เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 5 ตอนที่ 56-57
ส่วนที่ 5
ตอนที่ 56 ความทุกข์และความสุขที่แตกต่...
โต้วเยี่ยนซันที่อยู่ในศาลาเล็กเริ่มมีอาการเมาเหล้าไปแล้วเจ็ดส่วน การได้ลิ้มรสอาหารอร่อยและดื่มเหล้าอย่างสะใจถือเป็นความสุขสูงสุดในใต้หล้านี้จริงๆ เหล้าแต่ละจอกก็เหมือนดั่งเปลวไฟที่กำลังเผาไหม้จิตใจเขา จึงถอดเสื้อออกยกจอกเหล้าขึ้น เชื้อเชิญดวงจันทร์มาดื่มด้วยกัน ตัวคนเดียวเพียงลำพังแต่เงาสับสนวุ่นวาย ความรู้สึกที่อยากแก้แค้นไม่ได้สะใจสมดังหวังอย่างที่เขาจินตนาการไว้ เหล้าของตระกูลอวิ๋นยังคงเผ็ดร้อน เมื่อเหล้าตกสู่ท้องก็เสมือนหนึ่งเปลวไฟและดาบที่เฉือนกรีดความคิดที่ละเอียดรอบคอบจนแตกกระเจิงในพริบตา ทำให้เขาหมดแรงที่จะชื่นชมทัศนียภาพอันงดงามของเมืองฉางอันหลังจากเกิดเพลิงไหม้แล้ว สำหรับโต้วเยี่ยนซันผู้ที่ดื่มเหล้าดีกรีแรงจนเคยชินแล้ว การสั่งให้โจวต้าฝูไปตลาดหาซื้อเหล้าที่ดีกรีแรงที่สุดมาดื่มเพื่อให้เข้ากับอารมณ์ของเขา ถือเป็นความผิดพลาดอย่างหนึ่งจริงๆ
หลังจากเขาใช้สติสัมปชัญญะสุดท้ายที่เหลืออยู่สาปแช่งอวิ๋นเยี่ยแล้ว ก็ล้มดังโครมตกลงไปในพุ่มดอกโบตั๋น กิ่งที่เพิ่งจะออกดอกตูมมาถูกร่างกายของเขากดทับจนหักอย่างไร้ปรานี ดอกหล่นเกลื่อนกลาดเต็มพื้นสีแดงฉานราวกับเลือด
ผู้ที่ถูกเหล้าทำให้เสียงานนั้นโต้วเยี่ยนซันก็ไม่ใช่คนแรก ในใต้หล้านี้เต็มไปด้วยปัจจัยที่คาดคิดไม่ถึงเสมอ สัญญาณของการล่าถอยที่อยู่นอกเมืองฉางอันไม่สามารถส่งสัญญาณได้ ทหารพลีชีพในเมืองฉางอันก็กลายเป็นคนตายอย่างแท้จริง ทหารพลีชีพที่มองไม่เห็นสัญญาณล่าถอย เมื่อใช้เชื้อเพลิงในมือจนหมดแล้วก็เริ่มมองหาทุกสิ่งที่ติดไฟได้มาก่อเพลิงกองใหม่ขึ้น เมื่อไม่สามารถปกปิดซ่อนตัวได้อีกต่อไป ก็ยากจะหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดได้ เมื่อถูกจับได้การจะถูกประหารทั้งชั่วโคตรก็ย่อมเป็นไปได้ หากก้าวรุกล้ำขีดความอดทนสุดท้ายของหลี่ซื่อหมิน บทบัญญัติทางกฎหมายที่ยังมีเมตตาเหล่านั้นก็จะไม่บังเกิดผลใดๆ เมื่อมีกฎย่อมต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดจึงจะศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งหลี่ซื่อหมินมีคุณสมบัตินี้
โต้วซันเป็นลูกชายสายตรงของตระกูลโต้ว การสูญสิ้นของตระกูลโต้วได้รับการยกเว้นจากการลงโทษ เพราะโต้วจงได้ส่งมอบงานตรวจค้นที่อุดมสมบูรณ์ให้กับคนสนิทของเขาจัดการ จึงได้สั่งย้ายโต้วซันไปเป็นเกษตรกรที่หมู่บ้าน ยึดทรัพย์สินทุกอย่างของเขาเข้าเป็นของหลวง
โต้วซันที่ไม่มีอะไรเหลือเลยเมื่อได้พบเจ้านายเก่าจึงสาบานว่าจะจงรักภักดี เขาไม่เคยมีประสบการณ์เป็นทหารพลีชีพ แต่ความเกลียดชังในใจของเขาได้ส่งเสริมให้เขาวางเพลิง วางเพลิงและวางเพลิง
เมื่อถูกทหารจินอู่เว่ยออกลาดตระเวนจับเขากดลงกับพื้นจึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขาควรจะฆ่าตัวตาย แต่น่าเสียดายที่เมื่อครู่เพื่อที่จะวางเพลิงเพิงหญ้าที่ถูกเจ้าของสาดด้วยน้ำ เขาจึงถอดเสื้อของเขาโยนเข้าไป เพิงหญ้าจึงได้ติดไฟขึ้นก่อเกิดเปลวไฟพ่นควันกลุ่มใหญ่และเปลวไฟมีแนวโน้มที่จะรุนแรงมากขึ้น เพียงแต่เมื่อไม่มีเสื้อแล้ว ยาพิษที่ซ่อนอยู่ในชายเสื้อก็ถูกเปลวไฟกลืนกินเข้าไปด้วย โต้วซันที่เพิ่งจะคิดได้ถึงความร้ายแรงของสถานการณ์จึงทำได้แค่แผดเสียงร้องเสียงหลงเหมือนหมาป่า
เมืองฉางอันได้ถูกจุดให้สว่างไสวโดยคนห้าสิบคนนี้ กลายเป็นเมืองที่ไม่เคยหลับใหล เปลวไฟสีแดงเข้มพุ่งขึ้นสู่กลางอากาศราวกับปีศาจกำลังอาละวาดอย่างดุดันกลืนกินอาคารเรือนแล้วเรือนเล่า ประตูตรอกนั้นปิดตาย พวกว่างงานที่ปรากฏตัวบนท้องถนนต่างก็ถูกจับตัวไว้ เหล่าทหารจินอู่เว่ยได้แต่ยืนอยู่บนถนนจูเชวี่ยที่กว้างใหญ่เพื่อฟังเสียงร้องคร่ำครวญของชาวเมืองในบริเวณโดยรอบ
ไม่ใช่ครั้งหรือสองครั้งแล้วที่สวรรค์ช่วยเหลือหลี่ซื่อหมิน เขาดูเหมือนจะเป็นโอรสสวรรค์จริงๆ ขณะที่รถดับเพลิงไม่สามารถควบคุมเปลวไฟไว้ได้นั้น ห่าฝนครั้งแรกของฤดูใบไม้ผลิก็ตกลงมา ผู้ที่มาช่วยดับเพลิงทุกคนต่างก็คุกเข่าอยู่ในน้ำโคลนคารวะกราบไหว้ฟ้าดินอย่างนอบน้อม โต้วเยี่ยนซันเองก็ตื่นขึ้นเพราะสายฝนนี้ เขาเคยออกคำสั่งอย่างเข้มงวดว่าไม่อนุญาตให้ใครเข้าใกล้ที่นี่ ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ว่าเขาได้นอนฝันหวานอย่างมีความสุขที่สุดอยู่ในดงดอกไม้เขาหันกลับมามองที่ฉางอัน เห็นเพียงว่าก่อนที่จะเมาจนล้มลงยังคงอยู่ในเมืองที่ถูกเผาไหม้จนลุกโชน แต่ในตอนนี้ค่ำคืนที่ดำมืดกว่าสีหมึกได้มลายหายไปสิ้น เห็นเพียงแสงไฟเป็นจุดๆ เคลื่อนที่อย่างต่อเนื่องราวกับเปลวไฟปีศาจที่ลอยได้
โต้วเยี่ยนซันบีบผมที่เปียกปอนแล้วจึงมองเมืองฉางอันที่เงียบสงบแล้วจึงเปิดประตูลานเล็กๆ แล้วเดินออกมา โจวต้าฝูร้อนรนไม่เป็นสุขเหมือนมดเดินอยู่บนหม้อไฟ เมื่อเห็นโต้วเยี่ยนซันที่เปียกปอนทั้งร่างเดินออกมาก็รีบก้าวไปช่วยพยุงเจ้านายที่เดินโงนเงนโซเซและกล่าวว่า “นายท่าน เพียงแค่ทหารพลีชีพจำนวนหนึ่งที่ไม่มีนัยสำคัญอะไร นายท่านไม่จำเป็นต้องเศร้าโศก คนประเภทนี้เรารับสมัครใหม่อีกครั้งก็ได้แล้ว ข้าน้อยก็รู้ว่าห่าฝนครั้งนี้ทำให้พวกเราล้มเหลวไม่เป็นท่าเห็นได้ว่าสวรรค์ไม่เข้าข้างพวกเรา คราวหน้าพวกเราค่อยลงมือใหม่อีกครั้งข้าน้อยไม่เชื่อว่าตระกูลหลี่ของเขาจะได้รับการเมตตาช่วยเหลือจากสวรรค์ได้ทุกครั้งไป การที่ท่านไม่ได้ออกคำสั่งให้ทหารพลีชีพเหล่านั้นซ่อนตัวไว้ถือว่าทำถูกแล้ว การจะทำงานใหญ่ก็ต้องลั่นกลองรบเพื่อสร้างความฮึกเหิมจึงจะประสบความสำเร็จ หากปราศจากความบ้าคลั่งของทหารพลีชีพในเวลาต่อมาพวกเราก็จะไม่สามารถสร้างความทรงจำอันหนักหน่วงเช่นนี้ไว้ให้ตระกูลหลี่ได้”
โต้วเยี่ยนซันเอามือลูบหน้าผากด้วยความโศกเศร้า และพูดว่า “ข้ายืนอยู่บนที่สูง คาดหวังให้พวกเขาต่อสู้แลกชีวิตอยู่ในเมืองในใจก็เจ็บปวดเหมือนมีดกรีด แต่น่าเสียดายห่าฝนครั้งนี้ได้ทำลายผลงานของพวกเขาและก็ได้ทำลายความโชคดีครั้งสุดท้ายในใจข้าด้วย การจะต่อกรกับตระกูลหลี่จะต้องทำการวางแผนให้รัดกุมก่อนจึงค่อยลงมือ มิฉะนั้นจะล้มเหลวไม่เป็นท่า การสูญเสียกำลังคนคราวนี้เป็นความผิดของข้าเอง ท่านอาโจว ได้โปรดช่วยข้าทำความปรารถนาเรื่องสุดท้ายของท่านปู่ให้เป็นจริงด้วย ทำให้ลูกหลานตระกูลหลี่อยู่ไม่สุขตลอดไป”
ท่านอาโจวเพียงคำเดียวทำให้โจวต้าฝูรู้สึกว่าการทุ่มเทที่ผ่านมาทั้งหมดของเขาได้รับการตอบรับแล้ว แม้ว่าจะให้เขาลงสู่สนามรบด้วยตนเองก็ตามถึงต้องตายก็ไม่มีวันเสียใจอย่างเด็ดขาด ตนเองเป็นเพียงพ่อครัวคนหนึ่งที่ชีวิตระหกระเหินอยู่ในเมืองฉางอัน ได้รับบุญคุณจากตระกูลโต้วมาหลายชั่วอายุคน บัดนี้ได้ยินคุณชายที่เมื่อก่อนเป็นผู้ที่ถือตนเรียกว่าท่านอาก็คุ้มค่ามากมายนักที่จะมอบชีวิตที่แก่ชรานี้ให้กับตระกูลโต้ว
“นายท่านโปรดวางใจ ข้าน้อยขอสาบานว่าจะติดตามรับใช้ท่านจนตัวตาย จะไม่มีวันปล่อยให้ตระกูลหลี่ได้อยู่อย่างสุขสงบ”
เมื่อเห็นเปลวไฟในเมืองถูกห่าฝนดับไป หลี่ซื่อหมินจึงค่อยหันหลังกลับตำหนักไท่จี๋ ซึ่งแตกต่างจากโต้วเยี่ยนซัน หลังจากที่เปลวไฟอันแรกได้ลุกโชนขึ้นเขาก็ยืนอยู่ด้านหน้าบันไดหยกของตำหนักไท่จี๋ นอกจากหลงโส่วหยวนแล้วที่นี่คือจุดที่สูงที่สุดของเมืองฉางอัน เขานั่งบนเก้าอี้และมองดูเมืองที่เต็มไปด้วยควันไฟทั่วทุกหัวระแหงอย่างไม่ยี่หระ เมื่อขันทีมารายงานข่าวว่าตระกูลอวิ๋นเกิดเพลิงไหม้ขึ้น เขาก็รู้แล้วว่าใครเป็นคนจุดไฟในครั้งนี้ หงเฉิงหมอบกราบใบหน้าแนบกับพื้นแต่ไม่กล้าที่จะขยับแม้เพียงเล็กน้อย
สีหน้าเย็นชาราวกับน้ำแต่ไม่สามารถนำมาใช้เป็นน้ำได้ เมืองฉางอันซึ่งแห้งแล้งในฤดูใบไม้ผลิเป็นสภาพอากาศที่เหมาะที่สุดสำหรับการวางเพลิง สภาพอากาศแห้งแล้งสิ่งของติดไฟง่าย เสียงบอกระวังฟืนไฟไม่เคยหยุดหายไป แต่ละปีจะมีอัคคีภัยเกิดอยู่หลายครั้งหลายครา ยากแก่การป้องกันยิ่งนัก
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เมฆปกคลุมดวงจันทร์ เมื่อถึงช่วงที่ท้องฟ้ามืดสนิท หลี่ซื่อหมินแหงนหน้า มองฟ้า ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น ในที่สุดฝนก็ตกลงมาซึ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับว่ารีบมาดับอัคคีภัยในครั้งนี้ ฝนเม็ดใหญ่และตกลงมาอย่างหนาแน่น กระทบร่างกายแล้วรู้สึกเจ็บ หงเฉิงประสบด้วยตัวเอง ตอนนี้อย่าว่าแต่ฝนกำลังตก แม้เป็นมีดตกลงมาเขาก็ไม่กล้าขยับ เมื่อมองด้วยหางตาเขาพบว่า ใบหน้าที่เย็นชาของฮ่องเต้เริ่มขยับเขยื้อนเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย เป็นสัญญาณที่ดีนะ หวังว่าห่าฝนนี้จะสามารถดับเพลิงครั้งนี้ให้หมดไปได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ชีวิตน้อยๆ ก็อาจจะรักษาไว้ได้
เมื่อฝนหยุดฟ้าเปิด ไก่ขันไปแล้วหนึ่งรอบ หากยืนอยู่ที่ตำหนักไท่จี๋ยังพอจะเห็นแสงอรุณจางๆ บนท้องฟ้าได้บ้าง หงเฉิงยังคงหมอบอยู่บนพื้น ไม่กล้าลุกขึ้น หลี่ซื่อหมินไม่อยู่เขาก็ยิ่งหมอบอย่างเคารพนบนอบมากกว่าเดิม เสียงของหลี่ซื่อหมินดังออกมาจากด้านในตำหนักราวกับดังมาจากขุมนรกที่หนาวเหน็บและไร้ความปรานี “ลุกขึ้นเถอะ ไปทำงานของเจ้า หากทำไม่ได้ดีก็ไม่ต้องกลับมา”
ทั่วทั้งเมืองฉางอันต่างก็โอดครวญกับอัคคีภัยครั้งนี้กันทั้งสิ้น มีเพียงคนรับใช้ของตระกูลอวิ๋นเท่านั้นที่กำลังใช้ไม้ท่อนใหญ่กระทุ้งตัวเรือนที่ยังไม่ทรุดตัวลงให้พังลงทีละหลัง คนรับใช้พึมพำเกี่ยวกับเพลิงไหม้ที่แปลกประหลาดครั้งนี้อย่างระมัดระวัง หรือว่าจะมีใครล่วงเกินเทพเจ้าเตาจึงได้ถูกท่านเจตนาลงโทษด้วยเพลิงไหม้ แต่บ้านของพวกเราไม่น่าจะถูกลงโทษปกติแม่เฒ่าเป็นผู้ใจดีมีเมตตา แม้ว่าโหวเหยียจะล้างผลาญไปเสียหน่อยแต่ก็ยังไม่ถึงจุดที่จะทำให้เทพเจ้าพิโรธได้ บ้านของพวกเราจะต้องเดือดร้อนเพราะบ้านอื่นๆ อย่างแน่นอน เมื่อมีคนถามขึ้นก็จะพูดเช่นนี้ตระกูลอวิ๋นไม่เคยทำอะไรผิดศีลธรรม
แต่สิ่งที่น่าโกรธเคืองที่สุดก็คือห่าฝนครั้งนี้ ของทุกอย่างในบ้านได้เคลื่อนย้ายออกมาหมดแล้ว บ้านนั้นพวกเราไม่ต้องการแล้ว โหวเหยียพร่ำบ่นว่าจะสร้างบ้านใหม่มานานแล้ว เมื่อเพลิงนี้เผาบ้านไม่มีเหลือพวกเราก็ไปอาศัยอยู่ในบ้านหรูๆ ที่หมู่บ้าน ใครอยากอยู่ในเมืองกัน เมื่อฟ้าเริ่มมืดลงก็ต้องเข้านอน ซื้อของอะไรบางอย่างก็ต้องเดินทางค่อนเมืองฉางอัน ท่านอาหลิวบอกว่าในหมู่บ้านนั้นเมื่อก้าวพ้นประตูก็จะมีตลาดซึ่งคึกคักมากมายนัก ยังได้ยินอีกว่าที่เขาอวี้ซันมีแพไม้ไผ่ที่ล่องในแม่น้ำตงหยางที่งดงามเพียงไร เมื่อได้หยุดหนึ่งวันก็สามารถล่องแพอยู่บนแม่น้ำได้ตลอดวัน อากาศเย็นสบาย สุขกายสบายใจกว่าเทพเจ้าเสียอีก ไม่เหมือนกับในเมืองเพื่อเติมน้ำให้เต็มหลังอาบน้ำ ยังต้องตักน้ำกว่าค่อนวันเพื่อเติมน้ำให้เต็ม สุดท้ายก็เหงื่อไหลไคลย้อยอีกครั้ง ช่างเป็นการอาบน้ำที่เสียเปล่า
หลังคาเจ้ากรรมเหตุใดไม่ไหม้ให้หมด กระเบื้องก็ร่วงหล่นลงมาไม่ขาดสาย ศีรษะของอวิ๋นจิ่วก็ถูกกระแทกใส่จนปูดบวม สิ่งของที่ย้ายออกมาก็แช่อยู่ในน้ำฝน ท่านอาหลิวด่าว่าอยู่เป็นเวลานาน เกิดเพลิงไหม้แต่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บก็ไม่ถือเป็นภัยพิบัติ แต่ห่าฝนในครั้งนี้ต่างหากที่ทำให้ตระกูลอวิ๋นประสบภัยพิบัติครั้งใหญ่อย่างแท้จริง ไม้คุณภาพดีที่โหวเหยียนำกลับมาทำเครื่องเรือนเปียกน้ำจนหมด หากบริเวณรอยต่อลิ่มถูกน้ำเข้า แม้ตากให้แห้งก็จะต้องมีรอยแตกแน่นอน น่าเสียดายอย่างที่สุด
คนของทางการมามากมายหลายครั้งเพื่อสอบถามเกี่ยวกับความเสียหายของที่บ้าน ท่านอาหลิวร้องไห้คร่ำครวญน้ำมูกน้ำตาไหลพลางบอกว่าที่บ้านได้รับความเสียหายจากภัยพิบัติอย่างรุนแรง บ้านทั้งหลังถูกไฟไหม้จนหมดสิ้น เหลือเพียงคอกม้าอยู่ไม่กี่คอกเท่านั้น ของส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ย้ายออกมา เพียงแค่จุดนี้เขาก็รู้สึกผิดต่อแม่เฒ่าที่ให้เขาดูแลบ้านและก็ผิดต่อโหวเหยียที่เชื่อถือในตัวเขามาโดยตลอด แต่ตระกูลอวิ๋นยังสามารถรับมือกับภัยพิบัติครั้งนี้ได้ ดังนั้นจึงได้ให้รถดับเพลิงให้ช่วยเหลือครอบครัวอื่นก่อน เพราะเกรงว่าครอบครัวเล็กๆ จะแบกรับความเสียหายไม่ไหว ไม่คุ้มค่าเลยที่จะสละชีวิตเพื่อบ้านหลังหนึ่ง
ตระกูลอวิ๋นนั้นเป็นผู้ที่มีคุณธรรมน้ำใสสูงมาโดยตลอด ทำให้เจ้าหน้าที่เมื่อได้ยินแล้วก็รีบประสานมือคารวะอย่างนอบน้อมในทันใด ทั้งยังบอกอีกว่าจะทำป้ายมาแขวนไว้ที่หน้าประตูบ้านตระกูลอวิ๋น ทั้งยังมีเพื่อนบ้านบางคนที่ประสบภัยและได้รับการช่วยเหลือจากรถดับเพลิงต่างตั้งใจพากันวิ่งมาคุกเข่าและโขกศีรษะที่หน้าบ้านตระกูลอวิ๋น ทีละครอบครัวๆ จนทำให้ท่านอาหลิวร้องไห้น้ำมูกไหลตามไปด้วย
ประตูใหญ่ยังอยู่ดีไม่เสียหาย เมื่อปิดประตูท่านอาหลิวก็ยืนท่ามกลางสายตาที่เคารพเลื่อมใสของคนรับใช้และทหารยาม เขานั่งบนเก้าอี้ตัวใหญ่เคาะขาตีจังหวะและฮัมเพลงในลำคออยู่สองท่อนซึ่งร้องได้ไม่น่าฟังเอาเสียมากๆ แต่กลับดูน่ารักดี
นายอำเภอเสียชีวิตไปหนึ่งคนและชาวบ้านหนึ่งร้อยแปดสิบหกคน ซึ่งเป็นผู้ที่ถูกยาพิษตายหลายสิบคน ทางการบอกว่าคนที่ถูกยาพิษตายนั้นล้วนเป็นฆาตกรแต่กลับไม่สามารถรู้ได้ว่าพวกเขาเป็นใครและเป็นคนที่ไหน ใครเป็นผู้ก่อโศกนาฏกรรมครั้งนี้
คนที่ตายมากที่สุดคือคนแถบตลาดซีซื่อ พวกคนโลภมากเพื่อเงินแล้วยอมทิ้งแม้กระทั่งชีวิต รอบกายก็เต็มไปด้วยเปลวเพลิงแล้วยังจะพุ่งเข้าไปที่กองไฟอีกเพื่อขนย้ายของออกมา ดังนั้นผู้ที่ถูกไฟคลอกตายจึงมีจำนวนมากที่สุด นอกจากนี้ยังมีร้านหนึ่งที่ขายหญิงชาวเผ่าหูโดยเฉพาะ ด้านในขังหญิงชาวเผ่าหูไว้ยี่สิบกว่าคนซึ่งไม่มีใครหนีออกมาได้เลย
ตลาดซีซื่อก็ถูกไฟไหม้จนไม่เหลือสภาพดีเช่นกัน บ้านของเหอเซ่ารอดพ้นจากภัยนี้จึงรีบรุดมาดูสภาพบ้านที่น่าอนาถของตระกูลอวิ๋นตั้งแต่ฟ้าสาง ซึ่งขณะนั้นได้ดับไฟเสร็จแล้ว คว้าคอเสื้อของเจ้าหน้าที่จะพาตัวไปเข้าเฝ้าโดยบอกว่าจวนโหวเหยียแท้ๆ เพื่อไม่ให้บ้านของประชาชนต้องประสบภัยจึงปฏิเสธรถดับเพลิง ทำเรื่องที่มีคุณธรรมน้ำใจสูงส่งเช่นนี้ ช่างเป็นเรื่องน่าชื่นชมและเศร้าจริงๆ ทางการกลับไม่แสดงออกอะไรเลยแม้เพียงนิด จึงต้องการไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้เพื่อขอความเป็นธรรม
แต่เมื่อจะไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้เข้าจริงๆ ก็ทำให้เหอเซ่าหวาดกลัวจนปัสสาวะรดกางเกง ใครจะรู้ว่าตอนนี้ฮ่องเต้ต้องการจะฆ่าใครสักคนสองคนเพื่อระบายความโกรธหรือไม่ จนกระทั่งนายอำเภอฉางอันคนใหม่ ได้ไหว้วานขอให้ตระกูลอวิ๋นและตระกูลเหอทำการบูรณะซ่อมแซมตลาดซีซื่อทั้งหมดจึงได้ยอมเลิกรา เมื่อกลับมาถึงตระกูลอวิ๋นก็มอบหยกเขียวมรกตให้ท่านอาหลิวเป็นรางวัล จากนั้นก็ขี่ม้าไปหาหลี่เค่อพูดคุยว่าจะทำเช่นไรเพื่อให้ตระกูลเหอสามารถตั้งตัวอยู่ที่ตลาดซีซื่อได้
ส่วนที่ 5
ตอนที่ 57 รอดูเรื่องตลก
โต้วซันถูกห้อยติดไว้บนกิ่งไม้ มีบาดแผลเต็มทั่วร่าง มือและเท้าชักกระตุกโดยไม่รู้ตัว อีกทั้งยังมีเลือดไหลออกมารวมกันอยู่ใต้เท้าของเขาจนกลายเป็นแอ่งน้ำเล็กๆ หลังจากกลบหลุมเล็กๆ จนเต็มแล้วเนื่องจากแรงดึงผิวนั้นรุนแรงมากซึ่งสูงกว่าเนินดินทั้งสี่ด้าน ภายใต้แสงไฟสลัวๆ ได้เกิดแสงประหลาดเจิดจ้าขึ้น
เลือดยังคงหยดลงสู่พื้น จนในที่สุดก็ทะลุชั้นผิวหนังออกมาราวกับงูสีแดงตัวหนึ่งเลื้อยคลานลงมา หงเฉิงยืนอยู่ที่นั่นปล่อยให้งูเลือดตัวนี้กัดรองเท้าของเขาตามใจชอบ เขาเอาแต่จ้องดูโต้วซันเพียงอย่างเดียว เขาก็ไม่ใช่คนที่เข้มแข็งแกร่งอะไร เมื่อถอดเล็บเขาออกก็ร้องไห้โวยวาย คร่ำครวญโหยหวน อุจจาระและปัสสาวะไหลออกมาพร้อมกัน แต่เขาก็ไม่ยอมปริปาก การแสดงออกของผู้อ่อนแอนอกจากการร้องขอชีวิตแล้วเขาก็ทำทุกอย่าง หงเฉิงมักรู้สึกว่าจะทำลายแนวรับสุดท้ายของเขาได้แล้ว แต่เขากลับเอาแต่ร้องไห้โวยวาย คร่ำครวญโหยหวน ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมเปิดปากพูด
หลายปีที่ผ่านมาหงเฉิงฆ่าคนไปมากมายหลายคนและทรมานคนไปจำนวนไม่น้อย มีคนจำนวนมากมายที่ขณะอยู่ในเมืองดูเป็นชายแข็งแกร่งอาจหาญแต่เมื่ออยู่ในมือเขาก็เหมือนดินโคลน โต้วซันที่อยู่เบื้องหน้านี้ได้ทำให้เขาเริ่มรู้สึกนับถือขึ้นมาเล็กน้อย
แต่ความคิดนี้ปรากฏขึ้นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ จากนั้นก็สลายหายสิ้นไปในพริบตา เมื่อคิดถึงพระพักตร์ที่ดำทมิฬดุจเหล็กกล้าของฝ่าบาทแล้วเขาก็สั่นเทาไปทั่วร่าง หากไม่สามารถทำตามพระบัญชาของฝ่าบาทได้ เขาไม่กล้านึกถึงผลที่ตามมาเลยจริงๆ
การลอบโจมตีอย่างกะทันหันในครั้งนี้หน่วยข่าวกรองกลับไม่รู้ข่าวสารใดๆ เลยจนกระทั่งถึงวินาทีที่เกิดเพลิงไหม้ขึ้น เขายังรู้สึกว่าโชคดีที่ตนเองไม่เดือดร้อน ยังคงคิดว่านี่เป็นภัยธรรมชาติทั้งยังสามารถทำให้เขาได้เห็นเรื่องเสียหน้าของทหารจินอู่เว่ยอีกด้วย แต่คิดไม่ถึวว่าเปลวไฟจะลุกเพิ่มขึ้นมากขึ้นทุกทีๆ ถ้าหากตอนนี้เขายังไม่เข้าใจว่านี่เป็นการถูกลอบโจมตี ฝ่าบาทก็คงจะทรงสั่งประหารเขาไปนานแล้ว
สิ่งแรกเลยก็คือการปกป้องพระราชวัง สายลับของหน่วยข่าวกรองถูกวางตัวไว้ทั่วเมือง สิ่งแรกที่หงเฉิงทำเลยก็คือรีบเข้ามารับผิด เขาไม่ได้นอนตลอดคืน ไม่ได้ดื่มน้ำสักหยด ถามโต้วซันอีกครั้งด้วยเสียงที่แหบห้าว “เจ้าเป็นใคร ใครเป็นคนบงการเรื่องนี้ เจ้ารับคำสั่งมาจากใคร รีบบอกมาแล้วข้าจะให้เจ้าได้ตายสบาย ไม่ต้องทนทรมานกับโทษเป็นที่แสนทรมานนี้”
โต้วซันก้มศีรษะไม่พูดอะไรเลย การลงโทษอย่างหนักเมื่อครู่นี้ได้ทำให้ร่างกายของเขาอ่อนล้าหมดแรง ในหัวมีแต่ความว่างเปล่า มือและเท้ามีแต่ความรู้สึกแสบร้อน ในหูมีแต่เสียงอื้ออึงราวกับมีผึ้งหลายพันตัวเริงระบำอยู่ในหูของเขา
น้ำเย็นหนึ่งถังสาดกระเซ็นใส่ศีรษะของเขาทำให้หนาวสั่นไปทั่วร่าง ยกคอที่บวมขึ้นและหรี่ตามองหงเฉิงที่อยู่เบื้องหน้า ปากก็ร้องขอด้วยเสียงอู้อี้ฟังไม่เป็นคำว่า “ฆ่าข้าเถิด ฆ่าข้าเถิด”
ต้องแนบหูเข้าไปใกล้ๆ ปากของโต้วซันหงเฉิงจึงจะได้ยินทั้งสามคำนี้อย่างชัดเจน ในใจก็อดรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างยิ่งไม่ได้ ร้องขอเพื่อตายแต่ไม่ร้องขอชีวิต ผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบและกระซิบข้างหูเขาเบาๆ สองประโยค ดวงตาของหงเฉิงก็เบิกกว้างสุกสว่างขึ้นทันทีและมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
เขาใช้ด้ามแส้ช้อนศีรษะของโต้วซันขึ้นมาแล้วยิ้มพูดว่า “โต้วซัน เจ้าคิดว่าถ้าเจ้าไม่พูดแล้ว หน่วยข่าวกรองจะไม่รู้หรือว่าเจ้าเป็นใคร ที่ยอดเยี่ยมที่สุดก็คือเจ้ายังมีภรรยาและลูกอาศัยอยู่นอกเมือง ข้าจะให้คนไปเชิญพวกเขามา เจ้าไม่พูดไม่เป็นไรแต่ไม่รู้ว่าพวกนางสองแม่ลูกจะพอรู้หรือไม่”
ร่างของโต้วซันสั่นเทาอย่างรุนแรงขึ้น เขาปิดบังภรรยาและลูกก็เพื่อจะเหลือเงินจำนวนมากไว้ให้พวกเขา เพื่อที่ลูกหลานของเขาหลุดพ้นจากการเป็นทาส แม้ว่าลูกของเขาจะอายุเพียงห้าขวบแต่ก็ฉลาดเฉลียว เพียงแค่ยืนอยู่ด้านหน้าหน้าต่างของคุณชายน้อยของที่บ้านก็สามารถจำบทกวีได้จำนวนมากถึงเพียงนั้น แม้แต่อาจารย์ผู้สอนยังรู้สึกเสียดายแทนเขา เสียดายที่เป็นเพียงทาส หากเป็นคนธรรมดาทั่วไปแม้จะเป็นลูกคนยากจน เขาก็จะรับเป็นศิษย์ มีความหวังที่จะเชิดหน้าชูตาให้กับตระกูลในภายหน้าได้ เป็นครั้งแรกที่โต้วซันซึ่งมีชีวิตมืดมัวมาค่อนชีวิตได้รู้สึกสะอิดสะเอียนสุดจะกล่าวกับฐานะทาสที่มีโอกาสได้กินอิ่มนอนหลับของตนเอง
โต้วจงเจ้าบ้านคนใหม่ปฏิเสธความต้องการที่จะไถ่ถอนลูกชายของเขา ทั้งยังนำเงินออมเป็นเวลาหลายปีของเขาไปด้วย ประโยคที่ว่าทาสก็ย่อมเป็นทาส หากอยากจะเป็นไทก็รอชาติหน้าเถอะ คำพูดประโยคนี้ทำให้ความหวังอันงดงามทั้งหมดของเขาถูกทำลายจนแหลกสลาย จนกระทั่งการมาถึงของคุณชาย
สหายเก่าของตระกูลโต้วท่านหนึ่งสนใจในตัวของลูกชายโต้วซัน ทั้งยังช่วยไถ่ตัวภรรยาของโต้วซันกลับมาให้และนำชื่อไปขึ้นทะเบียนราษฎร์ใหม่อีกด้วย ซึ่งเรื่องเหล่านี้ได้ทำให้โต้วซันเห็นด้วยตาตนเองและสุดท้ายคุณชายได้มอบเงินสามสิบก้วนเอาไว้ให้เขาดูแลครอบครัว เมื่อเขาเห็นลูกชายคารวะอาจารย์ฝากตัวเป็นศิษย์เขาก็คิดว่าตนเองพร้อมที่จะตายแล้ว ความตายไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด
ตอนนี้เหตุการณ์ทุกอย่างกลับไปที่จุดเริ่มต้นหลังจากที่อ้อมวนไปหนึ่งรอบ ซึ่งสิ่งนี้น่ากลัวกว่าความตายเสียอีก เขาร้องตะโกนและพูดว่า “ได้โปรด อย่าไปหาพวกนางเลย ขอให้พวกเขามีชีวิตที่ดีอยู่ต่อไปด้วย พวกนางไม่รู้อะไรเลย หากเจ้าอยากรู้อะไร ข้าจะบอกเจ้า”
หงเฉิงหัวเราะและถอนหายใจยาวๆ อย่างโล่งอก เป็นคนย่อมต้องมีจุดอ่อน ทหารพลีชีพไม่สนใจชีวิตของตัวเอง แต่กลับใส่ใจชีวิตคนอื่น อย่างเช่น คนในครอบครัว นี่ช่างเป็นเรื่องที่ดูประชดประชันกันจริงๆ
“กฎหมายต้าถังไม่ได้มีกฎว่าต้องฆ่าภรรยาและลูกของเจ้า อยากมากที่สุดก็ถูกสั่งให้เป็นทาส หากเจ้ายอมสารภาพออกมาทั้งหมดแต่โดยดี ข้าจะนำภรรยาและลูกของเจ้าไปขึ้นทะเบียนราษฎร์ให้ เจ้าลองไปสอบถามคนอื่นดูได้ ข้าเหล่าหงพูดคำไหนคำนั้น พูดแล้วจะไม่คืนคำเด็ดขาด เจ้านั้นต้องตายแน่นอนแล้ว แม้เทวดาก็ไม่สามารถช่วยเจ้าได้ ข้าให้สัญญากับเจ้าได้เพียงเท่านี้ เจ้าตัดสินใจเองก็แล้วกัน”
สุดท้ายแล้วโต้วซันก็พูดออกมาจนหมด แม้กระทั่งการคาดเดาของตัวเองก็พูดออกมา หลังจากประทับลายนิ้วมือเสร็จแล้ว หงเฉิงจึงได้รู้สึกตัวว่าทั้งเหนื่อย ทั้งหิวและกระหายน้ำ แต่เขากลับไม่กล้าที่จะทำการล่าช้าแม้เพียงเล็กน้อย รีบร้อนมุ่งหน้าไปยังตำหนักไท่จี๋
“ผู้บงการคือโต้วเยี่ยนซัน เขาไม่ได้ตายไปแล้วหรือ” หลี่ซื่อหมินมองไปที่คำรับสารภาพ เห็นหงเฉิงเอาแต่โขกศีรษะแต่ไม่กล้าพูดอะไร
ทันใดนั้นก็ถามขึ้นอีก “ตระกูลอวิ๋นก็ถูกเผาด้วยเช่นกัน”
“กราบทูลฝ่าบาท ตระกูลอวิ๋นอยู่ในพื้นที่ประสบภัยขั้นรุนแรง มีคนสี่คนขว้างคบเพลิงใส่บ้านของเขา ทั้งยังมีน้ำมัน กำมะถัน ดินประสิว ถูกเพลิงไหม้เลวร้ายที่สุด เหลือเพียงคอกม้าสองคอกเท่านั้น แต่ระหว่างเกิดเพลิงไหม้ตระกูลอวิ๋นวางตัวได้ดี พ่อบ้านให้รถดับเพลิงไปช่วยเหลือครอบครัวเล็กๆ ก่อนและสุดท้ายจึงค่อยมาช่วยตระกูลอวิ๋น” เมื่อรู้ว่าผู้บงการก็คือโต้วเยี่ยนซันหงเฉิงก็รู้ว่าการที่ตระกูลอวิ๋นถูกเผานั้นก็เป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว
“เกรงว่าเจ้าหนุ่มนี่น่าจะเดาได้ว่าโต้วเยี่ยนซันยังมีชีวิตอยู่ เค่อเอ๋อร์มารายงานว่าขณะที่เขากำลังจัดการบ้านเก่าของตระกูลโต้วอยู่นั้น เขาพบห้องลับซึ่งด้านในมีรอยเล็บอยู่นับไม่ถ้วน หลังจากอวิ๋นเยี่ยเห็นแล้วก็รีบกลับไปที่เขาอวี้ซันและก้าวเข้ามา จากนั้นก็ไม่ปลีกตัวจากตระกูลอวิ๋นแม้แต่ครึ่งก้าว
สิ่งของทุกอย่างในบ้านที่อยู่ในเมืองก็ถูกย้ายกลับไปทั้งหมดภายใต้ข้ออ้างที่ว่าจะใช้ในงานแต่งงาน คิดว่าคงเตรียมพร้อมสำหรับการโจมตีครั้งนี้แต่เนิ่นๆ แล้ว ทั้งยังขุดได้สมบัติจำนวนมากจากซากปรักหักพังของบ้านตระกูลโต้ว เจ้าหนุ่ม เจ้ารอดูเรื่องน่าขันของเรา เช่นนั้นเราก็จะนั่งดูเรื่องน่าขันของเจ้าสักครั้ง เรามีสวรรค์คอยช่วยเหลือ ฝนตกลงมาอย่างหนัก ดับเพลิงไหม้ไปจนหมดสิ้น แล้วเจ้าจะใช้วิธีไหนในการจัดการกับโต้วเยี่ยนซัน ตระกูลโต้วจะยอมละเว้นตัวการแห่งภัยพิบัติเช่นเจ้าหรือ”
เมื่อหลี่ซื่อหมินพูดจบก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดังขึ้นและพูดกับหงเฉิงว่า “ห้ามเจ้าไปรายงานข่าวเด็ดขาด มิฉะนั้นจะถูกลงโทษสามข้อหาพร้อมกัน”
เมื่อหงเฉิงออกมาจากตำหนักไท่จี๋ ดวงอาทิตย์ก็ขึ้นสูงมากแล้ว เบื้องหน้ารู้สึกพร่ามัวเล็กน้อย จึงเข้าไปที่ครัวหลวงขอโจ๊กชามใหญ่หนึ่งชาม ไก่สองตัว นั่งยองๆ อยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์และกินอย่างมูมมาม เมื่อกินไปกว่าครึ่งจึงเงยหน้ามองดวงอาทิตย์แล้วพูดว่า “น้องชาย ไม่ใช่พี่ชายไม่ช่วย แต่เป็นพระบัญชายากขัดขืน เทพเจ้าอย่างพวกเจ้าประมือกัน คนโง่เช่นข้าไม่สามารถสอดแทรกเข้าไปได้จริงๆ เจ้ารักษาตัวด้วย”
หลังจากพูดออกไปแล้วก็ดูเหมือนจะรู้สึกดีขึ้นมากแล้วจึงตะโกนไปที่ห้องครัวว่า “เอาเหล้ามาให้ข้าหนึ่งกา”
ท่านอาหลิวนั่งบนรถม้าที่หมู่บ้านส่งมารับและบอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้พ่อบ้านใหญ่เฉียนทงฟังอย่างละเอียดถี่ถ้วนทุกประการ หลังจากเฉียนทงได้ฟังสิ่งที่ท่านหลิวเล่าแล้วตบไหล่เขาเบาๆ แล้วพูดว่า “เหล่าหลิว เจ้าเก่งกาจจริงๆ ไม่เสียทีที่ข้าแนะนำเจ้าให้แม่เฒ่าที่บ้าน เรื่องนี้เจ้าจัดการได้ดีมาก เมื่อกลับไปแล้วข้าจะขอรางวัลจากท่านแม่เฒ่าให้เจ้า”
เหล่าหลิวหัวเราะจนพูดอะไรไม่ถูกแล้ว แต่ไหนแต่ไรมารางวัลของตระกูลอวิ๋นนั้นมากมายนัก พ่อบ้านใหญ่เฉียนทงตอนนี้ได้รับการเลิกทาสมานานแล้ว ภรรยาและลูกรวมถึงคนในบ้านก็ไม่ใช่แล้ว เขาเป็นเจ้าของที่ดินหลายหมื่นตารางเมตรและยังมีผู้เช่าที่นาอีกหลายคน ได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย แต่ตัวเขากลับยืนกรานจะเปลี่ยนสถานะให้เป็นทาสให้ได้ แม่เฒ่าเร่งให้เขาไปเปลี่ยนสถานะกลับมาอยู่หลายครั้ง ทั้งยังทำเป็นสัญญาที่ไม่สามารถไถ่ถอนได้อีก ดูเหมือนว่าเขาตั้งใจจะไม่ไปจากบ้านตระกูลอวิ๋นแล้ว
ซึ่งจะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ในตระกูลอื่นเป็นแน่ ความหวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคนรับใช้ตระกูลอื่นก็คือการได้เป็นคนธรรมดา มีเพียงคนรับใช้ของตระกูลอวิ๋นเท่านั้นที่ดูเหมือนจะไม่สนใจเรื่องนี้ ตอนนี้มีชีวิตที่สุขสบายกว่าพวกคนธรรมดาที่ต้องเสียภาษีเป็นไหนๆ คนที่ไม่มีความสามารถอะไรถึงจะคิดก้าวออกไปเพื่อหาความทุกข์ยากใส่ตัว
หลายวันก่อนสาวใช้ในบ้านหลายคนอายุถึงวัยออกเรือนแล้ว ต่างก็ได้แต่งงานกับครอบครัวมีฐานะในหมู่บ้าน ไม่มีใครกล้าดูถูกพวกนาง ต่างก็ได้รับการดูแลประหนึ่งนายหญิงน้อย ไม่ใช่เพราะอื่นใด เพราะสาวใช้หลายคนนั้นคุ้นเคยกับคุณหนู นายหญิงและแม่เฒ่าอย่างสนิทชิดเชื้อ พวกนางมักจะได้รับงานบางส่วนจากจวนมาทำ เมื่อนับดูแล้วมันคุ้มค่ากว่าการเก็บเกี่ยวเสบียงอาหารในไร่นาตลอดทั้งปีเสียอีก นอกจากนี้ยังไม่ต้องพูดถึงว่าพวกนางต่างก็เป็นสาวบริสุทธิ์ผุดผ่อง แต่ละคนที่ได้แต่งงานด้วยต่างก็ยิ้มแก้มปริกันหมด
บนเส้นทางนี้ไม่ได้มีแต่พวกเขาเท่านั้น สาวใช้ของตระกูลอวิ๋นที่อยู่ในเมืองฉางอันนั่งอยู่บนเกวียนเทียมวัวด้วยอาการตื่นเต้นมาก จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะพูดคุยเสียงดังเกินไปเสียหน่อย ล้วนแล้วแต่ถูกขังอยู่ในเมืองฉางอันจนแทบจะบ้าอยู่แล้ว ตอนนี้สามารถได้ไปที่หมู่บ้านตระกูลอวิ๋น แต่ละคนจึงพูดคุยกันถึงเรื่องที่ว่าพวกนางจะถูกส่งไปรับใช้นายท่านคนไหนกันแน่
อันที่จริงแล้วเจ้านายของตระกูลอวิ๋นไม่จำเป็นต้องเลือก ไม่มีใครปฏิบัติต่อพวกนางอย่างโหดเ**้ยม ขอเพียงแค่ไม่ต้องไปรับใช้คุณหนูเล็กก็ถือเป็นวาสนาแล้ว ชื่อเสียงของคุณหนูเล็กนั้นก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการเลี้ยงหมูตัวโตหนึ่งตัว ทั้งยังเห็นมันเป็นแก้วตาดวงใจ หากจะบอกว่าไปรับใช้คุณหนูไม่สู้บอกว่าถูกส่งไปรับใช้หมูอ้วนตัวนั้นจะดีกว่า ดังนั้นบรรดาสาวใช้จึงต่างไม่เต็มใจที่จะติดตามนาง สาวใช้ของคุณหนูเล็กเองก็ถูกเปลี่ยนอยู่เสมอ ได้ยินว่าหมูตัวนั้นชอบแกล้งคนที่สุดและเมื่อแกล้งแล้วก็จะแกล้งให้ถึงที่สุด
ขณะที่พวกเขากำลังพูดถึงตระกูลอวิ๋นกันอยู่นั้นไม่ได้สังเกตว่า ด้านหลังมีเกวียนเทียมวัวคันหนึ่งตามมาอยู่ไม่ไกลนัก คนที่เร่งรีบขับเกวียนมานั้นเป็นชายอายุสามสิบกว่าคนหนึ่ง สวมหมวกสานปีกกว้างกำลังนั่งคุมบังเ**ยนอยู่ ดูเหมือนกำลังใจจดใจจ่ออยู่กับการเร่งรีบขับเกวียน
ราคาห้าร้อยก้วนคือรางวัลสำหรับการฆ่าอวิ๋นเยี่ย นักดาบพเนจรในเมืองฉางอัน รวมถึงยังมีชายอีกกลุ่มหนึ่งที่ชอบทำการซื้อขายโดยไม่ลงทุนต่างก็กำลังแย่งชิงกันลงมือ ขอเพียงแค่สามารถสังหารเจ้านายของตระกูลอวิ๋นได้สักคนก็จะได้เงินรางวัลหนึ่งร้อยก้วน
ซึ่งผู้ที่กำลังเร่งขับเกวียนท่านนี้ก็คือนักดาบพเนจรท่านหนึ่ง ได้รับเงินมัดจำห้าสิบก้วนก็รีบขับเกวียนเทียมวัวไปที่หมู่บ้านตระกูลอวิ๋นเพื่อลองเสี่ยงโชคดู ตอนนี้ในขบวนไม่มีเจ้านายของตระกูลอวิ๋น คนที่ใหญ่ที่สุดก็เป็นเพียงแค่พ่อบ้าน ใครจะยอมจ่ายเงินหนึ่งร้อยก้วนเพื่อไปข้าพ่อบ้านคนหนึ่งกันบ้าง ดังนั้นเขาจึงตามเกวียนเทียมวัวของตระกูลอวิ๋นอยู่ด้านหลังโดยไม่ให้รู้ตัวเพื่อรอโอกาส
เขาวิ่งได้เร็วที่สุดจึงได้รับสมญานามจากคนอื่นว่า อี๋เจิ้นเฟิง ซึ่งแปลว่าเร็วดั่งลมกรด เมื่อทำงานสำเร็จ เขามักคิดว่าตนเองสามารถหนีจากการสถานการณ์ที่เลวร้ายได้เสมอ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำเรื่องเช่นนี้และไม่เคยผิดพลาดมาก่อน
ระหว่างทางไปตระกูลอวิ๋นมีร้านขายน้ำชาเล็กๆ อยู่ ผู้ที่ขายน้ำชาเป็นแม่เฒ่าตาบอดคนหนึ่ง ตระกูลอวิ๋นสอนวิธีในการชงชาให้แม่เฒ่าที่ตาบอดและลูกชายของนาง ลูกชายของนางเป็นเด็กหนุ่มที่กระตือรือร้น หากไม่เป็นเพราะมีแม่ชราที่ตาบอดต้องคอยดูแล คงได้ออกไปเผชิญชีวิตในโลกกว้างนานแล้ว
จากใบหน้าที่แดงระเรื่อของเหล่าสาวใช้ก็เห็นได้ว่าเด็กหนุ่มที่เป็นคนสะอาดสะอ้านแต่งตัวเป็นระเบียบเรียบร้อยเป็นที่นิยมของหญิงสาวมากเพียงไร
“โก่วจื่อ รินน้ำชามาหน่อย กระหายมากเลย” เฉียนทงทักทายเด็กหนุ่มอย่างเสียงดัง เด็กหนุ่มเดินยิ้มเห็นฟันขาวๆ พร้อมทั้งถือกาน้ำชาเข้ามาหา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น