เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 5 ตอนที่ 54-55

ส่วนที่ 5

 

ตอนที่ 54 ลางบอกเหตุถึงสิ่งที่กำลังจะ...

 

อาการบาดเจ็บของเหล่าจวงฟื้นตัวดีขึ้นมาก บริเวณที่เป็นเนื้อเน่าเริ่มตกสะเก็ดสีดำหนาขึ้นมาหนึ่งชั้น หลังจากนั้นอีกไม่กี่วันสะเก็ดแผลก็จะหลุดออกเอง ชายผู้ดุดันปานพยัคฆ์เก่งกาจดุจมังกรก็จะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ตอนนี้ตระกูลอวิ๋นขาดเขาไม่ได้แล้ว


 


 


“ถือโอกาสที่กำลังรักษาตัวใช้เวลาอยู่กับภรรยาให้มากขึ้น ความอกตัญญูมีหลายอย่าง แต่การไม่ทำหน้าที่ของคนรุ่นหลังให้สมบูรณ์ถือว่าอกตัญญูอย่างที่สุด คนครอบครัวเจ้าต้องพลัดพรากจากกันในสงคราม ตอนนี้ก็เหลือเจ้าเพียงคนเดียว อย่างไรก็ควรจะต้องมีคนสืบทอดตระกูลต่อไป ข้าเองก็ใกล้จะแต่งงานแล้ว เราสองพี่น้องมาแข่งกันว่าใครจะได้อุ้มลูกคนแรกก่อน”


 


 


ความสัมพันธ์ที่มีต่อเหล่าจวงคือมิตรภาพที่แลกได้ด้วยชีวิต หากมีใครในโลกนี้ที่เต็มใจเสียสละชีวิตเพื่อตัวเอง คนคนนั้นจะต้องเป็นเหล่าจวงอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าจะมองจากด้านใดเหล่าจวงในความรู้สึกของอวิ๋นเยี่ยนั้นได้ข้ามผ่านความสัมพันธ์ระหว่างนายกับบ่าวไปนานแล้ว จะยอมรับว่าเขาเป็นคนในครอบครัวจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร


 


 


แต่คำพูดนั้นไม่จำเป็นต้องกล่าวออกมาอย่างชัดเจน ในใจเหล่าจวงก็เข้าใจดีว่า การที่ท่านย่าเรียกให้เขาย้ายครอบครัวมาอยู่ที่ลานหน้าบ้านก็เสมือนเป็นการบอกทุกอย่างอย่างชัดเจนแล้ว รอหลังจากงานแต่งงานของโหวเหยียเสร็จสิ้นแล้ว ก็จะสามารถเข้ารับใช้ตระกูลหลักได้อย่างเป็นทางการ เมื่อคิดถึงตรงนี้แล้ว จิตใจของเหล่าจวงก็รู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมาในทันใด


 


 


นี่จะเป็นเรื่องดีต่อลูกหลานหลายชั่วอายุคน ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามผลีผลาม


 


 


“ขอแสดงความยินดีกับโหวเหยียด้วย ข้าน้อยจะสามารถนำไปเปรียบเทียบกับท่านได้อย่างไร มีโอกาสได้พึ่งใบบุญของท่านเพียงเล็กน้อยข้าน้อยก็พึงพอใจเป็นที่สุดแล้ว”


 


 


“ระหว่างพวกเราจำเป็นต้องใช้คำพูดไร้สาระเช่นนี้ด้วยหรือ การรีบฟื้นฟูรักษาร่างกายจึงจะเป็นเรื่องที่ควรทำ เมื่อถึงคราวมีบุตรเขาจะได้แข็งแรง” อวิ๋นเยี่ยเหลือบมองไปที่เหล่าจวง คนคนนี้นี่นะ ห้ามให้เกี่ยวพันถึงผลประโยชน์ เมื่อเกี่ยวพันถึงผลประโยชน์ของตนเองก็จะกลายเป็นคนน่ารังเกียจขึ้นมาทันที ชายอกสามศอกที่ดีคนหนึ่งเพื่ออนาคตของภรรยาและลูกๆ ถึงกับยอมทำตัวเหมือนเต่าหดหัว


 


 


เขาไม่มีอารมณ์ที่จะพูดคุยกับเต่าหดหัว เพราะมันชวนให้เกิดอาการคลื่นไส้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชายอกสามศอกที่แข็งแกร่งเสแสร้งเป็นเต่าหดหัวนั้น ยิ่งชวนให้รู้สึกสะอิดสะเอียนกว่าเดิม


 


 


แสงเทียนในห้องของท่านย่ายังคงสว่างอยู่ เห็นเพียงสาวใช้เดินเข้าๆ ออกๆ ไม่รู้ว่ากำลังวุ่นวายอะไรกันอยู่ อวิ๋นเยี่ยจึงเดินเข้าไป เห็นท่านย่าถือเทียนไขพลางค้นหาของใน**บด้วยความลำบาก ในขณะที่เหล่าสาวใช้ยืนดูข้างๆ โดยไม่ช่วยอะไรเลย


 


 


“พวกเจ้าตาบอดกันหมดหรืออย่างไร ปล่อยให้ท่านย่ายุ่งอยู่ลำพัง พวกเจ้าไม่รู้จักเข้าไปช่วยหรือ ตามใจจนกลายเป็นอะไรไปหมดแล้ว” อวิ๋นเยี่ยโกรธมาก เห็นทีว่ากฎบ้านคงต้องมีการปรับเปลี่ยนเสียแล้ว หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปจะใช้ได้ที่ไหนกัน


 


 


บรรดาสาวใช้ตกใจกลัวอย่างมากจนคุกเข่าลง ก้มหน้าไม่กล้าพูดอะไรเลย ท่านย่าจึงพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เยี่ยเอ๋อร์ อย่าตำหนิพวกนางเลย ของเหล่านี้ย่าไม่อนุญาตให้พวกนางขยับเขยื้อนเอง” เมื่อพูดจบก็ไล่สาวใช้ทั้งหมดออกไป


 


 


อวิ๋นเยี่ยเดินเข้ามาดูจึงได้รู้ว่า ที่แท้เป็นภาพแบบก่อสร้างของเขาเอง และเอกสารร่างบางส่วนที่เกี่ยวกับแคลคูลัสล้วนแล้วแต่อยู่ใน**บนั้นทั้งหมด แม้แต่รูปวาดการ์ตูนหลายๆ รูปที่เขาวาดไปตามอารมณ์ก็ถูกท่านย่าใช้เชือกป่านเย็บเข้าเล่มแบ่งแยกประเภท วางเรียงไว้ใน**บอย่างเรียบร้อย


 


 


“ท่านย่า ท่านเข้านอนแต่หัวค่ำเถิด อย่าเอาแต่ค้นหาของเหล่านี้เลย ถ้ามันหายไป หลานวาดขึ้นใหม่ก็ได้ ไม่ต้องเห็นมันเป็นของล้ำค่าเช่นนี้” อวิ๋นเยี่ยหยิบภาพแบบก่อสร้างจากมือท่านย่าแล้วจับมันม้วนขึ้น ผูกด้วยเส้นผ้าแพร จากนั้นจึงวางกลับเข้าไปใน**บไม้


 


 


“ห้ามมองข้ามอย่างเด็ดขาด ของเหล่านี้ล้วนเป็นสมบัติอันล้ำค่า แม้แต่ภาพวาดที่เจ้าวาดก็แสดงออกถึงส่วนลึกในใจออกมาอย่างชัดเจน เจ้าดูหมูตัวนี้สิ อ้วนพีน่ารักชวนมอง น่ารักกว่าหมูที่ชื่อฮันฮันที่เสี่ยวยาเลี้ยงเป็นไหนๆ อาหญิงเจ้าออกเรือนไปแล้ว ยังอยากจะขอเลือกแบบไปทำลายปักผ้าจากที่นี่สักแบบหรือสองแบบ ย่ายังไม่อนุญาตเลย ออกเรือนเป็นคนของตระกูลอื่นแล้วยังจะคิดถึงของรักของหวงของที่บ้านอีก เลี้ยงลูกสาวนั้นไม่ดีเลยจริงๆ”


 


 


ท่านย่าบ่นกระปอดกระแปดกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในการใช้ชีวิตของที่บ้าน เห็นหลานชายจอมฟุ่มเฟือยจัดเรียงของใน**บก็บังเกิดความสุขจากก้นบึ้งของหัวใจ ไม่รู้ว่าตระกูลอวิ๋นต้องสั่งสมบุญมากี่ร้อยปีและไม่รู้ว่าต้องสวดมนต์เคาะปลาไม้แตกไปมากเท่าไร สวรรค์จึงได้ส่งเด็กดีเช่นนี้มาให้ตระกูลอวิ๋นพึ่งใบบุญ อย่าว่าแต่พรั่งพร้อมด้วยความรู้ ทั้งยังมีความฉลาดปราดเปรื่อง เพียงแค่จิตใจที่เป็นห่วงครอบครัวหากเด็กคนนี้จะเป็นเด็กจอมล้างผลาญจริงนางก็ยังยอมรับได้


 


 


“เยี่ยเอ๋อร์ ย่ารู้ว่าเจ้าไม่พอใจกับการแต่งงานของอาหญิงเจ้า คิดว่าย่าเห็นอาหญิงเป็นเสมือนสิ่งของมอบให้กับหลีสือ ในใจรู้สึกว่าย่าไร้หัวใจใช่หรือไม่”


 


 


อวิ๋นเยี่ยฝืนใจหันหลังกลับ คุกเข่าลงพูดกับท่านย่าว่า “หลานเป็นลูกผู้ชายอกสามศอก ยอมหักไม่ยอมงอ ในฐานะที่เป็นผู้นำตระกูลก็รู้ดีว่าไม่ควรทำอะไรตายตัวจนเกินไป หากตระกูลอวิ๋นต้องการบรรลุเป้าหมาย พวกเราสามารถวางแผนการหรือจะใช้เล่ห์เหลี่ยมเพื่อเป้าหมายก็ย่อมได้ มันไม่ใช่ประเด็นอะไร  แต่การนำคนในตระกูลไปแลกกับผลประโยชน์ แม้จะเป็นผลประโยชน์มากมายมหาศาล ข้าก็ยังรู้สึกอัปยศอดสูอยู่ดี ท่านย่า นี่คือความรู้สึกในใจของหลาน หากท่านโกรธจะตีหลานก็ได้ แต่อย่าอารมณ์เสียจนทำร้ายสุขภาพตนเองเด็ดขาด”


 


 


ท่านย่ายิ้มและเดินมาเบื้องหน้าอวิ๋นเยี่ย โน้มตัวลงกอดหลานชาย กอดศีรษะหลานชายแนบอกนางพลางลูบผมอวิ๋นเยี่ยพลางพูดว่า “ย่าไม่ได้โกรธ ย่าดีใจ นี่สิจึงจะเป็นคำพูดของผู้นำตระกูลอวิ๋น พวกผู้หญิงจะไม่มีความคิดเช่นนี้และไม่รู้จักใช้วิธีการเหล่านี้ด้วย มีแต่ลูกผู้ชายเท่านั้นที่จะคิดอย่างนี้ได้ ย่ามีความสุขมากจนแทบอยากจะตายไปในตอนนี้เลย จะได้ไปบอกบรรพชนเราเกี่ยวกับข่าวดีของหลานชายของตระกูลอวิ๋นเสียจริง


 


 


เพียงแต่หลานรัก เรื่องนี้เจ้าอาจจะคิดผิดไปหน่อยแล้ว ขณะที่แต่งงานไป เจ้าเห็นว่าอาหญิงเจ้าไม่เต็มใจแม้เพียงสักนิดอย่างนั้นหรือ”


 


 


อวิ๋นเยี่ยเอียงคอนั่งคิดอยู่เป็นนาน ก็ไม่เห็นว่าอาหญิงจะมีอาการโอดครวญเลยแม้แต่นิดเดียวจริงๆ จึงพูดว่า “นางอยากแต่งงานจนจะบ้าอยู่แล้ว เมื่อมีชายชรามาสู่ขอก็ดีใจจนทำอะไรไม่ถูก ที่จริงแล้วนางเพียงแค่อดทนรออีกสักระยะหนึ่ง ขอให้กองทหารเดินทางกลับมา หลานจะต้องช่วยเลือกหาชายชาตรีในกองทัพที่เพียบพร้อมกับนางทั้งอายุและฐานะที่เท่าเทียมกันให้นางอย่างแน่นอน จำเป็นต้องรีบร้อนออกเรือนด้วยอย่างนั้นหรือ”


 


 


ท่านย่าตบศีรษะอวิ๋นเยี่ยเบาๆ ด้วยความเอ็นดู “อยากจะพูดอะไรก็ตามใจ แต่เจ้าดูถูกอาหญิงของเจ้ามากเกินไป ในช่วงสองปีที่ผ่านมา เรื่องน้อยใหญ่ในบ้านก็ได้นางเป็นคนดูแลจัดการ ผู้คนรอบกายที่ติดต่อกับนางมีคนไหนบ้างที่ไม่ใช่ผู้ที่มีฐานะร่ำรวย ตอนนี้นางกลายเป็นคนหัวสูงไปแล้ว คนหยาบกระด้างในกองทัพไม่แน่ว่าจะอยู่ในสายตานาง นอกจากนี้บางที คนที่เหมาะสมกับนางตอนนี้ก็คงมีอนุภรรยานับไม่ถ้วนแล้ว พวกเขาไม่กล้าดูหมิ่นเหยียดหยามผู้หญิงตระกูลอวิ๋น ย่อมต้องยกให้เป็นภรรยาหลวง อาหญิงเจ้าเห็นการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันของเรือนหลังมานักต่อนักแล้ว ตอนนี้นางไร้สิ้นซึ่งความงามแล้ว จะให้ไปแข่งขันกับหญิงพราวเสน่ห์เหล่านั้นได้อย่างไรกัน เมื่อมีเจ้าอยู่จะไม่มีใครกล้ารังแกนาง ข้อนี้นางรู้ดี แต่เรื่องสกปรกของเรือนหลัง นางจะมาขอให้เจ้าช่วยเหลือได้หรือ


 


 


แต่การแต่งงานกับหลีสือนั้นต่างกัน เขามีทั้งฐานะและตำแหน่งอีกทั้งยังเป็นโสด ถึงแม้ว่าอาจจะอายุมากไปสักนิดแต่เขาก็ยังสุขภาพแข็งแรงดีให้มีชีวิตอยู่อีกยี่สิบปีก็ยังไม่เป็นปัญหา อาหญิงเมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้านั้นยิ่งใหญ่แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหลีสือนางก็เป็นหญิงตัวเล็กๆ ย่อมต้องได้รับการโปรดปราน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะยากจนไปเสียหน่อย แล้วเป็นเช่นไร ตระกูลอวิ๋นมีหรือจะปล่อยให้พวกเขาใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก อาหญิงของเจ้ามีสมบัติส่วนตัวอยู่จำนวนหนึ่ง เพียงแค่ส่งไปให้พวกเขา ก็เพียงพอที่จะให้ใช้กันไม่หมดไม่สิ้น ดังนั้นหลานชาย นี่จึงถือเป็นเรื่องมงคลที่ดีมาก”


 


 


หลังจากฟังคำพูดของท่านย่าก็พบว่าตัวเองค่อนข้างจะเห็นด้วยแล้ว ในยุคสมัยที่ฐานะอยู่เหนือทุกอย่างเรื่องการแต่งงานของชายชรากับหญิงอ่อนวัยนั้นมีให้เห็นกันอยู่ร่ำไป แม้แต่องค์หญิงยังแต่งงานกับลิงป่าได้ อาหญิงพึงพอใจกับการแต่งงานของตนเองก็ไม่น่าแปลกใจอะไรเลย เรือนหลังของตระกูลอวิ๋นเงียบสงบไม่มีความยุ่งเหยิง แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีความวุ่นวายเกิดขึ้น แน่นอนว่าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าอนาคตภายหน้าตนเองก็จะได้มีชีวิตที่สงบสุขเช่นนี้ต่อไป


 


 


ฟ้ามืดแล้ว อวิ๋นเยี่ยจึงพยุงท่านย่าให้เข้านอนพักผ่อนบนเตียงและพับมุมผ้าห่มให้ แล้วสั่งสาวใช้ให้คอยดูแลให้ดี จากนั้นก็เดินกลับห้องไปภายใต้แสงจันทร์ เมื่อแก้ปมในใจได้แล้ว จึงเดินอย่างสบายอกสบายใจมีความสุข


 


 


เมื่อได้ใช้ชีวิตที่สุขสบายย่อมต้องมีความสุขเป็นอย่างมาก เช้าวันใหม่มาเยือนอีกครั้ง บรรดาคนรับใช้น้อยใหญ่ในบ้านตระกูลอวิ๋นต่างก็วุ่นวายกันยกใหญ่ พวกเขาทั้งหมดกำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมงานแต่งงานของโหวเหยียที่จะมาถึงในอีกสามวันให้หลัง พ่อบ้านใหญ่เฉียนทงยุ่งมากจนเท้าแทบไม่ติดพื้น เขานั่งรถม้าอย่างง่ายของตระกูลอวิ๋นเข้าออกคฤหาสน์ของหลายๆ แห่งไม่ว่างเว้น เดิมทีเทียบเชิญควรจะให้ผู้อาวุโสในตระกูลนำมามอบให้ด้วยตนเองจึงจะเหมาะสม แต่ตระกูลอวิ๋นมีผู้ชายเพียงคนเดียวเท่านั้น ผู้อาวุโสทั้งหมดบ้านล้วนเป็นผู้หญิง มีหรือจะสะดวกมาแจกเทียบด้วยตนเอง โชคดีที่เฉียนทงเป็นคนที่พูดจานอบน้อม ทุกคนจึงเข้าใจถึงความยากลำบากและให้อภัยเรื่องที่ตระกูลอวิ๋นนั้นมีผู้ชายน้อยและรับเทียบเชิญอย่างยินดี


 


 


หลี่ซื่อหมินส่งคนนำภาพอักษรมาให้โดยเขียนว่า “แม่ศรีเรือน” ซึ่งเป็นการชื่นชมซินเย่ว์อย่างชัดเจน ไม่กล่าววิพากษ์วิจารณ์อะไรอวิ๋นเยี่ยเลย แต่จั่งซุนนั้นกลับให้มามากมาย เครื่องประดับศีรษะหนึ่งชุดที่ราชนิกุลใช้โดยเฉพาะ เดิมนั้นตระกูลอวิ๋นไม่มีคุณสมบัติที่จะสวมใส่สิ่งเหล่านี้ แต่หากเป็นการพระราชทานนั้นก็ต่างกัน ซึ่งถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง หลี่เฉิงเฉียนรู้ว่าจะทำให้อวิ๋นเยี่ยมีความสุขได้อย่างไร จึงได้ส่งอาหารคาวมาอย่างเปิดเผย ทองก้อนหนึ่งถาดได้ชวนให้ผู้ที่พบเห็นตาลาย ด้านบนประทับตราราชสำนักอย่างชัดเจน ซึ่งสิ่งนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อใช้จ่ายแต่ให้เพื่อเป็นเงินขวัญถุง แม้แต่หลี่หยวนก็มอบหยกให้หนึ่งคู่


 


 


ผู้ที่นำของขวัญจากราชนิกุลมามอบให้คือขันทีอู๋เสอแห่งเยี่ยถิงจวี๋ ตาเฒ่าผู้นี้ทำให้อวิ๋นเยี่ยรู้สึกว่าเขาเป็นเหมือนอรสพิษที่ไหลลื่นพันอยู่รอบคอดึงอย่างไรก็ดึงไม่พ้นคอ รอยยิ้มก็แฝงไว้ด้วยเลศนัย ประสานมือกล่าวคำอวยพรอันเป็นมงคลดังเสมือนหนึ่งท่องจำมา “อวิ๋นโหวอายุเพียงน้อยนิดก็มีตำแหน่งใหญ่โต  เข้ารับราชการทั้งยังได้เป็นถึงโหวเหยียอีก ทั้งตอนนี้ก็ยังจะจัดงานมงคลสมรส ความโปรดปรานของราชนิกุลก็ยิ่งไม่เคยมีมาก่อน ไท่ซั่งหวงไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวของโลกภายนอกมานานยังส่งของขวัญชิ้นใหญ่ให้ด้วย ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีจริงๆ”


 


 


ตาเฒ่านั่นไม่ได้มีเจตนาดี เขากล้าพูดต่อหน้าสาธารณชนว่าไท่ซั่งหวงจะตัดสัมพันธ์กับอวิ๋นเยี่ยแล้วแต่ก็ยังไปมาหาสู่กันอีก แม้แต่ผียังรู้ว่าหลี่หยวนถูกลูกชายของเขาบีบให้ลงจากบัลลังก์ กล่าวเช่นนี้ก็เหมือนกับอวิ๋นเยี่ยตั้งใจที่จะช่วยหลี่หยวนฟื้นฟูบัลลังก์


 


 


เหล่าขุนนางที่สร้างความดีความชอบที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็พากันดูผิดแผกไป ฐานันดรศักดิ์ของพวกเขาล้วนแล้วแต่ได้รับมาจากการโค่นหลี่หยวนลงจากบัลลังก์ จึงมีความอ่อนไหวต่อคำพูดเหล่านี้มากที่สุด พร้อมใจกันหยุดพูดทักทาย รอฟังว่าอวิ๋นเยี่ยจะตอบว่าอย่างไร อู๋เสอก็สอดมือในแขนเสื้อรออวิ๋นเยี่ยตอบคำ


 


 


อวิ๋นเยี่ยเก็บรอยยิ้ม มองดูจนอู๋เสอรู้สึกค่อนข้างเก้ๆ กังๆ จึงพูดขึ้นว่า “ฝ่าบาททรงสั่งให้เจ้านำของขวัญมาให้ หรือว่าทรงมีพระดำรัสที่แปลกประหลาดเหล่านี้มาถึงข้าด้วย ขันทีสามารถพูดกล่าวแทนฝ่าบาทได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เจ้าเห็นพระราชโองการเป็นอะไรกัน หากวันนี้ข้าตัดศีรษะเจ้าที่นี่ อยากจะดูว่ามีใครกล้ามาเอาเรื่องกับข้าบ้าง แม้แต่ฝ่าบาทก็ต้องทรงชมว่าข้าทำได้ดี ยังไม่ถอยกลับไปอีก”


 


 


สีหน้าของอู๋เสอนั้นน่าตลกมาก ประเดี๋ยวดีประเดี๋ยวร้าย สองมือสั่นเทาอยู่ในแขนเสื้อไม่ยอมหยุด เพราะรู้ว่าเขาเป็นยอดฝีมือท่านหนึ่ง อาจารย์หลีสือที่ได้รับราชโองการมาพร้อมกันจึงเดินเบี่ยงตัวขึ้นมาป้องกันอวิ๋นเยี่ยไว้ด้านหลังโดยไม่ได้พูดอะไร


 


 


อวิ๋นเยี่ยพูดอย่างดุดัน แต่เขาไม่มีความกล้าที่จะจัดการอู๋เสอจริงๆ อู๋เสอกลับยื่นมือออกจากแขนเสื้อโดยถือผ้าเช็ดหน้าไว้ในมือ ยิ้มตาหยีพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “นี่เป็นผ้าเช็ดหน้าปักที่องค์หญิงใหญ่สั่งให้ข้าน้อยนำมามอบให้ท่านขณะที่กำลังจะออกจากวัง ขอให้อวิ๋นโหวรับไว้ด้วย” เมื่อพูดจบก็มือสั่นเทาแล้วจากไป


 


 


สีหน้าของทุกคนจึงยิ่งดูแปลกไปกว่าเดิม ความหมายที่ผู้หญิงมอบผ้าเช็ดหน้าให้กับผู้ชายนั้นไม่ต้องกล่าวก็เป็นที่รู้กันอย่างชัดเจน เมื่อไม่นานมานี้ องค์หญิงอันหลานได้รับพระราชทานสมรสกับคนป่าเถื่อนในหลิ่งหนานจนกลายเป็นที่ขบขันกันอยู่ระยะหนึ่ง ต่อมาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ราชาแห่งแดนเถื่อนกลับถูกจับขังคุกหลวง ได้ยินว่าถูกทรมานต่อเนื่องทุกวันไม่หยุดหย่อน การอภิเษกขององค์หญิงจึงล่าช้าออกไป ทุกคนต่างก็บอกว่าองค์หญิงนั้นทรงโชคดีที่สามารถหลุดพ้นจากการแต่งงานไปยังดินแดนรกร้างอันห่างไกล


 


 


เรื่องที่น่าแปลกอีกเรื่องหนึ่งคือถังเจี่ยนที่กำลังเป็นที่โปรดปรานก็รีบถวายฎีกาขอรับโทษในทันทีทันใด ซึ่งโทษที่ระบุไว้ข้างต้นนั้นไม่ชัดเจน แต่จิตใจที่รู้สึกผิดนั้นกลับจริงใจอย่างยิ่ง ทุกคนต่างมองออกว่านี่ไม่ใช่การเล่นละคร แต่กำลังเป็นการขอรับโทษจริงๆ


 


 


ตระกูลใหญ่ตระกูลไหนบ้างที่ไม่มีหูตาคอยสอดส่ง ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งวันก็รู้ถึงต้นสายปลายเหตุของเหตุการณ์ว่าเกิดขึ้นหลังจากอวิ๋นเยี่ยได้รับของขวัญมากมายจากหงหลูซื่อ แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ก็รู้ว่าต้องเป็นเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน สภาพน่าอนาถของราชาแดนเถื่อนที่ถูกคุมขังอยู่อาจเรียกได้ว่าเป็นเรื่องน่าอเนจอนาถที่สุดในใต้หล้านี้เลยก็ว่าได้


 


 


โอรสสวรรค์กำลังโกรธา นี่เป็นข้อสรุปเดียวที่ทุกคนสรุปได้ ในช่วงหลายวันนี้เมืองฉางอันสามารถกล่าวได้ว่าเต็มไปด้วยเมฆหมอกแห่งความเศร้าโศกปกคลุมเต็มไปหมด ทุกคนระมัดระวังตัวไม่ให้ขัดแย้งกับผู้อื่นแม้เพียงเล็กน้อย สำหรับคุณชายเสเพลของครอบครัวก็ถูกนำตัวไปที่สำนักศึกษาตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วแม้แต่วันอาทิตย์ก็ไม่อนุญาตให้กลับบ้าน


 


 


งานมงคลของตระกูลอวิ๋นเป็นโอกาสการคบค้าสมาคมทางสังคมเพียงสิ่งเดียวในระยะนี้ที่ทำได้ในเมืองฉางอัน


ส่วนที่ 5

 

ตอนที่ 55 ฉางอันเกิดเพลิงไหม้

 

หลี่ซื่อหมินคือผู้ควบคุมความสุขและความโศกเศร้าของประชาชนทั่วทั้งฉางอัน เมื่อเขามีความสุขใต้หล้าก็จะสงบสุข เมื่อเขาไม่พอใจเมืองก็จะปกคลุมไปด้วยเมฆอันอึมครึม ผู้ที่กล้าจัดงานมงคลในเวลานี้เห็นทีว่าก็มีอวิ๋นเยี่ยอยู่คนเดียว บรรดาขุนนางที่สร้างความชอบเหล่านั้นไม่รู้ถึงความเป็นจริงจึงได้มาที่ตระกูลอวิ๋นก่อนวันงานแต่งงานตั้งแต่หลายวันก่อน จะว่าไปแล้วก็ล้วนแล้วแต่เป็นกลุ่มสหายที่สนิทชิดเชื้อด้วยกันทั้งสิ้น ซึ่งตามปกติพวกเขาอาจจะมีความขัดแย้งกันอยู่บ้างจนสามารถเป็นศัตรูกัน แต่เมื่อมันเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์โดยแท้จริงของตระกูลขุนนางที่สร้างความชอบเหล่านั้น ความขุ่นข้องหมองใจเหล่านั้นก็สามารถลบทิ้งได้ด้วยรอยยิ้ม ถังเจี่ยนปิดประตูบ้านไม่รับแขก เก็บตัวอยู่ในบ้านไม่ก้าวเท้าออกมาเลย ปิดปากสนิทราวกับมีด้ายเย็บไว้ อวิ๋นเยี่ยที่กำลังจัดงานมงคลครั้งใหญ่จึงกลายเป็นวิธีเดียวที่พวกเขาจะได้รู้ข่าว


 


 


แต่ก็รู้ว่าตระกูลอวิ๋นต้องไม่บอกเล่าออกมาอย่างชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นในฉางอันอย่างแน่นอน แต่การที่จัดงานมงคลขึ้นได้นั้นแสดงให้เห็นว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ยังไม่ร้ายแรง และจะไม่เดือดร้อนถึงทุกคนเป็นแน่ การจะด่าขันทีสักคนหนึ่งก็ไม่เป็นปัญหาอะไร เหล่าขุนนางที่สร้างความชอบนั้น เพื่อชื่อเสียงแล้วโดยมากก็เคยด่ากันทั้งสิ้น แต่ผู้ที่กล้าด่าอู๋เสอเห็นทีจะมีอวิ๋นเยี่ยเพียงคนเดียว โหวเหยียขั้นสามคนหนึ่งด่าหัวหน้าเยี่ยถิงจวี๋ขั้นหกคนหนึ่ง หากมองจากตำแหน่งแล้วก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่โตอะไรเลย ถ้าหากรู้ว่าอู๋เสอเป็นขันทีคนสนิทอันดับหนึ่งของหลี่ซื่อหมินแล้วยังกล้าที่จะอ้าปากด่าทอแล้ว จุ๊ๆๆ ไม่รู้ว่าโหวเหยียท่านนี้ทานยาผิดหรือไม่ โชคดีที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเขามากนัก ยังสามารถมาร่วมงานแต่งงานต่อไปได้ งานเลี้ยงยังสามารถจัดเลี้ยงได้ตามใจชอบ สิบกว่าวันที่ผ่านมานี้ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆ ทำให้เหล่าจอมเสเพลชอบเที่ยวเตร่ทั้งหนุ่มและชราอึดอัดไปตามๆ กัน


 


 


“ก่อความวุ่นวายเสร็จแล้วหรือ” หลี่ซื่อหมินถามอู๋เสอที่เพิ่งกลับวัง


 


 


“กราบทูลฝ่าบาท ตามที่ฝ่าบาททรงรับสั่ง กระหม่อมได้ทำสิ่งที่สมควรทำทั้งหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ” อู๋เสอยังคงปั้นหน้าตายตอบคำถาม


 


 


“เขาไม่พอใจ?” หลี่ซื่อหมินที่ถือม้วนหนังสือไม่เงยหน้าขึ้น


 


 


“เขาดีใจ?” หลี่ซื่อหมินที่ไม่ได้ยินคำตอบวางหนังสือลงแล้วถามอีกครั้ง


 


 


“อวิ๋นเยี่ยต่อว่ากระหม่อมยกใหญ่ ดูเหมือนว่าเขาจะโกรธมากพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“เขายังมีหน้าโกรธอีกหรือ เปิดโปงเรื่องออกมาแล้วก็ถอนตัวหนีไป ให้องค์หญิงเป็นผู้รับความดีความชอบ ทำให้เราอับอาย ถ้าหากทำเพื่อแต่งงานกับองค์หญิงเราจะไม่โกรธเลย อย่างไรเสียอันหลานก็เป็นธิดาของเรา อวิ๋นเยี่ยถือได้ว่าเป็นอัจฉริยบุคคลแห่งยุค พอจะฝืนรับว่าคู่ควรกับอันหลานได้อยู่ ใครจะรู้ว่าเขาแก้ไขปัญหาข้อนี้แล้วกลับหนีกลับเขาอวี้ซันเพื่อแต่งงานกับหญิงอื่น ทำให้เรากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ฮองเฮาเองก็บ่นครวญอยู่ไม่น้อย ทั้งยังว่าความคิดของเรานั้นไม่ดี ฮึ”


 


 


“ความรักที่ฝ่าบาททรงมีต่อองค์หญิงอันหลานฟ้าดินเป็นพยานได้ ผู้อื่นไม่เข้าใจความยากลำบากใจของพระองค์ แต่มีหรือที่ฮองเฮาและกระหม่อมจะไม่รู้ เพียงแต่ว่าแต่ไหนแต่ไรมาอวิ๋นโหวทำอะไรมักจะเหนือความคาดหมายเสมอ กระหม่อมอยู่ที่จวนของเขาก็โดนกลอกตาใส่ด้วยความรำคาญอยู่ไม่น้อย”


 


 


ฮองเฮาที่ทรงครรภ์ท้องใหญ่เดินออกมาจากหลังผ้าม่านและพูดกับอู๋เสอว่า “เจ้าอย่าได้ใส่ใจ ไม่รู้ว่าทำไมอวิ๋นเยี่ยจึงมักจะเห็นว่าพวกขันทีขวางหูขวางตาของเขา ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกัน”


 


 


“กระหม่อมดูออกว่าอวิ๋นโหวไม่ได้ดูถูกความไม่สมบูรณ์ทางด้านร่างกายของกระหม่อม แต่ไม่ชอบวิธีการทำงานของกระหม่อมต่างหาก คิดว่าเขาจะน่ารังเกียจว่ากระหม่อมทำอะไรอ่อนนุ่มนิ่มจนเกินไป” อู๋เสอในวังและอู๋เสอในจวนอวิ๋นนั้นแตกต่างกันราวกับคนละคน คนหนึ่งเป็นคนมีเหตุผล ฉลาดปราดเปรียว อีกคนหนึ่งวางอำนาจไม่เคยเห็นใครในสายตา ทำอะไรชั่วช้าโหดเ**้ยม


 


 


สภาพร่างกายที่บกพร่องมาเป็นเวลานานปีได้ทำให้เกิดการแบ่งแยกบุคลิกภาพภายใต้จิตใต้สำนึกของเขา อู๋เสอถอยหลังก้าวออกจากตำหนักไป หลี่ซื่อหมินก็เข้ามาพยุงให้จั่งซุนนั่งลง ท้องของจั่งซุนนับวันยิ่งใหญ่ขึ้นการเดินเหินจึงค่อนข้างยากลำบาก “รอให้จัดการเรื่องของหญ้าลืมทุกข์เสร็จแล้ว ข้าจะไปพักอยู่นอกเมืองเป็นเพื่อนเจ้าสักระยะหนึ่ง รอจนเจ้าคลอดแล้วพวกเราค่อยกลับมา” เมื่ออยู่เบื้องหน้าจั่งซุนหลี่ซื่อหมินก็จะกลายเป็นสามีที่ดีและพ่อที่ดีคนหนึ่ง


 


 


“อย่าจะดีกว่า เอ้อร์หลาง ตอนนี้ภายนอกนั้นไม่ปลอดภัย มีพวกคนชั่วช้าจ้องจะเอาชีวิตท่านอยู่ หม่อมฉันยินดีจะอยู่เป็นเพื่อนท่านในวังมากกว่าออกไปภายนอก ที่จริงแล้วหม่อมฉันชอบอาคารเล็กๆ เรือนนั้นบนเขาอวี้ซันจริงๆ แม้ว่าบางทีทิวทัศน์ที่นั่นอาจจะเทียบกับพระราชฐานที่หนานซันไม่ได้ สถานที่อาจจะคับแคบไปบ้าง แต่หม่อมฉันพักอยู่ที่นั่นกลับมีความสุขเป็นอย่างมาก เอ้อร์หลาง ท่านรู้หรือไม่ชิงเชวี่ยและเค่อเอ๋อร์แบกน้ำที่ดีที่สุดและสะอาดที่สุดมาให้หม่อมฉันทุกวัน ห้องครัวของที่นั่นก็จะอาหารเล็กๆ น้อยๆ ที่แสนอร่อยทุกวัน เมื่อเห็นชิงเชวี่ยตักมาให้หม่อมฉันก็รู้สึกอยากจะร้องไห้  ที่จริงแล้วสำนักศึกษาถือเป็นสถานที่ที่วิเศษมากแห่งหนึ่ง เมื่อไปถึงที่นั่น ได้ยินเสียงการท่องอ่านหนังสือของเหล่าคุณชายจอมเสเพลหม่อมฉันก็รู้สึกชอบมันจากใจจริง การบรรยายของเหลาหลี่กังนั้นแปลจากลึกซึ้งให้ง่ายต่อการเข้าใจ ไพเราะเสนาะจับใจ ไม่เสียทีที่เป็นอาจารย์ของรัชทายาทถึงสามสมัย ยังมีการต้มชาของจ้าวเหยียนหลิงที่ดื่มเพียงแค่คำเดียวก็ยากจะลืมรสชาตินั้นได้ ปลาหลีฮื้อเผาของอวิ๋นเยี่ยก็ไม่มีกลิ่นคาวแม้แต่น้อย หม่อมฉันเลยตัดใจลงโทษเขาไม่ลง”


 


 


“ปลาหลีฮื้อรึ เจ้าสารเลวนี่ไม่มีความรู้ความสามารถอะไร เห็นกฎหมายต้าถังของเราเป็นของไร้ค่า คราวหน้าหากเราไปสำนักศึกษาจะดูเสียหน่อยว่าเขากล้านำปลาหลีฮื้อมาถวายให้แก่เราทานหรือไม่ ได้ยินว่าอาจารย์หลีสือสามารถข้ามขีดจำกัดในการศึกษาได้แล้ว ตอนนี้ในสำนักศึกษาก็มีปรมาจารย์ด้านการศึกษาถึงสองท่านแล้ว หอหงเหวินก่วนยังไม่มีอาจารย์ที่แข็งแกร่งเช่นนี้เลย ทั้งยังมีตระกูลกงซูที่ถึงกับยอมรับใช้เขา เมื่อปีที่แล้วเราเพิ่งจะกล่าวไปว่า ‘วีรบุรุษที่เก่งกล้าใต้หล้าทุกคนล้วนแล้วแต่มารวมตัวกันที่ฉางอัน’ เขาก็สรรหายอดบุคลากรจากบ้านป่าแดนเถื่อนออกมาได้นับจำนวนไม่ถ้วน ทำให้เราต้องอับอายขายหน้า ตอนนี้ยังมีประโยคที่ว่ากระหม่อมมาพูดกับเราอย่างนอบน้อม ทุกครั้งที่ได้ยินเขาเรียกเราก็จะหน้าแดงหนึ่งครั้ง รู้สึกว่าเจ้าขุนนางท่านนั้นกำลังลบหลู่ดูหมิ่นต่อหน้าเรา เราแทบจะคิดฆ่าคนเสียด้วยซ้ำ”


 


 


ขณะที่สองสามีภรรยากำลังนั่งกระซิบคุยกันอยู่ด้านหลังผ้าม่าน กลับไม่ได้สัมผัสถึงเลยว่าเมืองฉางอันกำลังจะรอต้อนรับค่ำคืนที่เลวร้ายที่สุด โต้วเยี่ยนซันที่ดวงตาแดงก่ำกำลังทำเครื่องหมายบนแผนที่ของเมืองฉางอัน ทุกครั้งที่ทำเครื่องหมาย ความดุร้ายบนใบหน้าของเขาก็เด่นชัดขึ้นอีกส่วน ชายร่างใหญ่ห้าสิบคนยืนอยู่ด้านนอกประตู ทุกคนสวมใส่เสื้อผ้าหลากสี บ้างก็ดูคล้ายพ่อค้า บ้างก็ดูคล้ายเกษตรกร บ้างก็ดูคล้ายหนอนหนังสือที่มีแต่ความรู้ท่วมหัว เพียงแต่ว่าทุกคนสะพายย่ามหลากสีสัน ย่ามของเกษตรกรนั้นไม่ใช่อาหารแห้งและไม่ใช่ของที่ซื้อใหม่ แต่มันคือสิ่งไวไฟประเภทกำมะถันและดินประสิว ตะกร้าหนังสือที่เหล่านักศึกษาแบกไว้ก็ไม่ใช่หนังสือ ล้วนแล้วแต่เป็นของประเภทน้ำมันติดไฟ บรรดาพ่อค้าก็ไม่ได้ขายสินค้า ค่ำคืนนี้พวกเขาขายความตาย


 


 


วันนี้เป็นวันที่ดี กลางวันยาวนานราวกับกลางคืน ในปฏิทินจันทรคติเรียกว่าชุนเฟิน อินหยางสมดุลเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับสรรพสิ่งที่จะเจริญเติบโต ในฤดูที่ใบต้นเอล์มร่วงลงสู่พื้น ดอกหวยฮวาออกดอกตูมอันงดงามเช่นนี้ ในที่สุดโต้วเยี่ยนซันก็ได้รับข่าวร้าย แผนการหญ้าลืมทุกข์ที่ไร้ช่องโหว่นั้นล้มเหลวไม่เป็นท่า องค์หญิงหลี่อันหลานอ่านแผนการการล้างแค้นที่สมบูรณ์แบบของเขาออกอย่างชัดแจ้ง พวกของราชาแดนเถื่อนถูกควบคุมตัวแล้ว การสารภาพว่าชายหนุ่มผู้ที่มอบหญ้าลืมทุกข์ให้พวกเขาคือใครเป็นเรื่องของเวลาเท่านั้นเอง โต้วเยี่ยนซันรู้ว่าเขาถูกพบเข้าแล้ว เขาเตรียมจะออกจากเมืองก่อนพระอาทิตย์ตกดินและก่อนที่จะจากเมืองที่ทำให้เขาเคียดแค้นนี้ เขาต้องการที่จะมอบอะไรไว้ให้เป็นอนุสรณ์สักเล็กน้อย อย่างเช่นเพลิงใหญ่สักครั้ง บ้านไม้ย่อมถูกเผาไหม้ได้ง่าย หากค่ำคืนนี้มีลมช่วยพัด ความทรงจำนี้จะได้ฝังลึกเพิ่มขึ้นอีกสักหน่อย พวกคนเขลาที่บุกเข้าบ้านตระกูลโต้วเพื่อจุดไฟเผาในคืนที่เกิดการจลาจลจะไม่ชดใช้อะไรเลยได้อย่างไรกัน


 


 


เหล่าทหารยามที่ออกลาดตระเวนยามดึกย่อมมีบางส่วนที่เกิดความขี้เกียจขึ้นบ้าง คืนนี้พวกเขาจะได้พบคนดีที่จะเลี้ยงพวกเขาดื่มสักจอกหรือได้ค้างคืนที่บ้านของหญิงหม้ายที่แง้มประตูบ้านอยู่ พวกที่อาศัยอำนาจผู้อื่นก่อเรื่องชั่วมักจะมีหนทางเสมอ


 


 


แม้ตระกูลโต้วจบสิ้นแล้วแต่ไม่ได้หมายความว่ากำลังของตระกูลโต้วที่สั่งสมไว้จะหายไป คนที่ได้รับบุญคุณจากตระกูลโต้วในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ก็มีอยู่ไม่ใช่น้อย เป็นคนสนิทที่ตายแทนได้ แม้ว่าคนสนิทคนนี้จะพาทุกคนให้สูญสิ้นไปพร้อมๆ กันก็ตาม คนในลานบ้านได้แยกย้ายกันออกไปแล้ว แต่ละคนจะมีแผ่นกระดาษหนึ่งแผ่น สถานที่แห่งหนึ่ง หรือไม่ก็คือตลาดบนถนน หรือสถานที่ราชการ ยังมีคลังเสบียง คลังอาวุธซึ่งเป็นสถานที่สำคัญทั้งสิ้น มีวงกลมขนาดใหญ่วงไว้บนบ้านเก่าของตระกูลอวิ๋น และมีเพียงสี่เส้นตรงที่ชี้จุดหมายมายังที่นี่


 


 


โต้วเยี่ยนซันนำแผนที่ทิ้งในเตาไฟเผาให้มันกลายเป็นเถ้าถ่าน จากนั้นจึงสวมเสื้อผ้าป่านที่โจวต้าฝูเตรียมไว้ให้ น้ำขิงสีเหลืองหนึ่งชามได้เปลี่ยนใบหน้าสีขาวของเขาให้กลายเป็นหน้าซีดเหลืองเหมือนคนป่วย ส่งเสียงไอเบาๆ สองสามครั้งแล้วติดหนวดเคราไว้ที่คาง คุณชายผู้สง่าผ่าเผยแห่งตระกูลโต้วก็ได้หายตัวไปอย่างสิ้นเชิง ที่หลงโส่วหยวนมีวัดเล็กๆ แห่งหนึ่ง โต้วเยี่ยนซันก็ได้ยืนอยู่ในศาลาเล็กๆ นั้น โดยเบื้องหน้ามีอาหารเตรียมไว้และถือจอกเหล้าไว้ในมือ เขามองดูเมืองฉางอันยามกลางคืนจากระยะไกล เขานั่งอยู่ที่นี่นังตั้งแต่ที่ฟ้าเริ่มมืดลง ไม่ได้ดื่มเหล้าแม้แต่จอกเดียว เขาไม่ชอบดื่มเพียงอย่างเดียวโดยไม่มีกับแกล้มอันแสนอร่อย เหล้าดีกรีแรงของตระกูลอวิ๋นที่เมื่อเข้าปากดั่งมีดกรีด กลืนลงท้องดั่งไฟเผาจะให้ดื่มได้อย่างไรกัน เมืองฉางอันที่ดำทมิฬภายใต้แสงจันทร์ดูราวกับพยัคฆ์ร้ายที่กำลังหลับใหล ราวกับว่าพร้อมที่จะเลือกใครสักคนจับกินได้ตลอดเวลา เมื่อเปลวไฟแรกส่องสว่างขึ้น โต้วเยี่ยนซันก็ดื่มเหล้าในจอกจนหมด คืนนี้เขาตั้งใจจะเมามายให้เต็มที่ เมืองฉางอันตื่นขึ้นแล้ว เสียงฆ้องและกลองดังไม่ขาดสาย รถดับเพลิงขับเคลื่อนเข้ามาไม่ขาดสาย ตลาดซีซื่อเกิดเพลิงไหม้ ควันไฟลอยคละคลุ้ง ในตรอกที่ปิดตายมีคนหนีตายอลหม่านจากกลุ่มควันไฟ ส่งเสียงโหยหวนอวดครวญให้ได้ยิน


 


 


แต่ตระกูลอวิ๋นในตรอกจิ้งอันฟางกลับผ่อนคลายมากขึ้น พ่อบ้านและคนรับใช้หอบเสื้อผ้าและผ้าห่มที่เนื้อบางละเอียด ยืนชี้นั่นชี้นี่มองดูบ้านหลังนี้ถูกเปลวไฟลุกโชนเผากลายเป็นกองขี้เถ้าก็ไม่รู้สึกสะทกสะท้าน องครักษ์ของที่บ้านกำลังตามหาคนที่วางเพลิงแต่ไม่พบอะไรเลย จึงได้แต่ต้องกลับมาด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง ท่านอาหลิวพ่อบ้านมาที่บ้านตระกูลอวิ๋นเป็นเวลาสองปีแล้ว ถือได้ว่าเป็นคนเก่าแก่ เขาสั่งให้คนรับใช้วางเสื้อผ้าและผ้าห่มที่เนื้อเบาละเอียด ลากม้าและวัวออกจากลานด้านหลัง ของในบ้านส่วนใหญ่ได้ถูกส่งกลับไปที่หมู่บ้านตระกูลอวิ๋นตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อนแล้ว โหวเหยียกำลังจะแต่งงาน แม่เฒ่าจึงมีคำสั่งว่าบ้านในเมืองไม่มีคนอยู่ จะเก็บของเหล่านั้นไว้ก็ไม่เกิดประโยชน์ แม่เฒ่าไม่ชอบบ้านเก่าหลังนี้ มักจะพูดว่าบ้านเก่าหลังนี้มีกลิ่นแห่งความโชคร้าย ทั้งยังมีคนตายเป็นว่าเล่นอยู่เสมอ ช่างอัปมงคลนัก ตอนนี้ดีเลยที่บ้านโดนเผาแล้ว ท่านอาหลิวรู้สึกอดชื่นชมการมองการณ์ไกลของแม่เฒ่าไม่ได้จริงๆ มองดูบ้านที่ถูกเผาไหม้เหมือนกับคบเพลิง หากหลายวันก่อนไม่ขนย้ายทุกอย่างออกจากบ้านไป เกรงว่าจะต้องสูญเสียไม่น้อยแน่นอน ประตูตรอกได้ถูกเจ้าหน้าที่เปิดออก ก่อนที่รถดับเพลิงจะเข้ามา ท่านอาหลิวก็รีบพูดกับทหารผู้มาช่วยดับเพลิงว่า “บ้านตระกูลอวิ๋นคงช่วยไว้ไม่ได้แล้ว รีบช่วยเหลือคนอื่นก่อน ครอบครัวเล็กๆ ของชาวบ้านหากประสบภัย เกรงว่าจะมีชีวิตอยู่กันอย่างยากลำบาก”


 


 


เหล่าทหารที่มาช่วยยกนิ้วหัวแม่มือให้จากนั้นก็รีบไปยังตรอกจิ้งอันฟางเพื่อช่วยดับไฟ ในตอนแรกก็มีเพลิงไหม้เพียงหนึ่งหรือสองแห่ง ทางการคิดว่ามันเป็นภัยธรรมชาติ ทว่าเมื่อที่ว่าการเขตของเมืองฉางอันเองก็เกิดเพลิงลุกไหม้ขึ้น ทหารจินอู่เว่ยจึงออกโรงจัดการเอง ทั่วทุกแห่งหนของเมืองฉางอันในเวลานี้เต็มไปด้วยเปลวเพลิงและควันไฟ กองทัพไม่มีเวลาในการตามจับคนร้ายเพราะสิ่งแรกที่ต้องทำคือการช่วยกันดับเพลิง แม้ว่าที่ว่าการจะถูกไฟไหม้แต่นายอำเภอจั่วขุยก็ไม่กริ่งเกรงใดๆ สวมชุดนอนยืนสั่งการในการดับเพลิงและถึงกับลงมาดับเพลิงด้วยตนเอง ถูกควันไฟลอยห่อหุ้มราวกับวิญญาณล่องลอย หนวดเคราที่โดยปกติรู้สึกภาคภูมิใจหนักหนาก็ถูกไฟเผาจนหยิกหย็อยดูไม่ได้ สิ่งที่ทำให้เขาเข่าอ่อนก็คือ เพลิงไหม้ในตรอกอู้เปิ่นฟาง ซึ่งที่นั่นเป็นสถานที่เก็บเสบียงของราชวงศ์ แม้จะบอกว่าเรื่องยังมาไม่ถึงตาเขาที่จะต้องเป็นผู้จัดการมัน แต่ในฐานะขุนนางและประชาชนจะปัดความรับผิดชอบไปได้อย่างไร ได้แต่ยืนร่างโงนเงนตกตะลึงอยู่เบื้องหน้าเปลวไฟ สวรรค์พังทลายลงมาแล้ว เขาผลักทหารที่ว่าการที่เข้ามาดึงตัวเขาไว้ให้ออกไปแล้วเดินตรงเข้าไปที่กองไฟซึ่งเป็นที่ทำงานของเขา เมื่อเข้าไปแล้วก็ลงกลอนประตูแล้วนั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ที่ว่าความ ก้อนอิฐรอบตัวเขาก็หล่นลงมาเป็นระยะๆ จั่วขุยหยิบไม้เคาะเตือนในศาลเคาะอย่างแรงหนึ่งครั้งแล้วตะโกนว่า “โจรชั่ว” จากนั้นห้องโถงที่ว่าความก็พังทลายล้มครืนลงมา ค่ำคืนนี้เมืองฉางอันเกิดเพลิงไหม้แล้ว

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)