เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 5 ตอนที่ 58-60
ส่วนที่ 5
ตอนที่ 58 ความใฝ่ฝันของโก่วจื่อ
รอยยิ้มของโก่วจื่อนั้นเจิดจ้าและชวนมองมาก เพราะมักจะยิ้มยิงฟันจนเห็นฟันขาวๆ คนในแดนกวนจงที่จะมีฟันที่ดีเช่นนี้นั้นหาได้น้อยมาก โดยมากแล้วจะมีฟันเหลืองกันซึ่งบางทีอาจจะเป็นเพราะอาหารการกิน แต่หลักการข้อนี้ไม่ส่งผลกระทบอะไรกับโก่วจื่อเลย ฟันของเขาขาวราวกับหินหยกที่ส่องประกายเจิดจรัส การกินอาหารบำรุงร่างกายเป็นเวลาหนึ่งปีกว่าได้ทำให้เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ร่างผอมๆ เล็กๆ ได้กลายเป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลา
หมี่จือแดนแห่งสาวงามและถั่วเต๋อแดนแห่งชายฉกรรจ์ ไม่ต้องถามไม่ต้องมองใครก็รู้ หนุ่มน้อยวัยเยาว์ควบม้าผ่าน ทำให้หมี่จือหลงใหลอย่างคลั่งไคล้ สิงโตเฝ้าอยู่หน้าบ้านแมวไม่กล้ำกราย ชายแห่งแดนถั่วเต๋อแข็งแกร่งกว่ารุ่นก่อน
นี่เป็นประโยคเนื้อร้องของเพลงพื้นบ้านในแดนกวนจง จาวฉานที่งามหยาดเยิ้มโด่งดังทั่วหล้า หลี่ว์ปู้ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นจากทั้งสองเมืองนี้ ทุกคนตั้งแต่เบื้องบนถึงเบื้องล่างในตระกูลอวิ๋นต่างก็ชอบพอโก่วจื่อ ทุกครั้งที่แม่เฒ่าผ่านมาที่ร้านน้ำชาแผงลอยจะต้องแวะพักเพื่อดื่มชาสักถ้วยและพูดคุยกับมารดาที่ตาบอดสักสองสามประโยค ทั้งยังชื่นชมความกตัญญูและเชื่อฟังของโก่วจื่อ นี่เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของหญิงตาบอดนางนี้ แม้แต่แม่เฒ่าระดับเฮ่ามิ่งฮูหยินยังชื่นชมลูกชายของนางยังจะมีอะไรไม่พอใจกันอีก มีก็เพียงแค่บางครั้งที่บ่นน้อยเนื้อต่ำใจที่นางนั้นตาบอดทำให้ลูกชายต้องพลอยลำบากไปด้วย ไม่เช่นนั้นลูกชายคนนี้ก็คงได้แต่งงานแล้ว
ทั้งยังบอกอีกว่าเด็กคนนี้นำเงินที่ต้องเสี่ยงชีวิตหามาจากทุ่งหญ้ามารักษาโรคให้นางทั้งหมด ไม่มีหญิงสาวคนไหนอยากจะแต่งงานมาอยู่ในครอบครัวที่ยากจนเช่นนี้ เป็นเพราะนางที่เป็นภาระอันหนักอึ้งทำให้เด็กคนนี้มีชีวิตอยู่แล้วไม่เป็นไปดังหวัง
โก่วจื่อรำคาญที่จะฟังเรื่องเหล่านี้มากที่สุด หากเขาอยากจะแต่งงานนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยาก ไม่แน่ว่าฝ่ายหญิงอาจจะเป็นฝ่ายมอบทรัพย์สินฝ่ายชายก็เป็นได้ ทุกคนอาศัยกันอย่างเรียบง่ายมีเพียงเขาสองแม่ลูก ไม่เห็นหรือว่าแววตาของเหล่าสาวใช้ของแม่เฒ่าแทบจะถลนออกมาอยู่แล้ว
อวิ๋นเยี่ยไม่ชอบโก่วจื่อ ทุกครั้งที่เจออยากจะเตะสักสองสามที ลูกผู้ชายแท้ๆ ดูแลรักษาหน้าตาเช่นนี้เอาไว้ให้ใครมองกัน ที่น่าโมโหที่สุดก็คือยิ่งโตยิ่งหน้าตาดี อย่างไรเสียเจ้าเด็กหน้าอัปลักษณ์ที่อยู่บนทุ่งหญ้าเช่นนั้นยังจะดูไม่ขัดใจมากกว่า ดังนั้นทุกครั้งที่ได้เจออวิ๋นเยี่ยจะต้องพูดถึงเรื่องที่เขาเคยถูกน่ารื่อมู่ใช้บั้นท้ายนั่งทับหน้าอยู่ตลอด ทุกครั้งก็มักจะทำให้ทหารองครักษ์ของที่บ้านหัวเราะขบขันและสายตาที่เคียดแค้นของบรรดาสาวใช้ โก่วจื่ออายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี
คนตระกูลอวิ๋นต่างมีนิสัยชอบพกกระบอกน้ำขณะออกนอกบ้าน เมื่อถึงร้านน้ำชาก็จะต้องหยุดพักซึ่งก็มีเพียงวัตถุประสงค์เดียวคือเพื่อช่วยเหลือโก่วจื่อสองแม่ลูก เพิ่มรายได้ค่าน้ำชาให้มากขึ้นอีกสักหน่อยซึ่งก็ได้ทำจนเกิดเป็นความเคยชินแล้ว โก่วจื่อใช้ชีวิตอย่างหยิ่งทะนง ไม่ต้องการความช่วยเหลืออะไร ไม่เช่นนั้นทหารเสริมที่กลับมาพร้อมกับเขาก็คงให้ความช่วยเหลือไปนานแล้ว นอกจากขอร้องให้โหวเหยียช่วยขึ้นทะเบียนราษฎร์ให้เขาแล้ว ไม่ว่าจะเหนื่อยยากลำบากเพียงใดก็ไม่เคยปริปากสักคำ
เหล่าเฉียนและเหล่าหลิวสองคำนั่งพูดคุยเป็นเพื่อนกับหญิงตาบอด โก่วจื่อรินน้ำชาให้เหล่าคนรับใช้และสาวใช้อย่างขะมักเขม้น คนรับใช้ชายยังไม่ค่อยมีปฏิกิริยาเสียเท่าไหร่ แต่บรรดาสาวใช้กลับพากันหน้าแดงระเรื่อควรต้องรักษามารยาทเพียงใดก็มีมากเพียงนั้นเพราะแต่ละคนก็โตเป็นสาวเต็มวัยหมดแล้ว
โก่วจื่อคุ้นเคยกับกิริยาท่าทางของบรรดาสาวใช้นานแล้ว เขามั่นใจในหน้าตาของตนเองมาก หลายวันก่อนถูกโหวเหยียบังคับให้ไปเรียนหนังสือ หากเรียนไม่รู้เรื่องจะต้องโดนตีขาหัก ทั้งห้องเรียนมีแต่เด็กตัวน้อยๆ มีเพียงเขาคนเดียวที่โตที่สุด รู้สึกอายอย่างที่สุด อยากจะกลับไม่อยากเรียนแล้ว กลับถูกทหารผ่านศึกคนหนึ่งที่เพิ่งย้ายมาทั้งครอบครัวมาด้วยกันลงมือสั่งสอนอย่างหนักไปยกหนึ่ง แม้แต่ท่านแม่ที่เอ็นดูเขาเสมอมาก็ไม่ช่วยพูดแทน
ทหารผ่านศึกคนนั้นสั่งสอนว่า เจ้าเป็นเด็กอนาถาคนหนึ่งที่อยู่ในบ่อแห่งความทุกข์ ตอนนี้มีผู้เมตตาช่วยเหลือเจ้ายังไม่รู้จักรักดีอีก ต้องเป็นคนระดับใดกันจึงจะได้เรียนหนังสือ ล้วนแล้วแต่เป็นลูกหลานคนมีเงินทั้งสิ้น โหวเหยียช่วยหาอาจารย์ให้เจ้า ขอเพียงแค่รู้จักหนังสือบ้าง ภายหน้าจะได้เสนอให้เจ้ารับราชการ เรื่องดีๆ ในการเชิดหน้าชูตาวงศ์ตระกูลไม่รู้จักไขว่คว้าไว้ เจ้ายังต้องการอะไรอีก หากไม่ตั้งใจเรียนหนังสือให้ดี ไม่ต้องรอให้โหวเหยียตีขาเจ้าให้หัก ข้าจะลงมือเอง
ที่บ้านมีเพียงแม่คนหนึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่สามสิบหมู่ ท่านอาคนนี้ก็ถือโอกาสช่วยเรื่องการเพาะปลูกไปด้วย เขาเพียงแค่ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนและดูแลร้านน้ำชาให้ดีก็พอแล้ว
เหล่าคนรับใช้มองดูโก่วจื่อด้วยสายตาที่รู้สึกเวทนา โดยเกรงว่าเขาจะลงมือกับเทพธิดาในใจของพวกเขา ตระกูลอวิ๋นไม่ค่อยใส่ใจกับเรื่องพวกนี้ ขอเพียงแค่ยินยอมพร้อมใจกัน อย่าทำอะไรนอกลู่นอกทาง ภายหน้าย่อมต้องได้แต่งงานกับสาวใช้ที่ตนเองพึงใจ เมื่อถึงตอนนั้นก็จะยกเลิกฐานะทาสให้ด้วย อวิ๋นเยี่ยมองว่าการที่มีลูกหลานเป็นทาสถึงแปดรุ่นเป็นเรื่องที่น่าอเนจอนาถในโลกนี้ ไม่ควรให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น เมื่อสาวใช้และคนรับใช้แต่งงานกัน ต่อมาให้กำเนิดบุตรก็ยังคงต้องเป็นทาส หากเป็นเขาคงแขวนคอตายนานแล้ว จะมีชีวิตอยู่ต่อไปทำอะไรกัน โก่วจื่อมีประสบการณ์กับเรื่องเช่นนี้มาก ไม่ยอมมองสาวใช้แม้เพียงนิด เมื่อเทน้ำชาเสร็จแล้วก็นั่งลงด้านหน้ากระบะทรายเพื่อฝึกเขียนหนังสือ แม้ว่าตัวหนังสือจะแลดูไก่เขี่ยแต่ท่าทางนั้นดูดีมาก ผู้ที่ไม่รู้ความเป็นมาเป็นไปจนทำให้เหล่าสาวใช้แทบใจละลาย
อี๋เจิ้นเฟิงรีบร้อนตามมา เมื่อมาถึงเห็นมีร้านน้ำชา ขบวนรถของตระกูลอวิ๋นกำลังดื่มชากันอยู่เขาจึงได้หยุด โก่วจื่อเห็นมีแขกมาเยือนจึงรีบเข้ามาต้อนรับ เมื่อรับเชือกจากมือของอี๋เจิ้นเฟิงแล้วก็นำวัวไปมัดไว้กับต้นไม้ข้างนอกโรงน้ำชา ในอ่างน้ำมีน้ำที่ตากแดดไว้จึงเติมน้ำให้วัว วัวก้มหน้าลงดื่มน้ำอย่างเชื่องมาก
วัวนั้นเป็นพันธุ์ที่ดีมาก มันเป็นวัวสีน้ำตาลเข้มที่เป็นเอกลักษณ์ของแดนกวนจง เป็นมือดีที่สามารถช่วยในการทำนาได้ โก่วจื่อคิดอยากได้วัวเช่นนี้สักตัวมานานแล้ว เมื่อถึงฤดูทำนาก็ใช้ในการทำนา เมื่อพ้นฤดูทำนาก็ให้ลากเกวียนจะได้สามารถพาแม่ของตนไปเที่ยวที่เมืองฉางอัน แต่น่าเสียดายที่ในมือนั้นขาดแคลนเงินความฝันนี้จึงยังไม่เป็นจริง
เขาหยิบแปรงขึ้นมาเตรียมจะแปรงขนล้างดินโคลนออกให้กับวัว เจ้านายมันไม่รู้จักทะนุถนอมมันทั้งตัวเต็มไปด้วยดินโคลน ใครจะรู้ยังไม่ทันได้ลงมือก็ได้ยินเจ้าของวัวพูดว่า “รีบรินน้ำ ข้ายังต้องรีบไปที่ตลาดอีก เร็วเข้า”
โก่วจื่อหยุดชะงักไปชั่วครู่แล้วจึงรินน้ำชาให้เจ้าของวัวด้วยรอยยิ้ม น้ำชาเป็นสีเหลืองทองอร่าม แต่อี๋เจิ้นเฟิงดื่มแล้วถึงกับขมวดคิ้ว ค่อนข้างขมเล็กน้อยและไม่คุ้นเคย โก่วจื่อยิ้มพลางถามว่า “พี่ชายมาจากที่ใดกัน ดูท่านเดินทางมาคงมีแต่ฝุ่นตลอดทาง คงต้องรีบเร่งเดินทางไกลล่ะสิ เชิญพักผ่อนสักครู่ แสงอาทิตย์แห่งฤดูใบไม้ผลินั้นรุนแรงมาก รอสายอีกหน่อยค่อยออกเดินทางจะดีกว่า
อี๋เจิ้นเฟิงพูดว่า “ชีวิตคนยากจนมีเวลาพักผ่อนที่ไหนกัน อยากจะไปหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นเพื่อดูว่ามีงานอะไรให้ทำหรือไม่ หาเงินทองเล็กๆ น้อยๆ เพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องคนในครอบครัว ที่นี่ยังห่างจากตระกูลอวิ๋นอีกไกลแค่ไหน”
“พี่ชายมีวัวชั้นเลิศตัวนี้ก็ถือได้ว่าเป็นผู้มีฐานะคนหนึ่ง เหตุใดจึงยังพูดว่ามีชีวิตที่ขมขื่นอีก หากเริ่มนับจากเมืองหลวงก็ยังห่างจากที่นี่สามสิบลี้พอดี เนื่องจากมีเพียงครอบครัวของพวกเราไม่กี่ครอบครัวจึงตั้งชื่อว่าร้านสามสิบลี้ซึ่งห่างจากหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นไม่ถึงยี่สิบลี้ ประมาณหนึ่งชั่วยามกว่าๆ ก็ถึงแล้ว”
อี๋เจิ้นเฟิงหัวเราะแต่ไม่ตอบ หัวเราะฮ่าๆ เพียงสองคำก็ถือว่าเป็นการรับคำ เขานั่งอยู่ทางด้านซ้ายของร้านน้ำชาซึ่งห่างจากเหล่าเฉียนและเหล่าหลิวไม่ไกลนัก เขาได้ยินหญิงตาบอดบอกว่าแม่เฒ่าตระกูลอวิ๋นจะออกสำรวจหมู่บ้านทุกๆ สามวัน ไม่แน่ว่าบางทีพรุ่งนี้อาจจะแวะมาดื่มน้ำชาที่ร้านน้ำชานี้
เมื่อมองดูสภาพแวดล้อมโดยรอบ ห่างจากร้านน้ำชาร้อยกว่าก้าวก็จะมีบ้านเรือน ในใจก็เกิดความคิดใหม่ขึ้น หากจะไปตระกูลอวิ๋นเพื่อหาโอกาสมันจะเป็นการดีกว่าที่จะหาโอกาสที่นี่ อวิ๋นเยี่ยเป็นอู่โหว มีหรือที่บ้านจะไม่มีองครักษ์ที่เป็นยอดฝีมือ หากได้สู้กันตัวต่อตัวย่อมไม่กลัวคนบ้าบิ่นในกองทัพ แต่เมื่อพวกเขาวางค่ายกลนักดาบพเนจรเช่นตนจะมีกี่ชีวิตก็คงไม่พอแน่ หากฆ่าบรรพชนตระกูลอวิ๋นที่นี่ก็คงได้เงินมากพอที่ใช้ในครึ่งชีวิตที่เหลือ เมื่อตัดสินใจได้แล้วก็รู้สึกปลอดโปร่ง เพียงแค่ต้องกำจัดเด็กหนุ่มและหญิงตาบอดผู้นี้ก็พอแล้ว สำหรับเขาแล้วไม่มีแรงกดดันใดๆ เพียงแต่เสียดายแม่ครัวที่งดงามนางนี้เท่านั้น
โก่วจื่อรินน้ำชาเพิ่มให้ทุกคนอย่างขะมักเขม้นและหัวเราะได้สดใสยิ่งกว่าเดิม ทุกครั้งที่เห็นแขกนั่งเพียงคนเดียวอยู่ด้านข้างอี๋เจิ้นเฟิงก็มักจะหัวเราะอย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น เมื่อเดินผ่านเขาก็จะมือสั่นจนน้ำชาที่เหลืออยู่ก็หกรดตัวอี๋เจิ้นเฟิงโดยไม่ได้ตั้งใจ
คนผู้นั้นรีบกระวีกระวาดขอโทษเขาและรีบใช้ผ้าเช็ดให้อี๋เจิ้นเฟิง ทั้งยังบอกด้วยว่าเพราะตนเองไม่ทันระวังเอง จึงไม่เก็บค่าน้ำชาของเขา อี๋เจิ้นเฟิงมักจะใจกว้างกับคนอื่นที่กำลังจะตาย ดังนั้นจึงด่าเพียงสองคำและไม่พูดอะไรอีกเลย
โก่วจื่อเปลี่ยนน้ำชาใหม่ให้แก่เขา ในเวลานี้เองที่ขบวนรถของตระกูลอวิ๋นได้กล่าวอำลาโก่วจื่อและแม่ของเขา ค่อยขับรถไปยังหมู่บ้านตระกูลอวิ๋น เหล่าสาวใช้หันกลับมามองโก่วจื่อที่ยืนโบกมือให้กับพวกเขาอยู่ด้านนอกร้านน้ำชาไม่ยอมเลิก
อี๋เจิ้นเฟิงนอนหลับตาพักผ่อนอยู่บนเก้าอี้ที่แสนสบายตัวนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าน้ำชานั้นอร่อยจริงๆ ถึงแม้ว่าขณะที่เข้าปากจะมีรสขมเล็กน้อยแต่จะมีรสหวานติดปาก ไม่น่าแปลกใจเลยที่คนในตระกูลอวิ๋นชอบมาดื่มชาที่นี่เสมอ ชาที่ดีเช่นนี้ต่อไปคงไม่ได้ดื่มอีกแล้ว อี๋เจิ้นเฟิงเริ่มเสียใจเล็กน้อยและยกชามน้ำชาขึ้นมาดื่มคำโต รสชาติน้ำชาครั้งนี้เข้มข้นขึ้นกว่าเดิม คิดว่าคงเป็นการชดเชยของแม่ครัวผู้งดงามนางนั้น แม่ครัวกำลังพูดกับท่านแม่ของโก่วจื่อ คำพูดแต่ละครั้งได้ผ่านเข้าหูของเขา เก้าอี้ตัวนี้สบายจริงๆ เขาเพียงแค่อยากจะนอนพักอย่างเนือยๆ อีกสักครู่หนึ่ง
“โก่วเอ๋อร์ เมื่อครู่แม่ได้ยินพวกผู้หญิงหลายคนนั้นพูดคุยกัน ฟังจากการพูดคุยกันก็รู้ได้ว่าพวกนางเป็นหญิงดีที่มีมารยาท มีคนไหนที่ถูกใจหรือไม่ วันหน้าแม่จะได้บอกกับแม่เฒ่า แม่เฒ่าเป็นคนดีไม่แน่ว่าอาจจะอนุญาตก็ได้ เพราะครอบครัวของเรายากจนเกินไปกลัวว่าผู้หญิงคนนั้นจะไม่อยากมา”
โก่วจื่อมองดูอี๋เจิ้นเฟิงที่หลับตาพักผ่อนอยู่ จากนั้นก็มองดูรถเทียมวัวที่ผูกอยู่ใต้ต้นไม้ ในใจเต็มไปด้วยความสุขและพูดกับท่านแม่ว่า “ท่านแม่ ท่านวางใจ สวรรค์ต้องคุ้มครองแน่ บ้านเราจะไม่จนอีกแล้ว ลูกจะหาเกวียนเทียมวัวให้ท่านสักคันและวัวอีกหนึ่งตัว ซึ่งเป็นวัวที่ดีเหมือนกับวัวของพี่ชายคนนั้น รอให้ข้าวสาลีเก็บเกี่ยวเสร็จแล้วลูกจะนำเกวียนมาเทียมวัวพาท่านไปเที่ยวเมืองฉางอัน ได้ยินท่านอาเล่าว่าขนมเปี๊ยะไส้หมูและขนมเค้กนมวัวของแม่เฒ่าเฉานั้นอร่อยที่สุดเลย ถึงตอนนั้นลูกจะซื้อกลับมาให้ท่าน ให้ท่านได้ลิ้มรสด้วย”
หญิงตาบอดได้ยินลูกชายพูดเช่นนี้แล้วก็พยักหน้าอย่างมีความสุข ทั้งยังบอกให้ลูกชายซื้อมามากหน่อย กลับมาจะได้แบ่งให้ท่านอากินด้วยกัน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาหากไม่ได้ทั้งครอบครัวของท่านอาคอยดูแลเราสองแม่ลูกคงไม่มีชีวิตรอดถึงตอนนี้
“แน่นอนอยู่แล้ว ท่านอาได้รับบาดเจ็บในสนามรบตั้งแต่หลายปีก่อน ตอนนี้ไหล่และหลังของเขายังไร้เรี่ยวแรง ท่านหมอซุนบอกว่านี่เป็นโรคเก่าต้องค่อยๆ รักษา พวกเราไม่เพียงแต่ต้องเลี้ยงท่านอากินขนมเปี๊ยะไส้หมูเท่านั้น ยังต้องซื้อยาให้เขาด้วย แต่เหล้านั้นไม่กล้าซื้อ ท่านหมอซุนบอกว่าโรคของเขาห้ามดื่มเหล้า” โก่วจื่อรับปากอย่างฉะฉานราวกับว่าเขากำลังจะรวยในไม่ช้า
โก่วจื่อถือพัดพัดลมให้ท่านแม่เบาๆ ท่านหมอซุนได้บอกแล้วว่าร่างกายของท่านแม่นั้นกลัวความร้อนมากที่สุด ซึ่งพิษของความร้อนนั้นจะเป็นผลเสียต่อตาของท่านแม่ แม้ว่าจะมองไม่เห็นแต่ก็ไม่ควรให้อาการเลวร้ายลงไปกว่าเดิม
อี๋เจิ้นเฟิงหัวเราะอยู่ในใจจนลำไส้จะกิ่วอยู่แล้ว คนที่มีชีวิตอยู่ต่อไม่ถึงแม้กระทั่งหนึ่งชั่วยามก็ยังฝันที่จะกินขนมเปี๊ยะไส้หมูและขนมเค้กนมวัวของร้านป้าเฉา ราคาแพงน่าดูชมนะ เด็กหนุ่มผู้ยากไร้กำลังหลอกแม่ของเขา ช่างน่าขำสิ้นดี
ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำลง เมื่อเห็นว่าท่านแม่นั่งสัปหงกแล้ว โก่วจื่อจึงพยุงนางพากลับไปที่กระท่อมด้านหลังของร้านน้ำชาเพื่อให้นางได้พักผ่อนสักครู่หนึ่ง ความเจ็บปวดเมื่อครั้งอดีตทำให้ร่างกายนั้นอ่อนแอลง โก่วจื่อรอจนแม่หลับไปแล้วจึงปิดประตูเบาๆ แล้วถูสองมือ ไม่ได้ฆ่าคนมาสักระยะหนึ่งแล้ว เขารู้สึกคันไม้คันมือมาก
ส่วนที่ 5
ตอนที่ 59 ชะตากรรมที่อี๋เจิ้นเฟิงประส...
ร้านน้ำชาเงียบสงบมาก อี๋เจิ้นเฟิงเบิกตากว้างจ้องมองโก่วจื่อที่เดินเข้ามา เส้นเลือดที่คอก็ปูดเนินขึ้น แต่ร่างกายไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย เม็ดเหงื่อใหญ่เท่าเม็ดถั่วไหลลงมาจากหน้าผาก อ้าปากกว้างแต่กลับไม่ได้ส่งเสียงอะไร
โก่วจื่อวางนิ้วชี้ไว้ที่ปากส่งสัญญาณบอกให้เขาเงียบๆ แล้วย้ายอี๋เจิ้นเฟิงลงจากเก้าอี้และใช้เชือกหนังวัวเปียกที่ไม่ได้ใช้เป็นเวลานานมาวัดเขาเอาไว้อย่างแน่นหนา เชือกหนังวัวเปียกนั้นมีข้อดีคือมันจะเลื่อนไหลไปตามปริมาณน้ำดังนั้นยิ่งมัดจึงยิ่งแน่นมากขึ้น
หลังจากทำทั้งหมดนี้เสร็จแล้ว โก่วจื่อก็ใช้มีดแทงที่ต้นขาของอี๋เจิ้นเฟิงสองครั้ง แล้วจึงพันผ้าพันแผลให้อย่างระมัดระวัง เขาเคยได้รับการฝึกฝนงานเช่นนี้เป็นเรื่องง่ายดายมากสำหรับเขา
จากนั้นตรวจสอบเชือกอีกครั้งจึงค่อยโล่งใจ การทำอะไรไม่ควรลำพองใจจนเกินไป สิงโตจับกระต่ายยังต้องออกแรงสุดกำลังเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าตนเองนั้นกำลังเผชิญหน้ากับมือสังหาร
จับศีรษะของอี๋เจิ้นเฟิงกดลงไปในบ่อน้ำนานเป็นเวลานาน อี๋เจิ้นเฟิงจึงค่อยรู้สึกว่าลิ้นของตัวเองนั้นสามารถขยับได้แล้ว จึงรีบอ้าปากพูดว่า “พี่ชายท่านนี้ ทรัพย์สินเงินทองบนตัวข้าขอมอบให้ท่านทั้งหมด รวมทั้งวัวด้วย ขอให้เจ้าเมตตาปล่อยข้าไปเถิดหนา ที่บ้านข้ายังมีแม่และลูกที่ต้องดูแล ถ้าเจ้าฆ่าข้าก็เท่ากับว่าฆ่าข้าทั้งครอบครัว”
โก่วจื่อยิ้มตาหยีดูการเล่นละครของอี๋เจิ้นเฟิง ทันใดนั้นกพูดว่า “ไม่น่าแปลกใจที่โหวเหยียมักพูดว่าพวกนักดาบพเนจรนั้นโง่เขลา จะพูดอะไรสักคำก็พูดไม่เป็น เจ้าควรจะพูดว่า นายท่านได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย ข้ายังมีแม่อายุแปดสิบและลูกที่เป็นทารกแบเบาะที่ต้องดูแล ขอให้ท่านได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย เจ้าเห็นไหมว่าการพูดเช่นนี้ดูมีความสามารถทางวรรณกรรมมากมายเลย หากพบคนใจอ่อนบางทีเขาอาจจะยอมปล่อยเจ้าก็ได้”
“ข้าไม่ได้เป็นนักดาบพเนจรแต่เป็นชาวนา พี่ชายจำคนผิดแล้ว” อี๋เจิ้นเฟิงรีบพูดขึ้น
“ชาวนารึ ถ้าเจ้าแกล้งเป็นคนอื่นบางทีอาจจะพอปิดบังข้าได้ แต่เจ้ากลับแกล้งทำเป็นชาวนาต่อหน้าคนที่อาศัยการเพาะปลูกเลี้ยงชีพมาหลายชั่วอายุคน เจ้าไม่รู้สึกว่ามันขาดอะไรไปหน่อยหรือ ชาวนาคนหนึ่งที่ไม่รู้จักทะนุถนอมแม้แต่วัว มีชาวนาคนไหนบ้างที่ไม่ได้ดูแลวัวให้ดีเป็นสิ่งแรกก่อนแล้วจึงดูแลตัวเอง คราบดินโคลนบนตัววัวยังไม่ทำความสะอาดให้ ยังไม่ได้ให้อาหาร ไม่ได้ถอดรถออก เจ้ากลับรีบเรียกข้าให้รินน้ำให้เจ้า ให้ตายสิ ดังนั้น วัวที่ดีเช่นนี้ติดตามเจ้า ช่างน่าสังเวชสิ้นดี” โก่วจื่อโกรธเคืองอย่างมาก เขาชอบวัวและมักจะหวังว่าตนเองจะมีสักตัว รังเกียจพวกสวะที่โหดร้ายทารุณสัตว์เป็นที่สุด
“วัวนั้นข้ายืมมาแน่นอนว่าจึงไม่ค่อยใส่ใจ เมื่อใช้เสร็จก็ส่งคืนเจ้าของก็เสร็จเรื่องแล้ว ” โก่วจื่อจึงฟาดแส้เข้าที่ศีรษะของอี๋เจิ้นเฟิงหนึ่งครั้ง รอยแส้สีม่วงก็ปรากฏขึ้นบนศีรษะของอี๋เจิ้นเฟิงทันที “ดูสิ เจ้านี่มันสัตว์เดรัจฉาน สัตว์ใหญ่อย่างวัวหากอยู่ในครอบครัวชาวนายังมีความสำคัญมากกว่าชีวิตของพ่อเสียอีก ให้ตายสิ เจ้ายังพูดคำพูดที่ไม่มีความเป็นคนเช่นนี้ออกมา ลงแส้ให้ตายเลยก็สมควรแล้ว ยังจะบอกว่าอยากไปหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นเพื่อหางานทำอีก ให้ตายสิ เจ้าจะสามารถแต่งเรื่องโกหกพกลมให้ดีกว่านี้หน่อยได้ไหม
ในเมืองสร้างอาคารสร้างกันจนบ้าไปหมดแล้ว ผู้ดูแลหวังแทบอยากจะลากเอาเด็กทารกที่อยู่ในเดือนไปทำงานที่สถานที่ก่อสร้างเสียด้วยซ้ำ ให้ดิ้นตายสิ เจ้ากลับรีบเร่งขับเกวียนมา อยู่ในเมืองจะหางานทำไม่ได้เลยหรือ”
โก่วจื่อเตะเขาสองครั้งอย่างรุนแรงจึงค่อยรู้สึกสบายใจขึ้นมาก ระยะนี้โหวเหยียอารมณ์ไม่ค่อยดี เมื่อเจอตนเองสองครั้งก็เตะเขาทั้งสองครั้ง ก็ไม่รู้ว่าทำอะไรผิดไป แววตาที่มองดูตนเองก็ดูแปลกๆ จนชวนให้รู้สึกกลัว
จากนั้นก็หยิบหน้าไม้เล็กๆ ที่ดึงสายออกแล้วออกมาจากอกเสื้อของอี๋เจิ้นเฟิง แล้วเทลูกดอกขนาดเล็กหลายอันออกมาจากกระบอกไม้ไผ่ที่ยาวประมาณหนึ่งฟุต เมื่อเห็นหัวลูกดอกมีสีดำหยิบพวกมันขึ้นมาดมก็โกรธมาก ใช้แส้ฟาดใส่อี๋เจิ้นเฟิงอย่างคลุ้มคลั่ง เพียงพริบตาเดียวอี๋เจิ้นเฟิงก็ถูกฟาดจนเนื้อแตกไปทั่วร่าง ร้องครวญน่าสังเวช โก่วจื่อขมวดคิ้วกังวลว่าจะทำให้แม่ตื่นขึ้น จึงดึงผ้าเช็ดตัวออกมาบีบกรามของอี๋เจิ้นเฟิงแล้วยัดผ้าเข้าไปในปากเขา อี๋เจิ้นเฟิงได้แต่ส่งเสียงอู้อี้ๆ อยู่ในปาก คิดว่าคงต้องกำลังร้องขอความเมตตาเป็นแน่
“คนอย่างเจ้าควรจับใส่กระทะน้ำมัน ทายาพิษไว้บนหัวลูกดอกทั้งยังเป็นพิษอูโถวอีกด้วย เจ้าไม่คิดจะให้แม่เฒ่าตระกูลอวิ๋นมีชีวิตรอดเลยนี่ แม่เฒ่าที่เป็นคนดีเช่นนั้น เจ้ากลับใช้ของที่รุนแรงเพียงนี้มาลงมือ เจ้ายังเป็นคนอยู่หรือไม่”
หลังจากค้นร่างกายอี๋เจิ้นเฟิงจนทั่วแล้ว โก่วจื่อก็หัวเราะไม่ยอมหยุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อค้นเจอแผ่นเงินขนาดใหญ่สองอันออกมาจากเป้ากางเกงเขาแล้วจึงยิ่งหัวเราะดังมากขึ้น เขาเห็นชีวิตที่มีความสุขของตัวเองกำลังโบกมือเรียกเขาอยู่
“ยอดฝีมือ เจ้าเป็นคนแรกที่สามารถซ่อนแผ่นเงินไว้ที่เป้ากางเกงได้ ไม่กลัวว่าจะทำร้ายน้องชายของเจ้าหรืออย่างไร” พูดพลางปัดผมเขาจนกระเซิงซึ่งก็พบใบเลื่อยเล็กๆ หนึ่งเส้นและเข็มเหล็กสองอันจากผมของเขา แม้แต่พื้นรองเท้าก็ไม่ปล่อยให้หลุดรอดจึงใช้กริชกรีดหนังวัวซึ่งก็พบมีดเล็กด้ามหนึ่งจากในนั้น อี๋เจิ้นเฟิงจึงก้มศีรษะลงอย่างหมดหวัง ของที่ติดตามตัวขึ้นเหนือล่องใต้เมื่ออยู่ต่อหน้าชายหนุ่มคนนี้แล้วราวกับไม่เป็นความลับใดๆ
“ไม่ต้องแปลกใจ ข้าเติบโตขึ้นมาในค่ายทหาร ของแปลกๆ ต่างๆ ที่เคยเห็นนั้นเจ้าคิดไม่ถึงหรอก จะเล่นละครต่อหน้าข้า ถ้าเจ้าทำได้ก็เล่นต่อไป”
ในขณะที่คุยกันอยู่ ชาวนาชราคนหนึ่งแบกจอบพาดไหล่กลับมาจากที่นา เดินตรงมาที่ร้านน้ำชารินชาสมุนไพรหนึ่งชามแหงนหน้าขึ้นแล้วกระดกดื่มลงไป ดูเป็นธรรมชาติมากเหมือนกลับบ้านของตนเองเลย ราวกับว่าเขาไม่ได้เห็นบนพื้นขยับเขยื้อนไม่ยอมหยุด อี๋เจิ้นเฟิงที่หวังว่าชาวนาชราจะสังเกตเห็น แต่เขาดึงชายเสื้อขึ้นเพื่อโบกลม ถึงแม้ว่านี่เพิ่งจะย่างเข้าเดือนสี่ แต่แสงอาทิตย์ในแดนกวนจงก็เริ่มร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ
โก่วจื่อจึงรีบวิ่งเข้าไปหยิบพัดมาให้ชาวนาชราและคอยพัดให้เขาอย่างตั้งอกตั้งใจ ชาวนาชราพักอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงดื่มน้ำชาอีกชาม ชี้ไปที่อี๋เจิ้นเฟิงที่อยู่บนพื้นแล้วถามว่า “นี่ก็คือเศษสวะที่โหวเหยียพูดถึงหรือ”
“ใช่ขอรับ ท่านอา เจ้าหมอนี่ยังอ้างตัวว่าเป็นชาวนา คิดจะมาหลอกข้า ตั้งแต่แรกข้าก็ไม่คิดว่าเขาดูเหมือนคนเร่งรีบเดินทาง แต่ก็ไม่มั่นใจดังนั้นจึงแกล้งทำเป็นทำน้ำชาหกลงบนเอวเขาโดยไม่ตั้งใจ ขณะที่เช็ดน้ำจึงพบว่าเขามีของติดกายมา ดังนั้นจึงใช้ยาชาที่ได้จากท่านซุนผสมในน้ำชาแล้วให้เขาดื่มจึง้จับเขาได้”
โก่วจื่อเอนตัวพิงร่างชาวนาเหมือนเด็กน้อยที่รายงานความดีความชอบต่อผู้ใหญ่ด้วยความภาคภูมิใจ แสดงให้เห็นถึงความสามารถอันเก่งกาจอย่างเต็มที่ เงยหน้าขึ้นมองเพื่อรอคำยกย่องจากชาวนาชรา ใครจะรู้ว่าจะถูกตบเข้าให้ที่ศีรษะหนึ่งฝ่ามือ นวดศีรษะแล้วมองท่านอาอย่างไม่เข้าใจ
“สิ่งที่เคยสอนเจ้านั้นป่านนี้กลายเป็นอาหารอยู่ในท้องสุนัขไปหมดแล้ว ยังจะอวดเก่งอีก ทั้งยังไม่มั่นใจอีก เจ้าดูรองเท้าของเขาว่าเหมือนชาวนาเขาสวมกันหรือ เจ้าดูมือของเขาแล้วมองมือของอาเจ้า ด้านบนมีเนื้อด้านเหมือนกันหรือไม่ ดูที่เนินเนื้อระหว่างนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ของเขา ข้อมือของเขา โก่วจื่อ นี่คือยอดนักดาบมือดีคนหนึ่ง เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา หากไม่ได้เป็นเพราะเจ้าใช้ยาชากับเขาและเจ้าหมอนี่เองก็ดูถูกเจ้า เมื่อข้ากลับมาก็คงจะเห็นแต่ศพของพวกเจ้าสองแม่ลูกเท่านั้น”
เมื่อชาวนาชราพูดจบก็ลุกขึ้นใช้เท้าเตะเข้าที่ขากรรไกรของอี๋เจิ้นเฟิง ดึงผ้าออกมาจากนั้นหยิบตะขอออกมาหนึ่งอันแล้วเกี่ยวไปที่ขากรรไกรของอี๋เจิ้นเฟิง เพียงพริบตาก็ง้างปากของเขาออกมาจนกว้างและหันไปพูดกับโก่วจื่อว่า “เอาลิ้นของเขาออกมา”
โก่วจื่อไม่เข้าใจแต่ก็ยังใช้คีมหนีบถ่านดึงลิ้นของอี๋เจิ้นเฟิงออกมาตามคำสั่ง “ดึงออกมาให้ยาวกว่านี้”ชาวนาชราเร่งเขาอีกครั้ง โก่วจื่อจึงออกแรงดึง ลิ้นสีแดงเลือดของอี๋เจิ้นเฟิงก็ยื่นออกมายาวๆ “ดูว่าใต้ลิ้นเขามีมีดเล็กๆ อยู่หรือไม่” โก่วจื่อจึงม้วนลิ้นของอี๋เจิ้นเฟิงขึ้นซึ่งพบว่ามีใบมีดบางอยู่ใต้ลิ้นของหมอนี่จริงๆ จึงถึงกับผงะและหยิบใบมีดออกมาแล้วลองนำมาตัดผ้า ผ้าก็กลายเป็นสองส่วนในทันที ช่างเป็นมีดเล็กที่แหลมคมมาก “หากสายลับถูกจับก่อนการสู้รบของทั้งสองกองทัพ ข้าจะตรวจสอบแม้แต่ทวารของเขาด้วย โก่วจื่อตัดเส้นเอ็นมือของเขา สุนัขตัวนี้ไม่ประสงค์ดี ไม่ได้ตามขบวนทัพของทางการไป คิดว่าคงต้องการจะมาหาเรื่องเจ้าสองแม่ลูกและเตรียมที่จะลอบสังหารแม่เฒ่าในวันพรุ่งนี้”
ดวงตาของโก่วจื่อแดงก่ำ ในบ้านมีแค่หญิงชราคนเดียวทั้งยังตาบอด ไม่มีภัยคุกคามต่อเขาแน่นอน แต่เจ้าหมอนี่ก็ไม่ยอมละเว้น เขาจึงใช้มีดเล็กกรีดลงไปที่ข้อมือของอี๋เจิ้นเฟิงโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย เส้นสีแดงสองเส้นค่อยๆ ไหลออกมา สองมือของเขาห้อยลงอย่างหมดแรง เมื่อเห็นทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ท่านอาจึงนั่งกลับลงบนเก้าอี้แล้วพูดกับโก่วจื่อว่า “ตอนนี้ผู้ชายคนนี้สิจึงจะเป็นแหล่งเงิน ประเดี๋ยวเจ้ากับเลิ่งจื่อนำตัวเขาไปส่งที่หมู่บ้านตระกูลอวิ๋นและพูดกับแม่เฒ่าว่าหลายวันนี้อย่าออกไปข้างนอก ข้าจะบอกพวกพี่น้องให้คอยระมัดระวังคนนอกให้มากขึ้น”
พอนำแผ่นเงินและเงินเหรียญทองแดงที่ค้นตัวออกมาได้ทั้งหมดกองรวมกันไว้บนโต๊ะแล้ว โก่วจื่อก็วิ่งออกไปหาเลิ่งจื่อ เตรียมจะใช้เกวียนเทียมวัวส่งอี๋เจิ้นเฟิงไปยังหมู่บ้านตระกูลอวิ๋น ลิ้นของอี๋เจิ้นเฟิงยังคงห้อยอยู่นอกปาก โคนลิ้นนั้นถูกโก่วจื่อดึงจนได้รับบาดเจ็บจนเก็บกลับเข้าไปไม่ได้
ท่านอาใช้คีมหนีบถ่านเคาะที่ลิ้นพลางพูดกับอี๋เจิ้นเฟิงว่า “หลายปีที่ผ่านมาข้าเคยพบเห็นคนร่ำรวยมามากมายนัก หากเจ้าไปหาเรื่องกับตระกูลอื่น ข้าจะแกล้งทำเป็นไม่เห็น แต่กับคนเช่นตระกูลอวิ๋นนี้ ข้าหวังว่าตระกูลของเขาจะสืบทอดชั่วลูกชั่วหลาน ตระกูลที่มีแต่คนดี แม้แต่คุณหนูเล็กคนสุดท้องของตระกูลที่ถูกตามใจก็ยังรู้ว่าควรหลีกทางให้ชายชราที่เก็บมูลขายเลย ทั้งยังช่วยคิดบัญชีให้หญิงขายของในตลาดที่คิดบัญชีไม่เป็นอีกด้วย เจ้าอย่าหาว่าข้าโกหกเพราะข้าเห็นด้วยตาตัวเอง ม้าของเขาก็รู้ว่ากินของแล้วต้องจ่ายเงิน พวกที่ตั้งแผงลอยหน้าจวนโหวเมื่อฝนตกและไม่มีที่หลบฝนก็ไปยืนหลบอยู่ใต้หลังคาประตูใหญ่ได้ เจ้าลองไปยืนหลบที่ประตูใหญ่ของตระกูลเศรษฐีคนอื่นดูสิ หากไม่ปล่อยสุนัขออกมากัดเจ้านั้นนับว่าเจ้าโชคดีแล้ว แต่ตระกูลอวิ๋นยังต้มน้ำขิงให้ดื่มด้วย ชีวิตของชาวบ้านในระยะหลายสิบลี้นี้เริ่มดีขึ้น นี่คือการเปลี่ยนแปลงที่ตระกูลอวิ๋นนำมาให้ เจ้าฆ่าคน ลองถามชาวบ้านในละแวกนี้ดูก่อน”
อี๋เจิ้นเฟิงเจ็บปวดไปทั้งร่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเจ็บปวดที่ลิ้นซึ่งปวดกระตุกเป็นระยะขึ้นไปถึงสมอง เริ่มหูอื้อ เห็นเพียงปากของชาวนาชราขยับไปมาแต่ไม่รู้ว่าพูดอะไร เขารู้เพียงแค่ว่าครั้งนี้เขาจบสิ้นหมดทุกอย่างแล้ว
โก่วจื่อกลับมาอย่างรวดเร็วด้านหลังมีลูกของชาวนาที่ร่างกายกำยำตามมาด้วย เพียงแต่เสื้อผ้าของพวกเขาขาดวิ่นมากเหลือเกิน ใบหน้าก็สกปรกเลอะเทอะ ไปหมด เมื่อมาถึงร้านน้ำชาก็ไม่พูดอะไรใช้มือป้ายเลือดของอี๋เจิ้นเฟิงมาทาบนร่างของตัวเอง คราวนี้ถึงคราวที่ท่านอาไม่เข้าใจแล้วถามขึ้นบ้าง “ทำเช่นนี้เพื่ออะไรกัน เสื้อผ้าดีๆ ไม่สวม ตั้งใจหาเสื้อผ้าที่ขาดๆ เก่าๆ มาใส่ เพราะเหตุใดกัน”
“ท่านอา คราวนี้ท่านไม่รู้แล้วสินะ ก่อนหน้านี้โหวเหยียเคยพูดว่าของทุกอย่างจะต้องแต่งแต้มสร้างขึ้นเอง ผลงานก็เหมือนกัน ข้ากับพี่เลิ่งจื่อไปที่จวนอวิ๋นโดยที่แต่งกายเรียบร้อย บางทีคนที่จวนอาจคิดว่าพวกเราจับมือสังหารได้ง่ายก็เป็นได้ รางวัลที่มอบให้ก็จะน้อยลง ตอนนี้พวกเราป้ายเลือดเอาไว้ ไม่ว่าให้ใครดูก็รู้ว่าพวกเราพี่น้องต้องผ่านการต่อสู้นองเลือดจึงจะจับเจ้าหมอนี่ได้ ข้าคาดเดาว่าถ้าเป็นเช่นนี้อาจจะได้รางวัลเพิ่มขึ้นอีกสามส่วน เงินที่พี่เลิ่งจื่อจะแต่งงานก็มีทางออกแล้ว”
โก่วจื่อดึงรูที่ชายเสื้อให้ใหญ่ขึ้นหน่อย ซึ่งก็ทำให้ดูสภาพน่าสงสารมากขึ้นไปอีก สุดท้ายกัดฟันพูดกับเลิ่งจื่อว่า “พี่ชาย ท่านต่อยที่จมูกข้าสักหมัด อย่าให้หนักเกินไป ให้มีเลือดออกก็พอ”
หลังจากพูดจบแล้วก็กังวลว่าเลิ่งจื่อจะไม่ยอมลงมือ เขาจึงต่อยเข้าที่จมูกของเลิ่งจื่อก่อนหนึ่งหมัด เลิ่งจื่อที่เลือดกำเดาไหลย่อมต้องไม่ละเว้นเขาแน่นอน ซึ่งหมัดนี้ก็ต่อยได้สมจริงเป็นที่สุด ท่านอายืนอยู่ใต้เพิงร้านน้ำชามองดูเด็กสองคนที่กำลังค่อยๆ จากไกลออกไปเรื่อยๆ เขาส่ายศีรษะไม่เข้าใจคนหนุ่มสาวสมัยนี้ ไม่รู้ว่าในใจคิดอะไรกัน
จนกระทั่งเงาของพวกเขาหายลับไปจนมองไม่เห็นจึงได้เอามือไพล่หลังกลับบ้านไปหาภรรยาเพื่อให้นางไปดูแลแม่ที่ชราและตาบอดของโก่วจื่อ
ส่วนที่ 5
ตอนที่ 60 แพไม้ไผ่ของหวงสู่
หมู่บ้านตระกูลอวิ๋นที่อยู่ตีนเขาอวี้ซันเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุข ตั้งแต่ซุ้มประตูตลอดจนต้นถงซู่ทั้งสองด้านของถนนถูกแขวนไว้ด้วยโคมไฟและผ้าไหมสีแดงอยู่เต็มไปหมด ชาวบ้านในหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นที่ทำงานในเมืองฉางอันก็รีบเร่งกลับมา แม้จะบอกว่าปวดใจกับการยอมทิ้งค่าแรงไปสองวัน แต่พวกเขาก็ยังคงรีบกลับมาโดยไม่ขาดหายไปแม้สักคน ควานหาเสื้อผ้าใหม่ที่ตัดเย็บขึ้นเมื่อช่วงตรุษจีนมาสวมใส่ แม้ว่าสวมใส่เสื้อผ้าฤดูหนาวในวันที่อากาศร้อนจะดูไม่ค่อยเหมาะสม แต่หน้าตาของหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นจะให้ขายหน้าไม่ได้เด็ดขาด ใครจะเหมือนบ้านของหวังซวนยังไม่ถึงเดือนห้าก็จะตัดเสื้อใหม่ เหงื่อไหลไคลย้อยเร่งให้ภรรยานำข้าวสาลีที่ดีที่สุดในบ้านมาบดให้เป็นแป้งละเอียดเพื่อทำเป็นเส้น เลือกเส้นบะหมี่ที่ขาวที่สุดและเลือกเครื่องปรุงเพื่อเตรียมอาหารในงานเลี้ยง
เสื้อผ้าไม่ได้สวยงามก็ไม่มีใครหัวเราะเยาะ พวกชาวบ้านมีเสื้อผ้าใหม่ที่จะสวมใส่ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว ไม่น่าขายหน้าแต่อย่างใด แต่ถ้าอาหารทำไม่อร่อยย่อมต้องเป็นอับอายขายหน้าอันยิ่งใหญ่แน่ เหล่าภรรยาของตนเองอย่าได้ฝันว่าจะได้เดินเชิดหน้าชูตาเลย
ดอกทับทิมบานก่อนเวลาจึงปล่อยให้เด็กๆ ที่บ้านปีนขึ้นไปบนต้นทับทิมเด็ดดอกไม้ลงมา แต่ไม่กล้าเด็ดดอกถงถ่งฮัว ไม่เช่นนั้นคงไม่มีทับทิมให้กินในปีนี้ ดอกทับทิมที่เด็ดลงมาถูกห่อด้วยผ้าป่านที่สะอาดโดยพวกผู้ชายแล้ววางไว้ในแท่นหนีบจากนั้นใช้ค้อนน้ำมันตอกใส่ลิ่ม จากนั้นครู่หนึ่งน้ำมันดอกไม้สีแดงสดก็ถูกคั้นออกมา ผู้เป็นแม่ก็จะใช้นิ้วจุ่มขึ้นมาเล็กน้อยและแต้มที่หว่างคิ้วของลูกสาวจุดเล็กๆ ไฝระหว่างคิ้วที่งดงามก็ปรากฏขึ้น หญิงบางคนที่พอจะมีศิลปะก็จะวาดเป็นรูปเปลวไฟ ยังมีรูปดอกบัว เด็กหญิงตัวน้อยๆ ก็วิ่งออกไปโอ้อวด เด็กหนุ่มก็มองจนตาลุกวาวอยากให้ท่านแม่แต้มให้บ้าง ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้ก็มักจะถูกบิดาที่โกรธจัดเตะจนกระเด็น
แป้งถูกนวดจนเป็นเนื้อละเอียด ในเวลาเหล่าฮูหยินในบ้านจะต้องล้างมือให้สะอาด ใช้หวีที่สะอาด กระบองไม้ กรรไกร ไม้จิ้มฟันเพื่อทำซาลาเปา ที่พบได้บ่อยที่สุดคือ รูปหน้าเสือ พรุ่งนี้จะเป็นวันแต่งงานของนายท่าน ผลทับทิมที่ยิ่งมีมากยิ่งมีวาสนาต้องทำให้มากๆ หน่อย นกยวนยางที่รักไม่แปรเปลี่ยนต้องทำหนึ่งคู่ ผู้ที่มีฝีมือยังทำเป็นมังกรและหงส์ด้วย สุดท้ายใช้ถั่วดำเพื่อทำเป็นดวงตาและนำไปวางซึ้งนึ่ง ท้ายที่สุดก็วาดด้วยสี เพียงเท่านั้นอาหารหนึ่งตะกร้าก็พร้อมแล้ว ต่างก็รอให้เจ้าสาวเข้าประตูในวันพรุ่งนี้แล้วจากนั้นทั้งครอบครัวก็สามารถไปที่บ้านของนายท่านเพื่อทานอาหารมื้อใหญ่ได้
โก่วจื่อและเลิ่งจื่อนั่งอยู่ในครัวกินอย่างเอร็ดอร่อย ท่านนั่งยิ้มตาหยีอยู่ตรงกันข้ามฉีกน่องไก่ให้พ่อสองหนุ่มน้อย ซาลาเปาไส้หมูที่เพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ หนึ่งตะกร้าหายเข้าท้องในพริบตา เลิ่งจื่อกินจนเรอออกมาแล้วในมือยังถือน่องไก่ไม่ยอมปล่อย
โก่วจื่อเขินจนหน้าแดงและไม่กล้าเงยหน้าขึ้น จึงถูกท่านย่าดุยกใหญ่ ทั้งยังตักน้ำแกงให้โก่วจื่ออีกหนึ่งชามเพื่อให้กลืนได้คล่องคอและกินให้มากอีกหน่อย หากไม่พอขากลับให้นำไก่กลับไปอีกสองตัว
ผู้ที่ช่วยชีวิตเชียวนะ ตระกูลอวิ๋นจึงไม่กล้าที่จะละเลย แต่โก่วจื่อเป็นตายร้ายดีก็ไม่ยอมไปกินในห้องอาหารแม้ถูกลากก็ไม่ไป ให้ท่านย่ามอบซาลาเปาให้เขาสักหลายๆ ลูกแล้วนั่งกินตรงธรณีประตูสักมื้อก็ตั้งใจว่าจะกลับแล้ว
โก่วจื่อชอบกินอาหารในห้องครัวของตระกูลอวิ๋นที่สุด ที่นั่นจะมีกลิ่นหอมโชยตลบอบอวล คราวก่อนที่มาก็เคยได้เข้าไปกินครั้งหนึ่งและจะไม่มีวันลืมความอร่อยของซาลาเปา ตอนอยู่ในทุ่งหญ้ากินเนื้อสัตว์จนแทบจะอาเจียนอยู่แล้ว โก่วจื่อคิดว่าซาลาเปาไส้ไข่เค็มใบกุยช่ายนี้เขาคนเดียวสามารถกินได้ร้อยลูก แต่สุดท้ายหนึ่งร้อยลูกก็ไม่ได้กินและไม่กินแม้แต่สามสิบลูกเสียด้วยซ้ำ เพราะเขาพบว่าซาลาเปาไส้หมูแดงและซี่โครงหมูนั้นอร่อยกว่า
ขณะที่แบกห่ออาหารใบใหญ่ออกมาจากบ้านตระกูลอวิ๋นนั้นเลิ่งจื่อก็สะกิดโก่วจื่อ ดูเหมือนพวกเขาจะลืมขอรับรางวัล ตระกูลอวิ๋นเองก็ดูเหมือนจะลืมให้รางวัล กินข้าวเพียงมื้อเดียวก็จบเรื่องแล้วหรือ เมื่อถามคำถามนี้ต่อหน้าพ่อบ้านตระกูลอวิ๋น โก่วจื่อก็หน้าแดงเป็นลูกตำลึง อยากจะต่อยจมูกเลิ่งจื่ออีกหลายหมัดแล้วแถมยาพอกให้อีกต่างหากจริงๆ ซึ่งบางทีอาจจะปิดปากที่เหม็นเน่าที่ทำให้เขาอับอายได้
“จะอายอะไรกันเล่า!” พ่อบ้านเฉียนยิ้มพลางพูดกับโก่วจื่อว่า “ไม่ได้ขโมยหรือไม่ได้แย่งใครมา เป็นสิ่งที่สมควรได้รับ ทั้งยังถามอย่างชัดเจนเปิดเผย ข้าชอบเด็กซื่อสัตย์ประเภทนี้” พูดจบก็ลูบท้ายทอยเลิ่งจื่อ
เมื่อมองไปที่ของที่เต็มคันรถ เลิ่งจื่อที่จมูกเขียวและใบหน้าบวมก็หัวเราะเหมือนเด็กโง่ ท่าทางเช่นนั้นได้ทำให้คนรับใช้ตระกูลอวิ๋นหัวเราะเสียงดังลั่น ทำให้โก่วจื่อกัดฟันกรอดๆ คราวหน้าหากมีเรื่องเช่นนี้อีกจะไม่มาพร้อมกับเลิ่งจื่อเด็ดขาด ช่างขายหน้าจริงๆ เลย
โก่วจื่อและเลิ่งจื่อฮัมเพลงสั้นๆ พลางอาบแสงอาทิตย์อัสดงเร่งรีบเดินทางกลับ ทั้งยังหันกลับไปมองรางวัลแห่งชัยชนะที่บรรทุกมาเต็มคันรถเป็นระยะๆ ซึ่งของเหล่านั้นเพียงพอสำหรับพี่เลิ่งจื่อที่จะแต่งงานและมากพอสำหรับโก่วจื่อที่จะสร้างบ้านสักหลัง สำหรับการใช้ผ้าแพรไหมสองพับนั้นสองพี่น้องตอนนี้ยังคิดไม่ออกว่าจะนำมาใช้อะไร จะสนใจไปทำไม ของแม้มีมากมายแต่ก็ต้องมีทางใช้สอยอยู่ดี
หวงสู่กำลังกัดฟันออกแรงตัดไม้ไผ่ ไม่ได้เพื่อสิ่งอื่นใดนั่นก็เพื่อต้องการทำแพไม้อีกครั้ง พี่ภรรยาจะมาทั้งครอบครัว ตนเองจึงต้องต้อนรับขับสู้ให้ดี การล่องแพในแม่น้ำตงหยางเป็นเรื่องที่อิงเหนียงคุยอวดให้พี่ชายของนางฟังตั้งนานแล้ว ทำให้ญาติของอิงเหนียงวาดฝันเอาไว้อย่างสวยงาม คิดไม่ถึงว่าพี่ภรรยาเองก็เป็นคนมีการศึกษาเช่นกัน แม้ว่าปู่ย่าตายายจะเป็นคนขายเนื้อก็ตาม เมื่อได้ยินว่ามีโอกาสที่จะได้ล่องแพกับปราชญ์ผู้มีความรู้มีหรือจะปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไป ก้าวแรกที่หวงสู่ก้าวเท้าเข้าบ้านครอบครัวของพี่ชายอิงเหนียงก็ก้าวตามมาติดๆ โดยบอกว่าอยากจะพิสูจน์ความวิจิตรงดงามดังที่น้องสาวพูดเสียหน่อยโดยอยากจะล่องแพให้คืนนั้นเลย
ค่ำคืนที่ไม่มีแม้แต่แสงจันทร์จะล่องแพอะไรกัน กว่าจะใช้เหล้าดีกรีแรงมอมเหล้าให้พี่ชายอิงเหนียงเมามายได้ไม่ง่ายเลย เตรียมที่จะล่องแพในวันพรุ่งนี้ตั้งแต่เช้าตรู่ ใครจะคิดว่าจะเรื่องไม่คาดฝันขึ้น แพไม้ไผ่ของครอบครัวเขาที่ถูกไว้ด้านหลังร้านนั้นหนีไม่พ้นเงื้อมมือมารของหลี่ไท่ เขาอยากกอบกู้โครงเหล็กที่จมอยู่ใต้น้ำตกจึงต้องใช้แพไม้ไผ่ของบ้านเขา
สำหรับหลี่ไท่แล้วหวงสู่ไม่กล้ามีอาการต่อต้านแม้แต่เล็กน้อย ต้องยอมให้หลี่ไท่ถ่อแพไม้ไผ่ไปแต่โดยดีและยังถามว่าจะให้เขาช่วยหรือไม่ หลี่ไท่เหล่มองดูถูกร่างกายที่ดูผอมบางอ่อนแอของเขา แสดงท่าทางว่าไม่ต้องและบอกให้เขารีบๆ ไปให้พ้นสายตา เห็นแล้วชวนให้อารมณ์เสีย
พี่ชายอิงเหนียงกลับมาเป็นครั้งแรก ถ้าหากเหล่าเพือนบ้านของเมืองซินเฟิงรู้ว่าตนเองไม่ได้ต้อนรับขับสู้ให้ดี ไม่รู้ว่าพวกเขาจะคิดอย่างไร หวงสู่ที่ก่อนหน้าเคยโดดเดี่ยวอ้างว้างมาโดยตลอดตอนนี้ใส่ใจกับมุมมองของญาติมาก กว่าที่จะมีญาติสักคนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ดังนั้นจึงต้องต้อนรับขับสู้ไม่ให้ตกหล่น ไม่ต้องคิดถึงแพไม้ไผ่ของสำนักศึกษาเลย พรุ่งนี้เป็นวันแต่งงานของโหวเหยีย ญาติสนิทมิตรสหายที่เป็นชนชั้นสูงในเมืองฉางอันจะต้องมามากมายนับไม่ถ้วน แพไม้ไผ่ได้ถูกจองไว้ล่วงหน้านานแล้ว
หวงสู่ที่ไม่มีทางเลือกจึงได้แต่ถือขวานไปที่ริมแม่น้ำและเตรียมที่จะทำแพไม้ไผ่อีกอัน เพื่อที่จะได้ให้พี่ชายอิงเหนียงผู้มีความรู้ได้ล่องแพในวันพรุ่งนี้ โชคดีที่มีไม้ไผ่มากมายอยู่ริมแม่น้ำ ขอเพียงแค่ยอมลงแรงทำจะต้องมีแพไม้ไผ่อย่างแน่นอน
ป่าไผ่ที่มืดสนิทมีเพียงหวงสู่ที่แขวนตะเกียงไว้ปลายไม้แล้วก็ตัดไม้ไผ่อย่างจริงจัง เมื่อเขาตัดไม้ไผ่ล้มไปหนึ่งต้นก็ต้องออกแรงแบกขึ้นมาด้านหนึ่งแล้วลากออกมาด้านนอก ทันใดนั้นก็ถูกถีบเข้าที่แผ่นหลังหนึ่งที เงาดำพุ่งเข้ามาที่ตัวเขาอย่างรวดเร็ว ดาบที่เงาวูบวาบวางลงที่คอของหวงสู่
หวงสู่ใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม รีบผ่อนคลายร่างกาย ร้องขอความเมตตาด้วยเสียงเบาๆ เงาดำผ่อนคลายลง จากนั้นปีนขึ้นหลังของเขาแล้วโยนสายรัดผ้ามาหนึ่งเส้นให้หวงสู่มัดตนเองไว้ ไม่มีทางเลือกมดาบจ่ออยู่ที่คอจึงต้องทำตาม หวงสู่มัดตนเองเสร็จแล้วเหลือมือว่างเพียงมือเดียว ไม่มีทางเลือก เงาดำคนนั้นดึงปมให้เป็นเงื่อนตายด้วยมือเดียว คราวนี้จึงลดดาบลงแล้วถอนหายใจ
“เช้าวันพรุ่งนี้พวกคนตระกูลอวิ๋นจะออกมาไหม ตอบมาให้ดีๆ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า” ภายแสงสลัวๆ ของตะเกียง ชายชุดดำที่ดูโหดเ**้ยมคนหนึ่งถามหวงสู่ ดาบในมือของเขาก็ส่องแสงวิบวับอยู่เบื้องหน้าของหวงสู่ไม่ยอมหยุด
เมื่อได้ยินประโยคนี้ หวงสู่ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ที่แท้ไม่ใช่ศัตรูเก่าของเขา แต่มุ่งเป้าหมายมาที่โหวเหยีย จะต้องจับเจ้าหมอนี่ส่งไปยังจวนโหวให้ได้ ภายหน้าหากขอให้แม่เฒ่าช่วยจัดการเรื่องมงคลขอสาวใช้สักคนคงไม่ใช่เรื่องยากอะไร
ใบหน้าที่น่าเกลียดไม่จำเป็นต้องเสแสร้งก็รู้ว่าไม่ใช่คนดีอะไรแน่ หวงสู่จึงรีบพูดว่า “จอมยุทธ์ท่านนี้ ข้าน้อยเป็นคนรับใช้ของตระกูลอวิ๋น ตระกูลต่ำช้านี้ทั้งครอบครัวชอบรังแกข้าให้ข้าตัดไม้ไผ่อยู่ที่นี่ในตอนกลางดึก ท่านอยากปล้นตระกูลใหญ่ ยอดเยี่ยมไปเลย ข้าคุ้นเคยกับเส้นทางเป็นอย่างดีสามารถนำทางให้ท่านได้ องครักษ์เวรยามของตระกูลอวิ๋นนั้นป้องกันอย่างแน่นหนา เพียงแค่ยอดฝีมือจากกองทัพก็มีกว่าร้อยคน หากท่านฝืนบุกเข้าไปตรงๆ มีแต่ต้องตายเท่านั้น”
ชายฉกรรจ์หัวเราะเยาะเย้ย “เจ้าเห็นว่าข้าโง่หรืออย่างไร บุกเดี่ยวไปต่อสู้กับคนของกองทัพนั่นไม่ใช่การทำการค้า แต่เป็นการรนหาที่ตาย ข้าไม่คิดจะทำเรื่องเช่นนี้แน่นอน เพียงแค่ต้องการหาลูกกำพร้าแซ่อวิ๋นที่เล็ดลอดออกไปแล้วฆ่าทิ้งเสียก็พอแล้ว หากเจ้ายอมช่วยข้าหลังจากจบเรื่องแล้วเจ้าจะได้ผลประโยชน์แน่ ให้ดิ้นตายสิ ข้าเพียงแค่คนเดียวมันลงมือลำบากไปเสียหน่อย”
“ที่แท้มีท่านเพียงคนเดียว” หวงสู่เงี่ยหูฟังเสียงรอบๆ ไม่มีความเคลื่อนไหวอื่นใด เขาจึงถามชายชุดดำอย่างมาดมั่น
“ข้าเป็นนักดาบพเนจรเพียงลำพัง การค้าคราวนี้ใหญ่เกินไป ทำคนเดียวไม่มีทางสำเร็จ ดังนั้นจึงหาเจ้ามาช่วย หลังงานสำเร็จข้าจะให้ส่วนแบ่งเจ้าสามส่วน ขอเพียงเจ้ากลืนสิ่งนี้ลงไปต่อไปพวกเราก็เป็นพี่น้องกัน ร่ำรวยด้วยกัน”
พูดพลางหยิบยาลูกกลอนที่ห่อด้วยขี้ผึ้งออกจากอกเสื้อแล้วจะนำใส่ปากหวงสู่ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่กันที่เชือกบนหวงสู่หลุดขาดลงมา เข็มสีดำยาวก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา ปักเข้าไปที่ซี่โครงของชายฉกรรจ์อย่างเงียบๆ
ความรู้สึกเจ็บปวดและชาจากกระดูกซี่โครงเริ่มลุกลามไปทั้งร่าง ชายฉกรรจ์ส่งเสียงอึกเพียงครั้งเดียว จากนั้นก็คุกเข่าลงอย่างอ่อนแรงต่อหน้าหวงสู่ เขาไม่สนใจชายฉกรรจ์เพราะเขามีความมั่นใจอย่างมากต่อการลงมือของเขา เข็มนั้นได้เจาะทะลุจนไตของหมอนั่นแตกแม้จะรักษาได้ก็ต้องปัสสาวะเป็นเลือดเป็นเวลาครึ่งเดือน พวกโจรปล้นสุสานนั้นมักจะหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องด้วยลูกเล่นเล็กๆ น้อยๆ มาโดยตลอด
เขาหยิบยาลูกกลอนขึ้นมาจากพื้นแล้วบีบแตกเพื่อดมกลิ่น จากนั้นนำใส่ปากเคี้ยวพลางพูดว่า “ข้าไม่ได้กินยาลูกกลอนหวงจิงบำรุงชี่เสริมกำลังเช่นนี้มาระยะหนึ่งแล้ว ยังมีอีกหรือไม่ ภรรยาข้าเพิ่งคลอดลูก ต้องการการบำรุงอยู่”
หวงสู่กำจัดอุปกรณ์ลูกเล่นทั้งหมดที่มีในตัวของชายฉกรรจ์ทิ้งไป มองหาไม้ไผ่ที่มีความหนาสม่ำเสมอ จากนั้นนำแขนและขาด้านหนึ่งผูกติดไว้ด้านบน แล้วจึงออกแรงดัดไม้ไผ่อีกต้นหนึ่งให้งอแล้วผูกแขนขาอีกข้างที่เหลือของชายฉกรรจ์ เมื่อปล่อยมือร่างกายของฉกรรจ์ก็ถูกไม้ไผ่สองต้นตรึงออกมาเป็นตัวอักษร “ต้า” เพียงแค่ลงดาบไม่กี่ครั้งชายฉกรรจ์ก็ร่างเปลือยเปล่า หลังจากประสบการณ์อันแสนเจ็บปวดของการถูกคนห้อมล้อมมองเมื่อครั้งก่อน หวงสู่จึงคิดมาเสมอว่าผู้ชายเปลือยกายเป็นบาดแผลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับเขา
หวงสู่ฝังไม้ไผ่หนามที่แหลมคมไว้ตรงตำแหน่งส่วนล่างของชายฉกรรจ์ หากเขากล้าขยับตัวไม้ไผ่หนามก็จะแทงเข้าไปในเนื้อของเขา หลังจากทำเรื่องเหล่านี้เสร็จแล้ว หวงสู่ก็ถ่มน้ำลายสองคำใส่ฝ่ามือของเขาแล้วหยิบขวานขึ้นมาเพื่อตัดไม้ไผ่ต่อไป อย่างไรก็ต้องทำแพต่อไปเพราะพรุ่งนี้พี่ใหญ่ยังต้องใช้มันอีก
เมื่อฟ้าเริ่มสาง ในที่สุดก็ต่อแพเสร็จ ชายฉกรรจ์ร้องโหยหวนตลอดทั้งคืนก็ถูกหน่วยลาดตระเวนของตระกูลอวิ๋นนำตัวไป หวงสู่ไม่ได้สนใจในชะตาชีวิตของเขาแม้แต่น้อย เขาเพียงแค่กังวลลูกสาวตัวเล็กที่วิ่งโซเซไปมาเพื่อส่งอาหารมาให้ว่าอย่าได้ล้มเชียว
เขาจึงเดินขึ้นไปข้างหน้าอุ้มลูกสาวขึ้น แล้วใช้หนวดสั้นๆ แข็งๆ ของตนเองจิ้มลงบนใบหน้าเล็กๆ ของนาง ทำให้ลูกสาวพยายามหลบหลีกอย่างสุดแรง เมื่อเล่นสนุกพอแล้ว หวงสู่อุ้มลูกสาวขึ้นไปนั่งบนแพที่เพิ่งต่อขึ้นใหม่และโยนถุงใส่ของใบใหญ่ตามมา ตัดไม้ไผ่มาหนึ่งท่อนเพื่อทำไม้ถ่อแพ เพียงแค่ผลักแพเบาๆ แพไม้ไผ่ก็ไหลเลื่อนลงไปในแม่น้ำตงหยางอย่างเงียบๆ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น