เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 5 ตอนที่ 44-46

ส่วนที่ 5

 

ตอนที่ 44 ความปรารถนาของโต้วเยี่ยนซัน

 

 


 


ในตรอกฉินเสียนฟางที่อยู่ใกล้ๆ ตลาดซีซื่อมีอยู่ครอบครัวหนึ่งที่แซ่โจว ผู้นำของครอบครัวชื่อโจวต้าฝูเป็นครอบครัวที่มีชื่อเสียงอันโด่งดังด้านการทำชิ้นเนื้อปลาดิบในตลาดซีซื่อ เข้านอกออกในกับพวกตระกูลใหญ่ แต่ไหนแต่ไรเป็นสถานที่สำหรับจัดเลี้ยงดื่มฉลอง ทุกครั้งที่มีแขกมาเยือน เจ้าของตระกูลก็จะขอให้โจวต้าฝูเป็นผู้ออกโรงแสดงฝีมือ มีดบินเฉือนกระเพาะเป็นฝีมือที่ยอดเยี่ยม ปลาหลีฮื้อจากแม่น้ำหวงเหอแสนอร่อยที่ยังดิ้นพราดๆ อยู่ถูกส่งมาที่โต๊ะอาหาร ถูกขอดเกล็ด ควักอวัยวะภายในทิ้งในเวลาชั่วพริบตา


 


 


ปลาหลีฮื้อนั้นมีกระดูกเยอะและปลาหลีฮื้อจากแม่น้ำหวงเหอเหม็นกลิ่นดินเป็นอย่างมาก โจวต้าฝูใช้มีดคมตัดชิ้นเนื้อปลาและใช้ตะขอเกี่ยวก้างออกมา แม้แต่ก้างอ่อนเล็กบางราวกับขนสัตว์ก็ถูกดึงออกมาจนหมด นี่เป็นเคล็ดลับประจำตระกูลโจวที่ไม่ถ่ายทอดให้ใคร แม้ครอบครัวอื่นจะสามารถทำชิ้นเนื้อปลาดิบได้เช่นกัน แต่เมื่อเทียบกับชิ้นเนื้อปลาดิบของตระกูลโจวแล้ว ระดับห่างกันฟ้ากับเหว ชิ้นเนื้อปลาดิบที่โจวต้าฝูหั่นออกมานั้นบางเหมือนกระดาษ ขาวดุจเมฆ ชิ้นเนื้อละเอียดประณีต เมื่อวางร่วมกับต้นหอมซอยฝอย น้ำขิงซอสเปรี้ยว เมล็ดผักกาดเขียวบดละเอียดแล้วผสมน้ำให้เป็นมัสตาร์ดเพื่อเป็นน้ำจิ้ม ทำให้ผู้ที่ทานรู้สึกซาบซ่านไปร่างราวกับว่าล่องลอยได้ดั่งเทพเซียน


 


 


วันนี้โจวต้าฝูปฏิเสธคำเชิญของทุกคนและกำลังแล่เนื้อปลาดิบให้กับชายหนุ่มคนหนึ่งในลานหลังบ้านด้วยความตั้งใจทุ่มเทมากกว่าปกติมากนัก เมื่อหั่นเนื้อปลาเสร็จ ปากของปลาก็ยังคงขยับพงาบๆ อยู่


 


 


ชายหนุ่มคีบเนื้อปลาขึ้นหนึ่งชิ้นและจิ้มมัสตาร์ด แล้วส่งเข้าปาก หลับตาและเคี้ยว สีหน้าแสดงออกถึงความพอใจเป็นอย่างมาก คีบกินไปสามคำ ดื่มเหล้าอีกหนึ่งจอกแล้วจึงวางตะเกียบลง พูดกับโจวต้าฝูว่า “ฝีมือเจ้าพัฒนาขึ้นอีกแล้ว ความสดของปลา ความเหนียวนุ่มของเนื้อ ก็ยังคงรักษาไว้ได้เหมือนเดิม ยอดฝีมือจริงๆ”


 


 


โจวต้าฝูที่ยืนอยู่ด้านข้างเมื่อได้ยินคำชื่นชมของชายหนุ่ม ความเย่อหยิ่งก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา ตลอดเวลาที่ผ่านมาโจวต้าฝูพออกพอใจกับฝีมือของตนเองเป็นอย่างมาก ค้อมกายแล้วเดินขึ้นมาข้างหน้าแล้วเลื่อนชิ้นเนื้อปลาดิบเข้าหาชายหนุ่มให้ชิดอีกหน่อย พูดกับเขาว่า “หากนายท่านชอบมัน ทำไมไม่ทานให้มากกว่านี้อีกสักสองสามคำ”


 


 


ชายหนุ่มส่ายศีรษะและลุกขึ้นยืนเหมือนกับจะพูดกับโจวต้าฝูว่า “อาหารอร่อยมักทำให้คนผ่อนคลาย วันนี้ข้ากินไปสามคำแล้วซึ่งถือว่าไม่ควรเป็นอย่างยิ่ง ความแค้นของตระกูลยังไม่ได้สะสาง ข้ากลับเคลิบเคลิ้มหลงใหลอยู่กับความสุขในการกิน แล้วภายหน้าจะกล้าไปเผชิญหน้ากับท่านปู่ของข้าในปรโลกได้อย่างไร”


 


 


“นายท่านสติปัญญาล้ำลึกสุดหยั่ง คราวนี้จะต้องให้ตระกูลหลี่ชดใช้ค่าเสียหายให้สาสมอย่างแน่นอน ทรราชผู้โหดเ**้ยมคนนั้นหากตกอยู่ภายใต้การครอบงำของหญ้าลืมทุกข์จะทำให้เขาอยู่อย่างตายทั้งเป็น”


 


 


ชายหนุ่มสีหน้าไม่ได้มีความยินดีเลย แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า พูดกับโจวต้าฝูว่า “การกระทำอยู่ที่คน ความสำเร็จอยู่ที่ฟ้า หวังว่าครั้งนี้ข้าจะประสบความสำเร็จ”


 


 


“นายท่านคิดมากไปแล้ว ชาวพื้นเมืองที่สมควรตายเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็นคนโง่ นายท่านเพียงแค่ใช้กลยุทธ์เล็กน้อยก็ทำให้พวกเขาก็เดินเข้ามาติดกับเองแล้ว หญ้าลืมทุกข์นั้นมาจากต่างแดนอันห่างไกล บรรดาชาวหูเองก็ถือว่าเป็นสิ่งของที่หาได้ยาก ข้าไม่เชื่อว่าจะมีใครในฉางอันรู้จักของสิ่งนี้และรู้ถึงที่มาที่ไปของมันด้วย ยาทาหญ้าลืมทุกข์ก็เพิ่งจะถูกค้นพบโดยหมอแม่มดเป็นครั้งแรกในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กองคาราวานตระกูลโต้วของข้าครั้งนี้เดินทางไปค่อนข้างไกล จึงได้มาจากชาวเปอร์เซียจำนวนหนึ่ง คิดไม่ออกเลยจริงๆ ว่าจะมีใครเดินทางไปได้ไกลกว่าตระกูลโต้ว”


 


 


ชายหนุ่มกำหมัดแน่นทั้งสองมือแล้วต่อยไปที่ต้นไม้อย่างสุดแรง ไม่มีใครปรารถนาว่าแผนการนี้จะประสบความสำเร็จมากไปกว่าเขาอีกแล้ว


 


 


เขาจะไม่มีวันลืมช่วงเวลาโกลาหลที่ชาวบ้านบุกเข้ามาในบ้านตระกูลโต้วเป็นอันขาด ตระกูลโต้วที่สูงส่งเหนือผู้คนต้องสูญสลายหายไปภายในชั่วพริบตา ท่านปู่ผลักเขาเข้าไปในห้องลับ ใบหน้ายับย่นของชายชราเต็มไปด้วยน้ำตาพูดกับเขาว่า “โต้วเยี่ยนซัน เจ้าเป็นผู้นำตระกูลคนต่อไปของตระกูลโต้วเรา สายเลือดของตระกูลโต้วต้องให้เจ้าช่วยสืบทอดต่อไปแล้ว จำเอาไว้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ห้ามออกมาอย่างเด็ดขาด”


 


 


ในรูเล็กๆ ของห้องลับนั้น โต้วเยี่ยนซันเห็นท่านปู่ของเขาถูกกองทหารม้าดูถูก เห็นเจ้าจอมวายร้ายโต้วจงที่กำเริบเสิบสานนำผ้าขาวมาผูกคอท่านปู่ที่ชราภาพแล้วก่อนจะค่อยๆ ดึงให้แน่น ท่านปู่ไม่ได้พูดอะไรเลยจนกระทั่งตาย เพียงแค่จ้องมองที่รูของห้องลับตาไม่กะพริบ ปากก็ปลอบโยนเขาอย่างเงียบๆ บอกเขาว่าอย่าออกมา


 


 


คุณชายรูปงามคนหนึ่งต้องอยู่ในห้องลับที่มืดสนิทเหมือนสุนัขเป็นเวลาสี่วัน เมื่อทุกคนออกจากตระกูลโต้วที่เหลือแต่ซากปรักหักพังจนหมดแล้ว เขาจึงปีนออกมาจากทางออกของเขาจำลอง


 


 


คฤหาสน์อันใหญ่โตหรูหราในอดีตได้กลายเป็นซากปรักหักพังไปแล้ว โต้วเยี่ยนซันเห็นด้วยตาตัวเอง ผู้ที่จุดไฟเผาไม่ใช่ชาวบ้านที่ก่อความโกลาหล แต่เป็นพวกเจ้าหน้าที่ทางการ ตั้งแต่วินาทีนั้น โต้วเยี่ยนซันก็รู้ดีว่าฮ่องเต้ต้องการให้ตระกูลโต้วดับสิ้น ไม่ใช่พวกชาวบ้านที่ก่อความโกลาหลโดยไม่มีความคิดเหล่านั้น


 


 


การสูญสิ้นของตระกูลโต้วเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของภูเขาน้ำแข็ง ตระกูลที่ยืนยาวนับสหัสวรรษหากไม่มีการเตรียมพร้อมไว้ ไหนเลยจะสามารถรุ่งโรจน์โชติช่วงมาทุกชั่วอายุคน โจวต้าฝูก็เป็นหมากลับตัวหนึ่งที่ตระกูลโต้วหลงเหลือเอาไว้


 


 


ตั้งแต่เมื่อครั้งที่ได้จับมือกับราชาแห่งหลิ่งหนานให้ยอมจำนนต่อต้าถัง ตระกูลโต้วก็เตรียมพร้อมที่จะขยายเมล็ดพันธุ์ไปยังหลิ่งหนาน ความสัมพันธ์กับราชาแห่งหลิ่งหนานนั้นมีความสนิทสนมกลมเกลียวกันเป็นอย่างมาก อาวุธ เสบียงและผู้หญิงล้วนเป็นกุญแจไขประตูใหญ่แห่งหลิงหนานของตระกูลโต้ว ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าตระกูลโต้วแอบทำสิ่งเหล่านี้อย่างลับๆ


 


 


การพยายามอย่างหนักมาหลายปีในที่สุดก็เห็นผลแล้ว เป็นความคิดของโต้วเยี่ยนซันที่จะถวายหญ้าลืมทุกข์ให้กับฮ่องเต้ ในฐานะญาติของฮ่องเต้ เขารู้ดีว่าฮ่องเต้เป็นโรคลมชัก เมื่ออาการกำเริบขึ้นมามันจะเจ็บปวดอย่างยิ่ง หญ้าลืมทุกข์ก็คือยาชั้นเลิศไร้ที่เปรียบที่จะปลดเปลื้องความทุกข์ทรมานนี้ได้ แม้ว่าจะมีผลข้างเคียงที่ไม่ให้ใครรู้ ในฐานะญาติของตระกูลหลี่ เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผลข้างเคียงนี้จะรุนแรงมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้


 


 


โต้วเยี่ยนซันหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้เห็นภาพความเจ็บปวดร้องอย่างโหยหวนของหลี่ซื่อหมินเพราะขาดหญ้าลืมทุกข์ไม่ได้อยู่ในวัง นี่เป็นความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาในการมีชีวิตอยู่ต่อ ขอเพียงความปรารถนานี้เป็นจริง ชีวิตนี้ก็ไม่เสียดายอะไรอีกแล้ว


 


 


มักจะรู้สึกว่าเหมือนลืมใครบางคนไป โต้วเยี่ยนซันเอามือเขกศีรษะ ใบหน้าที่ยิ้มตาหยีก็ปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้าเขา


 


 


“พี่อวิ๋น ข้าลืมเจ้าไปได้อย่างไรกัน ไม่สมควรเลยจริงๆ เพื่อผู้หญิงชั้นต่ำคนหนึ่ง เจ้ากลับลงมือด้วยความป่าเถื่อน ทำให้ตระกูลโต้วที่อยู่ดีมีสุขต้องตกนรกขุมสิบแปด เจ้าแน่มาก ถ้าไม่เป็นเพราะกังวลว่าซุนซือเหมี่ยวจะมองความลับของหญ้าลืมทุกข์ออก ข้าจะลืมส่วนของเจ้าได้อย่างไร”


 


 


ขณะที่โต้วเยี่ยนซันซึ่งสวมชุดดำทั้งชุดกำลังยืนกัดฟันอยู่ในลานหลังบ้านของโจวต้าฝูนั้น โจวต้าฝูได้ต้อนรับแขกท่านหนึ่งที่มาสั่งชิ้นเนื้อปลาดิบ หลังจากรับแขกเสร็จ โจวต้าฝูก็มาที่ลานหลังบ้านแล้วพูดกับโต้วเยี่ยนซันว่า “นายท่าน วันนี้ประมาณเที่ยง อวิ๋นเยี่ยไปที่หงหลูซื่อ หลังจากได้ของขวัญจำนวนมากก็เดินทางกลับ ซึ่งหนึ่งในของขวัญนั้นมีหญ้าลืมทุกข์ด้วย”


 


 


“เขาไปทำอะไรที่หงหลูซื่อ ได้ยินมาว่าเขามีความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไรเกี่ยวกับราชสำนักมาโดยตลอด ทำไมเขาถึงไปที่นั่น” โต้วเยี่ยนซันเป็นกังวลมาก เรื่องใดก็ตามแต่ หากเกี่ยวข้องกับอวิ๋นเยี่ยก็มักจะเกิดการเปลี่ยนแปลง จึงทำให้เขาอดกระวนกระวายใจไม่ได้


 


 


“เรียนนายท่าน คราวนี้อวิ๋นเยี่ยไปที่หงหลูซื่อเพราะเรื่องขององค์หญิง ไม่รู้ว่าคราวนี้ฮ่องเต้ทรงคลุ้มคลั่งอะไรขึ้นมาจึงได้ยกองค์หญิงให้อภิเษกกับเหมิงฉา ตามที่คนในวังรายงาน ครั้งนี้อวิ๋นเยี่ยไปเพราะออกหน้าช่วยเหลือองค์หญิง ระหว่างพวกเขามีความสนิทสนมกันเป็นอย่างมาก จากการวิเคราะห์นิสัยของอวิ๋นเยี่ย เขาอาจจะคิดฆ่าเหมิงฉา” โจวต้าฝูนั้นไม่ว่าอย่างไรก็จะสงบนิ่ง เยือกเย็นและคมกริบเหมือนมือที่ถือมีดของเขา แต่ไหนแต่ไรมาทำอะไรก็จะไม่รวมความรู้สึกส่วนตัวเข้าไปด้วย ความแม่นยำเป็นทักษะพื้นฐานที่มือมีดที่ดีทุกคนจำเป็นต้องมี


 


 


โต้วเยี่ยนซันหัวเราะเสียงดังขึ้นมา เมื่อเขาคิดถึงเหมิงฉาที่เหมือนกับลิงดำก็ไม่ปานกำลังเบียดเสียดอยู่บนเรือนร่างสีขาวราวหิมะของหลี่อันหลานแล้ว เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงดังออกมา ต้องบอกว่าการลงโทษลูกสาวของหลี่ซื่อหมินนั้นหนักไม่เบา การมีบิดาเช่นนี้โต้วเยี่ยนซันเองก็รู้สึกตกใจในความเลือดเย็นของเขา


 


 


อวิ๋นเยี่ยนะอวิ๋นเยี่ย เพื่อความคับแค้นใจในอกของข้านี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตามจะต้องทำให้เหมิงฉาได้แต่งงานกับหลี่อันหลานแน่ แม้ว่าจะเป็นเพียงชั่วข้ามคืนก็ตาม ขอเพียงเรื่องตลกนี้แพร่กระจายออกไป แม้ว่าเหมิงฉาจะถูกเจ้าจับใช้ห้าม้าแยกร่างก็คุ้มค่าแล้ว ข้าอยากจะดูว่าเจ้าจะฝ่าวิกฤตนี้ไปได้อย่างไร


 


 


โต้วเยี่ยนซันนั้นลำพองใจ เขาดูถูกปีศาจร้ายอย่างอวิ๋นเยี่ยเกินไป อวิ๋นเยี่ยมีความรู้เพียงพอเกี่ยวกับฝิ่นที่ทำให้คนจีนทั้งประเทศในยุคปัจจุบันต้องเจ็บปวดรวดร้าวสุดใจ เมื่อปีศาจร้ายนี้ถูกปลดปล่อยออกมาก็จะสร้างภัยพิบัติมากมายไม่จบสิ้น


 


 


แม้ว่าอากาศจะอุ่นขึ้นในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ แต่อากาศที่หนาวเย็นก็ยังไม่จางหายเสียหมด ในสภาพอากาศที่ยังต้องสวมใส่เสื้อนอกบุสองชั้นนี้ ถังเจี่ยนก็เหงื่อออกเต็มแผ่นหลัง สีหน้าซีดเผือด ถ้าหากเป็นจริงอย่างที่อวิ๋นเยี่ยพูด คนตระกูลถังสองร้อยหกสิบกว่าชีวิตอย่าได้หวังจะมีชีวิตรอดแม้แต่คนเดียว


 


 


“อวิ๋นโหว ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาล้อเล่น เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะนำมาล้อเล่นด้วย เป็นเรื่องจริงหรือ” ถังเจี่ยนขอหลักฐานจากอวิ๋นเยี่ยอีกครั้ง


 


 


“เจ้าเห็นไหม ข้าเริ่มเรียกเจ้าว่าเหล่าถังอย่างอวดดีอีกแล้ว เจ้ายังคิดว่าข้ากำลังพูดเรื่องไร้สาระอยู่หรือ จริงสิ ตอนที่ส่งหยกจันทร์เสี้ยวมาอย่าได้ให้ใครรู้เห็น อีกอย่างเรื่องนี้องค์หญิงเป็นผู้ค้นพบ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับข้า ขณะที่เจ้าตัดศีรษะของเหมิงฉาอย่าลืมเรียกข้ามาร่วมดูด้วย” อวิ๋นเยี่ยนอนเอนและเอียงกายอยู่บนแคร่เตี้ยๆ มือหนึ่งเท้าคางพลางพูดกับถังเจี่ยน


 


 


“ข้าจะไปทูลฝ่าบาทว่าเรื่องนี้องค์หญิงเป็นผู้พบเข้า เจ้าว่าฝ่าบาทจะทรงเชื่อหรือไม่ ถ้าหากองค์หญิงมีความคิดเช่นนั้น นางก็คงไม่ทำเรื่องรนหาที่ตัดทางรอดให้ตัวเอง” ถังเจี่ยนเองก็สงสัยในมันสมองขององค์หญิงเป็นอย่างมาก


 


 


“ข้าไม่สนใจสักหน่อย เหล่าถัง เจ้าเองก็เป็นผู้มีปัญญาแห่งยุค เรื่องเล็กน้อยเพียงแค่นี้มีหรือจะทำอะไรเจ้าได้ ข้าจะบอกเจ้าไว้ว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดา ต้องมีใครบางคนคอยบงการอยู่เบื้องหลังแน่ๆ หญ้าลืมทุกข์นี้มีชื่อเรียกอีกอย่างว่าดอกอเวจี จำแลงมาจากคราบน้ำตาของจอมปีศาจ ขอเพียงแค่มันแพร่กระจายออกไป ผู้คนในต้าถังก็จะถูกทำร้ายจนผอมเหลือแต่กระดูกเหมือนฟืน มนุษย์ไร้สิ้นซึ่งศีลธรรม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าชายทำนาและหญิงทอผ้า หรือการเข้าสู่สนามรบต่อสู้กับศัตรูเลย ข้าขอแนะนำว่าหากพบว่าใครมีของสิ่งนี้ในครอบครอง ต้องรีบตัดไฟแต่ต้นลมในทันที จะให้ดีก็คืออย่าได้ล่าช้าแม้แต่น้อย”


 


 


อวิ๋นเยี่ยจำเป็นต้องบรรยายถึงความน่ากลัวของดอกฝิ่นให้ร้ายแรงมากกว่าเดิม เขาไม่ต้องการให้ฉายาขี้โรคเอเชียถูกตราหน้าให้กับชาวจีนตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง


 


 


“เจ้าบรรยายของสิ่งนี้จนน่ากลัวถึงเพียงนี้ แต่ข้ากลับไม่เคยเห็นภัยอันตรายของมันเลย เจ้าก็ข่มขู่ข้าทุกๆ ถ้อยคำ นี่คือสิ่งที่สุภาพชนพึงกระทำหรือ” ถังเจี่ยนยังคงมีความหวังสุดท้ายอันน้อยนิด หวังจะได้ยินคำว่าล้อเล่น ใต้หล้านี้ไม่เคยมีของที่เลวร้ายเช่นนี้มาก่อนออกจากปากของอวิ๋นเยี่ย


 


 


“เหล่าถัง รีบลบความคิดที่ว่าโชคยังดีของเจ้าทิ้งไป ความรุนแรงของเรื่องนี้อยู่เหนือจินตนาการของเจ้ามาก หากอยากจะรู้ว่ามันเลวร้ายเพียงใด ง่ายมาก เจ้าก็แค่จับคนพื้นเมืองเหล่านั้นขังไว้ในห้อง ส่งอาหารและน้ำไปให้พวกเขาแต่อย่าให้หญ้าลืมทุกข์ อย่างมากก็รอจนถึงพรุ่งนี้ เจ้าก็จะพบว่าชาวพื้นเมืองเหล่านั้นกลายเป็นผีที่ชั่วร้าย พวกเขาจะวิงวอนขอหญ้าลืมทุกข์จากเจ้าให้ได้โดยไม่เสียดายที่จะสละทุกสิ่งเลย แม้แต่เจ้าจะให้พวกเขาฆ่าญาติสนิทตนเองก็ตามที พวกเขาจะไม่มีความลังเลเลยแม้เพียงเสี้ยวนาที ถ้าหากใช้มันได้ดี เจ้าใช้หญ้าลืมทุกข์เพียงเล็กน้อยก็จะได้ที่ดินของพวกเขามาทั้งหมดมาครอบครองได้”


 


 


ตั้งแต่วินาทีที่เขาพบว่าเป็นฝิ่น อวิ๋นเยี่ยจึงให้ความสนใจเป็นพิเศษกับราชาแห่งแดนเถื่อนหลายคนนั้น ไม่มีคนไหนเลยที่ดวงตาเหม่อลอย ริมฝีปากเป็นสีม่วงคล้ำ ผอมเหลือแต่กระดูกเหมือนท่อนฟืน ได้ยินว่าก่อนหน้าพวกเขาต่างก็เป็นนักรบผู้กล้าหาญ ตั้งแต่หนึ่งปีก่อนหลังจากเริ่มกินหญ้าลืมทุกข์แล้วร่างกายก็ค่อยๆ เบาดุจนกนางแอ่น หากคนเหล่านี้ไม่ใช่ผู้ติดฝิ่นขั้นรุนแรง อวิ๋นเยี่ยก็คิดว่าดวงตาของเขาไม่จำเป็นต้องมีอีกต่อไปแล้ว 

 

 


ส่วนที่ 5

 

ตอนที่ 45 ดอกอเวจี

 

บนแผนที่ของต้าถัง หลิ่งหนานเป็นดินแดนที่มีอยู่เป็นกรณีพิเศษมาโดยตลอด หลังจากฉินสื่อฮ่องเต้ส่งกองทัพไปยึดแดนหลิ่งหนานมาได้นั้น ในที่สุดดินแดนที่แห้งแล้งอันคับแคบที่ปิดตายก็ถูกเปิดออก ชาวฮั่นสามแสนคนก็หลั่งไหลเข้ามา ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง


 


 


เมื่อมองดูจำนวนเมืองอันน้อยนิดที่มีไม่กี่แห่งบนแผนเขตหลิ่งหนาน อวิ๋นเยี่ยมักจะลืมตัวคิดถึงสุภาษิตที่โด่งดังประโยคนั้นว่า ‘ในน้ำมีปลาในนามีข้าว[1] เมืองใหญ่ๆ ที่เจริญรุ่งเรืองเหล่านั้นตอนนี้ยังคงเป็นภูเขาสูงและแหล่งน้ำอยู่เลย พื้นที่แถบหูหนานและหูเป่ยยังถูกทางการมองว่าเป็นเส้นทางที่อันตราย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมณฑลกวางตุ้งและกว่างซีที่อยู่ห่างไกลออกไปอีก การดำรงอยู่ของราชสำนักในพื้นที่บริเวณนั้นมีแต่ในนามเท่านั้น ในความเป็นจริงแล้วการปกครองดินแดนแถบนั้นก็ยังคงเป็นราชาแห่งท้องถิ่นและชนกลุ่มน้อยที่ปกครองที่นั่นอยู่


 


 


ต่างที่ต่างถิ่นย่อมมีประเพณีที่แตกต่างกัน แต่ละชนเผ่าก็เป็นแคว้นเล็กๆ แคว้นหนึ่ง บรรพบุรุษของพวกเขาทุกรุ่นอาศัยอยู่ในป่าเขาลำเนาไพร ตัดขาดจากโลกภายนอก ทำไร่ไถนากันเองด้วยระบบพึ่งพาตนเองและอยู่อย่างพอเพียง หากบอกว่าแดนกวนจงของต้าถังเป็นดินแดนที่ก้าวหน้าที่สุดด้านการเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมแห่งยุคนี้ ในพื้นที่ที่ก้าวหน้าที่สุด เช่นนั้นเขตหลิ่งหนานในตอนนี้ก็ยังคงอยู่ในยุคสังคมดั้งเดิมทำการเกษตรแบบไร่เลื่อนลอย


 


 


ปริมาณน้ำที่อุดมสมบูรณ์ของแม่น้ำฉางเจียงในยุคนี้ทำให้เกิดปริมาณน้ำจำนวนมากในบริเวณทะเลสาบทั้งสอง สามารถกล่าวได้ว่ามีแต่แหล่งน้ำอยู่ทุกหนทุกแห่ง อากาศพิษในป่าเขตร้อนกระจายตัวไปทั่วถิ่นทุรกันดาร ไม่ต้องพูดถึงว่าผู้คนไม่เหมาะที่จะอาศัยอยู่ที่นี่ แม้แต่สัตว์ป่าก็เลือกที่จะไปจากที่นี่


 


 


สถานที่จำนวนไม่มากที่เหมาะแก่การอยู่อาศัยของมนุษย์นั้นก็ถูกพวกคนป่าแคระแกรนเหล่านี้ครอบครองไปหมดแล้ว หากอวิ๋นเยี่ยอยากจะพัฒนาหลิ่งหนานก็จำเป็นที่จะต้องหาวิธีการอื่น มีเพียงถูกเนรเทศเท่านั้นจึงจะไปที่หลิ่งหนาน คนปกติดีมีใครจะไปสถานที่ห่วยแตกเช่นนี้กัน


 


 


แดนกวนจงนั้นเดิมก็มีประชากรมากเกินไปตั้งแต่แรกแล้ว ผืนดินแห่งนี้ก็แห้งแล้งไม่อุดมสมบูรณ์เพราะผ่านการเพาะปลูกเป็นพันๆ ปี ไม่ช้าก็เร็วระบบการแบ่งที่ดินของต้าถังตามจำนวนสมาชิกครอบครัวก็จะแบ่งดินแดนในแดนกวนจงราวกับหั่นแบ่งแตงไปจนหมดสิ้น เว่ยเจิงเป็นคนแรกที่เสนอความคิดในการโยกย้ายผู้คนจากแดนกวนจงไปเพิ่มเติมที่บริเวณชายแดน ทันทีที่ความคิดนี้ถูกเสนอออกมาก็โดนล้มเลิก ทั้งยังถูกผู้คนจำนวนมากรุมเหยียบอีกด้วย


 


 


เว่ยเจิงผู้องอาจผึ่งผายหลังจากที่ไม่ได้รับการสนับสนุนแม้แต่คนเดียว ก็ต้องยอมแพ้ละทิ้งแนวคิดที่มองการณ์ไกลข้อนี้ไป


 


 


ประชากรของต้าถังนั้นน้อยเกินไป ยังมีไม่ถึงสองล้านแปดแสนครัวเรือนเลย ซึ่งทางเหนือนั้นมีประชากรสองล้านครัวเรือน ส่วนที่เหลืออีกแปดแสนครัวเรือนกระจายตัวอยู่ในทุ่งกว้างของเมืองต้าถังที่กว้างใหญ่ไพศาล


 


 


พวกราชาแห่งแดนเถื่อนเหล่านั้นน่าสนใจมาก ไม่รู้ว่าไปเรียนรู้มาจากที่ไหน ขอเพียงเรียกตนเองว่าเป็นข้าราชสำนักของฮ่องเต้แห่งจงหยวนก็จะได้รับผลประโยชน์ไม่รู้จบ ที่จริงแล้วนี่ก็เป็นเรื่องจริง ฮ่องเต้มักจะดีต่อดินแดนที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของตัวเองแล้วยอมสวามิภักดิ์แต่โดยดีมากเป็นพิเศษอยู่เสมอ


 


 


เหล่าขุนนางก็จะคิดว่านี่เป็นผลงานจากการปกครองอย่างมีวัฒนธรรม ซึ่งน่ายกย่องกว่าการใช้กำลังทางทหารยึดครองได้ ที่กล่าวกันว่าหากฮ่องเต้ปกครองด้วยทศพิศราชธรรม ใต้หล้านี้ก็จะมีคนมาสวามิภักดิ์จากทั่วทุกสารทิศ เป็นคำพูดที่แปลกมาก


 


 


แม้ว่าจะไม่เข้าใจความหมายของวลีในตำราพิชัยยุทธ์ที่ว่า ‘ทหารที่ยอมแพ้โดยไร้สงคราม’ แต่อวิ๋นเยี่ยก็รู้ว่าในสมัยราชวงศ์ศักดินา การตัดสินใจขั้นสุดท้ายก็คือสงครามอย่างแน่นอน บางทีที่ว่าทหารที่ยอมแพ้โดยไร้สงครามอาจเป็นเคล็ดลับสุดยอดของนักการทหารก็เป็นได้ แต่ก็มีตัวอย่างแห่งความสำเร็จที่มีหลักฐานให้ตรวจสอบอยู่น้อยมากจริงๆ


 


 


จะต้องไม่มีใครในราชสำนักที่จะเห็นด้วยกับความคิดที่เบาปัญญาในการส่งกองกำลังไปบุกยึดหลิ่งหนานแน่ หลังจากใช้เงินและชีวิตจำนวนมากไปแล้ว สิ่งที่ได้รับกลับมาเป็นเพียงพื้นที่รกร้างขนาดใหญ่ที่แม้แต่ผีก็ไม่อยากมา ยกเว้นฉินสื่อฮ่องเต้ที่มีใจอยากรวมแผ่นดินเป็นหนึ่ง ก็ไม่มีใครอยากจะทำสงครามเพื่ออุดมคติ


 


 


หลี่อันหลานแม้แต่ในฝันก็อยากที่จะได้เป็นเจ้าของโลกที่เป็นของตัวเอง และเพื่อที่จะแสดงออกถึงความประสงค์ของนางออกมาอย่างชัดเจนที่สุด นางจึงไม่เสียดายเลยที่จะแลกด้วยทุกอย่างของนาง


 


 


   อย่างเช่นนางไม่มีอำนาจคุกคามเหมือนอวิ๋นเยี่ย ที่จริงนางก็ไม่ได้ถึงกับจะปฏิเสธเหมิงฉาเสียทีเดียว ค่ำคืนที่พายุฝนฟ้าคะนองทำให้นางหวาดกลัวจนสุดขีด ทำให้นางเข้าใจว่าแท้จริงแล้วนางไม่มีอะไรเลย ขอเพียงแค่มีคนสามารถทำให้ความฝันนางเป็นจริงได้ นางก็ไม่อยากพลาดโอกาสนั้นไป


 


 


บางทีอวิ๋นเยี่ยอาจเป็นคนฉลาด แต่กลับเป็นคนฉลาดที่ไม่มีความทะเยอทะยาน ในใจมีแต่สำนักศึกษาของเขาและยอมอยู่เลี้ยงหมูในเขาอวี้ซันมากกว่าที่จะก้าวเข้าสู่ราชสำนัก ซึ่งนี่ทำให้หลี่อันหลานผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง สิ่งที่นางแสวงหา อวิ๋นเยี่ยไม่สามารถให้นางได้


 


 


นับตั้งแต่ไหว้วานเรื่องนี้ให้กับอวิ๋นเยี่ย หลี่อันหลานก็ผ่อนคลายลงอย่างแท้จริง จึงเริ่มเตรียมพร้อมกับเสี่ยวหลิงตังสำหรับการเดินทางไกล


 


 


ขณะที่อวิ๋นเยี่ยมองดูแผนที่อย่างเหม่อลอยนั้น ถังเจี่ยนกำลังสั่นเทา เหล่าราชาแห่งแดนเถื่อนพวกนั้นกำลังขว้างปาข้าวของทุกอย่างที่สามารถทำลายได้ในห้องพักด้วยความโกรธแค้น บรรดาเครื่องปั้นดินเผาที่เมื่อวานนี้พวกเขายังชอบจนไม่ยอมวางมือทยอยแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอยู่เต็มพื้น


 


 


เหมิงฉาเขย่าประตูห้องตะโกนเสียงดัง บอกให้ถังเจี่ยนนำหญ้าลืมทุกข์ที่เขาเอาไปมาคืนตน เหงื่อสีเหลืองจางๆ ซึมจนเสื้อผ้าเปียก ใบหน้าที่ดำเข้มเริ่มดุร้ายและบ้าคลั่ง


 


 


ถังเจี่ยนที่ยืนอยู่ในลานบ้านหลับตาลง อาการวิงเวียนที่มาเป็นระลอกทำให้เขาแทบจะยืนไม่อยู่ โงนเงนจนต้องให้เจ้าหน้าที่ช่วยพยุงไปนั่งบนแคร่เตี้ยๆ ใต้ชายคา


 


 


เสียงคำรามในห้องค่อยๆ ลดลงกลายเป็นเสียงร้องขอวิงวอน จากการแปลของล่าม ข้อมูลที่ถังเจี่ยนได้รับนั้นไม่ได้แตกต่างอะไรกับที่อวิ๋นเยี่ยอธิบายเอาไว้เลย เพื่อที่จะได้หญ้าลืมทุกข์ ราชาแห่งแดนเถื่อนเหล่านั้นเสนอเงื่อนไขแต่ละข้อที่ถังเจี่ยนแม้แต่จะฝันก็ยังไม่กล้าคิดออกมา


 


 


“การมีชีวิตอยู่อย่างตายทั้งเป็น นี่คือดอกอเวจี นี่เป็นดอกอเวจีจริงๆ มีเพียงปีศาจร้ายเท่านั้นที่สามารถเพาะเลี้ยงสิ่งที่เลวร้ายนี้ได้” แผ่นหลังของถังเจี่ยนเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ เมื่อเข้าห้องโถงลมพัดผ่านกลับรู้สึกหนาวไปทั้งร่าง


 


 


จึงเรียกคนรับใช้และสั่งว่า “กลับไปหาฮูหยิน บอกให้นางนำหยกจันทร์เสี้ยวออกมาและใช้กล่องที่ดีที่สุดบรรจุมันลงไป ให้ซ่านสือส่งไปที่ตระกูลอวิ๋นด้วยตนเอง พิธีรีตองต่างๆ อย่าให้ขาดตกบกพร่อง ไม่ว่าอย่างไรก็ตามจะต้องให้อวิ๋นโหวรับไว้ให้ได้”


 


 


 คนรับใช้ประหลาดใจมาก หยกจันทร์เสี้ยวเป็นดั่งแก้วตาดวงใจของนายท่านเสมอมา โดยปกติไม่ยอมให้ใครได้เห็นเสียด้วยซ้ำ ตอนนี้กลับจะมอบมันให้คนอื่นด้วยความเคารพนบนอบ จึงเงยหน้ามองดูเจ้านายของตัวเอง เห็นเจ้านายหลับตาลงไม่กล่าวอะไร จึงได้แต่โค้งคำนับแล้วรีบกลับบ้านเพื่อบอกข่าวแก่แม่เฒ่า


 


 


คนรับใช้ไม่ได้สังเกตเห็นนิ้วก้อยของเจ้านายเขาที่กำลังสั่นเทาอยู่ตลอดเวลา


 


 


พอสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้ว จากนั้นถังเจี่ยนก็บรรจุฝิ่นชิ้นใหญ่ลงในกล่องไม้และสั่งให้เจ้าหน้าที่ล้อมสถานที่พักรับรองนี้ไว้ ห้ามไม่ให้นกบินออกมาแม้แต่ตัวเดียว ส่วนตนเองนั้นขึ้นรถม้ารีบมุ่งหน้าเข้าวัง


 


 


เมื่อมองไปยังฝิ่นในกล่อง หลี่ซื่อหมินก็ไม่แสดงอาการแปลกใจอะไรมากนัก บอกกับถังเจี่ยนว่า “อ้ายชิง คิดมากไปแล้ว ถ้าหากพวกเจ้ามอบให้เรา เมื่ออาการปวดศีรษะของเรากำเริบเราจะต้องใช้ยาวิเศษนี้อย่างแน่นอน ไม่แน่ว่าแผนการร้ายนี้จะประสบความสำเร็จ แต่พวกเขากลับใช้ลิงพื้นเมืองหลายตัวนี้มามอบยาให้เรา เจ้าคิดว่าเราจะให้พวกเขาได้สมหวังอย่างนั้นหรือ”


 


 


ครั้นเหลือบมองถังเจี่ยนที่ยังคงตัวสั่นเทาด้วยความกลัว หลี่ซื่อหมินจึงปลอบใจอย่างอ่อนโยน


 


 


“เรื่องนี้ต้องถือเป็นความผิดพลาดของหน่วยข่าวกรอง หาได้เกี่ยวกับอ้ายชิงไม่ อ้ายชิงสามารถเปิดโปงเรื่องนี้ทั้งที่ยังมีภารกิจรัดตัวได้ เห็นได้ว่าคำประเมินที่ว่าละเอียดพิถีพิถันที่มอบให้เจ้านั้น เหมาะสมเป็นอย่างยิ่งแล้ว มีถังชิงอยู่ เราก็ไร้ซึ่งความกังวลแล้ว”


 


 


“ฝ่าบาททรงประเมินกระหม่อมสูงเกินไปแล้ว เรื่องนี้เป็นองค์หญิงอันหลานเปิดโปงได้เป็นคนแรก กระหม่อมเพียงแค่นั่งรอผลสำเร็จของมันเท่านั้นเอง ขอฝ่าบาททรงมีพระราชโองการเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้แก่องค์หญิงด้วย”


 


 


ถังเจี่ยนยังคงมีความน่าเชื่อถืออยู่มาก สิ่งที่สัญญากับอวิ๋นเยี่ยไว้สามารถทำสำเร็จได้อย่างละเอียดรอบคอบ


 


 


“อันหลานเป็นคนแรกที่เปิดโปงเรื่องนี้รึ เป็นไปได้อย่างไร นางอยู่ในวังมานาน นางจะรู้จักของสิ่งนี้ได้อย่างไร แม้แต่เราก็ยังได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรก แล้วนางจะรู้ได้อย่างไร ถังชิง ไม่ต้องยกความดีความชอบให้ผู้อื่น ที่แท้แล้วเรื่องเป็นมาอย่างไรกันแน่ รีบพูดมาโดยเร็ว”


 


 


 “หลานเถียนโหวอวิ๋นเยี่ยมาเป็นแขกที่หงหลูซื่อแล้วพบของสิ่งนี้เข้าโดยบังเอิญ จึงได้บอกเรื่องนี้กับกระหม่อม ทั้งยังใช้เรื่องนี้มาข่มขู่และหลอกเอาหยกจันทร์เสี้ยวที่เป็นสมบัติประจำตระกูลของกระหม่อมไปด้วย สุดท้ายบอกกระหม่อมว่าเรื่องนี้องค์หญิงเป็นผู้พบเข้า ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา “


 


 


หากว่าอวิ๋นเยี่ยอยู่ที่นี่ ถังเจี่ยนจะต้องถูกบีบคอตายทั้งเป็นเพื่อระบายความโกรธของเขาอย่างแน่นอน


 


 


 “หึๆ ไปที่หงหลูซื่อของเจ้าเพื่อเป็นแขกหรือ เกรงว่าจะไปฆ่าเหมิงฉาให้ตายเสียมากกว่า ลูกสาวจอมซื่อบื้อคนนั้นมีหรือจะรู้จักของสิ่งนี้ได้ ทั้งยังหาใครสักคนมารับความดีความชอบไปอย่างขอไปที เห็นว่ารางวัลของต้าถังจากข้าใครๆ ก็สามารถรับแทนกันได้หรือ ถังชิง เจ้าถอยออกมา เรื่องนี้มอบหมายให้หน่วยข่าวกรองเป็นผู้จัดการ เจ้านำตัวนักโทษทั้งหมดส่งให้หงเฉิง ระยะนี้หน่วยข่าวกรองก็หละหลวมเกินไปแล้ว”


 


 


หลังจากออกจากตำหนักไท่จี๋แล้ว ถังเจี่ยนก็ถอนหายใจออกยาวๆ คำพูดในการตะล่อมถามของหลี่ซื่อหมินทำให้เขาไม่กล้าปิดบังอะไรเลยแม้แต่น้อย ในใจก็กล่าวขอโทษอวิ๋นเยี่ย เพียงแต่เมื่อคิดถึงหยกจันทร์เสี้ยวที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ ความรู้สึกผิดนั้นก็จมหายไปอยู่ใต้ความเจ็บปวดสุดขั้วหัวใจนั้นในทันที


 


 


ในฐานะวิศวกร อวิ๋นเยี่ยชอบดูสถานที่ก่อสร้างที่ร้อนแรงดุเดือดมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งทีมงานก่อสร้างของตระกูลอวิ๋นที่ทำงานได้อย่างมีระบบ เป็นสิ่งที่ดูได้นานไม่มีวันเบื่อมากที่สุด


 


 


 คนในหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นสวมกางเกงขายาวเสื้อแขนสั้นที่ทำจากผ้าหยาบ ทำงานยุ่งอยู่ตลอดเวลาในสถานที่ก่อสร้าง บางคนกำลังขุดบ่อน้ำซึ่งก็เพื่อเป็นการเตรียมน้ำสำหรับใช้ในสถานที่ก่อสร้าง เนื่องจากมีบางส่วนเป็นซีเมนต์ จึงจำเป็นต้องใช้น้ำในปริมาณมากในการสร้างอาคารในตอนนี้ ภูมิประเทศของฉางอันนั้นค่อนข้างสูง ไม่ง่ายเลยกับการจะเจาะบ่อน้ำสักบ่อ อีกทั้งบ่อน้ำส่วนใหญ่ที่ขุดขึ้นมาได้ก็มีรสเค็ม ไม่สามารถดื่มได้ ดังนั้นในฉางอัน บ้านที่มีบ่อน้ำดีที่ดื่มได้จะมีราคาสูงกว่าบ้านอื่นมากถึงหนึ่งเท่าตัว


 


 


แม่น้ำจินสุ่ยเหอเส้นนั้นหลังจากที่ไหลผ่านเมืองฉางอันกว่าครึ่งเมืองก็จะมีสิ่งปนเปื้อนตั้งแต่แรกแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาน้ำเน่าเสียของแต่ละครัวเรือนของผู้คนในฉางอันมักจะระบายลงไปในแม่น้ำก็เป็นอันหมดเรื่อง จนทำให้เมืองฉางอันกว่าครึ่งเมืองส่งกลิ่นเหม็นเน่าไปทั่ว สามารถเทียบได้กับคูน้ำหลงซวีที่ปักกิ่งในยุคปัจจุบันเลย


 


 


สิ่งที่น่ากลัวก็คือกลับยังมีคนจำนวนมากพึ่งพาน้ำในคูน้ำเหม็นเน่านี้เพื่อนำมาซักผ้า อาบน้ำ ทำอาหาร อวิ๋นเยี่ยเห็นกับตาว่าคนที่อยู่ต้นน้ำกำลังล้างถังอุจจาระ คนที่อยู่ปลายน้ำกำลังล้างผักในแม่น้ำเพื่อทำอาหาร


 


 


จึงเอามือปิดปากและหันกลับไปมองคนรับใช้ของที่บ้าน คนรับใช้ที่รู้ใจเจ้านายจนทะลุปรุโปร่งมานานแล้วมองดูคนล้างผักในน้ำสกปรกอย่างดูถูก พูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “โหวเหยีย หากว่าพวกเราก็ให้ท่านดื่มน้ำสกปรกนี้ พวกข้าน้อยก็สมควรจะถูกลากออกไปโบยจนตายทั้งเป็น น้ำที่พวกเจ้านายดื่มกันเป็นน้ำมาจากรถขนน้ำของพวกเราที่ไปตักน้ำจากตาน้ำพุทุกวันจากนอกเมือง แม้แต่น้ำที่พวกข้าน้อยดื่มก็ยังเป็นน้ำจากบ่อน้ำในบ้าน กฎของตระกูลเราคือน้ำที่ไม่ได้ต้มจะไม่ดื่ม ใครจะเหมือนพวกเขา น้ำอะไรก็นำมาดื่มได้ ข้าน้อยเคยเห็นพวกเขาดื่มน้ำฝนจากรอยกีบเท้าลาด้วย ฝูงผีโสโครก”


 


 


ตอนนี้คนรับใช้ของตระกูลอวิ๋นมีเหตุผลเพียงพอที่จะหัวเราะเยาะเพื่อนบ้านของพวกเขาแล้ว ชุดทำงานสามชุดต่อปี ซึ่งก็คือชุดผ้าฝ้ายที่คนรับใช้ชายใส่ มีชุดในฤดูใบไม้ผลิ ชุดในฤดูร้อนและแจ็คเก็ตหนังในฤดูหนาว ไม่ใช่อะไรที่ครอบครัวเล็กๆ ยากจนที่เสื้อผ้าหนึ่งชุดต้องใส่ตั้งหลายปีเหล่านั้นจะสามารถมาเปรียบเทียบได้


 


 


นอกจากกฎที่ค่อนข้างเยอะไปหน่อยจนทำให้ผู้คนไม่ค่อยคุ้นเคย เช่น ห้ามดื่มน้ำดิบ ห้ามถ่มน้ำลายตามพื้น ต้องอาบน้ำทุกๆ สามวัน หลังจากลงโทษไปหลายคนแล้ว คนรับใช้เพื่อที่จะไม่โดนเจ้านายริบเงินคืนก็ค่อยๆ กลายเป็นนิสัยที่เคยชิน ตอนนี้แม้ว่าจะกระหายน้ำเพียงใดก็ไม่มีใครไปดื่มน้ำดิบ ไม่ว่าจะเหนื่อยเพียงไหนก็ต้องอาบน้ำ ตอนนี้เมื่อพบคนรู้จักเก่าก่อนที่เนื้อตัวสกปรกมอมแมมแล้วก็ไม่อยากจะทักทายเพราะกลัวว่าจะเสียราคาตนเอง


 


 


ปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไม่ได้ ไม่น่าแปลกใจเลยที่โรคระบาดในเมืองฉางอันจะไม่เคยหายขาดไปเสียที เท่าที่มีการบันทึกในประวัติศาสตร์ก็มากถึงสิบหกครั้งแล้ว


 


 


ชาวบ้านของหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นไม่มีนิสัยในการดื่มน้ำดิบ ที่บ้านจะส่งน้ำเย็นไปยังสถานที่ก่อสร้าง แต่ละคนจะมีกระบอกไม้ไผ่ขนาดใหญ่ซึ่งเติมน้ำให้เต็มพอสำหรับใช้ในหนึ่งวัน ชาวบ้านในชนบทเหล่านี้ก็เริ่มที่จะเหยียดหยามผู้คนที่ก่อนหน้านี้ชอบเดินเชิดหน้าอยู่ในเมืองขึ้นมาแล้ว


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] ในที่นี้ หมายถึง พื้นที่บริเวณแถบหูหนานและหูเป่ย 

 

 


ส่วนที่ 5

 

ตอนที่ 46 บารมีน่าเกรงขามของท่านย่า

 

อวิ๋นเยี่ยพักอยู่ที่ฉางอันก็เพื่อรอหลี่ซื่อหมินเรียกเข้าพบ ใครจะรู้ว่าหลี่ซื่อหมินดูเหมือนจะลืมเขาไปแล้ว เมืองฉางอันยังคงดำเนินไปอย่างเป็นระเบียบ ไม่ได้เป็นไปอย่างที่อวิ๋นเยี่ยคิดว่าจะปิดเก้าเมืองและทำการตรวจค้นครั้งใหญ่ ไม่รู้ว่าหลี่ซื่อหมินเล่นเกมอะไรอยู่


 


   ถังซ่านสือบุตรชายของถังเจี่ยนได้ส่งหยกจันทร์เสี้ยวมาถึงบ้านและกล่าวขอบคุณอย่างยืดยาวโดยที่จับต้นชนปลายไม่ถูก จากนั้นก็รีบร้อนลากลับ มองดูแววตาที่ไม่รู้เรื่องของเขา ก็รู้ว่าถังเจี่ยนไม่ได้เล่าเรื่องหญ้าลืมทุกข์ให้ลูกชายของตัวเองรับรู้


 


เขาแย่งหยกจันทร์เสี้ยวมาจากมือของถังซ่านสือที่ยืนกัดฟันอยู่มาดูอย่างละเอียด ไม่เสียทีที่ได้ชื่อว่าดวงจันทร์จริงๆ แม้ว่าจะเป็นเพียงพระจันทร์เสี้ยว แต่เนื้อของหยกนั้นเป็นของชั้นเลิศจริงๆ ละเอียดประณีตจนดูเหมือนกึ่งโปร่งแสง สวมไว้ที่นิ้วหัวแม่มือก็ไม่รู้สึกอึดอัดแม้แต่เล็กน้อย ขณะเหนี่ยวคันธนู หากสวมไว้ย่อมถือเป็นของล้ำค่าชั้นเยี่ยมจริงๆ


 


อวิ๋นเยี่ยทำท่าการเหนี่ยวคันธนูอยู่หลายครั้งและพูดกับถังซ่านสือผู้ซึ่งไม่เคยละสายตาจากหยกจันทร์เสี้ยวเลยว่า “วางใจเถอะ บิดาเจ้ามอบของสิ่งนี้ให้ข้าแต่ก็ยังไม่ได้ต้องการตัดขาดกับข้า เพียงแค่เป็นการขอบคุณเท่านั้น ของสิ่งนี้ข้าอยากจะมอบให้คนคนหนึ่งแล้วจะตัดขาดกับนางอย่างสิ้นเชิง”


 


ถังซ่านสือเองก็อายุเพียงยี่สิบปี ถูกอาจารย์ประจำตระกูลถังเสี้ยมสอนจนเป็นคนใจดำไร้ยางอาย ของก็มอบให้ผู้อื่นแล้วแท้ๆ แต่ก็ยังพยายามอ้อมค้อมถามหาสาเหตุ พ่อของเขาถือตัวไม่เห็นใครอยู่ในสายตามาโดยตลอด ครั้งนี้เขาถูกอวิ๋นเยี่ยขู่กรรโชกจนเจ็บปวดรวดร้าวหัวใจ มีหรือยังจะไว้หน้าเขาอีก คิดว่าอยู่ที่บ้านคงต้องโดนดุด่าอย่างรุนแรงแน่


 


“พี่ถัง เจ้าก็อย่าได้ถามอีกเลย จะได้ไม่ทำให้ถังกงโกรธ เจ้าเพียงแค่ต้องรู้ว่าถังกงนั้นมอบหยกจันทร์เสี้ยวให้น้องชายด้วยความเต็มใจ ถ้าไม่ใช่ว่ายังมีประโยชน์กับข้า อย่าคิดว่าข้าจะปล่อยให้ถังกงเอาเปรียบมากถึงเพียงนี้”


 


คำพูดของอวิ๋นเยี่ยไม่ได้มีความชัดเจนอะไร จึงทำให้ถังซ่านสือสับสนมากยิ่งขึ้น แต่ในเมื่อของก็มอบไปแล้ว อีกทั้งท่านพ่อของตนเองก็เป็นคนสั่งมา จึงได้แต่จากไปอย่างอาลัยอาวรณ์


 


ไม่มีข่าวเกี่ยวกับพิธีอภิเษกสมรสที่จะจัดขึ้นในอีกสามวันต่อมา หลี่อันหลานฝากรัชทายาทให้ขอบคุณอวิ๋นเยี่ยด้วย นี่เป็นครั้งแรกที่นางมีปฏิกิริยาตอบสนองเหมือนคนปกติทั่วไป เลิกคิดว่าทุกคนในโลกนี้ต่างก็เป็นหนี้นาง ไม่ว่าทำอะไรเพื่อนางก็ถือเป็นสิ่งสมควรแล้ว


 


อวิ๋นเยี่ยเข้าวังไม่ได้แล้ว เขาถูกราชองครักษ์ไล่ออกมาทันทีที่เขามาถึงประตูวัง ถึงแม้ว่าราชองครักษ์ร่างกำยำที่มีหนวดเคราดกหนานั้นจะพูดด้วยความสุภาพ แต่แสดงอาการปฏิเสธอย่างชัดเจนมาก ทั้งยังริบป้ายแขวนเอวที่อนุญาตเข้าวังคืน โดยให้เหตุผลคือของชิ้นนี้หนักเกินไป กลัวโหวเหยียเอวเคล็ด


 


เหตุผลนี้น่าสนใจ อวิ๋นเยี่ยถอดป้ายแขวนเอวออก ทันใดนั้นก็รู้สึกผ่อนคลายลงมากมาย โบกมือให้องครักษ์ เดินจากไปอย่างองอาจผึ่งผายเป็นที่สุด ถ้าเป็นไปได้เขาก็ไม่ต้องการเข้าวังอีกเลยตลอดชีวิต คราวนี้ริบป้ายแขวนเอวคืน ช่างตรงกับความคิดอวิ๋นเยี่ยจริงๆ


 


เขาเริ่มจะลงมาควบคุมการก่อสร้างที่ตรอกซิ่งฮว่าฟางอย่างเต็มที่ เขาไม่มีคุณสมบัติที่จะถามเกี่ยวกับเรื่องการสร้างตำหนักอีกต่อไป แม้แต่กงซูมู่เชื้อเชิญเขาไปเยี่ยมชมโครงสร้างตำหนัก อวิ๋นเยี่ยก็ยิ้มแล้วปฏิเสธไป


 


“อวิ๋นโหว ตระกูลกงซูไม่ใช่คนที่พายเรือไปตามน้ำ ครั้งนี้ที่ตระกูลกงซูข้าสามารถได้แสดงทักษะครั้งใหญ่ได้ก็มาจากการที่อวิ๋นโหวเป็นผู้มอบให้ พวกข้าทุกคนในตระกูลจะจดจำขึ้นใจ การสร้างตำหนักก็เป็นเพียงการสร้างตำหนักเท่านั้น สิ่งที่ข้าให้ความสำคัญมากที่สุดไม่ใช่การสร้างตำหนักหนึ่งหลังบนพื้นดิน แต่อยากจะสร้างตำหนักแห่งหนึ่งที่คงอยู่ชั่วกาลในใจของทุกคน วันที่ตำหนักเสร็จสมบูรณ์นั่นก็คือวันที่ตระกูลกงซูกลับสู่สำนักศึกษา”


 


ไม่รู้ว่าผู้เฒ่ากงซูไปได้ยินข่าวบางอย่างที่ไม่ดีต่อตระกูลอวิ๋นมาจากไหน แต่มันสายเกินไปแล้ว เขาจึงตั้งใจใช้ฐานะช่างใหญ่ขอให้อู่โหวส่งเขามาที่ตระกูลอวิ๋น พูดคำพูดยืดยาวในทำนองที่แสดงความภักดีต่อเขาอย่างฮึกเหิมห้าวหาญ


 


“ท่านกงซู ท่านคิดผิดไปแล้ว ตระกูลของท่านสร้างตำหนักด้วยความเหนื่อยยาก ตำแหน่งและรางวัลที่ควรได้ในภายหน้าก็ล้วนสมควรได้รับแล้ว ท่านก็ยอมรับมันอย่างหน้าชื่นตาบาน สำนักศึกษาไม่ได้เป็นของข้า มันก็เป็นของท่านด้วย และยิ่งไปกว่านั้นสำนักศึกษาเป็นของพวกเราทุกคนด้วย แน่นอนว่าพวกเราเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเพื่อให้สำนักศึกษาสามารถดำรงอยู่ได้ตลอดไป เพื่อเพิ่มบุคลากรทีละเล็กละน้อยให้กับชนเผ่าที่ยิ่งใหญ่ของเรา แต่ไหนแต่ไรข้าไม่เคยสงสัยในความจริงใจของตระกูลกงซูเลย ท่านไปทำในสิ่งที่ท่านควรทำเถิด ไม่ต้องคำนึงถึงความรู้สึกข้า หากจะนำตำหนักมาเป็นตัวประกันเพื่อขออะไรบางสิ่งบางอย่างจากราชวงศ์ มันไม่ใช่นิสัยของอวิ๋นเยี่ย ตำหนักว่านหมินนั้นเดิมก็ควรจะเป็นตระกูลกงซูของท่านมารับหน้าที่สร้างให้เสร็จ


 


ตำหนักแห่งนี้เป็นความหวังของผู้คนชาวฉางอัน ข้าไม่ต้องการที่จะเห็นมันแปดเปื้อนกับแผนการชั่วร้ายแม้แต่น้อยนิด”


 


กงซูมู่จึงหัวเราะขึ้น ความไร้เดียงสาเหมือนเด็กได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายชรา เขาตบไหล่อวิ๋นเยี่ยเบาๆ จากนั้นก็ม้วนแบบก่อสร้างที่นำมาด้วยเก็บขึ้นหนีบไว้ที่ใต้รักแร้และฮัมเพลงท่อนหนึ่งที่ไร้ชื่อไม่รู้ว่าเป็นของถิ่นไหน ก้าวเท้าเดินอย่างร่าเริงออกจากตระกูลอวิ๋นไป


 


การที่ป้ายแขวนเอวของอวิ๋นเยี่ยถูกริบคืนนั้นดูเหมือนจะบ่งบอกว่าความโปรดปรานของราชวงศ์ที่มีต่ออวิ๋นเยี่ยได้สิ้นสุดลงแต่เพียงเท่านี้ มีบ้างที่เคียดแค้นศัตรูคนเดียวกัน มีบ้างที่คอยซ้ำเติมผู้ที่ตกอับ แต่ที่มีมากที่สุดกลับเป็นพวกที่ยืนอยู่บนกำแพงคอยชมทัศนียภาพ


 


   ตั้งแต่กลับมาจากทุ่งหญ้า มรสุมแห่งฉางอันก็เกิดขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน อวิ๋นเยี่ยที่รักความสบายถูกบังคับให้ต้องเข้าไปพัวพันในมรสุมนี้ หลี่ซื่อหมินชอบการต่อสู้ แต่อวิ๋นเยี่ยเกลียดการต่อสู้ เขาไม่ชอบการต่อสู้ไม่ว่าจะเป็นชนิดใดก็ตาม


 


การขอร้องแทนหลี่อันหลานอาจทำให้หลี่ซื่อหมินโกรธได้ ตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญของแต่ละชนเผ่าในทุ่งหญ้าในการแต่งตั้งตำแหน่งของท่านข่านของพวกเขา หลี่ซื่อหมินไม่ชอบเหตุเหนือความคาดหมาย เพื่อที่จะสามารถใช้ช่วงเวลาสำคัญนี้ให้ผ่านพ้นไปอย่างสงบ เขาจึงเลือกที่จะไล่อวิ๋นเยี่ยซึ่งเป็นตัวแปรอันไม่คงที่ให้ไปไกลๆ เพื่อให้ตนเองได้เสพสุขอย่างสงบกับช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ที่สุดในชีวิตของเขา


 


งานแต่งงานของหลี่อันหลานไม่ได้เกิดขึ้นตามหมายกำหนด นี่คือสิ่งที่หลี่ซื่อหมินอธิบายต่ออวิ๋นเยี่ย จากนั้นใช้เรื่องการริบป้ายแขวนเอวคืนเพื่อบอกอวิ๋นเยี่ยว่าเจ้าควรกลับไปที่สำนักศึกษาได้แล้ว ไม่ต้องสอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของราชวงศ์อีก


 


อวิ๋นเยี่ยกำลังเตรียมจะจากไป ขณะที่เขาไปตรอกซิ่งฮว่าฟางเพื่อตรวจสอบสถานที่ก่อสร้างเป็นครั้งสุดท้ายนั้น ในช่วงที่ชาวบ้านตระกูลอวิ๋นกำลังเก็บกวาดซากปรักหักพังก็ได้พบห้องลับห้องหนึ่ง หลังจากเหล่าจวงได้ตรวจสอบซ้ำแล้วซ้ำอีก อวิ๋นเยี่ยจึงได้เข้าไปในห้องลับนั้น ด้านในเต็มไปด้วยท่อทองแดง ดูเหมือนว่าจะใช้สำหรับการดักฟัง จึงสั่งให้ชาวบ้านขุดลอกไปตามท่อทองแดง อวิ๋นเยี่ยจึงได้พบว่านี่เป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งที่ใช้ตรวจสอบคำพูดของคนในตระกูล แต่ที่ค่อนข้างน่าแปลกคือมีร่องรอยของการขีดข่วนบนผนังห้องลับ ซึ่งเป็นรอยขีดข่วนด้วยมือ รอยเล็บทั้งห้าเห็นได้อย่างชัดเจนมาก ทั้งยังมีคราบเลือดติดอยู่ด้วย


 


อวิ๋นเยี่ยมองไปที่มือของตัวเองและกำลังคิดถึงว่าคนที่สามารถทิ้งรอยขีดข่วนไว้บนกำแพงอิฐได้ ถ้าเขาไม่ใช่ยอดฝีมือ เช่นนั้นเขาจะต้องโกรธมากในเวลานั้น บางครั้งความโกรธก็เป็นพลังอย่างหนึ่งเช่นกัน มันสามารถทำให้คนมีความแข็งแกร่งและความมุ่งมั่นทั้งที่ยามปกติไม่สามารถมีเกิดขึ้นได้


 


เชื้อสายสายตรงของตระกูลโต้วมีเพียงโต้วเยี่ยนซันคนเดียวที่ไร้ร่องรอย รายงานของทางการระบุว่าโต้วเยี่ยนซันเสียชีวิตแล้วในกองไฟ ในรายงานดังกล่าวยังได้กล่าวถึงรูปพรรณสันฐานและการแต่งกายของโต้วเยี่ยนซันด้วย ซึ่งเมื่อตรวจสอบกับศพไหม้เกรียมในสถานที่เกิดเหตุก็ไม่มีความผิดเพี้ยนใดๆ โต้วเยี่ยนซันถูกเผาจนตาย


 


ในใจอวิ๋นเยี่ยเริ่มวิตก คนบ้าคนหนึ่งที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชังอยู่แน่นอกอยู่ในฉางอันเหมือนวิญญาณล่องลอย บางทีวันหนึ่งจู่ๆ เขาอาจจะโผล่ออกมาบีบคอศัตรูอย่างโหดร้าย อวิ๋นเยี่ยแทบสรุปได้เลยว่าโต้วเยี่ยนซันเคยอยู่ในห้องลับนี้มาก่อน


 


ฉางอันอันตรายมาก แต่ไม่รู้ว่าใครจะเป็นเป้าหมายแรกของการแก้แค้นของโต้วเยี่ยนซัน เมื่อคิดเชื่อมไปถึงฝิ่นในมือของราชาแห่งแดนเถื่อนกับกองคาราวานแถบซีอวี้อันทรงพลังของตระกูลโต้ว หากยังไม่รู้ว่าคราวนี้ใครเป็นคนลงมือกับหลี่ซื่อหมินอย่างเ**้ยมโหด อวิ๋นเยี่ยก็ควรไปล้างคอรอให้โต้วเยี่ยนซันมาตัดไปได้เลย โชคดีที่ศัตรูหมายเลขหนึ่งของเขาคือหลี่ซื่อหมินไม่ใช่ตัวเอง มิฉะนั้นในสถานการณ์ที่ศัตรูอยู่ที่ลับตนเองอยู่ที่แจ้งนั้นเสียเปรียบเอามากๆ


 


แต่ก็รู้สึกโศกเศร้าแทนโต้วเยี่ยนซันด้วย เขาเป็นศัตรูที่ดีและเป็นศัตรูที่ทรงพลังมาก คุ้มค่ากับการทุ่มเททั้งชีวิตของเขาเพื่อล้างแค้น หวังว่าเขาจะไปก่อความวุ่นวายให้กับหลี่ซื่อหมินอย่าได้เปลี่ยนเป้าหมายกันง่ายๆ อวิ๋นเยี่ยรู้สึกว่า การที่ตนเป็นศัตรูหมายเลขสองของโต้วเยี่ยนซันเป็นเรื่องแน่นอนไม่มีวันเปลี่ยนแล้ว


 


หลี่เค่อไม่รู้สึกแปลกใจเลยสักนิดที่ขุดเจอห้องลับในตระกูลโต้ว ในตระกูลใหญ่มีใครบ้างที่ไม่มีวิธีรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉิน ตอนนี้เขารู้สึกสนใจบริเวณพื้นที่ของตระกูลโต้วเป็นอย่างมาก มีห้องลับที่ซ่อนคนได้ ก็จะต้องมีห้องลับสำหรับเก็บทรัพย์สินเงินทองอย่างแน่นอน


 


ในวันนั้นตระกูลโต้วถูกไฟไหม้จนตายจะต้องไม่มีเวลาเคลื่อนย้ายสมบัติของตระกูลออกไปแน่ บางทีมันอาจจะถูกฝังอยู่ในบริเวณบ้านตระกูลโต้วที่กว้างใหญ่ก็เป็นได้ จะไม่ให้หาออกมาได้อย่างไรกัน เรื่องประเภทนี้ต้องการผู้เชี่ยวชาญมาจัดการอย่างเช่นหวงสู่


 


อวิ๋นเยี่ยเป็นกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของครอบครัว จึงนำทหารองครักษ์กลุ่มใหญ่ออกจากฉางอันมุ่งหน้าสู่เขาอวี้ซันไม่ยอมหยุดแม้แต่เสี้ยวนาที และตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ออกจากเขาอีก เว้นเสียแต่ว่าโต้วเยี่ยนซันถูกจับ มิฉะนั้นแล้วให้คนทั้งครอบครัวอยู่ในตระกูลอวิ๋นแล้วเฝ้าดูแลด้วยตัวเองไม่ใช่วิธีที่ดี สำหรับเรื่องที่ว่าจะบอกการคาดเดาที่แปลกประหลาดนี้ให้หลี่ซื่อหมินรู้หรือไม่นั้น ไม่เคยปรากฏความคิดนี้ขึ้นในสมองของอวิ๋นเยี่ยเลย


 


ตอนนี้ตระกูลอวิ๋นมีแต่ความบอบบางอย่างไม่เคยมีมาก่อน การซื้อกองคารวานอย่างต่อเนื่อง โดยที่แต่ละกองต้องมีเจ้าหน้าที่บัญชีและทหารยามของตระกูลอวิ๋นอยู่ด้วย พวกหลิวจินเป่าสิบกว่าคนกระจัดกระจายอยู่ทั่วต้าถัง ตอนนี้จะเรียกกลับมามันก็ไม่ทันการณ์อยู่ดี


 


เมื่อกลับถึงบ้านจึงเล่าความวิตกกังวลให้ท่านย่าฟัง ต้นสายปลายเหตุของเหตุการณ์ทั้งหมดก็อธิบายอย่างชัดเจน ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะทำเรื่องสิ้นคิดประเภทที่ทำด้วยความโผงผาง ปกปิดเอาไว้แล้วแอบตรวจสอบด้วยตัวเอง มีแต่พวกที่ไม่เห็นว่าชีวิตคนในครอบครัวเป็นเรื่องสำคัญจึงจะสามารถทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้


 


การให้ทุกคนในบ้านต้องคอยระมัดระวังตัวจึงจะเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง การมีการเตรียมตัวย่อมดีกว่าไม่เตรียมตัวเลย


 


“ท่านย่า คราวนี้เพราะหลานทำให้ที่บ้านต้องเดือดร้อนไปด้วย เป็นความผิดของหลานเอง ต่อไปจะไม่ให้เกิดขึ้นอีกเป็นอันขาด” อวิ๋นเยี่ยกอดเสี่ยวยาไว้ ขอขมาท่านย่าต่อหน้าคนทั้งครอบครัว


 


ท่านย่ายังคงนับสร้อยลูกประคำและเครื่องหยกที่อยู่ในมือพลางพูดด้วยรอยยิ้ม “มีตระกูลใหญ่ตระกูลไหนบ้างที่จะไม่มีศัตรูสักคนหรือสองคน เมื่อก่อนข้ายังรู้สึกประหลาดใจว่าหลานชายข้าที่แท้แล้วมีความสามารถของอันใดที่นำตระกูลเข้าไปข้องเกี่ยวอยู่ท่ามกลางตระกูลใหญ่ต่างๆ ได้โดยไม่ต้องล่วงเกินผู้ใดเลย สามารถทำให้ที่บ้านสงบสุขมาโดยตลอด ตอนนี้ดูไปแล้วถ้าตระกูลอวิ๋นอยากขึ้นมาเป็นตระกูลใหญ่ก็คงหนีไม่พ้นการก่อศัตรู ย่าเองก็ได้เตรียมการไว้สำหรับวันนี้แล้ว เสี่ยวเยี่ยเจ้าไม่ต้องกังวล


 


กากเดนของตระกูลโต้วอยากจะสร้างความโกลาหล แต่เขาเลือกผิดตระกูลแล้ว ตระกูลอวิ๋นในใจของชาวบ้านทั่วทุกที่แม้ว่าจะไม่ถึงขั้นพระพุทธเจ้ามาโปรด แต่ก็มีคนไม่น้อยที่อาศัยพึ่งพาหากินอยู่กับตระกูลอวิ๋น


 


ขอเพียงแค่ย่าทักทายชาวบ้านในทั่วทุกที่เหล่านั้น ย่าไม่เชื่อว่าคนตระกูลโต้วจะสามารถทำอะไรก็ได้ตามแต่ที่พวกเขาต้องการในพื้นที่ตระกูลอวิ๋นได้ การทำความดีของตระกูลอวิ๋นในช่วงสองปีที่ผ่านมานั้นไม่ได้ไร้ประโยชน์”


 


คำพูดเหล่านี้ทำให้อวิ๋นเยี่ยถึงกับอึ้งไป เขาไม่เคยดูแลเรื่องในบ้านมาก่อน และท่านย่าก็ไม่ต้องการให้เขาดูแลด้วย แล้วเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าตระกูลอวิ๋นได้กลายเป็นตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียงในท้องถิ่นมานานแล้ว ขอเพียงท่านย่ามีคำสั่งเพียงคำเดียว ตระกูลโต้วก็จะจมดิ่งสู่ก้นมหาสมุทรดั่งในตำนานของชาวบ้าน


 


เมื่อดูจากการดูแลตระกูลของท่านย่าที่ส่งแต่ละคนออกไปแล้วนั้น ก่อนหน้าที่ผู้ดูแลทุกคนจะออกไปต่างก็ตบอกรับประกัน ไม่ว่าจะทำอะไรก็จะจบลงด้วยคำว่าหากทำไม่สำเร็จก็ยินดีมอบศีรษะให้ อวิ๋นเยี่ยจึงพบว่า ด้วยสถานะปัจจุบันของท่านย่านั้น นางมีบารมีน่าเกรงขามมากจริงๆ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)