เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 5 ตอนที่ 47-48

ส่วนที่ 5

 

ตอนที่ 47 การปกป้องของเจ้าบ้าน

 

ขอเพียงแค่กลับถึงบ้าน อวิ๋นเยี่ยก็จะอารมณ์ดีขึ้นในทันที ท่านย่าก็ยิ่งดูเหมือนแม่เฒ่าเจ้าของที่ดินมากขึ้นทุกที อาหญิงดูเหมือนจะกลับกลายเป็นสาวน้อยไป มักจะหวีผมให้เป็นหญิงสาวไร้เดียงสาเดินอวดไปทั่วเมือง โดนท่านย่าสั่งสอนไปหลายครั้งก็ยังไม่รู้จักเข็ดหลาบ


 


 


อวิ๋นเยี่ยรู้ว่าอาหญิงปรารถนาให้อายุของนางกลับคืนสู่วัยแรกรุ่นอีกครั้ง เช่นนั้นแล้วนางก็จะได้แสวงหาสามีอย่างที่ต้องการได้ ซึ่งไม่ใช่คนเลวคนนั้นที่เวลาดื่มเหล้าเมาแล้วชอบตบตีนาง


 


 


เพื่อที่จะตัดปัญหาของอาหญิงให้จบไปอย่างสิ้นเชิง อวิ๋นเยี่ยจึงมอบเงินสิบก้วนให้แก่ผีขี้เมาคนนั้นเพื่อไปทำเรื่องหย่าร้างที่ที่ว่าการอำเภอ ขี้เมาคนนั้นเมื่อได้รับเงินก็ดีใจจนลืมทุกสิ่งอย่าง แม้แต่ความเย็นชาในแววตาของอวิ๋นเยี่ยก็แกล้งทำเป็นไม่เห็น


 


 


อาหญิงอาศัยอยู่ในบ้านของเขารวมเป็นเวลาหนึ่งปี ต้องทนทุกข์ทรมานเป็นเวลาหนึ่งปี โดนแส้วันละหนึ่งครั้ง นั่นก็คือสามร้อยหกสิบครั้ง เดือนละสามสิบครั้ง ซึ่งมันสมควรจะโดนทวงคืน จึงให้ผีขี้เหล้าเลือกว่าจะรับเงินสิบก้วนพร้อมกับโดนโบย หรือไม่ก็ไสหัวไปโดยที่ไม่ได้อะไรเลย เป็นจริงดังคาด ผีขี้เมาเลือกที่จะรับเงินพร้อมโดนโบย การโดนโบยสามสิบครั้งทำให้ผีขี้เมามีบาดแผลเต็มไปหมด ร้องไห้คร่ำครวญโหยหวนแต่ก็กอดถุงเงินไว้แน่นไม่ปล่อยมือ


 


 


อาหญิงรู้ว่าอวิ๋นเยี่ยกำลังลงโทษผีขี้เมา แต่กลับห้ามไม่ให้อวิ๋นเยี่ยตีผีขี้เมาอีก หน้าตาบูดบึ้งไปตามหมอมารักษาให้ผีขี้เมาและให้เงินแก่ผีขี้เมาอีกสิบกว่าก้วนเพื่อให้เขาไปเซ้งร้านเล็กๆ แล้วดำเนินชีวิตต่อไปให้ดีๆ


 


 


ผีขี้เมาก็เป็นคนที่โหดเ**้ยม เขาหยิบไม้ท่อนหนึ่งฟาดมือขวาตนเองจนหักพร้อมกับบอกอาหญิงว่าเป็นเพราะมือข้างนี้ที่ก่อกรรมทำเข็ญ ต่อไปเขาจะไม่ตีผู้หญิงอีก เมื่อพูดจบแผลก็ไม่ได้ให้หมอรักษา เดินแบกถุงเงินใบใหญ่ เดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง


 


 


ตั้งแต่นั้นมาหากอาหญิงเห็นอี้เหนียงปักชุดแต่งงานนางก็จะรู้สึกปวดใจ บางครั้งก็ยังช่วยอี้เหนียงปักชุดแต่งงานอีกด้วย สองอาหลานนั่งปักชุดแต่งงานภายใต้แสงอาทิตย์ทีละเข็มๆ อวิ๋นเยี่ยเห็นแล้วก็เกิดซาบซึ้งขึ้นมาเฉยๆ แต่เมื่อเกิดความซาบซึ้งทองคำในถุงก็ยิ่งน้อยลง


 


 


ก้อนทองที่หลอกมาจากอวิ๋นเยี่ยได้ทั้งหมดก็ถูกอาหญิงส่งให้ช่างทองทำเป็นด้ายทอง ไม่รู้ว่าจะต้องปักชุดแต่งงานกี่ชุดกัน คราวนี้ได้รับทองคำมาจำนวนไม่น้อย ตามธรรมเนียมของอวิ๋นเยี่ย ทองคำหนึ่ง**บที่มอบให้กับหลี่ซื่อหมินนั้นจะต้องเหลือไว้สองส่วน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นทองคำบริสุทธิ์ ท่านย่าจึงได้นำทองคำชิ้นใหญ่ทั้งหมดหลอมใหม่อีกครั้ง ทั้งยังตีตราสัญลักษณ์เมฆลายขนนกซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของตระกูลอวิ๋นจนดูสวยงามมาก


 


 


ทองคำแท่งสามสิบหกแท่งที่ส่องแสงระยิบระยับซึ่งตระกูลอวิ๋นตั้งใจทำขึ้นเป็นกรณีพิเศษ อวิ๋นเยี่ยตั้งใจจะหยิบสักสองชิ้นมาใส่ในถุงเงินที่ว่างเปล่าของเขา แต่ถูกท่านย่าตีที่หลังมือโดยบอกว่าเป็นของขวัญแต่งงานให้กับซินเย่ว์ ห้ามหยิบไปใช้ส่งเดช


 


 


จากนั้นจึงโยนแผ่นทองคำอย่างขอไปทีมาหนึ่งชิ้น บอกให้อวิ๋นใช้จ่ายอย่างประหยัดหน่อย อันที่จริงอวิ๋นเยี่ยไม่มีเหตุที่จะให้ใช้จ่ายเงินเลย ตลาดก็อยู่นอกประตู ตอนนี้ยิ่งคึกคักมากขึ้น ตั้งแต่ที่เหอเซ่านำสัตว์ใหญ่บนทุ่งหญ้ามาขายที่นี่ หมู่บ้านตระกูลอวิ๋นก็ได้กลายเป็นศูนย์กระจายสินค้าปศุสัตว์ที่มีชื่อเสียงในระยะหลายสิบลี้ เหล่าชนชั้นสูงของฉางอันต้องการวัวเพื่อลากเกวียนก็จะมาที่หมู่บ้านตระกูลอวิ๋นเพื่อเลือกซื้อสัตว์ใหญ่พวกนี้


 


 


การใส่เงินไว้เต็มถุงแต่ไม่มีที่ที่จะให้ใช้ก็เป็นความเจ็บปวดอย่างหนึ่ง ยืนอยู่นอกประตูใหญ่มองดูการหลั่งไหลของผู้คนดั่งสายน้ำที่ไม่ขาดสาย เมื่อมองชาวนาผู้ที่พึงพอใจกับการซื้อน้ำตาลปั้นห่อใหญ่ด้วยเงินไม่กี่เหวินทำให้อวิ๋นเยี่ยรู้สึกอิจฉาเป็นอย่างมาก


 


 


“เสี่ยวยา พี่พาเจ้าไปซื้อน้ำตาลปั้นดีไหม” อวิ๋นเยี่ยถามเสี่ยวยาที่ตามมาข้างหลังเขา


 


 


“ไม่ไป น้ำตาลปั้นไม่เห็นจะอร่อยตรงไหนเลย นมเปรี้ยวของตระกูลสวีในฉางอันสิจึงจะอร่อย ข้าอยากได้แบบที่เติมน้ำแข็ง” ในที่สุดฟันของเสี่ยวยาก็งอกครบแล้ว ไม่จำเป็นต้องปิดปากพูดอีกต่อไป ผมสีน้ำตาลอ่อนก็เป็นสีน้ำตาลแล้ว เพียงแต่ความเคยชินเปลี่ยนไป นางไม่ยอมกินน้ำตาลปั้นในตลาดอีกต่อไป จะกินแต่นมเปรี้ยวในเมืองฉางอันเท่านั้น


 


 


อวิ๋นเยี่ยรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เสี่ยวยาปฏิเสธที่จะนั่งขี่คอพี่ชายอีกต่อไป โดยติว่าไม่มีความเป็นคุณหนูของตระกูลใหญ่ ไม่เพียงแต่เสี่ยวยาแม้แต่เสี่ยวตง เสี่ยวซีและเสี่ยวหนานก็ไม่ยอมเล่นสนุกกับพี่ชายอีกต่อไป มีแต่เสี่ยวเป่ยที่ยังคงทำตัวซื่อบื้อวอแวกับพี่ชายไม่ยอมเลิก ชอบนั่งอยู่ในอ้อมแขนพี่ชายมองดูเสี่ยวยาอารมณ์เสีย


 


 


พี่น้องเป็นคนที่ไว้ใจได้มากที่สุด วั่งไฉก้มหัวลงมาเพื่อส่งสัญญาณว่าอย่าลืมมัน อวิ๋นเยี่ยยักคิ้วขึ้นด้วยความลำพองใจให้เหล่าคุณหนูผู้ดีที่ไม่ยอมไปเดินตลาดกับตนเอง จากนั้นสองพี่น้องก็เดินปะปนไปพร้อมกับผู้คนที่เดินกันอย่างขวักไขว่


 


 


วั่งไฉเป็นลูกค้าประจำในตลาด ตอนนี้ชาวบ้านที่มาค้าขายต่างก็ยอมรับวั่งไฉในฐานะลูกค้าแล้ว ทันทีที่หัวใหญ่ของมันยื่นเข้าไป ก็มีพ่อค้าขายผักยื่นผักกาดก้านขาวต้นเล็กๆ ใส่ปากของวั่งไฉเพื่อให้มันชิมว่าผักนั้นสดหรือไม่


 


 


เคี้ยวผักกาดก้านขาวไปต้นหนึ่ง อาจเป็นเพราะรสชาติที่ผิดไป มันจึงขยับปากสองครั้งแล้วคายออกและแล้วก็เกิดการดูหมิ่นพ่อค้าขายผักกาดขึ้นต่างๆ นานาในทันที การใช้ของเกรดต่ำมาหลอกวั่งไฉจึงถูกเปิดเผย คิดจะหลอกแม้กระทั่งม้านั้นไม่ใช่คนดี


 


 


เจ้าของแผงเหงื่อออกเต็มหน้า เมื่อเห็นว่าทุกคนไม่เชื่อว่าผักกาดก้านขาวของเขาเป็นของดี จึงดึงมาก้านหนึ่งใส่ปากเคี้ยวพร้อมกับส่ายศีรษะไปมาราวกับเอร็ดอร่อยกับมันมาก อ้าปากบอกกับทุกคนว่าเป็นผักกาดก้านขาวชั้นดี เป็นเพราะวั่งไฉกินจนเบื่อแล้วไม่ใช่ว่าผักของเขาไม่ดี


 


 


วั่งไฉไม่เคยมีนิสัยชอบกินอาหารของใครเปล่าๆ ผักนั้นมันกินเข้าไปแล้วแม้ว่ามันจะคายออกมาเอง มันก็ยังเหยียดคอรอให้เจ้าของแผงหยิบเงินออกจากถุงเงิน เจ้าของแผงผลักหัวของวั่งไฉออกไปด้วยความหงุดหงิด ใครจะสนใจค่าผักเพียงต้นเดียวกัน


 


 


อวิ๋นเยี่ยไม่ได้ตาฝาด เขาเห็นอ้อยซึ่งในตอนนี้เรียกว่าอ้อยเคี้ยว ขายแท่งละห้าเหวินซึ่งถือว่าเป็นราคาที่แพงมาก บริเวณนั้นล้อมรอบไปด้วยเด็กๆ แต่เด็กๆ กลับเอามือเข้าปากยืนมองอ้อยเคี้ยวตาไม่กะพริบ รู้ว่าของสิ่งนั้นอร่อยแต่ไม่มีเงินซื้อจึงได้แต่มองดู


 


 


หัวใหญ่ๆ ของวั่งไฉก็เบียดเข้ามา มันได้กลิ่นของน้ำตาลแต่กลับไม่เห็นว่าน้ำตาลที่มันรู้จักนั้นอยู่ที่ไหน ขณะที่กำลังสับสนงุนงงก็เห็นเด็กๆ ที่ตื่นตาตื่นใจชี้ไปที่อ้อยเคี้ยวแท่งสีม่วงแล้วยักไหล่ให้วั่งไฉไปซื้อ


 


 


พ่อค้าที่ขายอ้อยค่อนข้างจะไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ในมือถือมีดด้ามเล็กและเพิกเฉยต่อวั่งไฉ ปอกเปลือกอ้อยออกชิ้นหนึ่งก็เผยให้เห็นเนื้ออ้อยสีขาวอ่อนแล้วกัดกินอย่างโอ้อวด เด็กๆ ที่อยากกินเหล่านั้นได้แต่น้ำลายไหล


 


 


วั่งไฉเองก็น้ำลายไหลเช่นกัน ยืดคอยาวๆ ของมันรอให้พ่อค้าขายอ้อยปอกให้มันบ้าง เห็นได้ชัดว่าพ่อค้าคนนี้เพิ่งจะมาที่นี่จึงไม่รู้จักนิสัยของวั่งไฉ หลังจากรออยู่ครู่หนึ่งอ้อยก็ไม่ถูกส่งมาเสียที จึงอารมณ์เสียยกกีบเท้าเตะอ้อยกระจายทั่วพื้น เร่งให้พ่อค้าปอกอ้อยให้มัน


 


 


พ่อค้าร้อนใจจึงดึงอ้อยออกมาเตรียมจะตีวั่งไฉ อวิ๋นเยี่ยกำลังดูอย่างสนุกสนาน เมื่อเห็นวั่งไฉกำลังจะเสียเปรียบก็เตรียมจะก้าวเข้าไปห้ามเขา ใครจะรู้ว่ายังไม่ทันได้เดินไปถึงด้านหน้าเลย พ่อค้าขายเนื้อที่อยู่ข้างๆ ก็คว้าอ้อยที่อยู่ในมือเขา พูดอย่างดุดันกับพ่อค้าขายอ้อยว่า “ให้ตายสิ เจ้าทำการค้าประสาอะไรกัน แขกมาหาถึงหน้าร้านรอให้เจ้าปอกเปลือกอ้อยเคี้ยวอยู่ คนบ้าอย่างเจ้ายังคิดจะตีลูกค้าอีก ในหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นไม่มีใครทำการค้าเช่นเจ้าหรอก”


 


 


พ่อค้าฟังจนงงไปหมดแล้ว มองดูพวกเด็กๆ ที่ยืนอยู่รอบๆและม้าอ้วนที่ดมหากลิ่นอ้อยไปมาไม่ยอมหยุดก็ไม่เห็นว่าจะมีลูกค้าอยู่ที่ใด ขณะที่กำลังจะเถียงนั้น พ่อค้าขายเนื้อแย่งมีดมาจากมือเขา ปอกเพียงครู่เดียวก็ได้อ้อยหนึ่งแท่ง แล้วจึงส่งเข้าปากของวั่งไฉ เมื่อเห็นวั่งไฉเคี้ยวอ้อยไม่ยอมหยุด จึงค่อยหยิบเงินห้าเหวินออกจากถุงเงินใต้คอของวั่งไฉแล้วโยนให้พ่อค้าด้วยสีหน้าเหยียดหยาม


 


 


เมื่อเด็กๆ เห็นวั่งไฉมีอ้อยกินก็กรูกันเข้ามา วั่งไฉเคี้ยวปลายด้านหนึ่งและเด็กๆ เคี้ยวอีกด้านหนึ่งแบ่งกันกินแต่โดยดี หลังจากกินอ้อยแล้ววั่งไฉก็ยืนหรี่ตามองรอให้เด็กๆ เกาพุงให้ เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิก็จะผลัดขนแล้ว ตอนนี้จึงรู้สึกคันไปทั้งตัว


 


 


อวิ๋นเยี่ยเห็นแล้วก็ไม่ไปรบกวนวั่งไฉที่กำลังเสพสุขกับการได้รับการดูแลเฉกเช่นคุณชายของมัน จึงเดินเที่ยวทั่วตลาดเพียงลำพัง ตอนนี้มีการทำหมอนเสือผ้า[1]แล้วซึ่งด้านในจะอัดด้วยแกลบบัควีท คนร่ำรวยมีฐานะจะใช้หมอนหยก ซึ่งของสิ่งนั้นถูกอวิ๋นเยี่ยโยนทิ้งไปไกลๆ นานแล้ว ขณะที่หนุนนอนแข็งจนทำให้เจ็บศีรษะไปหมด ถ้าหากล้มตัวลงนอนทันทีมันจะเป็นอันตรายถึงชีวิต หลังจากถูกกระแทกไปสองสามครั้งแล้ว แม้จะฆ่าให้ตายอวิ๋นเยี่ยก็จะไม่ใช้ของสิ่งนั้นอีก


 


 


เขามอบหมอนที่อ่อนนุ่มให้ท่านย่า ใครจะรู้ว่าท่านกลับไม่คุ้นเคยที่จะใช้นอน ทั้งยังบอกว่ามันนุ่มนิ่มเหมือนไม่มีหมอนหนุนเสียมากกว่า นอนเพียงแค่คืนเดียวก็ปวดคอไปหมด ครานี้มีหมอนแกลบบัควีทแล้วท่านย่าจะต้องชอบแน่ จึงให้แม่ค้าที่ขายหมอนเสือผ้าส่งของไปที่บ้านแล้วไปรับเงินกับผู้ดูแล จากนั้นก็มีคนละแวกนั้นช่วยแม่ค้าจัดเก็บแผงร้าน หมอนเสือผ้าสองตะกร้าก็ได้ถูกส่งกลับบ้าน


 


 


ไม่ได้มีเพียงแค่หมอนเสือผ้าที่ส่งกลับบ้าน แต่ยังมีตุ๊กตาดินเหนียวอีกหนึ่งตะกร้า แต่ละตัวดูยิ้มแย้มแจ่มใสน่ารัก มองแล้วให้ความรู้สึกรื่นเริงเบิกบาน เมื่อวางหลายๆ ตัวไว้ในห้องหนังสือก็ทำให้ดูดีมีระดับขึ้นมามากมายในทันที


 


 


   วั่งไฉเสพสุขกับการปรนนิบัติของเด็กๆ เสร็จแล้วก็มาหยุดอยู่เบื้องหน้าอวิ๋นเยี่ยอีกครั้ง ประจวบกับอวิ๋นเยี่ยเพิ่งจะซื้อผ้าสีรุ้งผืนใหญ่ที่ถักด้วยเชือกที่มีสีสันสดใสชวนมอง จึงได้โอกาสพาดไว้ที่ตัววั่งไฉ


 


 


ด้านหน้ามีคนกำลังสร้างบ้านอยู่ ที่ดินแห่งนี้ล้วนแล้วแต่เป็นของตระกูลอวิ๋น ไม่มีใครสามารถสร้างบ้านได้นอกจากคนในบ้านของตัวเอง เมื่อเดินเข้าใกล้ก็เห็นว่าผู้ดูแลของตัวเองกำลังคุมงานอยู่จริงดังคาด


 


 


“ต่างก็เป็นพี่น้องในหมู่บ้าน ไม่จำเป็นต้องอยู่คุมงานหรอก จะไม่รู้ว่านิสัยของชาวบ้านในหมู่บ้านตัวเองหรือ กลับไปเถอะ ปล่อยให้พี่น้องเหล่านี้สร้างบ้านเอง อย่างไรเสียเจ้าเองก็ไม่เข้าใจอะไร อย่าทำให้พี่น้องในหมู่บ้านรู้สึกไม่ดีเลย”


 


 


“โหวเหยีย ข้าน้อยไม่ได้คุมงาน แต่มาส่งน้ำแกงให้กับชาวบ้าน แม่เฒ่าให้ห้องครัวต้มน้ำแกงกระดูกหมูและสั่งให้ข้านำมอบให้กับทุกคน แม่เฒ่าบอกว่าในฤดูใบไม้ผลิมีงานเยอะแยะมากมายที่ต้องทำ ทั้งการเพาะปลูกและปศุสัตว์ ตอนนี้ยังต้องสร้างบ้านอีก ดื่มน้ำแกงกระดูกหมูให้มากขึ้นอีกหน่อยจะได้บำรุงร่างกาย”


 


 


จริงดังที่ว่าพวกชาวบ้านที่เปื้อนดินโคลนไปทั้งตัวต่างก็ถือชามน้ำแกงดื่มกันคนละชาม คนที่โชคดีก็จะตักได้กระดูกชิ้นใหญ่ออกมากินด้วย


 


 


อวิ๋นเยี่ยชื่นชอบศีลธรรมทางสังคมในยุคนี้เป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากมีหัวหน้าคุมงาน อาจจะมีคนแอบขี้เกียจอยู่บ้าง แต่ถ้าหากไม่มีหัวหน้าคุมงาน ทุกคนจะทุ่มเทอย่างเอาเป็นเอาตาย พวกเขาต้องการเพียงแค่ความไว้วางใจจากเจ้าบ้านก็เท่านั้นเอง


 


 


ตระกูลอวิ๋นไม่เคยใช้ของจำพวกตาชั่งใดๆ เพื่อชั่งตวงค่าเช่าที่เรียกเก็บ ขอเพียงแค่บอกว่าค่าเช่าของเจ้าส่งมาถึงแล้ว ถูกต้องตามจำนวนที่ต้องส่งมอบ ทุกคนในตระกูลอวิ๋นตั้งแต่เจ้านายอย่างแม่เฒ่าจนถึงเจ้าหน้าที่ฝ่ายบัญชีจะไม่สงสัยเลย โดยจะทำเพียงแค่ขนส่งเข้าคลังเท่านั้น ในแต่ละปีท่านย่าจะคำนวณเสบียงของตระกูลอวิ๋นโดยการนับเป็นกระบุงสาน แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยคิดเล็กคิดน้อยว่าสูญเสียเสบียงไปกี่กิโลกรัม แต่ก็แน่นอนว่าเสบียงไม่เคยขาดตกไปเลยแม้แต่น้อย


 


 


นี่เป็นอาณาเขตที่ท่านย่าภูมิใจเป็นที่สุด ภายในระยะหลายสิบลี้นี้เป็นที่รู้จักกันดีว่าตระกูลอวิ๋นเป็นตระกูลที่ใจดีมีเมตตา หากจะกล่าวถึงตัวอย่างของตระกูลที่มีชื่อเสียงซึ่งเป็นเพื่อนบ้านที่ใจดีมีเมตตานั่นก็คงจะเป็นตระกูลอวิ๋น


 


 


เนื่องจากกำแพงของเขาด้านหลังของตระกูลอวิ๋นก่อด้วยอิฐ เมื่อผู้มาใหม่บางคนสร้างบ้านพวกเขาจึงใช้ด้านหนึ่งของกำแพงของตระกูลอวิ๋นเป็นผนังไปด้วย แต่นี่เป็นสิ่งที่ไม่ได้รับอนุญาตให้กระทำเนื่องจากตระกูลอวิ๋นเป็นตระกูลขุนนาง ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนบ้านกับใครก็ต้องเป็นกิจจะลักษณะ จะทำโดยพลการเช่นนี้ไม่ได้ เมื่อเจ้าหน้าที่ทางการมาพบเข้าก็ต้องรื้อถอนบ้านทิ้ง จะต้องห่างจากบ้านตระกูลอวิ๋นสองฉื่อจึงจะอนุญาตให้สร้างบ้านได้ หากบ้านที่เกษตรกรสร้างขึ้นแล้วต้องเผชิญหน้ากับความเสี่ยงในการถูกรื้อถอนนั้นย่อมถือเป็นภัยร้ายแรง


 


 


เกษตรกรที่ไม่รู้จะทำเช่นไรดีจึงไปคร่ำครวญให้แม่เฒ่าตระกูลอวิ๋นฟัง เป็นเพราะพวกเขาไม่มีเงินที่จะสร้างบ้านจริงๆ ดังนั้นจึงคิดขึ้นได้ว่าจะใช้กำแพงด้านหลังของตระกูลอวิ๋นโดยขอร้องให้แม่เฒ่าได้โปรดเมตตา ขออย่าให้ทางการรื้อบ้านของตนเองเลย


 


 


ท่านย่าบอกว่าการตัดสินของเจ้าหน้าที่นั้นถูกต้อง เนื่องจากฐานะแตกต่างกันมากเกินไป ในโลกนี้อยู่ได้ด้วยการแบ่งฐานะ ดังนั้นการใช้กำแพงด้านหลังของตระกูลอวิ๋นจึงเป็นไปไม่ได้ ในขณะที่เกษตรกรหมดหวังอย่างสิ้นเชิงนั้น ท่านย่าก็บอกว่าพวกเจ้าไม่สามารถสร้างกำแพงได้ ตระกูลอวิ๋นก็ไม่ได้ว่าอะไร ประเดี๋ยวจะให้ก่อกำแพงขึ้นอีกชั้นภายในกำแพงด้านหลังโดยให้ห่างออกมาสามฉื่อ ตอนนี้ตรอกเล็กๆ แห่งนี้คือสถานที่ที่มีชื่อเสียงของหมู่บ้านตระกูลอวิ๋น เมื่อเหล่าชาวบ้านพบเห็นใครสงสัยในคุณธรรมของคนในตระกูลอวิ๋น พวกเขาก็จะลากคนผู้นั้นไปที่ตรอกสามฉื่อนี้เพื่อให้เขาได้หูตาสว่างขึ้น


 


 


บางครั้งชื่อเสียงที่ดีคือการป้องกันที่แข็งแกร่ง การป้องกันของท่านย่าสามารถเรียกได้ว่าเป็นด่านปราการที่แข็งแกร่ง อวิ๋นเยี่ยชื่นชมภูมิปัญญาของท่านย่าจากใจจริงอย่างหมอบราบคาบแก้วเลย


 


 


 


 


——


 


 


[1] หมอนเสือผ้า เป็นงานหัตถกรรมอย่างหนึ่งที่สืบทอดมาแต่โบราณ ซึ่งเป็นหมอนที่ทำรูปร่างเลียนแบบเสือ เพราะชาวจีนเชื่อว่าเสือสามารถขับไล่เภทภัยได้และเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นสิริมงคล 

 

 


ส่วนที่ 5

 

ตอนที่ 48 ความหวังของทหารชรา

 

อวิ๋นเยี่ยอยู่ที่บ้านนอนทั้งวันโดยไม่กินหรือดื่มอะไรเลย ท่านย่ามาดูไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง เขาที่ยังคงงัวเงียรู้ว่าท่านย่าแวะมาแต่กลับไม่ยอมลืมตา หลายวันที่ผ่านมาไม่เคยได้หยุดพักจริงๆ เลยสักวัน ใช้สมองครุ่นคิดมากเกินไป แม้แต่ในความฝันยามหลับก็กังวลว่าจะมีนักฆ่าบุกมาถึงบ้าน ตอนนี้โล่งใจแล้ว จิตใจที่ผ่อนคลายกับจิตใจอันอ่อนล้าก็ถาโถมเข้ามาพร้อมกัน ต้องการการนอนพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อเป็นการฟื้นฟู


 


 


เขาได้ยินเสียงถอนหายใจของท่านย่าและได้ยินเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของบรรดาพี่สาวน้องสาว ท่านย่าลูบไล้ใบหน้าของอวิ๋นเยี่ยเบาๆ และพูดเน้นอยู่อย่างเดียวว่า “หลานชายที่น่าสงสารของข้า หลานชายที่น่าสงสารของข้า…”


 


 


ไก่เพิ่งจะขันไม่ทันไร อวิ๋นเยี่ยก็ลุกพรวดขึ้นมา มีสติคึกคักเป็นอย่างมากและท้องก็หิวมากด้วย ป้าสะใภ้ที่นั่งสัปหงกคอยเฝ้าอยู่ข้างๆ ก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นเพราะการลุกขึ้นมาของอวิ๋นเยี่ย เมื่อขยี้ตามองเห็นอวิ๋นเยี่ยตื่นแล้วก็ดีใจมาก ตะโกนสั่งให้สาวใช้เตรียมอาหารให้โหวเหยียพลางแต่งตัวให้อวิ๋นเยี่ย หลังจากล้างหน้า อาบน้ำ หวีผมเสร็จแล้ว อวิ๋นเยี่ยก็วิ่งเข้าห้องน้ำไปหนึ่งรอบ เมื่อกลับออกมาก็รู้สึกว่าตนเองนั้นมีแต่ความว่างเปล่า โดยเฉพาะท้องนั้นว่างเปล่าอย่างยิ่ง เพียงแค่หายใจเข้า หัวใจที่อยู่ด้านหน้าก็สามารถแนบติดไปถึงด้านหลังได้


 


 


โจ๊กลูกเดือยสีเหลืองทองนั้นยังคงอร่อยถูกปาก เมื่อกินโจ๊กหนึ่งชาม หมั่นโถวอีกสองสามลูกและผักดองอีกสองสามเส้น อวิ๋นเยี่ยรู้สึกว่าหากจะให้ขึ้นเขาต่อสู้กับเสือในตอนนี้ก็ไม่เป็นปัญหา


 


 


จากนั้นก็ขยับเขยื้อนกล้ามเนื้อบนบาร์เดี่ยวในบ้าน ถึงแม้ว่าจะกระดึ้บๆ ได้ไม่กี่ครั้งเหมือนตัวอ่อนของหนอนก็ตาม แต่ก็ถือว่าได้ออกกำลังกายแล้ว ใครจะคิดว่าเพียงแค่ออกแรง โจ๊กที่กินลงไปเมื่อครู่ก็เรอเปรี้ยวออกมา ห้ามปล่อยให้ของดีต้องเสียเปล่าจึงได้พยายามกลืนมันลงไป เมื่อหน้าอกหายเจ็บแปลบแล้วหน้าอวิ๋นเยี่ยก็เต็มไปด้วยคราบน้ำตา ไม่เข้าใจว่าทำไมการพยายามหยุดอาการอาเจียนจึงทำให้น้ำตาไหล ช่างน่าอับอายจริงๆ จึงรีบไปล้างหน้าใหม่อีกรอบ


 


 


ท้องฟ้าเพิ่งสว่างขึ้นเล็กน้อย แต่ฝนกลับตกปรอยๆ บางทีนี่อาจจะเป็นฝนเดือนสี่ครั้งสุดท้ายของปีนี้ในแดนกวนจง ดังนั้นจึงตกลงมาโปรยปรายเบาบางมากกว่าปกติ ละอองฝนเม็ดเล็กๆ ที่ถูกลมภูเขาพัดพาไปจึงแลดูคล้ายเมฆหมอกมากกว่าสายฝน


 


 


สายฝนพรำไม่กล้ำกลายให้เปียกชื้น สายลมเย็นสดชื่นชวนหลงใหล ทั้งสองอย่างนี้เป็นสิ่งที่อวิ๋นเยี่ยชื่นชอบมากที่สุด อันที่จริงไม่ว่าบนท้องฟ้าจะมีอะไรโปรยปรายลงมา อวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกชอบทั้งนั้น รวมถึงลูกเห็บด้วย จำได้ว่าเมื่อสมัยเด็ก ในหมู่บ้านประสบกับพายุลูกเห็บ ซึ่งลูกที่ใหญ่ที่สุดนั้นใหญ่เท่าไข่นกพิราบ ปกคลุมเต็มท้องทุ่งนา พวกผู้ใหญ่ต่างก็หน้าตาบูดบึ้ง ก่นด่าสาปแช่งสวรรค์ที่เลวร้ายไม่ยอมหยุด  ข้าวสาลีที่เพิ่งงอกต้นอ่อนก็พากันล้มตายจนหมด


 


 


มีอวิ๋นเยี่ยเพียงคนเดียวที่กระโดดโลดเต้นและวิ่งไปที่ทุ่งกว้างเพื่อเก็บลูกเห็บที่ยังไม่ละลาย ทั้งยังถือโอกาสที่ไม่มีใครแอบนำเข้าปากไปหลายลูก สามารถจินตนาการได้เลยว่าการทำเช่นนี้จะลงเอยอย่างไร จะต้องโดนคุณแม่ตีอย่างแรงเพื่อให้อวิ๋นเยี่ยจำไว้ว่าลูกเห็บนั้นไม่ใช่ของดีอะไร แต่ก็อย่างว่าเป็นเด็กผู้ชายนี่นะ หลังจากถูกตีแล้วก็ร้องไห้ซ่อนตัวอยู่ในผ้าห่ม สิ่งที่คิดถึงกลับเป็นความรู้สึกเย็นสบายขณะที่อมลูกเห็บอยู่ในปาก


 


 


ตามชนบทไม่มีคนบอกเวรยามบนถนนมาส่งเสียงรบกวน มีเพียงเสียงนกที่ตื่นขึ้นมาส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้วยามเช้าอยู่บนกิ่งไม้เท่านั้น เป็นครั้งแรกที่เขาพบว่านกที่ตื่นเช้าที่สุดคือนกกระจอกสีเทา ที่ใช้กรงเล็บสีส้มแดงเล็กๆ เกาขนของตัวเองไม่ยอมหยุด พวกมันเองก็ต้องปัดแต่งขนบนตัวเพื่อต้อนรับเช้าวันใหม่ที่สวยงามนี้เช่นกัน


 


 


ถือร่มไว้ในมือแต่ไม่ได้ใช้กันฝน แต่เป็นการสร้างบรรยากาศอย่างหนึ่ง


 


 


ชายหนุ่มผู้หนึ่งถือร่มกระดาษน้ำมันแล้วค่อยๆ ก้าวเดินอย่างสบายอารมณ์รวมเป็นหนึ่งเข้ากับภาพวาดหมึกดำภาพนี้


 


 


องครักษ์ของที่บ้านถูกเปลี่ยนไปหมดแล้ว เหล่าจวงตั้งแต่ครั้งที่แล้วที่คลานออกมาจากคูน้ำเสียได้ถูกรั้วลวดหนามเกี่ยวข่วนจนเป็นแผลเลือดออกไปทั้งร่าง ที่ยิ่งน่ากลัวไปกว่านั้นก็คือบาดแผลไม่ได้รับการรักษาให้ทันเวลาจึงอักเสบขึ้น อวิ๋นเยี่ยใช้ยาฆ่าเชื้อจำนวนมากจึงจะบรรเทาอาการบาดเจ็บได้ ตอนนี้เขาเริ่มดีขึ้นแล้วและถูกท่านย่าออกคำสั่งบังคับให้พักผ่อนที่บ้าน แม้ว่าข่าวของเขาจะทำให้เกิดความหวาดหวั่นต่อคนในตระกูลอวิ๋น แต่ทว่าทุกคนในตระกูลอวิ๋นก็รักใคร่กลมเกลียวกันเป็นอย่างมาก ดั่งที่ท่านย่ากล่าวไว้ว่า องครักษ์เช่นนี้แม้แลกด้วยทรัพย์สินเงินทองเท่าไรก็ไม่แลก


 


 


   พวกองครักษ์อายุห้าสิบกว่าปีที่อยู่ด้านหลังอวิ๋นเยี่ยล้วนแล้วแต่เป็นอดีตนักรบที่เก่งกล้า หลังจากปลดประจำการจากกองทัพอู่เว่ยฝ่ายซ้ายและติดตามอวิ๋นเยี่ย ก็ได้ตั้งรกรากอยู่ในหมู่บ้านตระกูลอวิ๋น ซึ่งอยู่ในฐานะบ่าวรับใช้ที่ได้รับอิสระภาพจากเจ้านาย ชีวิตสุขสบายถึงสองปีไม่ได้ทำให้ความแข็งแกร่งที่เป็นพื้นฐานเดิมของพวกเขาลดหายไป การเคลื่อนไหวใดๆ ก็ยังคงพึงไว้ซึ่งลักษณะของทหาร สามสิบปีของการทำศึก กองทัพได้สร้างความทรงจำอันยากจะลืมเลือนให้กับพวกเขาไว้อย่างลึกซึ้ง


 


 


คนที่น่ากลัวที่สุดในตระกูลอวิ๋นไม่ใช่เหล่าจวงและหลิวจินเป่า แต่เป็นพวกผู้สูงวัยที่ดูแข็งทื่อเหมือนท่อนไม้ โซ่ลูกตุ้มหนักสิบห้ากิโลกรัมนั้นถูกอยู่ในมือราวกับต้นหญ้า ดาบธรรมดาๆ เล่มหนึ่งถูกหยิบขึ้นมาร่ายรำจนน่ากริ่งเกรง  ขอเพียงแค่เอาจริงขึ้นมา เมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเขา หลิวจินเป่าก็เป็นเหมือนนกกระทา


 


 


พวกเขาไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับชาวบ้านสักเท่าไร พวกเขาทั้งหมดตั้งบ้านเรือนไว้บนเนินเขาทางด้านซ้ายของหมู่บ้านตระกูลอวิ๋น ตระกูลอวิ๋นได้สร้างลานบ้านขนาดใหญ่ไว้ที่นั่น พวกเขาสามสิบกว่าคนและคนในครอบครัวต่างก็อาศัยอยู่ในลานบ้านนี้ แม้แต่การแต่งงานของลูกๆ ก็จัดงานกันอยู่ภายในสามสิบกว่าครอบครัวนี้ สำหรับคนรุ่นนี้ยังไม่เท่าไร อวิ๋นเยี่ยเป็นกังวลเกี่ยวกับรุ่นลูกหลานของพวกเขาเป็นอย่างมาก ในอีกไม่กี่ชั่วอายุคนสายเลือดจะถูกหลอมรวมเข้าด้วยกัน อวิ๋นเยี่ยไม่อยากจะให้คนที่อาศัยอยู่ในบ้านนั้นกลายเป็นคนไม่เต็มบาทไปทั้งหมด


 


 


ได้เตือนไปหลายครั้งแล้ว การอยู่บนเนินเขานั้นมันไม่สะดวกที่จะทำการใดๆ หากจะดื่มน้ำก็ต้องไปหาบน้ำจากทางไกล ทั้งยังห่างไกลจากที่นา หมู่บ้านตระกูลอวิ๋นออกจะกว้างใหญ่ เหตุใดพวกเขาจึงยืนกรานจะอยู่ในบริเวณแถบนั้นให้ได้


 


 


เหล่าหนิวชำเลืองมองเนินเขานั้น ขณะที่มาเที่ยวชมหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นก็พูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า สิ่งที่เหล่าทหารผ่านศึกเลือกนั้นถูกแล้ว เพราะเนินเขานั้นเป็นจุดยุทธศาสตร์ของเขตแดนของตระกูลอวิ๋น สามารถบุกเข้าเพื่อโจมตีหรือถอยเพื่อตั้งรับได้ หากวันหน้าตระกูลอวิ๋นเกิดเหตุพลิกผันใดๆ ขึ้น พื้นที่บริเวณนี้จะต้องรักษาไว้ให้ดี


 


 


   อวิ๋นเยี่ยจึงได้เข้าใจว่าทำไมทหารผ่านศึกจึงเลือกพื้นที่บริเวณนี้ พวกเขาไม่สามารถอธิบายได้อย่างเหล่าหนิว สัญชาตญาณของทหารผ่านศึกได้ทำให้พวกเขาเลือกสภาพแวดล้อมที่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขามากที่สุดโดยไม่รู้ตัว


 


 


ทุกคนในตระกูลอวิ๋นจึงปิดปากเงียบในทันที และมองหาช่างฝีมือในการขุดบ่อที่เก่งที่สุดในละแวกใกล้เคียง จึงได้ขุดบ่อน้ำขึ้นมาได้หนึ่งบ่อ ใครจะคิดว่าคุณภาพน้ำของบ่อน้ำนั้นดีอย่างน่าประหลาดใจ เมื่อจ้าวเหยียนหลิงจะต้มชาหากไม่ใช่น้ำจากบ่อน้ำนั้นจะไม่ใช้เด็ดขาด


 


 


เดิมคิดว่าเป็นของแถมให้เหมือนสินสอด ใครจะรู้ว่ากลับกลายเป็นสมบัติล้ำค่า โรงกลั่นเหล้าของตระกูลอวิ๋นได้ถูกตั้งอยู่ในลานบ้านนั้นและใช้น้ำจากบ่อนั้นในการกลั่นเหล้า ต้มเหล้า อวิ๋นเยี่ยเองยังสอนทหารผ่านศึกเหล่านั้นกลั่นเหล้าด้วยตนเองอีกด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ ลูกๆ ของเหล่าทหารผ่านศึกที่บ้านก็ไม่จำเป็นต้องไปทำไร่ไถนาแล้ว เพียงแค่กลั่นเหล้าตามความต้องการของเจ้านายก็พอแล้ว แต่ละเดือนยังมีเงินเดือนจำนวนมากจ่ายให้อีก จากนั้นก็ใช้พื้นที่เล็กๆ บนเนินเขาทำเป็นสวนผัก เหล่าทหารผ่านศึกจึงได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง


 


 


มีเหล้าที่เลิศรสที่สุดให้ได้ดื่ม ทั้งยังสามารถสอนลูกหลานในหมู่บ้านในยามว่างไม่มีอะไรทำเพื่อระบายความเครียดที่สะสมอยู่ในใจเนื่องจากไม่ได้ฆ่าคนมานานออกไปบ้าง การใช้ชีวิตเช่นนี้ก่อนหน้านี้แม้แต่ฝันก็ไม่เคยคิดมาก่อน


 


 


ท่านย่าไปถึงบนเนินเขาตั้งแต่เมื่อวานนี้และบอกเรื่องที่ตระกูลอวิ๋นอาจจะถูกลอบสังหารได้ให้เหล่าทหารผ่านศึกรู้ แน่นอนว่าทำให้ทหารผ่านศึกเหล่านั้นโกรธมาก ต่างก็พูดว่าไม่ได้ฆ่าคนเป็นเวลาสองปี ก็ทำให้มีพวกลูกหมาลูกแมวโผล่ออกมากันแล้วหรือ แล้วบอกให้แม่เฒ่าโปรดวางใจ ตราบที่พวกเขามีชีวิตอยู่ตระกูลอวิ๋นจะไม่เกิดเหตุอะไรแน่นอน


 


 


แม่เฒ่าเพิ่งจะกลับถึงบ้าน เหล่าทหารผ่านศึกก็ได้เข้ามารับช่วงคุ้มครองตระกูลอวิ๋นพร้อมด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ครบครัน ทั้งยังถือโอกาสสั่งสอนลูกหลานที่ไม่เอาถ่านเหล่านั้นไปรอบหนึ่ง เหล่าทหารผ่านศึกชอบโหวเหยียหนุ่มคนนี้จากใจจริง ไม่วางท่าที ฟังเสียงข้างมากและปฏิบัติต่อผู้คนรอบข้างด้วยความจริงใจ พวกเขาอายุมากเช่นนี้แล้วยังมีวาสนาเช่นนี้อีก ก็ไม่เสียทีที่รักษาชีวิตชรานี้มาจากคมหอกคมดาบไว้เพื่อเสพสุขยามชราภาพ


 


 


โหวเหยียเป็นหลักประกันของชีวิตที่มีความสุขของคนทั้งครอบครัว ขอเพียงแค่โหวเหยียยังมีชีวิตอยู่ ลูกหลานทั้งสามรุ่นก็จะได้เสพสุขชีวิตที่ดีเช่นนี้ตลอดไป เพื่อประโยชน์ของตนเองก็ต้องรักษาชีวิตของโหวเหยียเอาไว้ สำหรับตัวเขาเองสมควรตายตั้งนานแล้ว ฆ่าคนไปจำนวนมากมาย ตอนนี้ให้เสพสุขก็ไม่รู้สึกสงบสกเท่าไร จะให้ดีที่สุดก็คือบาปทั้งหมดขอให้ตนเองแบกรับไว้เพียงผู้เดียว เพื่อให้ลูกหลานอยู่เสพสุขกับชีวิตอย่างเป็นสุข


 


 


“ท่านอาเจียง ข้าเพียงแค่จะไปสำนักศึกษา ไม่จำเป็นต้องตีฆ้องร้องป่าวให้วุ่นวายถึงเพียงนี้กระมัง” ทุกคนในตระกูลอวิ๋นทำตามที่แม่เฒ่าสั่ง เรียกผู้สูงอายุเหล่านี้เป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่


 


 


“โหวเหยียกล่าวผิดไปแล้ว เมื่อวานนี้ได้ยินแม่เฒ่าเล่าให้ฟังแล้ว โหวเหยียได้กำจัดตระกูลโต้วทิ้งแต่เก็บกวาดไม่หมดจนปล่อยคนให้มีชีวิตรอดไป ศัตรูตัวฉกาจเช่นนี้มีหรือที่เศษเดนของตระกูลโต้วจะไม่มาล้างแค้น การที่ตาเฒ่าอย่างข้ามีชีวิตรอดมาจากสนามรบก็ด้วยอาศัยความระแวดระวัง แต่ไหนแต่ไรไม่กล้าที่จะชะล่าใจ คราวหน้าหากโหวเหยียมีงานจำพวกนี้อีกขอให้มอบให้พวกเราพี่น้องไปจัดการ รับประกันได้ว่าจะไม่เหลือภัยร้ายในภายหลังอย่างแน่นอน พวกไร้สมองในหน่วยข่าวกรองก็ยิ่งใช้การไม่ได้มากขึ้นเรื่อยๆ “


 


 


ก็รู้ว่าไม่ควรคุยเรื่องเหล่านี้กับพวกเขา การฆ่าคนแทบจะกลายเป็นความสามารถพื้นฐานของพวกเขาไปเสียแล้ว วิธีการเดียวที่พวกเขาใช้แก้ปัญหาก็คือการใช้ดาบคุยกัน ครั้งนั้นที่ลงมือเพื่อลวี่จู๋อวิ๋นเยี่ยไม่ได้รู้สึกเสียใจภายหลังเลย ไม่ว่าจะยืนอยู่ในจุดยืนอันสูงส่งด้านคุณธรรมหรือมาจากจิตใจของตนเองก็ล้วนแล้วแต่ไม่จำเป็นต้องเสียใจในภายหลัง โต้วเยี่ยนซันคุกคามความปลอดภัยของทุกคนในตระกูลอวิ๋น หากถึงคราวจำเป็นอวิ๋นเยี่ยก็ไม่คิดมากที่จะต้องดับธูปดอกสุดท้ายของตระกูลโต้วให้ดับลงเช่นกัน


 


 


เหล่าทหารผ่านศึกห้อมล้อมอวิ๋นเยี่ยขึ้นเขาไปด้วยกัน แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความงามของเขาอวี้ซันเป็นครั้งคราว แต่มือของพวกเขาไม่เคยห่างจากอาวุธเกินสามนิ้วเลย


 


 


หมอกควันกลุ่มใหญ่ที่ปกคลุมยอดเขาทำให้เห็นอยู่รางๆ น้ำตกก็สาดกระเซ็นลงมาอย่างดุดันด้วยแรงมหาศาล กังหันน้ำที่ทำจากเหล็กกำลังหมุนอย่างรวดเร็ว เพลาเหล็กที่เสริมเข้ากับโครงเหล็กเกิดควันลอยออกมา ไม่มีตลับลูกปืน ไม่มีการหล่อลื่น กังหันน้ำนี้ก็ใช้งานได้อีกไม่นาน ถ้าเพลาเหล็กไม่ล็อกตาย ก็คงเสียดสีจนหัก ซึ่งไม่มีความเป็นไปได้ที่สามแล้ว


 


 


คนที่จะทำเรื่องเช่นนี้ได้มีเพียงหลี่ไท่คนเดียวเท่านั้น เขามีเงินมากเสียจนไม่รู้จะนำไปทำอะไร จึงลองเปลี่ยนวิธีการสร้างเครื่องจักร ความสำเร็จเรื่องรอกทำให้หลี่ไท่มีความมั่นใจเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก จึงมักจะพยายามฝืนนำพลังงานธรรมชาติมาสนองความต้องการของตนเอง


 


 


ด้านการอุตสาหกรรมจำเป็นจะต้องมีการทุ่มเทและการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องจึงจะเกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งก็เหมาะที่จะให้หลี่ไท่ไปดำเนินการ เจ้าหนุ่มที่มีเงินจำนวนมากจนไม่มีที่ใช้สอย ทั้งยังมีมันสมองอีกด้วย ไม่ใช้งานเขาแล้วจะใช้งานใคร


 


 


ก็เหมือนเช่นตอนนี้ที่อวิ๋นเยี่ยนั้นรู้คำตอบอยู่แล้วแท้ๆ แต่กลับไม่ยอมบอกเขา อะไรที่ได้มาอย่างง่ายดายมักจะไม่หวงแหน และความสุขหลังจากประสบความสำเร็จของหลี่ไท่ก็จะลดลงครึ่งหนึ่ง ในเมื่อเขาเข้าใกล้หนทางสว่างเข้ามาอีกก้าวแล้ว ก็ปล่อยให้เขาค้นหาด้วยตัวเองต่อไปจะดีกว่า


 


 


  ยังไม่ทันเดินพ้นตีนเขา ก็ได้ยินเสียงของโครงเหล็กพังลงดังโครมคราม อวิ๋นเยี่ยจึงหยุดฝีเท้าอยู่ครู่หนึ่งแล้วเริ่มมุ่งหน้าไปยังสำนักศึกษา


 


 


หลี่ไท่รีบร้อนนำองครักษ์เข้ามาดู โครงที่ทำจากเหล็กนี้ใช้งานได้เป็นเวลาสามวันเต็มๆ เพลาของกังหันน้ำนั้นเป็นเหล็กไป่เลี่ยนกังที่เขาสั่งช่างฝีมือชั้นยอดทำขึ้นเป็นพิเศษ ขอเพียงแค่สามารถทนการใช้งานได้อีกสองวัน กังหันน้ำอันนี้ก็สามารถเชื่อมต่อกับค้อนหนักบนฝั่งซึ่งจะได้นำมาแทนที่ช่างเหล็กที่ตีเหล็กด้วย ด้วยวิธีนี้ คุณภาพของเหล็กก็จะดีขึ้นอีกหนึ่งระดับ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อต้าถัง เสด็จพ่อเองก็ทรงเห็นด้วยเป็นอย่างมาก คราวก่อนที่เสด็จแม่เสด็จมาเยือนสำนักศึกษา ยังได้ตั้งใจมาดูการขับเคลื่อนของกังหันน้ำเป็นเพื่อนเขาเป็นเวลาหนึ่งวันด้วย แม้ว่าครั้งนั้นกังหันน้ำจะทำงานได้เพียงหนึ่งวันก็พังลงก็ตาม เสด็จแม่ก็ยังทรงเอ่ยชมเชยเรื่องนี้อย่างมาก ทำให้ในใจของหลี่ไท่เต็มไปด้วยความมั่นใจ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)