เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 5 ตอนที่ 61-63

ส่วนที่ 5

 

ตอนที่ 61 ชีวิตอันแสนระทมทุกข์

 

ดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นพ้นยอดเขา ผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ก็กลับคืนสู่ความสว่างไสว ซินเย่ว์ยังคงถือกิ๊บติดผมบุษราคัมไว้ในมือขณะที่นางยังหลับอยู่ มุมปากที่ยกขึ้นเล็กน้อยยังคงเต็มไปด้วยความหวานชื่น เมื่อคืนนางจินตนาการอยู่ตลอดทั้งคืน คิดตั้งแต่สมัยวัยเด็กตัวเล็กๆ จนกระทั่งถึงตอนนี้ สาวน้อยตัวเล็กๆ ที่ใส่พวงดอกไม้ไว้บนศีรษะถูกเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่น้ำมูกไหลเยิ้มเรียกว่าภรรยา แต่นึกหน้าของเด็กหนุ่มคนนั้นไม่ออกแล้ว นางจึงดึงดันฝืนนำใบหน้าของอวิ๋นเยี่ยเข้าไปแทนที่


 


เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็สามารถจินตนาการได้ต่างๆ นานา ประเดี๋ยวอวิ๋นเยี่ยกำลังขี่ม้าไม้ไผ่ ประเดี๋ยวก็หยิบกิ่งเหมยสีเขียว ในโลกแห่งจินตนาการอวิ๋นเยี่ยเป็นหุ่นเชิดของนาง ให้นางทำตามใจชอบได้ทุกอย่าง


 


ฉากเปลือยกายกระโดดน้ำจะขาดไปได้อย่างไรกัน เพียงแต่ซินเย่ว์ต้องการแสดงออกถึงความเขินอายจึงยกมือปิดตา แต่ก็ปล่อยให้เหลือร่องห่างประมาณนิ้วหัวแม่มือและจ้องมองบั้นท้ายที่เปลือยเปล่าของเด็กหนุ่มเหล่านั้นอย่างเงียบ ๆ รวมถึงของแปลกๆ ที่อยู่ตรงกลางระหว่างขาด้วย


 


ตอนเด็กๆ เคยถามท่านแม่ว่าทำไมนางถึงได้แตกต่างจากเด็กที่ไม่สวมเสื้อผ้าเหล่านั้น นางเองก็อยากเปลือยกายกระโดดน้ำบ้าง ทำให้ท่านแม่ตกใจจนรีบปิดปากอันจิ้มลิ้มของนาง บอกนางว่าเด็กผู้หญิงห้ามเปลือยกาย เพราะจะถูกขังในชะลอมแล้วจับถ่วงน้ำ


 


คำตอบนี้ทำให้ซินเย่ว์ในวัยเยาว์ใช้ชีวิตอย่างหวาดระแวงมาตลอดชีวิต ในเวลานั้นครอบครัวไม่ได้ร่ำรวยนัก ท่านปู่รับราชการอยู่ในเมืองหลวงที่ห่างไกล เบี้ยหวัดก็น้อยมาก ในครอบครัวมีสมาชิกจำนวนมาก ท่านพ่อต้องดูแลที่นาจึงจะพอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องให้ทั้งครอบครัวได้อิ่มท้อง


 


ตั้งแต่สมัยอายุยังน้อย ซินเย่ว์ก็รู้ว่านางจะแต่งงานกับผู้ชายคนหนึ่ง สำหรับเรื่องที่ว่าผู้ชายคนนี้จะเป็นคนที่นางไม่รู้จัก ในสายตานางแล้วเลวร้ายยิ่งกว่าการถูกจับขังใส่ชะลอมเสียอีก


 


เคยเห็นหญิงคนหนึ่งถูกจับเปลือยกายและใส่ชะลอมโดยไม่เหลือแม้แต่ด้ายเส้นเดียวให้นาง หัวหน้าเผ่าบอกว่าในเมื่อไม่มียางอายเช่นนั้นก็ไม่ต้องปกปิดอะไรอีกแล้ว จากนั้นชะลอมก็ถูกโยนลงน้ำ ไม่มีความคิดที่จะหยุดเลยแม้แต่น้อย หลังจากเกิดฟองจำนวนหนึ่งขึ้นมาชะลอมก็จมลงไป หญิงนางนั้นไม่ได้ดิ้นรน เพียงแค่ใช้มือจับหน้าอก ซินเย่ว์ในขณะนั้นคิดว่านางคงเสียชีวิตไปนานแล้วกระมัง


 


ทุกคนเห็นเรื่องนี้เป็นหัวข้อในการพูดคุย โดยเฉพาะท่านแม่ที่พร่ำบ่นพูดกับลูกสาวเป็นเวลาสามวัน บอกกับซินเย่ว์ว่านี่เป็นจุดจบของหญิงที่ไม่รักษาประเพณี นางหารู้ไม่ว่าลูกสาวของนางตัวสั่นเป็นเวลานานถึงสามวัน


 


ขณะที่ซินเย่ว์เอนกายอยู่ในอ้อมแขนของอวิ๋นเยี่ยมองดูภูเขาที่อยู่ห่างไกลนั้น ก็เคยถามอวิ๋นเยี่ยเรื่องชะลอมถ่วงน้ำ นางคิดไม่ถึงว่าอวิ๋นเยี่ยจะให้คำตอบนางอีกอย่างหนึ่ง คำตอบที่ดีเพียงพอจะช่วยดึงนางออกจากฝันร้ายได้


 


ว่ากันว่าขณะที่เจ้าแม่หนี่ว์วา[1]สร้างคนนั้นได้สร้างผู้ชายขึ้นก่อน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วโลกก็เต็มไปด้วยผู้ชายเพราะชีวิตไม่สามารถเพิ่มทวีขึ้นเองได้ หลังจากคนกลุ่มนี้ล้มตายไปแล้วโลกก็จะไร้ซึ่งมนุษย์อีก


 


เจ้าแม่หนี่ว์วาได้สร้างมนุษย์อยู่หลายครั้งหลายคราและเหนื่อยกับงานที่ไม่มีที่สิ้นสุดนี้ ดังนั้นหลังจากสร้างกลุ่มผู้ชายขึ้นมาใหม่อีกครั้งก็ได้นำกระดูกหนึ่งชิ้นมาจากร่างของพวกเขาและเลียนแบบรูปลักษณ์ของนางเองสร้างผู้หญิงขึ้น ดังนั้นการที่ผู้ชายตามหาคู่กับผู้หญิงจึงเป็นการที่ผู้ชายแสวงหากระดูกชิ้นนั้นของตนนั่นเอง


 


บางคนโชคดีมากใช้เวลาไม่นานนักก็ค้นพบชิ้นกระดูกของตนเอง บางคนค่อนข้างโชคร้ายที่ไม่ว่าอย่างไรก็หาไม่พบ ดังนั้นพวกเขาจึงเปลี่ยนคนไปเรื่อยๆ มนุษย์ล้วนแล้วแต่โลภไม่รู้จักพอ พวกที่มีเงินมีอำนาจก็อยากจะหากระดูกไว้หลายๆ ชิ้นเพื่อสำรองไว้จึงแต่งงานกับผู้หญิงหลายคน ผู้หญิงที่ถูกจับใส่ชะลอมคนนั้นก็เพียงแค่ไปอยู่ผิดตำแหน่งเท่านั้นเอง การลงโทษของหัวหน้าหมู่บ้านนั้นรุนแรงเกินไปหน่อย


 


“เจ้าเป็นชิ้นกระดูกของข้า” นี่คือคำหวานที่ชวนให้หลงใหลมากที่สุดที่ซินเย่ว์ได้ยินมา ประโยคนี้ทำให้ร่างกายอ่อนระทวย รุ่มร้อนไปทั้งร่าง เพื่อประโยคนี้แล้วถึงแม้ต้องตายก็ยินดี


 


ดวงอาทิตย์ส่องแสงมากระทบเปลือกตา โลกทั้งใบกลายเป็นสีชมพู ซินเย่ว์ไม่อยากที่จะตื่นขึ้นมาเลย ในความฝันนี้นางยังเขียนบันทึกประวัติศาสตร์ความรักของนางไม่เสร็จเลย เพิ่งจะฝันถึงขณะอายุสิบสองที่ได้เรียนหนังสือด้วยกันเพียงเท่านั้น เจ้าเด็กเกเรคนนั้นหยิบหนอนผักมาใส่ผมนางจนตกใจกลัวร้องไห้เสียงดัง และเด็กคนนั้นก็ถูกท่านพ่อที่เข้มงวดตีก้น ตนเองนั้นแอบดูจากร่องประตู


 


ชายคนนั้นที่ชื่อเหลียงซันปั๋วนั้นโง่มากหรือว่าหญิงที่ชื่อจู้อิงไถน่าเกลียดเกินไป เล่าเรียนด้วยกันเป็นเวลาสามปีจึงดูไม่ออกว่าจู้อิงไถเป็นผู้หญิง ถ้าหากตนเองแต่งตัวเป็นผู้ชายไม่รู้ว่าพี่เยี่ยจะดูออกหรือไม่


 


คำตอบก็คือดูออก เขาจะต้องดูออกอย่างแน่นอน ซินเย่ว์ดึงปลายผ้าห่มออกแล้วก้มหน้ามองหน้าอกของนาง ดึงคอเสื้อซับชั้นในให้สูงขึ้น หากใช้ผ้ารัดอกเขาก็ต้องดูออกอยู่ดี


 


เมื่อคิดถึงสองมือที่ซุกซนของอวิ๋นเยี่ย ซินเย่ว์ก็หน้าแดง ยกมือปิดไว้ด้านบนเพื่อไม่ให้หัวใจตนเองเต้นรัวเกินไป


 


เสี่่ยวชิวเข้ามาสามครั้งแล้ว คุณหนูยังคงหลับอยู่ ไม่กล้ารบกวนเพราะรู้ว่าเมื่อคืนคุณหนูนอนดึกมาก วันนี้จะต้องเป็นวันที่เหนื่อยมากวันหนึ่ง จึงอยากให้นางนอนพักอีกสักครู่ เพียงแต่เห็นคุณหนูเอาหน้าซุกอยู่ใต้ผ้าห่ม ก็รู้ว่านางตื่นแล้ว


 


“คุณหนูเจ้าคะ วาสนาที่แสนดีมาถึงแล้วกำลังรอให้ท่านต้อนรับอยู่ ตื่นเถอะคุณหนู” นางนั่งลงข้างเตียงและเริ่มเขย่าคุณหนูของงนาง ซินเย่ว์ถีบและเตะจากในผ้าห่มอย่างหงุดหงิดและลุกขึ้นด้วยความรำคาญ ผมยาวสลวยของนางปกคลุมบนไหล่ นั่งขยี้ตาที่ยังง่วงนอนอยู่ เสื้อผ้าไม่ได้รัดแน่นมากจึงเผยให้เห็นเนินอก ทำให้เสี่ยวชิวเห็นแล้วถึงกับตะลึงไป คุณหนูสวยมาก!


 


นางจ้องเสี่ยวชิวแล้วดึงเสื้อให้มิดชิด วางเจ้ากระต่ายขนปุกปุยตัวใหญ่ที่อยู่ข้างกายให้นั่งให้เรียบร้อย กระต่ายตัวนี้อวิ๋นเยี่ยเป็นคนมอบให้ในวันเกิดนางซึ่งเป็นหัวแก้วหัวแหวนของนาง จากนั้นมองดูกิ๊บติดผมในมือ เมื่อเห็นว่าเหมือนเดิมเป็นปกติดีไม่เสียหาย จึงยอมลุกขึ้นไปอาบน้ำยังถังอาบน้ำที่เสี่ยวชิวได้เตรียมไว้ให้ เพื่อเตรียมต้อนรับวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง


 


บ้านตระกูลซินครึกครื้นมาก บิดามารดาไม่ได้อยู่ข้างกาย จึงมีแต่พี่ชายคนโตที่รีบร้อนเดินทางไกลนับพันลี้มาจากแดนเสฉวนก็เพื่อแบกซินเย่ว์ออกจากบ้านไปส่งให้อวิ๋นเยี่ย ตอนนี้กลับไม่เจอตัวเขาเพราะหลบอยู่ในสำนักศึกษาเอาแต่นั่งดูโครงกระดูกมังกร ได้ยินว่าดูมาสามวันแล้วทั้งยังขึ้นเขาไปพร้อมกับเว่ยอ๋องอีกด้วย ได้ยินว่าคราวนี้โยนวัวหนึ่งตัวลงมาจากบนเขาด้วย ไม่รู้ว่าวัวที่น่าสงสารตัวนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ล้วนแล้วแต่พวกบ้าทั้งนั้น เพิ่งจะมาสำนักศึกษาได้ไม่กี่วันก็คบหาสหายจำพวกสำมะเลเทเมาจำนวนมาก ไม่รู้จักคิดว่าควรอยู่เป็นเพื่อนท่านปู่ที่บ้าน


 


นางบ่นไปพลางเดินลงข้างล่างไปพลาง แม่เฒ่าที่ดูใจดีมีเมตตาได้นั่งรออยู่ในห้องโถงเล็กๆ เมื่อเห็นซินเย่ว์ออกมา ก็ยิ้มอย่างมีความสุขมากขึ้น “ช่างเป็นหญิงสาวที่งดงามอะไรปานนี้ โหวเหยียของตระกูลอวิ๋นข้าน้อยก็เคยเห็นมาก่อน ช่างเป็นการจับคู่ที่เหมาะสมอะไรเช่นนี้”


 


เพียงพริบตาเดียวซินเย่ว์ก็ถูกล้อมรอบไปด้วยบรรดาฮูหยินทั้งหลาย เมื่อมาถึงที่อาบน้ำพวกนางก็ไม่มีทีท่าว่าจะออกไปเลย คนหนึ่งคอยโปรยกลีบดอกไม้ลงในถังอาบน้ำ อีกคนหนึ่งหยิบขวดน้ำหอมเทลงไปในถังอาบน้ำครึ่งขวดเล็ก ส่วนที่เหลือนั้นแน่นอนว่าต้องรีบเก็บเอาไว้ในแขนเสื้อ


 


เสี่ยวชิวไม่มีโอกาสได้เข้าไปช่วยเลย แม่เฒ่าเริ่มช่วยซินเย่ว์ถอดเสื้อผ้าและใช้ปิ่นปักผมจิ้มลงไปที่แขนของซินเย่ว์หนึ่งครั้ง ท่ามกลางการร้องเสียงหลงของซินเย่ว์ ขั้นตอนของการแต่งงานของนางก็ได้เริ่มต้นขึ้น


 


ซินเย่ว์ถูกแทงเพียงเข็มเดียว อวิ๋นเยี่ยก็แทบจะกระโดดออกจากหน้าต่าง แต่กลุ่มฮูหยินห้อมล้อมเขาเอาไว้ ช่วยกันคนละไม้คนละมือถอดเสื้อผ้าเขาออกเหลือเพียงกางเกงขาสั้น แล้วจับใส่ถังอาบน้ำและปล่อยผมของเขาลงมา จากนั้นจึงเริ่มการอาบน้ำ และที่เลวร้ายที่สุดคือการถือก้านของต้นสนฟาดเขา เหมือนกับการถ่ายทำหนังที่ถ่ายฉากซ้อมตีอย่างรุนแรง แม่เฒ่ายืนสองมือวางบนไม้เท้า ยิ้มตาหยีมองดูหลานชายกำลังรับโทษ เฉิงฉู่มั่วเกาะดูอยู่ที่ขอบหน้าต่างมองดูขั้นตอนต่างๆ เตรียมตัวที่จะแต่งงานในอีกสองเดือนข้างหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าตกตะลึง หนิวเจี้ยนหู่เป็นผู้ที่ผ่านมาก่อน จึงมีท่าทีเข้าอกเข้าใจดี เขาเคยรับโทษประเภทนี้มาก่อน


 


หากไม่เป็นเพราะอวิ๋นเยี่ยริเริ่มประดิษฐ์กางเกงใน ตอนนี้ไม่แน่ว่าคงร่างเปลือยเปล่าไปนานแล้ว แม่เฒ่าที่ผมขาวโพลนอ้าปากกว้างจนเห็นฟันหลอ แต่มือนั้นกลับคล่องแคล่วปราดเปรียว อวิ๋นเยี่ยรู้ว่าหลังของเขาจะต้องเจ็บหนักเป็นแน่ ทั้งตีและฟาด อย่าว่าแต่ความโชคร้ายเลย หากเป็นวาสนาก็คงถูกฟาดจนหายไปหมดตั้งนานแล้ว เมื่อทรมานเสร็จแล้ว เหล่าฮูหยินก็จากไปด้วยความพึงพอใจ เฉิงฉู่มั่วเกาะขอบถังไม้ มองดูอวิ๋นเยี่ยที่หายใจรวยรินอย่างเวทนา หนิวเจี้ยนหู่นั้นมอบเหล้าอุ่นร้อนหนึ่งขวดให้อวิ๋นเยี่ย หวังว่าเขาจะดื่มเรียกขวัญกลับมาและให้กำลังใจเขา “กัดฟันให้ผ่านพ้นวันนี้ไปได้ วันเวลาแห่งความสุขก็จะมาเยือนแล้ว”


 


อวิ๋นเยี่ยเป็นเหมือนตุ๊กตาไม้ ปล่อยให้เหล่าฮูหยินที่ดีใจจนออกนอกหน้าทำตามอำเภอใจ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรจึงต้องใส่ชุดขุนนาง ทั้งยังต้องเป็นชุดที่ใส่ในการประชุมเช้า


 


เพื่อไม่ให้เสื้อผ้าขาดๆ นี่ยับจึงต้องเย็บบุหนาถึงแปดชั้น เมื่อวานเพิ่งจะหัวเราะชาวบ้านที่สวมเสื้อผ้าฤดูหนาวไป วันนี้ตนเองก็ถูกห่ออย่างแน่นหนามิดชิด ไม่มีช่องว่างให้อากาศไหลผ่านเลย แดนกวนจงในเดือนสี่ตามปฏิทินจันทรคติและเดือนห้าตามปฏิทินสุริยคติ หากจะเปรียบแสงแดดราวกับเปลวไฟก็ไม่เกินจริงเลย สวมเสื้อผ้าเช่นนี้ไม่มีผดขึ้นก็แปลกแล้ว


 


การแต่งงานถือเป็นเรื่องรับโทษอย่างหนึ่งจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยโบราณด้วยแล้ว คราวก่อนที่แต่งงานแล้วต้องสวมชุดสูทและเนกไทก็ว่าโง่มากแล้ว คราวนี้ต้องกลับมาสวมชุดเป็นทางการของสมัยถังยิ่งดูโง่กว่าอีก


 


“มา สวมเสื้อด้านในก่อนแล้วใส่กางเกงซับใน โอ้ ผิดแล้ว ต้องสวมถุงเท้าก่อน เชือกผูกไว้ที่ต้นขา เสื้อผ้าทุกชิ้นต้องผูกด้วยสายเชือก จุๆๆ คนหนุ่มสวมชุดแดงนั้นดูดี ไม่เหมือนตาเฒ่าที่บ้านของข้า เมื่อสวมแล้วดูเหมือนปู” ใช่แล้ว นี่คือคำพูดของเฉิงฮูหยินโดยพูดผ่านป้าสะใภ้ของอวิ๋นเยี่ย แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไรอวิ๋นเยี่ยก็คิดว่านางกำลังเก็บประสบการณ์จากเรื่องของตนเอง เพื่อที่จะเตรียมพร้อมสำหรับงานแต่งงานของลูกชายจอมโง่ของนาง


 


แผ่นทับทรวงรึ ฉันจะแต่งงานไม่ได้ไปรบ แขวนของสิ่งนี้เพื่ออะไร อะไรกัน พวกตระกูลของอู่โหวก็ทำกันเช่นนี้ นี่เป็นประเพณี ที่เอวต้องแขวนจี้หยกสี่ถึงห้าชิ้น ที่คอยังต้องแขวนเครื่องประดับหยกอีกสองเส้น อยู่หน้าผากยังต้องคาดผ้าหนึ่งเส้นที่ประดับด้วยหยกอีกด้วย อวิ๋นเยี่ยคิดว่าเขาสามารถเปิดร้านขายหยกได้


 


ดาบหนักราวสองกิโลกรัมครึ่งก็ต้องห้อยติดตัว บนศีรษะสวมรัดเกล้าทองคำ หากปักขนไก่เพิ่มก็เป็นหลี่ว์ปู้[2]หลี่เฟิ่งเซียนแล้ว หลังจากทรมานอยู่กับการแต่งกายและกราบไหว้บรรพชน หนิวฮูหยินก็พบข้อผิดพลาดครั้งใหญ่


 


ไม่มีการผัดแป้ง เช่นนี้ใช้ได้อย่างไรกัน เหล่าฮูหยินต่างยกมือตบหน้าผากลากอวิ๋นเยี่ยกลับมา ถอดหมวกออกแล้วล้างหน้าใหม่ ดอกไม้ผ้าไหมที่ได้รับพระราชทานจากในวังนั้นได้เลือกดอกสีแดงและขนาดใหญ่ เตรียมที่จะปักไว้บนศีรษะ


 


จากการที่อวิ๋นเยี่ยต่อต้านด้วยการเอาความตายเข้าข่มขู่ เหล่าฮูหยินก็ทาแป้งบางๆ ให้เขาหนึ่งชั้น แต่ดอกไม้พระราชทานนั้นปฏิเสธไม่ได้ จึงถูกปักอยู่ด้านข้างรัดเกล้าทองคำสีม่วงซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าศีรษะ


 


ตั้งแต่เช้าจรดค่ำไม่ได้ดื่มน้ำและกินข้าวแม้แต่คำเดียว ก็ถูกท่านย่า ป้าสะใภ้และพี่สาวพาออกไปต้อนรับญาติ ผู้ที่นั่งอยู่บนม้าข้างๆ คือเฉิงฉู่มั่วที่สวมชุดธรรมดาสีหน้าซีดเผือดเหมือนผี บนศีรษะก็ปักดอกไม้สีแดงดอกโตไว้หนึ่งดอกเช่นกัน อ้าปากกว้างเหมือนกะละมังราวกับเพิ่งถูกเผาไฟมา ใบหน้าอึ้งทึ่งตกตะลึงดูเหมือนว่าการให้เขารับมือกับเหล่าฮูหยินของฝ่ายเจ้าสาวนั้นดูแล้วไม่น่าจะไหว


 


โชคดีที่จั่งซุนชงซึ่งรีบกลับมาจากหล่งโย่วนั้นมีความน่าเชื่อถือมากกว่ามาก แม้ว่าจะไม่ได้ดูดีบุคลิกดีทั้งยังถูกดอกไม้บังใบหน้าไปครึ่งหนึ่ง แต่จากการแสดงสีหน้าที่ภาคภูมิใจของเขาดูเหมือนจะชื่นชอบความรู้สึกที่ต้องถูกสายตาฝูงชนจ้องมองเป็นอย่างมาก


 


“ฉงจื่อ ประเดี๋ยวคงต้องพึ่งพาเจ้าแล้ว ฉู่มั่วถูกปลดแล้ว” อวิ๋นเยี่ยพูดกับจั่งซุนด้วยความวิตกกังวล


 


“อีกสักครู่ปล่อยให้เขารับหน้าที่ถูกทุบตีก็พอ ส่วนที่เหลือมอบให้เป็นหน้าที่ของพี่ชายเอง จั่งซุนชงมีความมั่นใจมาก


 


“ถูกทุบตี ใครจะมาตีพวกเรา” หรือว่าญาติฝ่ายหญิงเห็นผีประหลาดสามตัวกำลังเข้าประตูมา จึงต้องเตรียมปราบผี


 


“ใช่ ต้องถูกตี ทั้งยังเป็นการรุมตีด้วย!


 


 


 


——


 


[1] เจ้าแม่หนี่ว์วา เป็นเทพีผู้ให้กำเนิดสรรพสิ่งตามประมวลเรื่องปรัมปราจีน เป็นน้องสาวหรือพี่สาวและเป็นภริยาของฝูซี (伏羲)


 


[2] หลี่ว์ปู้ คือ ลิโป้ ในวรรณกรรมเรื่องสามก๊ก 

 

 


ส่วนที่ 5

 

ตอนที่ 62 ฝ่าด่านรับเจ้าสาวอย่างมุ่งมั่น

 

เมื่อดวงอาทิตย์ลอยอยู่เหนือยอดเขา ขบวนรับเจ้าสาวที่นำโดยอวิ๋นเยี่ยก็มาถึงเรือนเล็กๆ ของตระกูลซิน อาคารขนาดเล็กในรูปแบบนี้ได้นำความยากลำบากเป็นอย่างมากมาสู่การรับเจ้าสาว นอกจากจะง่ายแก่การป้องกันและโจมตียากแล้ว ในตอนนั้นเพื่อแสดงออกถึงความเป็นส่วนตัวผนังลานกว้างไม่ได้เลือกกำแพงแนวป้องกันที่มีความสูงครึ่งตัวคน ทั้งหมดเป็นกำแพงป้องกันที่สูงถึงสามเมตร ในเวลานั้นยังโดนเหล่าอาจารย์แห่งสำนักศึกษาวิพากษ์วิจารณ์ด้วยวาจาและอักษร


 


บรรยากาศอะไรที่ว่าชื่นชมทัศนียภาพเขาหนานซันนั้นถูกทำลายไปจนหมดสิ้น อาจารย์ทุกคนในสำนักศึกษาล้วนเป็นจอมโจรทั้งนั้น ไม่เช่นนั้นทำไมต้องสร้างกำแพงสูงเช่นนี้ ต่างก็เป็นสุภาพบุรุษใจกว้างกันทั้งนั้น มีอะไรที่เปิดเผยไม่ได้กัน


 


ผู้ที่มีอารยธรรมและผู้หญิงนั้นเหมือนกันตรงที่ว่าเอาใจพวกเขายากมาก แต่ละคนมีอารมณ์แปรปรวนจนน่าทึ่ง หลี่เค่อที่จนด้วยเกล้าภายหลังขณะจะสร้างกำแพงแนวป้องกันที่สูงครึ่งตัวคนและแบ่งเป็นห้องห้องนั้น บรรดาอาจารย์ก็รีบแย่งกันอยากจะได้ลานกว้างที่ก่อกำแพงสูง ไม่ต้องการกำแพงสูงครึ่งตัวคนอีกต่อไป


 


ตอนนี้อั่งเปาที่แจกเพื่อผ่านโซ่กั้นประตูก็แจกไปมากมายแล้ว ประตูใหญ่ที่หนักมากเพิ่งจะเปิดแง้มเป็นร่องให้เห็นและยังต้องอ่านบทกวี จั่งซุนชงเดินหน้าต่อไป เปล่งเสียงให้ดังฟังชัดเริ่มอ่านบทกวีสำหรับผ่านประตูที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงมานับร้อยปี


 


หลังจากอ่านบทกวีเสร็จสิ้นประตูก็ปิดลงอีกครั้ง เฉิงฉู่มั่วโกรธมากและตะโกนเรียกคนตัวใหญ่ๆ หนาๆ มาจากนั้นพวกเขาก็เริ่มผลักประตูกันซึ่งพวกเขาล้วนเป็นนักสู้ในกองทัพย่อมรู้วิธีที่จะทำลายสลักประตู เพียงแค่ใช้กลยุทธ์เล็กน้อย สลักประตูที่หนาเท่าท่อนแขนก็พังทลายลงในพริบตาและเปิดออกทั้งสองข้าง ด้านหลังประตูก็มีเสียงร้องโหยหวนดังมาเป็นระยะๆ


 


อวิ๋นเยี่ยเดินหน้าต่อต้องการจะเข้าไปข้างใน จึงถูกจั่งซุนชงเข้ามาลากตัวเอาไว้ ให้หยุดสักครู่ เฉิงฉู่มั่วจึงเป็นผู้นำกลุ่มเข้าไปก่อน เหล่าฮูหยินกลุ่มใหญ่มากแต่ละคนถือกระบองพันผ้าไว้แล้วแห่กรูกันเข้ามากระหน่ำลงมือ หากอยากจะสวนกลับก็ได้กลิ่นของน้ำหอมเพียงอย่างเดียว ยังไม่ทันได้ลงมือก็ได้แต่ต้องยกสองมือกุมศีรษะ และใช้ร่างกายฝืนต้านทานกระบองที่รุมกระหน่ำเข้ามาราวกับห่าฝน


 


จากนั้นจั่งซุนชงจึงพาอวิ๋นเยี่ยเดินเอ้อระเหยลอยชายฝ่าฝูงเหล่าฮูหยินที่ดุดันมาถึงรับแขก หัวหน้าซินมีสีหน้าไม่พอใจ กรงเล็บเหยียดออกจนตึง หากไม่มีอั่งเปาก็ไม่ต้องขึ้นไปข้างบน


 


ว่าที่พี่ภรรยานี่นะ ต้องหาทางจัดการเขาออกไป เห็นเขาเหล่มองจี้หยกที่เอวของอวิ๋นเยี่ยแปลว่าต้องถูกใจแน่ อวิ๋นเยี่ยจึงได้เข้าใจว่าจี้หยกที่ห้อยอยู่ที่เอวของเขานั้นต้องแขวนไว้เพื่อเป็นสินบนพี่ภรรยานี่เอง เมื่อดึงลงมาก็มอบให้ถึงสองอันแล้วใส่ไว้ในมือของหัวหน้าซิน แต่เขายังไม่พอใจยังตั้งใจจะข่มขู่อีกสักเล็กน้อย


 


จั่งซุนชงกระซิบข้างหูหัวหน้าซินอยู่ครู่หนึ่งก็ทำให้เขาดีใจจนเนื้อเต้น อวิ๋นเยี่ยได้ยินรางๆ เพียงสามคำว่าเอี้ยนไหลโหลว


 


ห้องส่วนตัวด้านบนมีเสี่ยวชิวสาวใช้ข้างกายซินเย่ว์ยืนอยู่ที่หน้าประตูห้อง นับตั้งแต่ที่นางรู้ว่าโหวเหยียไม่ได้สนใจในตัวนาง ต้องการเพียงคุณหนูไม่ต้องการนาง ใบหน้าจิ้มลิ้มนั้นก็ไม่เคยยิ้มให้อวิ๋นเยี่ยอีกเลย ร้องไห้มาหลายครั้ง แล้วพูดว่าสาวใช้บ้านอื่นเมื่อคุณหนูแต่งงานสาวใช้ก็ต้องแต่งงานกับนายท่านด้วย ตนเองไม่มีใครต้องการ ซึ่งถือเป็นความอัปยศอย่างมากและจะต้องแก้แค้น จนกระทั่งอวิ๋นเยี่ยสัญญาว่าจะหาคนที่ดีให้นาง นางจึงได้ยอมเลิกรา


 


ตอนนี้เมื่อได้เจอศัตรูก็เกิดอาการอิจฉาอย่างมาก โกรธจนกัดฟันกรอดๆ จากนั้นตะกร้าเล็กๆ ก็ถูกยื่นออกมา จั่งซุนชงตกใจมาก สาวใช้เฝ้าประตูของบ้านอื่นเพียงแค่เจ้าบ่าวส่งสายตาให้เล็กน้อยก็ยอมปล่อยให้ผ่านไปได้อย่างง่ายดาย เหตุใดเมื่อถึงคราวอวิ๋นเยี่ยจึงต้องใส่ของในตะกร้าให้เต็มจึงจะยอมปล่อยผ่าน


 


ในฐานะที่เป็นผีจอมเจ้าชู้คุ้นเคยกับเหล่าสาวๆ มานาน เพียงแค่กวาดตามองเรือนร่างที่อรชรอ้อนแอ้นเหมือนปลาดาบของเสี่ยวชิว ก็เข้าใจได้ในทันทีว่าอวิ๋นเยี่ยปฏิเสธนาง ความแค้นนี้จึงใหญ่หลวงมาก ไม่น่าแปลกใจเลยที่จะยื่นตะกร้าออกมา ไม่ได้ใช้ตะกร้าไม้ไผ่สานถือว่าไว้หน้าเจ้าบ่าวมากแล้ว


 


อวิ๋นเยี่ยถูกปลดทรัพย์จนหมดตัว แม้แต่จั่งซุนชงเองก็ไม่รอดจากเคราะห์กรรมนี้ได้จึงถูกรีดไถตามไปด้วย เสี่ยวชิวเดินยิ้มหวานถือตะกร้าจากไป แม้แต่การท่องบทกวีรับเจ้าสาวก็ไม่เรียกให้ท่อง ของในตะกร้าใบนี้มากเพียงพอที่จะให้นางได้เสวยสุขทั้งชีวิตแล้ว


 


ประตูเปิดออกแล้ว ซินเย่ว์ที่กำลังร้องไห้กระซิกอยู่ด้านหลังแม่สื่อ แป้งบนใบหน้าของนางที่ไม่ได้บางไปกว่าแป้งบนใบหน้าของจั่งซุนชงสักเท่าไรถูกน้ำตาชะล้างจนหายไปหมดแล้ว กำลังเอนกายอยู่ในอ้อมแขนของอาจารย์ซินฟังคำปลอบโยนอยู่ อาจารย์ซินเองก็ขอบตาแดงๆ พยายามปลอบใจหลานสาวอย่างเต็มที่ เมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยเข้ามาจึงยืนขึ้นแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ดูแลซินเย่ว์ให้ดี นางเป็นเด็กดี” เมื่อพูดจบก็หันกลับเดินลงชั้นล่างไปซึ่งดูเหมือนว่าจะรับไม่ได้กับสถานการณ์เช่นนี้


 


อวิ๋นเยี่ยตกตะลึงเป็นอย่างมาก ลาที่ตนเองเลี้ยงมีหรือจะไม่รู้จักนิสัยมัน ซินเย่ว์อยากจะแต่งงานกับเขามานานแล้ว แม้ว่าความรู้สึกผูกพันกับท่านปู่จะลึกซึ้ง แต่ก็ไม่ได้อยู่ห่างไกลกันสามารถเจอกันได้ตลอดเวลา ยังไม่ถึงขั้นต้องโศกเศร้าเสียหน่อย หลายวันก่อนยังถามตนเองอยู่ว่าหากถึงวันแต่งงานแล้วร้องไห้ไม่ออกจะทำอย่างไร จะถูกคนอื่นหัวเราะเยาะหรือไม่ ทำไมวันนี้จึงร้องไห้เศร้าโศกเสียใจเพียงนี้ ดูซินเย่ว์ร้องไห้น้ำตาอาบแก้มเช่นนี้ไม่ได้เป็นผลมาจากการใช้ของต่างๆ เช่น หัวหอม ขิง เป็นแน่


 


อวิ๋นเยี่ยจึงได้แต่คิดว่าเรื่องถึงขั้นนี้แล้ว ประตูแห่งความรู้สึกของซินเย่ว์ได้เปิดกว้างออกไม่เป็นตัวของตัวเอง


 


เกี๊ยวที่ถูกส่งเข้ามานั้นยังดิบอยู่ ซินเย่ว์กินเกี๊ยวดิบทั้งน้ำตา ทั้งยังถูกเหล่าฮูหยินรบเร้าถามว่าเกี๊ยว “ดิบ” หรือไม่ ซินเย่ว์ตอบเสียงงึมงำว่า “ดิบ” พวกนางจึงยอมปล่อยนาง


 


เมื่ออวิ๋นเยี่ยเห็นซินเย่ว์ขยับปากขอเวลาอีกสักครู่ ไม่เข้าใจว่าทำไมนางถึงดูลำบากเพียงนั้น แต่ก็ยังบอกกับทุกคนอย่างชัดเจนว่าใกล้จะถึงฤกษ์แล้วต้องรีบออกเดินทาง


 


อวิ๋นเยี่ยนำอยู่ข้างหน้าและอาจารย์ซินแบกซินเย่ว์ตามมาข้างหลัง เมื่อออกมาแล้วใบหน้าที่หัวเราะสนุกสนานก็หายไป ทุกคนต่างมีสีหน้าเศร้าซึม พวกฮูหยินที่ใจอ่อนก็ถึงกับร้องไห้ ไม่รู้ว่าในใจคิดอะไรอยู่ สรุปแล้วมันดูเศร้าโศกมาก


 


เฉิงฉู่มั่วโดนตีมาโดยตลอด ที่จริงแล้วเพียงแค่เขาร้องขอความเมตตาและอ้อนวอนเสียหน่อยเรื่องนี้ก็จะผ่านไปได้ ใครจะรู้ว่าผู้ชายคนนี้ไม่รู้ว่าอะไรเรียกว่าการยอมจำนนและไม่รู้จักวิ่งหนี เอาแต่นั่งยองๆ อยู่ตรงนั้นให้พวกนางตีจนกระทั่งพวกนางเหนื่อยจึงได้ยอมเลิกรา เฉิงฉู่มั่วจึงได้ยืนขึ้นบิดคอแล้วยิ้มแหะๆ ให้กับฮูหยินเหล่านั้นและตามอวิ๋นเยี่ยออกไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อมาถึงข้างนอกจึงได้รีบนวดแขนแยกเขี้ยวยิงฟันตะโกนร้องว่าเจ็บ เหล่าฮูหยินเห็นว่าเขาไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีจึงลงมืออย่างสุดแรง จั่งซุนชงหัวเราะจนเดินไม่ตรงทาง ในเวลานี้เขาจึงได้สติตื่นขึ้นมาจากฝันร้ายที่ถูกปล้น เมื่อเห็นสภาพที่น่าอนาถของเฉิงฉู่มั่วในใจก็สงบลงมาก


 


มีขันที่มารอที่นี่ตั้งนานแล้ว และส่งมอบตราแต่งตั้งที่เตรียมไว้ให้กับซินเย่ว์ ท่านปู่ของนางใช้เวลาชั่วชีวิตกว่าจะได้ตำแหน่งขุนนางขั้นสี่ ซึ่งเทียบไม่ได้กับหลานสาวที่แต่งงานกับคนคนหนึ่ง


 


จมูกของซินเย่ว์เปล่งประกาย ซึ่งเป็นสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดทุกครั้งเวลาที่นางตื่นเต้น รับชุดพระราชทานท่ามกลางสายตาที่อิจฉาเป็นที่สุดของเหล่าฮูหยินขึ้นเกี้ยวไป ไม่เช่นนั้นนางจะไม่มีสิทธิ์นั่งเกี้ยวม้าสี่ตัวลากของตระกูลอวิ๋น


 


นางออกเดินทางด้วยการแต่งกายเต็มยศ ทหารองครักษ์ที่สวมชุดเกราะยี่สิบสี่คนเดินเปิดทางอยู่ด้านหน้า ทุกคนล้วนสวมเสื้อคลุมสีแดงดูมีบารมีเป็นอย่างมาก เสียงออกคำสั่งดังขึ้น ขบวนก็ออกเดินทาง การรับเจ้าสาวของตระกูลของผู้เป็นอู่โหวนั้นแตกต่างจากขุนนางฝ่ายบุ๋นและชาวบ้านโดยใช้เสียงกลองรบเบิกฤกษ์ เสียงกลองสามครั้งเพื่อคารวะฟ้าดิน ปีศาจมารร้ายต้องถอยหนี


 


ขณะที่อวิ๋นเยี่ยกำลังเดินทางอยู่บนถนนใหญ่นั้น เขาไม่รู้เลยว่าสองข้างทางของถนนมีร่างเงาที่ว่องไวสิบกว่าคนวิ่งทะลุผ่านป่าบนภูเขาอย่างรวดเร็วทำหน้าที่ตรวจสอบตามเบื้องหน้าของถนนทั้งสองด้าน แน่นอนว่าชายผู้นั้นคือหลิวเซี่ยน ธนูยาวที่อยู่ข้างหลังตอนนี้ถูกถือไว้ในมือ ประสาทสัมผัสทางการมองและฟังต้องใช้งานอย่างเต็มที่ หากจู่ๆ กอหญ้าเกิดเสียงอะไรขึ้น ขณะที่ธนูและหน้าไม้ที่หนักอึ้งจะถูกง้างออกรอที่จะยิง ลูกธนูก็ได้ปักลงที่คอหอยของเขาแล้ว


 


เขาไม่ได้ไปร่วมงานแต่งงานของอวิ๋นเยี่ยโดยอ้างว่าไม่สบาย ชายฉกรรจ์ที่คล่องแคล่วปราดเปรียวราวกับเสือดาวมีอาการป่วยเสียที่ไหนกัน ถึงแม้ว่ารอยเท้าจะเล็ก แต่ความเร็วนั้นกลับเร็วมาก นี่คือนักฆ่าคนที่สี่ที่เขากำจัดทิ้ง ในฐานะหัวหน้าองครักษ์ในวัง คนที่จะสั่งการเขาได้มีเพียงฮ่องเต้และฮองเฮาเท่านั้น


 


ตระกูลซินไม่ได้อยู่ห่างจากตระกูลอวิ๋นสักเท่าไร ตลอดทางมีจุดลอบสังหารที่ดีอยู่ไม่กี่แห่ง พวกนักดาบพเนจรและพวกโจรที่ไม่รู้จักที่ตายเหล่านั้น ฝันที่จะใช้เลือดของคนตระกูลอวิ๋นเพื่อแลกกับเงินก้อนใหญ่ ตอนนี้เงินยังไม่ได้เห็นแต่ชีวิตนั้นหายไปแล้ว


 


จึงเตะเท้าหนึ่งเข้าที่นักฆ่าที่กำลังหายใจหืดหอบอย่างรุนแรงจนพลิกคว่ำ ฉีกเสื้อของเขาออกเห็นรอยสักลายเสือ หลิวเซี่ยนพูดเบาๆ ว่า “พรรคเหมิงหู่จอมวายร้าย คิดว่าพวกเขาสามารถอาละวาดในฉางอันได้อย่างนั้นหรือ” เมื่อพูดจบเหล็กแหลมของรองเท้าก็เตาเข้าอย่างแรงที่ช่วงกระหม่อมของนักฆ่า


 


อวิ๋นเยี่ยประเมินความโกรธแค้นของโต้วเอี้ยนซันที่มีต่อตนเองต่ำเกินไป เงินห้าพันก้วนทำให้ผู้ที่ถวายชีวิตเพื่อเงินเกิดความบ้าคลั่ง ในเมืองฉางอันที่เจริญรุ่งเรืองก็ต้องมีบางสถานที่ที่ดวงอาทิตย์ไม่สามารถส่องแสงเข้าถึงได้และคนที่ทำงานแลกชีวิตก็จะเดินอยู่ในมุมที่มืดมิดนั้น


 


ภายใต้การอนุญาตอย่างลับๆ ของฮ่องเต้ จั่งซุนจึงมีคำสั่งลงมาให้หลิวเซี่ยนนำทหารราชองครักษ์ห้าสิบคนคอยป้องกันอวิ๋นเยี่ยอย่างลับๆ หลายวันนี้นักฆ่าที่ถูกกำจัดไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งไม่ใช่พวกโง่เง่าที่เปิดเผยให้รู้เหล่านั้น


 


หลังจากหลิวเซี่ยนนำองครักษ์มุ่งหน้าต่อไป ศีรษะของเหล่าเจียงก็โผล่ออกมาจากกอหญ้าและโบกมือ ชายชราอีกคนที่แบกธนูสั้นไว้อีกคนหนึ่งก็ไหลตัวลงมาจากต้นไม้ ชายชราที่แบกธนูสั้นเบ้ปากใส่ทิศทางที่หลิวเซี่ยนมุ่งหน้าห่างออกไปและพูดกับเหล่าเจียงว่า “หัวหน้าเจียง เจ้าเด็กบ้าคนนี้เป็นลูกของหน่วยข่าวกรองหรือ ทำไมทำอะไรไม่เรียบร้อยเลย ท่าทางก็ดูดีแต่ทำไมดูไม่มีสมองเอาเสียเลย หากเราสองคนลงมืออย่างเ**้ยมโหด เด็กหนุ่มทั้งหกคนนี้จะสามารถมีชีวิตรอดกลับไปได้อีกหรือ ชายหนุ่มที่เป็นที่หวาดเกรงของทุกคนเมื่อสมัยก่อนหายไปไหนแล้ว ตอนนี้กลายเป็นพวกเด็กฝึกหัดไปเสียแล้ว”


 


“โหวเหยียอายุน้อยและไม่มีประสบการณ์ นี่เป็นโอกาสที่ชายชราอย่างพวกเราจะออกโรงแล้ว เรื่องฆ่าคนไม่จำเป็นต้องให้มือโหวเหยียเปรอะเปื้อน โหวเหยียเพียงแค่นำพวกชาวบ้านคอยแย่งกันเก็บเหรียญก็พอแล้ว สำหรับหน่วยข่าวกรอง ตาเฒ่าเหล่านั้นต่างก็ไปนั่งเสพสุขกันหมดแล้ว ตอนนี้จะรำดาบได้หรือไม่ยังไม่แน่เลย ความร่ำรวยคือดาบที่ฆ่าคน วันนี้เป็นวันดีที่ฮูหยินน้อยจะแต่งเข้าบ้าน สองมือของพวกเราก็เปื้อนเลือดให้น้อยลงหน่อยถือเป็นการสะสมบุญให้กับโหวเหยีย”


 


คนเขลานั้นมักจะมีความสุข อวิ๋นเยี่ยรับซินเย่ว์กลับบ้าน ป้าสะใภ้และอาหญิงยืนอยู่หน้าประตูใหญ่รอต้อนรับ ชายชราที่สูงวัยที่สุดในหมู่บ้านคว้าสายบังเ**ยนม้าไว้ กระแอมแล้วตะโกนว่า “ถึงบ้านแล้ว! “


 


พรมสักหลาดสองผืนที่ปักลวดลายดอกโบตั๋นแห่งความมั่งคั่งก็ถูกปูไว้ที่ด้านหน้ารถม้า เสี่ยวชิวพยุงซินเย่ว์ให้เหยียบลงบนพรมนั้น เดินหนึ่งก้าวแล้วจึงหยุดเหล่าฮูหยินที่อยู่ด้านหลังนั้นก็นำพรมมาปูไว้ใต้ฝ่าเท้าของซินเย่ว์อีกครั้งและตั้งชื่ออันไพเราะว่า ‘ก้าวหน้าทุกย่างก้าว เท้าไม่เปรอะเปื้อน ไม่มีวันโชคร้าย’ 


 


หลังจากเข้าบ้านก็ต้องเดินข้ามอานม้า กระถางไฟ สามีภรรยากราบไหว้ฟ้าดินและบรรพบุรุษเสร็จแล้วจึงคารวะท่านย่า ภายใต้การเป็นสักขีพยานของท่านย่าที่ยิ้มจนมองไม่เห็นดวงตาสองสามีภรรยาคารวะซึ่งกันและกันเสร็จสิ้น จากนั้นให้แม่สื่อตัดปอยผมของทั้งสองลงมาหนึ่งกำ และถักเป็นเปียวางไว้ในกล่องเล็กๆ แล้วส่งให้ซินเย่ว์ กล่าวว่าอยู่คู่กันเป็นสามีภรรยา จากนั้นก็ส่งซินเย่ว์เข้าห้องหอ


 


อวิ๋นเยี่ยนั้นยังไม่ทันจะได้วิ่งหนี ก็ถูกหนิวเจี้ยนหู่คว้าตัวเอาไว้อย่างดุดัน เมื่อคิดถึงการทำงานที่เลวร้ายของตนเองในงานแต่งงานของหนิวเจี้ยนหู่แล้ว ขาและท้องของอวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกบีบเกร็งขึ้นมา


 


โชคดีที่คนรับใช้ของตระกูลอวิ๋นมักจะรู้จักแก้ไขสถานการณ์เสมอ เหล้าสองไหก็วางอยู่ตรงหน้าพวกเขาและไม่ยอมจากไป ยืนดูสองพี่น้องด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกใดๆ คนรับใช้เปิดเหล้าออกหนึ่งไหแล้วยกดื่ม แล้วนำเหล้าสองไหมาวางไว้ด้านหน้าพวกเขาแล้วพูดว่า “ข้าน้อยวันนี้จะเป็นราชาขี้เมา อวี้ฉือเหล่ากั๋วกงนั้นเมาไปแล้ว เขาบอกว่าเหลือเพียงโหวเหยียและหนิวโหวเหยียน้อยเท่านั้นที่สามารถมอมเหล้าข้าน้อยได้ ดังนั้นจึงตั้งใจมาที่นี่เพื่อขอการชี้แนะ”


 


ตระกูลหนิวไม่มีเมล็ดพันธุ์ที่ใช้การไม่ได้ อวิ๋นเยี่ยเห็นเลข ‘หกสิบ’ สองตัวบนไหเหล้า ก็ปิดตาทนดูต่อไปไม่ได้ 

 

 


ส่วนที่ 5

 

ตอนที่ 63 เข็มที่กลางหลัง

 

ตระกูลอวิ๋นไม่เคยมีพวกไม่เอาไหน ลองดูคนรับใช้คนนี้ที่ภายนอกดูภักดีมาก สีหน้าเต็มไปด้วยความลำบากใจ เมื่อเหล่ากั๋วกงออกคำสั่งนั่นก็คือคำสั่งทหาร จำเป็นต้องทำตาม เพื่อทำตามคำสั่งแล้วแม้แต่เจ้านายยังต้องลงมือเลย ช่างเป็นคนรับใช้ตัวอย่างที่รักษาคำสั่งดั่งชีวิตจริงๆ สำหรับอวี้ฉือเหล่ากั๋วกงนั้นจะยังคงมีสติอยู่หรือไม่นั้นก็ไม่อาจรู้ได้


 


 


อวิ๋นเยี่ยดื่มเหล้าไปหนึ่งไหแล้วเช็ดปากและจากไป ได้จังหวะพอดีกำลังกระหายน้ำอยู่เลย ปากไหเหล้าถูกทาไว้ด้วยเหล้าข้าวเหนียวหมักที่ดีกรีแรงซึ่งได้อุณหภูมิเหมาะพอดื่ม คนรับใช้เหล่านี้มักจะเข้าอกเข้าใจคนอื่นเสมอ ปากก็ชมเปาะพลางทิ้งให้หนิวเจี้ยนหู่ที่กอดไหเหล้ายืนอึ้งอยู่เอาไว้ตรงนั้น ออกไปต้อนรับแขกเพียงลำพัง


 


 


หลี่จิ้งโยนถั่วปากอ้าเข้าปากทีละเม็ดๆ ไม่ได้สนใจในอาหารที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะเลยแม้แต่นิดเดียว อวี้ฉือกงตอนนี้ได้ปราบราชาขี้เมาไปสี่หรือห้าคนแล้ว ตอนนี้กำลังพยายามดึงเฉียนทงอยู่โดยบอกว่าเขาเป็นคนที่หก เฉียนทงน้อมตัวลง ปล่อยให้อุ้งตีนหมีของอวี้ฉือกงตบหลังของเขาไปมา รอยยิ้มบนใบหน้าก็ไม่ได้ลดลงเลย ในตระกูลอวิ๋นไม่มีใครแล้ว นี่เป็นปัญหาใหญ่มาก การจะหาพ่อบ้านได้สักคนมันเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย หากต้องพังด้วยมือของอวี้ฉือจอมโง่มันไม่คุ้มค่าเลยจริงๆ แต่ก็จะดูโหดร้ายเกินไปที่จะส่งสาวใช้สองสามคนไปอยู่เป็นเพื่อนพวกเขา อวิ๋นเยี่ยจึงจำเป็นต้องมารับหน้าเอง


 


 


หลี่เซี่ยวกงนั้นเป็นคนที่ไม่เลวเลย ก่อนที่อวิ๋นเยี่ยจะเข้ามา เขาก็ได้รินเหล้าไว้เต็มๆ สามจอกใหญ่ๆ ทั้งยังหยิบขาหมูจากจานมาครึ่งขาและวางไว้ข้างๆ “ผู้ชายตระกูลอวิ๋นนั้นมีน้อย ข้าจะไม่ลงโทษเจ้าฐานที่ชักช้า แต่งงานนี่นะ ต้องโดนเช่นนี้กันทุกคน ถ้ายังไม่ได้กินอะไรก็กินขาหมูก่อน เหล้าสามชามนี้ต้องดื่มให้หมดแล้วเรื่องจะจบ แล้วไปหาคนรับใช้ที่พอจะใช้การได้มารับหน้าแทน ฮึ”


 


 


ซึ่งนี่ไม่มีอะไรให้อธิบาย จึงเทเหล้าสามจอกลงในชามเล็กและรินเพิ่มอีกสามจอก อวิ๋นเยี่ยโค้งกายคำนับผู้อาวุโสแห่งกองทัพที่มาร่วมพิธีแต่งงานของเขาและพูดว่า “ผู้อาวุโสทุกท่านมาแสดงความยินดีกับผู้น้อย แต่ตระกูลอวิ๋นดูแลไม่ทั่วถึงจริงๆ จึงขออนุญาตให้ผู้เยาว์ได้ขอขมาด้วย” เมื่อพูดจบก็ยกชมขึ้นดื่มหมดในคราวเดียว


 


 


หลี่จิ้งที่นั่งเคี้ยวถั่วปากอ้าค่อยๆ พูดช้าๆ กับเหล่าแม่ทัพที่ร่วมโต๊ะว่า “ถึงแม้ว่าเจ้าหนุ่มคนนี้จะกะล่อน แต่ก็ยังมีความรับผิดชอบ บนทุ่งหญ้าสามารถกัดฟันตัดนิ้วมือนิ้วเท้าของทหารนับร้อยได้โดยหน้าไม่ถอดสี อาศัยอยู่ในกระท่อมน้ำแข็งตลอดฤดูหนาวก็ไม่บ่นลำบากสักคำ นับได้ว่ามีประสบการณ์อยู่บ้าง ภายหน้าต้องไปสนามรบให้มากกว่านี้ ตอนนี้แต่งงานแล้ว หลังจากใช้ชีวิตคู่สักปีมีผู้สืบทอดจึงจะเป็นเวลาที่เหมาะจะใช้เจ้าหนุ่มคนนี้ให้ถึงตายได้ ไม่ว่าไปตกอยู่ในมือของพี่น้องท่านใดก็ไม่ต้องเกรงใจ พวกที่เจ้าเล่ห์เหลี่ยมจัดไม่ว่าอย่างไรก็ได้ผลประโยชน์ ไม่ว่าท่านจะให้เขาทำอะไรก็ตามเขาก็ทำจะให้ได้อย่างเรียบร้อยงดงาม ยิ่งเป็นเรื่องที่ยากลำบากเท่าไหร่หากมอบหมายให้เขาก็ยิ่งมั่นใจได้”


 


 


แม่ทัพหลี่ต้าเลี่ยงตั้งค่ายประจำการอยู่ที่เจียวโจวมาโดยตลอด ยากนักที่จะกลับเมืองหลวง หลังจากเข้าเฝ้าแล้วก็เก็บตัวอยู่เป็นเพื่อนภรรยาและลูกๆ อยู่ที่หมู่บ้านนอกเมือง ประจวบเหมาะมาเจอกับงานแต่งงานของอวิ๋นเยี่ย สองวันก่อนอวิ๋นเยี่ยนำเทียบเชิญไปเชิญด้วยตนเองถึงที่บ้าน เขาจึงยอมก้าวเท้าออกจากบ้าน หลี่ต้าเลี่ยงลูบเคราและพูดกับฉินฉยงว่า “พี่ซูเป่า ดูไปแล้วสุขภาพดีขึ้นมาก ได้ยินมาว่านี่เป็นฝีมือของเจ้าหนุ่มคนนี้ เรื่องเล่าลือภายนอกยากจะเชื่อถือได้ เรื่องโรคของลูกข้าพวกท่านก็รู้ดี ไม่รู้ว่าเขาพอจะมีวิธีช่วยได้หรือไม่”


 


 


ฉินฉยงนั่ง รอให้รุ่นเหนียงเขี่ยก้างปลาออกให้เขา ร่างกายอ่อนแอมาก มือสั่นเทาไม่หยุดจึงไม่สามารถทำเรื่องที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ได้ การที่หญิงในครอบครัวจะอยู่ข้างกายผู้สูงอายุเพื่อคอยรับใช้นั้นถือเป็นเรื่องที่เห็นได้ทั่วไปในต้าถัง แต่รุ่นเหนียงนั้นชอบจะมาดูแลตระกูลฉิน มีผู้อาวุโสที่นั่งอยู่เต็มโต๊ะแต่นางเลือกที่จะนำก้างปลาออกให้เหล่าฉินเพียงคนเดียว ปลาเฉาจะมีก้างสักเท่าไหร่กัน นางก็นั่งเขี่ยก้างปลาออกอยู่ค่อนวัน


 


 


สิ่งนี้ทำให้เหล่าฉินได้หน้าเป็นอย่างมาก ใบหน้าสีเหลืองของเขาเริ่มมีสีแดงแล้ว เมื่อได้ยินสหายเก่าถามเช่นนี้ เขาจึงพูดกับอวิ๋นเยี่ยตรงๆ ว่า “ลูกชายที่เป็นคนดูแลครอบครัวของท่านอาหลี่เจ้าเป็นเด็กดีมาก เพียงแต่เป็นคนพูดติดขัด ทุกครั้งที่พูดมักทำให้คนร้อนใจไปด้วย เจ้าช่วยหาเวลาไปดูหน่อย หากรักษาโรคได้ ท่านอาหลี่ของเจ้าจะซาบซึ้งเจ้าไปตลอดชีวิต รวมถึงตาเฒ่าอย่างพวกเราก็ถือว่าเป็นหนี้น้ำใจเจ้าด้วยเช่นกัน”


 


 


ที่แท้เป็นคนติดอ่าง นี่เป็นภาวะบกพร่องทางการสื่อความซึ่งเป็นการสูญเสียความสามารถใช้การใช้หรือเข้าใจคำพูด ไม่ใช่โรค หลังจากผ่านการอบรมและการชี้นำแล้ว ขอเพียงสามารถลบต้นเหตุแห่งความกลัวของเขาทิ้งไปได้อาการก็จะค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าจะไม่สามารถพูดได้เร็วเหมือนคนธรรมดาทั่วไป แต่การสนทนาทั่วไปจะไม่มีปัญหาใดๆ ในยุคปัจจุบันมีแผ่นโฆษณาเล็กๆ สำหรับการรักษาอาการพูดติดอ่างอยู่เต็มเสาไฟฟ้า โรคเล็กๆ ที่พวกแพทย์ทหารกว่างโจวสามารถรักษาให้หายขาดได้ ไม่มีเหตุผลที่เขาจะทำไม่ได้ นอกจากนี้ก็เคยได้ยินเรื่องการพูดติดอ่างของหลี่ว่านหลี่มานานแล้ว เพียงแต่คนเขาไม่มาหาเรา เราก็ไม่สามารถไปถามได้ ไม่เช่นนั้นแล้วอาจเป็นการล่วงเกินผู้อื่นเข้าและจะได้กลายเป็นแพทย์ทหารกว่างโจวจริงๆ นอกจากนี้พี่หลี่ว่านหลี่เผิงเฉิงตนเองก็ชอบพูดว่าไม่มีปัญหา ทั้งยังร้องเพลงได้ไม่เลวด้วย แต่พูดคุยกับคนอื่นไม่ได้ เมื่อพูดก็จะติดอ่างทันที ตระกูลเฉิงและหลี่นั้นเป็นสหายกันมาหลายชั่วคน เฉิงฉู่มั่วก็ไม่ยอมไปเล่นกับเขาโดยบอกว่าไม่ชอบเพราะคุยด้วยแล้วเหนื่อยมาก


 


 


“ข้าเองก็ว่าเพราะเหตุใดพี่เผิงเฉิงจึงบ่ายเบี่ยงไม่ยินดีที่จะมาสำนักศึกษา ที่แท้มีเรื่องนี้เป็นเหตุรวมอยู่ในนั้นด้วย เมื่อท่านอาหลี่กลับไปแล้วรบกวนท่านส่งเผิงเฉิงมาที่นี่ หนึ่งปีให้หลังหลานชายจะส่งมอบลูกชายที่พูดได้อย่างคล่องแคล่วให้แก่ท่าน”


 


 


“ที่นี่มีผู้อาวุโสมากมาย ข้าน้อยย่อมไม่กล้าคุยโม้โอ้อวด” หลี่ต้าเลี่ยงไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไร เขาเชิญหมอชื่อดังมานับไม่ถ้วน คนนี้บอกว่าเป็นโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจ อีกคนก็บอกว่าเป็นโรคเกี่ยวกับปอด กินยามากมายแต่ก็ไม่เห็นว่าอาการจะดีขึ้น ซ้ำร้ายยิ่งรุนแรงมากขึ้นด้วย เคยมีตัวอย่างเหล่านี้เกิดขึ้นมาก่อนจึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่รู้สึกสงสัยอยู่บ้างกับการที่อวิ๋นเยี่ยรับปากอย่างง่ายดาย


 


 


ฉินฉยงที่กำลังรับประทานปลาอยู่ก็เงยหน้า พูดกับหลี่ต้าเลี่ยงว่า “เขารับปากแล้วก็เป็นเรื่องของเขา เจ้าจะสนใจอะไรมากมาย หนึ่งปีผ่านไปเจ้าคอยตรวจสอบผลลัพธ์ก็พอ เรื่องอื่นนั้นไม่ต้องไปสนใจ ไม่เช่นนั้นเรามาพนันกัน หนึ่งปีให้หลังมาดูคำตอบกัน พี่ชายขอพนันว่าโรคของเสี่ยวเผิงจะต้องได้รับการรักษาจนหายขาด ส่วนของเดิมพันก็เป็นแมวป่าสองตัวของเจ้า ข้าสัญญากับแม่หนูรุ่นเหนียงไว้ว่าจะให้นางหนึ่งตัว มิฉะนั้นข้าคงกินปลาด้วยความรู้สึกผิด”


 


 


“ที่บ้านของน้องชายมีอยู่ หากท่านพี่ชอบก็มานำไปได้เลย เหตุใดต้องทำให้วุ่นวายเพียงนั้น คราวนี้ข้ากลับเมืองหลวง ฝ่าบาทจะให้ข้ารับเจ้ากรมแรงงาน จัดการทำความสะอาดความวุ่นวายให้เป็นระเบียบ พึ่งพาบารมีเจ้าหนุ่มคนนี้เหล่าตู้ถูกเขาหลอกจนหัวปั่นไปหมด บ่นโอดครวญจะลาป่วยออกจากราชการ คราวนี้คนกันเองเป็นคนรับงานต่อ เจ้าหนุ่ม ลูกไม้อันแพรวพราวของเจ้าก็เล่นให้น้อยลงหน่อย ปล่อยให้ข้าได้ใช้ชีวิตที่สุขสบายสักช่วงหนึ่ง”


 


 


หลี่ต้าเลี่ยงรับตำแหน่งเป็นเจ้ากรมแรงงานแล้ว นี่กลับถือเป็นข่าวดี เหล่าพี่น้องในกองทัพต่างหัวเราะร่วน ตลอดเวลาที่ผ่านมาขุนนางฝ่ายบุ๋นไม่ยอมเลิกล้มความพยายามที่จะควบคุมหกกรมในราชสำนักให้ได้ อวิ๋นเยี่ยเป็นคนของกองทัพการกระทำของเขานั้นสอดคล้องกับความต้องการของเหล่าแม่ทัพเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งนี่ก็เป็นสาเหตุว่าทำไมเขาก่อเรื่องขึ้นแต่กลับไม่ได้ถูกตอบโต้อะไรมากมายนัก และต่างก็มองว่านี่เป็นความประสงค์ของทหาร


 


 


งานแต่งงานดำเนินต่อไป หลี่จิ้งไม่ใช่ว่าไม่กินอะไรเลย แต่เขากินเพียงแค่ปลาและยังกินไปสี่ตัวแล้วด้วย เมื่อจะกลับยังสั่งให้ห่อกลับบ้านด้วย ตั้งแต่กลับมาถึงเมืองหลวง เขากำลังปวดศีรษะเกี่ยวกับเรื่องอาหารและที่พัก ซ่อมแซมสวนอย่างบ้าคลั่ง เมื่อเร็วๆ นี้เขาชอบกินปลาขึ้นมาอวิ๋นเยี่ยจึงทำปลาหลีฮื้อให้ทำจนหลี่จิ้งหนีเตลิดเปิดเปิง อวิ๋นเยี่ยไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร ตั้งใจไปถามพ่อครัวโดยเฉพาะจึงได้รู้ว่าในต้าถังไม่อนุญาตให้กินปลาหลีฮื้อ ซึ่งมีพระราชโองการนี้โดยเฉพาะตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน นี่มันกฎบ้าบออะไรกัน ชาวบ้านแต่ละคนมีสีหน้าซีดเหลืองและผอม ปลาหลีฮื้อแต่ละตัวในแม่น้ำได้จะกลายเป็นปีศาจปลากันอยู่แล้ว ไม่น่าแปลกใจเลยที่แม้แต่คนโง่เรื่องตกปลาอย่างตนเองจะสามารถตกได้ปลาหลีฮื้อหนักถึงเจ็ดแปดจิน ปลาพวกนี้ตอนนี้ไม่กลัวผู้คนแล้ว ถ้ากล้าหย่อนเบ็ดมันก็กล้ากัดเหยื่อ อย่างไรเสียแม้ว่าจับได้ก็จะต้องรีบปล่อยมันไปทันที ทั้งยังห้ามไม่ให้ใครรู้อีก นี่เป็นเพราะฮ่องเต้แซ่หลี่[1] ถ้าหากคนแซ่หมี่[2]เป็นคนครองบัลลังก์ ชาวบ้านทั่วหล้าจะไม่อดตายกันหมดหรือ อวิ๋นเยี่ยตัดสินใจว่าหากคราวหน้ารัชทายาทมาที่นี่ เขาจะต้องทำปลาหลีฮื้อเปรี้ยวหวานให้รัชทายาทกิน รอจนกินหมดแล้วค่อยบอกเขา จะดูว่าเขาจะรู้สึกเหมือนกินพวกเดียวกันหรือไม่


 


 


หลี่กังถูกสวี่จิ้งจงพยุงขึ้นรถเทียมวัว พวกเขาทั้งคู่ต่างก็เมามาย หัวเราะคึกคักสนุกสนาน เคารพผู้อาวุโสรักเด็กตอนนี้เหลาสวี่ทำตามได้อย่างดีเยี่ยม การดูแลทุกเรื่องในสำนักศึกษาก็ไม่ขาดตกบกพร่อง หลายเดือนที่ผ่านมาไม่มีเรื่องการโกงเกิดขึ้นอีกซึ่งทำให้อวิ๋นเยี่ยประหลาดใจมาก ตอนนี้สำนักศึกษาดำเนินการไปได้ด้วยดี สวี่จิ้งจงนั้นมีส่วนช่วยอย่างมาก อาคารขนาดเล็กริมน้ำทำให้ทั้งครอบครัวของเขายิ้มหน้าบาน บางทีสำนักศึกษาอาจเป็นสถานที่แรกที่ยอมรับเขาจริงๆ วันนี้เป็นวันรับเจ้าสาว ผู้ที่ถือพลองพันผ้าตีเฉิงฉู่มั่วอย่างดุดันที่สุดก็คือภรรยาของเขา ในอดีตไม่มีใครเชิญเขาทั้งครอบครัวมาร่วมงานแต่งงาน แม้จะเชิญก็มีเพียงสวี่จิ้งจงเพียงคนเดียวเท่านั้นซึ่งก็เกี่ยวข้องกับงานราชการ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับมิตรภาพเลย


 


 


เหล่าชาวบ้านก็จากไปอย่างอาลัยอาวรณ์ ได้กินอาหารตั้งแต่เที่ยงจนถึงมืดเป็นที่น่าดีใจมากจริงๆ หมูสามชั้นตุ๋นซอสแดงชามใหญ่ชามแล้วชาวเล่าถูกสั่งออกมาไม่ขาดสายและยังมีหมูสามชั้นพะโล้ที่มันเยิ้ม หากใครกินผักจะโดนดูถูก ผู้ที่กินปลาจะชวนให้คนอื่นอารมณ์เสีย เมื่อเด็กๆ กินเนื้อมากเกินไปอยากจะกินผัดรากบัวแก้เลี่ยน ก็จะถูกบิดาจิ้มด้วยตะเกียบที่หน้าผาก ตักได้ไก่ครึ่งตัวก็วางใส่ชามของลูก…


 


 


ภาพรวมนั้นทุกคนพอใจเป็นอย่างมาก ตั้งแต่ระดับกั๋วกงจนถึงชาวบ้านต่างก็พึงพอใจมาก พ่อครัวของตระกูลอวิ๋นไม่ได้รับค่าแรงเปล่าๆ ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่เดินเชิดหน้าชูตาอยู่นอกตระกูลอวิ๋นได้อย่างเต็มที่ เหล่าจวงถือตะกร้าเดินเล่นอยู่รอบลานบ้านและหยิบไก่ออกมาหนึ่งตัวโยนขึ้นหลังคาบ้านเป็นระยะๆ อวิ๋นเยี่ยเห็นมือยื่นออกมาจากในมุมมืดและจับไก่ไว้แน่นจากนั้นก็หดกลับเข้าไป เหล่าเจียงนั่งอยู่บนเขาจำลองเพียงลำพังและรินเองดื่มเองอยู่คนเดียวด้วยท่าทางภูมิใจมาก เมื่อเห็นว่าอวิ๋นเยี่ยจะเดินเข้ามาก็โบกมือส่งสัญญาณว่าไม่ต้อง


 


 


สวนหลังบ้านเงียบสงบมาก โคมไฟสีแดงเปล่งแสงสลัวดูอบอุ่น สวนหลังบ้านทั้งสวนเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความมงคล เสี่ยวชิวเฝ้าอยู่ด้านหน้าประตูห้องของอวิ๋นเยี่ย นางเพิ่งจะไล่เฉิงฉู่มั่วที่ออกมาจากหลังพุ่มดอกไม้ให้กลับออกไป จั่งซุนชงกำลังรับการรักษาด้วยการนวดเอวอยู่ ถูกเหล่าเจียงดึงออกมาจากด้านหลังเสามีหรือจะโดนเบาๆ ส่วนหนิวเจี้ยนหู่นั้นหาตัวไม่เจอ คนรับใช้ที่เป็นราชาขี้เมานั้นบอกว่าเสี่ยวโหวเหยียทนฤทธิ์เหล้าไม่ไหวจึงเข้านอนแล้ว


 


 


ซินเย่ว์นั่งนิ่งไม่ขยับอยู่บนเตียง ซึ่งน่าจะเป็นเช่นนี้มานานแล้ว อวิ๋นเยี่ยรู้สึกผิดเล็กน้อย งานแต่งงานของตระกูลใหญ่อย่าเรียกว่างานแต่งงาน แต่น่าจะเรียกว่างานสังสรรค์ในสังคมมากกว่า มีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ การร่วมมือกันเพื่อผลประโยชน์ที่ซับซ้อนเป็นอย่างมาก การลองใจทุกประเภท การเป็นปรปักษ์ทุกชนิดต่างก็เปิดเผยออกมาทีละอย่าง อวิ๋นเยี่ยในเวลานี้อ่อนเปลี้ยเพลียแรงที่จะรับมือ


 


 


“เหนื่อยไหม” อวิ๋นเยี่ยดึงซินเย่ว์ให้ลุกขึ้นแล้วกอดไว้ในอ้อมแขน ซุกศีรษะไว้ระหว่างซอกคอนาง สูดดมกลิ่นหอมที่ชวนให้เมามายและถามนางเบาๆ


 


 


“เหนื่อยและปวดด้วย” หลังจากพูดจบนางก็เริ่มถอดเสื้อผ้า


 


 


เช่นนี้ก็แลดูใจร้อนเกินไปหน่อยกระมัง อวิ๋นเยี่ยมองซินเย่ว์ที่ถอดเสื้อผ้าด้วยอาการตกตะลึง เบื้องหน้าเห็นนางถอดเสื้อผ้าจนดูเหมือนแกะขาวตัวหนึ่ง จากนั้นก็นอนบนเตียงและเรียกอวิ๋นเยี่ย “ท่านพี่ รีบช่วยข้าด้วย”


 


 


เรื่องนี้ต้องรีบช่วย อวิ๋นเยี่ยถอดเสื้อผ้าของเขาออกอย่างรวดเร็ว เตรียมพร้อมที่จะกระโจนเข้าไปช่วยคลายความเจ็บปวดของซินเย่ว์ ขณะที่เขากำลังคิดว่าจะใช้รูปแบบเสือหิวกินอาหารหรือมังกรคู่โผล่พ้นน้ำจึงจะดีกว่ากัน จึงจะสามารถแสดงออกถึงความรู้สึกตัวเองว่าอดรนทนรอไม่ไหวแล้วอยู่นั้น กลับพบว่าซินเย่ว์พลิกแขนข้างหนึ่งโอบมาที่ด้านหลังเขาด้วยความยากลำบาก ท่าทางแปลกๆ นี่มันอะไรกัน


 


 


เมื่อจ้องมองดูเขาก็โกรธมาก เข็มปักผ้ายาวหนึ่งนิ้วที่ร้อยเชือกห้าสีถูกฝังไว้ที่หลังของซินเย่ว์ เลือดจับตัวแข็งเป็นก้อนแล้ว จึงเอื้อมมือดึงเข็มออกมาและนำผ้าเปียกมาค่อยๆ เช็ดรอยเลือดบนแผ่นหลังของนางอย่างทะนุถนอม รู้ได้ว่านี่เป็นประเพณีประหลาดของพวกทหารฝ่ายบู๊อีกแล้วเพื่อเป็นการข่มขวัญเจ้าสาว ภายหน้าจะได้ดูแลควบคุมได้ง่าย ไม่กล้าวางอำนาจบาตรใหญ่มากเกินควร


 


 


ซินเย่ว์พลิกตัวกลับมานอนอยู่ในอ้อมแขนของอวิ๋นเยี่ย พูดอย่างน่าสงสารว่า “สี่เหนียงบอกว่านี่เป็นประเพณี มีเพียงการทำเช่นนี้จึงจะช่วยคุ้มครองให้ลูกหลานตระกูลอวิ๋นเจริญรุ่งเรืองชั่วลูกชั่วหลาน”


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] หลี่ซื่อหมินนั้นแซ่หลี่ ซึ่งปลาหลีฮื้อหรือปลาคาร์พในภาษาจีนอ่านว่า ‘หลีอวี๋’ ซึ่งออกเสียงใกล้เคียงกับแซ่หลี่ จึงถือว่าหากกินปลาหลีอวี๋ก็เหมือนกินคนแซ่หลี่ด้วย


 


 


[2] คำว่าข้าว ในภาษาจีนกลางนั้นออกเสียงว่า ‘หมี่’

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)