ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 501-502
ตอนที่ 501 ไม่เต็มใจจะชอบอาจารย์หรือ?
ที่สุดแล้วอาจารย์ก็ยังคงเป็นคนที่ชอบเก็บงำความรู้สึกของตนเองไม่เปลี่ยนแปลง!
วิญญาณทมิฬรู้สึกว่าผู้ช่วยระดับเทพอย่างมันช่างไร้ประโยชน์จริงๆ ทำเช่นนี้สิ้นเปลืองทรัพยากรไปเปล่าๆปลี้ๆ
“ศิษย์ย่อมต้องห่วงใยอาจารย์ คอยดูแลอาจารย์อยู่แล้ว” ตู๋กูซิงหลันมือหนึ่งกุมดาบยักษ์ สองตาเปล่งประกายด้วยความมุ่งมั่น
นางเกรงว่าชาวสวรรค์เหล่านั้นจะย้อนกลับมาก่อความวุ่นวายอีก จึงตั้งใจว่าช่วงนี้จะต้องมาคอยอยู่ใกล้ๆอาจารย์ให้บ่อยขึ้น
เพราะอาการบาดเจ็บของเขาเกิดขึ้นจากการลงมือที่ก้นทะเลลึกในตอนนั้น….
แถมนางยังดื้อดึงของชีวิตของจีเฉวียนเอาไว้……ร่างแบ่งภาคไม่ตาย วิญญาณไม่กลับคือสู่ร่างหลัก จะมากจะน้อยย่อมต้องกระทบกระเทือนท่านอาจารย์อยู่บ้างอย่างแน่นอน
กับซื่อมั่ว ในใจของตู๋กูซิงหลันเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกติดค้างและละอายใจ
ดังนั้นนางจึงอยากจะทุ่มเททุกสิ่งให้เพื่อชดเชย
เพราะนางยกมือขึ้นกอดดาบยักษ์เอาไว้ เสื้อเชิ้ตบนร่างจึงลอยขึ้นมาอีกเล็กน้อย เผยผิวต้นขาออกมา
ซื่อมั่วไม่ได้จงใจจะกวาดตาดู
เขาขมวดคิ้วแนบแน่น เบนสายตาออกไป มองดูภาพที่แขวนเอาไว้บนกำแพง
เป็นภาพแบบเดียวกันกับที่แขวนเอาไว้ในห้องของตู๋กูซิงหลัน
เขากำลังโอบอุ้มเด็กทารกคนหนึ่ง ทารกน้อยหัวเราะอย่างร่าเริง
ขนตาของซื่อมั่วกระพริบถี่ๆ คำพูดที่ค้างคาอยู่ในหัวใจมาเนิ่นนาน อยู่ๆก็หลุดออกมาราวกับผีผลัก
“เจ้ารั้งอยู่ดูแลอาจารย์ เพียงเพราะความผูกพันฉันศิษย์อาจารย์เท่านั้นหรือ?”
ตู๋กูซิงหลัน “ย่อมไม่ใช่อย่างแน่นอน!”
นางกล่าวอย่างตอกตะปูตัดเหล็ก เด็ดขาดไม่เยิ่นเย้อ
ในตอนนั้นเอง วิญญาณทมิฬก็ป่ายปีนขึ้นไปถึงขอบหน้าต่างพอดี จนมองเห็นจีเฉวียนที่ยืนตัวเปียกโชกอยู่ในสวน
ปกติแล้วทุกความเคลื่อนไหวของฮ่องเต้สุนัขมักล่าช้าไปก้าวหนึ่งอยู่เสมอ
ก่อนหน้านี้ตอนที่ต่อสู้กันอยู่ก็ไม่เห็นเขามา พอตอนนี้อาจารย์กับหลันหลันกำลังจะพูดความในใจออกมา เขากลับปรากฏตัวขึ้นมาอย่างทันควัน
วิญญาณทมิฬแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นบาดแผลบนร่างของจีเฉวียน
เลื้อผ้าแบบตะวันตกของเขาขาดวิ่นแทบเป็นชิ้น ติดคลุมกายอยู่เพียงเล็กน้อย เส้นผมหลุดลุ่ย ใบหน้าเปื้อนเลือด เห็นได้ชัดเจนเลยว่าพึ่งผ่านศึกที่สาหัสมา
ไม่รู้ว่าระหว่างทางที่มาถึงที่นี่เขาพบเจอกับอะไรเข้า
เพราะเขาคือร่างแบ่งภาคที่แข็งแกร่งที่สุดของซื่อมั่ว ในร่างมีกลิ่นอายของซื่อมั่วอยู่ ดังนั้นเขตแดนของเรือนนี้ย่อมมิได้ต่อต้านเขา
จีเฉวียนที่รุดมาอย่างรีบร้อน จนได้ยินคำพูดระหว่างซื่อมั่วกับตู๋กูซิงหลันเข้าพอดี
“เจ้ารั้งอยู่ดูแลอาจารย์ เพียงเพราะความผูกพันฉันศิษย์อาจารย์เท่านั้นหรือ?”
ตู๋กูซิงหลัน “ย่อมไม่ใช่อย่างแน่นอน!”
ประโยคที่ว่า ‘ย่อมไม่ใช่อย่างแน่นอน!’ นั่น เป็นเสมือนดาบที่ทิ่มแทงเข้าไปในหัวใจของพระองค์
พระองค์ทรงทราบมาโดยตลอดว่า ซื่อมั่วในสายตาและหัวใจของซิงซิงนั้น ….ไม่เหมือนกัน
ในใจของนาง ซื่อมั่วย่อม….มิใช่แค่เพียงอาจารย์
ตอนนั้นที่นางกระโดดตามเขาลงไปในหุบเหวไร้ก้น…..ใช่เป็นเพราะค้นพบว่าเขากับซื่อมั่วมีส่วนเกี่ยวข้องกันใช่หรือไม่?
พระทัยของจีเฉวียนยิ่งทียิ่งเจ็บปวด
บาดแผลบนร่างกายแม้จะเจ็บปวดสักเท่าไร ก็ยังไม่เท่ากับความเจ็บปวดในพระทัยที่เหมือนโดนเข็มเผาไฟนับพันเล่มทิ่มแทง
พระองค์ก้าวไปข้างหน้าอีกก้าวหนึ่ง แล้วก็นิ่งขึงไป
ด้วยความหวาดกลัวว่าหากตนเองก้าวเดินไปอีกก้าว จะได้ยินอะไรที่ไม่อยากจะได้ยินจากนาง
พระหัตถ์และพระพาหาของพระองค์ชุ่มโชกไปด้วยเลือด ที่หยาดหยดลงไปตลอดเวลา
แต่ว่าจีเฉวียนก็มิได้ก้าวพระบาทออกไปอีก
ดวงเนตรหงส์ของพระองค์จ้องเขม็งไปยังเงาของคนทั้งสองที่สะท้อนออกมาจากแสงเทียน…..ราวกับว่าพวกเขาต่างหากคือคู่ที่ฟ้าดินเลือกสรรให้เคียงคู่กัน
ส่วนพระองค์ ก็เป็นเพียงร่างแบ่ง เป็นเพียงสิ่งจอมปลอม
จำต้องให้นางขอร้องต่อซื่อมั่ว จึงจะสามารถดำรงอยู่ได้
ในชั่วขณะนั้น พระทัยของจีเฉวียนแทบจะถูกความมืดมนครอบงำจนหมดสิ้น
ขณะที่ริมฝีปากสีแดงของตู๋กูซิงหลันขยับเอ่ยนั้น พระองค์ก็รีบร้อนหลบหนีไปอย่างบ้าคลั่ง
ตลอดมาพระองค์คือโอรสสวรรค์แคว้นโจวที่สูงส่ง …..แต่ว่าครั้งนี้กลับปราศจากความกล้าหาญที่จะรับฟังคำพูดของนาง
ท่ามกลามสายลมของราตรีที่มืดมิด เงาหลังของพระองค์มีแต่ความโดดเดี่ยวและอ้างว้าง
ราวกับสัตว์เล็กๆที่ถูกทอดทิ้งอย่างน่าสงสาร
ในโลกปัจจุบันใบนี้ นอกจากตู๋กูซิงหลันแล้ว พระองค์ก็ไม่มีคนใกล้ชิดใดๆอีก
พระองค์คือส่วนเกินอย่างแท้จริง คือคนที่สมควรจะตายไปตั้งแต่ที่ทะเลไร้ก้นบึ้งนั่นแล้ว คือคนที่ไม่สมควรจะยืนอยู่ในโลกใบนี้ แม้กระทั่งในสายตาของซิงซิงก็คงจะเป็นเพียงแค่ตัวแทนของใครบางคนเท่านั้น….
จีเฉวียน ไม่เคยรู้สึกว่าตนเองจะพ่ายแพ้ถึงเพียงนี้มาก่อนเลย
พระองค์ไม่เคย….เจ็บปวดทุกข์ทรมานเช่นนี้มาก่อน
………………..
ภายในห้อง ตู๋กูซิงหลันรู้สึกเหมือนกับว่าได้กลิ่นคาวเลือด แต่ว่าพอนางหันไปมองที่หน้าต่าง นอกจากกิ่งต้นฮว๋ายฮวาที่โอนเอนไปมาแล้ว นางก็ไม่เห็นสิ่งใดอีก
นางหันสายตากลับมา มองดูซื่อมั่วอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบว่า “ความรู้สึกที่ศิษย์มีต่ออาจารย์ย่อมต้องมีความผูกพันเยี่ยงบิดาและบุตรสาว”
ซื่อมั่ว “…..” ถึงกับพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
เขาเหลือบตาไปทางหน้าต่างแวบหนึ่ง ก็หันสายตากลับมาอย่างเย็นชา
ทั้งยังเอ่ยอย่างไม่ยอมถอดใจว่า “เจ้าก็รู้ว่า อาจารย์ไม่เคยมองเจ้าเช่นบุตรสาวมาก่อน”
ไม่รอให้ตู๋กูซิงหลันได้โวยวาย เขาก็เอ่ยถามอีกว่า “ทำไม เจ้าเต็มใจจะชอบร่างแบ่งภาคของอาจารย์ แต่กลับไม่เต็มใจชอบอาจารย์?”
ตู๋กูซิงหลันเถียงออกไปในทันทีว่า “เขามีชื่อนะ ชื่อจีเฉวียน”
นางไม่ชอบให้อาจารย์เรียกจีเฉวียนว่าเป็น ‘ร่างแบ่งภาคของอาจารย์’
จีเฉวียนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และตัวตนของตนเอง ในสายตาของนาง เขาไม่เหมือนกับท่านอาจารย์
เขาก็คือเขา คือจีเฉวียนที่เป็นหนึ่งไม่มีสองในโลก คือคนที่นางชอบ
จากนั้น นางก็ค่อยรู้สึกถึงคำพูดครึ่งประโยคหลังของซื่อมั่ว
‘ไม่เต็มใจจะชอบอาจารย์?’
ความหมายของคำว่า ‘ชอบ’ ของอาจารย์ก็คือ?
ตู๋กูซิงหลันตกตะลึงไปแล้ว……
นางชื่นชอบอาจารย์แน่นอน ทั้งรักและเคารพ นับถือดุจญาติผู้ใหญ่ …..แต่หากจะให้ชอบแบบเดียวกับจีเฉวียนนั้น…..นางไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นจริงๆ
ได้เห็นความตกตะลึงที่นางแสดงออกมา ซื่อมั่วก็รู้แล้วว่านางคิดอะไรอยู่ในใจ
ตลอดหลายปีมานี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขายอมหักห้ามความอับอาย เอ่ยปากบอกกับนางเช่นนี้ออกไป
คนที่เป็นถึงอาจารย์ กลับหลงรักลูกศิษย์ที่ตนเลี้ยงดูอุ้มชูจนเติบโตขึ้นมา
นี่จึงเป็นเรื่องที่น่าละอายที่สุดในโลก
ตัวเขาเองไม่นับว่ากระไร แต่เขาไม่ต้องการให้นางกลายเป็นที่ขบขัน
ซื่อมั่วอยู่มาเนิ่นนานจนตนเองก็ไม่รู้ว่ากี่ปีมาแล้ว เขาคือวัตถุโบราณที่ทื่อทึ่มที่สุด ย่อมต้องยึดถืออยู่กับขอบเขตของขนบธรรมเนียมทั้งหลาย ดังนั้นจึงแทบจะไม่เคยทำอะไรที่ขัดกับจารีตมาก่อนเลย
ประโยคที่ถามออกไปในคืนนี้ อัดอั้นอยู่ในหัวใจของเขามานานถึงสิบแปดปีแล้ว
ใช่แล้ว….ปีนี้ศิษย์ของเขาอายุสิบแปด
ถึงวัยที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
ตอนที่ 502 ไม่รู้จักตนเอง
ตู๋กูซิงหลันมั่นใจกับความคิดในใจของตนเองอย่างยิ่ง
แต่ยามที่เงยหน้าขึ้นมาสบตากับซื่อมั่วนั้น กลับเห็นแสงในดวงตาทั้งสองของซื่อมั่ว หม่นหมองลงไป
“อาจารย์มิได้โง่ แต่ว่าเจ้ากลับแกล้งทำเป็นโง่” ซื่อมั่วเอ่ยประโยคนี้ขึ้นมาเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นก็ไม่ได้เอ่ยอะไรถึงเรื่องนี้อีก
ลูกศิษย์ของตนเอง เขาเลี้ยงดูมากับมือ เขาย่อมรู้ดีว่า นางชาญฉลาดหลักแหลมเพียงไหน มิว่าเรื่องใดเพียงเอ่ยออกมาก็เข้าใจ เขาพูดออกมาถึงขนาดนี้แล้ว ศิษย์ไม่มีทางจะไม่รู้อีก
ตู๋กูซิงหลันเห็นเขาหลับตาลง ภายใต้แสงเทียน ขนตาทอทาบจนเป็นเงาเข้ม
ในใจของนางก็พลันรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
อาจารย์…..อาจารย์สีหน้าของท่านซีดขาว ยามที่ร่างกายอ่อนล้าเช่นนี้ดูแล้วยิ่งดูน่าดึงดูดยิ่งกว่ายามปกติเสียอีก
นางรีบหันหน้าไปอย่างรวดเร็ว เปิดหัวข้อใหม่ว่า “อาจารย์ ต่อไปท่านมีแผนการเช่นไร?”
พวกชาวสวรรค์ติดตามมาเพื่อสังหารอาจารย์ ย่อมไม่มีทางยอมวางมือโดย
ง่าย
พวกนางก็ไม่นั่งรออยู่เฉยๆเช่นนี้ ปล่อยให้ศัตรูบุกเข้าประตูมาตัดหัวคนมิใช่หรือ?
“ ส่งเจ้ากลับไปโลกโน้น” ซื่อมั่วกล่าวอย่างเรียบเฉย โลกนี้ไม่ปลอดภัย หากรั้งนางไว้ที่นี่ก็อันตรายยิ่งกว่าอยู่ที่โน่น
“รอให้เส้นทางข้ามมิติของธารน้ำพุเหลืองเปิดออก ก็จะส่งเจ้ากลับไปในทันที”
ครั้งก่อนที่เขาไปที่ธารน้ำพุเหลือง ก็ไม่ใช่เพียงเพราะต้องการเข้าฌาน คนอย่างซื่ิอมั่วมิว่ากระทำเรื่องใดล้วนมีจุดมุ่งหมาย
ก็เหมือนกับการเดิมหมาก ทันทีที่วางหมากนี้ลงไปก็คาดเดาออกแล้วว่าอีกหลายตาให้หลังสมควรจะเดินเช่นไรบ้าง
“แล้วท่านอาจารย์ล่ะ? จะไปด้วยกันไหม?” ประเด็นหลักของตู๋กูซิงหลันอยู่ที่ตัวเขาจะทำเช่นไร ไม่ใช่ว่าตัวนางจะเป็นอย่างไร
“อาจารย์ย่อมมีแผนการสำหรับตนเอง” ซื่อมั่วไม่ได้บอกกับนาง เพียงล้วงเอาหยกสีดำราวน้ำหมึกขนาดครึ่งกำปั้นออกมา ส่งให้กับนาง
“เก็บเอาไว้ให้ดี อย่าได้ทำหายอีก”
“นี่มัน….หยกสรรพชีวิต?” ตู๋กูซิงหลันยื่นสองมือไปรับหยกชิ้นนั้นมา ก่อนหน้านี้นางเคยมีหยกสรรพชีวิตที่ครบถ้วนสมบูรณ์ แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงได้แตกเป็นเสี่ยงๆ กระจัดกระจายไปทั่วโลกโบราณ คิดไม่ถึงว่า อาจารย์จะยังมีหยกนี้เก็บเอาไว้ครึ่งหนึ่ง
หยกชิ้นนั้นทันทีที่สัมผัสกับฝ่ามือของนางก็ซึมหายเข้าไปในดวงจิตของนาง ผนึกตัวฝังลึกลงไปในจิตวิญญาณของนางในทันที
หยกสรรพชีวิตครึ่งชิ้นนี้ ที่จริงก่อนหน้านี้ได้กระจัดกระจายไปทั่วโลกใบอื่นๆ แต่ว่าซื่อมั่วใช้ความเพียรพยายามรวบรวมพวกมันแต่ละชิ้นกลับมา
กว่าจะได้มาเช่นนี้ย่อมมิใช่เรื่องง่าย แต่ว่าเรื่องเหล่านั้นเขาไม่คิดจะบอกนางแม้แต่น้อย
เขานั่งขัดสมาธิบนเบาะนุ่ม สูดลมหายใจเข้าออกอย่างแผ่วเบา นั่งอยู่กับตู๋กูซิงหลันเช่นนี้ตลอดทั้งคืน
……………………
พอนางกลับไปที่สวนกุหลาบ ก็ไม่เห็นจีเฉวียนแม้แต่เงาแล้ว
ถึงแม้จะตามหาจนรอบสวนไปรอบหนึ่ง ก็ไม่เจอคนแม้แต่น้อย
ตู๋กูซิงหลันตามหาเสินฟางจนเจอ เสินฟางกุมสร้อยหินเอาไว้ในฝ่ามือ ตอบว่า “เมื่อคืนนี้ฮ่องเต้ชาวมนุษย์ผู้นั้น ติดตามคุณหนูออกไปด้วยกันนิ คงไม่ได้ถูกสุนัขป่าคาบไปกินแล้วหรอกนะ?”
“เฮ่อ ช่วงนี้หุบเขาปีศาจยิ่งไม่ค่อยสงบอยู่ด้วย มักมีพวกสุนัขป่าออกมามากมาย พวกมันชอบกินเนื้อบุรุษหนุ่มเป็นพิเศษ”
หากนับตามอายุ จีเฉวียนก็เพียงแค่ยี่สิบห้าเท่านั้น หากว่ามาเปรียบเทียบกับเขาและซื่อมั่ว ก็ต้องเรียกว่าเป็นหนุ่มน้อยที่อ่อนนุ่มจนไม่รู้จะนุ่มยังไงแล้ว
ตู๋กูซิงหลันถลึงตาใส่เขาครั้งหนึ่ง จีเฉวียนใช่คนที่จะถูกสุนัขป่าคาบไปกินได้ง่ายๆเช่นนั้นหรือ?
เสินฟางค่อยเอ่ยขึ้นว่า “เป็นปีศาจจิ้งจอก ไม่รู้ว่ามันมาจากไหน พลังปีศาจช่างรุนแรงนัก”
ตู๋กูซิงหลัน “…….” หุบเขาปีศาจเป็นถิ่นของนางและอาจารย์ แล้วจะมีปีศาจอาละวาดได้หรือ? ช่วงนี้นางก็รู้สึกอยู่บ้างว่าหุบเขาปีศาจไม่ค่อยสงบ แต่คิดไม่ถึงว่าแม้แต่ภูติผีปีศาจก็กล้าออกอาละวาดด้วย?
“ตอนที่คุณหนูสัมผัสได้ว่าใต้เท้าซื่อมั่วมีอันตราย ก็รีบร้อนออกไปโดยไม่มีลังเล จนลืมไปว่าที่ข้างหลังยังมีฮ่องเต้ชาวมนุษย์อยู่อีกผู้หนึ่ง ….ตอนนั้น เกรงว่าท่านคงไม่ได้นึกถึงเขาแม้แต่น้อยใช่หรือไม่?” เสินฟางชอบจี้ใจดำผู้อื่นมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว
เขายืนอยู่ข้างกายตู๋กูซิงหลัน แต่ว่าเงาร่างเหมือนจะล่องลอยอยู่ในอากาศ
ดวงตาที่ปราศจากลูกตาสีขาวนั้นจดจ้องไปที่นาง แววตาที่คมกริบคล้ายจะมองลึกเข้าไปถึงวิญญาณของนางอย่างไรอย่างนั้น “คุณหนูชื่นชอบฮ่องเต้ชาวมนุษย์ผู้นั้นจริงๆ หรือเป็นเพราะมีเหตุผลอื่น….”
เงียบไปครู่หนึ่ง เสินฟางถึงได้เอ่ยต่อไปว่า “มิใช่เป็นเพราะว่าเขาคือร่างแบ่งภาคของใต้เท้าซื่อมั่ว ท่านถึงได้ชอบเขาหรอกหรือ?”
ตู๋กูซิงหลันคิดจะเถียง เสินฟางก็ชิงสกัดคำพูดของนาง “เมื่ออยู่ตรงหน้าข้า คุณหนูอย่าได้ยกคำพูดที่ว่าพวกเขามิใช่คนเดียวกันขึ้นมาอีก”
“คุณหนู ท่านชอบฮ่องเต้ผู้นั้นที่ใดกัน?”
ตู๋กูซิงหลันถูกเขาถามจนตกตะลึงไปแล้ว
จริงด้วย….นางชอบจีเฉวียนเพราะอะไร?
นางเองก็บอกไม่ถูก
“ดูเถอะ ขนาดท่านเองยังบอกไม่ได้เลย” เสินฟางส่ายศีรษะ “เช่นนั้นก็ให้ข้าบอกท่านเถอะ ที่คุณหนูชอบฮ่องเต้ผู้นั้น ก็เป็นเพราะยามที่ท่านอยู่ในโลกโบราณ ท่านค้นพบว่าเขาและอาจารย์ของท่านใต้เท้าซื่อมั่วมีส่วนเกี่ยวข้องกัน”
“ท่านชอบเขาก็เพราะใต้เท้าซื่อมั่วเป็นเหตุ ไม่ใช่เพราะว่าเขาคือฮ่องเต้ของต้าโจว หรือชอบเพราะเขาคือจีเฉวียน”
“พูดถึงที่สุดแล้ว ที่จริงแล้วคนที่อยู่ในส่วนลึกที่สุดของหัวใจท่าน คนที่ท่านผูกพันมากที่สุดก็คืออาจารย์ของท่าน ไม่ใช่ฮ่องเต้ผู้นั้น”
ดวงตาดอกท้อของตู๋กูซิงหลันหรี่ลง จับจ้องไปที่เขา “เจ้าไม่ใช่ข้า เจ้าจะมาเข้าใจอะไร?”
จากมุมมองของเสินฟาง นางเป็นสตรีหลายใจอย่างไม่มีข้อสงสัย
แต่ว่าน่าเสียดายที่นางกลับไม่เคยรู้ตัว
“เพราะข้าได้เฝ้าดูการทรยศรักของพวกมนุษย์มากว่าพันปี ข้าเห็นความรัก ความแค้น ความเจ็บปวดของผู้คนในใต้หลามาจนชินชา จนสามารถมองหัวใจของพวกเขาออก แต่ว่าผู้ที่ทั้งรักของใหม่เสียดายของเก่าอย่างคุณหนู กลับพึ่งจะได้เคยพบเป็นครั้งแรก”
น้ำเสียงของเสินฟางแผ่วเบาราวเสียงกระซิบ แต่ละคำๆเหมือนกับเสียงของวิญญาณที่สามารถทะลวงเข้าไปในจิตวิญญาณของผู้คน
ราวกับว่าเมื่ออยู่ตรงหน้าเขา ก็ไม่มีผู้ใดสามารถซุกซ่อนความในใจใดใดของตนเองได้อีก
“จนถึงวันนี้คุณหนูก็ยังไม่อาจอ่านใจของตนเองออก หรือบางที่อาจบอกได้ว่า …ท่านชอบพวกเขาทั้งคู่ ตามองในชาม ใจคิดไปถึงในหม้อ ใช่หรือไม่?”
ตู๋กูซิงหลัน “……”
ใช่เป็นเพราะว่า ยามปกตินางใกล้ชิดท่านอาจารย์มากเกินไป จึงทำให้คนผู้นี้เข้าใจผิดไปหรือไม่?
นางเองก็คร้านที่จะอธิบายอะไรให้เขาฟัง เขาบอกว่านางคือสตรีเจ้าชู้ เช่นนั้นก็ใช่เถอะ
เพราะถึงอย่างไรตอนอยู่ที่แคว้นเหยียน วังหลังของนางก็ยังมีพวกหนุ่มน้อยหน้ามนตั้งมากมายรอคอยให้นางกลับไปอยู่นี่
“คุณหนู โปรดฟังเอ่อ…..ข้าสักคำ คนที่แต่แรกก็ไม่สมควรจะคงอยู่ในโลกนี้อยู่แล้วนั้น ปล่อยเขาไปเถอะ” ยากนั้นที่เสินฟางจะพยายามเกลี้ยกล่อมด้วยความอดทน
“ที่ท่านกลับมายังโลกปัจจุบันใบนี้ย่อมไม่ใช่เพียงเพื่อมีความรัก ใต้หล้ากำลังวุ่นวาย ท่านสมควรเคียงบ่าเคียงไหล่กับใต้เท้าซื่อมั่ว บนบ่านั้น แบกรับชีวิตของผู้คนเอาไว้นับพันนับหมื่น…..”
“เสินฟาง อย่าได้ลืมว่าก่อนหน้านี้ เจ้าเองก็เกือบจะสังหารผู้คนหมดสิ้นทั้งเมือง ตอนนี้กลับมาพูดดีเรื่องคุณค่าของชีวิตกับข้าหรือ?” ตู๋กูซิงหลันไม่ค่อยเข้าใจเสินฟางเท่าใดนัก
เขาคือหนึ่งในสิบพญายมราช นับๆดูแล้วก็ต้องถือว่าเป็นลูกน้องเก่าแก่ของอาจารย์
แต่ว่าก่อนหน้านี้กลับไม่เคยเห็นเขาให้ความเคารพอาจารย์เป็นพิเศษสักเท่าไร
ก่อนหน้านี้ พวกนางต่างก็เคยเป็น ‘คู่แค้นสังหาร’ ของกันและกัน แต่ว่าตอนนี้กลับกลายเป็น ‘นายบ่าว’แล้วยังมาถกเถียงกันเรื่องสรรพชีวิตในใต้หล้า ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าใต้หล้านี้ช่างเปี่ยมไปด้วยความอัศจรรย์จริงๆ
“ตอนนั้น…..” น้ำเสียงของเสินฟางเข้มข้นขึ้นมา “เป็นเพียงเหตุบังเอิญ”
‘อุบัติเหตุ’ ในตอนนั้น ทำเอาเขาคุ้มคลั่งจนไล่ล่าชีวิตผู้คนนับไม่ถ้วน เขาถูกกลิ่นอายของวิญญาณคับแค้นทั้งหลายเล่นงานจนเส้นผมยาวสลวยบนศีรษะไร้ซึ่งประกายอีกต่อไป
เป็นเช่นนี้จริง….ตอนนั้นหากว่ามิได้เป็นเพราะตู๋กูซิงหลัน เกรงว่าเขาคงจะทำลายชีวิตผู้คนทั้งเมืองไปตั้งแต่แรกแล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น