เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 5 ตอนที่ 49-53

ส่วนที่ 5

 

ตอนที่ 49 เสียงตัดพ้อท่ามกลางความสุขท...

 

เมื่อหลี่ไท่เห็นอวิ๋นเยี่ยองครักษ์ของเขาก็ตื่นตระหนกมาก เพราะองครักษ์ของตระกูลอวิ๋นผู้ซึ่งดูเหมือนชาวนาชรายืนเรียงตัวอยู่ในกระบวนท่าพร้อมโจมตีรูปแบบเฟิงสื่อเจิ้น[1] หัวหน้าองครักษ์เพียงแค่ขยับกายก็กันหลี่ไท่เอาไว้ที่ด้านหลัง ดาบที่แขวนอยู่ข้างเอวก็ออกจากฝักในทันใด เขาได้รับคำเตือนจากหน่วยข่าวกรองว่าระยะนี้จะมีโจรร้ายหมายจะสังหารเชื้อพระวงศ์ จะต้องคอยคุ้มกันเว่ยอ๋องเป็นอย่างดี ไม่เช่นนั้นใช่ว่าชีวิตเดียวของเขาจะสามารถอธิบายให้เรื่องนี้ผ่านพ้นไปได้


 


 


หมายกำหนดการประจำวันของเว่ยอ๋องนั้นได้กำหนดไว้ตายตัว ยังโชคดีที่เวลาส่วนใหญ่ก็อยู่ในสำนักศึกษา เพียงแต่ในแต่ละวันจะต้องไปที่น้ำตกเพื่อตรวจดูกังหันน้ำซึ่งเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้ เป็นเวลาสามวันแล้ว ถ้าหากโชคดีอีกเพียงสองวันเว่ยอ๋องก็จะเก็บตัวอยู่แต่ในสำนักศึกษาไม่ต้องออกไปแล้ว ซึ่งนี่ถือเป็นวาสนาที่ดีมากในการเป็นองครักษ์


 


 


เมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยหลี่ไท่จึงผลักองครักษ์ออกแล้วรีบร้อนวิ่งมาหาและโอ้อวดใส่อวิ๋นเยี่ยว่า “เสี่ยวเยี่ย ตอนเจ้าขึ้นเขามาเห็นกังหันน้ำที่ข้าทำขึ้นหรือไม่ เป็นอย่างไร พลังแข็งแกร่งอะไรปานนี้ใช่ไหม ตอนนี้ก็เหลือแค่ การติดตั้งตัวเชื่อมต่อบนฝั่งก็สามารถแทนที่ช่างตีเหล็กเพื่อที่จะตีเหล็กได้ทั้งวันทั้งคืนแล้ว ด้วยวิธีนี้การผลิตเหล็กในต้าถังเราก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว เป็นอย่างไร”


 


 


“ชิงเชวี่ย ไม่เลวเลยจริงๆ เจ้าเพียงแค่เข้าใจในเรื่องพื้นฐานที่สุดเท่านั้นก็สามารถทำได้ถึงขั้นนี้ ช่างหาได้ยากยิ่ง ชิงเชวี่ยเจ้าทำให้ข้าซาบซึ้งและประหลาดใจจริงๆ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคาดการณ์ได้เลยว่าเจ้าต้องได้ฝากชื่อไว้ในประวัติศาสตร์แน่ ซึ่งไม่ใช่ด้วยฐานะเว่ยอ๋อง แต่จะเป็นชื่อหลี่ไท่ที่ถูกส่งกล่าวขวัญถึงไปตลอดกาล เจ้าลองคิดดู กังหันน้ำสามารถนำมาทำอะไรได้บ้าง การกะเทาะข้าวเปลือกของพวกชาวนาใช้ได้หรือไม่ ลาที่โม่แป้งใช้ได้หรือไม่ การบดแร่ใช้ได้หรือไม่ ไม่เพียงแต่การตีเหล็กเท่านั้น ชิงเชวี่ย ความคิดต่อยอดเป็นเรื่องที่สำคัญมาก นำคุณสมบัติทั้งหมดที่มีแสดงออกมาให้หมด การศึกษากฎแห่งสรรพสิ่งเจ้าจะต้องเป็นคนแรกที่เมื่อถึงตอนนั้นก็จะดำรงอยู่โดยเป็นที่ยกย่องนับถือของผู้คนทั่วหล้า”


 


 


ใบหน้าอ้วนกลมของหลี่ไท่ยิ้มบานเป็นกระด้ง ทั้งยังค่อนข้างเขินอายเล็กน้อยแล้วดึงแขนของอวิ๋นเยี่ยและพูดว่า “เสี่ยวเยี่ย เจ้าพูดได้ถูกต้องอย่างที่สุดเลย พวกเราไปดูกังหันน้ำด้วยกัน แล้วเจ้าดูให้ละเอียดอีกครั้ง เพลากลางที่ทำขึ้นจากเหล็กไปเลี่ยนกังจึงมีความทนทานมาก เมื่อคืนข้าไปดูแล้วมันยังทำงานได้อย่างราบรื่นมาก เหลือเวลาอีกสองวันข้าก็จะสามารถยืนยันได้ว่ามันสามารถใช้งานในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ได้หรือไม่”


 


 


เมื่อมองดูแววตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของหลี่ไท่ อวิ๋นเยี่ยก็พบว่ามันค่อนข้างดูโหดร้ายไปสักหน่อยที่จะบอกความจริงกับเขา เว่ยอ๋องผู้มีเกียรติแท้ๆ แต่ละวันต้องทานเศษอาหารเหลือ ขณะที่ท่านอ๋องคนอื่นได้ใช้ชีวิตอย่างลุ่มหลงมัวเมา กินอาหารเลิศรสอันโอชะ เขากลับต้องนั่งยองๆ อยู่ในห้องตีเหล็กและดูช่างเหล็กตีเหล็ก เผชิญหน้ากับความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ยังคงไม่ยอมถอดใจ


 


 


เมื่อเป็นเช่นนี้ต่อไปเว่ยอ๋องหลี่ไท่ช้าเร็วจะได้กลายเป็นผู้สูงส่งเป็นแน่ แม้ว่าเขาจะมีนิสัยประหลาดต่างๆ ขอเพียงแค่สามารถยืนหยัดต่อไปอีกยี่สิบถึงสามสิบปี อวิ๋นเยี่ยก็สามารถมองเขาด้วยแววตาที่นับถือเทพเซียนได้แล้ว


 


 


“ชิงเชวี่ย ทุกอย่างในโลกนี้ไม่ใช่ว่าจะคงที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงเชิงปริมาณได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพคือแก่นแท้ของการพัฒนาของสรรพสิ่ง ดังที่กล่าวว่าเชือกเลื่อยไม้ให้หักได้ น้ำหยดลงหินทุกวันหินยังกร่อน ก็ว่าด้วยเหตุผลข้อนี้แล” อวิ๋นเยี่ยเป็นผู้ที่พูดได้อย่างมีพลังและความหมายลึกซึ้งสุดหยั่ง อย่างน้อยพวกผู้อาวุโสที่อยู่ข้างๆ ก็รู้สึกว่าเป็นความรู้ที่ลึกซึ้งมาก ขอเพียงแค่สิ่งใดก็ตามที่พวกเขาฟังไม่เข้าใจก็จะต้องเป็นความรู้ที่ดีแน่ๆ


 


 


“ข้าต้องการให้เจ้าไปดูกังหันน้ำเป็นเพื่อนข้า ไม่ได้ต้องการให้เจ้ามาผายลมบ่นกระปอดกระแปดมากมายเยี่ยงนี้ รีบไปที่น้ำตกเร็วๆ”


 


 


เมื่อคำพูดประโยคนี้หลุดออกมาอวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกในทันทีว่าความเห็นอกเห็นใจของเขาช่างไร้สาระสิ้นดี หมอนี่ยังคงต้องฝึกฝนบนเส้นทางของวิทยาศาสตร์ต่อไป


 


 


“สำหรับเรื่องนี้น่ะหรือ ชิงเชวี่ย ไม่ต้องไปดูหรอก กังหันน้ำของเจ้าพังลงอีกแล้วเมื่อครู่นี้เอง เจ้าก็สามารถถือเป็นบทเรียนได้อีกครั้ง ใกล้ความสำเร็จเข้ามาอีกก้าวแล้ว หากตอนนี้เจ้าไปก็คงเห็นเพียงแค่กังหันน้ำจมอยู่ใต้ก้นบึงเท่านั้นเอง”


 


 


หลี่ไท่เหมือนม้าที่ถูกลูกธนูปักอยู่ที่บั้นท้าย ร้องโหยหวนแล้วรีบร้อนลนลานวิ่งไปที่น้ำตก องครักษ์ที่อยู่ข้างหลังก็รีบร้อนวิ่งตามไป ปากก็เอาแต่ร้องตะโกนขอให้เว่ยอ๋องโปรดรอด้วย


 


 


วันนี้มีคนมากมายขึ้นเขา เฉิงฮูหยินและหนิวฮูหยินได้ขึ้นเขามาตั้งแต่เมื่อสามวันก่อนและพักอาศัยอยู่ในอาคารเล็กๆ ของพวกนางเอง ไม่พบแขกง่ายๆ หลายวันนี้ซินเย่ว์ก็อยู่บนเขาท่องเที่ยวบนเขาอวี้ซันเป็นเพื่อนฮูหยินทั้งสองท่าน


 


 


การถือร่มค่อยๆ เดินท่องไปท่ามกลางสายฝนในฤดูใบไม้ผลิช่างถือเป็นการเสพสุขอย่างมากมาย ทางเดินหินเล็กๆ ที่ปกคลุมด้วยตะไคร่สีเขียวนั้นลดเลี้ยวเคี้ยวคดและค่อยๆ ถูกสีเขียวเบื้องหน้ากลืนกินอย่างกลมกลืน แต่สิ่งที่ไม่สามารถกลืนกินได้นั่นก็คือร่มกระดาษน้ำมันสีสันสดใส


 


 


เหล่าฮูหยินผู้สูงศักดิ์และสาวใช้ที่ก้าวมวยผมสองข้างส่งเสียงหัวเราะเบาๆ เป็นครั้งคราว ทำให้เขาอวี้ซันจึงยิ่งมีกลิ่นอายฤดูใบไม้ผลิมากขึ้น ยังไม่ทันที่จะก้าวเข้ามาทำการคารวะก็ได้ยินรถเทียมวัวส่งเสียงอี๊ดแอ๊ดดังให้ได้ยิน หวงสู่ที่สวมเสื้อฟางนั่งคร่อมอยู่บริเวณที่นั่งกุมบังเ**ยนด้วยความภาคภูมิใจ ส่งเสียงเร่งวัวสีน้ำตาลที่อยู่ข้างหน้าแล้วหันกลับไปมองภรรยาที่นั่งอยู่ในเกวียน อิงเหนียงอุ้มทารกน้อยไว้ในอ้อมแขนของนาง ศีรษะเล็กๆ ที่สวมหมวกรูปหัวเสือเผยใบหน้าให้เห็น นี่คือลูกชายคนใหม่ของพวกเขา ซิ่วเหนียงเอียงศีรษะมองดูน้องชายที่น่าเกลียดน่าชังของนาง ใช้ผ้าเช็ดหน้าคอยเช็ดน้ำลายที่ไหลออกจากปากน้องชายเป็นระยะๆ ด้วย เกวียนเทียมวัวนี้ได้บรรทุกความสุขมาจนเต็มคันรถ


 


 


เห็นอวิ๋นเยี่ยยืนยิ้มอยู่ข้างทางพลางมองดูครอบครัวของเขา หวงสู่ก็หน้าแดงและกระโดดลงจากเกวียนเพื่อคารวะอวิ๋นเยี่ย


 


 


“หวงสู่คารวะโหวเหยีย”


 


 


 ไม่ได้พบหวงสู่หนึ่งเดือนกว่าๆ ดูเหมือนว่าค่อนข้างจะมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น ดูมีความต่ำต้อยน้อยลง ค้อมตัวคารวะก็ดูเข้มแข็งมีพลัง บารมีของสำนักศึกษาก็ค่อยๆ ส่งผลต่อตัวเขาด้วย ต่างจากเมื่อก่อนที่ไม่ว่าทำอะไรก็ดูราวกับเป็นโจร เดินเหินมักจะชอบลัดเลาะไปตามกำแพง


 


 


“เจ้าไม่ได้ถูกอู๋อ๋องยืมตัวไปยังสถานที่ก่อสร้างไม่ใช่หรือ ทำไมวันนี้ก็กลับเสียแล้วล่ะ จัดการงานเป็นอย่างไรบ้าง” ขณะที่อวิ๋นเยี่ยกลับมาเมื่อหลายวันก่อนก็ได้ยินว่าหลี่เค่อขอตัวหวงสู่ไปช่วยหาห้องลับที่เก็บสมบัติในคฤหาสน์เก่าตระกูลโต้ว หรือว่าจัดการเสร็จแล้ว


 


 


“เรียนโหวเหยีย คลังสมบัติของตระกูลโต้วหาพบแล้ว มีทั้งหมดสามจุดข้าน้อยใช้เวลาสองชั่วยาม โง่เขลาทั้งตระกูล พวกเขาสร้างห้องลับไว้ใต้สระน้ำในสวนหลังบ้าน เมื่อคนอื่นมองไม่ออกก็คิดว่าพวกเขาโง่เอง หรือคิดว่าคนใต้หล้านี้โง่เขลากันหมดทุกคน หลังจากห้องลับถูกสร้างขึ้นแล้วยังแสร้งทำเป็นสร้างสระน้ำเหนือห้องลับ พื้นที่บริเวณนั้นยกสูงมากจนแม้แต่หัวสัตว์ที่ระบายน้ำเข้าและออกยังไม่แขวนอยู่เลย ก็เท่ากับเป็นสระน้ำนิ่ง มีสระน้ำในสวนหลังของผู้ใดที่ไม่ได้เป็นกระแสน้ำไหลกันบ้าง สร้างสระน้ำกระแสน้ำนิ่งเพื่อเลี้ยงยุงกันหรือ”


 


 


เมื่อพูดถึงความถนัดของเขา หวงสู่ก็มีท่าทีของปรมาจารย์อย่างชัดเจน แม้กระทั่งความต่ำต้อยอันน้อยนิดสุดท้ายก็หายไปหมดสิ้น ในเมื่อเป็นผู้เชี่ยวชาญก็ต้องมีความมั่นใจดั่งผู้เชี่ยวชาญ เมื่อได้เห็นผู้เชี่ยวชาญมากมายในสำนักศึกษาย่อมรู้ว่าผู้เชี่ยวชาญวางท่าทีเป็นอย่างไร


 


 


“อืม ไม่เลว ตั้งใจทำงานในสำนักศึกษาให้ดี อนาคตยังมีงานมากมายที่ต้องพึ่งพาเจ้า ภารกิจคราวนี้ทำได้ดีมาก เงินเดือนของเจ้าควรต้องเพิ่มขึ้นเสียหน่อยแล้ว กลับไปต้องแวะไปทักทายผู้ดูแล”


 


 


หวงสู่ชอบฟังคำพูดนี้มากที่สุด หลังจากได้ยินอวิ๋นเยี่ยพูดดังนี้แล้วก็ยิ้มจนมองไม่เห็นตาดำเลย ค้อมตัวพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ขอบคุณที่โหวเหยียให้รางวัล แต่ว่าท่านหลี่ได้ขึ้นเงินเดือนให้ข้าน้อยแล้ว ตอนนี้ได้เดือนละสองก้วนแล้ว ท่านอ๋องก็บอกว่าเรื่องนี้ข้าน้อยจัดการได้อย่างสวยงามมาก จึงได้ให้รางวัลข้าน้อยจำนวนห้าสิบก้วนเป็นกรณีพิเศษอีกด้วย ท่านหลี่ยังอนุญาตให้ข้าน้อยได้ลาพักสามวัน จึงถือโอกาสในช่วงวันหยุดทั้งครอบครัวไปเยี่ยมพี่เมียที่ตรอกซินเฟิง”


 


 


เมื่อมีลูกคนใหม่เกิดมาก็ควรต้องมีของขวัญ อวิ๋นเยี่ยจึงปลดสร้อยไข่มุกเส้นหนึ่งออกจากตัวเขาแล้วโยนให้หวงสู่และพูดกับเขาว่า “นี่คือของขวัญพบหน้าที่มอบให้เด็กน้อยคนนี้ ในเมื่อสิ่งที่สมควรได้รับก็ได้รับไปแล้ว เช่นนั้นข้าก็จะไม่มากเรื่องอีก ภรรยาเจ้าเพิ่งคลอดบุตรอย่าลืมบำรุงรักษาร่างกายด้วย ยังต้องเดินทางอีกไกล ข้าก็จะไม่พูดให้มากความอีก รีบไปเถอะ รีบไปรีบกลับ”


 


 


 เมื่อเห็นอิงเหนียงกำลังจะลงมาจากรถเทียมเกวียน จะให้หญิงที่เพิ่งอยู่ไฟครบเดือนยืนอยู่ท่ามกลางสายฝนนั้นดูไม่เหมาะสม อวิ๋นเยี่ยจึงยกมือขึ้นห้ามอิงเหนียงไว้และเร่งให้หวงสู่ออกเดินทาง


 


 


เหล่าทหารผ่านศึกเหล่มองรถเกวียนที่จากไป ท่านอาเจียงยิ้มแล้วพูดว่า “นี่ก็คือโจรปล้นสุสานคนนั้นหรือ ข้าดูแล้วไม่เหมือนโจรปล้นสุสาน แต่กลับเหมือนช่างตีอาวุธในสมัยอยู่ในกองทัพเสียมากกว่า แต่ท่าทีนั้นก็ดูคล้ายอยู่หลายส่วน”


 


 


“ท่านอาเจียง ความฝันของข้าคือการให้ทุกคนในหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี การจะไม่ทำสงครามนั้นมันไม่ง่ายเลย หวังอย่างยิ่งว่าจะมีปีใหม่ที่สงบสุข ผู้คนในยามศึกสงครามยังสู้สุนัขไม่ได้ ตอนนี้ใต้หล้าสงบสุขแล้ว ทุกคนควรได้ลิ้มรสการเป็นคนสักช่วงหนึ่งให้เต็มที มีอะไรไม่ดีตรงไหนกัน”


 


 


“ดี ดี แน่นอนต้องเป็นเรื่องดี ข้าในตอนนี้ก็ได้ใช้ชีวิตอย่างสุขกายสบายใจ มีเหล้ารสดีให้ดื่มทุกวัน กินอิ่มท้อง เสื้อผ้าก็เรียบร้อย ลูกๆ ก็มีงานทำ ชั่วชีวิตนี้ยังจะเรียกร้องอะไรอีก วันเวลาเช่นนี้เมื่อก่อนแม้ฝันข้าก็ยังไม่เคยคิดเลย”


 


 


หลังจากพูดจบก็ปลดน้ำเต้าใบเล็กออกจากเอวกระดกเหล้าเข้าปากหนึ่งคำ หลับตาและกลั้นลมหายใจ ผ่านไปเป็นเวลานานจึงค่อยถอนหายใจออกมายาวๆ ดูเหมือนรู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างมาก


 


 


ไม่รู้ว่าเฉิงฮูหยินไปถึงที่ไหนแล้ว บนภูเขาเขียวเช่นนี้ก็จะมีแต่เสียงหัวเราะของพวกนางดังขึ้นเท่านั้น ช่างเถอะ ไว้พบกันคราวหน้าก็แล้วกัน


 


 


 ได้พบเฉิงฉู่มั่วที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงหน้าตามอมแมมที่ประตูสำนักศึกษา ยืนเบิกตาแดงก่ำจ้องมองไปที่ประตูของสำนักศึกษา หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ดึงชายเสื้อขึ้นมาแล้ววิ่งพุ่งไปที่ประตูด้านขวา อวิ๋นเยี่ยถอนหายใจและนั่งอยู่ใต้เพิงหน้าประตูรอให้เฉิงฉู่มั่วออกมาจากประตูทางด้านซ้าย


 


 


“เสี่ยวกงเหยียอยู่ที่นี่มานานเพียงไหนแล้ว ทำไมจึงดูทุลักทุเลเช่นนี้” อวิ๋นเยี่ยเรียกองรักษ์ของสำนักศึกษามาสอบถาม


 


 


“โหวเหยียท่านโปรดเกลี้ยกล่อมเสี่ยวกงเหยียด้วย เขาอยู่ที่นี่เป็นเวลาสามวันแล้ว หลายวันก่อนเว่ยอ๋องกล่าวว่าประตูของสำนักศึกษาเป็นค่ายกลห่วยแตก ใต้หล้านี้นอกจากคนจำนวนหนึ่งที่มีอยู่ไม่กี่คนแล้ว คนที่เหลือนั้นไม่สามารถเข้ามาได้ ทั้งยังบอกด้วยว่าเขาเองก็เป็นหนึ่งในไม่กี่คนนั้นด้วย แน่นอนว่าเสี่ยวกงเหยียจึงไม่ยอมแพ้โดยบอกว่าเขาจะเข้าไปไม่ได้ได้อย่างไรกัน ในช่วงสามวันที่ผ่านมานอกเหนือจากการกินอาหารและอาบน้ำแปรงฟันแล้ว เวลาที่เหลือก็หมกมุ่นอยู่ที่นี่”


 


 


“เขาไม่ได้คิดถึงวิธีการอื่นบ้างหรือ เอาแต่วิ่งพุ่งเข้าไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า เจ้าไม่ได้บอกเขาหรือว่าการวิ่งเข้าไปโดยไม่ใช้สมองเช่นนี้ ชั่วชีวิตก็อย่าหวังจะได้เข้าไปเลย” ถึงแม้ว่าเฉิงฉู่มั่วจะเป็นพวกไม่รู้จักพลิกแพลงแต่เขาก็ไม่ใช่คนโง่เขลา ถูกคนกระตุ้นจนถึงขั้นนี้ อวิ๋นเยี่ยสามารถจินตนาการได้ในหัวได้เลยว่าท่าทางของหลี่ไท่ในตอนนั้นยียวนน่ารังเกียจมากเพียงไร


 


 


“หลายวันนี้เสี่ยวกงเหยียได้ใช้บันได เชือกและทุบกำแพงด้วยค้อนแล้ว โหวเหยียท่านก็ทราบว่าบันไดสามารถพาดไปได้เพียงแค่กำแพงปีกกาเท่านั้นซึ่งยังเหลือระยะห่างจากด้านบนของกำแพงอีกช่วงหนึ่ง ด้านบนยอดของกำแพงก็มีลวดหนามอยู่ หากปีนข้ามไปก็คือไม่คิดจะมีชีวิตแล้ว เมื่อแขวนเชือกและปีนขึ้นไปถึงยอดของกำแพง ด้านบนของกำแพงก็เหมือนใบมีดแหลมคมไม่มีที่จะให้ยืน หากกระโดดข้ามไปและตกลงมาจากกำแพงก็ต้องถึงตายแน่ ข้าน้อยได้บอกกับเสี่ยวกงเหยียแล้ว เสี่ยวกงเหยียก็ไม่ยอมฟังทดลองหมดแล้ว ทั้งยังได้รับบาดเจ็บจึงได้ยอมหยุด”


 


 


ในขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่ก็เห็นเฉิงฉู่มั่วออกมาจากทางด้านซ้ายอีกครั้ง เห็นอวิ๋นเยี่ยกำลังรอเขาอยู่ก็รู้สึกไม่ค่อยดีนัก ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะทักทายกับอวิ๋นเยี่ย “เสี่ยวเยี่ย เจ้าก็มาด้วยหรือ ประตูผุพังนี้ขวางทางพี่ชายมาสามวันแล้ว เจ้ารอก่อน ข้ากำลังจะสามารถเข้าไปได้แล้ว เมื่อครู่พอจะเห็นลู่ทางบ้างแล้ว”


 


 


ไร้สมองแล้วยังปากแข็งอย่างไม่คิดชีวิตอีก อวิ๋นเยี่ยนั้นก็รู้สึกประหลาดใจอยู่ว่าหลายวันนี้ไม่เห็นเฉิงฉู่มั่วแม้แต่เงา ที่แท้มาที่นี่เพื่อปะลองฝีมือกับประตูใหญ่นี่เอง ก็ต้องถือเป็นเรื่องแปลกประหลาดที่มีคนจำนวนมากที่ไม่สามารถผ่านเข้าประตูใหญ่ของสำนักศึกษานี้ได้ อย่างมากที่สุดก็ให้องครักษ์เปิดประตูปล่อยให้เขาเข้าไปก็เท่านั้น จำเป็นต้องใช้ความพยายามอย่างมากถึงเพียงนี้หรือ


 


 


“เจ้าสามารถเข้าไปได้บ้าบออะไรกัน ทั้งยังบอกมีลู่ทางแล้ว เจ้าลองพูดลู่ทางที่ว่าให้ข้าฟังหน่อย”


 


 


 เฉิงฉู่มั่วหน้าแดงไปทั้งใบหน้า ตะโกนเสียงดังใส่แล้วก็วิ่งพุ่งเข้าไปทางด้านซ้ายอีกครั้ง ยังไม่ถึงสิบห้านาทีก็เดินคอตกหมดอาลัยออกมาจากทางด้านขวาอีกครั้ง คราวนี้ก็เริ่มเขาอ่อนเล็กน้อย


 


 


 


 


——


 


 


[1] กระบวนโจมตีรูปแบบเฟิงสื่อเจิ้น เป็นหนึ่งในรูปแบบกระบวนท่าของกองทัพในสมัยโบราณ ซึ่งมีจำนวนสิบคนยืนเรียงกันสามแถวเป็นรูปหัวลูกศร

 

 

 


ส่วนที่ 5

 

ตอนที่ 50 ขงจื่อกล่าวว่าสละชีพเพื่อคว...

 

อวิ๋นเยี่ยพยุงเฉิงฉู่มั่วให้นั่งลง จากนั้นถกขากางเกงของเขาขึ้นมา เมื่อเห็นก็ถึงกับหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ภายใต้ขากางเกงนั้นมีปากแผลเปิดขนาดใหญ่ เนื้อหนังเหวอะหวะ ปากแผลเปิดจนคล้ายปากของทารก อวิ๋นเยี่ยจึงรีบตบที่ด้านหลังของเฉิงฉู่มั่วไปหนึ่งฝ่ามือ ไอ้เจ้าคนงี่เง่า ไม่อดกลั้นอะไรเลย คนอื่นพูดเพียงคำสองคำก็ยึดถือจริงจัง ดูท่าแล้วเหมือนว่าจะปีนกำแพงไม่พ้นแล้วถูกลวดหนามเหล็กด้านบนเกี่ยวแทงเข้า กำแพงที่สร้างโดยตระกูลกงซูถ้าหากสามารถข้ามผ่านไปได้โดยลำพังแล้ว ชื่อเสียงของหลู่ปันคงต้องย่อยยับป่นปี้ไปตั้งนานแล้ว


 


 


เพราะไม่มียาอยู่ในมือ จึงขอน้ำเต้าที่บรรจุเหล้าจากท่านอาเจียงนำเหล้ามาล้างแผล มีผู้ป่วยที่เกือบจะเป็นโรคบาดทะยักนอนอยู่ที่บ้านหนึ่งคนแล้ว หากจะให้มีคนนอนเพิ่มอีกคนอวิ๋นเยี่ยต้องคลั่งใจตายแน่


 


 


จึงเตะบั้นท้ายขององครักษ์เฝ้าประตู “ยังไม่เปิดประตูอีก จะรอให้ข้าเปิดมันเองหรือไร”


 


 


ทหารองครักษ์จึงรีบเดินเข้าด้านในไปตามเส้นทางที่ถูกต้องของเขาวงกต โดยทหารผ่านศึกพยุงเฉิงฉู่มั่ว ขาของเจ้าคนงี่เง่าคนนี้เลือดไหลออกมาไม่ยอมหยุด แต่ดวงตาก็ยังมิวายกลิ้งกลอกไปมาเพื่อจดจำเส้นทาง คิดว่าคราวหน้าตนเองจะต้องคลำทางเข้ามาให้ได้


 


 


“ไม่ต้องจำหรอก ไม่เกิดประโยชน์ มีกำแพงหลายแห่งที่ขยับเขยื้อนได้ เส้นทางที่เดินในครั้งนี้คราวหน้าก็จะเปลี่ยนไป กดบาดแผลของตัวเองเอาไว้ให้ดีจึงจะเป็นเรื่องที่ควรทำมากกว่า” เนื่องจากครั้งที่แล้วถูกอวิ๋นเยี่ยแก้ค่ายกลได้อย่างง่ายดาย คนตระกูลกงซูรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก เฒ่ากงซูจึงเอาจริงขึ้นมาโดยออกเงินส่วนตัวสร้างกำแพงขึ้นใหม่อีกสองสามแห่ง ถึงกับทำให้มันสามารถเคลื่อนย้ายได้ ซึ่งก็ได้ทำให้อวิ๋นเยี่ยรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก วิศวกรรมโยธาในยุคดั้งเดิมนึกไม่ถึงว่าจะสามารถทำได้ถึงขั้นนี้ ช่างชวนให้ตกตะลึงยิ่งนัก อวิ๋นเยี่ยไปขอภาพแบบก่อสร้างจากเฒ่ากงซูเตรียมที่จะศึกษาเสียหน่อย ใครจะรู้ว่าเฒ่ากงซูจะชี้ไปที่ป้ายวิญญาณของหลู่ปัน ต้องการให้อวิ๋นเยี่ยคำนับบรรพชนของเขาเป็นอาจารย์ จากนี้ไปภาพแบบก่อสร้างของตระกูลกงซูก็อนุญาตให้อวิ๋นเยี่ยหยิบดูจนพอใจได้ตามอัธยาศัย


 


 


อวิ๋นเยี่ยไม่แม้แต่จะคิดก็ได้ปฏิเสธไป ตนเองมีอาจารย์ที่แต่งขึ้นจากจินตนาการอยู่แล้วท่านหนึ่ง จะให้คำนับผู้อื่นเป็นอาจารย์ได้อย่างไร แม้จะเป็นหลู่ปันก็ไม่ได้ จะต้องถูกผู้อื่นติฉินนินทาลับหลังว่าเป็นคนสารเลวที่ทรยศต่อคำสอนอาจารย์ แล้วจะให้มีหน้าอยู่ต่อในฉางอันได้อย่างไรกัน


 


 


เฒ่ากงซูไม่ยอมให้อวิ๋นเยี่ยดูภาพแบบก่อสร้าง อวิ๋นเยี่ยจึงเปลี่ยนรหัสผ่านประตูของสำนักศึกษา การเรียงลำดับประโยคกลอนให้อยู่ในแถวเดียวกันที่เป็นรหัสผ่านเดิมถูกเขาเปลี่ยนเป็นหลักการโซโดกุ โดยเติมข้างหน้าว่าแผนภูมิตำแหน่งดาวไว้บนกำแพงเงา ที่จริงแล้วก็เป็นหลักการของการล็อกประตูป้องกันการโจรกรรมบ้าน เพลาหลักหนึ่งเส้นจะมีเก้าสลักเก้าอัน ขอเพียงแค่ใส่ตัวเลขที่เหมาะสมให้ถูกตำแหน่งก็จะสามารถปลดล็อกกลอนประตูได้ ขอเพียงแค่ใส่ให้ถูกทั้งเก้าตำแหน่งกลอนประตูทั้งหมดก็จะหล่นลงมาและประตูจะเปิดออก


 


 


เพื่อป้องกันไม่ให้เลขหนึ่งถึงเก้าเห็นได้ชัดเจนเกินไป อวิ๋นเยี่ยจึงทำการแก้ไขให้แต่ละหมายเลขจากหนึ่งถึงเก้าเพิ่มขึ้นสามเท่ากลายเป็นสาม หก เก้า สิบสองจนถึงสูงสุดที่ยี่สิบเจ็ด ค่ารวมก็เปลี่ยนจากสิบห้าเป็นสี่สิบห้า


 


 


มีเพียงการทำให้ผลรวมของเส้นแนวตั้ง แนวนอนและมุมทแยงเป็นสี่สิบห้าจึงจะสามารถเปิดกำแพงเงาได้ เหล้าเก่าในขวดใหม่แต่ชื่อเสียงของแผนภูมิตำแหน่งดาวนั้นโด่งดังเกินไป ตำนานกล่าวกันว่าในยุคสมัยฝูซีนั้นได้มีเต่ามังกรขึ้นมาจากแม่น้ำและมอบให้กับฝูซีผู้มีเคล็ดลับล้ำลึกสุดหยั่ง ซึ่งเชื่อว่ามันเป็นแก่นแท้ของวัฒนธรรมเหอลั่ว[1] ในสมัยโบราณจึงยิ่งกล่าวถึงเขาในเชิงเป็นตำนานมากขึ้นกว่าเก่า อวิ๋นเยี่ยคิดว่าคำเล่าลือไม่น่าเชื่อถือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ได้เห็นผลลัพธ์ของตำนานมากมายเพียงนั้น จึงเชื่อไม่ได้อย่างเด็ดขาดว่าเรื่องราวจะอัศจรรย์ถึงเพียงนี้ เขายอมที่จะเชื่อว่าเป็นเพราะฝูซีไม่มีอะไรจะทำ จึงได้เขียนเกมการเติมตัวเลขในตารางบนหลังเต่าและค้นพบกฎอย่างหนึ่งทางคณิตศาสตร์โดยบังเอิญ คราวนี้เรื่อง ประตูของสำนักศึกษาจึงได้กลายเป็นสถานที่ประลองความสามารถกันระหว่างอวิ๋นเยี่ยและตระกูลกงซู หากอวิ๋นเยี่ยยังไขปริศนาค่ายกลของตระกูลกงซูไม่ได้ ของสิ่งนี้ไม่มีทางที่จะถูกปลดล็อกได้ จะมีใครสามารถหาทางออกที่ถูกต้องจากสถานที่ที่สามารถเคลื่อนที่ไปมาได้ ตระกูลกงซูกำลังน้ำลายไหลมองตัวเลขประหลาดๆ เหล่านั้นที่อวิ๋นเยี่ยตั้งค่าไว้อย่างจนด้วยเกล้า หลี่กังทนไม่ไหวอีกต่อไปจึงได้นำอาจารย์และนักเรียนของสำนักศึกษามาร่วมกันตัดสิน ซึ่งทั้งสองเสมอกัน แต่กำแพงของสำนักศึกษาหากไม่มีคำสั่งของหลี่กังห้ามเคลื่อนย้ายโดยพลการ กำแพงเงาไม่จำเป็นต้องปิดเพราะเมื่อปิดแล้วไม่มีใครสามารถเปิดได้ อาจารย์และนักเรียนของสำนักศึกษาไม่ควรที่จะต้องเดินผ่านประตูด้านข้างเสมอจริงไหม หลี่ไท่เพื่อที่จะหาเรื่องเฉิงฉู่มั่วจึงจงใจปิดประตูลงมาและใส่สลักไว้หนึ่งชิ้น ก็เพราะเขารู้ว่าต้องเป็นตัวเลขที่อยู่ตรงกลางสุดซึ่งก็คือสิบห้า ตั้งใจจะดูเฉิงฉู่มั่วขายหน้า เมื่อมาถึงกำแพงเงา เหล่าองครักษ์ก็เบือนหน้าหนีอย่างรู้งาน มีเพียงเฉิงฉู่มั่วที่จ้องมองตาแป๋วด้วยความไม่เข้าใจดูการเคลื่อนไหวของอวิ๋นเยี่ยอย่างละเอียด ซึ่งการเคลื่อนไหวของอวิ๋นเยี่ยนั้นเร็วมาก พบว่ามีตัวเลขที่ผิดไปอยู่หนึ่งตัวซึ่งก็คือเลขสิบห้า จึงได้เลื่อนหมายเลขสิบห้าไปตรงกลางตามร่อง


 


 


 จากนั้นก็ได้ยินเสียงดังขึ้น กำแพงเงาของสำนักศึกษาขยับได้แล้ว จึงให้องครักษ์ของสำนักศึกษาออกแรงทั้งหมดที่มีผลักประตูให้เปิดออก เขาไม่อยากที่จะให้การผลักประตูเข้าไปต้องวุ่นวายพัวพันถึงตัวเอง ซึ่งก็จริงดังคาด การออกแรงผลักประตูได้กระชากถูกเส้นเอ็น ทันทีที่ประตูเปิดออกก็มีอะไรขาวๆ ร้องคำรามบินเข้าใส่องครักษ์ ซึ่งองครักษ์ก็เคยเห็นมันมานานแล้ว เพียงแค่ก้มตัวลงเจ้าสิ่งขาวๆ ก็บินข้ามศีรษะไปกระแทกเข้ากับกำแพงด้านนอกเกิดเสียงดังตูม กลุ่มหมอกควันก็ลอยคละคลุ้ง ปูนขาว หลี่ไท่นั้นไม่เคยใช้สิ่งดีๆ เลย โชคดีที่มันไม่ใช่แคลเซียมออกไซด์ ถ้าเป็นของสิ่งนั้นต้องเกิดเรื่องแน่นอน  เหล่าทหารผ่านศึกเหงื่อออกเต็มร่าง เหตุการณ์ในวันนี้พวกเขาไม่เคยพบเจอเลยในช่วงชีวิตการทำศึกมานานหลายปี เพียงแค่คิดถึงตรอกที่คดเคี้ยวเหล่านั้นด้านบนถูกติดตั้งร่องซุ่มยิงอยู่อย่างหนาแน่น ถ้าหากมีใครต้องการโจมตีสำนักศึกษาก็ไม่รู้ว่าจะมีคนจำนวนเท่าไรที่ต้องตายอยู่ในตรอกเล็กๆ แห่งนี้ และเมื่อยิ่งคิดว่าโหวเหยียบอกว่ากำแพงนั้นสามารถขยับได้ก็ขนหัวลุกซู่ ขณะเปิดประตู หากที่ลอยออกมาไม่ใช่ถุงปูนขาวแต่เป็นห่าลูกศรที่กระหน่ำมา ผู้ที่เปิดประตูมีหรือยังจะมีชีวิตรอดได้


 


 


มองออกว่าเหล่าทหารผ่านศึกนั้นไม่สบายใจ อวิ๋นเยี่ยพูดว่า “อันที่จริงการทำเช่นนี้มันไร้ประโยชน์ เป็นเพียงการประชันความรู้กันอย่างหนึ่ง หากต้องการจะโจมตีสำนักศึกษามีเพียงคนโง่เท่านั้นที่จะโจมตีจากประตูใหญ่ เลือกสถานที่ใดที่หนึ่งก็ได้เพียงเท่านี้ก็สามารถทำลายลงได้อย่างง่ายดาย เว้นเสียแต่ว่าสำนักศึกษานั้นร่ำรวยพอที่จะสร้างกำแพงทั้งหมดให้เป็นเช่นนี้” เหล่าทหารผ่านศึกจึงได้เข้าใจในทันใด จริงด้วยสินะ ไม่ว่าแนวป้องกันของเจ้าจะแข็งแกร่งเพียงไหน แต่ก็มีสถานที่ที่เจ้าไม่สามารถป้องกันได้เสมอ เปลี่ยนสถานที่โจมตีก็พอแล้ว ต่างก็เป็นพวกสูงวัยแล้วแต่กลับยังทำผิดพลาดในสิ่งที่เหล่าผู้เยาว์มักจะทำผิดพลาดกัน


 


 


อวิ๋นเยี่ยออกแรงใส่กลอนประตูทั้งเก้าให้ครบและพูดกับองครักษ์ของสำนักศึกษาว่า “ประเดี๋ยวท่านอ๋องกลับมาแล้วบอกเขาว่าการบ้านของเขาในวันนี้คือการแก้กลไกแผนภูมิตำแหน่งดาวไม่เช่นนั้นการสอบกลางภาคของเขา ข้าจะให้เขาศูนย์คะแนน” เฉิงฉู่มั่วหัวเราะพรืดขึ้นมา ความแค้นของเขาได้รับการแก้แค้นแล้วแน่นอนว่าต้องปลอดโปร่งโล่งใจ องครักษ์ของสำนักศึกษาเดินอ้อมจากประตูข้างออกมายังประตูใหญ่ด้านหน้าด้วยสีหน้าเห็นอกเห็นใจ รอหลี่ไท่กลับมาและแจ้งฝันร้ายนี้ให้เขาทราบ เพิ่งจะเย็บบาดแผลให้เฉิงฉู่มั่วเสร็จ เขาก็รอไม่ไหวต้องการที่จะไปดูเรื่องขายหน้าของหลี่ไท่ที่ประตูสำนักศึกษาเสียให้ได้ ขวางอย่างไรก็ไม่อยู่ ยืนอยู่บนระเบียงบนชั้นสอง ในเวลานี้ในสำนักศึกษาไม่มีคนว่างงานเดินไปมาแล้ว ชาวสวนหลายคนกำลังตัดแต่งต้นกล้าเอล์มที่กงซูมู่เป็นผู้ปลูกเอาไว้ ถึงฤดูใบไม้ผลิแล้ว ต้นไม้เล็กๆ ที่ไม่สามารถแตกใบเป็นต้นเอล์มได้เริ่มมีสีเขียวอ่อนๆ มียอดอ่อนสีน้ำตาลงอกออกมา เพื่อให้มันเติบโตเป็นพุ่มแนวราบแทนที่จะโตสูงชะลูด ชาวสวนจึงต้องตัดยอดของมันทิ้ง เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ภายหน้ายามใช้เป็นเขาวงกตจึงจะสามารถดักผู้คนไว้ได้ ไม่รู้ว่ากงซูมู่คิดจะทำอะไร หรือจะบอกว่าเขาตั้งใจจะปรับเปลี่ยนสำนักศึกษาให้เป็นเมืองแห่งกลไก ความเป็นไปได้นี้สูงมาก ตาเฒ่าคนนี้หมกมุ่นกับเรื่องเช่นนี้ไม่ใช่เพียงวันหรือสองวันเสียหน่อย ในสำนักศึกษามีระฆังทองสัมฤทธิ์ที่เต็มไปด้วยคราบสีเขียวเกรอะกรังอยู่อันหนึ่งที่แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายแห่งความโบราณซึ่งไม่รู้ว่าหวงสู่ไปเอามันมาจากที่ไหน เมื่อเคาะระฆังแล้วเสียงช่างไพเราะน่าฟังและกระจายเสียงออกไปได้ไกลมาก จึงได้ถูกหลี่กังนำมาใช้บอกเวลาในสำนักศึกษา ทุกๆ ครึ่งชั่วโมงจะมีคนรับใช้คนหนึ่งของสำนักศึกษาเคาะระฆังทองสัมฤทธิ์บอกเวลาโดยเฉพาะ จ้าวเหยียนหลิงที่หลงใหลในเสียงดนตรียังถึงกับแต่งเพลงสั้นๆ ท่อนหนึ่งขึ้นซึ่งไพเราะมาก หลี่กังเดินออกมาจากห้องเรียนมือหนึ่งถือกาน้ำชาซึ่งของสิ่งนี้ไม่เคยห่างจากมือกลายเป็นของรักของหวงของเขาไปเสียแล้ว ด้านหลังจะมีหั่วจู้คอยถืออุปกรณ์การสอนของอาจารย์เดินตามอยู่ไม่ห่างซึ่งทั้งสองเดินตรงมายังอาคารสำนักงาน


 


 


อวิ๋นเยี่ยยืนรอรับหลี่กังอยู่ด้านหน้าอาคาร หลี่กังยังไม่ทันได้เดินเข้าใกล้เขาก็ก้าวขึ้นมาและกล่าวทักทาย “ต้องลำบากอาจารย์หลี่แล้ว ข้าน้อยคารวะอาจารย์”


 


 


เหลาหลี่มองจากบนลงล่างพินิจพิเคราะห์อวิ๋นเยี่ยอยู่ครู่หนึ่ง จึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ได้ลำบากอะไร แต่เจ้าต่างหากที่ต้องเดือดร้อน กลับมาก็ดีแล้ว กลับมาก็ดีแล้ว” เมื่อพบหน้าเพียงแค่เห็นรอยยิ้มความเจ็บปวดทั้งหมดก็มลายหายไปสิ้นพร้อมกับรอยยิ้มนี้


 


 


“มันคุ้มค่าหรือไม่ที่ปะทะกับผู้ทรงอิทธิพลเพื่อผู้หญิงธรรมดานางหนึ่งด้วยอารมณ์ชั่ววูบ” ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่อาจารย์อวี้ซันยืนอยู่ข้างหลังอวิ๋นเยี่ยและเอ่ยถามขึ้น


 


 


“ข้าไม่ได้ทำเพื่อผู้หญิงคนหนึ่ง ข้าเพียงแค่ทำเพื่อความยุติธรรมของใต้หล้านี้ การเสียสละตนเพื่อความยุติธรรมของนักปราชญ์รุ่นก่อนมีอยู่ไว้ให้ดูเป็นเยี่ยงอย่างนั้นไม่อนุญาติให้ข้าถอยกลับ”


 


 


“เสียใจภายหลังหรือไม่ ข้าได้ยินเรื่องครอบครัวเจ้าหมดแล้ว การเผชิญหน้ากับการล้างแค้นของศัตรูเจ้าเสียใจภายหลังหรือไม่” อาจารย์อวี้ซันรบเร้าถามต่อ


 


 


“เสียใจสิ จะไม่เสียใจได้อย่างไร ถ้าหากใครคนหนึ่งในครอบครัวเกิดเหตุร้ายขึ้น ข้าก็เสียใจอย่างหาที่สุดมิได้”


 


 


หลี่กังผู้ที่เดิมกำลังยืนอยู่ในห้วงแห่งความซาบซึ้ง เมื่อได้ยินอวิ๋นเยี่ยพูดดังนี้ก็เกือบจะดึงเคราขาด  “หากพบเรื่องเช่นนี้อีก เจ้าก็ยังจะลงมืออีกอย่างนั้นหรือ”


 


 


“ข้าทนดูเรื่องเช่นนี้ไม่ได้ คิดว่าก็ยังคงจะลงมือ เพียงแต่ก็เสียใจภายหลังเมื่อทำมันลงไปแล้วเท่านั้นเอง”


 


 


“เจ้าหนุ่ม ขงจื่อกล่าวว่าสละชีพเพื่อความถูกต้อง เมิ่งจื่อกล่าวว่าพลีชีพเพื่อคุณธรรม เจ้าเป็นแบบอย่างของผู้อื่นจะมาทำตัวโลเลได้อย่างไร” ช่วงเวลาที่คุยกันอยู่นั้นรอบกายก็มีอาจารย์กลุ่มใหญ่รายล้อมเข้ามา บางคนนั้นเจ็บแค้นใจด้วยคุณธรรมที่มีอยู่เต็มอก บางคนคับแค้นใจและละอายที่ไม่กล้าลุกขึ้นสู้ ทั้งยังมีผู้ที่โศกเศร้าจากมโนธรรมส่วนลึกที่ไม่อยู่ที่นี่อีกด้วย ที่แสดงออกเกินจริงมากที่สุดก็เห็นจะเป็นอาจารย์จินจู๋ที่ตีอกชกลมพูดว่า “ข้าได้เอาพฤติกรรมของเจ้าเป็นแบบอย่างของการทวงความยุติธรรมให้ชาวประชาแล้ว แบบอย่างของความกล้าไม่เกรงกลัวต่ออำนาจอิทธิพล ใครจะรู้ว่าเรื่องที่เปี่ยมไปด้วยคุณธรรมเช่นนี้ เจ้าจะทำได้สมบูรณ์เยี่ยงนี้ ตอนนี้กลับเสียใจภายหลังเจ้าจะให้ข้าอธิบายกับลูกศิษย์เหล่านั้นได้อย่างไร”


 


 


อวิ๋นเยี่ยถูกพวกเขาผลักไปมาเหมือนใบไม้ในฤดูใบไม้ร่วง ถ้าหากไม่ใช่กลุ่มคนของสุภาพชน อวิ๋นเยี่ยเกรงว่าคงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากหากวันนี้ต้องการให้จบลงแต่โดยดี


 


 


เขาจึงตะโกนเสียงดังขึ้น “เงียบ! การกระทำการเรื่องใดๆ เกี่ยวอะไรกับการเสียใจภายหลังด้วย หากคราวหน้ามีเรื่องเช่นนี้อีก ข้าก็ยังคงจะทำมันและจากนั้นก็ยังคงเสียใจภายหลังเท่านั้นเอง นี่มันเป็นคนละเรื่องกัน เสียใจภายหลังก็ส่วนเรื่องเสียใจภายหลัง การกระทำเรื่องใดๆ ก็ส่วนของการกระทำนั้นๆ ไม่ควรนำมาพูดรวมกัน”


 


 


ท่ามกลางกลุ่มของอาจารย์ มีเพียงอาจารย์หยวนจางเพียงคนเดียวที่พยักหน้าและพูดกับทุกคนว่า “ความกล้าหาญจำเป็นต้องใช้เวลาสั่งสม และบางครั้งความกล้าหาญก็เป็นร่างแปลงของความโกรธ พวกเราไม่สามารถฝืนบังคับให้ทุกคนมีความกล้าหาญไร้ความหวาดกลัว ข้าเพียงแค่หวังว่าเหล่าลูกศิษย์ที่พวกเราสั่งสอนนั้นไม่ใช่คนขี้ขลาดเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว ทุกท่านยึดติดกับภาพลักษณ์ภายนอกเกินไป”


 


 


เมื่อทุกคนเจอเหตุการณ์เช่นนี้เข้า ในช่วงเวลาสั้นๆ จึงไม่สามารถวิเคราะห์อะไรได้ถูก ดังนั้นก็นัดหมายเวลาเพื่อถกเถียงกันอีกครั้งก็แล้วกัน ถึงเวลานั้นอาจารย์และลูกศิษย์ทุกคนจะเข้าร่วมด้วยทั้งหมดจะได้ทำให้ความจริงเรื่องความกล้าหาญและความรักในเกียรติศักดิ์ของตนเองให้ประจักษ์ต่อใต้หล้าอย่างชัดเจน กงซูมู่มาหาอวิ๋นเยี่ยด้วยความหวาดหวั่นลนลาน หลี่ไท่ศิษย์โง่ของเขาตอนนี้ยังคงติดอยู่ในเขาวงกตและไม่สามารถแก้กลไกแผนภูมิตำแหน่งดาวได้ จึงได้ส่งองครักษ์มาขอความช่วยเหลือจากอาจารย์ ใครจะรู้ว่ากงซูมู่เองก็แก้กลไกไม่ได้ สองศิษย์อาจารย์ได้ลองทุกอย่างที่รู้กันจนหมดแล้ว กำแพงเงาก็ยังนิ่งไม่ขยับแม้แต่น้อย นิสัยถือหางศิษย์ของตัวเองของกงซูมู่กำเริบขึ้นจึงรีบร้อนวิ่งมาหาอวิ๋นเยี่ยเพื่อคิดบัญชี ต้องการจะถกปัญหาเรื่องผู้ใหญ่รังแกผู้น้อยให้ชัดเจนเสียหน่อย ศิษย์ที่โง่เง่าของเขายังคงร้องไห้อยู่ในกำแพงเงานั่น


 


 


หลี่ไท่ไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินมีก็แต่เพียงกลัวว่าอวิ๋นเยี่ยจะให้เขาศูนย์คะแนน เขาเคยเห็นสิ่งนั้นซึ่งหนักราวหนึ่งจินได้ หากได้ของสิ่งนั้นก็ต้องแขวนไปจนถึงการสอบครั้งต่อไป มีแต่ผลคะแนนสอบใหม่ออกมาของสิ่งนั้นจึงจะถูกส่งมอบให้คนอื่นที่ได้ต่อไป หลี่ไท่ซึ่งเป็นโอรสสวรรค์ที่ภาคภูมิใจในตัวเองมาโดยตลอดมีหรือจะยอมรับความอัปยศเช่นนี้ได้ แต่เขากลับไม่สามารถแก้กลไกที่อวิ๋นเยี่ยเป็นผู้ตั้งโจทย์ได้ เรื่องเช่นนี้แม้จะไปขอความเมตตาจากเสด็จพ่อก็ไม่เกิดประโยชน์ บางทีอาจจะนำมาซึ่งการลงโทษที่รุนแรงมากขึ้นอีกด้วยซ้ำ


 


 


 


 


——


 


 


[1] วัฒนธรรมเหอลั่ว ถือเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมเก่าแก่ของจีน โดยมีศูนย์กลางวัฒนธรรมอยู่ที่ลั่วหยางที่มีอิทธิพลเป็นอย่างมากต่อภาคกลาง 

 

 


ส่วนที่ 5

 

ตอนที่ 51 ความโง่งมงายนำมาซึ่งความวิต...

 

กงซูมู่ตบภาพแบบก่อสร้างม้วนหนึ่งลงบนโต๊ะด้านหน้าอวิ๋นเยี่ยอย่างแรง อวิ๋นเยี่ยหยิบออกมาเปิดดูก็รู้ได้ในทันทีว่า นี่เป็นภาพแบบก่อสร้างของกำแพงที่เคลื่อนไหวได้เหล่านั้น เขาม้วนภาพแบบก่อสร้างเก็บกลับขึ้นอีกครั้ง เมื่อมัดเสร็จก็ส่งคืนให้กงซูมู่และบอกเขาว่า “เหตุใดท่านจึงต้องทำถึงเพียงนี้ด้วย ที่ข้าน้อยลงโทษหลี่ไท่ก็เพราะเขาพึ่งความเฉลียวฉลาดที่มีเพียงเล็กน้อยกระทำการกำเริบเสิบสาน ไม่มีความเห็นอกเห็นใจต่อเพื่อนร่วมรุ่นแม้แต่น้อย หาได้ต้องการแอบดูความลับที่ไม่ถ่ายทอดให้ผู้อื่นของตระกูลกงซูอย่างเด็ดขาด ท่านเข้าใจผิดแล้ว”


 


 


“แอบดูหรือ เจ้าคงยังไม่ทำถึงขั้นนั้น ในเมื่อข้านำภาพแบบก่อสร้างมาแล้ว ก็คือตั้งใจที่จะให้เจ้าเห็นว่าตระกูลกงซูไม่ใช่ผู้ที่หวงวิชา แม้ว่ามันจะไม่ใช่ของล้ำค่าอะไรจนไม่ยอมถ่ายถอดให้ใคร เหล่านี้ล้วนเป็นภูมิปัญญาที่ตกผลึกของบรรพบุรุษของตระกูลข้า พวกเขาสามารถหาวิธีการอันน่าอัศจรรย์มาเคลื่อนย้ายของหนักได้ แล้วรุ่นลูกหลานอย่างพวกเราจะพ่ายแพ้ให้กับบรรพบุรุษหรือ เมื่อเจ้าเห็นภาพแบบก่อสร้างนี้ เชื่อว่าอีกไม่นานพวกเราจะปรับปรุงมันให้ดีขึ้นได้ ดังนั้นเจ้าอ่านดูได้โดยไม่ต้องเกรงใจ”


 


 


กงซูมู่นั้นไม่ยอมเสียหน้าเป็นอันขาด ลูกศิษย์ที่สำคัญที่สุดเพียงคนเดียวของเขากำลังร้องไห้คร่ำครวญอยู่หน้าประตูใหญ่ เขาในฐานะอาจารย์กลับทำอะไรไม่ได้เลย นี่ไม่ได้ทำให้เสียภาพลักษณ์ของอาจารย์หรอกหรือ ในครานี้ที่นำภาพแบบก่อสร้างมานั้น คิดว่าต้องกัดฟันตัดสินใจอย่างแน่นอน ความหมายแฝงภายในนั้นไม่ต้องพูดก็เห็นอย่างชัดแจ้ง ก็เพียงแค่ต้องการรู้รหัสผ่านเพื่อเข้าประตูสำนักศึกษาเท่านั้นเอง กงซูมู่เรียกได้ว่าเป็นสุภาพบุรุษ ที่จริงแล้วเขาเพียงแค่เปิดอุปกรณ์เชื่อมต่อออกดู ก็จะเข้าใจทุกอย่างได้ ก็แค่ผลักมันกลับมาเท่านั้นเอง สำหรับเขาไม่มีอะไรยากเลยแม้แต่นิดเดียว แต่เขากลับไม่เลือกวิธีการนี้ แต่กลับยอมเสียหน้านำความรู้แลกเปลี่ยนความรู้ บุคคลเช่นนี้อวิ๋นเยี่ยยังจะมีอะไรไม่สามารถพูดได้อีก


 


 


“แผนภูมิตำแหน่งดาวที่จริงแล้วเป็นเกมการละเล่นอย่างหนึ่ง หากต้องการแก้ปริศนานั้นก็เพียงแค่กรอกตัวเลขทั้งหมดลงในช่องว่าง ไม่ว่าจะบวกกันในแนวนอนหรือแนวตั้ง รวมถึงเมื่อรวมกันในแนวทแยงแล้วจะต้องเท่ากับสี่สิบห้า ข้ามีพลงกลอนอยู่หนึ่งบท ข้าให้ท่านจดไว้ สองและสี่คือไหล่ หกและแปดเป็นเท้า ซ้ายเจ็ดและขวาสาม เมื่อใส่เก้าจะรวมเป็นหนึ่ง เลขห้านั้นอยู่กลาง เพียงแค่นำตัวเลขเหล่านี้คูณด้วยสามซึ่งก็คือรหัสผ่านที่ถูกต้องของประตูสำนักศึกษา”


 


 


กงซูมู่ไม่ได้สนใจอวิ๋นเยี่ยปากก็ท่องเพลงกลอนไปสองรอบ นำภาพแบบก่อสร้างในมือยัดเยียดใส่มืออวิ๋นเยี่ยและรีบไปช่วยลูกศิษย์ของเขา


 


 


อวิ๋นเยี่ยเปิดภาพแบบก่อสร้างออกดูอย่างละเอียด ก็อดไม่ได้ที่จะปรบมือร้องเยี่ยมให้กับบรรพบุรุษของตระกูลกงซู ผู้ที่นำเรื่องทรายดูดมาใช้ได้ถึงขั้นนี้ การคิดวิเคราะห์นั้นยากแก่การคาดเดาได้จริงๆ การแลกเปลี่ยนครานี้ตระกูลกงซูนั้นขาดทุนครั้งใหญ่เสียแล้ว สำหรับผู้แพ้สาธารณะ ระยะนี้อาจารย์หลีสือก็ดูค่อนข้างเหมือนคนบ้า นั่งซังกะตายอยู่ในห้องที่วางโครงกระดูกไดโนเสาร์โดยไม่พูดอะไรเลยตลอดทั้งวัน สหายเก่าอย่างพวกหลี่กังไปเยี่ยมเขาบ่อยครั้ง เขาบอกเพียงว่าเขาสบายดี เพียงแค่มีปมบางอย่างในใจที่ไม่สามารถแก้ไขได้เท่านั้นเอง การนั่งอยู่ข้างโครงกระดูกสามารถช่วยเขาในการตรึกตรองได้ ทุกคนจึงไม่ได้ใส่ใจอะไรกับมัน กลับจะรู้สึกยินดีกับเขาเสียด้วยซ้ำ นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่หลายคนก็มีวันพบกับอุปสรรคทางความคิดเช่นกัน เมื่อความรู้ที่สั่งสมมาตลอดชีวิตของเขานั้นมากมายลึกซึ้งก็จะทำให้เกิดข้อสงสัย โดยที่ไม่มีใครสามารถตอบข้อสงสัยเหล่านี้ได้ มีแต่จะต้องพินิจพิเคราะห์ด้วยตัวของเขาเอง เมื่อคิดออกแล้วจึงจะมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง และพัฒนาความรู้ได้อย่างเต็มที่ มีเพียงการข้ามผ่านบ่อแห่งนี้ไปได้จึงจะได้รับการขนานนามว่าเป็นปรมาจารย์แห่งการศึกษา อวิ๋นเยี่ยไม่เคยเห็นเรื่องอัศจรรย์เช่นนี้มาก่อน ไม่เคยได้ยินว่ามีนักวิชาการในยุคปัจจุบันคนไหนที่ต้องผ่านด่านนี้ หรือจะบอกว่าพวกเขาเป็นนักวิชาการจอมปลอม ซึ่งที่จริงแล้วไม่สามารถค้นคว้าไปถึงเรื่องของกำแพงป้องกันนั้นอย่างนั้นหรือ อาจารย์หยวนจางได้เป็นคนที่ส่งอาหารของอาจารย์หลีสือเข้าไปด้วยตนเอง อวิ๋นเยี่ยได้แต่หมอบบนหน้าต่างมองดูเท่านั้น อาหารที่ส่งเข้าไปในตอนเช้าได้ถูกอาจารย์หยวนจางนำกลับออกมาโดยที่ยังคงห่อไว้เหมือนเดิม อวิ๋นเยี่ยส่ายศีรษะ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป หากคิดหาคำตอบไม่ได้ อาจารย์หลีสือจะอดข้าวตายเพราะตนเอง ใบหน้าของเขาซูบผอมมาก ผมยุ่งเหยิงปรกลงมา ปากก็เอาแต่พูดไม่หยุด หลังจากฟังมาเป็นเวลานานจึงได้เข้าใจ เขาถามตัวเองไม่ยอมหยุดว่า


 


 


“สำหรับสวรรค์แล้วข้าคืออะไร สำหรับการเวลาแล้วข้านั้นคืออะไร แมลงปีกแข็งที่กัดกินรากไม้ อายุขัยสั้น ข้าเห็นผีเสื้อกำลังบิน ข้าเห็นปลากำลังว่ายน้ำบริเวณน้ำตื้น ตั๊กแตนตำข้าวที่อยู่ด้านหน้าล้อพูดคุยกับข้า ปลาใหญ่ช่วยให้ชาวบ้านแถบเหอตงอิ่มท้อง นกยักษ์ที่พิโรธหายไปแล้ว มหานทีอันกว้างใหญ่มีเพียงปลาคุน อนิจจาอาจารย์ ศิษย์ควรจะไปที่ใดดี” จู่ๆ เขาก็บ้าคลั่งขึ้นมา


 


 


ทุบตีตัวเองไม่ยอมหยุด ฉีกเสื้อขาด อาจารย์หยวนจางร้อนใจเป็นอย่างมาก จึงรบเร้าให้อวิ๋นเยี่ยหาทางแก้ไขว่ามีวิธีอะไรดีๆ บ้างหรือไม่ นี่เป็นผู้ป่วยที่มีอาการคล้ายคนเป็นโรคอารมณ์สองขั้ว วิธีการของอวิ๋นเยี่ยก็คือการจับเขากดลงแล้วฉีดยาระงับประสาทให้  แต่จะให้เขาไปหาของสิ่งนั้นมาจากที่ใดกัน


 


 


อาจเป็นเพราะรู้สึกเจ็บปวด อาจารย์หลีสือจึงไม่ทรมานตัวเองอีก แต่กลับเริ่มทรมานไดโนเสาร์แทน ไดโนเสาร์เป็นฟอสซิล มีหรือที่โครงกระดูกแขนและขาเล็กๆ จะทานทนได้ ขณะที่อวิ๋นเยี่ยกำลังมองดูอยากสนุกสนานเพลิดเพลินอยู่นั้นศีรษะก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา หันกลับไปกำลังจะด่า กลับเห็นเป็นหลี่กังที่สีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ หรือว่าเมื่อครู่ตัวเองสนุกสนานมากเกินไปหน่อย นวดศีรษะแล้วแสร้งทำหน้าเศร้าเบ้ปากอย่างน่าสงสารและดูละครลิงต่อไป การคิดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างอวกาศกับเวลาเพียงลำพังจึงทำให้คิดมากจนธาตุไฟเข้าแทรกหรือ ก็ไม่ได้ฝึกวิชากรงเล็บกระดูกขาวเสียหน่อย จำเป็นต้องนำตัวเองเข้าสู่กองไฟด้วยหรือ”


 


 


หลีสือได้เดินเข้าสู่ทางสองแพร่งแล้ว เขามีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องสวรรค์และดวงดาว นี่เป็นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เขามุ่งเน้นศึกษาคัมภีร์อู่จิงมาโดยตลอดไม่ใช่หรือ เริ่มสนใจศึกษาปรัชญาจิตตั้งแต่เมื่อไหร่”


 


 


อวิ๋นเยี่ยก็เข้าใจในทันที เกรงว่าอาจารย์หลีสือจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเถียนเซียงจื่ออยู่ไม่น้อย เถียนเซียงจื่อคือผู้ที่คิดค้นเรื่องปรัชญาจิต ทุกสรรพสิ่งไม่ต้องถามหาพื้นฐาน เพียงแค่ถามใจตนเอง อาจารย์หลีสือตัวดี เถียนเซียงจื่อตัวดี หากไม่เป็นเพราะวันนี้นึกสนุกจึงได้มาเดินเล่นที่สำนักศึกษาก็จะไม่ได้เห็นความบ้าคลั่งของหลีสือ เมื่อไม่เห็นหลีสือบ้าคลั่งก็จะไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเถียนเซียงจื่อ หากจู่ๆ อาจารย์หลีสือก็ต่อต้านพวกเราขึ้น อวิ๋นเยี่ยแทบไม่กล้าที่จะจินตนาการถึงผลลัพธ์อันเลวร้ายเลย เขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ตนให้ความเคารพมากที่สุด ตนจริงใจกับเขา คิดไม่ถึงว่าเขากลับมีเจตนาไม่ดี ซีถงได้เปิดเผยความลับมากมายให้อวิ๋นเยี่ยรู้ รวมถึงประวัติความเป็นมาของปรัชญาจิต สามารถสอนปรัชญาจิตได้จนถึงขั้นโง่งมงายได้ เถียนเซียงจื่อ นอกจากเจ้าแล้วยังจะมีใครมีความสามารถเช่นนี้ ใบหน้าของอวิ๋นเยี่ยมืดมนราวกับน้ำ ไม่มีท่าทีที่จะดูเรื่องสนุกอีกต่อไป เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าอาจารย์หลีจะไม่สามารถเอาชนะอุปสรรคนี้ได้ เช่นนี้แล้วเขาจะต้องยอมปล่อยอาจารย์หลีสือจากไปอย่างนอบน้อมโดยที่ทุกคนมองไม่ออก เช่นนี้จึงจะได้ไม่กระทบกระเทือนถึงมิตรภาพด้วย ซึ่งก็เป็นผลดีต่อทุกฝ่าย “เจ้าหนุ่มรีบหาวิธี” หลี่กังเริ่มรบเร้าอวิ๋นเยี่ย ความวิตกกังวลในแววตาของผู้เฒ่านี้ไม่ว่าใครก็มองออก ตอนนี้แม้ตีอาจารย์หลีสือให้สลบก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เพราะเมื่อเขาฟื้นก็จะกลายเป็นคนปัญญาอ่อน เคยมีตัวอย่างเช่นนี้มาก่อน ดังนั้นหลี่กังจึงได้ร้อนใจ


 


 


 “อาจารย์ของเจ้าได้บอกเล่าเรื่องเกี่ยวกับกาลเวลาบ้างหรือไม่ ถ้าหากมีก็ขอให้อ่านออกเสียงออกมาดังๆ บางทีมันอาจจะช่วยชีวิตของหลีสือได้” อาจารย์อวี้ซันรีบร้อนเข้ามาและพูดกับอวิ๋นเยี่ย เขาชื่นชมนับถืออาจารย์ของอวิ๋นเยี่ยอย่างหมดใจ สัญชาติญาณบอกเขาว่าการทำเช่นนี้นั้นจะเกิดผล อวิ๋นเยี่ยไม่เชื่อว่าอาการป่วยทางจิตที่รุนแรงเช่นนี้จะหายขาดได้ด้วยคำพูดเพียงสองสามคำ ล้อเล่นอะไรกัน ในเมื่อพวกเจ้าอยากฟังเช่นนั้น ฉันท่องให้ฟังก็ย่อมได้ บทกวี ‘งานเลี้ยงคืนฤดูใบไม้ผลิ’ ของอาจารย์หลี่ไป๋น่าจะยอดเยี่ยมพอนะ อยากฟังก็จะท่องให้ฟัง เขากระแอมเสียงแล้วท่องออกเสียงดังๆ


 


 


“ฟ้าดินคือที่พักของสรรพสิ่ง ยุคสมัยแท้จริงคือผู้ผ่านทาง ความเป็นตายเป็นเหมือนฝันที่แตกต่าง ความสุขที่กล่าวอ้างมีเท่าไรกัน”


 


 


ใครจะรู้ได้ท่องเพียงแค่สองประโยคเท่านั้นก็ทำให้หลีสือสงบลงได้ หลี่กังรู้สึกดีใจมาก ท่ามกลางความสับสนอลหม่านเขาก็ยังไม่ลืมที่จะยกย่องหลี่ไป๋อยู่หลายประโยค หมุนศีรษะดื่มด่ำราวกับได้ดื่มน้ำอมฤต “ฟ้าดินคือที่พักของสรรพสิ่ง ยุคสมัยแท้จริงคือผู้ผ่านทาง ความเป็นตายเป็นเหมือนฝันที่แตกต่าง ความสุขที่กล่าวอ้างมีเท่าไรกัน” อาจารย์อวี้ซันท่องตาม อาจารย์หยวนจางก็ท่องตามด้วยอีกคน เหล่าอาจารย์ในสำนักศึกษาที่ได้ยินข่าวแล้วรีบตามมาต่างก็เริ่มท่องตามอย่างเสียงดัง เพียงพริบตาเดียวทั้งลานกว้างของสำนักศึกษาก็เต็มไปด้วยแขกผู้มาเยือน


 


 


อวิ๋นเยี่ยแค้นใจนัก! ความฟุ้งซ่านของอาจารย์หลีสือค่อยๆ สงบลง แม้ว่าเสื้อผ้าจะขาดวิ่นจนดูไม่ได้ มีบาดแผลเต็มตัวไปหมด กลับเอามือไพล่หลังเดินวนไปเวียนมาอยู่ในห้อง ปากก็พร่ำท่องว่า “ฟ้าดินคือที่พักของสรรพสิ่ง ยุคสมัยแท้จริงคือผู้ผ่านทาง ความเป็นตายเป็นเหมือนฝันที่แตกต่าง ความสุขที่กล่าวอ้างมีเท่าไรกัน” เขากระแทกหัวของเขาในขณะที่อ่านมันและในที่สุดก็พูดออกมาดัง ๆ ว่า“ พวกเราแค่ผ่านลูกค้า” ท่องพลางเขกศีรษะของตนเอง ท้ายที่สุดก็พูดเสียงดังประโยคหนึ่งว่า “พวกเราเป็นเพียงแขกที่ผ่านทางมาเท่านั้น” เมื่อพูดจบก็หงายหน้าล้มลงแต่ถูกอาจารย์หยวนจางช่วยพยุงเอาไว้ เมื่อวัดลมหายใจของเขาก็รู้ว่าเข้าได้หลับไปแล้ว ซุนซือเหมี่ยวเรียกนักเรียนสองคนหามออกจากห้องไปและรีบกลับไปที่คลังยาของเขา เมื่อเขาไปถึงที่นั่นอาจารย์หลีสือจะได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด


 


 


อวิ๋นเยี่ยสภาพจิตใจแย่มาก แต่กลับจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับคำสรรเสริญเยินยอจากทุกคนในสำนักศึกษา สรรเสริญอย่างที่สุดต่อคำสองประโยคนี้ หลี่กังใช้สองนิ้วลูบหนวดหลิมของเขา รอจนทุกคนสงบลงแล้วจึงพูดกับอวิ๋นเยี่ย “บทกวีที่ดีสามารถช่วยชุบชีวิตให้ฟื้นคืนกลับมา คำพูดประโยคนี้ช่างเป็นคำที่โบราณกล่าวไว้ไม่ผิดเลย เจ้าหนุ่ม ท่องเนื้อหาส่วนที่เหลือให้จบ ข้ายังรอคอยที่จะได้ดื่มด่ำกับมันอยู่” ในเมื่อใช้บทกวีของผู้อื่นแล้วแน่นอนว่าต้องช่วยเผยแพร่ด้วย อย่างไรเสียชื่อเสียงของหลี่ไป๋จะทำให้เป็นที่รู้จักล่วงหน้าสักร้อยปีก็ไม่เสียหายอะไร “บทความนี้ไม่ได้เขียนโดยอาจารย์ข้า หากแต่เป็นผู้ที่มีนามว่าหลี่ไป๋เขียนขึ้นขณะร่วมงานเลี้ยง อาจารย์คิดว่ามันยอดเยี่ยมมากจึงได้ให้ข้าท่องจำเอาไว้ เช่นนั้นข้าจะท่องส่วนที่เหลือให้ทุกท่านได้รับฟังกัน


 


 


“ฟ้าดินคือที่พักของสรรพสิ่ง ยุคสมัยแท้จริงคือผู้ผ่านทาง ความเป็นตายเป็นเหมือนฝันที่แตกต่าง ความสุขที่กล่าวอ้างมีเท่าไรกัน คนโบราณถือเทียนไขยามท่องเที่ยว ย่อมมีเหตุข้องเกี่ยวในตัวของมัน ใบไม้ผลิเย้ายวนข้าให้ใฝ่ฝัน ธรรมชาตินั้นพลันส่งมอบความงาม มาพบปะสังสรรค์ที่สวนท้อ ไม่รีรอที่จะพูดคุยและไต่ถาม เหล่ายอดชายล้วนแล้วแต่น่าเกรงขาม ตัวข้ายามนี้ได้แต่เขียนกวี รู้สึกผิดแน่นอกเป็นหนักหนา แต่ทว่าทุกคนชมอย่างเปรมปรีดิ์ เสวนาด้วยความสุขอันล้นปรี่ ตระเตรียมที่ร่ำสุราชมพฤกษา ต่างเมามายอยู่ภายใต้แสงจันทร์ ซึ่งบทกวีนั้นห้ามขาดหนา เพื่อระบายความรู้สึกในอุรา ใครพลาดท่าต้องโทษดื่มสามจอก”


 


 


หลังจากท่องจบอวิ๋นเยี่ยก็ประสานมือกล่าวลาเพื่อไปพบซุนซือเหมี่ยวโดยไม่รอให้ทุกคนรั้งตัว อาการทางจิตที่รุนแรงเช่นนี้ของอาจารย์หลีสือ หากไม่กำจัดออกไปมีหรืออวิ๋นเยี่ยจะหลับตานอนลงได้ หากอาจารย์หลีสือมีความสัมพันธ์กับโต้วเอี้ยนซันจริงมันจะเป็นหายนะสำหรับตระกูลอวิ๋น อาจารย์หลีสือสามารถเข้านอกออกในบ้านตระกูลอวิ๋นได้อย่างอิสระ ไม่ต้องลำบากอะไรมากเพียงแค่ใช้ยาพิษก็เพียงพอที่จะทำให้ตระกูลอวิ๋นเจ็บใจไปจนวันตาย


 


 


อวิ๋นเยี่ยไม่สามารถแบกรับความเสี่ยงเช่นนี้ไว้ได้และไม่กล้าด้วย ดังนั้นจึงต้องกำจัดปัญหาให้ได้ เมื่อมาถึงที่พักของซุนซือเหมี่ยว เขาคิดว่าอวิ๋นเยี่ยรู้สึกไม่สบายใจเกี่ยวกับสุขภาพของอาจารย์หลีสือ จึงพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า


 


 


“ไม่เป็นอะไรมาก อาจารย์หลีสือเพียงแค่คิดมากเกินไปจึงกระทบกระเทือนถึงสภาพจิตใจ ให้พักผ่อนสักระยะหนึ่งก็จะฟื้นฟูดังเดิม ไม่ต้องเป็นกังวลไป” หากบอกว่าจะมีใครสักคนในใต้หล้านี้ที่อวิ๋นเยี่ยไว้เนื้อเชื่อใจอย่างไม่ระแวดระวัง นอกจากท่านย่าแล้วก็คือซุนซือเหมี่ยว นั่งอยู่นอกห้องยา อวิ๋นเยี่ยได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ซุนซือเหมี่ยวฟัง เหล่าซุนฟังแล้วก็ตกใจเป็นอย่างมาก “เจ้าหนุ่ม เรื่องนี้เจ้าคาดคะเนจากเบาะแสที่มีเพียงบางส่วน เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าหากเจ้าเข้าใจหลีสือผิดไป สำนักศึกษาจะแตกสลายลงทันทีซึ่งนี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการเห็นอย่างแน่นอน” 

 

 


ส่วนที่ 5

 

ตอนที่ 52 อับอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี

 

อวิ๋นเยี่ยนั่งอยู่บนชิงช้าในบ้านด้วยหัวใจที่เศร้าระทมหม่นหมอง เขาไม่คาดหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะให้การคาดเดาของตนเองกลายเป็นความจริง แต่เรื่องการเรียนรู้นั้นปลอมแปลงกันไม่ได้ มันอาจจะเห็นไม่ชัดเจนนักสำหรับผู้เริ่มเรียน แต่หากมองจากปัญญาชนที่สูงวัยเหล่านั้นก็จะเห็นได้อย่างชัดแจ้งเป็นที่สุดซึ่งก็เสมือนตราประทับขนาดใหญ่ที่เผาจนร้อนแดง ทิ้งรอยประทับที่ลบไม่ออกไว้บนร่าง นับแต่โบราณมาการต่อสู้ระหว่างสำนักลัทธิต่างๆ นั้นไม่ได้ต่างไปจากการแลกชีวิตด้วยดาบและหอกของจริงเลย ผู้ที่เสียชีวิตเพราะมุมมองต่างกันก็มีอยู่จำนวนไม่น้อย ไม่ว่าปกติหลีสือจะปิดบังได้ดีเพียงไหนก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วก็ยังมีร่องรอยให้สังเกตเห็นได้ ไม่ถามถึงแก่นแท้ของสรรพสิ่งในใต้หล้า เพียงแค่ถามใจตนเองก็พอ นี่ช่างเป็นคำสอนของลัทธิที่เห็นแก่ตัวและจองหองมากเสียจริงๆ จิตใจคนเราเป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อมากที่สุด เพียงชั่วพริบตาก็จะมีความคิดนับพันนับหมื่นปรากฏขึ้นมา จะรู้ได้อย่างชัดเจนได้อย่างไรว่าความคิดไหนนั้นถูกต้อง ความคิดไหนผิดพลาด ความคิดไหนมีข้อบกพร่อง เป็นพวกจิตนิยม ยึดตนเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาลมากเกินไป สรรพสิ่งใต้หล้าคงอยู่เพื่อข้า เพื่อให้ข้าได้ใช้สอย ไม่จำเป็นต้องฝืนอดกลั้น เพื่อเผยแพร่หลักคำสอนแล้วเถียนเซียงจื่อไม่ลังเลที่จะปลุกปั่นให้แผ่นลุกเป็นไฟ ทำให้เกิดการต่อสู้กันเป็นเวลาหลายร้อยปี ให้สัญญาณป้องกันข้าศึกกันทุกปี เถียนเหิงเดินเรือออกทะเล ฉินซีฮ่องเต้แสวงหาชีวิตอมตะ ขอให้ประหารเฉาชั่วเพื่อรักษาบัลลังก์ราชวงศ์ฮั่น ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากล่าวได้ว่ามีแต่ความอกสั่นขวัญแขวน หลังจากที่ฮั่นอู่ตี้ได้สมบัติล้ำค่ามาครอบครองแล้วก็ก็เผยแพร่ไปทั่วหล้ามาโดยตลอดก็เพื่อจะหาเถียนเซียงจื่อที่ไม่รู้ว่าสืบทอดมามากมายหลายรุ่นท่านนั้นให้เจอ แต่คิดไม่ถึงว่าจะกลับเป็นฝ่ายถูกทำร้าย การกระทำที่วางอำนาจบาตรใหญ่ไม่เกรงกลัวผู้ใดของนักดาบพเนจร ทำให้ขุนนางระดับสูงของต้าฮั่นต่างก็พากันหวาดหวั่น การสังหารผู้คนบนถนนกลับกลายเป็นเรื่องมีเกียรติและเป็นความคิดที่ไม่สามารถกำจัดให้หมดไปได้ จึงเริ่มคิดที่จะแสวงหาโอกาสจากเลือดเนื้อของผู้อื่น นี่คือบรรพชนผู้ริเริ่มของผู้ก่อการร้าย


 


 


แม้ว่าหลีสือจะไม่ใช่บุคลากรคนสำคัญ แต่ก็ต้องเป็นส่วนสำคัญของแผนการของเถียนเซียงจื่อ เพียงแต่เถียนเซียงจื่อได้เดินทางไปทางเหนือด้วยความอดทนรอไม่ไหว เขาติดต่อกับหลีสือได้อย่างไร ความเป็นไปได้ที่ผู้เฒ่าวัยแปดสิบกว่าจะกลับมาจากดินแดนอันรกร้างมาแต่โบราณนั้นมีน้อยมาก เสือไซบีเรีย หมีดำและฝูงหมาป่าที่ตอนนี้มีอยู่บนภูเขาแถบไซบีเรียเต็มไปหมดก็มากพอที่จะช่วยอวิ๋นเยี่ยเก็บกวาดทำความสะอาดได้ตั้งแต่หัวจรดหางแล้ว เป็นเวลาสามวันแล้วที่หลีสือยังคงสลบหมดสติอยู่ สหายเก่าหลายๆ ท่านของเขาต่างก็แวะเวียนไปเยี่ยมทุกวัน รอคอยให้เขาตื่นขึ้นมาจากการหลับใหลนี้


 


 


ทุกครั้งที่อวิ๋นเยี่ยเห็นหลีสือก็จะสวดภาวนา ขอให้สวรรค์ช่วยปล่อยให้เขาหลับใหลเช่นนี้ต่อไป ไม่ต้องฟื้นตื่นขึ้นมาไปตลอดกาล พวกหลี่กังนั้นมีคนจำนวนมากจึงทรงพลังมาก และด้วยความช่วยเหลือของนักเรียนที่น่ารังเกียจกลุ่มหนึ่งของสำนักศึกษา การอธิษฐานของอวิ๋นเยี่ยจึงเป็นอันต้องล้มเหลวไป เช้าวันหนึ่งหลีสือก็ตื่นขึ้นมา เมื่อเห็นเขาห่มผ้าห่มนั่งหัวเราะและพูดคุยอยู่กับสหายเก่า ไม่มีวี่แววของอาการใกล้ตายเลยแม้แต่น้อย อวิ๋นเยี่ยจึงรู้สึกผิดหวังอย่างที่สุด


 


 


หลังจากตื่นขึ้นมา หลีสือก็ดูเหมือนจะสดชื่นแจ่มใสขึ้นมาก นิสัยอ่อนนุ่มดั่งผู้หญิงน้อยลง เขาไม่มีบุตรอยู่เป็นโสดเพียงคนเดียวมากว่าหกสิบปี ตอนนี้เขากลับพูดกับสหายเก่าของเขาว่าอยากจะแต่งงาน หาผู้หญิงที่เคยออกเรือนอายุราวๆ สามสิบเพื่อที่จะได้ช่วยสืบสกุล ซึ่งสิ่งที่เขาดูหมิ่นที่สุดก็คือตาเฒ่าที่ไม่ดูอายุตนเอง อายุมากจนใกล้จะต้องใส่โลงศพฝังอยู่แล้วยังจะเกิดตัณหากลับ อยากจะหาหญิงออกเรือนที่ยังดูมีเสน่ห์เย้ายวนอีก เมื่อหลี่กังได้ยินดังนั้นก็ปรบมือหัวเราะเสียงดัง ชื่นชมว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก อาจารย์อวี้ซันตื้นตันจนน้ำตาคลอเบ้า ดึงอาจารย์หยวนจางให้รีบไปพบเฉิงฮูหยินและหนิวฮูหยินเพื่อขอให้พวกนางเป็นแม่สื่อสรรหาคู่ครองที่ดีให้กับอาจารย์หลีสือ อวิ๋นเยี่ยอยากจะบีบคอตาเฒ่าตัณหากลับคนนี้เสียจริงๆ เฉิงฮูหยินนั้นให้ความสนใจคนของตระกูลอวิ๋น โดยบอกว่าอาหญิงของตระกูลเป็นบุคคลที่เหมาะสมที่สุด


 


 


จะบ้าหรืออย่างไร! เมื่อเห็นว่าอาหญิงแสดงท่าทีเขินอาย เลียนแบบอี้เหนียงยกมือป้องหน้าแล้ววิ่งหนีไปสวนหลังบ้าน อวิ๋นเยี่ยก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ชี้นิ้วด่าฟ้าดินอยู่เพียงลำพังในห้อง ท่านย่าก็รู้ว่าอาจารย์หลีสือนั้นมีปัญหาแต่ก็ยังเห็นด้วย กระตือรือร้นและทุ่มเทเหลือล้นให้กับงานแต่งงานนี้ แลกเปลี่ยนวันเวลาตกฟาก หลีสือมอบห่านป่าที่เ**่ยวแห้งปางตายมาให้หนึ่งตัว งานมงคลนี้ก็เป็นเรื่องที่ตกปากรับคำกันแน่นอนแล้ว เรื่องราวทุกอย่างดำเนินการอย่างรวดเร็วดังสายฟ้าฟาด ครั้นอวิ๋นเยี่ยตั้งตัวได้หลีสือ ก็พบหลีสือนั่งปั้นหน้าตายอยู่บนเก้าอี้รอให้อวิ๋นเยี่ยมาคารวะอาเขยอยู่ อวิ๋นเยี่ยและหลีสือกำลังเดินเล่นด้วยกันอยู่ในสวนดอกไม้หลังบ้าน บางทีอาจเป็นเพราะใกล้จะเป็นเจ้าบ่าวสูงวัย ใบหน้าจึงเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่หาดูได้ยากในยามปกติ สองมือไพล่หลังเดินชี้นกชี้ไม้ในสวนดอกไม้ของตระกูลอวิ๋นอย่างผ่อนคลายสบายใจราวกับอยู่ในบ้านของตนเอง เมื่อเป็นสวนดอกไม้ตระกูลอวิ๋น แน่นอนว่าต้องเป็นดอกไม้ทั้งหมด ต้นจื่อจิง อิ๋งชุนเป็นดอกไม้ที่ท่านย่าสั่งให้คนสวนปลูกไว้โดยเฉพาะ เวลาบานเต็มที่จะงดงามและมีชีวิตชีวามาก ซึ่งปลูกในพื้นที่มุมหนึ่งของลานบ้านเต็มๆ และกำลังบานสะพรั่งไปทั่ว มีสาวใช้กำลังใช้กรรไกรตัดแต่งดอกไม้อยู่ ดอกไม้เหล่านี้เป็นวัตถุดิบสำหรับปรุงน้ำหอม ดอกเจี๋ยเซียง ดอกเหมยแดง ต้นไห่ถัง ต้นอวี้หลานจึงจะเป็นตัวละครเอกของสวนดอกไม้แห่งนี้ พืชที่มีกลิ่นหอมเหล่านี้จึงจะเป็นหลักประกันความมั่งคั่งของตระกูลอวิ๋น หลีสือยังคงชื่นชมดอกไม้ต่อไป ทั้งยังโน้มตัวลงสูดดมเป็นครั้งคราวโดยไม่หวั่นต่อการคุกคามของผึ้ง เด็ดดอกเหมยแดงทัดหู ผมสีขาวตัดกับดอกเหมยสีแดงต่างขับให้อีกสีโดดเด่นแลดูอิสรเสรี


 


 


อวิ๋นเยี่ยไม่ชอบทัดดอกไม้ รู้สึกว่าหากผู้ชายทัดดอกไม้แล้วดูโง่มาก แต่ต้าถังกลับมีธรรมเนียมการทัดดอกไม้ เมื่อเขาเห็นอาเขยคนใหม่ทัดดอกไม้ อีกทั้งสาวใช้ที่ไร้สมองเหล่านี้ก็โปรยกลีบดอกไม้ใส่ร่างชายชราผู้นี้โดยไม่รู้สึกเสียดายวัตถุดิบชั้นดีเลยแม้แต่น้อย กลับไปต้องลงโทษเสียแล้ว หลีสือยิ้มราวกับเด็กหนุ่ม ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยเ**่ยวย่นกลับมีกลิ่นอายไร้เดียงสาของเด็กหนุ่ม ตาเฒ่าคนนี้จะกลายเป็นปีศาจแล้ว แววตาสดใสเจิดจรัส ดูท่าทีแล้วแม้ตัวเองตายแล้วแต่ตาเฒ่าผู้นี้คงยังไม่ตาย ผู้ชายมักมีความคิดประหลาดอย่างหนึ่ง เมื่ออยู่ท่ามกลางดงดอกไม้ ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้จริงหรือกลุ่มผู้หญิงก็รู้สึกวู่วามอยากที่จะแสดงตัวให้โดดเด่น ซึ่งในขณะนี้หลีสือก็เป็นเช่นนั้น สำหรับเขาแล้วการร่ายบทกวีออกมาก็ง่ายราวกับปอกกล้วยเข้าปาก “เถาฮัวหลี่ฮัวบานสะพรั่ง สายลมยังเลือกพัดผ่านเมือง หามีใครสนใจดอกไม้เหลือง เสียทีที่คุยเฟื่องรับฤดูใหม่” หลังจากท่องจบยังเคาะจังหวะและร้องเป็นเพลงด้วยท่วงทำนองโบราณให้เข้าสัมผัสขึ้นมา แต่เมื่อร้องจบ กลับไม่มีใครร้องรับตอบก็รู้สึกจึงค่อนข้างผิดหวัง จึงส่งสายตามายังอวิ๋นเยี่ย ความรู้สึกอึดอัดก็พลุ่งพล่านไปทั่วร่าง ก็เพียงแค่บทกวีเองจึงเอ่ยปากท่อง “สาวยี่สิบแปดแต่งกับชายชรา ผมสีขาวคู่มากับชุดแต่งงาน ชายชรากับสาวราวดอกไม้บาน บนกิ่งก้านหลีฮัวมีดอกไห่ถัง”


 


 


บทกวีนี้ทำให้หลีสือฟังแล้วถึงกับโกรธจนเลือดขึ้นหน้า นี่เป็นครั้งแรกที่อวิ๋นเยี่ยพบว่าตาเฒ่าผู้นี้มีวิทยายุทธ์เสียด้วย จึงคว้าเปลือกไม้ชิ้นหนึ่งจากต้นหวยซู่เก่าแก่ที่อยู่ริมกำแพง แล้วยิ้มให้อวิ๋นเยี่ยอย่างดุดัน เพื่อเป็นตัวอย่างของคนฉลาดไม่เสียเปรียบซึ่งหน้า อวิ๋นเยี่ยจึงก้าวเท้าวิ่งหนี แต่ก็หนีเพียงสองก้าว ก็ถูกเขาคว้าคอเสื้อเอาไว้แล้วยกขึ้น หลีสือประจันหน้าถามอวิ๋นเยี่ยว่า “เจ้าหนุ่ม ดูเหมือนตั้งแต่ที่ข้าฟื้นขึ้นมาเจ้าก็ดูไม่มีความสุขเลย มีท่าทีไม่พอใจที่ข้าไม่ตายไปเสีย ตอนนี้ยังจะแต่งบทกวีมาเสียดสีข้าอีก เจ้าไม่มีอะไรจะพูดกับข้าบ้างหรือ”


 


 


ตาเฒ่าคนนี้ดูเหมือนจะหวาดระแวงต่อโลกภายนอกเป็นอย่างมาก เดิมอวิ๋นเยี่ยคิดว่าตัวเองเสแสร้งได้เป็นอย่างดีแล้ว ใครจะรู้ว่ายังคงถูกเขามองออก แต่ก็ช่างเถอะ เรื่องนี้ไม่ช้าก็เร็วต้องจัดการให้ชัดเจน “หากอาจารย์ยอมเล่าถึงที่มาที่ไปของแนวคิดปรัชญาจิตอย่างหมดเปลือก ข้ายอมต้องอวยพรให้อาหญิงมีความสุขอย่างสบายใจ”


 


 


อวิ๋นเยี่ยกัดฟันและพูดความในใจออกมา อย่างไรเสียเขาก็ไม่ได้บาดหมางกับเถียนเซียงจื่อ เขาไม่เชื่อว่าหลีสือจะกล้าทำอะไรกับเขา


 


 


หลีสือสีหน้ายังคงเดิมราวกับว่าการถามเชิงตำหนิของอวิ๋นเยี่ยไม่เกี่ยวกับเขา จากนั้นปล่อยอวิ๋นเยี่ยลงบนพื้นแล้วถามว่า “ข้ามีพื้นเพเล่าเรียนเรื่องปรัชญาจิตแล้วมันเป็นเช่นไรกัน ต่างก็เป็นความรู้เหมือนกัน เพียงแค่มีวิถีที่แตกต่างแต่มีจุดหมายเดียวกัน ตัวเจ้านั่นแหละที่เป็นตัวประหลาดที่สุด เจ้ายังมีหน้าสร้างภาพมาถามข้าอีกหรือ “


 


 


“ข้าไม่ได้สนใจเกี่ยวกับปรัชญาจิต ปรัชญาใจอะไร ข้าเพียงแต่ไม่วางใจเถียนเซียงจื่อ บุคคลคนนี้อันตรายเกินไป กังวลว่าเจ้าจะมีความเกี่ยวพันกับเขา ภายหน้าจะเป็นภัยต่อตระกูลอวิ๋นและสำนักศึกษา”


 


 


แม้ว่าอวิ๋นเยี่ยจะไม่ชอบเรื่องปรัชญาจิต แต่ในยุคปัจจุบันเขาได้พบเจอความคิดที่หลากหลายรูปแบบ ความเย่อหยิ่งที่ไม่เห็นใครในสายตาของนีทเชอ[1] การมองโลกในแง่ร้ายของโชเพินเฮาเออร์[2] นั้นก็เจอมาจนเคยชินแล้ว


 


 


ถ้าหากบอกกับหลีสือว่าสวรรค์คือผู้เลือกสรรพสิ่ง ผู้ที่เหมาะสมคือผู้ที่อยู่รอด คำพูดที่ฟังดูยิ่งใหญ่เช่นนี้หลีสือจะต้องตะลึงงันอย่างแน่นอน “เจ้าหนุ่ม ข้าได้ทำลายกำแพงแห่งความโง่เขลาและตนได้กลายเป็นฟ้าดินแล้ว ไม่มีใครในใต้หล้าที่สามารถทำให้ข้ายอมก้มศีรษะได้อีกต่อไป นับจากนี้ไปฟ้าคือข้า ดินคือข้า สายลมคือข้า ข้าคือภูเขาเขียวชอุ่ม เป็นอิสรเสรี แม้ว่าอาจารย์เถียนจะอยู่ที่นี่ในตอนนี้ก็เป็นการคบหากันด้วยความเสมอภาค เจ้าอายุยังน้อยแต่มีนิสัยประหลาดมากมาย ถ้าเจ้ายังมีจิตใจที่มืดมนตลอดไปเช่นนี้ จะพัฒนาความรู้ได้อย่างไร อาจารย์ที่ราวกับเป็นเทพเจ้าท่านนั้นไม่ได้บอกเจ้าไว้ว่า ขอเพียงแค่ซื่อตรง จึงจะอยู่ได้อย่างผึ่งผายหรือ”


 


 


อวิ๋นเยี่ยไม่รู้ว่าหลังจากนักปรัชญาเมื่อก้าวถึงขอบเขตถึงขั้นปรมาจารย์แล้วเขาก็ไม่ถูกพันธนาการไว้อีกต่อไป เหล่าซุนที่รู้ดีแต่เขาก็ซ่อนตัวอยู่ในมุมหนึ่งเพื่อดูเรื่องตลก ใช้คำประหลาดเหล่านั้นมาโน้มน้าวอวิ๋นเยี่ย ขณะที่พูดคำพูดเหล่านั้นเกรงว่าในใจก็คงรู้สึกขำอยู่ไม่หยอก สายลับระดับปรมาจารย์อย่างนั้นหรือ ต้องมีความบกพร่องทางสมองมากเพียงใดจึงจะสามารถคิดสถานการณ์ดังกล่าวออกมาได้


 


 


ตอนนี้อวิ๋นเยี่ยแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนี หากอยากจะกลบเกลื่อนความอับอายก็เพียงความโกรธเท่านั้น ดังนั้นอวิ๋นเยี่ยจึงตะโกนเสียงดังใส่หลีสือด้วยความโกรธ หน้าแดงไปถึงใบหู


 


 


“พวกท่านก็รู้อยู่แล้วทำไมไม่บอกข้า เอาแต่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดรอดูข้าขายหน้า รอดูข้าขายหน้าเป็นเรื่องน่าตลกมากใช่ไหม วันนี้ข้าจะให้พวกท่านหัวเราะจนพอใจ”


 


 


หลีสือคว้าเปลือกต้นไม้ออกมาแล้วไม่ใช่หรือ เช่นนั้นฉันจะเตะต้นไม้ต้นนี้ให้หักเลย ว่าแล้วก็เหวี่ยงเท้าเตะลงไปบนต้นไม้ ต้นหวยซู่ที่มีแต่กิ่งแต่ไร้ใบไม่มีกิ่งไม้แห้งๆ หักหล่นลงมาแม้แต่กิ่งเดียว แต่กลับมีเสียงแปลกๆ ดังมาจากเท้า อวิ๋นเยี่ยเอามือกุมเท้า เม็ดเหงื่อไหลหยดออกมาไม่หยุด จึงลองจับกระดูกตนเองดู แย่แล้ว กระดูกหักเลื่อนผิดตำแหน่ง


 


 


หลีสือไม่เคยเห็นใครที่โกรธแล้วทำร้ายตัวเองเลย แม้ว่าจะเป็นปรมาจารย์ก็ไม่เคยเห็นมาก่อน เขาจึงได้แต่ดึงเท้าอวิ๋นเยี่ยทีหนึ่งดันอีกทีหนึ่งก็ทำให้ข้อต่อกระดูกเข้าที่ ฝืมือหยาบกระด้าง วิธีการหยาบโลน ไม่ทำให้รู้สึกดีเลยแม้แต่น้อยนิด จับอวิ๋นเยี่ยโยนขึ้นหลังแบกราวกับแบกกระสอบกลับมาที่ลานหน้าบ้าน ไม่กล้าพบใคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่กล้าพบหน้าพวกหลี่กังทั้งสี่ท่าน ขังตัวเองอยู่ในห้องมืดเล็กๆ กล่าวอ้างอย่างน่าฟังว่ารักษาบาดแผล กลัวลม กลัวแสงและกลัวน้ำ ราวกับว่าตนเองติดโรคพิษสุนัขบ้าเข้า


 


 


ซุนซือเหมี่ยวมาที่บ้านเพื่อดูอาการบาดเจ็บของอวิ๋นเยี่ย อวิ๋นเยี่ยลืมคำโบราณที่เตือนไว้ว่าไม่ควรล่วงเกินหมอ นั่งพร่ำบ่นซุนซือเหมี่ยวตั้งแต่ต้นจนจบ ตั้งแต่เรื่องคุณธรรมของสหายเก่าจนถึงเรื่องร่วมเป็นร่วมตาย จากนั้นก็ยังตำหนิติติงกล่าวโทษหนักว่าเขาเพิกเฉยต่อมิตรภาพเหล่านี้ เอาแต่ยืนรอดูเรื่องตลก “คนใจคอคับแคบอย่างเจ้ายังกล้าต่อว่าต่อขานข้า นอกจากจะใจดำแล้ว เมื่อทำอะไรผิดพลาดก็โยนให้ผู้อื่น ไม่หลงเหลือท่าทีสุภาพชนเลยแม้แต่น้อยนิด จิตใจไม่บริสุทธิ์แม้สักนิด เป็นขยะในใต้หล้าและเป็นต้นกำเนิดแห่งพิษร้ายของมวลมนุษย์”


 


 


หลังจากที่เหล่าซุนด่าจบก็ยังคงมีอารมณ์ตกค้าง จึงอ้างว่าหลีสือต่อกระดูกผิดพลาด จากนั้นจึงดึงกระดูกออกแล้วต่อกลับเข้าไปใหม่อีกครั้ง ซึ่งฝีมือนั้นยิ่งแย่กว่าหลีสือเป็นอย่างมาก หาได้หลงเหลือท่าทีของหมอเทวะแม้เพียงสักนิดที่ไหนกัน สำหรับเสียงร้องคร่ำครวญของอวิ๋นเยี่ยเขาก็ถือเสียว่าเป็นการร้องเพลง


 


 


อาหญิงสวมชุดแต่งงานมาเยี่ยมอวิ๋นเยี่ย เครื่องทองบนเสื้อผ้าหนักราวหนึ่งกิโลกรัมได้ คนอื่นใช้ด้ายสีทองเย็บขลิบชายกระโปรง คนตระกูลอวิ๋นนั้นมีหน้ามีตา ดอกโบตั๋นขนาดใหญ่ปักอยู่ที่บริเวณทรวงอกส่องแสงสะดุดตา เมื่ออยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ผู้ที่ไม่รู้จะคิดว่าสวมชุดเกราะหมิงกวง อาหญิงนั่งอยู่ด้านหน้าเตียง ประคองใบหน้าของอวิ๋นเยี่ยมาแนบไว้ข้างใบหน้าตนเองแล้วร้องไห้อย่างหนัก เสมือนใช้น้ำตาล้างหน้าให้อวิ๋นเยี่ย ผู้หญิงอยากจะร้องไห้ก็ไม่เป็นไร แต่ผู้ชายนั้นจะร้องไห้อย่างหนักได้อย่างไรกัน อวิ๋นเยี่ยพูดกับอาหญิงของตัวเองด้วยเสียงแหบแห้งว่า “ถ้าตาเฒ่านั่นกล้ารังแกท่าน ขอให้บอกหลาน ข้าจะต้องหักขาเขาทิ้งอย่างแน่นอน” เขาพูดอย่างดุดันมาก แต่ลืมไปว่าข้อเท้าของตัวเองบวมเหมือนกีบเท้าหมู


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] ฟรีดริช นีทเชอ (Friedrich Nietzsche) เป็นนักปรัชญา, นักวิจารณ์วัฒนธรรม, คีตกวี, นักกวี, ปราชญ์ภาษากรีกและละติน และนักนิรุกติศาสตร์ชาวเยอรมัน


 


 


[2] อาร์ทัวร์ โชเพินเฮาเออร์ ( Arthur Schopenhauer) เป็นนักปรัชญาชาวเยอรมันที่เป็นที่รู้จักกันดีในความแจ่มแจ้งทางปรัชญาและทุทรรศนนิยมของความไม่มีพระเจ้า 

 

 


ส่วนที่ 5

 

ตอนที่ 53 งานแต่งงานของหลีสือ

 

เจ้าหลีสือคนเลวถึงกับกล้าขอสินสอดทองหมั้น โดยบอกว่ายิ่งมากยิ่งดี ทั้งยังบอกอีกว่าอาคารหลังเล็กของเขาทรุดโทรมเกินไป หน้าบ้านและหลังบ้านไม่มีลานบ้าน จะปลูกหญ้าหรือต้นไม้อะไรก็ไม่มีสถานที่ที่เพียงพอ ภายหน้าหากมีบุตรแล้ว ทั้งครอบครัวจะเบียดเสียดกันอยู่ในอาคารหลังเล็กนี้ก็จะแลดูเบียดเสียดยิ่งนัก


 


 


ในเมื่อหลานชายเป็นเศรษฐีมั่งคั่ง เช่นนั้นก็ไม่ต้องเกรงใจแล้ว ได้ยินมาว่าหลานชายมีอาคารพร้อมลานบ้านหลังเล็กๆ อยู่ใกล้กับเชิงเขาซึ่งตกแต่งไว้อย่างวิจิตรสวยงามมาก เมื่อเปิดประตูออกก็เห็นภูเขา แม่น้ำตงหยางก็ไหลผ่านลานหลังบ้าน ทั้งยังมีท่าเรือเล็กส่วนตัวด้วย ในเมื่อยังปล่อยว่างอยู่เช่นนั้นก็ย้ายเข้าอยู่ถือเป็นเรือนหอไปเสียเลย ยามว่างก็ล่องแพไปตามสายน้ำ ช่างเป็นสุขเสียนี่กระไร


 


 


อวิ๋นเยี่ยถึงกับเลือดขึ้นหน้า โกรธเป็นฟืนเป็นไฟจะไปเอาเรื่องกับหลีสือ ใครจะรู้ว่ากลับถูกท่านย่าและป้าบังคับดึงตัวเข้าไปในห้อง ท่านป้าลูบหน้าอกให้เขาใจเย็นลงเพราะเกรงว่าเขาจะโกรธจนคลุ้มคลั่ง


 


 


ท่านย่าพูดราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรว่า “หลานชายที่น่ารัก ก็เพียงแค่อาคารหลังเล็กๆ เท่านั้น หากเขาต้องการก็ให้เขา ในฐานะที่เป็นอาจารย์แห่งยุค ไม่ว่าจะไปถึงที่ใดก็ยังคงเป็นคนเหนือคนอยู่ เพียงแค่อาคารหนึ่งหลังก็ไม่ได้มากมายอะไร มีคนอีกตั้งมากมายที่อยากจะมอบให้เขา ย่ารู้ว่าเจ้ารังเกียจที่หลีสือนั้นสูงวัยแล้วไม่คู่ควรกับอาหญิงเจ้า แต่ทว่าอาหญิงเจ้านั้นเต็มใจ ปีนี้หลีสืออายุห้าสิบเก้าปีแล้วทั้งยังเป็นคนที่เคยฝึกยุทธ์ มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ในตอนนั้นอาหญิงเจ้าต้องทนทุกข์ทรมานเป็นอย่างมากจึงต้องการคนสูงวัยมารักและเอ็นดูนาง เจ้าฟังคำของย่า อย่าได้ก่อเรื่องอะไร ตั้งใจส่งอาหญิงเจ้าออกเรือนไปให้ดีก็พอ นี่เป็นงานมงคลที่ดีงานหนึ่ง”


 


 


หลีสือชอบพิธีแบบโบราณสินสอดทองหมั้น แม่สื่อไม่มีขาดตกบกพร่อง ถึงแม้ว่าจะมีเงินน้อยไปเสียหน่อย หลังจากที่เขาส่งกำไลข้อมือนากประจำตระกูลเป็นสินสอด อาจารย์หลี่กัง อาจารย์อวี้ซันและอาจารย์หยวนจางต่างก็พากันกล่าวว่าเป็นของหมั้นที่ล้ำค่ายิ่งนัก


 


 


ครอบครัวของเขายากจนมาหลายชั่วอายุคน จนมาถึงรุ่นเขาจึงได้กินอิ่มท้อง การทำไร่ไถนาจากรุ่นสู่รุ่นนั้นฟังดูดี แต่ในความเป็นจริงแล้วล้วนแล้วแต่เลือดตาแทบกระเด็น หากชาวนาได้กินอาหารอิ่มท้องตลอดทั้งปีก็ถือว่าสวรรค์เมตตาแล้ว ทั้งยังต้องส่งให้บุตรเรียนหนังสืออีก เปลวไฟสงครามตั้งแต่ราชวงศ์สุยยังคงอยู่ไม่หมดสิ้นไป


 


 


กำไลข้อมือนากอันนี้เป็นของมารดาหลีสือที่เสียชีวิตไปแล้วซึ่งนำเข้าออกจากโรงรับจำนำไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง หากมื้ออาหารของที่บ้านขัดสนเมื่อใด มารดาของเขาก็จำนำกำไลข้อมือไปที่โรงรับจำนำ ส่วนบิดาของเขาจะโหมทำงานอย่างไม่คิดชีวิตเพื่อไถ่ถอนกำไลข้อมือออกมา หลังจากการที่บิดาเขาเสียชีวิต ภาระอันหนักอึ้งในการไถ่ถอนกำไลข้อมือก็ตกอยู่ที่หลีสือแล้ว เพื่อกำไลข้อมืออันนี้ หลีสือเคยไปเลี้ยงวัวที่ทุ่งหญ้า ทำงานเป็นกุลีและเป็นแม้แต่เด็กส่งหนังสือในบ้านผู้มีฐานะ กล่าวได้ว่าเขาผ่านความขมขื่นมาทุกอย่างแล้วจริงๆ


 


 


ก่อนที่มารดาจะเสียชีวิต นางได้ถอดกำไลข้อมือจากข้อมือนางด้วยตนเองโดยไม่ยอมให้หลีสือฝังเป็นสมบัติพร้อมคนตาย โดยบอกว่าเพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึกสำหรับลูกสะใภ้ในวันหน้าของนาง จึงได้แต่ส่งมารดาจากไปพร้อมกับโลงศพธรรมดาๆ ที่ด้านในนั้นไม่มีสมบัติอะไรเลย


 


 


หลีสือเห็นกำไลข้อมือนากอันนี้ประหนึ่งคือชีวิต ไม่เคยให้ห่างกายและมักจะหยิบมันออกมาจากอกเสื้อเช็ดถูอยู่เป็นประจำ แต่ไม่ว่าจะเช็ดอย่างไร หยาดเหงื่อและน้ำตาของทั้งครอบครัวก็ไม่มีวันเช็ดถูออกไปได้


 


 


ในวันแต่งงาน หลีสือสวมชุดเกษตรกรและขับเกวียนเทียมวัวมา ซึ่งวัวนั้นผอมมาก อีกทั้งบนตัวยังเป็นโรคเรื้อนอีกด้วย อยากเห็นสภาพยากจนข้นแค้นมากเพียงไหนก็สามารถเห็นได้จากชายผู้นี้ ท่าทีที่แสดงออกถึงความจริงใจถึงเพียงนี้จริงๆ ที่อาจารย์หลายๆ ท่านแสดงออกมาทำให้อวิ๋นเยี่ยค่อนข้างโกรธเคือง ต่างก็ไม่ใช่คนดีเสียหน่อย งานแต่งงานที่สำคัญเช่นนี้ เจ้ากับขับรถเทียมวัวที่ใกล้ตายอันน่ารังเกียจมาเพื่อที่จะทำให้ตระกูลอวิ๋นต้องเสียหน้า


 


 


หลีสือดูราวกับว่ามองไม่เห็นสีหน้าที่ถมึงทึงของอวิ๋นเยี่ยและไม่สนใจอาการตกตะลึงของผู้คน เดินเข้าไปในสวนหลังบ้านของตระกูลอวิ๋นด้วยตนเอง มองหาอาหญิงที่ประดับประดาด้วยไข่มุกไปทั้งตัวแล้วจับมือนาง จากนั้นสวมกำไลข้อมือนากให้และพูดกับนางว่า “ข้ามีฐานะค่อนข้างต่ำต้อย วันนี้ข้าสามารถได้แต่งงานกับคุณหนูผู้มั่งมีนับเป็นวาสนาของข้า เพียงแต่ครอบครัวข้าไม่มีสิ่งของล้ำค่าใดๆ มีเพียงสิ่งนี้เท่านั้นที่มอบเป็นของขวัญให้ได้ ท่านแม่เคยมองมันล้ำค่าดั่งชีวิต ท่านพ่อเองก็เช่นกัน ของสิ่งนี้ก็เสมือนหนึ่งเป็นชีวิตข้าเช่นกัน บัดนี้ข้ามอบให้เจ้านั้น หวังเพียงว่าเราสองคนจะไม่พรากจากกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันชั่วชีวิต”


 


 


อาหญิงอวิ๋นน้อมกายคารวะอย่างอ่อนช้อย ร้องไห้กระซิกขอบคุณในความรักที่ลึกซึ้งของสามี ขณะที่หลีสือกำลังยืนยิ้มอย่างเบิกบาน นางก็ถอดเครื่องประดับล้ำค่าทั้งหมดออกจากร่างนางและสวมไว้เพียงกำไลนากอันนั้น แล้วจึงล้างเครื่องสำอางออก สวมไว้เพียงชุดแต่งงานที่นางตัดเย็บทีละเข็มด้วยตัวเองและไม่นำสิ่งของใดๆ ติดตัวไปเลย จึงยอมให้หลีสือผู้ซึ่งสวมเพียงเสื้อผ้าธรรมดาอุ้มขึ้นเกวียนเทียมวัว ยอมละทิ้งรถม้าหรูของตระกูลอวิ๋นราวกับไม่มีอะไร ก่อนออกเดินทาง หลีสือพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “อีกสองสามวันเจ้ามาที่บ้านข้า ข้าจะจัดงานเลี้ยงฉลอง” เมื่อกล่าวจบก็ร้องเพลงราวกับแม่ทัพที่ได้รับชัยชนะกลับบ้านไปอย่างภาคภูมิใจ


 


 


ซินเย่ว์นั้นซาบซึ้งจนน้ำตาไหลรินดั่งสายน้ำ จับอกเสื้อของอวิ๋นเยี่ยไว้ไม่ยอมปล่อย เมื่อมองดูซินเย่ว์ที่ร้องไห้เหมือนแมวน้อย อวิ๋นเยี่ยจึงพูดอย่างดุดันว่า


 


 


“อีกครึ่งเดือนข้างหน้าข้าจะเลียนแบบหลีสือ หากำไลข้อมือนากมาสู่ขอเจ้าเช่นนี้บ้าง ดีหรือไม่”


 


 


ซินเย่ว์ร้องด้วยความตกใจ “ไม่ได้ ต้องถูกคนอื่นมองเป็นเรื่องตลก”


 


 


“ทำไมไม่มีใครหัวเราะเยาะหลีสือ แต่ต่างพากันหัวเราะเยาะตระกูลอวิ๋น”


 


 


“เพราะนั่นคืออาจารย์หลีสืออย่างไรล่ะ เขาสามารถทำได้ แต่เจ้าไม่ได้”


 


 


“ข้าเห็นเจ้าร้องไห้ฟูมฟายจึงคิดว่าเจ้าเองก็ชอบเช่นเดียวกัน ชวนให้ข้าโกรธมากจริงๆ”


 


 


อวิ๋นเยี่ยไม่ได้รู้สึกสนใจที่จะเฝ้าอยู่ที่ประตูเพื่อดูความคึกคัก ดึงซินเย่ว์กลับจวน เพิ่งจะเดินไม่ถึงสองก้าวก็ได้ยินหลี่กังถามขึ้นจากด้านหลังว่า “งานเลี้ยงตระกูลอวิ๋นจัดอยู่ที่ไหนกัน ข้าเตรียมพร้อมจะดื่มสามร้อยจอกให้สะใจอยู่”


 


 


อวิ๋นเยี่ยมือสั่นเทาสั่งให้คนรับใช้ที่บ้านเตรียมโต๊ะอาหาร ไม่มีเจ้าบ่าว ไม่มีเจ้าสาว มีเพียงเฒ่าผีสุรากลุ่มหนึ่งฉลองกันเองเท่านั้น เมื่อดื่มเหล้ามากเกินไปจึงเริ่มแต่งบทกวี ซึ่งร่ายบทกวียาวๆ ทั้งยังร่ายบทกวีกันมากมาย ซินเย่ว์อยู่ในตระกูลอวิ๋นยังจู้จี้มากกว่าอยู่ในบ้านของตนเองอีก กำกับดูแลแม่บ้านและคนรับใช้ใหญ่น้อยของตระกูลอวิ๋น สั่งให้ดูแลแขกที่มาอวยพรได้อย่างเรียบร้อย เมื่อได้รับคำชมจากเฉิงฮูหยินและหนิวฮูหยินอย่างอ้อมค้อมแล้ว ใบหน้าน้อยๆ ก็แดงระเรื่อขึ้นและภาคภูมิใจมาก


 


 


เมื่อแขกทยอยกลับไปจนหมด ซินเย่ว์ถือถาดไม้สักสีแดงนำอาหารมาส่งให้อวิ๋นเยี่ย ก็เห็นอวิ๋นเยี่ยยืนกำกับสาวใช้ที่คอยปรนนิบัติดูแลอาหญิง ให้เก็บข้าวของเครื่องประดับที่อาหญิงโยนระเกะระกะเต็มพื้นลงในกล่องและห่อให้เรียบร้อย จึงถามขึ้นว่า “อาหญิงไม่ต้องการแล้วไม่ใช่หรือ”


 


 


อวิ๋นเยี่ยยังพูดด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองว่า “ใครบอกว่านางไม่ต้องการแล้ว”


 


 


“ข้าเห็นอาหญิงโยนข้าวของทิ้งทุกอย่าง จึงคิดว่านางไม่ต้องการแล้ว”


 


 


“เจ้าจะไปรู้อะไร” ก่อนหลีสือจะจากไปบอกข้าว่าเขาจะจัดเลี้ยงและเชิญข้าไป นั่นก็หมายถึงเขากำลังรบเร้าให้ข้าส่งข้าวของของอาหญิงไปให้เขาโดยเร็วรวมถึงสาวใช้ด้วย ตาเฒ่าสารเลว ไม่เพียงต้องการชื่อเสียงทั้งยังต้องการผลประโยชน์อีกด้วย ขยับเข้ามาที ขอข้าเอนพิงสักครู่ โกรธจนจะคลั่งใจตายอยู่แล้ว”


 


 


ขอเพียงซินเย่ว์อยู่กับอวิ๋นเยี่ย ท่านย่าจะไม่ยอมปล่อยให้พวกเสี่ยวยาเข้ามารบกวนอย่างเด็ดขาด โดยพยายามจะเหลือพื้นที่ส่วนตัวให้กับพวกเขาสองคน แต่ตอนนี้ยังคงไม่มีความคิดพิเรนทร์เหล่านั้นอีกแล้ว ดูท่าแล้วท่านย่าก็มีความอดทนเพียงสิบกว่าวันเท่านั้นเอง


 


 


“พี่เยี่ย เจ้าจะพูดคำพูดที่อาจารย์หลีสือพูดกับอาหญิงหรือไม่ เมื่อคิดถึงคำพูดพวกนั้นแล้วในใจรู้สึกเจ็บปวดมาก” ซินเย่ว์แนบอิงอยู่ที่แผ่นหลังของอวิ๋นเยี่ย มองดูเขากินข้าว  


 


 


“แน่นอนว่าต้องพูด แต่จะพูดได้ดีกว่าเขาเป็นพันเท่า หากข้าสามารถใช้วัวแก่ปางตายมาสู่ขอเจ้าได้ ข้ารับรองว่าจะพูดจนเจ้าฟังแล้วอาเจียนเลย เพียงแค่ในใจรู้สึกเจ็บปวดนั้นแค่เล็กน้อย”


 


 


“อันที่จริงแล้วข้าก็ไม่ได้ยืนกรานว่าต้องการสมบัติเหล่านั้น เพียงแค่อยากให้คนอื่นเห็นว่าเจ้ารักข้ามากเพียงไหน ข้าเป็นผู้หญิงที่มีความสุขที่สุดในโลก ชายที่ข้ารักที่สุดได้จัดพิธีแต่งงานที่ดีที่สุดเพื่อสู่ขอข้า”


 


 


คำพูดเหล่านี้ทำให้อวิ๋นเยี่ยถึงกับสะอึกไป หันกลับมาพูดกับซินเย่ว์ว่า “เจ้าเป็นภรรยาข้า นี่คือเรื่องที่กำหนดไว้แน่นอนแล้ว สวรรค์มอบเจ้ามาให้ข้า ข้าก็รับประกันว่าจะให้เจ้ามีความสุขและความเป็นอยู่ที่ดีตลอดชีวิตของเจ้า ผู้ชายมักจะพูดคำหวานให้คู่รักฟัง แต่จะไม่พูดให้ภรรยาของตนฟัง เพราะเขาคิดว่ามันไม่จำเป็น คำหวานเหล่านั้นเลื่อนลอยเกินไป การมอบชีวิตตนเองไว้ในกำมือของภรรยาจึงจะเรียกว่ารักนางจริง เจ้าเคยเห็นผู้ชายสักกี่คนที่พาผู้หญิงนอกบ้านเข้ามาอาศัยในบ้าน แล้วหย่าร้างกับภรรยากัน”


 


 


“ฮึ นั่นเรียกว่าหลงอนุแล้วกำจัดภรรยา หากถูกทางการจับได้อนุภรรยาจะต้องถูกฆ่าทั้งเป็น ซึ่งนี่เป็นข้อดีของกฎหมาย” ซินเย่ว์เป็นคนหนึ่งที่สนับสนุนกฎหมายการแต่งงานต้าถังเป็นอย่างมาก คุ้นเคยกับข้อกฎหมายจนไม่รู้จะคุ้นเคยได้อย่างไรอีกแล้ว นางรู้ถึงเรื่องการคงอยู่ของหลี่อันหลานและก็รู้ถึงการคงอยู่ของน่ารื่อมู่ แต่นางก็ยังมีความมั่นใจมาก ถึงแม้ว่าจะเป็นองค์หญิง หากแต่งงานเข้าตระกูลก็เป็นได้แค่อนุภรรยา อีกทั้งจากเบื้องลึกของเรื่องเหล่านั้นที่นางได้รู้มา ก็รู้ว่าอวิ๋นเยี่ยไม่ได้ชอบองค์หญิงมากมายเสียเท่าไร ซึ่งทำให้นางดีใจอยู่ลึกๆ มาเป็นเวลานาน สำหรับน่ารื่อมู่นั้นซินเย่ว์ยังไม่ได้ใส่ใจ ชาวเผ่าทูเจวี๋ยคนหนึ่งถือดีอะไรมาต่อสู้กับนาง สาเหตุที่อวิ๋นเยี่ยเป็นห่วงเป็นใยน่ารื่อมู่นั้นก็เพียงเพราะเรื่องรากฐานของตระกูล เพื่อให้ในอนาคตลูกๆ ได้มีสถานที่ในการหลบหนีสงคราม ให้น่ารื่อมู่เป็นอนุภรรยา ซินเย่ว์จะยกสองมือสองเท้าสนับสนุนอย่างเต็มที่


 


 


ผู้ชายคนอื่นมักมีบุตรก่อนที่จะแต่งงาน ไม่รู้ว่ายุ่งเกี่ยวกับสาวใช้ส่วนตัวในเรือนไปมากเท่าไร แต่ผู้ชายของนางไม่เคยมีสาวใช้ส่วนตัวอะไรเลย เขาได้รับการดูแลจากผู้อาวุโสที่บ้านมาโดยตลอด ได้ยินท่านซุนบอกว่าจนถึงตอนนี้เสี่ยวเยี่ยก็ยังคงเป็นหนุ่มพรหมจรรย์ เขาไม่เคยทำตัวเหลวไหลก่อนแต่งงาน แม้แต่น่ารื่อมู่ก็ไม่ได้แตะต้องก็เพื่อรอที่จะแต่งงานกับตนเอง เพียงแค่ลองเปรียบเทียบดู ซินเย่ว์ก็รู้สึกพอใจอย่างหาที่สุดไม่ได้ อย่าเห็นว่าเขาชอบหาเศษหาเลยกับตนเองอยู่บ่อยครั้ง แต่กับคนอื่นกลับเป็นสุภาพชนมาก เพราะว่านางเป็นภรรยาของเขาจึงไม่จำเป็นต้องเสแสร้งแกล้งแสดงให้ผู้อื่นดู การใช้ชีวิตเช่นนี้จึงจะสามารถอยู่กันได้อย่างยาวนาน ท่านแม่เคยบอกเอาไว้แต่เนิ่นนานแล้ว “คิดอะไรอยู่หรือ น้ำลายไหลออกมาแล้ว ประเดี๋ยวไปช่วยท่านย่าจัดการเรื่องบัญชีของที่บ้านเสียหน่อย เมื่อคืนข้าอ่านแล้วมันช่างยุ่งเหยิงจริงๆ ท่านย่าอายุมากแล้ว คงไม่สามารถดูแลเรื่องเหล่านี้ได้อีกต่อไป ภายหน้าคงต้องฝากเอาไว้ในมือเจ้า ท่านเองก็ควรจะได้เวลาพักผ่อนและเสพสุขกับบั้นปลายชีวิตเสียที”


 


 


เสียงของอวิ๋นเยี่ยได้ดึงซินเย่ว์ออกมาจากความคิดที่เหลวไหลไร้สาระและจู่ๆ ก็จุมพิตที่ใบหน้าของอวิ๋นเยี่ยแล้วก็รีบวิ่งหนีจากไป ไม่ได้คิดที่จะไล่ตามไปเพราะเท้ายังเจ็บอยู่มาก ซินเย่ว์เป็นเด็กผู้หญิงที่เข้าใจเหตุผลมากคนหนึ่ง อวิ๋นเยี่ยรู้สึกโชคดีที่เลือกซินเย่ว์  ไม่เช่นนั้นเพียงแค่เรื่องวุ่นวายที่บ้านก็จัดการไม่เรียบร้อยแล้ว เมื่อคิดถึงนิสัยประหลาดของหลี่อันหลาน ในใจก็รู้สึกหวาดหวั่น หากแต่งงานกับนาง คนมากมายในตระกูลจะยังมีชีวิตรอดหรือไม่ จึงส่ายหัวละทิ้งความคิดเหล่านี้ออกไปให้หมด


 


 


อวิ๋นเยี่ยเดินกะโผลกกะเผลกถึงลานหน้าบ้าน ไม่รู้ว่าร่างกายของเหล่าจวงเป็นอย่างไรบ้าง ไม่รู้ว่าบริเวณแผลเน่าเฟะจะสมานตัวหรือยัง ภรรยาของเขาช่างทำให้รู้สึกเป็นกังวลยิ่งนัก ทำอะไรหยาบกระด้าง ไม่ฉลาดเอาเสียเลย เหล่าจวงนั้นเป็นเพราะเห็นว่านางเป็นคนแข็งแรงและให้กำเนิดบุตรง่าย จึงยอมทุ่มเงินเป็นจำนวนมากเพื่อแต่งงานกับนาง ใครจะรู้ว่าหนึ่งปีผ่านไปก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น หวังว่าเหล่าจวงจะไม่ถูกนางทำให้คลั่งใจตายเสียก่อน


 


 


อวิ๋นเยี่ยนั้นคิดมากเกินไป เมื่อก้าวเข้าประตูก็เห็นเหล่าจวงกินโจ๊กที่ภรรยากำลังป้อนให้อยู่ เมื่อเห็นโหวเหยียเข้ามาก็รีบลุกขึ้นทำการคารวะ อวิ๋นเยี่ยพยุงเหล่าจวงไว้ไม่ให้เขาลุกขึ้นมา แล้วแสดงท่าทีให้ภรรยาเขาป้อนโจ๊กต่อไป หลายครั้งหลายคราที่ภรรยาเขาเกือบจะป้อนโจ๊กใส่จมูกของเหล่าจวง แววตาที่อวิ๋นเยี่ยมองมาที่ภรรยาเหล่าจวงนั้นสร้างแรงกดดันให้นางมากเกินไป เหล่าจวงจึงยิ้มอย่างน่าละอาย พร้อมเหยียดแขนอีกข้างที่ไม่มีบาดแผลออกมาจับชามโจ๊กไว้แล้วดื่มรวดเดียวจนหมด แล้วให้ภรรยาตนกลับไปที่ห้องด้านหลังห้ามออกมาเด็ดขาด


 


 


“ช่างขายหน้าโหวเหยียยิ่งนัก เป็นชาวบ้านตัวเล็กๆ ที่ไม่เคยเห็นโลกกว้างมาก่อน ทำอะไรก็เงอะงะ สอนอะไรก็ไม่จำเลย” เหล่าจวงพยายามแก้ต่างให้กับภรรยาตนเอง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)