่องรอย
“ศิษย์พี่หลิ่ว พวกเราไปกันเถอะ!”
หญิงสาวพูดออกมาเบาๆ จากนั้นก็เดินเข้าไปในถ้ำ หลิ่วหมิงมองดูรอบด้านทีหนึ่ง และเดินตามเข้าไปอย่างไม่รีบร้อน
พอทั้งสองเหยียบเข้าไปในถ้ำ ม่านแสงสีฟ้าด้านหลังก็กระเพื่อม และปรากฏออกมาอีกครั้ง
ถ้ำที่เดิมทีควรจะเป็นสีดำวาว แต่เป็นเพราะชั้นน้ำแข็งแวววาวบนผนัง พอแสงส่องสะท้อนลงมามันก็สว่างไสว และหินย้อยบนเพดานถ้ำ ก็กลายเป็นแท่งน้ำแข็งอันแหลมคมตั้งนานแล้ว และร่วงลงมาเป็นระยะๆ “เพล้งๆ!”
ภายในถ้ำนอกจากจะมีหินยักษ์สีเทาจำนวนหนึ่งแล้ว ก็ไม่มีหญ้าขึ้นเลยแม้แต่ต้นเดียว ยิ่งลึกเข้าไป ไอเย็นก็ยิ่งหนาแน่นขึ้น และมีพายุกำลังแรงพัดเข้ามาเป็นระยะๆ ทำให้รู้สึกหนาวเย็นไปถึงกระดูก
จินอวี้หวนหันมาดูทีหนีง หลิ่วหมิงยิ้มให้นางเล็กน้อยเพื่อบ่งบอกว่าไม่เป็นไร จากนั้นทั้งสองก็เข้าไปด้านในต่อ
เวลาผ่านไปราวๆ หนึ่งมื้อข้าว ทั้งสองก็มาถึงภายในถ้ำขนาดใหญ่ และพื้นที่ส่วนใหญ่ของถ้ำ ถูกครอบครองโดยบ่อน้ำสีดำวาวที่มีขนาดหมู่กว่าๆ
ผนังรอบด้านถูกชั้นน้ำแข็งหนาๆ ปกคลุมตั้งแต่แรกแล้ว และเปล่งแสงแวววาวออกมา
และด้านบนบ่อก็มีไอหมอกสีดำลอยอยู่จางๆ มีชั้นน้ำแข็งบางๆ ปรากฏอยู่บนพื้นผิว ลมเย็นสะท้านพัดผ่านเบาๆ ไอน้ำคละคลุ้งกับไอหมอกดำจำนวนหนึ่งโผเข้ามาปะทะใส่หน้า และกลายเป็นเกล็ดน้ำแข็งเกาะอยู่บนตัวพวกเขาทั้งสอง
ม่านแสงสีแดงของจินอวี้หวนถูกเกล็ดน้ำแข็งปะทะใส่จนสั่นสะท้านเบาๆ แสงไฟด้านนอกม่านแสงก็ติดๆ ดับๆ จนม่านแสงค่อยๆ มืดลง
……
เกือบจะในเวลาเดียวกัน ภายนอกหุบเขา
พลันมีเสียงดังมาจากขอบฟ้าที่อยู่ไกลๆ แสงสีขาวกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
พอลำแสงดับลง รถเหาะสามเหลี่ยมสีขาวสะอาด ก็หยุดอยู่บนอากาศเหนือทางเข้าหุบเขา
บนรถเหาะ ชายหนุ่มชุดผ้าแพรกำลังยืนเอามือไขว้หลังอยู่บนนั้น และมองลงด้านล่างด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
ตอนที่ 509 ประลองกระบี่
โดย
Ink Stone_Fantasy
บริเวณบ่อเย็นที่อยู่ภายในถ้ำ
“แม่นางจิน ที่นี่คงเป็นบ่อเย็นที่เจ้าพูดถึงในก่อนหน้านั้นสินะ!” หลิ่วหมิงค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้นมา
สถานที่แห่งนี้ไอเย็นหนาแน่นเหนือความคาดหมายของเขาไปมาก ไอหมอกดำที่แผ่คลุมอยู่เหนือบ่อ หากฝึกฝนวิชาพวกน้ำแข็งเย็นสะท้านล่ะก็ คงได้ผลเป็นอย่างยิ่ง
แน่นอนว่า สำหรับคนทั่วไปแล้ว ไอเย็นระดับนี้กลับเป็นอันตรายอย่างมาก
“ไม่ผิด! ของที่บรรพบุรุษข้าทิ้งไว้อยู่ใต้บ่อเย็นแห่งนี้ แต่ว่าบ่อนี้เย็นมาก ไม่รู้ว่าจะมีตัวไหมน้ำแข็งออกมาเมื่อไหร่ ตัวไหมนี้พ่นไอเป็นน้ำแข็ง ช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก การฝึกฝนก็บรรลุถึงระดับของเหลวขั้นปลายแล้ว บวกกับสภาพแวดล้อมในสถานที่แห่งนี้ ทำให้พลังของมันเพิ่มขึ้นเป็นทวี ด้วยเหตุนี้จึงต้องให้ศิษย์พี่หลิ่วคอยช่วย หลังจากสังหารมันแล้ว ถึงเข้าไปเอาสมบัติภายในบ่อได้อย่างวางใจ” จินอวี้หวนมองหลิ่วหมิงทีหนึ่ง และกล่าวออกมาตามตรง
หลิ่วหมิงพยักหน้าและไม่ได้พูดอะไร กะอีแค่ปีศาจหนอนระดับของเหลวขั้นปลายตัวหนึ่ง เขาเชื่อว่าสามารถรับมือมันได้
จินอวี้หวนเห็นเช่นนี้ก็เผยรอยยิ้มออกมา ขณะที่กำลังจะพูดอะไรออกมานั้น พลันมีเสียงดังหวึ่งๆ ออกมาจากเอวของนาง
สีหน้านางเปลี่ยนไปทันที พอพลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง ก็มีแผ่นค่ายกลกลมๆ ออกมา มันเปล่งแสงสีขาวจางๆ และสั่นสะท้านเบาๆ
ที่แท้เสียงนั้นก็ดังมาจากของชิ้นนี้นั่นเอง
“แย่แล้ว มีคนบุกรุกหุบเขา!”
พอเสียงของนางสิ้นสุดลง ก็มีเสียงดังกังวานมาจากนอกถ้ำ
“ศิษย์น้องจิน ตั้งแต่จากกันครานั้น ก็ไม่ได้พบกันนานเลย”
น้ำเสียงนี้ฟังดูแล้วเป็นของชายหนุ่มผู้หนึ่ง ดูจากคำพูดดูเหมือนจะคุ้นเคยกับจินอวี้หวนยิ่งนัก
“ซาทงเทียน!” พอจินอวี้หวนได้ยินเสียงนี้ ก็มีสีหน้าเยือกเย็นขึ้นมา
หลิ่วหมิงกลับขมวดคิ้วขึ้นมา
คิดไม่ถึงว่าหูตาของซาทงเทียนในนิกายยอดบริสุทธิ์จะร้ายกาจเช่นนี้ จินอวี้หวนได้แปลงโฉมก่อนออกจากนิกายแล้ว และระหว่างทางก็ซ่อนร่องรอยมาโดยตลอด แต่เขายังตามมาถึงที่นี่ได้
สิ่งนี้เหนือความคาดหมายของเขามากนัก
ดูท่าเขาคงรู้จักสถานะศิษย์สายในของนิกายยอดบริสุทธิ์น้อยไปหน่อย
แน่นอนว่าสิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า ซาทงเทียนเอาใจใส่จินอวี้หวนแค่ไหน หรือไม่ก็รู้ความลับของบ่อเย็นตั้งนานแล้ว
แต่ถึงแม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะเป็นศิษย์สายใน แต่ความจริงแล้วก็เป็นแค่ศิษย์ระดับของเหลวขั้นปลายคนหนึ่งเท่านั้น แม้หลิ่วหมิงจะรู้สึกยุ่งยากเล็กน้อย แต่ย่อมไม่หวาดกลัวแต่อย่างใด
“ไป! ออกไปดูกันเถอะ!” เขาพูดออกมาอย่างราบเรียบ และพุ่งนำออกไปก่อน
จินอวี้หวนจ้องมองหลังของหลิ่วหมิง พริบตาเดียว สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่หลายครั้ง ริมฝีปากขยับสองที อยากจะพูดอะไรออกมา แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูด และตามหลิ่วหมิงออกไป
ภายนอกถ้ำ ชายหนุ่มชุดผ้าแพรกำลังยืนเอามือไขว้หลังด้วยสีหน้าสีหน้าเรียบเฉย พอเห็นชายหนุ่มแปลกหน้าพุ่งออกมา ก็รู้สึกตะลึงเล็กน้อย และพอจินอวี้หวนตามหลังเขาออกมา และยืนอยู่ห่างจากหลิ่วหมิงแค่หนึ่งฉื่อ ดวงตาของเขาก็เปล่งประกายเยือกเย็น แต่ไม่นานก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว และกุมมือคารวะหญิงนางนี้
“ศิษย์น้องจิน ข้าเสียมารยาทแล้ว”
พอจินอวี้หวนเห็นชายหนุ่ม นางก็แสดงสีหน้าสะอิดสะเอียนออกมา แต่ทันใดนั้นก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงสังเกตดูรอบด้านทีหนึ่ง และสีหน้าของนางก็ซีดขาวขึ้นมา
“ซาทงเทียน คนเฝ้าหุบเขาสองคนนั้นอยู่ที่ไหน?” แม้ในใจนางจะรู้คำตอบอยู่แล้ว แต่ก็ถามออกไปด้วยความหวัง
“อ้อ? ศิษย์น้องอวี้หวนพูดถึงเจ้างั่งสองคนที่ไม่รู้จักชั่วดีนั่นหรือ? ในเมื่อไม่รู้จักประมาณตนจะขัดขวางข้าให้ได้ ย่อมกลายเป็นวิญญาณภายใต้กระบี่อสรพิษหยกของข้าไปแล้ว” ชายหนุ่มชุดผ้าแพรเผยสีหน้าเยือกเย็น และหัวเราะออกมา
พอจินอวี้หวนได้ยินเช่นนี้ ก็โมโหจนตัวสั่น สายตาที่จ้องมองชายหนุ่มชุดผ้าแพรก็ดูเหมือนจะพ่นไฟออกมา
“ศิษย์น้อง มาถึงวันนี้เวลานี้แล้ว ใยต้องดื้อรั้นเช่นนี้ด้วยเล่า เพียงแค่เจ้ารับปากข้า กะอีแค่ตัวไหมน้ำแข็งตัวเดียว ข้าย่อมช่วยเจ้าจัดการได้อย่างง่ายดาย ใยต้องไปหาคนนอกด้วยเล่า?” ชายหนุ่มชุดผ้าแพรทำราวกับมองไม่เห็นสายตาโกรธแค้นของหญิงสาว แต่กลับกล่าวออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน และสายตาของเขาก็ตกอยู่บนตัวของหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็หรี่ตาทั้งคู่ลง สีหน้าของเขาไม่เปลี่ยนเลยแม้แต่น้อย
“ข้าไม่สนว่าท่านมีที่มาอย่างไร หากรู้จักเอาตัวรอดล่ะก็ รีบไปซะเดียวนี้ ข้าจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มิเช่นล่ะก็ ข้าจะต้องสั่งสอนท่านสักครา” ชายหนุ่มชุดผ้าแพรละสายตากลับมา และกล่าวอย่างราบเรียบ
“ความหวังดีของศิษย์พี่ซา ข้าน้อยรับไว้แล้ว แต่ต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่ง ข้าได้ลงนามสัญญาเวทของนิกายกับแม่นางจินแล้ว ครั้งนี้จะต้องรักษาความปลอดภัยของนาง คงต้องยอมรับการสั่งสอนจากศิษย์พี่ซาแล้ว” หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ก็กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ดีมาก! ข้าให้โอกาสเจ้าแล้ว ในเมื่อเจ้าไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ก็หาว่าข้าใจคอโหดเหี้ยมก็แล้วกัน!” ชายหนุ่มชุดผ้าแพรเองก็ไม่พูดอะไรให้มากความ และตบถุงบนเอวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
หลิ่วหมิงเขม้นสายตามองไปยังถุงสีขาวบนเอวชายหนุ่มทันที
ถุงหนังเป็นสีขาวสะอาด มีอักขระนูนคล้ายเกล็ดประทับอยู่บนนั้น กลิ่นไอที่แผ่ออกมาแตกต่างจากถุงเก็บของทั่วไป และถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณมาก มีไอน่าครั่นคร้ามแผ่ออกมา
“ฟู่!” แสงสีเขียวเปล่งประกาย กระบี่บินใสแจ๋วราวกับน้ำพุ่งออกจากถุง
พอชายหนุ่มชุดผ้าแพรทำท่ามือ กระบี่บินก็กลายเป็นแสงสีเขียวเจิดจ้าหมุนวนอยู่ตรงหน้า กลิ่นไอกระบี่แผ่ออกมาอย่างดุเดือด
“วิชาขี่กระบี่!”
แม้ก่อนหน้านั้นจะเคยได้ยินมาว่าซาทงเทียนก็เป็นผู้ฝึกฝนกระบี่ แต่พอวันนี้ได้เห็นกับตา หลิ่วหมิงถึงกับต้องถอนหายใจออกมา
จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่มาถึงแผ่นดินจงเทียน เขายังไม่เคยเจอผู้ฝึกฝนกระบี่ที่แท้จริงเลย และดูจากอานุภาพของกระบี่บินเล่มนี้แล้ว วิชาขี่กระบี่ของเขาคงจะไม่ธรรมดา
จินอวี้หวนก้าวออกไปหนึ่งก้าว และยืนเคียงไหล่กับหลิ่วหมิงโดยไม่พูดอะไรออกมา จากนั้นก็นำดาบยาวที่มีแสงสีเขียวเปล่งประกายออกมา
หลิ่วหมิงกลับยกแขนขัดขวางนางไว้ และส่ายหน้ากล่าวออกมา
“แม่นางจิน ตรงนี้มอบให้ข้าก็พอแล้ว” พอกล่าวจบ เขาก็ไม่สนใจสีหน้างงงันของนางอีก และสะบัดแขนเสื้อปล่อยกระบี่บินสีแดงที่ปรับแต่งเสร็จแล้วออกมา ทันใดนั้นแสงสีแดงยาวจั้งกว่าๆ ก็พุ่งออกไป และหมุนอยู่เหนือศีรษะของเขา
ทันใดนั้น พายุร้อนก็ม้วนตัวออกไปรอบด้าน
ที่เขาตั้งใจทำเช่นนี้ ย่อมอยากจะทดสอบดูว่า ศิษย์สายในที่ได้ชื่อว่ามีคุณสมบัติเหนือผู้ใดนั้นในนิกายยอดบริสุทธิ์นั้น จะมีพลังเช่นใดในสถานการณ์ที่มีระดับการฝึกฝนที่แตกต่างกัน
“เจ้าก็เป็นวิชาขี่กระบี่ด้วยหรือ?” พอชายหนุ่มชุดผ้าแพรเห็นแสงกระบี่สีแดงของหลิ่วหมิง ดวงตาของเขาก็เผยแววประหลาดใจออกมา
แต่เขาก็หัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็นในทันที พอแสงสีเขียวที่หมุนวนรอบตัวดับลง ก็เผยให้เห็นเงาร่างกระบี่ที่คล้ายกับน้ำ มันขยายใหญ่ตามลมจนมีขนาดหลายจั้ง และลอยอยู่ตรงหน้าเขา
“ฟัน!” น้ำเสียงอันเยือกเย็นตะโกนออกมาจากปากชายหนุ่มชุดผ้าแพร!
กระบี่ยักษ์ของชายหนุ่มพร่ามัว จากนั้นเงากระบี่อันครั่นคร้ามก็ปกคลุมไปทั่วฟ้า และฟันไปทางหลิ่วหมิง
“ถอยหลัง!”
หลิ่วหมิงตะคอกใส่จินอวี้หวนเบาๆ รูม่านตาค่อยๆ หดลง ขณะเดียวกันก็กระตุ้นเคล็ดกระบี่อย่างไม่ลังเล
ทันใดนั้น แสงกระบี่สีแดงก็เปล่งประกาย และพุ่งออกไปรับทันที มันม้วนตัวแค่ทีเดียว ก็ขยายยาวสองสามจั้งภายในพริบตา พอเขาชี้ไปที่มัน ปลายกระบี่ก็หมุนวนอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นแสงทรงกลดขนาดใหญ่หลายจั้ง
เกิดเสียงดังราวกับเสียงฟ้าร้อง พอปราณกระบี่สีเขียวเข้ามาใกล้ ก็ถูกแสงทรงกลดสีแดงดูดเข้าไปในระลอกคลื่น ครู่เดียว ก็กลายเป็นสะเก็ดแสงกระเด็นออกไปทั่วทิศ
และทุกครั้งที่แสงทรงกลดสีแดงดูดกลืนแสงกระบี่สีเขียว ขนาดของมันก็ลดลงทีละนิด
ขณะนี้ จินอวี้หวนได้ถอยออกไปสิบกว่าจั้งแล้ว แต่ยังคงรับรู้ได้ถึงปรานกระบี่อันร้ายกาจที่แฝงมากับพายุอย่างชัดเจน ทำให้นางรู้สึกหวาดผวาขึ้นมา
พลังของซาทงเทียนนั้นนางรู้จักดี แต่คิดไม่ถึงว่าหลิ่วหมิงที่มีการฝึกฝนแค่ระดับของเหลวขั้นกลาง จะมีพลังแข็งแกร่งเช่นนี้ จากการแสดงออกในก่อนหน้านั้น นางคิดว่าเขาเป็นผู้ฝึกร่างคนหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าจะเชี่ยวชาญวิชาขี่กระบี่ด้วย ทั้งยังดูเหมือนว่าจะมีอานุภาพพอๆ กับซาทงเทียน
“ดูท่าคงจะเลือกถูกคนแล้ว” นางรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย แต่ดวงตางดงามทั้งคู่ยังคงจ้องมองการต่อสู้ของทั้งสอง ขณะเดียวกัน มือของนางก็จับดาบยาวสีเขียวหยกไว้แน่น
“เร็ว!”
ซาทงเทียนเห็นว่าปราณกระบี่ของตนเองโจมตีไม่ได้สักที ก็รู้สึกร้อนใจมาก เขาเปลี่ยนท่ามืออย่างรวดเร็ว แสงกระบี่ที่ปกคลุมเต็มฟ้าหยุดชะงักลง และกลายเป็นเงากระบี่สีเขียวที่มีขนาดใหญ่หลายจั้ง จากนั้นก็ฟันใส่แสงทรงกลดสีแดงของหลิ่วหมิง
“เปรี๊ยะๆ!”
แสงทรงกลดสีแดงพยายามต้านทานอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็แตกออกมาเป็นสองส่วน
ชายหนุ่มชุดผ้าแพรเผยแววตาโหดร้ายออกมา เขาควบคุมให้เงากระบี่สีเขียวฟันใส่หลิ่วหมิงที่อยู่ด้านล่างอย่างต่อเนื่อง
หลิ่วหมิงทำเสียงฮึดฮัด และขยับตัวไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็คว้ามือข้างหนึ่งออกไป และกระบี่จิตวิญญาณสีแดงก็ปรากฏอยู่ในมือ พอโยนมันออกไป ก็กลายเป็นแสงกระบี่สีแดง
โล่กระบี่เมื่อครู่เพิ่งถูกทำลายไป ปราณกระบี่บนตัวกระบี่ก็ถูกโจมตีจนสลาย แต่ตัวกระบี่ไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด
ภายในระยะเวลาสั้นๆ แม้ว่าขนาดของแสงกระบี่สีแดงจะเทียบไม่ได้กับเงากระบี่ยักษ์สีเขียว แต่ก็ยังมีขนาดจั้งกว่าๆ พอหลิ่วหมิงชี้ผ่านอากาศ มันก็ฟันเฉียงลงบนกระบี่ยักษ์สีเขียว
มีเสียงแตกร้าวดังออกมาติดต่อกัน พอกระบี่บินสองเล่มปะทะกัน มันก็พากันกระเด็นออกไป และหลิ่วหมิงก็พุ่งถอยออกไปหลายจั้ง
กระบี่บินสีแดงที่กระเด็นออกไปหลายจั้งหมุนวนกลางอากาศหนึ่งรอบ และพุ่งกลับเข้ามาในมือของเขา
หลิ่วหมิงกระตุ้นพลังเวททั้งหมดใส่เข้าไปในกระบี่บิน ทันใดนั้นกระบี่บินสีแดงก็ดูคล้ายกับทานโอสถเสริมพลังเข้าไป แสงสีแดงสั่นสะเทือน และกลายเป็นเงากระบี่ยักษ์ที่ยาวหลายจั้ง และพุ่งไปรับมือกับแสงกระบี่สีเขียวของชายหนุ่มที่พุ่งเข้ามา
แสงกระบี่สองลำที่มีขนาดใกล้เคียงกันประสานกันไปมา และส่งเสียงดังตูมตามอยู่ตลอดเวลา ประเดี๋ยวแสงสีเขียวก็กดทับแสงสีแดงไว้ ประเดี๋ยวแสงสีแดงก็ควบคุมแสงสีเขียวไว้ ชั่วขณะนั้นไม่อาจตัดสินว่าใครเหนือกว่าใคร
แต่ว่าในที่สุดสถานการณ์ก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น
แสงกระบี่สีเขียวพุ่งออกไปในแนวขวาง ระหว่างที่แสงกระบี่ติดๆ ดับๆ นั้น มันก็ค่อยๆ ควบคุมแสงกระบี่สีแดงไว้
แม้หลิ่วหมิงจะได้คัมภีร์กระบี่ปราณแกร่งมา แต่เพราะไม่ได้ฝึกฝนวิธีการฝึกฝนกระบี่แบบอื่นๆ อย่างแท้จริง และตัวอ่อนกระบี่ในหอยสังข์ย่อส่วนก็หลอมขึ้นมาได้ไม่นาน จึงมีอานุภาพจำกัด วิชาขี่กระบี่ย่อมตกเป็นเบี้ยล่างเป็นธรรมดา
และกระบี่บินสีเขียวของชายหนุ่มชุดผ้าแพรเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอด คุณสมบัติมันเหนือกว่ากระบี่บินระดับกลางที่หลิ่วหมิงซื้อมาจากตลาดยิ่งนัก
ตอนที่ 510 ไข่หนอนสีขาว
โดย
Ink Stone_Fantasy
ชั่วเวลาแค่ครึ่งถ้วยชา แสงกระบี่สีแดงก็ค่อยๆ มืดลง และถูกกดดันจนมีความยาวแค่ฉื่อกว่าๆ ทั้งยังต้องร่นถอยเป็นระยะๆ
หลิ่วหมิงถอนหายใจยาวๆ ออกมา เขากวักมือเรียกกระบี่บินกลับมาในทันที เมื่อเผชิญหน้ากับเงากระบี่ที่พุ่งเข้ามาเช่นนี้ เขาก็สะบัดแขนเสื้อในทันที จุดแสงสีทองหมุนติ้วๆ ออกมา พอมีเสียงดัง “ฟู่!” มันก็แผ่ขยายเป็นม่านทราย
จากนั้นเขาก็ทำท่ามือด้วยมือทั้งสองอย่างรวดเร็ว และปล่อยพลังเข้าไปในหมอกทราย
“ฟู่!” หมอกทรายสีทองม้วนตัวขึ้นมา และกลายเป็นชั้นป้องกันบังอยู่ตรงหน้า
ชายหนุ่มชุดผ้าแพรเห็นเช่นนี้ ก็เผยแววตาเยาะเย้ยออกมา พอเขาตะคอกเสียง นิ้วทั้งสิบก็คลื่นไหวอย่างรวดเร็วราวกับล้อรถ ชั่วขณะนั้นไม่รู้ว่าเขาปล่อยวิชาออกมาเท่าใด จากนั้นแสงกระบี่สีเขียวก็พร่ามัวขยายใหญ่อย่างรวดเร็ว ครู่ต่อมาก็กลายเป็นอสรพิษยักษ์สีเขียวที่ยาวเกือบสิบจั้ง
ในที่สุดคนผู้นี้ก็แสดงวิชากระบี่ที่แท้จริงออกมา คิดไม่ถึงว่าจะทำให้กระบี่บินเปลี่ยนรูปร่างได้
พออสรพิษสีเขียวส่ายหาง ก็มีเงาสีเขียวจำนวนมากปะทะใส่ม่านทรายสีทอง
“เพล้ง!”
บริเวณที่แสงสีเขียวเคลื่อนตัวผ่าน ทำให้มีแสงสีทองหมุนวนอยู่บนผิวม่านทราย และกลายเป็นเม็ดทรายกระเด็นไปทั่วทิศ ซึ่งไม่อาจต้านทานได้เลยแม้แต่น้อย
มีเสียงแตกหักดังมาอย่างกระชั้นชิด
อสรพิษยักษ์สีเขียวทำลายชั้นป้องกันหลายชั้น และกระโจนมาถึงตรงหน้าหลิ่วหมิง จากนั้นก็อ้าปากเพื่อจะงับเขาอย่างโหดเหี้ยม
จินอวี้หวนที่อยู่ไกลๆ เห็นเช่นนี้ ก็อุทานด้วยความตกใจอย่างอดไม่ได้
ใบหน้าแคบยาวของซาทงเทียนดูเย็นชาขึ้นมา เขาชี้นิ้วออกไปด้านหน้าโดยไม่คิดจะยั้งมือ
แต่หลิ่วหมิงเพียงแค่ขยับไหล่ ร่างของเขาก็พร่ามัว หลังจากม้วนตัวท่ามกลางหมอกทราย ร่างของเขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
อสรพิยักษ์โจมตีเข้ามาอย่างรุนแรง แต่คิดไม่ถึงว่าจะเจอกับความว่างเปล่า
ชายหนุ่มชุดผ้าแพรเห็นเช่นนี้ ก็เผยแววตาประหลาดใจออกมา
แต่ครู่ต่อมา มีเงาร่างกระพริบออกมาท่ามกลางม่านทรายที่อยู่เหนือหัวของอสรพิษยักษ์ หลังจากมีเสียงมังกรร้องพยัคฆ์คำรามดังออกมาพร้อมกัน หลิ่วหมิงก็ปรากฏออกมาพร้อมกับไอดำที่พวยพุ่ง และถือโอกาสที่ชายหนุ่มกำลังตกตะลึง ปล่อยกำปั้นที่มีเกล็ดสีแดงปกคลุมออกไปอย่างรุนแรง และทุบหัวอสรพิษยักษ์สีเขียวอย่างหนักหน่วง
อสรพิษยักษ์กระเด็นออกไปพร้อมเสียงร้องโหยหวน แสงสีเขียวรอบตัวสลายไป และกลายร่างเป็นกระบี่บินสีเขียวก่อนดีดตัวกลับมา
“เคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ! นี่เป็นวิชาในนิกาย ทำไมเจ้าถึงเป็นวิชานี้!” พอซาทงเทียนเห็นไอดำบนตัวหลิ่วหมิง ก็รู้สึกอึ้งในตอนแรก แต่ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงตะโกนถามด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็โบกมือเรียกกระบี่บินกลับมา และก้มมองดูมัน
แสงบนกระบี่บินขาดๆ หายๆ ดูเหมือนจะมีสภาพไม่มั่นคงเล็กน้อย คมกระบี่ก็มีร่องรอยเล็กน้อย ดูท่าคงจะสูญเสียจิตวิญญาณไปมาก ดวงตาของชายหนุ่มดูเคร่งขรึมขึ้นมาทันที
“แน่นอนว่าย่อมเป็นวิชาที่นิกายให้มา ว่าแต่ท่านยังจะต่อสู้อีกหรือไม่?” หลิ่วหมิงกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ และเก็บไอดำบนตัวเข้าไป ขณะเดียวกันก็ปล่อยพลังออกไป และม่านทรายก็ม้วนตัวเข้าไปในแขนเสื้อของเขา
ซาทงเทียนผู้นี้เป็นศัตรูที่แข็งแกร่งจริงๆ อานุภาพการป้องกันของทรายทองคำแข็งแกร่งแค่ไหน นอกจากราชาอัคคีจิตวิญญาณแล้ว นี่เป็นผู้ฝึกฝนระดับของเหลวคนที่สองที่สามารถทำลายมันได้
แต่ว่ากำปั้นเมื่อครู่ของเขา ก็ทำให้ฝ่ายตรงข้ามสูญเสียพลังเล็กน้อย
“เจ้าชื่ออะไร ศิษย์สายนอกในก่อนหน้านี้คงไม่มีคนอย่างเจ้า คงเป็นศิษย์ที่เพิ่งเข้ามาใหม่สินะ?” ชายหนุ่มชุดผ้าแพรตาเป็นประกาย และสังเกตดูหลิ่วหมิงอย่างละเอียดถี่ถ้วน จากนั้นก็กล่าวออกมาอย่างเยือกเย็น
“ข้าเป็นแค่คนไร้ชื่อเสียงผู้หนึ่งเท่านั้น ต่อให้บอกชื่อแซ่ไป เกรงว่าศิษย์พี่ก็ไม่รู้จักอยู่ดี” หลิ่วหมิงหัวเราะแล้วกล่าวออกมา
“ดี! ข้าจำเจ้าไว้แล้ว ในเมื่อเจ้ายืนกรานจะช่วยเจ้าหนูนี่ ก็ตามใจเจ้าเถอะ! แต่หากครั้งหน้าเจ้ามาขวางทางข้าอีกล่ะก็ เรื่องมันคงจะไม่ง่ายเช่นนี้” ซาทงเทียนกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย จากนั้นก็หมุนตัวทะยานจากไปอย่างไม่ลังเล
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย และเขาก็ครุ่นคิดด้วยตาที่เป็นประกาย
“คิดไม่ถึงว่าพลังของศิษย์พี่หลิ่วจะแข็งแกร่งเช่นนี้ ทั้งยังบีบให้เขาถอยไปได้” เห็นได้ชัดว่าจินอวี้หวนไม่ได้คิดอะไรมาก พอเห็นว่าชายหนุ่มชุดผ้าแพรจากไปไกลแล้ว นางก็รีบเหาะมาข้างหลิ่วหมิง และกล่าวด้วยสีหน้าเบิกบานใจ
“แม่นางจินกล่าวเกินไปแล้ว ก็แค่โชคนี้เท่านั้น คนผู้นี้เป็นศิษย์สายใน คงจะซ่อนท่าไม้ตายไว้ไม่น้อย ข้าเองก็ทำได้เพียงเท่านี้ แต่ข้ารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ในตลาดของนิกายในก่อนหน้านั้น ข้าได้ยินมาว่าคนผู้นี้ก่อกวนแม่นางอยู่ไม่หยุด วันนี้ยังมาไกลถึงที่นี่ ไม่ทราบว่าเป็นเพราะสาเหตุพิเศษอันใด?” หลิ่วหมิงหัวเราะเหอะๆ! และเปลี่ยนเรื่องในฉับพลัน
“อันนี้……” จินอวี้หวนมีสีหน้าชะงักงันในทันที
“หากแม่นางจินลำบากใจที่จะพูดออกมา ก็คิดเสียว่าข้าไม่ได้ถามก็แล้วกัน” หลิ่วหมิงยิ้มบางๆ แล้วกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“ศิษย์พี่หลิ่วกล่าวเกินไปแล้ว วันนี้สามารถบีบให้คนผู้นี้ถอยไปได้ ล้วนเป็นเพราะความสามารถของศิษย์พี่หลิ่ว ไหนเลยข้าจะกล้าปิดบังท่าน ตระกูลซาของเขาวางแผนจะเอาสมบัติที่บรรพบุรุษของตระกูลจินได้ทิ้งไว้ ดังนั้นถึงได้ทำให้ข้าลำบากใจมาโดยตลอด” สีหน้าของจินอวี้หวนเปลี่ยนไปชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นก็กล่าวออกมาอย่างคลุมเครือ
“ใช่หรือ?” หลิ่วหมิงเผยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม
จินอวี้หวนถูกเขามองจนรู้สึกขาดความมั่นใจ และก้มหน้าหลบสายตาอย่างรวดเร็ว
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็รีบไปเอาสมบัติของบรรพบุรุษแม่นางออกมาเถอะ ยิ่งช้าอุปสรรคก็ยิ่งเยอะ” หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อย และหมุนตัวเดินเข้าไปในถ้ำ
คำพูดของนางดูคลุมเครือ จะต้องปิดบังเรื่องราวไว้ไม่น้อย แต่เขาก็ไม่สนใจจะซักไซ้ไล่เลียงแต่อย่างใด ที่มากับนางในครั้งนี้ ล้วนเป็นเพราะยันต์ทะลวงเส้นลมปราณเท่านั้น
เมื่อเห็นว่าหลิ่วหมิงไม้ได้ซักไซ้ไล่เลียง จินอวี้หวนก็แอบถอนใจด้วยความโล่งอก หลังจากมองไปทางขอบฟ้าแล้ว ถึงหมุนตัวเดินเข้าไปในถ้ำ
“แม้ว่าซาทงเทียนผู้นั้นจะไปแล้ว แต่ก็ไม่อาจรับรองได้ว่าเขาจะไม่กลับมา ตอนนี้ไม่มีคนดูแลที่นี่ หากมีคนบุกรุกเข้ามากระทันหัน จะต้องเกิดเรื่องยุ่งยากอย่างแน่นอน เพื่อป้องกันเหตุที่ไม่คาดคิด ควรวางค่ายกลเอาไว้ก่อนดีกว่า” หลิ่วหมิงเดินไปได้สองก้าวก็พลันหยุดชะงักลง และหันตัวกลับมา
พอจินอวี้หวนคิดๆ ดูแล้ว ก็ติดว่ามันสมเหตุสมผลเช่นกัน
ดูเหมือนนางจะเตรียมพร้อมเป็นอย่างมาก นางพกค่ายกลมาถึงสองชุด
ทั้งสองยุ่งอยู่ตรงปากถ้ำราวๆ หนึ่งก้านธูป หลังจากวางค่ายกลป้องกันกับค่ายกลรับรู้แล้ว ถึงเดินเข้าไปถ้ำลึก
พอมาถึงบริเวณบ่อเย็นอีกครั้ง จินอวี้หวนก็หยิบเกราะหนังสีแดงเข้มกับตราหยกสีขาวออกมาให้หลิ่วหมิง ขณะเดียวกัน ตนเองก็ถือสิ่งของเช่นเดียวกัน
“เกราะไล่ความเย็นนี้สร้างขึ้นจากใยแมงมุมของแมงมุมเพลิงพันปี เวลาสวมไว้บนตัวจะสามารถต้านทานการโจมตีของไอเย็นได้ระดับหนึ่ง ต่อให้ลงไปในบ่อเย็นก็ไม่ต้องเป็นกังวล แต่ต้องใช้พลังเวทเล็กน้อยถึงจะสำแดงอานุภาพของมันออกมาได้” จินอวี้หวนอธิบายออกมาโดยไม่รอให้หลิ่วหมิงถาม
หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ก็ปล่อยจิตกวาดดูเกราะหนังบนมือทันที ทันใดนั้นก็รับรู้ได้ถึงไอร้อนที่แผ่ออกมา เมื่อเขาสวมมันเข้าไปแล้ว ก็ปล่อยพลังเวทเข้าไปเล็กน้อย
แสงสีแดงเข้มเปล่งประกายบนเกราะหนัง ร่างของหลิ่วหมิงรู้สึกร้อนขึ้นมา พริบตาเดียว ก็รู้สึกราวกับว่าอยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์ร้อนแรง ไอเย็นรอบตัวดูเหมือนจะหายไปในพริบตา
“ปีศาจตัวไหมน้ำแข็งตัวนั้นเจ้าเล่ห์เป็นอย่างมาก วิชาน้ำแข็งของมันก็ร้ายกาจยิ่งนัก หากต่อสู้กับมันในบ่อดูจะอันตรายเกินไป จำเป็นต้องวางแผนล่อมันขึ้นมาบนผิวน้ำ” จินอวี้หวนสวมชุดเกราะเข้าไปเช่นกัน นางยื่นนิ้วสีขาวสะอาดจัดการปอยผมที่ย้อยลงบนขมับ และกล่าวอย่างรอบคอบ
“ย่อมเป็นเช่นนั้น แม่นางจินมีท่าทีสงบเช่นนี้ คิดว่าคงมีวิธีการแล้ว ข้าจะตั้งใจฟังเจ้า” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
จินอวี้หวนได้ยินก็ยิ้มพรายออกมา และพูดถ่อมตนไปสองประโยค จากนั้นก็ลังเลเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ
“ปกติปีศาจหนอนตัวนั้น จะซ่อนตัวอยู่ก้นบ่อ และไม่ออกมาโดยง่าย แต่เรื่องนี้ไม่ต้องกังวลไป ข้าได้เตรียมเหยื่อพิเศษไว้แล้ว รับรองได้ว่าสามารถล่อมันออกมาบริเวณบ่อเย็นได้อย่างแน่นอน ตราหยกสีขาวนี้คือตราที่ใช้ซ่อนตัว สามารถบดบังกลิ่นไอของข้ากับเจ้าได้ชั่วคราว รอมันขึ้นมาจากน้ำ พวกเราทั้งสองก็ลงมือพร้อมกัน คนหนึ่งขวางอยู่ตรงปากบ่อ อีกคนก็ทุ่มพลังสังหารมันให้ได้โดยเร็ว”
“หากจะปิดล้อมหนอนตัวนี้ไว้ ไม่สู้วางค่ายกลกักขังศัตรูไว้บริเวณบ่อเย็นไม่ดีกว่าหรือ เช่นนี้แล้วก็จะมีความมั่นใจมากขึ้น” หลิ่วหมิงเสนอแนะ
“ไม่ได้เป็นอันขาดตัวไหมน้ำแข็งนี้มีความรู้สึกไวต่อพลังของชั้นจำกัดมาก หากวางค่ายกลไว้ที่นี่ คาดว่ามันคงไม่กล้าออกจากบ่อเย็นอย่างแน่นอน”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นก็ทำตามแผนของแม่นางเถอะ!” หลิ่วหมิงพยักหน้า และไม่พูดอะไรออกมาอีก
นางรู้จักตัวไหมน้ำแข็งในบ่อดีเช่นนี้ ดูท่าคงจะศึกษามานานแล้ว เช่นนี้ก็ดี เตรียมการได้รอบคอบเช่นนี้ เชื่อว่าคงจะจัดการตัวไหมน้ำแข็งตัวนั้นได้อย่างราบรื่น
หลังจากทั้งสองหารือกันเรียบร้อยแล้ว ก็รีบดำเนินการในทันที
จินอวี้หวนนำกล่องไม้ยาวครึ่งฉื่อออกมาจากเอว มียันต์สีเหลืองจางๆ แปะอยู่บนนั้น
นางดึงยันต์ออกอย่างไม่ลังเล และเปิดกล่องออกมา
พอเปิดฝากล่องออก ควันเย็นสะท้านสีขาวเทาก็พวยพุ่งออกมา หลังจากไอเย็นสลายไป ไข่หนอนสีขาวขนาดเท่ากำปั้นก็ปรากฏออกมา ขณะเดียวกัน กลิ่นคาวจางๆ ก็โชยออกมาพร้อมกัน
นางค่อยๆ จับไข่หนอนออกมาอย่างระมัดระวัง และเคลื่อนตัวไปยังมุมหนึ่งของถ้ำที่อยู่ห่างจากบ่อเย็นมากที่สุด จากนั้นก็ฝังมันลงดินครึ่งหนึ่ง
ขณะนี้ จินอวี้หวนถึงเคลื่อนตัวไปซ่อนอยู่อีกมุมหนึ่ง และบีบตราหยกจนแหลกละเอียดโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
แสงสีขาวจางๆ เปล่งประกายออกมา จากนั้นร่างของนางก็ค่อยๆ จมหายไปในอากาศ
“นี่คือเหยื่อล่อที่พูดถึง……”
หลิ่วหมิงจ้องมองไข่หนอนไม่ทราบชื่อด้วยสีหน้าครุ่นคิด พอออกแรงที่นิ้วทั้งห้า ตรากหยกก็แตกกระจาย และเขาก็ซ่อนตัวอยู่อีกด้านหนึ่ง
ครึ่งชั่วยามผ่านไป ก็มีระลอกคลื่นก่อตัวบนผิวน้ำที่เงียบสงบ จากนั้นคลื่นพลังจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งก็ปนเปเข้ามากับไอเย็นสะท้าน
“ได้ผลจริงๆ ด้วย ไข่หนอนไม่ทราบชื่อใบนั้น สามารถล่อตัวไหมน้ำแข็งระดับของเหลวขั้นปลายออกมาได้อย่างง่ายดาย คิดว่ามันคงไม่ใช่ไข่หนอนธรรมดาแล้ว” สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปในทันที และคิดเช่นนี้อยู่ในใจ
ตอนที่ 511 ตัวไหมน้ำแข็ง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ผ่านไปซักพัก ระลอกคลื่นในบ่อก็ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังมีฟองน้ำพุ่งออกมาเป็นครั้งครา แต่ยังไม่มีทีท่าว่าตัวไหมน้ำแข็งจะปรากฏออกมาเลย
จากคำเตือนของจินอวี้หวนในก่อนหน้านั้น หลิ่วหมิงก็รู้ว่าตัวไหมน้ำแข็งมีการตอบสนองที่แข็งแกร่งมาก ดังนั้นเขาก็ไม่กล้าปล่อยจิตออกไปตรวจสอบ ทำได้แค่อดทนรออย่างเงียบๆ
ทันใดนั้น มีเสียงน้ำแตกดังขึ้นมา กลุ่มแสงสีขาวปรากฏบนผิวน้ำ ดูเหมือนว่าจะเป็นร่างส่วนหนึ่งของตัวไหมน้ำแข็ง
หลิ่วหมิงขมวดคิ้วขึ้นมา และกำลังจะทำอะไรบางอย่าง แต่หลังจากแสงสีขาวเปล่งประกาย ระลอกคลื่นบนผิวน้ำก็หายไปทันที ดูเหมือนว่าตัวไหมน้ำแข็งจะดำกลับเข้าไปแล้ว
ภายใต้สถานการณ์ที่เขาไม่สามารถทำอะไรได้ ก็ได้แต่ข่มอารมณ์รอคอยอีกครั้งอย่างเงียบๆ
หลังเวลาผ่านไปราวๆ ครึ่งถ้วยชา ผิวน้ำที่สงบก็พวยพุ่งอย่างรุนแรง หัวหนอนยักษ์สีขาวหิมะแวววาวจนเกือบจะโปร่งแสงลอยขึ้นมาจากในนั้น
บนหัวของมันมีดวงตาสีเขียวที่จ้องมองรอบด้านอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ปีนขึ้นมาจากบ่อเย็น และโผเข้าหาไข่หนอนไม่ทราบชื่ออย่างรวดเร็ว
มันคือปีศาจไหมน้ำแข็งที่จินอวี้หวนพูดถึง!
อสูรตัวนี้มีขนาดสองสามจั้ง ลำตัวและหัวขาวแวววาวราวกับหิมะ มีจุดสีเขียวแก่เจ็ดแปดจุดอยู่ข้างตัวทั้งสองด้าน ขาสั้นๆ จำนวนมากที่อยู่ด้านล่างเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว จนพอที่จะเทียบกับความเร็วในการเหินเวหาได้
ดูจากท่าทีซื่อๆ ไร้เดียงสาของหนอนตัวนี้แล้ว หลิ่วหมิงก็หลุดขำไม่ได้ แต่ก็ต้องรู้สึกเย็นสะท้านขึ้นมา!
ตัวไหมน้ำแข็งนี้มีสติปัญญาสูงมาก เพียงแค่เล่ห์เหลี่ยมการเสแสร้งในก่อนหน้านั้น ก็เหนือกว่าปีศาจอสูรจำนวนมากแล้ว จึงไม่อาจดูเบามันได้
พริบตาเดียว ก็มาถึงตรงมุมถ้ำและอ้าปากงับไข่หนอนทันที จากนั้นก็หมุนตัวเพื่อจะกลับลงไปในบ่อเย็น
แต่ขณะนั้นเอง เงาร่างสีขาวก็พุ่งเข้ามาจากอีกด้าน และขวางปากบ่อไว้ ซึ่งก็คือจินอวี้หวนนั่นเอง
นางแยกมือทั้งสองโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง และประกบเข้าด้วยกันอีกครั้งอย่างรวดเร็ว แสงดาบสีเขียวหยกพุ่งออกจากใจกลางฝ่ามือทั้งสอง มันคือดาบยาวสีเขียวหยกเล่มนั้น พอสะบัดแค่ทีเดียว แสงดาบขนาดจั้งกว่าๆ ก็ก่อตัวขึ้น และฟันไปใส่หัวของตัวไหมน้ำแข็งอย่างโหดเหี้ยม
ภายใต้ความตกใจ ตัวไหมน้ำแข็งก็กลืนไข่หนอนลงไปด้วยตาที่เป็นประกาย จากนั้นก็อ้าปากพ่นน้ำค้างแข็งสีขาวหิมะออกมา พอมันสัมผัสกับแสงดาบสีเขียว ก็ระเบิดออกมาเป็นเกล็ดหิมะ
ไอเย็นม้วนตัวพวยพุ่งออกไป และเกาะผนึกแสงดาบสีเขียวไว้
“ฟู่!”
ตัวไหมน้ำแข็งพ่นแท่งน้ำแข็งออกมาโจมตีแสงดาบจนแตกกระจาย
จินอวี้หวนทำท่ามือและแตะลงบนตัวด้วยความตกใจ แสงสีแดงเปล่งประกายบนเกราะหนัง คลื่นความร้อนสีแดงพุ่งออกมาต้านทานน้ำค้างแข็งที่โจมตีเข้ามา
เห็นได้ชัดว่าตัวไหมน้ำแข็งถูกยั่วจนโมโหแล้ว ร่างส่วนหน้าของมันชูขึ้นมา ขณะที่กำลังจะเคลื่อนไหวนั้น แสงกระบี่สีแดงที่ปะปนกับพายุร้อนก็พุ่งเข้ามา และฟันลงบนหลังของอสูรตัวนี้
ดูเหมือนตัวไหมน้ำแข็งจะค้นพบถึงความผิดปกติ มันจึงส่งเสียงร้อง และม้วนตัวกลมดิก
ขณะเดียวกัน ร่างขาวสะอาดก็แผ่ไอเย็นออกมา พริบตาเดียว มันก็กลายเป็นก้อนน้ำแข็งสีเงินกลมๆ
จินอวี้หวนมีสีหน้าเคร่งขรึมลง พอเปลี่ยนท่ามือ ดาบสีเขียวหยกที่ลอยอยู่ตรงหน้าก็พร่ามัวกลายเป็นคมดาบสีเขียวแวววาว และฟันออกไป
“เพล้ง!” “เพล้ง!”
แสงคมดาบและกระบี่ฟันลงบนก้อนน้ำแข็งติดต่อกัน ทำให้มันกระเด็นไปชนผนังถ้ำอย่างรุนแรง และกลิ้งลงบนพื้น
หลิ่วหมิงยกมือเรียกกระบี่บินกลับมาด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
การลงมือโจมตีอย่างกระทันหันในเมื่อครู่ ทิ้งรอยกระบี่จางๆ ไว้เท่านั้น ซึ่งไม่สามารถทำอะไรตัวไหมน้ำแข็งที่อยู่ด้านในได้
และแสงดาบที่จินอวี้หวนกระตุ้น กลับไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้เลย
คิดไม่ถึงว่าตัวไหมน้ำแข็งจะมีวิชาป้องกันแข็งแกร่งเช่นนี้
จินอวี้หวนดวงตาเป็นประกาย นางพลิกฝ่ามือหยิบยันต์สีเหลืองมากดไว้บนพื้น ทันใดนั้น แสงสีเหลืองก็จมหายไปใต้ดินอย่างไร้สุ้มเสียง
ครู่ต่อมา หนามพสุธาจำนวนมากที่เปล่งแสงสีเหลือง ก็ผุดขึ้นมาจากพื้นดินที่อยู่ไม่ไกล และแทงใส่ก้อนน้ำแข็งอย่างแม่นยำ แม้จะไม่สามารถทำอะไรมันได้ แต่กลับตรึงมันไว้กับผนังถ้ำ
หลิ่วหมิงจำยันต์นี้ได้ในทันที พอพยักหน้าเล็กน้อยแล้วเขาก็โบกมือ จากนั้นแสงสีทองก็พุ่งออกจากแขนเสื้อ และกลายเป็นม่านทรายทองคำร่วงปกคลุมเต็มฟ้า หลังจากเกาะตัวเป็นกระบี่ยักษ์เล่มหนึ่ง มันก็พุ่งยิงใส่ก้อนน้ำแข็งกลมๆ
ครู่ต่อมา แสงดาบสีทองสองลำก็ทอประสานกันอย่างรวดเร็ว และฟันไปยังก้อนน้ำแข็งกลมๆ อย่างโหดเหี้ยม
“เปรี๊ยะ!” หนามพสุธาที่หนีบก้อนน้ำแข็งกลมๆ อยู่ ค่อยๆ แตกออกมา และมีร่องรอยลึกๆ ปรากฏบนก้อนน้ำแข็ง
มีเสียงแหลมดังออกจากก้อนน้ำแข็งกลมๆ ชิ้นน้ำแข็งสีขาวค่อยๆ ร่วงลงมา และเผยให้เห็นร่างของตัวไหมน้ำแข็งที่อยู่ในนั้น
พอปีศาจหนอนตัวนี้คลี่ตัวออกมา มันก็ตกลงพื้นอีกครั้ง เมื่อมันสะบัดบั้นท้ายอย่างรุนแรง แสงดาบสีทองก็กระเด็นออกไป
ร่างสีขาวแวววาวของมันมีเลือดสีเขียวซึมออกมา ดวงตาสีเขียวจ้องมองจินอวี้หวนที่ขวางทางลงบ่อไว้ เห็นได้ชัดว่ามันกำลังโกรธที่ได้รับบาดเจ็บ
“ระวัง! มันจะแลกชีวิตแล้ว!” หลิ่วหมิงรีบตะโกนออกมา ขณะเดียวกัน กระบี่บินสีแดงในมือก็พุ่งออกมาไป และกลายเป็นเงากระบี่สีแดงที่ยาวจั้งกว่าๆ ฟันลงบนหลังตัวไหมน้ำแข็ง
จินอวี้หวนได้ยินก็รีบควักยันต์ออกมาด้วยความตกใจ
แต่ทว่านางไม่ทันได้กระตุ้นยันต์ เท้าสั้นๆ สิบกว่าข้างของตัวไหมน้ำแข็งก็กลายเป็นเงา ร่างของมันเคลื่อนไหวพร่ามัวจนหลบแสงกระบี่สีแดงไปได้ และพุ่งเข้าหาจินอวี้หวนราวกับลมกรด
นางสะบัดดาบยาวสีเขียวหยกด้วยความตกใจ จนไม่ได้สนใจกระตุ้นยันต์ ทันใดนั้น มันก็กลายเป็นแสงสีเขียวฟันออกไป
แต่พอตัวไหมน้ำแข็งอ้าปากพ่นไหมละเอียดเล็กสีขาวแวววาวออกมา มันก็ทำลายดาบแสงจนแตกกระจาย และห่อหุ้มดาบยาวสีเขียวหยกไว้ ไม่ว่าอาวุธชิ้นนี้จะดิ้นรนเท่าใด ก็ไม่อาจหลุดออกมาได้
จินอวี้หวนกระตุ้นดาบยาวสีเขียวหยกอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่สามารถหลุดออกจากการรัดพันของไหมละเอียดได้ และนางก็มีสีหน้าหวาดผงาโดยไม่รู้ตัว
แม้จะบอกว่าดาบยาวของนางจะเป็นแค่อาวุธจิตวิญญาณระดับสูง แต่อานุภาพเสริมกับอานุภาพเสริมกับชั้นจำกัดอันแหลมคมที่เสริมขึ้นมา นางย่อมรู้ดีว่ามันคมกริบระดับไหน แต่ตอนนี้กลับไม่สามารถทำอะไรตัวไหมสีขาวนี้ได้เลยแม้แต่น้อย
เมื่อไม่มีดาบยาวคอยขวางไว้ ตัวไหมน้ำแข็งก็กระโจนมาถึงตรงหน้าหญิงสาวอย่างรวดเร็ว และอ้าปากพ่นแท่งน้ำแข็งอันแหลมคมใส่นางทันที
จินอวี้หวนตระหนกตกใจจนทำอะไรไม่ถูก การโจมตีระยะใกล้เช่นนี้ แม้นางอยากจะแสดงวิธีการต่างๆ เพื่อต้านทานก็ไม่ทันแล้ว ทำได้แต่ส่งพลังเวทไปยังปราณแกร่งคุ้มร่างอย่างรวดเร็ว เพื่อต้านทานการโจมตีนี้
แต่ขณะนั้นเอง แสงสีทองก็เปล่งประกายตรงหน้าหญิงสาว ม่านทรายสีทองปรากฏออกมาในฉับพลัน และม้วนตัวกลายเป็นทรงกระบอกปกป้องนางไว้
มันคือทรายทองคำร่วงที่หลิ่วหมิงกระตุ้นให้มาช่วยนาง
หลังจากมีเสียงระเบิดดัง “ปังๆ!”
แท่งน้ำแข็งพุ่งใส่ม่านทรายสีทองติดต่อกัน และค่อยๆ ระเบิดออกมา ไอเย็นเสียดกระดูกม้วนตัวขึ้นมา และเกาะตัวเป็นชั้นน้ำแข็งหนาๆ บนม่านทราย
ครู่ต่อมา ภายใต้การหมุนวนของแสงสีทองบนม่านทราย ชั้นน้ำแข็งก็ค่อยๆ แตกร้าว และร่วงลงมา
แต่ตัวไหมน้ำแข็งกลับอ้าปากพ่นไหมสีขาวจำนวนมากออกมาอย่างไม่ลังเล มันกระพริบแต่ทีเดียว ก็กลายเป็นตาข่ายยักษ์ปกคลุมนางกับม่านทรายสีทองไว้
จากนั้นตาข่ายสีขาวก็รัดแน่นขึ้นมา และขังนางไว้ในนั้น
จินอวี้หวนมีสีหน้าซีดขาวในทันที ไม่ว่านางจะกระตุ้นวิชาต่างๆ โจมตีอย่างบ้าระห่ำแค่ไหน ก็มันอาจหลุดออกไปได้
ดีที่ว่ามีม่านทรายคุ้มกันอยู่ นางจึงไม่ค่อยได้รับอันตรายอะไรมากนัก
ขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงกลับหายวับมาอยู่ห่างจากตัวไหมน้ำแข็งไม่ไกล พอทำท่ามือด้วยสีหน้าเยือกเย็น กระบี่แสงสีแดงที่ยาวจั้งกว่าๆ ก็พุ่งไปฟันหลังของตัวไหมน้ำแข็งราวกับสายรุ้งที่ยาวค้ำฟ้า
ตัวไหมน้ำแข็งทำราวกับมองไม่เห็น แสงสีเขียวบนหลังของมันเปล่งประกายอยู่ชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นแสงสีเขียวเจ็ดแปดลำก็รวมตัวเข้าด้วยกัน และกลายเป็นลำแสงขนาดใหญ่ต้านทานแสงกระบี่ที่ร่วงลงมาไว้ได้
“เอ๋?”
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ต้องอุทานออกมาอย่างอดไม่ได้
เขาคิดไม่ถึงว่าตัวไหมน้ำแข็งจะยังมีความสามารถเช่นนี้ด้วย ขณะที่เขากำลังเพิ่มพลังเวทเพื่อโจมตีลำแสงขนาดใหญ่นั้น ตัวไหมน้ำแข็งก็หันกลับมาอย่างรวดเร็ว และพ่นไหมละเอียดสีขาวโพลนใส่เขา
ในเมื่อหลิ่วหมิงรู้ถึงความร้ายกาจของตัวไหมน้ำแข็งแล้ว เขาย่อมไม่อาจดูเบามันได้ พอร่างของเขาเคลื่อนไหวสองสามที ก็หายไปจากที่เดิม และไปปรากฏตัวอยู่ห่างออกไปเจ็ดแปดจั้ง
ตัวไหมน้ำแข็งรู้สึกอึ้งไปครู่หนึ่ง
จินอวี้หวนถือโอกาสที่ตัวไหมน้ำแข็งถูกหลิ่วหมิงดึงดูดความสนใจกัดฟันในทันที จากนั้นโลหิตบริสุทธิ์ก็กลายเป็นหมอกโลหิตพุ่งออกจากปาก ขณะเดียวกัน ภายใต้การชี้นำของท่ามือ มันก็ค่อยๆ จมหายไปในเกราะหนังสีแดงเข้ม
ทันใดนั้น เกราะหนังสีแดงเข้มบริเวณหน้าท้องก็เปล่งแสงสีแดงออกมา ค่ายกลสีแดงหลังหนึ่งลอยออกจากในนั้น และหมุนตัวติ้วๆ ก่อนที่จะพ่นเสาเพลิงสีแดงแก่อมม่วงออกมา
“ฟู่!” ตาข่ายด้านนอกถูกเสาเพลิงทะลวงจนเป็นรูขนาดใหญ่
จินอวี้หวนกระโดดออกมาด้วยความดีใจ จากนั้นก็พุ่งออกไปด้านหลัง และหยิบธงเล็กสีฟ้าออกมาอันหนึ่ง พอหมอกเมฆสีขาวทะลักออกมา มันก็ปกป้องนางไว้รอบด้าน
พอตัวไหมน้ำแข็งได้ยินเสียงดัง มันก็หันหน้ามาทันที พอเห็นว่าหญิงสาวหนีออกจากตาข่ายมาได้ มันก็ส่งเสียงร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง และแสงสีเขียวแปลกประหลาดก็เปล่งประกายในดวงตาของมัน
“ตู๊ม!”
ท่ามกลางบ่อน้ำที่อยู่ไม่ไกล ผิวน้ำพวยพุ่งอย่างรุนแรง เสาวารีขนาดเท่าถังน้ำพุ่งขึ้นมาในพริบตา และหมุนวนกลางอากาศหนึ่งรอบก่อนที่จะตกลงมาบริเวณหัวของตัวไหมน้ำแข็ง และก่อตัวเป็นเมฆวารีสีดำขนาดใหญ่หลายจั้ง
“ระวัง! ปีศาจหนอนตัวนี้กำลังจะแสดงความร้ายกาจอะไรบางอย่าง”
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็หรี่ตาทั้งคู่ลง พอโบกมือข้างหนึ่ง ม่านทรายทองคำที่อยู่ไม่ไกลก็ม้วนตัวออกมา และลอยมาอยู่ตรงหน้าเขา
จินอวี้หวนได้ยินก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที อาวุธจิตวิญญาณที่ถือบนมือไม่อาจใช้การได้ พลังของนางอ่อนแอลงไปมาก ทันใดนั้นนางก็เอาเท้าแตะพื้นเพื่อที่จะพุ่งไปอยู่ข้างๆ หลิ่วหมิง
แต่ขณะนั้นเอง ตัวไหมน้ำแข็งก็พ่นหมอกน้ำแข็งออกมา และจมหายไปยังเมฆวารีที่อยู่เหนือหัว
แสงสีเงินเปล่งประกายแวววาวอยู่ภายในเมฆวารี อุณหภูมิในถ้ำลดลงอย่างกะทันหัน จนรู้สึกหนาวเย็นอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
และครู่ต่อมา แท่งน้ำแข็งขนาดใหญ่ก็พุ่งออกจากเมฆวารีราวกับสายฝน และปกคลุมอากาศในระยะสิบกว่าจั้ง
จินอวี้หวนมีสีหน้าซีดขาวขึ้นมา จนไม่มีเวลาที่จะวิ่งไปทางหลิ่วหมิง จึงแต่กระตุ้นธงเล็กสีฟ้าในมือ ทันใดนั้น แสงสีฟ้าก็ม้วนตัวออกมา และกลายเป็นร่มปกคลุมอยู่เหนือศีรษะของนาง
…………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น