ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 50-53

 ตอนที่ 50 เกราะกลกระจกพิทักษ์

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ไม่ต้องแล้ว พวกข้าทั้งสองต่างก็พอใจกับผลการประลองในครั้งนี้แล้วไม่ต้องการประลองอีก” นักพรตจงกล่าวออกมาทันที


“แน่นอนว่าครั้งนี้เจ้าไป๋ชงเทียนคงโชคดีที่ชนะได้ แต่ถ้าจะให้ลงต่อสู้กับจินอวี่ล่ะก็ ดูอย่างไรโอกาสในการชนะก็มีน้อยมาก” จูชื่อเองก็รีบกล่าวปฏิเสธออกมา


ถึงแม้พวกเขาจะได้เปรียบในเรื่องของสิ่งของที่นำมาเดิมพัน แต่ถ้าไม่สามารถเอาชนะได้ย่อมเท่ากับว่าเอาตระกร้าไปวิดน้ำ


“ถ้าเช่นนั้น พวกข้าเพิ่มเหล็กบริสุทธิ์อีกร้อยชั่งเป็นไง?” ต้าจื้อขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วเพิ่มของเดิมพันเข้าไปอีก


พอคำพูดนี้เปล่งออกมาจูชื่อก็ตกตะลึงในทันที นักพรตจงก็หยุดชะงักเช่นกัน


“ข้าฟังไม่ผิดใช่ไหม เพื่อผลจิตวิญญาณหนึ่งส่วนสหายทั้งสองถึงกับยอมเพิ่มเหล็กบริสุทธิ์ร้อยชั่ง ราคาของเหล็กบริสุทธิ์ร้อยชั่งเกรงว่าจะไม่ได้ด้อยไปกว่าผลจิตวิญญาณทั้งหมดในที่นี้” จูชื่อเรียกสติกลับมาแล้วกล่าวด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ


“กล่าวอย่างไม่ปิดบังสหายทั้งสอง ครั้งนี้พวกข้าทั้งสองจำเป็นต้องได้ผลหยกสวรรค์นี้ทั้งหมด ถ้าไม่ได้มันทั้งหมดก็จะไม่เอาแม้แต่ผลเดียว สำหรับเหตุผลนั้นข้าไม่สามารถบอกได้ แต่สหายทั้งสองวางใจเถอะต่อให้ศิษย์ของท่านจะพ่ายแพ้ พวกข้าก็ยอมมอบเหล็กบริสุทธิ์ชดเชยให้” ผู้อาวุโสผมขาวกล่าวด้วยท่าทีจริงจัง


จูชื่อและนักพรตจงสบตากันครู่หนึ่ง ต่างก็มองเห็นแววตาประหลาดใจของกันและกัน


“ท่านทั้งสองรอสักครู่ ข้ากับศิษย์ขอปรึกษากันก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ” จูชื่อกล่าว


“สหายทั้งสองปรึกษากันก่อนเถอะ ข้ารอได้” ผู้อาวุโสผมขาวตอบรับด้วยความเต็มใจ


“ชงเทียน เจ้ารีบพักผ่อนก่อนเถอะ ไม่แน่ว่าอีกสักครู่จะต้องประลองกันอีกสักครั้ง” นักพรตจงไม่ได้คัดค้าน และหันหน้าไปกล่าวหลิ่วหมิงด้วยท่าทีที่เคร่งขรึมกว่าปกติ


“ศิษย์รับทราบ”


หลิ่วหมิงตอบรับ แล้วกลับไปนั่งขัดสมาธิเพื่อฟื้นฟูพลัง แต่กลับรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมากไม่รู้ว่าอาจารย์จิตวิญญาณของหุบเก้าช่องคิดที่จะทำอะไรกันแน่


ตอนนี้จูชื่อและนักพรตจงเดินไปยังมุมหนึ่ง ริมฝีปากทั้งสองขยับอยู่ไม่หยุด แต่กลับไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมาเลย นี่คือวิชากระซิบเสียงอันลี้ลับมหัศจรรย์นั่นเอง


วิชานี้จะต้องก้าวสู่ระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายขึ้นไปจึงจะสามารถเรียนได้ ด้วยเหตุนี้นี่จึงเป็นครั้งแรกที่หลิ่วหมิวเห็น หลังจากเขาดูอยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกแปลกใจอย่างอดไม่ได้


ตั้งแต่หลิ่วหมิงได้รับชัยชนะมาโดยไม่คาดคิด อวี๋เฉิงและเซียวเฟิงต่างก็มีหน้าที่ดูซับซ้อนกว่าปกติ โดยเฉพาะเซียวเฟิงนั้นคิดว่าตนเองเสียหน้าจนสุดที่จะทนได้


เขาเป็นถึงศิษย์เก้าชีพจรจิตวิญญาณแต่ไม่สามารถเอาชนะได้ แต่ศิษย์สามชีพจรอย่างหลิ่วหมิงกลับเอาชนะได้ ทั้งยังดูเหมือนกับว่าจะต้องแข่งกับฝ่ายตรงข้ามอีกรอบทำให้เขารู้สึกไม่เต็มใจเป็นอย่างมาก


สายตาที่มองไปยังหลิ่วหมิงแฝงด้วยแววตาริษยาอย่างห้ามไม่ได้


เวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยชา[1] จูชื่อและนักพรตจงปรึกษากันเสร็จแล้วเดินเข้ามาอีกครั้ง


ต้าจื้อ ต้าซั่ง เห็นเช่นนี้ก็ใจเต้นขึ้นมาแสดงสีหน้ารอคอยคำตอบ


“ในเมื่อสหายทั้งสองบอกว่าไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ท่านก็ยินยอมมอบเหล็กบริสุทธิ์ให้ร้อยชั่ง เช่นนั้นข้าทั้งสองก็ไม่อาจปฏิเสธได้ แต่ว่าข้าทั้งสองมีเงื่อนไขอยู่ข้อหนึ่ง!” จูชื่อกล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก


“เงื่อนไขอะไร ท่านทั้งสองรีบบอกมาเถอะ” ต้าจื้อ ต้าซั่ง มองหน้ากันครู่หนึ่งแล้วผู้อาวุโสผมขาวก็กล่าวออกมา


“ถ้าหากว่าศิษย์พวกข้าแพ้การประลองในรอบนี้ พวกข้าทั้งสองจะนำเหล็กบริสุทธิ์ไปจากที่นี่ส่วนผลจิตวิญญาณทั้งหมดมอบให้สหายทั้งสอง แต่ถ้าหากชนะแล้วล่ะก็สหายทั้งสองต้องบอกสาเหตุที่ต้องได้ผลหยกสวรรค์ทั้งหมดนี้” จูชื่อกล่าวโดยไม่ต้องคิด


“ข้าสามารถบอกเหตุผลแก่พวกท่านได้ ถ้าหากว่าไม่ได้ผลจิตวิญญาณเหล่านี้ข้าเองก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังความลับนี้” หลังจากได้ยินเช่นนี้สีหน้าของต้าจื้อก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่พอคิดไตร่ตรองดูซักพักก็ตอบรับกลับไป


“ตกลงตามนี้” จูชื่อเลิกคิ้วขึ้นแล้วยื่นฝ่ามือออกไปข้างหนึ่ง


เสียงดัง “ป๊าบ” “ป๊าบ” “ป๊าบ” ผู้อาวุโสผมขาวกับจูชื่อแปะมือกัน จากนั้นอาจารย์จิตวิญญาณทั้งสี่ก็เดินออกจากวงกลมไป


“ชงเทียน ข้าไม่รู้เจ้ายังจะมีไม้เด็ดอะไรหรือไม่ แต่การประลองรอบถัดไปจะต้องแสดงออกมาให้หมด ขอแค่ชนะเจ้าเด็กที่ชื่อจินอวี่นี้ได้ พวกข้าทั้งสองจะแบ่งผลประโยชน์หนึ่งในสิบที่ได้จากการประลองให้เจ้า” ตอนที่จูชื่อเดินผ่านหลิ่วหมิงเขาได้หันหน้าไปกล่าวกับหลิ่วหมิงอย่างเอาจริงเอาจัง


“ไม่เลว! ขอแค่เจ้าชนะการประลองในรอบนี้ข้าเองก็จะรักษาสัญญานี้” นักพรตจงกล่าวเสริมไปอีกหนึ่งประโยค


“ศิษย์รับทราบแล้ว ศิษย์จะพยายามอย่างเต็มที่” พอหลิ่วหมิงได้ยินว่าจะได้รับส่วนแบ่งหนึ่งในสิบ ใจเขาก็เต้นระทึก แล้วรีบก้มศีรษะตอบรับกลับไป


ขณะนี้ต้าจื้อ ต้าซั่ง ก็กำชับเด็กหนุ่มสีหน้าหม่นหมองสองสามประโยคแล้วปล่อยให้เขาเดินเข้าไปยังวงกลม


จินอวี่เดินเข้าไปในวงกลมด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก พอแขนเสื้อสะบัดลูกกลมๆ สีเหลืองก็กลิ้งออกมา และกลายเป็นหุ่นตั๊กแตนแสงเขียวตัวหนึ่ง


“ศิษย์น้อง เจ้าคิดว่าชงเทียนมีโอกาสชนะกี่ส่วน?” จูชื่อถามนักพรตจง


“ถ้าเป็นก่อนการประลองรอบที่แล้ว ข้าพูดได้ว่ามีโอกาสแค่ครึ่งเดียว แต่ในเมื่อสำเร็จวิชากระสุนไฟขั้นต้นแล้ว ทั้งยังชนะการประลองได้อย่างง่ายดายเช่นนี้คิดว่ายังมีไม้เด็ดที่ยังไม่ได้งัดออกมา แต่รอบนี้ก็มีโอกาสชนะแค่สามในสิบส่วนเท่านั้น เพราะพรสวรรค์หนึ่งจิตหลายพลังบวกกับหุ่นตั๊กแตนแสงเขียวของเจ้าเด็กจินอวี่นั้น ทำให้มีพลังที่ร้ายกาจเป็นอย่างมาก” นักพรตจงเงียบอยู่ครู่หนึ่งแล้วค่อยตอบกลับไป


“สามในสิบส่วนเหรอ แค่นี้ก็เพียงพอที่จะให้พวกเราเดิมพันกันได้แล้ว ดูจากท่าทีของต้าจื้อ ต้าซั่งแล้วถ้าพวกเราไม่ยอมประลองรอบสุดท้ายนี้ เกรงว่าพวกเขาก็คงไม่ยอมให้เราจากไปง่ายๆ” จูชื่อกล่าวด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น


“อือ! ข้ากลับแปลกใจว่าทำไมพวกเขาทั้งสองถึงได้ให้ความสำคัญกับผลหยกสวรรค์นี้นัก” นักพรตจงค่อยๆ กล่าวออกมา


“เฮ่อๆ ถ้าหากชงเทียนสามารถชนะได้ล่ะก็พวกเราก็จะรู้เอง แต่ถ้าแพ้ล่ะก็ ได้เหล็กบริสุทธิ์กลับไปร้อยชั่ง ก็นับว่าไม่กลับไปมือเปล่าแล้ว” จูชื่อกล่าว


“ถูกต้อง สิ่งที่พวกเราสามารถทำได้ในตอนนี้คือรอฟังผลอย่างเงียบๆ” นักพรตจงพยักหน้าเล็กน้อยกล่าวออกมา


ขณะนี้หลิ่วหมิงได้ลุกขึ้นยืน ไอสีดำม้วนตัวออกมาจากร่างของเขา เขาทำท่ามือด้วยมือเดียว พอห่วงทองเหลืองบนข้อมือเปล่งแสงออกมาเคล็ดวิชาก็ซึมเข้าไปในร่างของเขา


ในขณะเดียวกัน ห่วงทองเหลืองก็ส่งเสียงดังวิ้งๆ โล่แสงกลมๆ ก็ปรากฏออกมาแนบติดอยู่บนแขนของเขา


“นี่คืออาวุธอาญาสิทธิ์ของเจ้า? ดูแล้วก็ไม่เท่าไหร่!” จินอวี่มองดูห่วงทองเหลืองบนข้อมือของหลิ่วหมิงครู่หนึ่งแล้วกล่าวอย่างเยือกเย็น


“มันจะร้ายกาจหรือไม่นั้น เจ้ามาลองดูก็จะรู้เอง” หลิ่วหมิงเขม้นตามองฝ่ายตรงข้าม และกล่าวอย่างเมินเฉย


“จริงหรือ งั้นข้าต้องลองสักหน่อยแล้ว” ดวงตาจินอวี่เปล่งประกายชั่วร้ายออกมา นิ้วมือหนึ่งแตะลงบนหน้าผาก


แขนทั้งสองของหุ่นตั๊กแตนแสงเขียวกระแทกกันครู่หนึ่ง ปีกทั้งสองก็กางออกก่อให้เกิดเงาร่างมากมายกระโจนไปยังด้านหน้า


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รีบร่ายคาถา มือทั้งสองประกบกันระหว่างอก ในขณะเดียวกันแสงสีเขียวก็เปล่งประกายออกมา แผ่นสีเขียวบางๆ ปรากฏออกมาอย่างรวดเร็ว เขากระตุกข้อมืออีกครั้ง


“ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!”


คมวายุสามเส้นเกือบจะรวมตัวเป็นเส้นเดียวกันพุ่งตรงออกไปอย่างรวดเร็ว เร็วกว่าตอนปล่อยกระสุนไฟมาก ความเร็วของมันไม่ได้ด้อยไปกว่าหุ่นตั๊กแตนแสงเขียวเลย


เด็กหนุ่มสีหน้าหม่นหมองเห็นเช่นก็รู้สึกตกใจรีบกระตุ้นหุ่นอสูร


เสียงดัง “เต้ง!” “เต้ง!” “เต้ง!” หุ่นอสูรยกแขนทั้งสองปัดคมวายุอย่างรวดเร็ว ถึงแม้จะปัดคมวายุสามเส้นออกไปได้ แต่ก็ต้องร่นถอยออกไปหลายก้าว


จินอวี่สีหน้าเคร่งขรึม มือข้างที่ว่างอยู่ทำท่ามือแล้วชี้ออกไปเพื่อควบคุมตั๊กแตนแสงเขียวผ่านอากาศ


หุ่นตั๊กแตนถูกกระตุ้นอีกครั้ง แต่ขณะเดียวกันพอปีกทั้งคู่ของมันสั่นไหวก็กลับกลายเป็นเงาร่างพร่ามัวของตั๊กแตนสี่ตัวกระโจนเข้าใส่หลิ่วหมิง ทำให้ผู้ที่พบเห็นไม่อาจแยกแยะได้ว่าร่างไหนคือร่างจริงร่างไหนคือร่างลวง


หลิ่วหมิงหรี่ตาลง แต่ปากยังร่ายคาถาอย่างกระชั้นชิด มือทั้งสองยกขึ้นอีกครั้ง


เสียงดังกึกก้องไปทั่ว


คมวายุสี่เส้นพุ่งออกไปอีกครั้ง พริบตาเดียวก็ทำลายเงาร่างตั๊กแตนไปสามเงา เหลือแค่ตัวสุดท้ายที่ใช้แขนปะทะคมวายุจนปลิวออกไป แต่ร่างที่หยุดชะงักกลางอากาศกลับล้มหงายหลังโดยไม่รู้ตัว และบินถอยห่างออกไป


ในขณะนี้เอง หลิ่วหมิงยกแขนเสื้อขึ้นกลางอากาศ เงาสีดำประกายขึ้นโซ่สีดำราวกับอสรพิษเส้นหนึ่งม้วนตัวไปยังหุ่นตั๊กแตน


“ฟู่!”


ตั๊กแตนแสงเขียวที่อยู่ด้านหน้าเกือบจะถูกโซ่สีดำรัดตัวอย่างไม่เต็มใจ แต่มันกลับกระพือปีกแล้วบินเฉียงออกไป


โซ่สีดำม้วนลงตรงที่ว่างเปล่า


แต่ช่วงจังหวะที่จินอวี่กำลังลังเลอยู่นั้น หลิ่วหมิงก็ยกมือทั้งสองขึ้น เสียงดังกึกก้องขึ้นอีกครั้ง คมวายุสองเส้นพุ่งตรงออกไป เป้าหมายในครั้งนี้ไม่ใช่หุ่นตั๊กแตน แต่หลังจากที่มันประกายออกมาก็พุ่งไปยังด้านหน้าของเด็กหนุ่มสีหน้าหม่นหมองอย่างดุเดือด


การลงมือของหลิ่วหมิงก่อนหน้านี้ ยังไม่ได้ใช้พลังที่เขามีทั้งหมด


พลังเวทย์บริสุทธิ์ของเขาบวกกับวิชาคมวายุที่ฝึกสำเร็จขั้นสมบูรณ์แบบ พลังที่แสดงออกมามันรวดเร็วมาก รวดเร็วกว่าก่อนหน้านี้สามถึงสี่ส่วน


ถึงแม้จินอวี่จะมีอุปนิสัยที่ป่าเถื่อน แต่พอตกอยู่ในสถาณการณ์เช่นนี้ก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก คิดที่จะหลบหลีกก็ไม่ทันการเสียแล้ว


“ฉับ!” “ฉับ!”


คมวายุฟันเข้าไปตรงหน้าอกของเด็กหนุ่มสีหน้าหม่นหมอง แต่กลับมีแสงสีเหลืองกะพริบออกมา บังเกิดเสียงดังราวกับฟันลงบนไม้แห้ง


“เกราะกลนักรบ ต้าจื้อ ต้าซั่ง พวกเจ้ากลับมอบของล้ำค่านี้ให้กับเขา การประลองครั้งนี้ข้าไม่นับ!” จูชื่อที่เดิมทีรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก พอเห็นฉากนี้ก็บันดาลโทสะตะคอกใส่ผู้อาวุโสผมขาว


นักพรตจงเห็นเช่นนี้ก็ทำสีหน้าไม่พอใจขึ้นมา


“ฮึ! พวกเจ้าดูดีๆ หรือยัง สิ่งของที่อวี่เอ๋อร์ใช้ ไม่ใช้เกราะกลนักรบของพวกข้าในครั้งนั้น แต่เป็นเกราะกลกระจกพิทักษ์ที่เขาสร้างขึ้นเอง”


“กระจกพิทักษ์”


จูชื่อได้ยินก็ประหลาดใจเล็กน้อย


ตอนนี้ จินอวี่ทำเสียงฮึดฮัดแล้วดึงเสื้อบนร่างกายออกมา เผยให้เห็นถึงชุดสีขาวที่แนบติดอยู่ในนั้น แต่ด้านหน้าหลังของเสื้อผ้าต่างก็มีแผ่นไม้กลมๆ ที่ดูคล้ายกับกระจกแนบติดอยู่กับหน้าอกและแผ่นหลัง


……………………………………….


[1] หนึ่งถ้วยชา หมายถึง ช่วงเวลาที่ถ้วยน้ำชาถูกยกขึ้นมาแล้วค่อยๆ จิบจนหมดถ้วย ใช้เวลาประมาณ 10 -15 นาที


ตอนที่ 51 ชัยชนะ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ผิวภายนอกของแผ่นไม้ทั้งสองดูมันวาวเป็นพิเศษ และมีอักขระจิตวิญญาณสีดำสลักอยู่ ขอบรอบด้านกลับมีเชือกเส้นเล็กเป็นจำนวนมากผูกติดแน่นกับร่างของเด็กหนุ่มสีหน้าหม่นหมอง


และตรงที่คมวายุฟันลงไปก็มีแค่รอยลึกชุ่นกว่าๆ สองรอยอยู่บนแผ่นไม้ ไม่สามารถฟันมันให้ขาดออกจากกันได้


หลิ่วหมิ่งเห็นเช่นนี้ย่อมรู้สึกตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าการโจมตีก่อนหน้านี้ไม่ประสบผลสำเร็จ


ฝ่ามือข้างหนึ่งของจินอวี่ตบลงไปบนแผ่นไม้ตรงหน้าอก


เสียงดัง “ตุ้บ!”


แผ่นไม้สองแผ่นที่ดูเหมือนจะเป็นแผ่นไม้ธรรมดา พลันเปลี่ยนรูปร่างขยายยาวเหยียดออกไป พริบตาเดียวก็กลายเป็นเกราะไม้ง่ายๆ ปกคลุมร่างกายท่อนบนของเขาไว้ไม่ให้ได้รับอันตราย


“ท่านยังพูดว่านี่ไม่ใช่เกราะกลนักรบที่พวกท่านมอบให้” จูชื่อเห็นเช่นนี้ก็บันดาลโทสะขึ้นมาทันที


“นี่ไม่ใช่สิ่งของที่พวกข้ามอบให้จริงๆ เรื่องนี้พวกข้าสาบานได้ และเกราะกลกระจกพิทักษ์นี้หลังจากเปลี่ยนแปลงแล้วก็ยังไม่ค่อยสมบูรณ์นัก ยังห่างชั้นจากเกราะกลนักรบมากนัก จุ๊ๆ! เจ้าเด็กอวี่เอ๋อร์ผู้นี้สามารถสร้างเครื่องมือกลจิตวิญญาณที่ซับซ้อนเช่นนี้ได้แล้ว” ผู้อาวุโสรีบอธิบายไปสองสามประโยค และกล่าวด้วยความปลื้มปีติยินดี


ต้าซั่งก็แสดงสีหน้าดีใจเป็นอย่างมาก


ราวกับว่าการแสดงออกของจินอวี่ก็เกินว่าที่พวกเขาคาดหมายไว้มาก


พอได้ยินพวกเขาทั้งสองกล้าสาบานออกมาเช่นนี้จูชื่อก็ชะงักไปพักหนึ่ง แต่ก็ไม่รู้จะพูดออกมาอย่างไร


จินอวี่ที่ถูกแผ่นไม้ปกคลุมอยู่ตอนนี้ เขาใช้มือแตะไปยังหน้าผาก พลิกมืออีกข้างขึ้นมา กระบองสั้นขนาดเท่าหิ้วหัวแม่มือก็โผล่ออกมา เขาพุ่งโจมตีไปข้างหน้าสองครั้ง


“ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!”


ลำแสงสีเขียวพุ่งออกจากกระบองสั้นไปยังด้านหน้าของหลิ่วหมิง


มันคือตะปูไผ่ยาวชุ่นกว่าๆ จำนวนสองเล่ม แสงสีเขียวที่สะท้อนออกมาดูแปลกประหลาดมาก


และในขณะเดียวกัน หุ่นตั๊กแตนแสงเขียวที่อยู่กลางอากาศก็กระพือปีกส่งเสียงแปลกประหลาดออกมา แล้วพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิง


เสียงดัง “เพล้ง!” “เพล้ง!” หลิ่วหมิงยกโล่แสงในมือขึ้นตะปูไผ่สองเล่มก็ถูกสกัดเอาไว้ได้ และพริบตาเดียวมันก็ระเบิดออกมา


ของเหลวสีขาวระเบิดพุ่งขึ้นไปบนอากาศ พอมันเกาะตัวกันแล้วก็กลายเป็นตาข่ายสีขาวๆ ตกลงมา


“วิชาใยแมงมุม”


หลิ่วหมิงรู้สึกเย็นสะท้าน รีบร่ายคาถา แล้วทำท่ามือด้วยมือเดียว ลูกไฟสีแดงลูกหนึ่งก็พุ่งโจมตีไปยังตาข่ายสีขาว ระเบิดเป็นเปลวเพลิง


แต่ฉากที่ทำให้เขาตกใจก็ปรากฏขึ้น


ตาข่ายที่เดิมทีคิดว่าโดนเผาจนกลายเป็นขี้เถ้า แต่กลับไม่มีความเสียหายใดๆ เลย ทั้งยังค่อยๆ กระเพื่อมจนเปลวไฟมอดดับลงแล้วร่วงลงมาอีกครั้ง


หลิ่วหมิงหน้าเปลี่ยนสี รีบเปลี่ยนท่ามือ พลันปรากฏคลื่นเคลื่อนไหวอยู่บนศีรษะเขา ควันสีเทาปรากฏขึ้นและรวมตัวกันจนกลายเป็นเมฆก้อนใหญ่ขนาดจั้งกว่าๆ


นี่คือวิชาทะยานเวหาที่ศิษย์จิตวิญญาณแต่ละคนต่างก็ใช้เป็น


พอตาข่ายสีขาวปกคลุมลงมา ก็ถูกก้อนเมฆสีเทาค้ำยันไว้ จนไม่สามารถตกลงมาได้


ฉากนี้ไม่เพียงแต่จินอวี่ที่ตกตะลึงเท่านั้น แม้แต่จูชื่อ ต้าจือ และคนอื่นๆ ที่อยู่นอกวงกลมก็ชำเลืองมองกันอย่างอดไม่ได้


ใช้วิชาทะยานเวหาในการป้องกันตัว แม้แต่พวกเขาก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก


แต่ช่วงที่หลิ่วหมิงกำลังยุ่งอยู่นี้ หุ่นตั๊กแตนตัวนั้นกลับพุ่งเข้ามายังข้างตัวเขา แขนทั้งสองที่คมราวกับคมมีดกลายเป็นลำแสงเย็นสะท้านสิบกว่าลำผ่าลงไป


“ฟู่!”


หลิ่วหมิงสะบัดแขนข้างที่สวมห่วงทองเหลืองไปทางหุ่นตั๊กแตน พริบตาเดียวโล่แสงก็หายไป แทนที่ด้วยหัวพยัคฆ์สีเหลืองโผล่ออกมา มันอ้าปากพ่นคลื่นเสียงสีขาวโพลน


เสียงดัง “ตู้ม!”


แม้ว่าแขนของหุ่นตั๊กแตนจะคมอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แต่ถูกโจมตีด้วยคลื่นเสียงในระยะกระชั้นชิดเช่นนี้ก็ไม่อาจต้านทานไว้ได้ มันถูกโจมตีจนต้องถอยออกไปหลายก้าว


แต่ครู่ต่อมามันก็พุ่งเข้ามาอีกครั้ง


ภายใต้ใบหน้าที่เคร่งขรึมของหลิ่วหมิง เขากระตุ้นพลังเวทย์จนหัวพยัคฆ์พ่นคลื่นเสียงออกมาโจมตีจนหุ่นตั๊กแตนถอยออกไปอีกครั้ง


น่าเสียดายที่การโจมตีของคลื่นเสียงนี้ถึงแม้จะลี้ลับมหัศจรรย์มาก แต่ด้วยระยะห่างทำให้พลังค่อนข้างเบาบาง ถึงแม้จะโจมตีเป้าหมายติดกันสองครั้ง หุ่นตั๊กแตนกลับดูเหมือนไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย แต่ภายใต้การควบคุมของจินอวี่มันกลับพุ่งเข้าใส่หลิ่วหมิงไม่หยุด


เห็นได้ชัดว่า จินอวี่รู้ว่าอาวุธอาญาสิทธิ์อย่างห่วงเขี้ยวพยัคฆ์นี้ ถึงแม้จะใช้เวลาน้อยในการเปิดใช้งาน แต่ก็ใช้พลังภายในเป็นจำนวนมาก ต่อให้เป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางก็ไม่สามารถใช้อาวุธชนิดนี้โจมตีได้นาน


หลิ่วหมิงย่อมรู้เรื่องนี้ดีเช่นกัน หลังจากโจมตีจนหุ่นตั๊กแตนถอยออกไปอีกครั้งแล้ว เขาคำรามออกมาในทันที เท้าเล็กๆ ทั้งสองพลันขยายขนาดใหญ่ขึ้นมาเท่าตัว และกระทืบลงพื้นอย่างแรงแล้วร่างของเขาก็พุ่งเข้าหาจินอวี่ราวกับลูกศร


อาศัยพลังจากเคล็ดวิชากระดูกดำบวกกับวิชาตัวเบาที่ใช้ห่วงเขี้ยวพยัคฆ์สำแดงออกมา และใช้เคล็ดวิชาปลุกพลังศักยภาพ ความรวดเร็วในระดับนี้ถึงแม้จะเทียบไม่ได้กับหุ่นตั๊กแตนแสงเขียวแต่ก็ด้อยกว่ากันไม่มาก


ขณะที่หุ่นตั๊กแตนกำลังพักฟื้น แล้วคิดที่จะไล่กวดอีกครั้งมันก็สายเกินไปเสียแล้ว


แต่จินอวี่ทำเสียงฮึดฮัดแล้วยืนนิ่งอยู่ที่เดิมโดยไม่หลบหลีกแต่อย่างใด เขาแค่กระตุกข้อมือ กระบองสั้นก็เปล่งประกายแสงออกมา ตะปูไผ่อีกสองเล่มพุ่งยิงไปทางหลิ่วหมิงอีกครั้ง


“ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!”


หลิ่วหมิงยกมือทั้งสองขึ้น เส้นสีขาวสองแท่งพุ่งยิงออกจากมือของเขา ไปปะทะกับตะปูไผ่สีเขียวทั้งสองจนกระเด็นออกไป


เส้นสีขาวของแท่งนั้น มันเกิดขึ้นมาจากการแสดงวิชาศรวารีนั่นเอง


ขณะนี้หลิ่วหมิงอยู่ห่างจากจินอวี่ไม่เกินสามสี่จั้ง ทำท่ามือด้วยมือเดียวพร้อมกับร่ายคาถาคมวายุเส้นหนึ่งก่อตัวขึ้นบนมือของเขา


จินอวี่เห็นเช่นนี้ก็ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง แล้วโยนกระบองสั้นในมือออกไป เขาเอามือคว้าไปที่เอว หยิบกระบอกโลหะขนาดใหญ่เท่าแขนออกมา และหันปากกระบอกสีดำไปทางฝ่ายตรงข้าม


ถึงแม่หลิ่วหมิงจะไม่ทราบว่าในกระบอกนี้มีอะไร แต่จากประสบการณ์การฝึกฝน กับการเผชิญหน้ากับความเป็นความตายที่ผ่านมา ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงอันตรายที่จะมาถึง


เขาตบไปยังหน้าอกทันทีโดยไม่ต้องต้องคิด จุดแสงสีดำสามจุดประกายออกมา โล่สีดำมืดก็ปรากฏขึ้น


และเกือบจะในเวลาเดียวกัน กระบอกในฝั่งตรงข้ามก็มีอักขระสีแดงปรากฏขึ้นมา มันพ่นเพลิงอันคุโชนมายังหลิ่วหมิง พริบตาเดียวหลิ่วหมิงก็จมอยู่ในกองเพลิงนั้น


และตอนที่เปลวไฟพ่นออกมานั้น ลูกกลมๆ สีดำลูกหนึ่งก็กลิ้งออกมาบนมือของจินอวี่ นิ้วมือหนึ่งแตะไปยังหน้าผาก ก็มีเสียงดังเปรี๊ยะ! กลายเป็นหุ่นเต่ายักษ์ขนาดสูงเท่ากับครึ่งหนึ่งของคน


พอเต่ายักษ์พลิกตัวลุกขึ้นมาก็ดูเหมือนโล่สีดำบังอยู่ด้านหน้าของเด็กหนุ่ม


เด็กหนุ่มสีหน้าหม่นหมองก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว และตบลงไปบนหลังเต่ายักษ์อย่างรวดเร็ว


เสียงดังปัง!


รูเล็กๆ หลายสิบรูโผล่บนกระดองหนาของมัน หลังจากที่มีเสียงดังออกจากในนั้น ลูกศรเหล็กหลายสิบลูกพุ่งออกมาราวกับสายฝนกระหน่ำ มันโจมตีครอบคลุมภายในรัศมีหลายจั้ง


ผู้ที่ยืนชมอยู่นอกวงกลมอย่างต้าจื้อ ต้าซั่ง เห็นเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจขึ้นมาทันที แต่ภายในจิตใจของจูชื่อกับนักพรตจงกลับรู้สึกหนักอึ้ง


เสียงดัง “ฟิ้ว!”


เงาร่างหนึ่งที่อยู่ในท่ามกลางเปลวเพลิงพุ่งออกมาด้านข้าง พริบตาเดียวก็หลบการโจมตีของลูกศรเหล็กได้ และเปลี่ยนทิศทางโดยใช้พลังไร้รูปบางอย่าง จากนั้นก็พุ่งเข้าหาจินอวี่อย่างรวดเร็วโดยไม่มีใครคาดถึง


ฉากที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิดนี้ ทำให้เด็กหนุ่มสีหน้าหม่นหมองรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก เขารีบหมุนตัว และคิดหาวิธีป้องกันตัวแต่มันก็สายเกินไปเสียแล้ว


เขาเพิ่งจะหมุนตัวได้ครึ่งเดียว ทันใดนั้นลมก็พัดผ่านมายังใบหู ไหล่ทั้งสองหนักอึ้ง ฝ่ามือที่เปล่งประกายแสงสีเขียวทั้งสองวางทาบอยู่บนนั้น ในขณะเดียวกันก็มีเสียงราบเรียบดังขึ้นมา


“อย่าขยับ ถ้าขยับข้าจะตัดหัวของเจ้า”


ในระหว่างฝ่ามือทั้งสองนั้น มีคมวายุเปล่งประกายอยู่ด้วย


จินอวี่รู้สึกตกใจจนหน้าเขียว


ถึงแม้เขาจะมีเกราะกลกระจกพิทักษ์ป้องกันตัว แต่ตรงคอกลับไม่มีอะไรป้องกันแม้แต่น้อย และตอนนี้กลับมีคมวายุมาจ่ออยู่ต่อให้เก่งกาจแค่ไหนก็ไม่สามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้


ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เขาก็ยังคงค่อยๆ หันหน้ากลับมามองคู่ต่อสู้ด้วยดวงตาที่เปล่งประกายอันดุร้าย


ชุดสีเขียวอ่อนที่หลิ่วหมิงสวมตอนนี้ ได้กลายเป็นสีเทาแล้ว บนร่างกายอบอวลไปด้วยกลิ่นไหม้ มีแผลผุพองแดงตรงต้นคอ ข้อมือและบริเวณอื่นๆ เห็นได้ชัดว่าโดนเปลวเพลิงเผาไปไม่ใช่น้อย แต่ยังคงมองดูจินอวี่ด้วยรอยยิ้ม


ตอนที่เด็กหนุ่มสีหน้าหม่นหมองกวาดสายตามองไปยังด้านล่าง ก็รู้สึกตัวขึ้นอย่างฉับพลัน


โซ่สีดำพันอยู่ที่ขาข้างหนึ่งของหลิ่วหมิง โดยไม่รู้ว่าพันไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ส่วนปลายอีกด้านกลับปักลงไปบริเวณที่เขายืนอยู่ ซึ่งไม่รู้ว่าปักลึกลงไปเท่าไหร่


การเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเมื่อครู่ และสามารถเปลี่ยนทิศทางมาหาเขาอย่างเร็วนั้น เห็นได้ชัดว่าอาศัยพลังจากโซ่สีดำเส้นนี้


แต่คู่ต่อสู้นำโซ่มาวางไว้ใกล้ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่นั้น เขากลับไม่ทันได้สังเกตเห็นเลย


“วางแผนได้ดีมาก แต่ถ้าต่อสู้กันซึ่งๆ หน้าเจ้าย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าอย่างแน่นอน” จินอวี่จ้องมองหลิ่วหมิงและกล่าวออกมาทีละคำ


“ต่อสู้กันซึ่งหน้า? ถ้าข้ามีสิ่งของเครื่องกลมากขนาดนี้ และมีหุ่นอีกสามตัวคอยช่วยก็อาจจะรับไว้พิจารณา” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“ฮ่าๆ ชงเทียน เจ้าทำได้ดีมาก ช่างไม่ทำให้ข้าสองคนผิดหวังจริงๆ สหายทั้งสอง ต้าจื้อ ต้าซั่ง รอบนี้จะว่าอย่างไร?” จูชื่อเห็นเช่นนี้ก็หัวเราะอย่างระงับอาการตื่นเต้นดีใจไม่อยู่


นักพรตจงที่อยู่ด้านข้างก็มีใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม


“ฮึ! แพ้ก็คือแพ้ หรือว่าสหายจูกลัวพวกข้าจะกลับคำหรือ? อวี่เอ๋อร์ กลับมาเถอะ! ศิษย์ของเจ้าคนนี้มีแผนการนับร้อย พวกเจ้าได้เมล็ดพันธุ์ที่ดีแล้วล่ะ” ต้าจื้อกล่าวด้วยสีหน้าที่ดูหงุดหงิด


จินอวี่พ่ายแพ้การประลองในครั้งนี้นับว่าเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงเป็นอย่างมาก


“ถ้าอย่างนั้น เรื่องของเดิมพัน…” จูชื่อถามอย่างไม่ต้องคิด


“ผลจิตวิญญาณทั้งหมดนี้เป็นของพวกเจ้า ส่วนเหล็กบริสุทธิ์ร้อยชั่งนั้นกลับไปพวกข้าทั้งสองจะให้ศิษย์นำไปส่งให้” ดูเหมือนต้าจื้อจะกัดฟันกล่าวออกมา ต้าซั่งเองก็ปิดปากเงียบราวกับน้ำท่วมปาก


“ฮ่าๆ ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณท่านทั้งสองเป็นอย่างมาก” จูชื่อได้ยินก็กล่าวด้วยความดีใจ


“แต่สหายทั้งสองควรจะบอกพวกเราได้แล้วว่าทำไมถึงอยากได้ผลหยกสวรรค์ขนาดนี้” นักพรตจงถามด้วยแววตาเป็นประกาย


……………………………………….


ตอนที่ 52 การเปลี่ยนแปลงอันตื่นตะลึง

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ในเมื่อผลหยกสวรรค์ตกเป็นของสหายทั้งสองข้อมูลนี้ก็ไม่มีประโยชน์ต่อพวกข้าแล้ว สหายทั้งสองก็น่าจะรู้ว่าตลาดเจ้าสมุทรกำลังจะเปิดขึ้นอีกครั้ง ผลหยกสวรรค์เป็นหนึ่งในสิ่งของที่เผ่าเจ้าสมุทรใช้แลกในครั้งนี้” ต้าซั่งกล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ


“อะไรนะ ตลาดเจ้าสมุทรปรากฏออกมาแล้ว! สหายทั้งสองคงไม่ล้อกันเล่นใช่ไหม อยู่ที่แคว้นใด? ทำไมข้าทั้งสองถึงไม่รู้ข่าวเลยแม้แต่น้อย!” จูชื่อได้ยินก็ตกใจเป็นอย่างมาก


“ฮึ! อยู่ที่แคว้นไห่เยวี่ย ถ้าไม่ใช่ว่านิกายของเรากำลังไปทำธุระที่นั่นพอดีก็คงไม่รู้ข้อมูลนี้หรอก” ต้าจื้อตอบ


“แคว้นไห่เยว่ มิน่าล่ะ ฮ่าๆ ขอบคุณสหายทั้งสองที่บอกความจริง” จูชื่อหัวเราะออกมา


นักพรตจงได้ยินบทสนทนานี้ก็แสดงท่าทีตกใจระคนดีใจ


“สหายจูอย่าเพิ่งด่วนดีใจไปเลย ถึงแม้ในตลาดเจ้าสมุทรจะมีสิ่งของล้ำค่ามากมายแต่ก็ต้องดวงดีด้วย ถึงจะได้มาซึ่งสิ่งของที่อยากได้ มิฉะนั้นอาจจะเสียเปรียบพวกเผ่าเจ้าสมุทรจนกลับมามือเปล่าได้” ต้าจื้อกล่าวด้วยความรู้สึกฮึดฮัดไม่พอใจ


“เรื่องนี้สหายท่านไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ในเมื่อได้รับโอกาสอันดีนี้ข้าจะคิดหาวิธีการดีๆ ก่อนแล้วค่อยไป” จูชื่อระงับรอยยิ้มบนใบหน้าแล้วตอบกลับไป


หลิ่วหมิงและศิษย์คนอื่นๆ ในนั้น ต่างก็ได้ยินชื่อตลาดเผ่าเจ้าสมุทรเป็นครั้งแรก พวกเขาแสดงสีหน้างุนงงออกมา


“เอาล่ะ! ชงเทียน เจ้าใช้ของสิ่งนี้เก็บผลหยกสวรรค์มาใส่ในตระกร้าให้หมด จำไว้ให้ดีผลหยกสวรรค์เป็นธาตุไฟ อย่าให้ร่างกายสัมผัสกับมันโดยตรงเด็ดขาด มิเช่นนั้นมันจะสลายกลายเป็นไฟ” ตอนนี้นักพรตจงเก็บรอยยิ้มบนใบหน้า หยิบยันต์สองผืนออกมาจากแขนเสื้อโยนไปด้านหน้า ครู่เดียวก็กลายเป็นตระกร้าสีแดงกับค้อนเล็กๆ สีเดียวกันลอยอยู่ในอากาศ


“ศิษย์เข้าใจแล้ว” พอหลิ่วหมิงได้ยินก็รีบก้มหน้าตอบรับ แต่พอยกแขนขึ้นเก็บของทั้งสองสิ่งความเจ็บปวดจากแผลไหม้บนร่างกายแต่ละส่วนก็ทำให้เขาเบะปากอย่างอดไม่ได้


“เดี๋ยวก่อน ข้ามีโอสถจิตวิญญาณขวดหนึ่งเจ้าเอามันทาบาดแผลแล้วค่อยไป” นักพรตจงเห็นเช่นนี้ก็รีบหยิบขวดเล็กๆ ส่งให้หลิ่วหมิง


“ขอบคุณอาจารย์อา” หลิ่วหมิงตอบกลับด้วยความดีใจ รีบรับขวดโอสถมา เขาเทโอสถเหลวสีใสลงไปบนบาดแผล และถูมันครู่หนึ่ง ความรู้สึกเย็นชุ่มชื้นแผ่กระจายไปทั่วร่างความเจ็บก็จางหายไปครึ่งหนึ่ง


พอจิตใจเขาฮึกเหิมขึ้นมา ก็เก็บขวดโอสถแล้วถือตระกร้ากับค้อนเล็กเดินมุ่งหน้าไปยังต้นจิตวิญญาณ


พอหลิ่วหมิงเดินถึงหน้าม่านแสงสีฟ้าที่แผ่คลุมต้นจิตวิญญาณนั้น เขาลังเลเล็กน้อย และเห็นจูชื่อกับนักพรตจงไม่ได้แสดงท่าทีอะไรก็รีบก้าวยาวเข้าไปด้านหน้า


แสงสีฟ้าตรงหน้ากะพริบ!


เขาแค่รู้สึกถึงความเย็นแล้วก็เดินเข้าไปในม่านแสง ไอที่ร้อนระอุกว่าภายนอกเหล่าเท่าถาโถมเข้ามา


หลิ่วหมิงขมวดคิ้ว หลังจากกระตุ้นพลังเวทย์ไอสีดำก็ม้วนตัวออกมาจากตัว ความรู้สึกร้อนก็ลดลงไปเป็นอย่างมาก


ตอนนี้เขาถึงก้าวไปยังใต้ต้นจิตวิญญาณ ยกค้อนขึ้นเคาะผลจิตวิญญาณสีเขียวผลหนึ่ง


เสียงดัง “ตุบ!”


ผลหยกสวรรค์ลูกหนึ่งที่ดูเหมือนสุกได้ที่มาระยะหนึ่งแล้ว หลุดจากขั้วตกลงมาในตระกร้าสีแดงที่รอรับอยู่


หลิ่วหมิงเห็นดังนี้ก็ไม่ลังเลที่จะเคาะลูกอื่นๆ ต่อ


ผลจิตวิญญาณแต่ละผลกลิ้งตกลงไป พริบตาเดียวก็เต็มครึ่งตระกร้า


จูชื่อและนักพรตจงที่อยู่ด้านนอกเห็นดังนี้ก็มองหน้ากันอย่างอดไม่ได้


ต้าจื้อกับต้าซั่งได้แต่ฝืนยิ้มขมขื่น


“ไปเถอะ ในเมื่อไม่มีผลจิตวิญญาณของพวกเราอยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์” ผู้อาวุโสผมขาวกล่าว


ต้าซั่งได้ยินเช่นนี้ ย่อมไม่คัดค้านแต่อย่างใด


ดังนั้นพวกเขาจึงกล่าวลาแล้วพาศิษย์ออกไปจากโพรงใต้ดินแห่งนี้


แต่ตอนนี้หลิ่วหมิงกำลังเก็บผลหยกสวรรค์ผลสุดท้ายพอดี หลังจากเขายิ้มเล็กน้อยก็คิดที่จะหิ้วตระกร้ากลับไปหาจูชื่อและนักพรตจง


แต่เขาเดินไปไม่กี่ก้าวพื้นด้านหลังก็สั่นสะเทือนขึ้นมา เขารีบหันหน้ากลับไปดูอย่างอดไม่ได้


พื้นบริเวณต้นจิตวิญญาณ มีอักขระสีแดงสิบกว่าตัวโผล่ออกมาตามด้วยเสียงที่ดังกึกก้อง เปลวเพลิงขนาดใหญ่พุ่งออกมาจากพื้นดิน พริบตาเดียวต้นจิตวิญญาณก็จมอยู่ในเปลวเพลิงนั้น และถูกเผาไหม้จนกลายเป็นขี้เถ้า


เปลวเพลิงโหมกระหน่ำมาทั่วทุกสารทิศ


หลิ่วหมิงตกใจหน้าถอดสีคิดจะขยับตัวเพื่อหนีออกจากที่แห่งนี้ แต่พอเขากระโดดตัวก็มีเงาร่างสั่นไหวข้างกายเขา ร่างของจูชื่อกับนักพรตจงก็ปรากฏออกมา


จูชื่อทำท่ามือด้วยมือเดียวสะบัดแขนเสื้อไปยังด้านหน้า เปลวเพลิงด้านหน้าก็ม้วนตัวกลับไปทันที


และนักพรตจงบังอยู่ด้านหน้าของหลิ่วหมิง เขาบอกให้หลิ่วหมิงระวังแล้วก็จ้องมองเปลวเพลิงอันรุ่งโรจน์โดยไม่กล่าวอะไรออกมา


ตอนนี้มีเสียงกึกก้องดังขึ้น ผู้อาวุโสสองท่านที่เดิมทีได้เดินมาถึงประตูทางออกแล้วได้ย้อนกลับมามองดูเปลวเพลิงอันโชติช่วงด้วยสีหน้าประหลาดใจ


ผ่านไปสักครู่ เปลวเพลิงที่ประทุออกจากพื้นดินก็ดับไป แต่ทิ้งค่ายกลสีแดงขนาดจั้งกว่าๆ ไว้ อักขระสีแดงรอบด้านสิบกว่าตัวกะพริบอยู่ไม่หยุด และยังกระจายไอร้อนออกมา


“ค่ายกลเคลื่อนที่”


พอจูชื่อเห็นลักษณะของค่ากลชัดเจนแล้วก็กล่าวด้วยใบที่หน้าเปลี่ยนสี


“ไม่ผิด คือค่ายกลนี้อย่างแน่นอน เฮ่อๆ นับว่าเป็นแสงสว่างปลายอุโมงค์จริงๆ นักพรตสยบมังกรยังซ่อนสถานที่ลับไว้ในที่แห่งนี้ พวกข้าต่างก็คิดไม่ถึงว่าหลังจากต้นจิตวิญญาณถูกทำลายแล้วทางเข้านี้ถึงจะปรากฏออกมา” ต้าจื้อก็จ้องมองค่ายกลสีแดง และกล่าวออกมาพร้อมเสียงหัวเราะ


ถึงแม้นักพรตจงกับต้าซั่งจะไม่ได้กล่าวอะไรออกมา แต่แววตาที่ดูประหลาดใจจองพวกเขาใครๆ ก็มองออก


“ดูเหมือนท่านทั้งสองคิดจะเข้าไปตรวจสอบในตอนนี้! แต่ตอนนี้พวกเรายังไม่ได้เตรียมพร้อม ถ้าหากเข้าไปตอนนี้ล่ะก็ มันจะบุ่มบ่ามไปหน่อยไหม” จูชื่อหันหน้ากลับมากล่าวกับผู้อาวุโสผมขาวอย่างลังเล


“เตรียมพร้อมอะไร? ในเมื่อต้นจิตวิญญาณถูกทำลายแล้ว ไฟใต้พิภพคงจะประทุออกมาในเร็วๆ นี้ พอถึงตอนนั้นเกาะทั้งเกาะก็จะถูกทำลาย แล้วจะไปหาสมบัติของนักพรตสยบมังกรได้ที่ไหน เอาอย่างนี้เถอะ ให้ศิษย์พวกเราถอยออกไปจากเกาะก่อน จากนั้นพวกเราก็ร่วมมือกันสำรวจภายในดีไหม? ส่วนใครจะได้รับสมบัติอะไรนั้นก็ขึ้นอยู่กับจังหวะและโอกาสแล้ว” ผู้อาวุโสผมขาวส่ายหน้ากล่าวออกมา


“ดี งั้นข้าจะลองเสี่ยงดูสักครั้ง” สีหน้าจูชื่อเปลี่ยนมาดูดีพักหนึ่งแล้วกัดฟันตอบตกลง


ต้าซั่งและนักพรตจงลังเลครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ


ดังนั้นทั้งสี่คนจึงสั่งให้ศิษย์ค่อยๆ ออกไปจากโพรงใต้ดิน


และก่อนที่หลิ่วหมิงจะเดินออกไป เขาได้เอาตะกร้าผลจิตวิญญาณให้ไว้กับจูชื่อแล้วถึงจะเดินออกไปกับคนอื่นๆ


เวลาผ่านไปสักพัก พวกของหลิ่วหมิงทั้งสามและศิษย์หุบเขาเก้าช่องสิบกว่าคน ก็ขี่เมฆลอยอยู่ด้านบนของกองหินที่อยู่ใจกลางเกาะ และยืนรอบนนั้นอย่างสงบ


แต่พวกเขาก็แบ่งออกเป็นสองฝ่าย และต่างก็จ้องมองกันจากที่ไกลๆ


เวลาค่อยๆ ผ่านไปทีละน้อย พริบตาเดียวก็ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ด้านล่างก็ยังคงเงียบสงบไม่มีอะไรเกิดขึ้น


ศิษย์หลายต่างก็รู้สึกไม่สบายใจ บางคนก็เริ่มกระซิบกระซาบออกมา


และในตอนนี้ ด้านล่างก็มีเสียงดังสนั่นหวั่นไหว อยู่ๆ ก้องหินก็ระเบิดออกมา แสงสีแดงลำหนึ่งพุ่งออกมาจากในนั้น หลังจากที่มันพร่ามัว ก็กลายเป็นแสงสีแดงจำนวนมากพุ่งออกไปรอบทิศทาง


“รีบหลบไป พวกนี้คือกระบี่ปราณพวกเจ้าไม่อาจต้านทานได้” เสียงตะโกนดังมาจากด้านล่าง ตามด้วยเงาร่างคนสั่นไหว จูชื่อและคนอื่นๆ ต่างก็ขี่เมฆเหาะออกมา แต่เสื้อผ้าแต่ละคนขาดรุ่งริ่ง ศีรษะเต็มไปด้วยเหงื่อราวกับว่าผ่านการรบที่ดุเดือด


แต่คำเตือนของพวกเขากลับช้าไป หลังจากเสียงร้องอย่างน่าเวทนา ศิษย์หลายคนถูกเส้นสีแดงแทงทะลุตัดเอวออกเป็นสองท่อน


ในนั้นรวมถึงอวี๋เฉิงที่เป็นศิษย์สาขาเก้าทารกด้วย


เซียวเฟิงกับหลิ่วหมิงนับว่ามีการตอบสนองที่รวดเร็ว พอที่จะหลบเส้นสีแดงที่เปล่งประกายออกมาได้ แต่เหงื่อออกเต็มศีรษะด้วยความตกใจอย่างช่วยไม่ได้


แต่ตอนที่พวกเขายังไม่ทันจะรับมือแต่อย่างใด ก็มีเงาร่างสั่นไหวตรงข้างกายของแต่ละคน จูชื่อและนักพรตจงก็แยกออกไปยืนด้านหน้าแล้วต่างก็คว้าศิษย์แต่ละคนไว้


จูชื่อสะบัดแขนเสื้อ ยันต์แผ่นหนึ่งได้พุ่งออกมา หลังจากไอสีขาวกระจายออกมาแล้วเรือเหาะหยกจิตวิญญาณก็ปรากฏขึ้นด้านหน้า


ทั้งสองพาหลิ่วหมิงและเซียวเฟิงหายวับเข้าไปในเรือเหาะ


เสียงดัง “ฟิ้ว!”


จูชื่อทำท่ามืออย่างรวดเร็ว เรือเหาะหยกจิตวิญญาณก็กลายเป็นกลุ่มแสงสีเขียวพุ่งออกไป


ในขณะเดียวกันทางฝั่งหุบเขาเก้าช่อง ต้าจื้อและต้าซั่งก็ปล่อยอาวุธเหาะจิตวิญญาณที่คล้ายกับหอออกมา นำศิษย์ที่เหลืออยู่เข้าไปในนั้นแล้วพุ่งหนีเอาชีวิตรอดไปยังอีกทิศทางหนึ่ง


ที่ทั้งสองฝ่ายใช้ต่างก็เป็นอาวุธเหาะจิตวิญญาณ ความเร็วมันเร็วกว่าที่คิดไว้มากครู่เดียวก็ออกมาถึงรอบนอกของเกาะแล้ว


เกาะด้านล่างเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว เปลวเพลิงแต่ละสายพุ่งขึ้นไปยังท้องฟ้า ครู่เดียวเกาะทั้งเกาะก็กลายทะเลเพลิง


ในขณะนี้ มีเสียงร้องดังยาวมาจากกลางทะเลเพลิง เสียงแสบแก้วหูเป็นพิเศษทำให้ผู้ที่ได้ยินรู้สึกชาไปทั้งตัว


“แย่แล้วศิษย์พี่ มันฟื้นขึ้นมาแล้ว เร็วขึ้นอีกสักหน่อยอย่าให้มันตามทัน” พอนักพรตจงได้ยินเสียงร้องนี้สีหน้าก็ซีดเผือดลง และกล่าวอย่างรีบเร่ง


“ศิษย์น้องช่วยข้าอีกแรง ข้าจะใช้วิชาโลหิตต้องห้าม” จูชื่อได้ยินเสียงร้องก็แสดงสีหน้าหวาดกลัวเช่นกัน จากนั้นเขาก็กัดฟันกล่าวขึ้นมา


“ข้ารู้แล้ว พวกเจ้าทั้งสองรีบนั่งลงให้เรียบร้อย” นักพรตจงตอบโดยไม่ต้องคิด และรีบกำชับเซียวเฟิงกับหลิ่วหมิง


เห็นได้ชัดว่าเซียวเฟิงยังไม่สามารถเรียกสติคืนมาได้หลังจากเขาเห็นฉากตอนที่อวี๋เฉิงเสียชีวิต เขาทำได้แต่พยักหน้าตอบรับ


หลิ่วหมิงได้ยินแล้วกลับรู้สึกเย็นยะเยือก รีบนั่งลงไป และจับของเรือเหาะไว้แน่น


ถึงแม้นักพรตจงจะมองเห็นว่าเซียวเฟิงดูไม่ค่อยปกติ แต่ก็ไม่มีเวลาสนใจมากแค่แวบร่างไปยังด้านหลังของจูชื่อ มือทั้งสองทาบไว้บนหลังเขา ขณะเดียวกันก็ปล่อยแสงสีขาวกระจายออกมา


จูชื่อคำรามเสียงต่ำ อ้าปากพ่นโลหิตออกมา มือทั้งสองทำท่ามืออย่างรวดเร็วอีกครั้ง


……………………………………….


ตอนที่ 53 มังกรแดงสื่อสารจิตวิญญาณ

โดย

Ink Stone_Fantasy

พอโลหิตโดนลมก็กลายเป็นกลุ่มหมอกเลือดทะทวงเข้ามาในเรือไม้


พอมีเสียงดังขึ้น


ความเร็วของเรือเหาะหยกจิตวิญญาณก็เพิ่มขึ้นกว่าเดิมครึ่งหนึ่ง กลายเป็นลำแสงสีเขียวพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า


เซียวเฟิงสงบจิตยังไม่สามารถสงบจิตใจได้ หลังของเขากลิ้งไปชนกับขอบเรือเหาะอย่างรุนแรง เขารู้สึกเจ็บจนร้องออกมา


หลิ่วหมิงออกแรงที่แขนทั้งสองค่อยๆ นั่งลงตรงที่เดิมอย่างมั่นคง


จูชื่อที่แสดงพลังได้อย่างสมบูรณ์แบบนั่งลงตรงดาดฟ้าเรือด้วยสีหน้าซีดขาว


นักพรตจงเก็บมือทั้งสอง มองไปยังด้านหลังด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล


ผ่านไปชั่วครู่ เรือเหาะหยกจิตวิญญาณก็เหาะออกมาได้ไกลสิบกว่าลี้ ทะเลเพลิงที่อยู่ด้านหลังค่อยๆ ลับหายไป และตั้งแต่ต้นจนจบก็ยังไม่สิ่งใดๆ ตามมา


จูชื่อและนักพรตจงเห็นเช่นนี้ถึงได้มีสีหน้าที่ผ่อนคลายขึ้น


“ดูเหมือนเจ้ามารผจญนั้นเพิ่งจะตื่นฟื้น และไม่ยอมเสียพลังเพื่อตามฆ่าพวกเรา พวกเราทั้งสี่นับว่าโชคดีที่รอดมาได้” นักพรตจงถอนหายใจเบาๆ กล่าวออกมา


หลังจากกลับไป จะต้องรายงานเรื่องนี้ให้กับศิษย์พี่ท่านประมุข จะต้องให้คนไปกำจัดมันให้สิ้นซาก ดูจากท่าทีของเจ้ามารผจญนี้เห็นได้ชัดว่าเพิ่งจะเข้าสู่ระดับผลึกจิตวิญญาณได้ไม่นาน ถ้าผ่านไปอีกร้อยปีแล้วพลังของมันถึงระดับที่เสถียรภาพแล้ว เกรงว่าจะเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับนิกายแต่ละนิกายแล้ว” จูชื่อกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“ปีนั้นใครๆ ก็รู้ว่าข้างกายของนักพรตสยบมังกรมีมังกรแดงสื่อสารจิตวิญญาณระดับของเหลวจิตวิญญาณอยู่ตนหนึ่ง แต่หลายปีที่เขาบำเพ็ญเพียรอยู่นั้นเจ้ามังกรแดงตัวนี้กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย ตอนนั้นใครก็คิดว่านักพรตสยบมังกรยอมสังหารมันด้วยตนเองอย่างเจ็บปวดเพื่อป้องกันไม่ให้มันทำเรื่องเลวร้ายในโลกมนุษย์ ใครจะไปคิดว่าเจ้ามังกรตัวนี้กลับซุ่มซ่อนฝึกฝนอยู่ภายใต้ไฟพิภพบนเกาะแห่งนี้ ทั้งยังบรรลุสู่ระดับผลึกจิตวิญญาณอย่างเงียบๆ และยังแอบฝึกอาวุธจิตวิญญาณหลายชิ้นที่นักพรตสยบมังกรได้ทิ้งไว้


“โชคดีที่ตอนพวกเราไป เจ้ามังกรตัวนี้ยังครึ่งหลับครึ่งตื่น ยังประจวบเหมาะกับที่มันกำลังฝึกกระบี่สยบมังกร เลยถูกบีบให้ระเบิดกระบี่นั้นออกมาเพื่อป้องกันตัว มิเช่นนั้นถ้าปล่อยให้มันฝึกกระบี่จิตวิญญาณนี้สำเร็จคงจะยิ่งรับมือกับมันได้ยากขึ้น” จูชื่อฝืนยิ้มกล่าวอย่างขมขื่น


“แต่เฉิงเอ๋อร์กลับหนีเคราะห์นี้ไม่พ้นนี้ กลับไปยังไม่รู้เลยว่าจะอธิบายกับศิษย์พี่อย่างไร” นักพรตจงกล่าวสีหน้าเศร้าหมอง


“เรื่องเฉิงเอ๋อร์นั้น นับว่าเป็นเรื่องที่เจ็บปวดเสียดายเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็เป็นเรื่องที่เราทำอะไรไม่ได้ ใครจะไปรู้ว่าตอนที่เจ้ามังกรตัวนี้กำลังรวบรวมพลังอยู่ ยังมีพลังเหลือในการระเบิดกระบี่สยบมังกรออกมาได้ สิ่งที่มันระเบิดออกมาไม่เพียงแต่พวกเราที่สูญเสีย ทางด้านหุบเขาเก้าช่องก็เหมือนจะสูญเสียเยอะกว่าพวกเรา ศิษย์ที่ต้าจื้อเตรียมให้เข้าสู่เส้นทางการฝึกร่างผู้นั้น ดูเหมือนจะหนีเคราะห์นี้ไม่พ้นเช่นกัน” จูชื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสลด ดวงตาฉายแววเศร้าสร้อยอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี


ตอนนี้หลิ่วหมิงกับเซียวเฟิงเพิ่งจะเข้าใจเรื่องราวอย่างคร่าวๆ


ดูเหมือนว่าหลังจากที่จูชื่อและคนอื่นๆ เข้าไปในค่ายกลเคลื่อนที่นั้นแล้ว ไม่เพียงจะหาสมบัติล้ำค่าไม่เจอ แต่กลับไปประสบกับมังกรอันน่ากลัวตนหนึ่ง และอาจารย์จิตวิญญาณทั้งสี่ต่างก็รีบร้อนหนีออกมา


และพอหลิ่วหมิงได้ยินทั้งสองพูดถึง ‘ของเหลวจิตวิญญาณ’ ‘ผลึกจิตวิญญาณ’ และประโยคอื่นๆ ก็ทำให้เขาใจเต้นอย่างไม่รู้ตัว


หรือว่าระดับการฝึกฝนไม่ได้มีแค่ศิษย์จิตวิญญาณ อาจารย์จิตวิญญาณ แต่ยังมีระดับขั้นที่สูงขึ้นไปอีก!


เรื่องนี้เขาไม่เคยได้ยินคนกล่าวถึงมาก่อน และยังไม่เคยอ่านเจอในคัมภีร์โบราณ


ตอนนี้ดูเหมือนจูชื่อและนักพรตจงไม่มีความสนใจที่จะคุยต่อแล้ว คนหนึ่งกระตุ้นเรือเหาะจิตวิญญาณอย่างเงียบๆ อีกคนนั่งขัดสมาธิลงไปเพื่อพักผ่อน


สิบกว่าวันผ่านไป ในที่สุดพวกเขาก็กลับมาถึงนิกายปีศาจ


พอกลับไปถึงเขาเก้าทารก จูชื่อให้ทุกคนกลับไปยังที่พักก่อนส่วนเขาและนักพรตจงมุ่งหน้าไปหานักปราชญ์กุยบนยอดเขา


และเวลาผ่านไปสักครู่ นักปราชญ์กุยก็พาทั้งสองออกไปจากเขาเก้าทารกอย่างรีบร้อน


เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วยาม หัวหน้าแต่ละสาขาที่อยู่บนหอบูรพาจารย์ของนิกายปีศาจต่างก็คุยกันเสียงกันดังก้อง


อาจารย์จิตวิญญาณแต่ละสาขา ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่กำลังเก็บตัวฝึกฝนอยู่หรือถ่ายทอดความรู้ให้ศิษย์อยู่ ต่างก็ว่างงานในมือขี่เมฆเหาะมายังยอดเขาหลัก


ศิษย์นิกายสายนอกคนอื่นๆ ต่างก็วิพากษ์วิจารณ์กันต่างๆ นานาด้วยความตกใจ


ขณะเดียวกันหลิ่วหมิงที่กลับถึงที่พัก ก็กำลังเอาหน้าซุกนอนหลับอยู่บนที่นอน หน้าต่างตรงข้ามมีเสียงระฆังดังมาแว่วๆ แต่เขาเหมือนกับไม่ได้ยินมัน


เช้าวันที่สอง หลิ่วหมิงตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ศิษย์นิกายสายนอกคนหนึ่งยืนรออย่างเรียบร้อยอยู่ด้านนอกแล้ว และแจ้งเรื่องที่นักปราชญ์และคนอื่นๆ เรียกตัวเขาไปพบ


หลิ่วหมิงกล่าวขอบคุณกับศิษย์ผู้นั้น แล้วก็ขี่เมฆเหาะไปยังปลายยอดเขาทันที


พอเข้าไปในหอใหญ่แล้ว นักปราชญ์ จูชื่อ นักพรตจง ทั้งสามรออยู่ที่นั่นนานแล้ว ทั้งยังดูเหมือนเพิ่งพูดเรื่องบางอย่างเสร็จ แต่ละคนมีสีหน้าที่ดูกังวลเป็นอย่างยิ่ง


“คารวะอาจารย์กุย อาจารย์อาจู อาจารย์อาจง!” หลิ่วหมิงก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว โค้งตัวคำนับ


“ลุกขึ้นเถอะ ชงเทียน การแสดงของเจ้าที่เกาะสยบมังกรในครั้งนี้ ข้าได้ยินอาจารย์อาทั้งสองของเจ้าเล่าให้ฟังหมดแล้ว เจ้านับว่าสร้างผลงานอันยิ่งใหญ่ให้กับสาขาของเรา” พอนักปราชญ์เห็นหลิ่วหมิงก็โบกมือบอกให้เขาลุกขึ้นด้วยรอยยิ้ม


“มิกล้า นี่เป็นเรื่องที่ศิษย์ควรทำ” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างถ่อมตน


“เจ้าไม่ต้องกล่าวเช่นนี้หรอก ถึงแม้สาขาเก้าทารกของเราจะอ่อนแอที่สุดในนิกาย แต่การปูนบำเหน็จความดีความชอบและการลงโทษชัดแจ้งและยุติธรรม และข้าได้ยินศิษย์น้องจูกล่าวว่าก่อนการประลองสำคัญรอบสุดท้าย ทั้งสองรับปากแบ่งผลประโยชน์ที่ได้รับหนึ่งในสิบให้เจ้า ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็ข้าเองก็ย่อมไม่คัดค้าน ศิษย์น้องจู เจ้านำของออกมาเถอะ” นักปราชญ์ยิ้มแล้วหันหน้าไปบอกกับจูชื่อ


จูชื่อพยักหน้า มือข้างหนึ่งคว้าไปจับถุงหนังบนเอว และหยิบสิ่งของหลายอย่างออกมาจากในนั้นแล้วเอาไปวางไว้บนโต๊ะข้างๆ


มันคือกล่องไม้สีแดงที่บรรจุผลหยกเขียวกลมๆ สามผล กับโลหะสีดำที่เปล่งประกายแสงอันเย็นสะท้านสามแท่ง


“ในนี้มีผลหยกสวรรค์สามผลกับเหล็กบริสุทธิ์ชั้นดีสามแท่งที่หนักรวมกันสิบชั่ง มันเท่ากับหนึ่งในสิบของผลประโยชน์ที่ได้รับในครั้งนี้พอดี ตอนนี้พวกมันเป็นของเจ้าแล้วแต่ว่าตอนนี้ข้ามีข้อเสนอให้เจ้าสองข้อ เจ้าอยากจะฟังดูก่อนไหม?” นักปราชญ์ค่อยๆ กล่าวออกมา


“เชิญอาจารย์กุยชี้แนะ!” หลิ่วหมิงระงับความดีใจไว้แล้วกล่าวอย่างนอบน้อม


“ข้อเสนอแรกคือ เจ้าสามารถนำผลหยกสวรรค์ทั้งสามผลกับเหล็กบริสุทธิ์ทั้งสามแท่งขายให้พวกข้าทั้งสาม ซึ่งจะแลกหินจิตวิญญาณได้ประมาณหกเจ็ดพันก้อน มีหินจิตวิญญาณเยอะขนาดนี้เพียงพอสำหรับให้เจ้าใช้จ่ายในนิกายได้ถึงสิบปี ด้วยเหตุนี้เจ้าจะสามารถมุ่งมั่นฝึกฝนได้โดยไม่ต้องไปวิ่งหาหินจิตวิญญาณอีก ข้อเสนอที่สองข้าสามารถช่วยเจ้าส่งผลหยกสวรรค์ทั้งสามผลนี้ไปให้นักปรุงโอสถที่เก่งที่สุดในนิกาย ให้เขาช่วยเสริมวัตถุดิบให้แล้วปรุงเป็นน้ำจิตวิญญาณล้างไขกระดูกให้เจ้า แต่ว่าเหล็กบริสุทธิ์ทั้งสามแท่งนี้ต้องให้พวกเราเป็นข้อแลกเปลี่ยน ชงเทียน เจ้าคิดว่าอย่างไร?” นักปราชญ์กล่าวด้วยรอยยิ้ม


“ศิษย์เลือกข้อเสนอที่สอง!” หลิ่วหมิงได้ยินก็รีบตัดสินใจโดยไม่ต้องคิด


“เจ้าจะไม่คิดดูให้ดีก่อนหรือ” กุยหรูฉวนเห็นหลิ่วหมิงตอบกลับมารวดเร็วเช่นนี้ก็ถามกลับไปด้วยความรู้สึกแปลกใจ


“ไม่ต้องแล้ว ศิษย์ทราบว่าตนเองมีความสามารถต่ำต้อย ในเมื่อน้ำจิตวิญญาณนี้สามารถล้างไขกระดูกได้ศิษย์ย่อมไม่ละทิ้งโอกาสอันดีนี้อย่างแน่นอน” หลิ่วหมิงตอบกลับอย่างแน่วแน่


“ดี ในเมื่อกล่าวเช่นนี้ สิบวันให้หลังเจ้าค่อยมาเอาน้ำจิตวิญญาณล้างไขกระดูกที่นี่เถอะ” นักปราชญ์พยักหน้าแล้วไม่กล่าวแนะนำอะไรต่ออีก


หลิ่วหมิงกล่าวขอบคุณด้วยความดีใจ


ต่อมานักปราชญ์ถามเรื่องการฝึกฝนของหลิ่วหมิงเล็กน้อยแล้วก็ให้เขากลับไปก่อน


“ศิษย์พี่ ตอนนี้เฉิงเอ๋อร์ก็ไม่อยู่แล้ว ท่านไม่คิดจะรับศิษย์ผู้นี้เป็นศิษย์ติดตามจริงๆ หรือ!” พอร่างหลิ่วหมิงหายลับไปกับประตูใหญ่นักพรตจงก็ถามออกมาอย่างอดไม่ได้


“ถึงแม้ตอนที่อยู่เกาะสยบมังกรศิษย์ผู้นี้จะแสดงออกมาได้ไม่เลว แต่อย่างไรก็เป็นแค่ศิษย์สามชีพจรจิตวิญญาณ และยังทานโอสถเพิ่มพลังเวทย์เข้าไปอีก เกรงว่าต่อไปจะไม่สามารถดึงพลังศักยภาพออกมาได้ ต่อให้เขาจะใช้น้ำยาจิตวิญญาณล้างไขกระดูก ชาตินี้ก็คงเป็นได้สูงสุดศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายเท่านั้น มันไม่คุ้มค่ากับการทุ่มแรงฝึกฝนเขา และทรัพยากรสาขาเราก็มีจำกัดควรทุ่มมันให้กับเฟิงเอ๋อร์ และศิษย์คนอื่นที่มีคุณสมบัติดีกว่าจะดีกว่า แบบนี้สาขาเก้าทารกของเราถึงจะมีความหวังผุดขึ้นมาได้อีกครั้ง อย่างไรความแข็งแกร่งของนิกายก็วัดจากจำนวนของอาจารย์จิตวิญญาณที่แต่ละสาขามี” นักปราชญ์ส่ายหน้ากล่าวออกมา


“แต่ทำแบบนี้ก็น่าเสียดายไปสักหน่อยนะ การต่อสู้ของศิษย์ผู้นี้น่าอัศจรรย์มากถ้าหากเขาสามารถบรรลุเข้าสู่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายได้จริงๆ ล่ะก็ ไม่แน่พวกเราอาจมีความหวังที่เขาจะช่วงชิงตำแหน่งศิษย์แกนนำมาได้” จูชื่อกล่าว


“แค่ตำแหน่งศิษย์แกนนำมันจะมีประโยชน์อันใด เทียบกันแล้วถ้าหากว่าสาขาของเรามีอาจารย์จิตวิญญาณเพิ่มขึ้นมาอีกคนล่ะก็ ชื่อเสียงและอิทธิพลของสาขาเราก็จะเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างแน่นอน” กุยหรูฉวนได้ยินแล้วก็ยังคงยืนกรานความคิดเดิม


ได้ยินนักปราชญ์กล่าวเช่นนี้ จูชื่อและนักพรตจงต่างก็มองหน้ากันแต่ก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา


“ใช่สิ! เรื่องตลาดเผ่าเจ้าสมุทรจะทำอย่างไร มอบผลจิตวิญญาณให้ชงเทียนไปสามผลแล้วในมือของพวกเรายังมีอีกสามสิบผล คงจะเพียงพอสำหรับเข้าไปเลือกหาสิ่งของในตลาดเผ่าเจ้าสมุทรแล้ว” จูชื่อตาเป็นประกายแล้วเปลี่ยนหัวข้อถามออกไป


“อือ! ตลาดเผ่าเจ้าสมุทรเปิดแล้วนับว่าเป็นโอสกาสอันดีที่สวรรค์ประทานให้ ไม่แน่อาจจะสามารถแลกสิ่งของที่มีพลังแข็งแกร่งกว่าผลหยกสวรรค์สิบเท่าร้อยเท่า แต่พวกเผ่าเจ้าสมุทรเหล่านั้นแต่ละคนก็ปลิ้นปล้อนเป็นพิเศษ หลายปีมานี้มีคนน้อยมากที่ได้ผลพวงอันดีจากที่นั่น เอาอย่างนี้เถอะ กลับไปข้าจะเชิญสหายที่มีจักษุจิตวิญญาณผู้หนึ่งเดินทางไปด้วยกัน แบบนี้เราก็พอจะมีความมั่นใจมากขึ้น” นักปราชญ์คิดไปคิดมาครู่หนึ่ง แล้วกล่าวออกมา


จูชื่อและนักพรตจงรับฟังแล้ว ย่อมไม่มีความคิดเห็นใดๆ


“ศิษย์พี่กุย ได้ยินมาว่าอาจารย์อาออกจากการเก็บตัวฝึกฝนแล้ว และรีบไปเกาะสยบมังกรในคืนนั้นทันที?” คุยกันอยู่ครู่หนึ่งแล้วนักพรตจงก็ถามออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“เป็นเช่นนั้นจริงๆ มังกรแดงเดิมทีก็เป็นอสูรชั่วร้ายที่พบเจอได้น้อยมาก ทุกส่วนของมันเป็นของล้ำค่าทั้งยังเป็นมังกรแดงที่บรรลุเข้าสู่ระดับผลึกจิตวิญาณ ถ้าหากว่าอาจารย์ได้โลหิตของมังกรตัวนี้มาแล้วหานักปรุงโอสถมาปรุงให้เป็นโอสถที่เล่าลือกัน ไม่แน่อาจฝึกฝนบรรลุขึ้นไปอีกระดับได้ แต่ตอนนี้ยังมีหุบเขาเก้าช่องที่รู้เรื่องมังกรตัวนี้เกรงว่าผู้อาวุโสหลิงอวี้ผู้นั้นก็คงจะไปรีบไปทันทีที่ได้ทราบเรื่อง” นักปราชญ์ได้ยินก็ตอบกลับไปช้าๆ


“ในเมื่อผู้อาวุโสระดับผลึกจิตวิญญาณทั้งสองออกโรงเอง เจ้ามังกรร้ายนั่นก็อย่าหวังจะหนีรอดไปได้” นักพรตจงกลับถอนหายใจยาวออกมา


“ฮึ! ศิษย์น้องเจ้าอาจจะดีใจเร็วไปหน่อย เมื่อเทียบกับระดับเดียวกันแล้ว อสูรร้ายขั้นสูงเดิมทีก็แข็งแกร่งกว่ามนุษย์อย่างเรา และเจ้ามังกรร้ายตัวนั้นมันติดตามนักพรตสยบมังกรมานานขนาดนั้น คิดว่าคงจะคงได้เรียนรู้ความสามารถอื่นๆ ไปไม่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นจากที่ฟังพวกเจ้าเล่ามาอาวุธจิตวิญญาณติดตัวของนักพรตสยบมังกรก็ตกอยู่ในมือของมังกรตัวนี้ และถูกมันฝึกฝนไปไม่น้อยแล้ว ถ้าเป็นแบบนี้ล่ะก็ถึงแม้อาจารย์อากับผู้อาวุโสหลิงอวี้จะออกโรงพร้อมกัน ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถสังหารมังกรตัวนี้ได้” นักปราชญ์ทำเสียงฮึดฮัดกล่าวออกมา


……………………………………….

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)