ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 503-506
ตอนที่ 503 ยินยอมสละได้ทุกสิ่งเพื่อนาง
ที่จริงแล้ว เขาไม่มีสิทธิจะมาพูดเช่นนี้กับนางด้วยซ้ำ
หากว่ายังจะพูดต่อไปอีก นางก็จะจัดการเขาเป็นอย่างแรก
“มีเรื่องบางเรื่อง คุณหนูยังไม่เข้าใจ….” เขาเอาแต่ส่ายศีรษะ ถอนหายใจ
เพราะตัวเขาเอง… หลังจากที่เผ่าหมิงล่มสลายไปแล้ว ก็กลายเป็นจอมมาร เพราะเขารักคนผู้หนึ่ง ปรารถนาจะปกป้องนางไปตลอดกาล จึงได้กระทำเรื่องผิดพลาดไปไม่น้อย
แต่ว่าเขาก็ไม่เสียใจ ไม่เคยรู้สึกเสียใจ
ตอนนี้ตู๋กูซิงหลันไม่มีเวลาจะไปทำความเข้าใจเรื่องราวในอดีตของเขา ใจของนางกังวลถึงแต่จีเฉวียน นางก้มหน้าลงมองดูด้ายผูกชะตาบนข้อมือ
มันยังอยู่ แต่ว่าสีกลับอ่อนจางไปมาก
นางไม่พูดอะไรกับเสินฟางให้มากความ เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าของตนเอง เอาดาบยักษ์เก็บลงไปในถุงเฉียนคุน
ถุงเฉียนคุนใบนี้ชือหลีมองให้กับนาง ในถุงมีพื้นที่ว่างที่สามารถบรรจุสิ่งของต่างๆได้จำนวนหนึ่ง
จากนั้นนางก็อาศัยสัญญาณจากด้ายผูกชะตารีบออกไปตามหาจีเฉวียน
หากนับเวลาดู จีเฉวียนพึ่งจะมาถึงโลกใบนี้ได้ไม่ถึงครึ่งเดือนดี ยามปกตินางก็ไม่ค่อยได้พาเขาไปที่ไหน คนที่ไม่คุ้นเคยกับพื้นที่ เขาจะไปที่ใดได้กัน?
ด้ายผูกชะตานี้เป็นสิ่งที่เขาผูกโยงเอาไว้บนข้อมือของพวกนาง ยิ่งอยู่ห่างกันสีสันก็จะยิ่งจืดจาง หากไกลออกไปจนเกินระยะติดตามก็จะทำให้ด้ายผูกชะตานี้หายไป
หากว่าสีสันยิ่งเข้มก็แสดงว่าอยู่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
ด้ายผูกชะตานี้จึงเหมาะจะใช้ค้นหาคนที่สุดแล้ว
ตอนนี้ด้ายอ่อนจางจนใกล้จะมองไม่เห็นอยู่แล้ว
………………………
จีเฉวียนเดินอยู่บนถนนด้วยเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นกลางฤดูร้อน ข้อมือของเขาคล้ายจะถูกอะไรบางอย่างข่วนมา ผิวหนังถลอก เลือดที่ไหลออกมาแห้งกรังจนกลายเป็นสีดำไปแล้ว
เสื้อตัวนอกแบบตะวันตกขาดไม่เป็นชิ้นดี ใบหน้ามีแต่เลือด เลอะเทอะจนเปรอะเปื้อนไปหมด
เขาเดินลงมาจากหุบเขาปีศาจตลอดคืน ถึงลงมาที่ตีนเขา ตอนนี้ก็ยืนโอนเอนอย่างอ่อนล้าและระโหยโรยแรงอยู่บนถนนท่ามกลางแดดจ้า
ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมามองดูเขาด้วยแววตาที่สงสัยและเป็นกังวล
ตลอดทางมีผู้คนไม่น้อยที่ไถ่ถามเขา ว่าต้องการให้ส่งเขาไปที่โรงพยาบาลหรือไม่
แต่ว่าฮ่องเต้กลับไม่ได้ตรัสตอบใครทั้งนั้น
เอาแต่เดินไปเรื่อยๆ
เดิมทีบาดแผลที่พระองค์ได้รับจากการต่อสู้กับอสุรกายโลกันตร์ที่ก้นทะเลก็ยังไม่หายดี เมื่อคืนยังเผชิญศึกที่โหดเ**้ยมอีก จนทำให้กระดูกหักไปหลายท่อน สภาพดูแล้วย่ำแย่จริงๆ
หลังจากที่เดินตากแดดมานานหลายต่อหลายชั่วโมง ในที่สุดก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ต้องเสาะหาที่ร่มๆนั่งลง
ด้านข้างมี ‘โรงเรียนอนุบาลความหวัง’ อยู่แห่งหนึ่ง
ยามรักษาความปลอดภัยเห็นเขาแล้วต้องตกใจจนจับตาดูอยู่หลายครั้ง เพราะเกรงว่าจะเป็นพวกก่อการร้าย
เขาถือกระบองไฟฟ้าเอาไว้ในมือ พร้อมจะหยิบออกมาได้ทุกเมื่อ
ตอนนี้เป็นช่วงบ่ายแล้ว โรงเรียนอนุบาลกำลังเลิกเรียน เหล่าผู้ปกครองที่รออยู่ด้านนอกมีไม่น้อยที่สังเกตเห็นจีเฉวียน
ชายหนุ่มผู้นี้มีเลือดท่วมตัว ดูแล้วทั้งอันตรายและก็น่าสงสาร
ขณะที่พวกผู้ใหญ่คอยจับตาดู แต่เด็กๆกลับบริสุทธิ์ไร้เดียงสาและเปี่ยมไปด้วยน้ำใจ เด็กๆบางคนยังไม่มีผู้ปกครองมารับ ก็วิ่งมาที่ข้างกายจีเฉวียนชมดูด้วยความสงสัย
เด็กผู้หญิงสองคน เด็กผู้ชายอีกสองคน ยืนอยู่ข้างๆจีเฉวียน
“คุณลุง คุณลุงไปต่อยตีกับคนอื่นแล้วแพ้มาหรือ?” เด็กผู้หญิงที่มัดผมแกละสองข้างเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงใสซื่อ
ทางหนึ่งถามเขา อีกทางก็เปิดกระเป๋าหนังสือใบเล็กของตนเองออกมาส่งขวดน้ำดื่มให้ “คุณลุง ปากแห้งมาเลย น้ำนี่หนูให้ค่ะ”
เด็กผู้หญิงอีกคนที่ถักผมเปียยื่นมือออกมาอย่างไม่เกรงกลัว จับมือของจีเฉวียนเอาไว้
“คุณแม่บอกว่า เวลาเจ็บให้เป่าๆก็จะหายเจ็บ”
เธอพูดพลาง ก็เป่าบาดแผลให้กับจีเฉวียน
พอฝ่ามือที่เย็นเฉียบสัมผัสลมอุ่นๆ ในที่สุดจีเฉวียนก็เงยหน้าขึ้นมามองดูเด็กเหล่านั้น
ทันทีที่มองเห็น พระองค์ก็ต้องตกตะลึงไป
เด็กหญิงตัวน้อยถักผมเปียที่คว้าพระหัตถ์ของพระองค์….
นาง เหมือนกับอาอิงในยามเด็กอย่างไรอย่างนั้น
“เสี่ยวอิง อย่าไปจับมือคนแปลกหน้าสิ” เด็กผู้ชายที่อยู่ข้างๆพุ่งเข้ามา ดึงตัวเด็กหญิงกลับไป
เด็กผู้ชายคนนั้นตัวสูงกว่าเด็กชายคนอื่น ทั้งๆที่แค่สี่ห้าขวบ แต่กลับดูคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก
“ฉางอัน คุณลุงคนนี้น่าสงสารมากๆเลย …พอเห็นเขาเป็นแบบนี้ ……” เด็กหญิงผมเปียอธิบายพลาง น้ำตาก็เอ่อขึ้นมา
“รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองก็เจ็บไปด้วย” เธอพูดพลางไปก็หันกลับไปยืนข้างๆเด็กผู้ชายที่ชื่อฉางอันอย่างเชื่อฟัง
แต่ว่าดวงตากลมโตที่เปี่ยมไปด้วยละอองน้ำตาคู่นั้นก็ยังจับจ้องไปที่จีเฉวียนอยู่ตลอด
คุณลุงคนนี้ไม่น่ากลัวเลย….แต่กลับให้ความรู้สึกที่คุ้นเคยราวกับเป็นญาติสนิท
จีเฉวียนมองดูพวกเขา ค่อยปาดเช็ดคราบเลือดบนพระพักตร์ออกไป ตรัสถามกับเด็กหญิงที่ถักผมเปียว่า “ตอนนี้เจ้าอยู่อย่างสงบสุขดีหรือไม่?”
“อ๋า? สงบสุขคืออะไร มันกินได้ไหม?” เด็กหญิงผมเปียเอียงคอถามอย่างไร้เดียงสา พลางหันไปถามเด็กผู้ชายที่อยู่ข้างๆ
“เสี่ยวอิง เธอมีความสุขมากเลย” เด็กผู้ชายที่ชื่อฉางอันพยักหน้าติดๆกัน “มีคุณพ่อ คุณแม่ มีปู่ย่าตายาย ทุกคนล้วนรักเสี่ยวอิง”
“อ๋อ แบบนี้ก็คือสงบสุขนะหรอ” เสี่ยวอิงหัวเราะออกมา จนดวงตาโค้งเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวอย่างน่าเอ็นดู
“คุณลุง ถ้าอย่างนั้นเสี่ยวอิงก็มีความสุขมากเลย มีเพื่อนเล่นเยอะแยะทุกๆวัน พ่อกับแม่ก็รักหนู”
พอได้เห็นนางหัวเราะเช่นนี้ ในที่สุด ก้อนหินที่ถมทับอยู่ในพระทัยของจีเฉวียนมานานหลายปี ก็สามารถหลุดออกไปได้เสียที
นางตายจากไปในโลกใบหนึ่ง…..กลับได้มาเกิดใหม่ในโลกอีกใบ
สิ่งที่สวรรค์ติดค้างนางเมื่อชาติก่อน ได้ชดเชยให้ในชาตินี้
สงบสุข…..ปลอดภัย
ความปรารถนาของนาง เป็นจริงแล้วในชาตินี้
โลกปัจจุบันใบนี้……แม้พระองค์จะพึ่งมาได้เพียงครึ่งเดือน แต่ก็ได้เห็นแล้วว่าผู้คนอยู่อย่างสงบสุข มีความสุข
ในโลกใบนี้ ทุกคนล้วนได้รับความเคารพ มีสิทธิในชีวิตของตนเอง….โลกใบนี้ ไม่มีชนชั้นที่แตกต่าง ไม่มีการเข่นฆ่าและกวาดล้าง
นางกับฉางอันได้มาที่โลกใบนี้ด้วยกัน ช่างดีจริงๆ
พระทัยที่เย็นเฉียบของจีเฉวียน พลันรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา
พระองค์ทรงเป็นฮ่องเต้ ในพระทัยไหนเลยจะมีเพียงความรักของหนุ่มสาว?
ในโลกโบราณนั้น พระองค์ปรารถนาจะได้เห็นแผ่นดินที่สงบสุข แต่ว่าก็ยังทำได้ไม่สำเร็จ…..
พระองค์ยินดีตาย แต่ต้องตายอย่างมีคุณค่า
ถึงแม้ว่าจะไม่อาจได้หัวใจของนางมา แต่พระองค์ก็ยินดีที่จะปกป้องโลกของนาง และโลกของพระองค์ด้วยชีวิต
ให้ทุกๆที่ที่นางไปถึง เป็นดินแดนที่มีแสงสว่าง
ให้ผู้คนทุกคน มีความสุข
พอจีเฉวียนได้เห็นรอยยิ้มของอาอิง ทันใดนั้นพระองค์ก็เข้าพระทัยแล้ว
สิ่งที่พระองค์ปรารถนา ก็คือความสงบสุขชั่วชีวิตของซิงซิง
ส่วนที่ว่าจะได้รับความรักจากนางหรือไม่นั้น คล้ายจะไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว
หากว่าคนที่นางชอบคือซื่อมั่ว…..เช่นนั้นพระองค์ก็ยินดีจะสละทุกสิ่งเพื่อให้นางได้มีความสุขสมหวัง
“อาอิงตัวน้อย เจ้าจะต้องมีความสุขไปตลอดชีวิต” จีเฉวียนยื่นพระหัตถ์ออกมา ลูบไล้ศีรษะของนางเบาๆ มอบคำอวยพรให้นางอย่างจริงพระทัย
“นั่นแน่นอน” เสี่ยวอิงยิ้มหวาน
“คุณลุงก็ต้องมีความสุขด้วยนะ”
อีกด้านหนึ่ง ตู๋กูซิงหลันเฝ้ามองดูอยู่ไกลไกล
นี่เกือบจะเป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นจีเฉวียนยิ้มแย้มอย่างเป็นธรรมชาติ ให้กับเด็กหญิงสักคน
ตอนที่ 504 เราจะทำข้อตกลงกับท่าน
นางมองไปที่ใบหน้าของเด็กหญิงตัวน้อย ก็รู้สึกว่ามีส่วนคล้ายคลึงกับฉางซุนอิงมาก
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร อยู่ๆในหัวใจของนางก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา
พักก่อนตอนที่เขาต้องนั่งอยู่บนรถเข็น ไม่อาจเคลื่อนไหวไปไหนมาไหนได้เอง ตู๋กูซิงหลันก็ได้รับรู้เรื่องของฉางซุนอิงหมดแล้ว
เพราะพวกนางตัดสินใจจะอยู่ด้วยกัน เรื่องพวกนี้จึงต้องบอกกล่าวให้ชัดเจน ไม่ปล่อยให้กลายเป็นแผลกลัดหนองอยู่ในหัวใจ
ในโลกที่มีความมืดมิดใบนั้นฉางซุนอิงและฉางอันต้องมีจุดจบที่โศกเศร้า
ตอนนี้เมื่อได้เห็นว่า ‘ชีวิตใหม่’ ของพวกเขาในโลกปัจจุบันได้พบกับความสงบสุข หัวใจของตู๋กูซิงหลันก็อบอุ่นขึ้นมา นางย่อมอวยพรพวกเขาด้วยความยินดี
………………………..
ยามเย็นในฤดูร้อน ฝนคิดจะตกก็ตกลงมาในทันที
ผู้คนเดินบนท้องถนนบางตา ประตูของโรงเรียนอนุบาลไม่เหลือเงาของใครแล้ว ยามรักษาความปลอดภัยปิดประตูลง แต่ก็ยังคงคอยแอบดูอยู่หลายครั้งด้วยความตื่นตัวเช่นเดิม
จีเฉวียนนั่งอยู่ที่ทางเดินข้างทาง ฝนตกเปาะแปะลงมาไม่ขาดสาย ชำระรอยเลือดบนพระองค์จนสะอาด
พอพระองค์ปาดน้ำฝนบนพระพักตร์ออกไป ในจมูกก็ได้กลิ่นหอมของดอกฮว๋ายฮวาที่แสนจะคุ้นเคย
ทันทีที่เงยพระพักตร์ขึ้น เงาร่างสีแดงของคนผู้หนึ่งก็ปรากฏขึ้นในสายพระเนตร
นางเองก็เปียกปอนไปทั้งตัว เส้นผมเปียกชื้นจนลีบลงมา น้ำฝนจากปลายคางของนางหยดลงบนพระพักตร์
เย็นเฉียบ
ความปวดใจของนางเห็นได้ชัดจากบนหัวคิ้ว
นางมองดูจีเฉวียนอย่างลึกซึ้งอยู่ครู่หนึ่ง สายพระเนตรของพระองค์ก็มีแต่ความตกตะลึงเช่นกัน
ดวงเนตรสั่นไหวไม่หยุด
จีเฉวียนอ้าพระโอษฐ์ขึ้น แต่ยังไม่ทันจะตรัสอะไรออกมา ตู๋กูซิงหลันก็คว้าพระองค์เข้ามาในอ้อมอก
“ทำไมเจ้าถึงวิ่งออกมาคนเดียว ข้าห่วงเจ้ามากนะ” นางกอดเขาเอาไว้ พระเศียรของพระองค์ซบลงไปบนทรวงอกของนาง สองมือของนางสั่นสะท้าน
นางตามหาเขาทั้งวันทั้งคืน ค้นหาจนแทบจะพลิกหุบเขาปีศาจขึ้นมาแล้ว
ยิ่งคิดก็ยิ่งหวาดกลัว ในสมองเต็มไปด้วยถ้อยคำของเสินฟาง
บนหุบเขาปีศาจมีร่องรอยของปีศาจหมาป่าอาละวาด บนเขามีซากสัตว์อยู่ไม่น้อย นางกลัวว่าเขาจะกลายเป็นเช่นที่เสินฟางบอก ถูกหมาป่าพวกนั้นกัดกิน
แต่พอตามหาเขาเจอ เห็นเขานั่งอยู่ที่ข้างทางอย่างโดดเดี่ยว สองมือวางอยู่บนเข่าด้วยท่าทางที่น่าสงสาร ช่วงเวลานั้นหัวใจของตู๋กูซิงหลันก็เจ็บปวดขึ้นมาอย่างไร้สาเหต
“ซิงซิง” จีเฉวียนฝืนความรู้สึกในพระทัยเอาไว้ เงยพระพักตร์ขึ้นมองนาง “เราไม่เป็นไร”
พระองค์ตรัสพลาง ก็รีบซ่อนบาดแผลที่ลึกจนมองเห็นกระดูกได้เอาไว้ที่ด้านหลัง
แต่กลับถูกตู๋กูซิงหลันคว้าข้อพระหัตถ์เอาไว้ ท่ามกลางสายฝน นางเอ่ยอย่างจริงจัง “พวกเราตกลงกันแล้วนิ ว่าจะเคียงบ่าเคียงไหล่กันต่อสู้คลื่นลม เจ้าแอบมีเรื่องอะไรปิดบังข้าอีกแล้วใช่หรือไม่? หรือคิดจะทำอะไรเพียงลำพัง?”
พูดตามจริงแล้ว เรื่องที่แอบไปทำอะไรเพียงลำพังเขาทำไปนักต่อนักแล้ว
ตู๋กูซิงหลันกังวลจริงๆ นางเกรงว่าหาตนเองเผลอเรอขึ้นมาเมื่อไหร่ เขาก็จะหายสาบสูญไป
“ก็แค่เมื่อคืนบังเอิญเจอกับพวกหมาป่าที่โหดเ**้ยม ได้รับบาดเจ็บมาเล็กน้อย ไม่เป็นไรหรอก” จีเฉวียนตรัสพลาง ก็เป็นห่วงนางที่ตากฝนจนเปียกปอนขึ้นมา
พระองค์ลุกขึ้นมา พานางไปหลบฝนในที่กำบังใกล้ๆ
สิ่งก่อสร้างรอบๆเมืองหลวงมีมากมาย ไม่ว่าไปที่ใดล้วนมีเก๋งน้อย แม้แต่บริเวณที่เป็นที่สาธารณะก็ยังมีที่ให้คนสามารถหลบฝนหลบร้อนพักผ่อนได้
ตู๋กูซิงหลันติดตามอยู่ด้านหลังของพระองค์ จีเฉวียนยังคงกุมมือของนางเอาไว้แนบแน่น สิบนิ้วประสานเข้าหากัน
รอจนทั้งคู่นั่งลงอีกครั้ง จีเฉวียนถึงได้ตรัสถามว่า “ซิงซิง หากว่ามีวันหนึ่ง เราไม่อยู่อีกต่อไป เจ้าจะ….คิดถึงข้าบ้างหรือไม่?”
“เจ้าไม่มีทางไปไหน”
ตู๋กูซิงหลันล้วงเอาผ้าพันแผลและยาออกมาจากถุงเฉียนคุน คว้าแขนของเขาเอาไว้ ช่วยทำแผลให้อย่างทะนุถนอม
ปากแผลลึกถึงกระดูก จนเนื้อปลิ้นออกมา และเพราะเปียกฝน ปากแผลเปียกน้ำจนบวมและซีด
บาดแผลแย่จนน่ากลัว
จีเฉวียนย่อมแข็งแกร่ง……แต่ว่าหมาป่าที่โหดเ**้ยมขนาดไหน จึงสามารถทำให้เขาบาดเจ็บได้ขนาดนี้?
จีเฉวียนหรี่พระเนตรมองดูนาง เช่นเดียวกับยามที่เคยเอ่ยลานางที่ก้นทะเลลึก ดวงเนตรนั้นราวกับจะผนึกภาพของนางเข้าไปในกระดูกของพระองค์
หากพระองค์ไม่ไล่ตามนาง…..นางก็อาจจะลืมเลือนพระองค์ไปก็ได้ เช่นนี้คงจะดี
บาดแผลบนร่างเจ็บปวดจนด้านชา แม้แต่ตอนที่ตู๋กูซิงหลันเทยาลงไปบนปากแผล จีเฉวียนก็ยังคงไม่รู้สึกอะไรทั้งสิ้น
สิ่งที่พระองค์พบเจอเมื่อคืนนี้…..อันตรายอย่างยิ่ง หมาป่าเหล่านั้น มีกลิ่นอายปีศาจคละคลุ้ง ในโลกปัจจุบันกลับมีสิ่งเหล่านั้นปรากฏขึ้นมาช่างผิดปกติอย่างยิ่ง
กลิ่นอายของพวกมัน มีส่วนคล้ายคลึงกับสิ่งที่พระองค์สัมผัสได้ที่รถไฟฟ้าใต้ดินก่อนหน้านี้
พระองค์ไม่ได้บอกกับตู๋กูซิงหลัน ว่าพวกที่ปรากฏตัวขึ้นใกล้สวนกุหลาบเหล่านั้น ไม่ได้มาเพราะซื่อมั่ว หากแต่พุ่งเป้าไปที่นาง
มีคนคิดสังหารซื่อมั่ว และก็มีคนคิดจะฆ่านาง
“กลับบ้านกันเถอะ” พอพันแผลให้เขาเสร็จ ตู๋กูซิงหลันก็เอ่ยออกมา
วันนี้นางรู้สึกว่าจีเฉวียนดูแปลกๆไป แต่ก็ดูไม่ออกว่าแปลกอย่างไร
เขาไม่ยอมพูดอะไร ราวกับว่ามีความในใจหนักอึ้ง
“อืม กลับบ้านกันเถอะ” จีเฉวียนพยักพระพักตร์ ขณะที่เดินจากไปก็หันมามองดูโรงเรียนอนุบาลที่อยู่ไม่ไกลอีกครั้ง สายพระเนตรหยุดอยู่ที่ คำว่า ‘ความหวัง’ สองคำนั้น
……………..
ยามที่ตู๋กูซิงหลันพาจีเฉวียนกลับมา ซื่อมั่วก็มาถึงบ้านพักกลางสวนกุหลาบของนางเช่นกัน
เขาเปลี่ยนจากชุดยาวสีม่วง กลับมาเป็นชุดแบบตะวันตกสีม่วงเข้ม และทรงผมเสยหลังแบบเดิม
เขานั่งไขว้ขาอยู่บนโซฟา ในมือถือถ้วยชาร้อนใบหนึ่งด้วยท่าทางเสมือนเป็นผู้ใหญ่ในบ้าน มีเสินฟางยื่นอยู่ที่ข้างกาย
ทันทีที่เห็นจีเฉวียน สายตาก็มองไปที่ท่อนแขนที่มีผ้าพันแผลเอาไว้อย่างเรียบร้อย
สีหน้าของซื่อมั่วยังคงสงบนิ่ง แต่จีเฉวียนเห็นว่าสายตาของเขาเคร่งขรึมจนน่าตระหนก
ราวกับผิวน้ำที่เรียบนิ่ง จนไร้คลื่นใดๆทั้งสิ้น
ที่ผ่านมายามทั้งสองคนสบตากัน ต่างก็อยากจะฆ่าอีกฝ่ายทิ้งไป แต่ว่าวันนี้กลับสงบนิ่งราวกับนัดแนะกันเอาไว้
………………………….
ยามดึกสงัด ประตูหน้าห้องของซื่อมั่วถูกเปิดออกมา
ทันทีที่มือของเขาผลักออกไป ก็มองเห็นจีเฉวียนยืนอยู่ที่หน้าประตู พระองค์สวมใส่ชุดนอนสีดำ สีพระพักตร์ออกจะซีดเซียวไปอยู่บ้าง
สายพระเนตรของพระองค์ทอดมองซื่อมั่วอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยตรัสว่า “เรามีเรื่องต้องการจะสนทนากับท่านตามลำพัง”
ซื่อมั่วนั่งลงที่โซฟาตัวเล็กภายในห้อง พยักหน้าให้เบาๆ อนุญาตให้พระองค์เสด็จเข้ามาในห้อง
จากนั้น……ประตูก็ปิดลง
เพียงครู่เดียวอุณหภูมิภายในห้องก็ลดลงจนถึงศูนย์องศา
นี่เป็นครั้งแรกที่คนทั้งสองอยู่ใกล้กันถึงเพียงนี้
จีเฉวียนประทับนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามกับซื่อมั่ว ด้วยท่วงท่าเฉกเช่นยามเป็นฮ่องเต้ของต้าโจว
ถึงแม้ว่าทุกสิ่งที่พระองค์มีในวันนี้ จะมาจากคนตรงหน้า แต่ว่าจีเฉวียนก็ไม่ยอมถอยให้กับซื่อมั่วแม้แต่น้อย
พระองค์เคยตกระกำลำบาก ถึงขั้นต้องแย่งกินกับสุนัข
พระองค์ฝ่าฟันขึ้นมาจนกลายเป็นโอรสสวรรค์ที่สูงส่ง
ยามนี้ผู้ที่นั่งอยู่ตรงหน้าซื่อมั่ว ก็คือโอรสสวรรค์แห่งแคว้นโจว จีเฉวียน
“เราต้องการจะเจรจาแลกเปลี่ยนกับท่านเรื่องหนึ่ง” ครู่ใหญ่จีเฉวียนถึงได้ออกพระโอษฐ์ขึ้นมา
ซื่อมั่วรับฟังพระองค์ต่อไป
ราวกับว่าเขาเองก็เดาจุดประสงค์ของจีเฉวียนออกแต่แรกแล้ว
ในห้องดับไฟหมดแล้ว มีเพียงแสงสลัวจากดวงดาวด้านนอกส่องผ่านหน้าต่างลงมาที่คนทั้งคู่เท่านั้น
ตอนที่ 505 ที่แท้นาง....ก็ยังเป็น.....
ชั่วขณะนั้นเอง ใบหน้าของทั้งสองแทบจะทับซ้อนกัน
ซื่อมั่วมองไปที่จีเฉวียน เห็นริมโอษฐ์บางนั้นขยับน้อยๆ “นอกจากจะเป็นธิดาของราชามังกรทมิฬแล้ว ซิงซิงยังมีฐานะใดอีก?”
ซื่อมั่วไม่ได้ตอบเขา แต่กลับย้อนถามไปว่า “เรื่องที่เจ้าต้องการเจรจาแลกเปลี่ยนคือเรื่องอะไร?”
“ท่านตอบคำถามของเรามาก่อน”
จีเฉวียนประทับนั่งหลังตรงดุจพู่กัน ทั่วทั้งร่างกำจายราศีสูงส่งของฮ่องเต้ออกมา
“ปีศาจหมาป่าที่บุกมาเมื่อคืน มีเป้าหมายอยู่ที่นาง พวกมันลงมือโหดเ**้ยม ทุกฝ่ามือมุ่งเอาชีวิต เราจำไม่ได้เลยว่า นางเคยล่วงเกินพวกเผ่าปีศาจใดมาก่อน”
แม้แต่ในโลกโบราณ เผ่าปีศาจก็ปรากฏตัวน้อยนัก แล้วในโลกที่สงบสุขเช่นโลกปัจจุบันใบนี้ อยู่ๆจะปรากฏปีศาจมากมายได้อย่างไร?
“ปีศาจหมาป่าหรือ?” ซื่อมั่วหรี่ตาลง แววตาภายใต้ขนตาที่หนาเป็นแพนั้นปรากฏแววสังหารที่เย็นชาขึ้นมาแววหนึ่ง
พวกปีศาจที่สามารถทำให้จีเฉวียนบาดเจ็บได้ถึงเพียงนี้ ย่อมไม่ใช่ธรรมดา
พวกเขาพบอะไรเข้าแล้ว?
ไม่….เรื่องที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่กล้ามั่นใจ….ผู้อื่นจะค้นพบได้อยางไร?
ครู่ต่อมา ซื่อมั่วถึงได้ขยับลิ้นเอ่ยปากอะไรกับจีเฉวียนอีกหลายประโยค
สุดท้ายก็บอกกับพระองค์ว่า “เรื่องนี้ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน”
เดิมทีในสายพระเนตรของจีเฉวียนยังมีประกายอยู่บ้าง แต่พอได้ฟังคำพูดของซื่อมั่วไปหลายประโยคเข้า ประกายในดวงเนตรก็หม่นหมองลง
ที่แท้แล้วนาง….ก็ยังเป็น……
เนิ่นนาน พระองค์ถึงได้ตรัสว่า “ใต้หล้านี้ มีแต่ท่านเพียงผู้เดียวที่พอจะสามารถปกป้องคุ้มครองนางได้”
ดังนั้นพระองค์ยินดีจะใช้ชีวิตของพระองค์ ไปแลกกับความปลอดภัยในชีวิตของนาง
เจรจาแลกเปลี่ยนกับซื่อมั่ว มอบชีวิตของพระองค์ให้กับเขา ให้ได้เขาปกป้องคุ้มครองนางไปทุุกชาติภพ
จีเฉวียนปรารถนาให้ตู๋กูซิงหลันเป็นคนที่มีความสุข ใช้ชีวิตในโลกอย่างสงบสุข
พระองค์ปิดพระเนตรลง ชั่วขณะนั้น ในสายพระเนตรมีแต่ภาพของนาง
นับตั้งแต่ในตำหนักเย็นของต้าโจวเรื่อยมา ภาพทั้งหมดย้อนกลับมาอีกครั้ง ยามที่พระองค์ลืมพระเนตรขึ้นมาใหม่ ก็ตรัสว่า “ได้ยินมาว่าท่านแข็งแกร่งอย่างยิ่ง หลังจากแลกเปลี่ยนเรื่องนี้แล้ว เราคิดจะขอให้ท่านกระทำเรื่องหนึ่ง”
ซื่อมั่ว “เรื่องใด?”
“ทำให้นางลืมเรา”
ซื่อมั่วเงียบงันไปครุ่หนึ่ง “ศิษย์รักคิดจะจดจำใคร ไม่อยากจะจดจำใคร นั่นก็เป็นสิทธิในการเลือกของนาง ข้าไม่เคยก้าวก่ายมาก่อน”
“หากว่านางยังคงจดจำเราได้ ก็จะต้องยิ่งเจ็บปวดทรมาน”
สำหรับนางแล้ว หากให้เลือกระหว่างพระองค์และซื่อมั่วเป็นเรื่องที่แสนยากลำบาก ไม่ว่าใครก็ไม่อาจตัดสินใจได้ง่ายๆทั้งนั้น
ซื่อมั่ว “คนเราย่อมต้องเรียนรู้ที่จะเติบโตและเผชิญหน้ากับความจริง ไม่ใช่เพราะว่ากลัวความเจ็บปวด จึงเลือกลืมเลือน หรือหลบหนี”
“ทุกประสบการณ์ที่นางได้พบเจอ คือเส้นทางที่นางต้องก้าวผ่านเพื่อเติบใหญ่ขึ้น เจ้าไม่มีสิทธิที่จะทำให้นางลืมเลือน”
ซื่อมั่วเป็นคนที่ยึดมั่นในหลักการอย่างยิ่ง ทุกสิ่งที่เขาทำ ล้วนให้เกียรติกับการตัดสินใจของนาง
ต่อให้นางจะชอบจีเฉวียน เขาก็ยังเคารพการตัดสินใจของนาง
จีเฉวียน “เราไม่สนใจเรื่องการเติบใหญ่ใดๆ เรารู้แต่เพียงว่า ไม่ต้องการเห็นนางเจ็บปวด”
พระองค์ไม่เหมือนกับซื่อมั่ว มีข้อให้ขบคิด มีเรื่องให้วิตกมากมาย สำหรับพระองค์สิ่งใดก็ตาม ขอเพียงทำให้นางมีความสุขได้ ก็ดีทั้งนั้น
สายลมพัดเข้ามาทางหน้าต่าง พัดพาเอากลิ่นอายกระหายเลือดของปีศาจปะปนเข้ามาด้วย
บรรยากาศในค่ำคืนพลันอึดอัดขึ้นมา แม้แต่สายฟ้าฟาดก็มีให้เห็นประปราย
ในทันใดนั้นเอง ที่ด้านนอกหน้าต่างมีเงาร่างของผู้คนหลายเงา ท่ามกลางเงาเหล่านั้นมีเงาของหมาป่าปะปนอยู่ด้วย
ซื่อมั่วพลิกฝ่ามือรับพิณที่วางอยู่ข้างกายขึ้นมาถือเอาไว้ ปลายนิ้วตวัดผ่าน เกิดเป็นสำเนียงหนักๆขึ้นมา
เสียงพิณที่ถูกดีดออกมา สะท้อนออกไปในอากาศรอบด้าน
เงาคนและหมาป่าที่ริมหน้าต่างจางหายไปจนหมดสิ้น ในอากาศเพิ่มพูนกลิ่นเลือดขึ้นมาแทนที่
ซื่อมั่วเพียงกรีดพิณไม่กี่ครั้ง ใบหน้าที่เดิมซีดขาวก็ยิ่งย่ำแย่กว่าเดิมลงไปอีก
เขากระอักเลือดออกมาต่อหน้าต่อตาจีเฉวียน ริมฝีปากซีดถูกเลือดย้อมจนเป็นสีแดง แม้แต่เงาร่างก็เปลี่ยนเป็นไหววูบอ่อนสลัวขึ้นมาวูบหนึ่ง
จีเฉวียนทรงรู้สึกเหมือนกับว่า พระทัยถูกคนแทงหนักๆใส่ดาบหนึ่ง เจ็บปวดจนถึงกระดูกกระจายไปทั่วร่าง
พระองค์กับซื่อมั่วเดิมทีก็คือร่างเดียวกัน…..ซื่อมั่วได้รับบาดเจ็บ พระองค์ก็ไม่อาจดีกว่าสักเท่าไร
จีเฉวียนกดพระทัยเอาไว้ สีพระพักตร์เปลี่ยนเป็นซีดขาวขึ้นมา
พอมองออกไปด้านนอก กิ่งใบของต้นฮว๋ายฮวายังคงไหววูบ คล้ายกับว่าบางสิ่งพร้อมที่จะพุ่งออกมาอยู่ทุกเมื่อ
พอเสียงพิณของซื่อมั่วดังสะท้อนออกไป ด้านนอกของตัวบ้านก็สงบเงียบลงในทันที แม้แต่สายฟ้าที่อึมครึมอยู่ในอากาศก็สลายหายตัวไปด้วย
เมฆหมอกในค่ำคืนกระจายหายไป แสงดาวสลัวๆปรากฏขึ้นแทนที่
คืนนี้ ตู๋กูซิงหลันดื่มชาสงบจิตใจไปถ้วยหนึ่ง เดิมทีนางหลับสนิทอย่างยิ่ง
แต่แล้วก็พลันสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะความเคลื่อนไหวภายนอก
นางลุกขึ้นนั่ง คว้าดาบยักษ์ออกมาจากถุงเฉียนคุณอย่างรวดเร็ว พอกุมดาบลุกออกจากที่นอน วิ่งออกไปที่ห้องของจีเฉวียน
ทันทีที่เปิดประตู ก็เห็นว่าหมอนบนเตียงถูกจัดวางเอาไว้อย่างเรียบร้อย แต่ไม่มีเงาของคนแม้แต่นิดเดียว
หัวใจของตู๋กูซิงหลันหนักอึ้งขึ้นมาในทันที
นางควรจะใส่ใจเขาให้มากกว่านี้ วันนี้ตอนที่พาเขากลับมา ก็รู้สึกได้เลยว่าเขาไม่ปกติ
นางกุมดาบยักษ์เอาไว้ เดินซอยเท้าไปที่ห้องโถงอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่ไปถึง ก็ได้ยินเสียงประตูถูกกระแทกออกดังลั่น จากนั้นก็เห็นเงาร่างของคนผู้หนึ่งปรากฏขึ้นมาพร้อมกับสายฟ้าฟาด
ทั้งๆที่เป็นหน้าร้อนอยู่แท้ๆ แต่พอคนผู้นี้มาถึง บรรยากาศโดยรอบก็เหมือนจะถูกแช่แข็งขึ้นมา
หนาวเย็น จนแทรกซึมเข้าไปในกระดูก
เพียงแค่ชั่วแวบเดียว พื้นใต้ฝ่าเท้าถึงกับปรากฏเกร็ดหิมะ
เป็นเกร็ดหิมะจริงๆ!
ตู๋กูซิงหลันตะลึงไปเล็กน้อย เงาคนผู้นั้นก็พุ่งมาถึงตรงหน้านาง
ด้วยความรวดเร็ว ที่นางมองเห็นได้ไม่ชัดเสียด้วยซ้ำ
นางได้แต่ยกดาบยักษ์ขึ้นมา ตัดสินใจฟันออกไปตรงๆ
คนที่บุกรุกเข้ามาในที่พักของนางกลางดึก ย่อมไม่ใช่คนดีไปได้
“ตึง…..” ดาบยักษ์กวาดออกไป เกิดเสียงสะท้านดังกึกก้องคล้ายฟันลงไปบนเหล็กเย็นพันชั่ง
ง่ามมือของนางถูกแรงสะท้อนจนเกือบจะฉีกขาดออก
พลังที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง!
นางคิดอยู่ในใจ
สองมือกุบดาบยักษ์เอาไว้ ขยับร่างไหววูบ คิดจะถอยหลังไปอีกหลายก้าว
แต่ทันทีที่ขยับ ก็เห็นอีกฝ่ายยื้อดาบยักษ์ของนางเอาไว้ ดึงเข้าหาเบาๆ
ทันใดนั้น นางก็รู้สึกเหมือนกับว่าเรี่ยวแรงถูกพลังที่แข็งแกร่งดึงดูดออกไป จนคนแทบจะถลาออกไปทั้งตัว
ตู๋กูซิงหลันตัดสินใจปล่อยดาบยักษ์ในทันที ท่ามกลางละอองหิมะ เส้นผมยาวสลวยสีเงินอมดำกระจายออกมา นางพึ่งจะยืนได้มั่น ก็เห็นเงาร่างของคนผู้นั้นมาถึงตรงหน้านางแล้ว
ฝ่ามือที่ใหญ่โตคว้าลำคอของนางเอาไว้ พลังวิญญาณที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งไหลผ่านร่างกายของนาง
คนผู้นั้นอยู่ในกลุ่มแสง ตู๋กูซิงหลันเห็นใบหน้าของเขาอย่างเลือนลาง
คนที่แหลมคมมากผู้หนึ่ง
พลังที่ส่งออกมาจากร่างกายของเขายังแข็งแกร่งกว่าพลังของพวกที่ไล่ล่าสังหารอาจารย์ก่อนหน้านี้เสียอีก แข็งแกร่งกว่ามากนัก
นับตั้งแต่ที่เขาปรากฏตัวขึ้นมา ทุกชีวิตในหุบเขาปีศาจคล้ายจะถูกแช่แข็งไปแล้ว
แข็งแกร่งอย่างรุนแรง
คนผู้นั้นคว้านางเอาไว้ ขณะที่แววตาหลังแสงสว่างนั้นกวาดผ่านใบหน้าของนาง กำลังในมือก็คลายออกเล็กน้อย
ชั่วขณะนั้นเอง ตู๋กูซิงหลันฉวยโอกาสดิ้นหลุดอย่างรวดเร็ว ดีดร่างขึ้นไปบนชั้นสอง ยังไม่ทันยืนได้มั่นคง ก็ถูกฝ่ามือที่ใหญ่โตข้างหนึ่งคว้าแขนเอาไว้
ตอนที่ 506 เจ้าคือซิงซิงของข้าตลอดไป
แทบจะในวินาทีเดียวกัน มืออีกข้างหนึ่งก็แขนอีกข้างของนางเอาไว้
ความเย็น ยามที่มือที่แสนจะเย็นเฉียบคว้านางเอาไว้นั้น นางก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมาในทันที
ตู๋กูซิงหลันเหลียวหน้าไปดูเล็กน้อยก็เห็นว่าคนที่ยืนอยู่ข้างกายนางก็คือจีเฉวียนและซื่อมั่ว
พวกเขาสองคนอยู่ด้วยกัน เป็นไปได้อย่างไร?
แต่ตอนนี้นางไม่มีเวลาจะถามคำถามนี้อีกแล้ว
ทั้งสองคว้าตัวนางเอาไว้อย่างไม่มีลังเล ทั้งยังช่วยกันปกป้องนางเอาไว้ด้านหลัง
ในขณะเดียวกันร่างที่อยู่ในเงาแสงที่แสนจะแข็งแกร่งนั้นก็กระโดดขึ้นมาบนชั้นสอง
ร่างของเขายืนตระหง่านอยู่บนราวบันไดชั้นสอง แสงทองจากบนร่างทอประกายระยิบระยับ พลังที่แข็งแกร่งภายในร่างกดดันผู้คนจนทำให้แทบจะหายใจไม่ออก
แม้แต่ตู๋กูซิงหลันที่แข็งแกร่งไม่น้อย ตอนนี้ก็ยังต้องรู้สึกอึดอัดหายใจลำบาก กระดูกทั่วร่างคล้ายจะส่งเสียงลั่นเปรียะออกมา
เพราะทั้งซื่อมั่วและจีเฉวียนช่วยกันคุ้มครองนาง นางจึงได้แต่มองผ่านช่องว่างเล็กๆนั่นออกไป
เรือนร่างของเขาสูงโปร่ง พอเผชิญหน้ากับซื่อมั่วและจีเฉวียน บนฝ่ามือของเขาก็เพิ่มเจดีย์สมบัติสีทองหลังหนึ่งขึ้นมา
“ผ่านมาตั้งหลายปี ในที่สุดเจ้าก็ปรากฏตัวแล้ว” คำพูดนี้ของเขา ไม่รู้ว่ากล่าวกับซื่อมั่วหรือว่ากล่าวกับจีเฉวียนกันแน่
สายตาของเขามองไปยังร่างของคนทั้งสองสลับกันไปมา สุดท้ายจึงค่อยหยุดอยู่ที่ร่างของซื่อมั่ว
“หากเปรียบเทียบกับเมื่อพันปีก่อน เจ้าช่างอ่อนแอลงไปมาก” เขาหัวเราะเสียงเย็นชา และเพราะบนร่างมีกลุ่มแสงสว่างจ้า จึงทำให้มองเห็นใบหน้าได้ไม่ชัดเจน ในสมองของตู๋กูซิงหลันจินตนาการถึงท่าทางยามหัวเราะของคนผู้นี้ออกเลยทีเดียว
เขาคือชาวสวรรค์
ทั้งยังมีที่มาที่ยิ่งใหญ่ไม่น้อย
“เมื่อไร้สิบยมราช ห้าแม่ทัพใหญ่ เหลือแต่เพียงหมิงอ๋องเพียงลำพัง แม้แต่พละกำลังก็ยังลดลงไปกว่าครึ่ง…..” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา เจดีย์สีทองในเมืองก็เปลี่ยนเป็นง้าวสีทองด้ามหนึ่งด้วยความรวดเร็ว
บนปลายแหลมของง้าว มีสัญลักษณ์ที่แสดงถึงเจดีย์สีทองหลังนั้นเขาโบกง้าวในมือรอบหนึ่งก็ชี้มันไปที่หน้าผากของซื่อมั่ว
“ถึงตอนนี้แม้แต่ลูกน้องคนสนิทที่มีฝีมือที่สุดของเจ้า อ๋องทำลายล้างซือหนาน ก็ไม่อยู่อีกแล้ว วันนี้…..ข้าจะกำจัดเจ้าให้ถึงคราวสิ้นสูญ!”
ทันทีที่สิ้นเสียง เขาก็ขยับร่างวูบหนึ่ง ควงง้าวสีทองของตนบุกเข้าหาซื่อมั่ว
ซื่อมั่วมิได้หลบหลีก เขาปล่อยมือจากตู๋กูซิงหลัน หันไปกล่าวกับจีเฉวียนที่อยู่ข้างกายอย่างรวดเร็วว่า “พานางไป ยิ่งไกลยิ่งดี”
เสียงของเขาเบามาก แค่ว่าตู๋กูซิงหลันก็ยังคงได้ยินอยู่ดี นางรีบบอกออกไปว่า “อาจารย์ข้าไม่มีทางจะหลบหนีโดยทิ้งท่านไว้”
คนที่อยู่เบื้องหน้า…..แข็งแกร่งมาจริงๆ
เขาแข็งแกร่งจนถึงขนาดที่นางไม่รู้ว่ามีขีดจำกัดหรือไม่
ถึงแม้จะรู้อยู่แล้วว่าพวกชาวสวรรค์ไม่มีทางที่จะปล่อยอาจารย์ไป แต่ก็คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะมากันอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้
อาการบาดเจ็บของอาจารย์ยังไม่หาย แล้วจะให้นางหนีไปได้อย่างไร
จีเฉวียนเองก็ไม่คิดจะพาตู๋กูซิงหลันหนี พระองค์ยืนอยู่ที่ด้านข้างของซื่อมั่ว สายพระเนตรจับจ้องไปที่ร่างของบุรุษที่อยู่ในแสงสว่างผู้นั้น
แม้แต่พระองค์เองก็ทรงสัมผัสได้ว่า อีกฝ่ายแข็งแกร่งถึงเพียงไหน
เมื่อเห็นทั้งสองคนไม่เชื่อฟัง ซื่อมั่วก็ไม่เอ่ยอะไรไร้สาระอีก ในมือของเขาเปล่งแสงสว่างสีม่วงออกมา แสงสว่างนั้นกลายเป็นไม้เท้ายาวด้ามหนึ่ง
สีทองแพรวพราวบนตัวไม้เท้ามีอักขระสีม่วงเขียนเอาไว้อย่างซับซ้อนเต็มไปหมด ไม้เท้าในมือโบกออกไป กระแทกเข้าใส่ง้าวสีทองจนเกิดเสียงดังกังวาน
“ตึงงง….” เสียงกระทบดังกึกก้อง บ้านของตู๋กูซิงหลันถึงกับเริ่มแตกร้าวออกมา
แรงกดดันและพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งทำให้ผิวกายของคนรู้สึกเจ็บจนชา
ตู๋กูซิงหลันยกดาบยักษ์ขึ้นมากุมเอาไว้ เตรียมจะต่อสู้เคียงข้างอาจารย์
“เสี่ยวเฉวียนเฉวียน เจ้าไปที่หลังเขา อยู่กับจู๋จู๋ จะได้ปลอดภัย” ครั้งนี้ ตู๋กูซิงหลันไม่ได้ลืมจีเฉวียนอีกแล้ว
เขาพึ่งได้รับบาดเจ็บกลับมา บาดแผลบนข้อมือลึกถึงกระดูก ไม่ควรต่อสู้อีก
นางไม่ต้องการให้เขาได้รับบาดเจ็บใดๆอีกแม้แต่น้อย
แววเนตรของจีเฉวียนนิ่งงันไป ทอดพระเนตรมองดูภาพที่นางกับซื่อมั่วยืนเคียงข้างกัน พลางนึกถึงเมื่อครู่ที่ทรงตรัสถามซื่อมั่วถึงเรื่อง ‘ฐานะของนาง นอกจากเป็นธิดาของราชามังกรทมิฬแล้ว ยังมีอะไรอีก?’
คำตอบของซื่อมั่วเมื่อรวมเข้ากับภาพตรงหน้า ยิ่งส่งเสริมให้ทั้งสองคนดูเป็นคู่ที่เหมาะสมกันอย่างยิ่ง
ครั้งนี้ ฮ่องเต้มิได้เข้าไปแย่งชิงอีกแล้ว
ก่อนหน้านี้ซื่อมั่วได้รับบาดเจ็บ ร่างแบ่งภาคก็ไม่กลับคืนมาเสียที แล้วตอนนี้ยังมาอยู่ใกล้ๆกันอีก ส่งผลให้ร่างหลักเช่นเขาอ่อนล้าจนคล้ายจะไม่มั่งคงอยู่บ้าง
เดิมทีเขาสมควรจะไปเก็บตัวอยู่ที่ธารน้ำพุเหลืองรักษาตัวให้ดี แต่ว่าตอนนี้กลับออกมาเคลื่อนไหวไม่หยุด เท่ากับว่าหาเรื่องตายอยู่ชัดๆ
จีเฉวียนมองดูใบหน้าที่ซีดขาวของเขา จากนั้นก็หันเหสายพระเนตรมาที่ตู๋กูซิงหลัน ตรัสรับเพียงคำเดียวว่า “ตกลง”
พระองค์ตรัสว่า “เมื่อเราไปแล้ว ซิงซิงต้องรักษาตัวให้ดี เจ้าคือซิงซิงของข้าตลอดกาล เจ้าคือรักเดียวชั่วชีวิต”
ใบหน้าของตู๋กูซิงหลันแดงระเรื่อขึ้นมาในทันที เจ้าตัวร้ายผู้นี้……ไม่ใช่ว่าจะลาตายกันเสียหน่อย ทำไมต้องทำเรื่องน่าเขินอายเช่นนี้ด้วย?
เวลาแบบนี้ ก็ยังจะมาพูดเรื่องเช่นนี้อีก ทำเอาผู้อื่นเขินอายไปหมดแล้ว
“อืม” ตู๋กูซิงหลันกุมดาบยักษ์เอาไว้ในมือ พลางพยักหน้า ตัดสินใจตอบเขากลับไปว่า “ข้าเองก็รักเจ้า”
นี่เป็นครั้งแรกที่นางบอกรักเขา แค่ครั้งเดียว และเป็นครั้งสุดท้าย
ต่อให้รู้ว่าอาจจะไม่ใช่เรื่องจริง แต่ว่าในพระทัยของจีเฉวียนก็พึงพอใจอย่างที่สุดแล้ว
พระองค์ยิ้มกว้างให้กับนาง “เราจะจดจำไว้ตลอดไป”
ขอบคุณที่เจ้าบอกว่า….รักข้า
ทันทีที่หันร่างจากไป สองเนตรหงส์ก็ปรากฏหยาดน้ำตา…..ทั้งยังมีประกายตาของคนที่ตัดสินใจพุ่งหาความตาย
ซื่อมั่วลงมือต่อสู้กับคนที่อยู่ในแสงสีทอง ที่ด้านนอกหน้าต่าง ดงดอกกุหลาบสั่นคลอนขึ้นมา นอกบ้านมีเงาร่างสุนัขป่ามากมายเคลื่อนไหว
เพียงพริบตาเดียว จีเฉวียนก็ถอยออกจากตัวบ้านไปยังด้านนอกแล้ว
ยามที่พระองค์จากไป ก็ตรัสเสียงเบาจนไม่อาจจะเบาได้อีกว่า ‘ลาก่อน ซิงซิง’ ตู๋กูซิงหลันย่อมไม่ได้ยินเสียงของพระองค์
พอนางเห็นจีเฉวียนหนีไปแล้ว จึงค่อยหันกลับไปเข้าร่วมการต่อสู้
ซื่อมั่วจงใจชักจูงคนผู้นั้นไปต่อสู้ที่ด้านนอก ทันใดนั้นเอง รอบตัวบ้านก็เกิดสายลมพัดแรง ราวกับว่าคืนนี้ กว่าครึ่งของเมืองหลวงตกอยู่ท่ามกลางแผ่นดินไหว
กลางดึกมากแล้ว แต่ผู้คนพากันวิ่งหนีออกมาจากบ้านช่องเพื่อหลบแผ่นดินไหว
แต่ว่าแผ่นดินไหวครั้งนี้กลับต่อเนื่องและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเข้าใกล้หุบเขาปีศาจก็ยิ่งรู้สึกได้อย่างชัดเจน
………………………..
ซื่อมั่วกุมไม้เท้าด้ามยาวเอาไว้ในมือ ร่างของเขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า ต่อสู้กับร่างที่อยู่ในกลุ่มแสงสว่างนั้นอย่างพัวพันจนยากจะแบ่งแยก
ตู๋กูซิงหลันประคองดาบยักษ์คอยสนับสนุนอยู่ด้านข้าง แม้ว่าจะเป็นสองรุมหนึ่งแต่ว่าผลลัพธ์ก็ทำได้เพียงแค่สูสี
“คนที่เคยเป็นถึงหมิงอ๋อง …..แต่ว่าวันนี้กลับตกต่ำ จนถึงขึ้นต้องให้สตรีตัวเล็กๆผู้หนึ่งมาช่วยเหลือหรือ?” คนผู้นี้ไม่ว่าพละกำลังหรือวาจาเหน็บแนมล้วนแต่ร้ายกาจอย่างยิ่ง ยามที่เขาวาดง้าวสีทองในมือออกมา ทั่วร่างมีแสงเปล่งประกายเจิดจ้าบาดตา
แม้ว่าจะอยู่ระหว่างการต่อสู้ที่ดุเดือด แต่ว่าสายตาของเขาก็ยังเหลือบมองไปที่ตู๋กูซิงหลันอยู่บ่อยครั้ง ราวกับว่าจดจำอะไรขึ้นมาได้
สาวน้อยผู้นี้…..ดูคุ้นเคยอย่างยิ่ง
แม้ว่าจะถูกเขาเหยียดหยาม แต่ว่าซื่อมั่วก็ยังคงสงบนิ่งดุจขุนเขา เขาฟาดไม้เท้าในมือออกไปอย่างไร้ไมตรี ทุกไม้ทุบลงไปบนร่างของคนผู้นั้นอย่างต่อเนื่อง
ไม้เท้าอนันตกาลสยบมารเป็นอาวุธประจำกายที่เขาใช้ยามออกศึก หนึ่งไม้ที่ฟาดฟันลงไป ทำลายภูผามหานที แม้ว่าเรี่ยวแรงถดถอย พละกำลังไม่มั่นคงเช่นกาลก่อน แต่ก็ยังคงแข็งแกร่งอย่างน่าตื่นตระหนก
พอหลายไม้เท้ากระหน่ำลงไปอย่างต่อเนื่อง คนผู้นั้นก็คล้ายจะรับไม่ไหวบ้างแล้ว
แสงทองบนร่างของเขาปริแตกออก เปิดเผยดวงหน้าออกมา
ชั่วขณะนั้นเอง แม้แต่ตู๋กูซิงหลันก็ยังต้องตื่นตะลึงไป
ที่แท้แล้วเขาก็คือ……..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น