ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 503-510

 ตอนที่ 503 เธอคือเหมยเหมยของเรา


อู่เหมยได้ยินเสียงราวกับมีคนเรียกชื่อเธออยู่ เสียงนั้นเปรียบเสมือนเสียงของหญิงสาวในความฝัน แม้เสียงนั้นจะเบามาก แต่เธอกลับได้ยินมัน


เหมือนกับเสียงเสียงนั้นดังมาจากด้านล่างเวที อู่เหมยอยากจะลงเวทีเพื่อไปดู แต่เธอก็อดทนไว้ได้ ด้านล่างมีผู้ชมอยู่มากมาย รวมถึงนักข่าวจากหลายๆ สำนัก เธอจะต้องแสดงออกมาให้ดีที่สุด จะทำขายหน้าไม่ได้


บทเพลงบรรเลงอันไพเราะได้ดังขึ้น อู่เหมยจึงเริ่มวาดลวดลายการเต้นไปตามจังหวะและทำนอง โดยตัวเธอได้ถลำลึกเข้าไปยังท่วงท่าของการเต้นรำ โดยได้ลืมผู้ชมที่อยู่ล่างเวทีไปสนิท ลืมเรื่องราวต่างๆ ทุกอย่าง แม้กระทั่งท่าเต้นเธอก็ลืมไปเสียหมด แต่ทุกท่วงท่าลีลาการเต้นนั้นเป็นไปอย่างธรรมชาติ ราวกับการพรรณนาของนวนิยายกำลังภายใน ที่พรรณนาถึงคุณูปการความเก่งกาจอันสูงสุด ที่ไม่จำเป็นต้องจดจำท่วงท่าใดๆ แต่ก็สามารถต่อสู้หรือแสดงออกได้ตามแรงกำลังของอีกฝ่าย


ท่วงท่าลีลาการเต้นของอู่เหมยมีความคลึงกับเรื่อราวนั้น มีบางท่วงท่าที่เธอไม่เคยได้ฝึกซ้อมมาก่อน แต่เป็นเพราะเธอฟังจากทำนองเพลงที่บรรเลงและได้วาดลวดลายเองอย่างเป็นธรรมชาติ ในความเป็นจริงนั้น ท่วงท่าลีลาที่ตัวเธอคิดออกมายังมีขอบเขตความน่าสนใจเสียยิ่งกว่าตอนฝึกซ้อมมาก


ผู้ชมที่อยู่ล่างเวทีไม่ได้มองการแสดงของเด็กสามคนอย่างพวกเขาว่ามีอะไรดี การแสดงของพวกเด็กๆ จะมีอะไรที่พิเศษไปได้!


เด็กสามคนนี้ต้องมีความสัมพันธ์กับคนภายในเป็นแน่ เพราะแต่ไหนแต่ไรมาก็มักจะเป็นเช่นนี้ การแสดงที่เป็นของโรงเรียน ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นเพราะความสัมพันธ์ส่วนตัว แค่ให้เด็กพวกนี้ได้ออกทีวี ก็เป็นเกียรติมากพอแล้ว!


ส่วนการแสดงของพวกเด็กๆ เพียงแค่ไม่ใช่เรื่องราวตบตาคนหรือฝืนต่อเรื่องในอดีตก็เพียงพอแล้ว เพราะไม่มีใครที่คิดเล็กคิดน้อยกับพวกเด็กๆ


เพียงแต่พวกเขากลับคาดไม่ถึง


การแสดงของพวกอู่เหมยเป็นสิ่งตบตาคนเสียยิ่งกว่า!


เพราะพวกเขาแสดงได้งดงามยอดเยี่ยมมาก เมื่อเทียบกับการแสดงของนักแสดงมืออาชีพก่อนหน้านี้ ราวกับความมีสีสันสดใสของดอกไม้ที่อยู่ในกลุ่มดอกไม้นานาพันธุ์ ทำให้ใครๆ ต่างมองเห็นได้ดั่งดอกบัวแรกบานที่เริ่มโผล่พ้นน้ำ ความรู้สึกชัดเจนนี้เป็นวิสัยทัศน์ที่ตรงกันข้าม ที่ทำให้ผู้ชมต่างพากันหลงลืมความเป็นตัวเอง ราวกับเกิดความเมามายและหลงไหล


เมื่อเหยียนซินหย่ายิ่งได้เห็น นัยน์ตาก็ยิ่งเริ่มแดงก่ำและมีน้ำตาเอ่อคลอ อู่เหมยที่กำลังเต้นอยู่บนเวที หมุนตัวไปมา หมุนไปจนกลายเป็นดั่งท่าทางของแม่เธอ แม่เธอคือนักเต้นแห่งคณะระบำเพลงขององค์กร และเป็นนักเต้นที่มีความสามารถในการแสดงเป็นอย่างมาก


ตอนเด็กๆ เธอมักจะไปที่โรงเรียนการแสดงกับพ่อ เพื่อดูการแสดงของแม่ แม่ของเธอเมื่ออยู่บนเวทีก็มีท่วงท่าเช่นนี้ มันงดงามราวกับตลอดเวลาเธอสามารถลอยขึ้นสู่บนฝากฟ้าได้ และไม่กลับลงมายังโลกมนุษย์อีก


“อิงหัว เธอต้องเป็นเหมยเหมยของพวกเราแน่ ต้องใช่แน่ๆ”


เหยียนซินหย่าตื่นเต้นจนต้องพูดกับตัวเองอยู่เสมอ จ้าวอิงหัวได้แต่จับมือเธอเอาไว้แน่น เขาเองก็รู้สึกตื่นเต้น ความรู้สึกของคนเป็นพ่อเป็นแม่ที่มีต่อลูกนั้น ยากที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ แต่ตัวเขาสามารถรับรู้มันได้


อู่เหมยหมุนตัวอย่างไม่หยุด แม้แต่ตัวของเธอเองยังไม่มั่นใจว่าหมุนไปแล้วกี่รอบ แค่ไม่รู้สึกเวียนหัว เธอก็สามารถหมุนต่อไปได้ ยิ่งหมุนก็ยิ่งเร็วขึ้น เร็วเสียยิ่งกว่าทำให้ผู้ชมมองเห็นเพียงแค่ภาพเงาในลักษณะสีเขียวๆ แต่มองไม่เห็นคน


เสียงปรบมือดังขึ้นราวกับเสียงน้ำไหล ผู้ชมทุกคนต่างปรบมือกันด้วยความตื่นเต้น และปรบมือให้กับการแสดงอันงดงามของเด็กทั้งสาม!


ม่านกั้นฉากค่อยๆ ปิดลง นั่นคือการแสดงของพวกอู่เหมยได้จบลงแล้ว!


เหยียนซินหย่าลุกขึ้นยืนอย่างตื่นเต้น และลากจ้าวอิงหัวไปยังหลังเวที เพราเธอรอต่อไปไม่ไหวแล้ว เธอร้อนรนจนทนรอไม่ไหวที่จะเจอกับอู่เหมย เธออยากจะมองเด็กคนนี้ในระยะใกล้


จ้าวอิงหัวและเธอได้ก้มหลังแล้วเดินอ้อมไปยังหลังเวที เหยียนหมิงซุ่นที่ยืนรอพวกเขาอยู่ตรงประตูทางเข้า “เจอตัวเหมยเหมยแล้ว คุณน้ารู้สึกอย่างไรบ้างครับ?”


เหยียนซินหย่ารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก จนแทบพูดอะไรไม่ออก จ้าวอิงหัวดึงรั้งภรรยาของเขาเอาไว้ เขามองเหยียนหมิงซุ่นด้วยสายตาแวววาว และถามขึ้นเสียงหนัก “นายสงสัยตั้งแต่แรกแล้วเหรอ?”


“ใช่ครับ ก่อนที่จะได้เจอกับพวกคุณ ผมก็เริ่มสงสัยขึ้นมา และตอนนี้ผมก็มั่นใจแล้วด้วย” เหยียนหมิงซุ่นดูไม่ได้แสดงพิรุธใดๆ ออกมา และไม่แม้จะหลบสายตาของจ้าวอิงหัว


ในสายตาของจ้าวอิงหัวปรากฏให้เห็นถึงความชื่นชม เมื่อเทียบกับเขาในตอนนั้น เด็กคนนี้แข็งแกร่งกว่ามาก!


“เหยียนซินหย่า ทำไมถึงเป็นเธอ เธอมาทำอะไรที่นี่?” น้ำเสียงตกใจดังเข้ามาจากด้านนอก


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 504 เหยียนซินหย่า เธอมาทำอะไร


หญิงสาวที่ตะโกนเรียกเสียงดังคือเหอปี้อวิ๋น หลังจากที่คนในตระกูลอู่ดูการแสดงจบ จึงเดินมาหาอู่เหมยที่ด้านหลังเวที เหอปี้อวิ๋นเองก็เดินตามมาด้วย แต่กลับนึกไม่ถึงว่าจะเจอกับศัตรูหัวใจและคนรักเก่า


เหตุการณ์น่าตกใจที่เกิดขึ้นทำให้เหอปี้อวิ๋นไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองไว้ได้ เธอเดินถลันเข้าไปตรงหน้าของเหยียนซินหย่า และตะโกนชี้หน้าใส่เธออย่างไม่อยากจะเชื่อได้


แม่ของเธอบอกว่าเหยียนซินหย่ามีชีวิตไม่ค่อยดีนักไม่ใช่หรือ?


แต่ทำไมเธอถึงดูไม่ออกแม้แต่น้อย?


บนตัวของเหยียนซินหย่าสวมใส่เสื้อคลุมที่ทำจากขนแกะซึ่งเป็นรุ่นใหม่สุดของปีนี้ ที่คอได้สวมใส่สร้อยคอจี้หัวใจที่เป็นที่นิยมมากในช่วงสองปีนี้ และดูสีหน้าของเธอ แม้จะดูไม่ค่อยดีนักแต่ก็เห็นได้ชัดว่าได้รับการดูแลและบำรุงผิวพรรณมาเป็นอย่างดี ดูๆ แล้วราวกับเธอมีอายุเพียงแค่ยี่สิบต้นๆ


ยายเหยียนซินหย่ามีชีวิตความเป็นอยู่ไม่ดีตรงไหนหรือ?


ไหนจะข้างกายเธอที่มีช่างกวนอิงหัวอีก ไม่ธรรมดาเลยเมื่อเทียบกับสิบกว่าปีก่อน ทุกอย่างดูแล้วไม่เหมือนกับอู่เจิ้งซือที่เป็นเพียงแค่ครูยากจนคนหนึ่งเลยสักนิด


เหอปี้อวิ๋นรู้สึกเสียดาย โกรธแค้น และยังอับอาย เสียดายที่ก่อนหน้านั้นเธอไม่สามารถจับช่างกวนอิงหัวไว้แน่นพอ โกรธแค้นที่ทำไมเหยียนซินหย่าถึงยังมีชีวิตที่ดีได้ และอับอายที่วันนี้ตัวเธอไม่ได้แต่งตัวให้ดูดีหน่อย ทำตัวให้ขายหน้าต่อหน้าชายที่ตนชอบเสียได้!


“ช่างกวนคะ คุณจะมาที่เมืองจินทำไมไม่บอกฉันสักคำล่ะ? ดูสิว่าฉันไม่รู้เลยว่าคุณจะมา” เหอปี้อวิ๋นที่มองเห็นจ้าวอิงหัว ก็รีบเก็บอาการในทันที แต่กลับแสดงท่าทีออดอ้อนราวกับเด็กสาว จ้าวอิงหัวจึงถูฝ่ามือเข้าหากันไม่หยุด


ในตอนนี้เธอเข้าใจทุกอย่างแล้ว ว่าเหตุใดเหอปี้อวิ๋นถึงได้เกลียดพี่สะใภ้คนเล็กของเธอนัก!


แท้จริงแล้วเหอปี้อวิ๋นชอบพอต่อพี่ชายคนเล็กเธอนี่เอง!


เหยียนซินหย่าแย่งชายอันเป็นที่รักของเธอไป หากเธอไม่แค้นคงจะเป็นเรื่องแปลกนัก!


จ้าวอิงหนานมองเหอปี้อวิ๋นด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม กริยาท่าทางของเหอปี้อวิ๋นต่อหน้าพี่ชายเธอ ไม่ได้มองว่าพี่สะใภ้เล็กของเธออยู่ในสายตาเลย หึ! หน้าไม่อายจริงๆ!


“เหอปี้อวิ๋นสมองเธอคงไม่ได้มีปัญหาหรอกใช่ไหม พี่ชายฉันมาที่เมืองจินทำไมจะต้องบอกกับเธอด้วย? เธอเป็นอะไรกับพี่ชายฉันเหรอ?” จ้าวอิงหนานด่าออกไปอย่างไม่เกรงใจ


รอยยิ้มของเหอปี้อวิ๋นค่อยๆ จางหายไป เธอหันมามองจ้าวอิงหนานอย่างตกใจ และหันกลับไปมองจ้าวอิงหัว ในเวลานี้เธอถึงได้สังเกตเห็นว่าพวกเขามีรูปร่างหน้าที่คล้ายคลึงกัน อีกทั้งเมื่อครู่จ้าวอิงหนานเองได้เรียกจ้าวอิงหัวว่าพี่ชายคนเล็ก?


“พี่ชายคนเล็ก? ช่างกวนทำไมคุณถึงเป็นพี่ชายของอาจารย์จ้าวไปได้ล่ะ? ตัวเขาแซ่ช่างกวน แต่เธอแซ่จ้าว ทำไมพวกคุณถึงเป็นครอบครัวเดียวกันได้?” เหอปี้อวิ๋นถามขึ้นอย่างร้อนรน


จ้าวอิงหนานหัวเราะเยาะ “น่าแปลกดีนะ ฉันแซ่จ้าว แล้วทำไมพี่ชายฉันจะมีแซ่ช่างกวนไม่ได้? ชื่อก็เป็นเพียงแค่รหัสประจำตัวเท่านั้น พี่ชายของฉันอยากจะใช้ชื่ออะไรก็ชื่อนั้น เธอเกี่ยวอะไรด้วย?”


ความจริงคือในช่วงนั้นเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น ศัตรูจำนวนไม่น้อยที่จ้องจับตาดูตระกูลเขา ทุกคนต่างต้องการกำจัดพวกเขาออกไปให้หมดแผ่นดิน เพราะเหตุนี้พี่น้องไม่กี่คนอย่างพวกเขาจึงตกลงกันว่าเปลี่ยนแซ่ทางฝั่งแม่เป็นแซ่ช่างกวนชั่วคราว ทำให้ลดความวุ่นวายในเวลานั้นลงไปได้ไม่น้อย


จนกระทั่งที่พ่อของเขาได้ตำแหน่งคืน พวกเขาถึงได้เปลี่ยนแซ่กลับมาเป็นแซ่จ้าวเหมือนดั่งเดิม


ในเวลานี้ได้มีคนเดินเข้ามาหา เป็นบุคคลที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้วีไอพี ซึ่งเขาคือเลขานุการประจำเมือง เมื่อครู่ที่จ้าวอิงหัวยันตัวลุกขึ้น ตัวเขาเองที่เป็นหัวหน้าฝ่ายเลขานุการอันเลื่องลือด้วยไหวพริบและแววตาอันว่องไว แค่มองแวบเดียวก็รู้ได้ว่าเป็นเขาผู้นั้น เขาจึงได้บอกกล่าวต่อฝ่ายเลขาธิการ เพื่อจะเข้ามาทักทาย


“คุณจ้าวมาร่วมงานทำไมถึงไม่บอกกันเลยล่ะครับ ผมช่างเสียมารยาทจริงๆ!” ใบหน้าของหัวหน้าเลขานุการเต็มไปด้วยรอยยิ้มอันมีมิตรไมตรี


เขาเป็นถึงข้าราชการผู้มีความเฉลียวฉลาดและได้ผ่านการทดสอบมาแล้ว ช่วงที่จ้าวอิงหัวยังไม่ได้รับราชการ เขาได้สืบหาข้อมูลเบื้องหลังเกี่ยวกับประวัติส่วนตัวทุกอย่างไว้หมดแล้ว ไม่มีผลคาดเคลื่อนใดๆ แน่ ชายผู้นี้ได้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการประจำเมือง วันข้างหน้าก็เปรียบเหมือนหัวหน้าใหญ่ของเขา ชีวิตและครอบครัวของเขาคงต้องฝากเอาไว้กับรองผู้อำนวยการประจำเมืองอย่างคุณจ้าวแล้วล่ะ


เขาจะไม่ให้การต้อนรับอย่างดีได้หรือ?


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 505 เหอปี้อวิ๋น ระวังกรรมจะตามสนองล่ะ


จ้าวอิงหัวพูดคุยกับหัวหน้าเลขานุการไปไม่กี่ประโยค เขาพูดเพียงแค่ว่าต้องการมาดูการแสดงของลูกหลานในตระกูล จึงไม่ได้ต้องการให้ทุกคนแตกตื่นแต่อย่างใด


“เลขาธิการหูเชิญให้คุณจ้าวไปพูดคุยด้วย คุณจะว่ายังไงครับ?” หัวหน้าเลขานุการยิ้มตาหยีและพูดขึ้น


จ้าวอิงหัวรู้สึกลำบากใจ เขามองไปยังหลังเวทีแวบหนึ่ง จากนั้นหันกลับไปยังเก้าอี้โซนวีไอพีอีกครั้ง เลขาธิการประจำเมืองจินหันมายิ้มให้เขาและพยักหน้าเพื่อเป็นการให้เกียรติ การที่เขามาร่วมดูการแสดงแล้วไม่เข้าไปทักทาย ถือเป็นการเสียมารยาทมากพอแล้ว ในตอนนี้ท่านได้ส่งเลขามาเชิญเขาถึงที่ หากว่าเขาเลือกที่จะไม่เข้าไปพบ เกรงว่าเลขาธิการหูคงมองเขาเปลี่ยนไปแน่


เหยียนซินหย่าพูดขึ้นอย่างอ้อมค้อมและอ่อนโยน “อิงหัว คุณรีบเข้าไปพบท่านเถอะค่ะ ทางนี้ยังมีฉันกับอิงหนานอยู่!”


จ้าวอิงหนานเองก็ได้บอกให้เขาเข้าไป เพราะเขาไม่ควรจะเสียมารยาท จ้าวอิงหัวจึงทำได้เพียงกำชับให้จ้าวอิงหนานดูแลเหยียนซินหย่าให้ดี ตัวเขาถึงได้เดินตามหัวหน้าเลขาเข้าไปด้านใน ใจของหัวหน้าเลขานั้นรู้สึกดีขึ้นมากว่าเดิม เขาเห็นได้อย่างชัดเจนว่าจ้าวอิงหัวมีท่าทีไม่เต็มใจนัก คิดว่าคงเป็นเพราะเขาไม่อยากห่างจากภรรยาอันเป็นที่รัก จึงอดที่จะขำไม่ได้


เขาได้ยินมานานแล้วว่าจ้าวอิงหัวเป็นสามีแบบอย่างที่ได้มาตรฐาน เขารักภรรยาเท่าชีวิต ผู้นำคนอื่นๆ ต่อให้ไม่ชอบการสังสรรค์หรือคบค้าสมาคมมากนัก แต่อย่างน้อยก็ยังมีเข้าร่วมบ้าง แต่จ้าวอิงหัวไม่ใช่เลย นอกเสียจากจะเป็นคำสั่งจากเบื้องบนที่ปฏิเสธไม่ได้เขาถึงจะเข้าร่วม มิฉะนั้นเขาจะกลับบ้านทันทีเพื่อกลับไปดูแลภรรยาหลังจากเลิกงาน


อีกทั้งเขายังได้ยินมาอีกว่าภรรยาของจ้าวอิงหัวคือผู้ป่วยรูปงามดั่งนางสวรรค์ราวกับหลินเหม่ยเหม่ย [1] ไม่แปลกเลยที่คนแข็งกระด้างราวกับเหล็กอย่างจ้าวอิงหัวจะถูกหลอมละลายกลายเป็นน้ำไปได้!


คุณปู่อู่ที่ยืนอยู่ด้านหลังของเหอปี้อวิ๋นสายตาวาววับ เขาแก่และช่างสังเกตมากพอจนถึงขั้นดูออกทุกอย่าง เพียงแค่เห็นว่าเลขานุการประจำเมืองทำตัวเกรงอกเกรงใจ และไม่กล้าดูแคลนต่อจ้าวอิงหัวขนาดนี้ ก็รู้ได้ทันทีว่าฐานะของจ้าวอิงหัวไม่ธรรมดา


“สะใภ้รองไม่คิดจะแนะนำเพื่อนของเธอให้พวกเรารู้จักบ้างล่ะ?” คุณปู่พูดขึ้น


เหอปี้อวิ๋นตัวหดเล็กลงอย่างฉับพลัน และพูดออกไปอย่างไม่เต็มใจนัก “เธอคืออาจารย์จ้าว เป็นแม่บุญธรรมของเหมยเหมยค่ะ”


ส่วนเหยียนซินหย่านั้นเธอไม่ได้อยากแนะนำเลยสักนิด ยายชั่วนี่ไม่ใช่เพื่อนของเธอเลยต่างหาก ทำไมเธอจะต้องแนะนำด้วย?


คุณปู่ดวงตาเป็นประกายแพรวพราว ดูเหมือนว่าแม่บุญธรรมของหลานสาวคนเล็กจะมีฐานะที่สูงกว่าที่เขาคิดไว้มาก!


หลานคนเล็กช่างเป็นเด็กที่โชคดีเสียจริง!


“อาจารย์จ้าวรักใคร่ต่อเหมยเหมยของเรา ช่างถือเป็นเกียรติยิ่งนัก ต่อไปนี้เหมยเหมยมีอาจารย์คอยอบรมสั่งสอน คนเป็นปู่อย่างผมก็วางใจแล้วล่ะ!” คุณปู่พูดขึ้นอย่างนอบน้อมเพื่อจะสมานความสัมพันธ์


จ้าวอิงหนานไม่ได้รู้สึกดีอะไรต่อตระกูลอู่เลย แต่ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็มีอายุมากกว่า เธอเองก็ไม่ควรจะทำตัวเสียมารยาทเกินไป เธอหันไปขยิบตาให้เหอปี้อวิ๋นทีหนึ่งก่อนจะพูดขึ้น “อู่เหมยเป็นเด็กที่ใครเห็นต่างก็หลงรัก แต่น่าสงสาร ตั้งแต่เล็กๆ กลับไม่มีชีวิตที่ดีเลย ฉันเห็นยังรู้สึกเจ็บปวดเลย ตอนนี้อู่เหมยเป็นลูกบุญธรรมของฉันแล้ว แน่นอนว่าฉันจะต้องเอ็นดูเธอให้มาก”


คุณปู่มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป เขาไม่สามารถเก็บอาการทางสีหน้าได้อีก เมื่อก่อนคนที่ปฏิบัติตัวแย่ๆ ต่ออู่เหมยไม่ได้มีเพียงแค่เหอปี้อวิ๋น เขาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น


คำพูดของจ้าวอิงหนานได้พัดเข้าหูเขาอย่างหนัก เขาจึงทำได้เพียงอดทนและยอมรับ!


ทั้งหมดเป็นความผิดของสะใภ้หน้าโง่อย่างเหอปี้อวิ๋น!


คุณปู่จ้องมองไปยังเหอปี้อวิ๋นอย่างโกรธจัด ทว่าเธอกลับไม่รู้ตัว จากนั้นได้หันกลับมาพูดคุยกับจ้าวอิงหนาน และได้พูดกับเหยียนซินหย่าไปอีกไม่กี่ประโยค เหยียนซินหย่าจะเอาอารมณ์ที่ไหนมาคุยเล่นกับคนตระกูลนี้ได้ล่ะ ใจของเธอในตอนนี้คือหวังเพียงแค่ให้ได้เจออู่เหมยโดยเร็ว


ขอแค่ให้ได้เจอเด็กคนนี้ เธอก็จะสามารถรู้เรื่องราวทุกอย่างได้!


หากว่าอู่เหมยเป็นลูกสาวของเธอจริงๆ เธอไม่มีทางให้อภัยคนพวกนี้ที่ขโมยลูกสาวของเธอไปแน่!


ไหนจะเหอปี้อวิ๋น ยายชั่วนี่ที่มีแต่ความใจดำอำมหิต บัญชีเก่าและบัญชีใหม่ที่มีในตอนนี้ เธอจะต้องเรียกเก็บคืนมาให้ครบทุกบาททุกสตางค์!


“เหอปี้อวิ๋น คนเราทำอะไรไว้ฟ้าดินเห็นหมด ระวังสักวันกรรมจะตามสนองล่ะ!” เหยียนซินหย่าพูดประโยคนี้ด้วยความเย็นชา จากนั้นจึงปลีกตัวเดินออกไปหลังเวที ไม่แม้แต่จะหันกลับมามองพวกแปลกประหลาดอย่างคนตระกูลอู่อีก


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 506 เห็นได้ชัดอย่างผิวเผิน


เหอปี้อวิ๋นมีสีหน้าเปลี่ยนไปจากเดิมมาก หันไปตะโกนด่าตามหลังเหยียนซินหย่า “เหยียนซินหย่า แกมีสิทธิ์อะไรถึงได้พูดจาแบบนี้ แกมันเป็นหญิงกาลกิณี หากใครแต่งงานด้วยจะต้องโชคร้ายไปตลอดชีวิต!”


เหยียนซินหย่าตัวสั่นเทา ใบหน้าซีดขาว เธอกัดฟันแน่น มือที่คอยจับจ้าวอิงหนานไว้สั่นเครือไม่หยุด


จ้าวเสวียหลินรีบประคองตัวเธอเอาไว้ และจ้องมองเหอปี้อวิ๋นอย่างโกรธจัด ผู้หญิงคนนี้สมควรตายนัก อยากจะใช้พัดฟาดเข้าที่ใบหน้าของเธอแรงๆ สักที!


เหอปี้อวิ๋นรู้สึกพึงพอใจขึ้นมาทันที แต่ก่อนที่เธอและเหยียนซินหย่าทะเลาะกันมักจะใช้คำพูดแบบนี้เสมอ ยายชั่วนั่นไม่เคยจะเถียงชนะเธอได้เลย ตอนนี้ก็ยังเหมือนเดิม!


ยายคนชั่วนี่จะต้องก้มหัวต่อหน้าเธอทุกครั้งไป!


จ้าวอิงหนานโกรธมากเสียยิ่งกว่าเดิม เธอไม่เคยเห็นลูกพี่ลูกน้องคนไหนที่ใช้คำพูดแหลมคมราวกับคมมีดต่อหน้าผู้เป็นพี่แบบนี้มาก่อน เมื่อวานได้ฟังที่เหยียนซินหย่าบอก ตระกูลของเธอไม่ได้หวังให้มีบาปบุญคุณโทษใดต่อตระกูลอู่ แต่หากเป็นใบบุญนั้นมีแน่ พวกเขาช่างเป็นดั่งหมาป่าจอมเขลาที่กล้าบังอาจเหิมเกริม!


“เหอปี้อวิ๋นหากว่าอาการป่วยจะกำเริบ ก็ควรจะกลับไปกำเริบที่บ้านนะ พี่สะใภ้เล็กของฉันเป็นคนใจกว้างพอที่ไม่มานั่งคิดเล็กคิดน้อยอะไรกับเธอ แต่ตัวฉันเองไม่ได้ใจดีขนาดนั้น แต่หากจะให้พูดถึงพี่สะใภ้เล็กของฉันละก็ มีคนอย่างเธอเป็นลูกพี่ลูกน้องต่างหาก ถึงเรียกได้ว่าเป็นความโชคร้ายแปดชั่วโคตร!”


จ้าวอิงหนานจ้องเหอปี้อวิ๋นอย่างเย็นชา เธอคิดไว้แล้วว่าหากยายผู้หญิงน่าโง่คนนี้พูดอะไรออกมาอีก เธอจะเดินเข้าไปและใช้พัดฟาดใบหน้าของเธอแรงๆ สักครั้ง!


“เพี้ยะ!”


แต่ในตอนนี้ไม่จำเป็นต้องพึ่งพัดแล้วล่ะ ตี๋ชิวเยวี่ยถือโอกาสก่อนที่เหอปี้อวิ๋นจะอ้าปากพูด เธอเขย่งปลายเท้าแล้วออกแรงตบอย่างแรง ต้องลำบากตัวเธอจริงๆ เพราะตัวเธอนั้นเตี้ยกว่าเหอปี้อวิ๋นไปแทบครึ่งหัว!


“แกหุบปากไปซะ!”


ตี๋ชิวเยวี่ยไม่เคยมีสีหน้าท่าทีเย็นชาแบบนี้มาก่อน เหอปี้อวิ๋นตกใจและนิ่งเงียบไปสักพัก จนกว่าจะเรียกสติคืนกลับมาได้ ไฟร้อนในใจและกายปะทุขึ้นมาราวกับจะระเบิดเสียให้ได้


“สะใภ้รอง!”


แม้ว่าเสียงของคุณปู่จะไม่ได้ดังมาก แต่ก็หนักแน่นเสียยิ่งกว่าน้ำหนักพันกิโล ทำให้เหอปี้อวิ๋นรีบสงบเสงี่ยมเจียมตัว ไม่แม้แต่จะปริปากพูดอีก


“ขอโทษด้วย ที่ฉันดูแลคนในบ้านได้ไม่ดีพอ ทำเรื่องหน้าอายต่อหน้าพวกคุณ!”


คุณปู่อู่โค้งตัวไปด้านหน้าที่มีจ้าวอิงหนานและเหยียนซินหย่าอยู่ ราวกับเป็นการขอโทษด้วยกริยาท่าทางอ่อนน้อม จ้าวอิงหนานก็ไม่อาจที่จะระเบิดอารมณ์โกรธขุ่นมัวได้อีก เธอหันไปจ้องมองหน้าเหอปี้อวิ๋นอีกครั้ง จากนั้นพูดด้วยความเย็นชา “ศาสตราจารย์อู่คะ ต่อไปเรามีเรื่องที่จะต้องคุยกันนะ!”


“พี่สะใภ้เล็ก ไปกันเถอะ!”


จ้าวอิงหนานพยุงตัวเหยียนซินหย่าเดินไปหลังเวที หากไม่เกินความคาดหมาย มีเปอร์เซ็นต์มากถึงแปดสิบและเก้าสิบที่บ่งบอกว่าอู่เหมยต้องเป็นหลานสาวของเธอ ไม่รู้เลยว่าเมื่อสิบสองปีก่อนเกิดเรื่องอะไรขึ้น ถึงได้ทำให้เหยียนซินหย่าคิดว่าตัวเองคลอดเด็กที่ตายแล้วออกมา แต่ลูกสาวแท้ๆ ของเธอกลับไปอยู่ที่บ้านตระกูลอู่เสียได้


ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุหรือเป็นเพราะความตั้งใจของใครก็ตาม แต่กุญแจสำคัญจะต้องเป็นอู่เจิ้งซือหรือพวกเขาคนใดคนหนึ่ง!


พวกเขาต้องรู้ความจริงทุกอย่างแน่!


แต่ในตอนนี้เธอทำให้หลานสาวรู้ความจริงให้ได้ก่อน หากพบว่าอู่เจิ้งซือหรือแม้แต่พวกเขาคนใดคนหนึ่งคิดไม่ซื่อละก็ เหอะ! ตระกูลอู่จะไม่มีทางปัดความรับผิดชอบใดๆ ได้อีก!


คุณปู่อู่ที่ได้ฟังก็รู้สึกแปลกใจ คำพูดคำจาของจ้าวอิงหนานดูท่าจะไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไหร่!


“ชิวเยวี่ย ที่แม่บุญธรรมของอู่เหมยพูดหมายความว่าไง?”


ตี๋ชิวเยวี่ยหัวคิ้วผูกกันแน่น ลางสังหรณ์ของผู้หญิงมักจะไม่เคยพลาด เธอรู้สึกได้ว่าจะต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น และอาจจะเป็นเรื่องใหญ่ที่มีผลร้ายต่อตระกูลอู่เสียด้วย!


เธอหันไปมองหญิงผู้ไร้ซึ่งความยินดีอย่างเหอปี้อวิ๋นอีกครั้งด้วยสายตารังเกียจ และพูดขึ้น “พ่อคะ เรื่องอื่นเราอย่าเพิ่งใส่ใจเลย รีบพาน้องสะใภ้รองกลับบ้านก่อนดีกว่า ดูจากท่าทีของเธอแล้ว หากว่าแม่บุญธรรมของอู่เหมยเจอเข้าอีกครั้ง เกรงว่าเรื่องมันจะแย่เข้าไปใหญ่!”


“นั่นสิ เจิ้งหง เจี้ยนโป พวกแกพาสิ่งของน่าอับอายขายขี้หน้านี่กลับไปซะ เยวี่ยเยวี่ยเองก็กลับไปเถอะ” ตอนนี้สำหรับคุณปู่อู่แล้วการเห็นหน้าเหอปี้อวิ๋น มีแต่จะทำให้รู้สึกถึงความน่ารำคาญ เมื่อครู่หากไม่เป็นเพราะปฏิกิริยาอันรวดเร็วของสะใภ้ใหญ่ ตระกูลอู่คงจะได้พังพินาศแน่!


แต่ถึงอย่างไรเขาก็คาดไม่ถึงว่าสะใภ้รองจะเป็นลูกพี่ลูกน้องกับสะใภ้เล็กของจ้าวอิงหนาน?


มิน่าล่ะอู่เหมยถึงได้มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับผู้หญิงคนนั้น!


เหอะ! ช่างเป็นสะใภ้ที่โง่เง่าเสียจริง หากว่าเธอสามารถมีความสัมพันธ์อันดีกับเหยียนซินหย่าได้ ตัวเขาเองก็จะยอมเกลี้ยกล่อมให้ลูกรองใช้ชีวิตสามีภรรยากันให้ดีขึ้น!


เพียงแต่ในตอนนี้…


คงต้องรีบตัดขาดความสัมพันธ์ของสามีภรรยาคู่นี้ให้ได้โดยเร็ว!


…………………………………………………………………………………………..


[1] นางเอกในเรื่องหงโหลวเมิ่ง (ความฝันในหอแดง) เป็นวรรณคดีจีนที่มีชื่อเสียง เธอฉลาดและมีความสามารถในด้านการประพันธ์ ถือเป็นแบบอย่างของนักกวีจีน


ตอนที่ 507 ฉันคือแม่ของเธอ


อู่เหมยลงมาจากเวที พลางลอบถอนหายใจ แต่เมื่อลงจากเวทีมาได้ไม่นานก็ถูกสยงชิงชิงลากตัวไปกอดรัดฟัดเหวี่ยง “เสี่ยวเหมยเหมย เธอเก่งที่สุดเลย!”


เมื่อครู่เธอแอบลอบมองผ่านหลังม่านไปครู่หนึ่ง พอได้มองก็ไม่อาจละสายตาออกมาได้ ท่าเต้นของอู่เหมยมีหลายท่วงท่าที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน ส่วนใหญ่เป็นท่าที่เธอนึกขึ้นมาอย่างเฉพาะกาล เพียงแค่จุดเล็กๆ จุดนี้ก็ทำให้รู้ได้ว่าเธอเก่งกว่าทีมนักเต้นมืออาชีพแค่ไหน


อู่เหมยกลับรู้สึกกังวลใจเล็กน้อย “ช่วงจังหวะที่หนูเต้น หนูไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ พี่ชิงชิงคะ การแสดงที่ออกมาจะแย่หรือเปล่า?”


“ไม่หรอก เธอเก่งมากเลย เธอเก่งที่สุด!”


สยงซิงซิงเอาแต่ชมเธอไม่หยุด ชื่นชมจากใจจริงๆ ของเธอ และนั่นถึงทำให้อู่เหมยสบายใจขึ้น


“พี่ชิงชิง พี่รีบเตรียมตัวขึ้นเวทีเถอะค่ะ พวกเราจะอยู่ข้างล่างคอยเป็นกำลังใจให้พี่!”


“วางใจได้ พี่สาวเธอน่ะให้หลับตาร้องเพลงเพลงนี้ยังทำได้เลย!” สยงชิงชิงพูดเสียงเจื้อยแจ้ว จากนั้นได้โบกมือให้กับอู่เหมยและสยงมู่มู่ ลำดับต่อไปคือการแสดงของเธอ เธอจะต้องขึ้นไปเตรียมตัวก่อน อู่เหมยและสยงมู่มู่ต่างชูมือพร้อมกำปั้นน้อยๆ ส่งให้เธอ สยงชิงชิงจึงส่งยิ้มให้อย่างมั่นใจ!


“พวกเราไปทางนั้นกัน พ่อกับแม่ของฉันต้องมาแล้วแน่ๆ วันนี้พวกเรามีเรื่องจะเซอร์ไพรส์ด้วยนะ!” สยงมู่มู่พูดคุยโวโอ้อวด ในตาวูบไหวแปลกๆ


หากว่าอู่เหมยเป็นลูกสาวของน้าสะใภ้จริงๆ ถ้างั้นเธอก็จะไม่ใช่น้องสาวบุญธรรมของเขา แต่เป็นลูกพี่ลูกน้องแท้ๆ ของเขา!


ไม่แปลกเลยที่เขาและยัยตัวแสบจะดูสนิทสนมกันขนาดนี้ ที่แท้ครึ่งหนึ่งในตัวของพวกเราก็มีสายเลือดเดียวกันอยู่!


อู่เหมยที่ได้ฟังกลับรู้สึกอัดอั้นใจ ทำไมวันนี้มีแต่คนบอกว่ามีเรื่องเซอร์ไพรส์นู่นนี่นั่น?


แล้วมันคือเซอร์ไพรส์อะไรกันแน่?


“เหมยเหมย!”


จ้าวอิงหนานตะโกนเรียกเสียงดังฟังชัด ทำให้เป็นที่จับตามองของผู้คนที่อยู่หลังเวที อู่เหมยหันหน้ากลับมาอย่างรวดเร็ว จากตอนแรกที่เธอตั้งใจจะขานตอบ ’คุณแม่’ แต่ในตอนนี้ราวกับเธอเป็นคนโง่ที่สติหลุด ดวงตาเบิกกว้าง หยดน้ำตาไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้


หญิงสาวในความฝันได้ปรากฏตัวแล้ว!


เหมือนกับในความฝันทุกประการ รอยยิ้มที่แสนอ่อนโยนนั่น!


“แม่…”


อู่เหมยอยากจะเรียกเธอว่าแม่ แต่เหมือนว่าหลอดเสียงถูกอุดเอาไว้เสียก่อน เธอจึงทำได้เพียงมองเหยียนซินหย่าอย่างหลงใหล ราวกับพวกคนโง่ไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ


เหยียนซินหย่าเองก็ไม่ต่างกันที่ตอนนี้เธอมีท่าทีราวกับคนโง่เขลา น้ำตาไหลลงมาหยดแล้วหยดเล่า พอได้อยู่ใกล้กับอู่เหมยในระยะประชิดแบบนี้ ไม่จำเป็นต้องให้อู่เจิ้งซือมาเป็นพยานแล้ว เธอรู้ดีว่าอู่เหมยคือลูกสาวของเธอ


ความรู้สึกระหว่างแม่กับลูกเป็นปฏิกิริยาที่แสนวิเศษ ซึ่งไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ และเป็นสิ่งที่วิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถอธิบายได้ แต่ด้วยความรู้สึกนี้ เธอก็มั่นใจมากพอว่าอู่เหมยเป็นลูกของเธอ!


“พี่สะใภ้เล็ก ใจเย็นๆ ก่อนนะ!” จ้าวอิงหนานพูดเสียงเบาเกลี้ยกล่อมเธอ


เหยียนซินหย่าเช็ดน้ำตาให้แห้งอย่างลวกๆ พยักหน้าและส่งยิ้มออกมา เธอจะต้องใจเย็นกว่านี้ เธอไม่ควรจะทำให้ลูกสาวของเธอตกใจ


อู่เชาที่จับเส้นผมไม่ได้จึงต้องขยับเข้าไปสะกิดอู่เหมย พร้อมกับกระซิบขึ้น “เธอไม่เป็นอะไรแล้วร้องไห้ทำไม คนมองเยอะแล้วนะ!”


อู่เหมยเองก็รีบเช็ดน้ำตาให้แห้งแบบลวกๆ ยืนนิ่งงันมองดูเหยียนซินหย่าที่เดินเข้ามาใกล้เธอมากขึ้นเรื่อยๆ ใจของเธอเต้นตุบๆ จนแทบไม่เป็นจังหวะ เต้นแรงจนแทบจะกระเด็นออกมาเสียให้ได้ ฝ่ามือก็เต็มไปด้วยเหงื่อ


“หนูชื่อเหมยเหมย เหมยตัวที่แปลว่าคิ้วโก่งดั่งคันศรใช่ไหม?” เหยียนซินหย่าพยายามกักเก็บความตื่นเต้นเอาไว้ และถามออกไปอย่างอ่อนโยน


อู่เหมยพยักหน้าตอบ มองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความละโมบ กลิ่นหอมๆ บนตัวเธอเหมือนดั่งในความฝันทุกประการ อ้อมกอดของเธอก็คงจะอบอุ่นไม่ต่างจากในฝันใช่ไหม?


“หนูเกิดวันที่เท่าไหร่จ๊ะ?” เหยียนซินหย่าถามต่อ


“วันที่แปดมิถุนาค่ะ” อู่เหมยตอบออกไปอย่างเชื่อฟัง


เหยียนซินหย่าตัวสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง จนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เธอใช้มือดึงอู่เหมยเข้ามาโอบกอดไว้ ร่ำไห้และพูดขึ้น “เด็กน้อย ฉันคือแม่ของเธอ เธอคือลูกของฉัน!”


ลูกสาวผู้น่าสงสารของเธอ ถูกเหอปี้อวิ๋นทารุณกรรมมาตลอดสิบสองปีเต็ม!


อู่เจิ้งซือ! เหอปี้อวิ๋น!


เธอจะไม่ยอมยกโทษให้คนพวกนั้นเด็ดขาด!


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 508 ไม่ได้ฝันไป


คนในตระกูลอู่ที่เดินตามหลังเข้ามา แต่กลับต้องตกใจกับกริยาท่าทางของเหยียนซินหย่า นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?


ทำไมลูกหลานของตระกูลอู่ถึงได้กลายเป็นลูกสาวของลูกพี่ลูกน้องของเหอปี้อวิ๋นไปเสียได้?


“ผู้หญิงคนนี้มีปัญหาทางสมองหรือเปล่า?” คุณปู่อู่นึกสงสัยอยู่ลึกๆ ถึงอย่างไรก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของเหอปี้อวิ๋น เป็นตระกูลที่มีสายเลือดของอาการป่วยทางจิต!


เว่ยชิวเยวี่ยเอาแต่นึกถึงคำพูดที่เหยียนซินหย่าได้พูดไว้ก่อนหน้านี้ แต่ก็ไม่ได้เอะใจอะไรนัก จนถึงตอนนี้ที่ได้เห็นการกระทำของเหยียนซินหย่า ใจเธอเต้นโครมครามไม่เป็นจังหวะ เอาแต่คิดไม่ตก


เหยียนซินหย่าไม่มีอาการทางจิตแน่!


คนที่มีอาการทางจิตน่าจะเป็นภรรยาของน้องรองมากกว่า!


ภาพในหัวของเว่ยชิวเยวี่ยเกิดการประมวลผลอย่างรวดเร็ว แค่เธอได้เห็นรูปลักษณ์ภายนอก และสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า ก็สามารถเดาได้ว่าความจริงเป็นอย่างไร เพียงแต่เธอประเมินอู่เจิ้งซือต่ำเกินไป เธอเข้าใจมาตลอดว่าเหยียนซินหย่าได้ฝากอู่เหมยไว้ให้อู่เจิ้งซือช่วยดูแลแทน แต่กลับไม่นึกไม่ฝันมาก่อนถึงสาเหตุอื่น


ไม่แปลกเลยที่แต่ไหนแต่ไรมาเหอปี้อวิ๋นเอาแต่ด่าว่าตบตีอู่เหมย ทว่าอู่เจิ้งซือกลับไม่แยแสใดๆ แท้จริงแล้วอู่เหมยก็เป็นเพียงลูกนอกไส้ของพวกเขา!


เหอะ! พวกสัตว์ชั้นต่ำ!


“พ่อคะ เรื่องนี้มีเพียงน้องรองที่รู้ทุกอย่าง พวกเราใจเย็นๆ ก่อนนะคะ” เว่ยชิวเยวี่ยพยายามพูดเกลี้ยกล่อม


เมื่อครู่เธอเองได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าอู่เจิ้งซือจะทำอะไรไว้ เรื่องทั้งหมดก็เป็นความผิดของทั้งสองสามีภรรยา สำหรับการกระทำของเธอที่มีต่ออู่เหมยถือว่าไม่ได้เลวร้ายอะไร ในเวลานี้เธอไม่ต้องการคำขอบคุณใดๆ จากครอบครัวของเหยียนซินหย่า เธอหวังเพียงแค่พวกเขาไม่อาฆาตพยาบาทใดๆ นั่นถือเป็นสิ่งที่โชคดีมากสำหรับเธอแล้ว!


สำหรับเว่ยชิวเยวี่ยแล้ว เธอรู้สึกรังเกียจเหอปี้อวิ๋นเป็นอย่างมาก ตัวเธอเองไม่นึกไม่ฝันว่าจะมีผู้หญิงคนไหนที่โง่เขลาได้มากกว่าเธอหลายร้อยเท่า ในเมื่อรับอุปการะเลี้ยงดูลูกสาวของลูกพี่ลูกน้องตัวเอง จะอบรมสั่งสอนและปฏิบัติต่อเธอให้ดีหน่อยไม่ได้หรือไงกัน?


ในตอนนี้ก็ด้วย อู่เหมยโกรธแค้นต่อเหอปี้อวิ๋นไปแล้ว อีกหน่อยถ้าเธอได้กลับคืนสู่อ้อมอกของคนเป็นพ่อเป็นแม่ มีหรือที่เธอจะไม่เล่าถึงเหตุการณ์เลวร้ายในวัยเด็กที่เธอเคยเผชิญ?


บุญคุณอันยิ่งใหญ่ที่ควรจะได้รับการทดแทน กลับกลายเป็นความเคียดแค้นชิงชังที่เหอปี้อวิ๋นเป็นคนสร้างขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายเป็นถึงผู้มีอิทธิพลยักษ์ใหญ่ที่แม้แต่เลขาธิการประจำจังหวัดยังยินยอมนั่งพูดคุยด้วย!


ยายคนไร้ค่าที่โง่เสียยิ่งกว่าสัตว์!


เว่ยชิวเยวี่ยนึกด่าในใจอย่างเจ็บแสบราวกับเหอปี้อวิ๋นเป็นดั่งปีศาจไร้อิทธิฤทธิ์ที่ถูกสาดด้วยเลือด ไพ่ดีๆ ใบหนึ่ง กลับถูกนางสะใภ้โง่เขลาทำลายเสียย่อยยับ!


คุณปู่อู่มีท่าทีเคร่งขรึม ในเวลานี้เขาเองก็รับรู้ได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง น่าเสียดายที่อู่เจิ้งซืออยู่ที่โรงพยาบาล มิเช่นนั้นเขาคงต้องได้ซักเอาความจริงจากลูกคนเล็กว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่!


เหยียนซินหย่าโอบกอดอู่เหมยไว้แน่น เธอร้องไห้ปนหัวเราะดีใจ ในหัวของอู่เหมยเกิดความสับสน เธอเริ่มแยกแยะไม่ออกระหว่างความฝันกับความเป็นจริง ความรู้สึกในตอนนี้มันเหมือนจริงมากราวกับความฝันเมื่อคืนวาน ในอ้อมกอดนั้นทั้งละมุนและอบอุ่น เพียงแต่หญิงสาวในฝันนั้นมีรอยยิ้ม แต่เหยียนซินหย่าในตอนนี้กลับร้องไห้


หยดน้ำตาของอู่เหมยหยดลงบนหลังฝ่ามือ ให้ความรู้สึกร้อนชื้น ซึ่งบ่งบอกได้ว่าเป็นเรื่องจริง!


อู่เหมยยกมือขึ้นมาตรงริมฝีปาก แล้วส่งลิ้นเล็กๆ ของเธอออกมาเพื่อเลีย…


“มีรสเค็ม ไม่ได้ฝันไปงั้นเหรอ?” อู่เหมยพูดอยู่กับตัวเองด้วยเสียงที่เบามาก แต่เหยียนซินหย่ากลับได้ยินมันอย่างชัดเจน น้ำตาของเธอพรั่งพรูออกมาอีกครั้ง


“ไม่ใช่ความฝัน แม่คือตัวจริง ไหนลองให้แม่กัดมือดูสิ รู้สึกอะไรไหม?” เหยียนซินหย่าจับมือของอู่เหมยที่เย็นเฉียบขึ้นมา แล้วกัดเบาๆ ที่นิ้วเรียวเล็กของเธอ จากนั้นจึงนำมือของเธอยัดเข้าไปในเสื้อเพื่อให้ความอบอุ่น ใจเธออยากจะถอดเสื้อคลุมออกมาแล้วสวมให้กับอู่เหมย แต่กลับถูกจ้าวเสวียหลินห้ามไว้


เหยียนหมิงซุ่นจึงถือเสื้อคลุมขนแกะที่อู่เหมยถอดออกก่อนหน้านี้เข้ามาให้ จ้าวเสวียหลินจึงแย่งมาแล้วสวมให้กับอู่เหมยแทน น้องสาวของเขาจะต้องให้พี่ชายอย่างเขาเท่านั้นที่เป็นคนสวมใส่ให้ ท่าทางลับๆ ล่อๆ อย่างเหยียนหมิงซุ่น ควรจะอยู่ห่างๆ จากน้องสาวของเขาไว้!


อู่เหมยมองจ้าวเสวียหลินที่กำลังเอาเสื้อคลุมสวมใส่ให้เธออย่างชะงักงัน เขาดูสง่าผ่าเผยและเหมือนจะเข้าถึงยาก ท่าทีราวกับมีคนทำให้เขาไม่พอใจ อู่เหมยจึงหดตัวหลบ และถอยหลังไปหาคนข้างกายที่คุ้นเคยเพื่อพึ่งพิง


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 509 สิ่งใหม่ๆ ได้สำแดงอานุภาพ


เหยียนหมิงซุ่นส่งยิ้มให้กับอู่เหมย ในวินาทีนั้นจึงทำให้อู่เหมยวางใจและยิ้มตอบกลับมา จ้าวเสวียหลินเข้าใจว่าเธอส่งยิ้มให้เขา มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย เตรียมจะเผยรอยยิ้มที่ดูน่ามอง เขาตั้งใจจะไม่ทำให้น้องสาวตกใจ น้องสาวของเขามีลักษณะที่ใกล้เคียงกับแม่มากๆ ซึ่งดูแล้วน่าจะขวัญอ่อนพอตัว


เพียงแต่…


พอส่งรอยยิ้มไปให้ จ้าวเสวียหลินถึงได้รู้ตัวว่า รอยยิ้มแสนหวานของอู่เหมยที่ส่งมาให้เขาเลยสักนิด แต่กลับเป็นบุคคลที่มักทำตัวไม่น่าไว้วางใจอย่างเหยียนหมิงซุ่น!


เหตุผลเป็นเช่นนี้นี่เอง!


น้องสาวเขาเพิ่งจะมีอายุได้เท่าไหร่เอง ตอนนี้กลับเริ่มคบค้ากับเหยียนหมิงซุ่น?


ที่แท้ก็ไม่ใช่สิ่งดีเอาเสียเลย!


จ้าวเสวียหลินจ้องเหยียนหมิงซุ่นด้วยสายตาดุดัน ความเย็นชาที่เปล่งออกมาจากตัว เย็นจนทำให้อู่เหมยแทบไม่กล้าจะหายใจ และแล้วจ้าวเสวียหลินก็ทำอะไรได้เงอะงะเกินไป เอาเสื้อสวมใส่ให้อู่เหมยตั้งนานสองนานก็ไม่เสร็จ ถือคามืออยู่แบบนั้นจนทำให้เธอรู้สึกปวดที่ลำคอ


“ให้หนูใส่เองเถอะค่ะ!”


อู่เหมยรู้สึกปวดจนต้องทำหน้านิ่วคิ้วขมวด จำต้องรีบหยิบเอาเสื้อคลุมมาสวมใส่ด้วยตัวเอง นั่นถึงได้ทำให้ร่างกายเธออบอุ่นขึ้นมา ในหัวเริ่มได้สติขึ้นมา เธอมองเหยียนซินหย่าด้วยความงุนงง และค่อยๆ นึกถึงคำพูดที่เธอเคยพูดก่อนหน้านี้


หญิงสาวผู้นี้เธอบอกว่าเธอเป็นแม่ และยังบอกอีกว่าอู่เหมยเป็นลูกของเธอ!


แม้ว่าในเวลานี้อู่เหมยจะแอบหวังมากว่าตัวเธอไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของเหอปี้อวิ๋นก็ตาม แต่ทุกครั้งเหอปี้อวิ๋นมักจะใช้คำพูดคำจาที่เด็ดขาด เธอจึงรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้น้อยมาก แต่ในตอนนี้หญิงสาวในความฝันกลับวิ่งออกมากะทันหัน จึงทำให้อู่เหมยเริ่มไม่เข้าใจ!


เธอหันไปมองจ้าวอิงหนานและถาม “แม่คะ บอกหนูได้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้น?”


จ้าวอิงหนานจึงขยิบตาและส่งยิ้มให้ “เหมยเหมย เธอคือหลานสาวของฉัน เป็นลูกสาวของพี่ชายฉัน เธอควรจะเรียกฉันว่าอา”


อู่เหมยกะพริบตาปริบ ทำไมแม่ถึงได้กลายเป็นอาไปเสียได้ล่ะ?


เหยียนหมิงซุ่นเดินเข้ามาหาและพูดกับเธอ “ที่นี่มีคนมากเกินไป เราไปหาที่อื่นนั่งคุยกันดีๆ เถอะครับ”


“นั่นสิ แถวนี้มีภัตตาคารจุ้ยเซียนอยู่ พวกเราไปนั่งคุยกันที่นั่นกัน” จ้าวอิงหนานออกความเห็น


เหยียนซินหย่าไม่มีความเห็นที่แตกต่าง นับตั้งแต่ที่เธอได้เจอหน้าอู่เหมย เธอไม่อาจละสายตาไปจากอู่เหมยได้อีกเลย มองเท่าไรก็มองไม่พอ!


เว่ยชิวเยวี่ยที่ได้เห็นเหตุการณ์ก็รู้สึกไม่เห็นด้วย เธอจะยอมปล่อยให้พาตัวหลานสาวออกไปทั้งที่เรื่องยังไม่ชัดเจนได้อย่างไร เธอจึงเดินเข้าไปหาพวกเขาด้วยรอยยิ้ม “วันนี้ทำให้ฉันสับสนมากเหมือนกัน อาจารย์จ้าว เรื่องนี้เราต้องคุยกันให้รู้เรื่องถึงจะถูก ไม่อย่างนั้นไปที่บ้านคุณปู่ของเหมยเหมยดีไหม ถึงยังไงภัตตาคารจุ้ยเซียนก็ถือว่าเป็นนอกบ้าน มีเรื่องอะไรก็ไม่สะดวกที่จะพูดได้ อีกอย่างน้องรองและสะใภ้รองก็อยู่ที่บ้านด้วย!”


เหยียนซินหย่าตอบตกลงโดยไม่แม้แต่จะคิด เพราะเธอกำลังต้องการจะคิดบัญชีกับหญิงร้ายชายเลวทั้งคู่อยู่พอดี!


แน่นอนว่าจ้าวยอิงหนานไม่มีทางจะค้านได้ เธอจึงยิ้มและตอบเว่ยชิวเยวี่ยกลับ “แบบนี้ก็ดีเหมือนกันค่ะ พวกเราก็มีเรื่องจะพูดกับพวกอู่เจิ้งซือด้วย แต่รอสักครู่นะคะ อีกเดี๋ยวพี่ชายคนเล็กก็เข้ามาแล้ว”


จ้าวอิงหัวที่ไปทักทายปราศรัยเสร็จก็ได้วิ่งหน้าตั้งเข้ามา เหยียนซินหย่าที่ได้เห็นเขากลับยิ่งรู้สึกตื่นเต้นขึ้น ไม่มีคำพูดใดๆ เปล่งออกมา มีเพียงหยดน้ำตาที่ไหลอาบสองแก้ม จ้าวอิงหัวที่ได้เห็นหน้าอู่เหมย ก็มีความรู้สึกไม่ต่างไปจากเหยียนซินหย่านัก เขามั่นใจเป็นอย่างมากว่าอู่เหมยคือลูกของเขา


“เหมยเหมย ชื่อของเธอฉันเป็นคนตั้งให้เอง”


จ้าวอิงหัวสามารถควบคุมอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองไว้ได้ เขาใช้มือลูบสัมผัสเบาๆ ที่หัวของอู่เหมย หางตาเริ่มเอ่อล้นด้วยน้ำตา!


อู่เหมยเหลือบมองแวบหนึ่งอย่างสงสัย เพราะเขามีลักษณะที่คล้ายคลึงกับชายหนุ่มเมื่อครู่ที่ช่วยสวมใส่เสื้อคลุมให้เธอ เขาคงจะเป็นสามีของเหยียนซินหย่าใช่ไหม?


คงจะเป็นพ่อของเธอสินะ?


ใจของอู่เหมยเริ่มพองโตอีกครั้ง เธอรู้สึกดีใจ เธอชอบสามีภรรยาคู่นี้มาก หากว่าพวกเขาทั้งคู่เป็นพ่อแม่ของเธอจริงๆละก็ จะต้องดีกว่าอู่เจิ้งซือและเหอปี้อวิ๋นเป็นร้อยเท่าพันเท่า


คุณปู่อู่มีสีหน้านิ่งขรึม เขาเองก็ไม่ได้โง่ ดูเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นมาจนถึงตอนนี้ ทำไมถึงจะเดาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ออก รูปร่างหน้าตาของเหยียนซินหย่าและอู่เหมยที่มีความคล้ายคลึงกันขนาดนี้ ทำให้เขาไม่นึกเอะใจสงสัยเลย


แต่เขาไม่อยากยอมรับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริง หากว่าเป็นอู่เหมยในช่วงก่อนหน้านี้ เขาพร้อมจะใช้สองมือประเคนยกให้ไป!


แต่อู่เหมยในตอนนี้เป็นดั่งบัวพ้นน้ำที่กลีบดอกค่อยๆ เบ่งบาน ปรากฏให้เห็นถึงความสามารถอันเล่อค่า มีหรือที่เขาจะไม่นึกเสียดาย?


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 510 พูดทุกอย่างออกมาให้ชัดเจน


อู่เจี๋ยพี่ชายคนโตของอู่เชา ได้รับคำสั่งจากเว่ยชิวเยวี่ยเป็นนัยๆ เขาจึงรีบไปยังโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยจินเพื่อตามหาอู่เจิ้งซือ พี่น้องทั้งสองอย่างอู่เจิ้งซือคอยอยู่ดูแลคุณย่าอู่ ที่หกล้มจนทำให้บาดเจ็บถึงกระดูกเชิงกราน อาการตรงช่วงเอวก็ไม่ค่อยจะดีนัก ต้องรอรับการตรวจอีกขั้นตอนให้แน่ใจ หากรักษาไม่ดีคงต้องได้นอนอยู่บนเตียงหนึ่งเดือนเต็ม


“โอ๊ย! เจ็บจะตายอยู่แล้ว!”


คุณย่าอู่นอนร้องโอดครวญอยู่บนเตียง ในตอนนี้ท่าทีสง่าน่าเกรงขามได้สูญหายไปเสียหมด เหลือแต่เพียงความอ่อนแอ อู่เจิ้งซือสองพี่น้องต่างมีความกตัญญูรู้คุณ ยิ่งเห็นสภาพในตอนนี้ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดใจ คอยใช้คำพูดคำจาที่ดีปลอบประโลมแม่ตัวเอง แต่สติของเขากลับไม่อยู่กับเนื้อกับตัว


“ไม่รู้ว่าตอนนี้เหมยเหมยและเสี่ยวเชาจะเริ่มแสดงหรือยัง? พี่ใหญ่ วันนี้หนังตาของผมกระตุกไม่หยุดเลย จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า?” อู่เจิ้งซือพยายามขยี้ตาตัวเองอีกครั้ง ตั้งแต่เช้ามาก็กระตุกไม่หยุดเลย


ไม่เพียงแค่หนังตาที่กระตุก ใจของเขาเองก็ไม่อาจสงบนิ่ง เอาแต่กังวลตลอดว่าจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น!


อู่เจิ้งต้าวกลับไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ เขาเชื่อมั่นในทฤษฎีวัตถุนิยม เขาจึงมองน้องชายแบบไม่พอใจแค่แวบเดียว พร้อมกับพูดตำหนิ “นายเป็นถึงครูของประชาชน กล้าพูดอะไรแบบนี้ได้ยังไง? หากว่าพวกนักเรียนของนายได้ยินเข้าจะคิดยังไง ต่อไปอย่าพูดอะไรแบบนี้อีกนะ!”


“ครับ ผมจะจำไว้” อู่เจิ้งซือก้มหน้าลงอย่างละอายใจ พี่ชายพูดถูก เขาไม่ควรจะพูดอะไรแบบนี้ ไม่สมกับฐานะตัวเองจริงๆ!


อู่เจิ้งต้าวหัวเราะชอบใจ และพูดขึ้นอีกว่า “เหมยเหมยและเสี่ยวเชาไม่มีปัญหาแน่นอน รอให้ถึงตอนเย็นที่พวกเขากลับมาก็รู้เอง ตอนนี้นายคิดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ นายดูแม่ก่อนนะ เดี๋ยวพี่ไปคุยกับหมอก่อน”


“อารอง แม่ผมบอกให้อารีบกลับบ้านด่วนเลยครับ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!” อู่เจี๋ยวิ่งเข้ามาด้วยอาการหอบแฮ่กๆ


ทางฝั่งโรงละคร จ้าวอิงหัวก็ไม่ได้มีความเห็นใดๆ ต่อการที่จะไปพูดคุยกันที่บ้านของตระกูลอู่ เขามองหน้าคุณปู่อู่ และพูดเสียงขรึม “เรื่องนี้หากจะพูดให้มันชัดเจนก็ค่อยว่ากัน คนอย่างจ้าวอิงหัวรู้ดีว่าบุญคุณต้องทดแทน มีแค้นต้องชำระ เรื่องเกี่ยวกับอู่เหมย ผมเองก็อยากจะฟังคำอธิบายจากปากของอู่เจิ้งซือเหมือนกัน”


ใจของคุณปู่อู่เริ่มจมดิ่งลงไปในทันที คำพูดของจ้าวอิงหัวฟังดูแล้วเหมือนจะไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไร!


หรือว่าพวกเขาจะไม่ได้ฝากอู่เหมยไว้ให้ลูกชายคนเล็กเลี้ยง?


เว่ยชิวเยวี่ยยิ้มออกในทันทีและพูด “ตอนนี้เรื่องราวทุกอย่างยังไม่กระจ่าง พวกเราเองก็สับสนไม่ต่างกัน เหมยเหมยเป็นลูกหลานของตระกูลอู่มาตลอด ทำไมถึงได้กลายเป็นคนของตระกูลพวกคุณไปได้ในพริบตาล่ะคะ? แล้วแบบนี้จะให้พวกเรายอมรับได้อย่างไร?”


จ้าวอิงหัวหัวเราะอย่างเย็นชาและเกริ่น “คงต้องถามอู่เจิ้งซือแล้วล่ะ เพราะเขาเองรู้ดีที่สุด!”


คนในตระกูลอู่ช่างไม่มีใครเป็นคนดีเอาเสียเลย แต่ก่อนที่ลูกสาวเขาไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร ไม่เคยมีแม้แต่คนเดียวที่จะออกมาปกป้องเธอ แต่พอตอนนี้ลูกสาวเขาเริ่มเป็นผู้เป็นคนขึ้นมา พวกเขากลับออกมาทำเสแสร้งแกล้งทำเพื่อสร้างภาพ!


ที่แท้ก็เป็นคนในตระกูลของชายชั่วอย่างอู่เจิ้งซือ ถือเป็นพวกที่มีคุณธรรมทั้งนั้น หึ! อย่าคิดเลยว่าเขาจะไว้หน้า!


เหยียนหมิงซุ่นแอบกระซิบข้างหูอู่เหมยประโยคหนึ่ง อู่เหมยจึงออกแรงพยักหน้า เธอควักเอากุญแจออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วส่งให้กับเหยียนหมิงซุ่น และเขาได้แอบออกไปในจังหวะที่ไม่มีใครสนใจ


ในตอนแรกฝ่ายจ้าวอิงหัวตั้งใจจะนั่งรถเมล์ไปยังบ้านตระกูลอู่ แต่หัวหน้าเลขานุการคนก่อนหน้านั้นได้เดินกลับมาอีกครั้ง และพูดว่า “ท่านเลขาธิการหูรู้ว่าคุณจ้าวมีเรื่องด่วน จึงเชิญให้คุณจ้าวไปขึ้นรถของท่าน ภริยาของคุณจะได้นั่งสบายขึ้นหน่อย”


“ขอบคุณมากครับ รบกวนฝากหัวหน้าโจวบอกกับท่านเลขาธิการหูด้วยว่า ถ้าหากผมจัดการปัญหาภายในครอบครัวเรียบร้อยแล้ว จะรีบไปพบเลขาธิการหูเพื่อทำการขอบคุณ”


จ้าวอิงหัวไม่ได้ปฏิเสธต่อน้ำใจ แต่กลับยกมือขึ้นต่อหน้าหัวหน้าเลขาโจวในระดับอก หัวหน้าโจวเองก็ปฏิบัติเช่นเดียวกัน จากนั้นเขาได้ส่งยิ้มให้แล้วเดินออกไป


ผ่านไปครู่หนึ่ง รถเก๋งมีประทุนคันสีดำที่พร้อมด้วยธงสีแดงขับเข้ามาจอดเทียบ ครอบครัวจ้าวทุกคนพากันขึ้นรถไป จากตอนแรกที่อู่เหมยตั้งใจจะนั่งรถเมล์กลับ แต่มีหรือที่เหยียนซินหย่าจะยอมให้เธอห่างกาย จึงได้ฉุดลากตัวเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอด


“เหมยเหมย เรานั่งรถคันเล็กกัน นั่งรถเมล์เบียดเสียดเกินไป”


อู่เหมยมองไปยังจ้าวอิงหนานอย่างลำบากใจ จ้าวอิงหนานจึงบอกให้เธอไปขึ้นรถ จากนั้นเธอได้หันไปยิ้มให้กับคุณปู่อู่ที่เอาแต่ทำหน้านิ่งขรึม และพูดขึ้น “ศาสตราจารย์อู่ พวกเราขอตัวล่วงหน้าไปก่อน ไว้เจอกันที่บ้านของคุณนะคะ”


…………………………………………………………………………………………..

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)