เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 5 ตอนที่ 41-42

ส่วนที่ 5

 

ตอนที่ 41 อำนาจของพ่อค้า

 

อวิ๋นเยี่ยนั้นยุ่งมาก เขาต้องสะสางงานทั้งหมดให้เรียบร้อยก่อนจึงจะถอยออกมาได้ หลี่เค่อได้สั่งสมประสบการณ์การสร้างอาคารไว้มากพอแล้ว ให้เขาไปหาสหายที่มีความคิดเช่นเดียวกันอีกสี่คนเพื่อจัดตั้งกลุ่มขึ้น เชื่อว่าจะต้องได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าแน่นอน


 


 


ดังนั้นหลังจากอวิ๋นเยี่ยโยนภาพแบบก่อสร้างของตรอกซิ่งฮวาฟางให้กับเขาแล้วก็ไม่สนใจอีกเลย คราวนี้การสร้างบ้านของตรอกซิ่งฮวาฟางนอกจากความแตกต่างเล็กน้อยในโครงสร้างอาคารหลังเล็กของสำนักศึกษาแล้ว ก็มีเพียงเรื่องของการออกแบบภูมิทัศน์กลางแจ้งเพิ่มขึ้นมา มีอาจารย์หลีสือเป็นผู้ดูแลหลักอวิ๋นเยี่ยไม่มีอะไรต้องกังวล แรงงานที่ตระกูลอวิ๋นว่าจ้างมาได้เริ่มลงมือถางพื้นที่บริเวณที่จะก่อสร้างแล้ว


 


 


ที่วุ่นวายก็คือเรื่องตำหนัก มีการควบคุมอย่างเข้มงวดเรื่องของการเข้าและออกในแต่ละวัน ทุกคนจะมีป้ายอนุญาต ผู้ที่ไม่มีป้ายหากเข้าหรือออกตามอำเภอใจจะถูกลากไปยังที่ว่าการเพื่อลงโทษ ขั้นตอนการเข้าออกนั้นมากมายซับซ้อนและใช้เวลานานมาก อวิ๋นเยี่ยกังวลว่าการสร้างฐานรากของตำหนักจะเสร็จสมบูรณ์ได้ตามกำหนดเวลาหรือไม่ โชคดีที่ที่นั่นเดิมก็มีเนินเขาเล็กๆ อยู่แล้ว ตระกูลกงซูได้คำนวณถึงความยิ่งใหญ่ของโครงการมาตั้งแต่แรกแล้ว ด้วยความคิดที่คำนึงถึงภาพรวมทั้งหมดของตระกูลอวิ๋นด้วยหากสามารถประหยัดได้เล็กน้อยพวกเขาก็จะทำ


 


 


กงซูเจี่ยนั้นเป็นหัวหน้าคนงาน หลังจากที่ทำการศึกษาคุณภาพดินของเนินเขานั้นได้แล้วก็รู้สึกพึงพอใจกับการออกแบบของตระกูลตนเองเป็นอย่างมาก เนินเขานั้นสามารถนำมาใช้ได้ ในฐานะมือหนึ่งในวงการสิ่งที่น่ารำคาญที่สุดก็คือมีคนมายืนจู้จี้ขี้บ่น ซึ่งอวิ๋นเยี่ยเป็นผู้ที่เล่นบทที่น่าอับอายนี้พอดีเลย ประเดี๋ยวก็บ่นว่าหน้างานนั้นวุ่นวายมาก ตะกร้าไม้ไผ่ที่ใช้ใส่ดินโยนทิ้งระเกะระกะอยู่ทั่วพื้น ไม่มีความปลอดภัยเอาเสียเลย ประเดี๋ยวก็ติติงว่าช่างฝีมือทำงานจนร้อนมากถึงกับถอดเสื้อทำงาน


 


 


หลังจากที่ทุกคนอดทนเป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม อวิ๋นโหวที่เก่งกล้าสามารถทุกอย่างถูกเชิญให้ออกจากหน้างาน และพูดตามตระกูลกงซูที่ว่า “ความปรารถนาดีของอวิ๋นโหวทุกคนรู้แล้ว ได้ยินว่าวันนี้ในเมืองฉางอันสนุกสนานครื้นเครงเป็นพิเศษ เหตุใดอวิ๋นโหวไม่ลองไปดูเสียหน่อย”


 


 


อวิ๋นเยี่ยรู้ว่าตัวเองค่อนข้างเป็นส่วนเกิน แต่เขาก็ไม่กล้าออกจากวัง พ่อค้าทั่วทั้งเมืองฉางอันกำลังรอเขาอยู่นอกวัง ตามที่เหล่าจวงรายงานแม้แต่ชาวเผ่าหูก็มา


 


 


เจ้าของที่ที่ร่ำรวยมั่งคั่งกำลังกอบโกยอย่างเงียบๆ พร้อมทั้งได้ชื่อเสียงโดยไม่คำนึงถึงความเหนื่อยยากของพ่อค้านับพันในฉางอันเลยแม้แต่น้อย การสร้างตำหนักให้ฮ่องเต้ทำไมจึงมีแต่ร้านค้าของพวกตระกูลใหญ่เท่านั้นที่ได้รับผลประโยชน์ ประชาชนคนทั่วไปอย่างพวกเราสมควรแล้วที่ต้องเฝ้าดูอยู่ข้างๆ อย่างนั้นหรือ


 


 


หากมีผลประโยชน์พวกเราก็ควรจะแบ่งกัน ฝ่าบาทไม่ได้เป็นเพียงฮ่องเต้ของตระกูลใหญ่อย่างพวกเจ้า แต่ก็เป็นฮ่องเต้ของพวกเราด้วยเช่นกัน เพราะอะไรป้ายอนุญาตของราชวงศ์จึงมีแต่พวกเจ้าที่ใช้ได้ พวกตระกูลใหญ่สามารถขายสินค้าในราคาร้อยละยี่สิบให้กับฝ่าบาทได้ แล้วทำไมพวกเราจะทำไม่ได้ พวกเราไม่เอาเงินแม้แต่แดงเดียว ขอเพียงอนุญาตให้พวกเขาได้ใช้ชื่อของราชวงศ์ก็พอ สินค้าก็จะถูกส่งมาถึงที่เลย


 


 


หลี่เฉิงเฉียนยืนอยู่บนกำแพงวังดูฝูงชนที่แน่นขนัดแล้วหัวเราะจนท้องแข็ง วิ่งทุลักทุเลกลับตำหนักไท่จี๋ นำเรื่องนี้เล่าให้หลี่ซื่อหมินและขุนนางใหญ่ฟัง ในราชสำนักพลันเกิดความอลหม่านขึ้นในทันใด


 


 


ขุนนางฝ่ายบุ๋นกำลังถกปัญหากล่าวโทษอวิ๋นเยี่ยที่ไม่รักษาหน้าตาของราชวงศ์ ให้พ่อค้านำชื่อของราชวงศ์ไปใช้โดยพลการ ซึ่งเกิดความเสียหายอันใหญ่หลวงต่อชื่อเสียงบารมีของราชวงศ์ ผลก็คือเหล่าตระกูลขุนนางที่มีส่วนได้รับผลประโยชน์ก็เถียงคอเป็นเอ็น ขณะที่กำลังจะโกรธแต่ตอนนี้เมื่อได้ยินเรื่องน่าตลกเช่นนี้ แต่ละคนก็ปิดปากเงียบไม่พูดอะไรในทันที


 


 


ประชาชนต่างก็แย่งกัน กลัวจะไม่ได้สร้างตำหนักให้ราชวงศ์โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย นี่คือสิ่งที่ทุกยุคทุกสมัยไม่เคยเกิดขึ้นเลยในอดีต อย่าเพิ่งพูดถึงจุดเริ่มต้นของพวกเขาคืออะไร แต่ด้วยความตั้งใจนี้มันก็เพียงพอแล้วที่จะอธิบายว่าราชวงศ์ถังได้ใจประชามากเพียงไร ยังจะกล่าวโทษอะไรกันอีก ไม่เห็นหรือว่าฝ่าบาททรงพระสรวลจนพระโอษฐ์จะค้างอยู่แล้ว เหล่าตระกูลใหญ่ก็ยิ้มหน้าบาน เจ้าหน้าที่ของกรมโยธาหน้าตาซีดเซียว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เงินสามหมื่นก้วนของอวิ๋นเยี่ยยังไม่ทันใช้จนหมดก็สามารถสร้างตำหนักที่โอ่อ่าหรูหราได้แล้ว


 


 


“โอ้ ในเมื่ออวิ๋นเยี่ยเป็นคนก่อเรื่องให้เกิดขึ้น เช่นนั้นก็ให้เขาจัดการมันเอง ไม่ควรทรยศต่อความหวังดีของประชาชน เราพูดเมื่อสองสามวันก่อนว่าน้ำสามารถพยุงเรือได้และมันก็สามารถคว่ำเรือได้ เห็นทีว่าใจประชาของต้าถังเรานั้นนำมาใช้ประโยชน์ได้ หลังจากสร้างตำหนักหลังนี้เสร็จให้ชื่อว่าตำหนักว่านหมิน เพื่อเป็นการแสดงถึงน้ำใจของชาวประชา รัชทายาท เจ้าช่วยขอบคุณไมตรีจิตที่ลึกซึ้งของชาวประชาแทนเราด้วย”


 


 


จะหลบก็หลบไม่ได้แล้ว อย่างไรเสียอวิ๋นเยี่ยก็ต้องออกจากวัง ประสาอะไรกับที่หลี่เฉิงเฉียนได้นำพระราชกระแสรับสั่งของฝ่าบาทที่ให้เขาแก้ปัญหานี้ พ่อค้าของต้าถังล้วนแต่เป็นแบบอย่างตามมาตรฐานของคนในยุคปัจจุบัน อย่าว่าแต่เรื่องหลอกลวงผู้บริโภคเลย แม้แต่เรื่องการนำของมาเกรดต่ำกว่ามาตรฐานมาขายที่พ่อค้าโดยทั่วไปมองว่าเป็นเรื่องปกติก็ไม่มีให้เห็นแม้แต่กรณีเดียว หากบอกว่าเป็นผ้าแพรไหมจากแดนเสฉวนก็จะไม่มีทางเป็นของหยางโจวอย่างแน่นอน หากบอกว่าเป็นหน่อไม้จากเขาหนานซันก็จะไม่ใช่ของจากเขาซีซันอย่างแน่นอน


 


 


อวิ๋นเยี่ยเริ่มบ่นอุบกับจิตใจบริสุทธิ์ของผู้คนในยุคนี้ ไม่มีพ่อค้าแม้แต่คนเดียวที่จะมีข้อผิดพลาดให้จับผิดได้ แล้วจะให้เขาเลือกอย่างไร


 


 


พ่อค้าอาจเป็นกลุ่มคนที่บริสุทธิ์ที่สุดในโลกนี้ พวกเขามีความไวต่อข้อมูลมากที่สุด แต่ละคนต่างก็มีตาชั่งอยู่ในใจ สิ่งไหนสำคัญมากกว่ากันย่อมรู้อย่างชัดเจนที่สุด


 


 


ตลาดกลางนั้นมีมาเป็นเวลานานแล้ว พวกเขาก็รู้ว่าความวุ่นวายไม่ใช่วิธีที่จะจัดการกับสิ่งต่างๆ ได้ แต่ละอาชีพก็มีกลุ่มก้อนของตัวเอง โดยมีผู้คนที่มีคุณธรรมน่าเคารพนับถือมากที่สุดให้เป็นผู้นำ พวกเขาบันทึกความต้องการของพวกเขาและให้ตัวแทนส่งมอบให้กับอวิ๋นเยี่ย


 


 


ไม่ต้องละโมภ ตลาดกลางแต่ละแห่งต่างก็ต้องการสมาชิกเพียงหนึ่งรายเท่านั้น ซึ่งนี่ถือเป็นจำนวนรวมที่ต้องการ ให้พวกเขาเลือกพ่อค้าที่เหมาะสมและออกใบอนุญาตให้จึงจะสามารถใช้ตราสินค้าที่เป็นของราชวงศ์โดยเฉพาะ อวิ๋นเยี่ยรู้สึกว่ากฎหมายเครื่องหมายการค้ากำลังจะกำเนิดขึ้นจากคนเหล่านี้


 


 


กฎหมายอาญาของราชวงศ์ถังเป็นเพียงกฎหมายที่เป็นแค่ภาพรวมโดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านการค้า มันถูกบัญญัติขึ้นอย่างเรียบง่ายเป็นข้อๆ ภาพรวมเท่านั้นสำหรับรายละเอียดที่เหลือตลาดกลางจะเป็นผู้ที่เพิ่มเติมให้สมบูรณ์ พ่อค้าที่ไม่ปฏิบัติตามกฎของตลาดกลาง เมื่อถูกลงโทษจะรุนแรงมากกว่าการลงโทษของทางการอย่างแน่นอน สิทธิ์ในการใช้เครื่องหมายการค้าของราชวงศ์นั้นจะต้องได้รับการคุ้มครองอย่างดีที่สุด


 


 


ภาษีการค้าของต้าถังเพียงหนึ่งในสามสิบส่วนของรายได้ตนเอง ถูกจนเขาต้องยกนิ้วให้เลย ไม่น่าแปลกใจที่จะมีเหล่าพ่อค้ามาขออยู่ใต้อาณัติกับเหล่าตระกูลใหญ่ มีเพียงผลกำไรเป็นกอบเป็นกำของพ่อค้าเท่านั้นที่สามารถสนับสนุนชีวิตที่หรูหราของตระกูลใหญ่ได้


 


 


ไม่ตัดน้ำมันทิ้งไปชั้นหนึ่งจะใช้ได้อย่างไร สำหรับสินค้าก็ให้ราคาอยู่ที่ร้อยละยี่สิบ นี่เป็นฐานราคาที่ไม่ห้ามทำลายเด็ดขาด สำหรับสิทธิ์ในการใช้เครื่องหมายการค้าของราชวงศ์ อวิ๋นเยี่ยตั้งใจที่จะให้พวกเขาใช้มันเป็นเวลาห้าปี หลังจากห้าปีแล้วจึงหารือกันใหม่ เขาเชื่อว่าเมื่อพ่อค้าที่ได้ลิ้มรสความหวานแล้วและต้องการได้รับสิทธิ์ในการใช้เครื่องหมายการค้าอีก พวกเขาจะต้องลงทุ่มทุนสุดชีวิตเป็นแน่


 


 


สำหรับงานเหล็ก นี่เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องใช้ งานไม้ก็นับรวมด้วย รถม้าก็นับรวมด้วย แต่เมื่ออ่านไปเรื่อยๆ อวิ๋นเยี่ยก็อารมณ์เสีย ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการสร้างตำหนักไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ เพียงแต่


 


 


กลุ่มการค้าอาหารหมักดองมายุ่งเกี่ยวอะไรด้วย จะแขวนปลาเค็มในวังหรืออย่างไร


 


 


กลุ่มเสื้อผ้าและหมวกแม้ว่าจะมีสินค้าครบวงจร แต่ว่าจะให้อธิบายกับฝ่ายจัดซื้อจัดจ้างงานเย็บปักถักร้อยของราชนิกุลอย่างไร ได้ยินว่าผู้ที่รับผิดชอบนั้นก็คือนางกำนัลคนสนิทของจั่งซุน ล่วงเกินนางกับล่วงเกินจั่งซุนจะมีอะไรแตกต่างกัน


 


 


ให้ตายสิ หอโคมเขียวเจ้ามาเกี่ยวอะไรด้วย วังหลังของหลี่ซื่อหมินก็แออัดเบียดเสียดจะแย่มาตั้งนานแล้ว เขาไม่ชอบไปเที่ยวหอโคมเขียวเหมือนซ่งฮุยจงเสียหน่อย ถ้าเห็นด้วยกับเรื่องนี้จั่งซุนจะต้องจับเขาทำปลาเค็มเป็นแน่


 


 


จึงเรียกหัวหน้าตลาดกลางที่เฝ้าอยู่นอกประตูให้เข้ามา นำบันทึกของกลุ่มงานหลายๆ กลุ่มที่ไม่เหมาะสมวางเรียงต่อหน้าพวกเขาเพื่อให้ดูด้วยตัวเอง ผู้เฒ่าหลายคนมองไปที่กลุ่มงานหลายที่ถูกตีกลับมา จากนั้นจึงพูดกับอวิ๋นเยี่ยอย่างราบเรียบว่า “อวิ๋นโหว พ่อค้าเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ได้ผ่านการพิจารณาอย่างรอบคอบแล้วจึงได้ส่งขึ้นมา ท่านดูสิ เสื้อผ้าและหมวกเป็นกลุ่มการค้าขนาดใหญ่ นอกจากนี้เขายังมีร้านผ้าไหม ผ้าฝ้ายคอยให้การสนับสนุนอยู่อีกด้วย ข้ารู้ว่าการสร้างตำหนักว่านหมินไม่จำเป็นต้องใช้พวกเขา แต่ว่าเงินทองคงต้องได้ใช้กระมัง


 


 


ข้าได้ยินว่าฮองเฮาประทานเงินให้อวิ๋นโหวเพียงสามหมื่นก้วน เงินเพียงเล็กน้อยนี้นำมาใช้สร้างตำหนักว่านหมินนั้นเรียกได้ว่าเป็นเหมือนน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ในเมื่อพวกเราจะสร้างตำหนักหลังนี้ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน หากมันดูซอมซ่อเกินไปไม่เท่ากับทำให้ฝ่าบาทต้องทรงเสียหน้าหมดหรือ พวกเราได้รับผลประโยชน์จากราชสำนักแต่กลับไม่ได้ทำงานให้สำเร็จด้วยดี แล้วตำหนักนี้ยังจะสามารถตั้งชื่อว่าตำหนักว่านหมินได้อีกหรือ”


 


 


อวิ๋นเยี่ยจะไม่ยอมรับก็คงจะไม่ได้แล้ว เห็นได้ชัดว่าแต่ละคนอยากสร้างความสนิทชิดเชื้อกับราชวงศ์ให้มากขึ้น แต่กลับพูดด้วยคำพูดสวยหรูจนทำให้อวิ๋นเยี่ยไม่สามารถปฏิเสธได้ มั่นใจได้เลยว่าความคิดของตาเฒ่าเหล่านี้จะไม่หยุดอยู่เพียงแค่การสร้างตำหนักอย่างแน่นอน


 


 


อย่างไรก็ตามนี่เป็นเรื่องที่อวิ๋นเยี่ยชอบที่จะได้ยินอยากที่จะได้เห็น ไม่จำเป็นต้องเป็นคนร้าย มันเป็นสิ่งที่ดีที่พ่อค้ามีคำเรียกร้องทางการเมือง ก่อนหน้านี้หลี่ซื่อหมินกดขี่พ่อค้าอย่างโหดร้ายเกินไป ตอนนี้พวกเขามีโอกาสได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้จึงต้องการใช้เงินมาแลกกับการผ่อนปรนของทางการแล้ว หวังว่าพวกเขาจะประสบความสำเร็จ


 


 


“ผู้อาวุโสทุกท่านที่กล่าวมาสามารถพูดได้เลยว่าทุกคำมีความหมาย อวิ๋นเยี่ยน้อมรับคำสอน ข้าเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าในเรื่องที่สำคัญเช่นนี้ทุกท่านไม่มีใครต้องการทำลายชื่อเสียงของราชวงศ์ราชวงศ์เป็นแน่ เรื่องนี้ก็ขอมอบหมายให้ทุกท่านช่วยรับหน้าที่ไปด้วย เชื่อว่าจะต้องสามารถรวบรวมเงินได้เพียงพอแน่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อวิ๋นเยี่ยก็ไม่จำเป็นต้องมีส่วนร่วมอีกต่อไป จึงต้องการคืนงานการก่อสร้างตำหนักให้กับกรมโยธา ไม่ทราบว่าอาวุโสทุกท่านคิดว่าเป็นอย่างไร”


 


 


คำพูดเพียงประโยคเดียวของอวิ๋นเยี่ยทำให้เรื่องส่วนตัวของราชวงศ์เป็นเรื่องใหญ่ของราชสำนัก ซึ่งนี่เป็นน่ายินดีที่น่าตกใจสำหรับพ่อค้าชัดๆ เมื่อเรื่องนี้ดำเนินการอย่างเป็นทางการแล้ว เป็นไปได้มากว่าจะสามารถเปลี่ยนมุมมองความคิดของเหล่าขุนนางทั้งราชสำนักที่มีต่อพ่อค้าได้ ไม่แน่ว่าจะสามารถคลายเชือกที่มัดอยู่รอบคอพวกเขาได้


 


 


ผู้เฒ่าแซ่ซูผู้เป็นหัวหน้ายกชายเสื้อขึ้นและเดินขึ้นมาด้านหน้า นำผู้เฒ่าคนอื่นที่เหลืออยู่ทำการคารวะด้วยความเคารพ อวิ๋นเยี่ยไม่ได้ปฏิเสธ นั่งนิ่งบนเก้าอี้เพื่อรับการคารวะจากพวกเขา


 


 


หลังจากที่รอให้พวกเขานั่งลงอีกครั้งแล้ว อวิ๋นเยี่ยจึงพูดขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยว่า “หากไม่ใช่ว่าฝ่ายนั้นกดดันฝ่ายเรา ก็เป็นฝ่ายเราได้กดดันฝ่ายเขา อวิ๋นเยี่ยขออวยพรให้พวกท่านสมดังปรารถนา เงินทองไหลมาเทมา” เมื่อพูดจบก็ประสานมือคารวะเดินออกจากประตู มุ่งหน้าไปยังพระราชวัง


 


 


จั่งซุนสีหน้าแย่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากได้ยินว่าพ่อค้าในฉางอันได้รวมตัวกันเพื่อช่วยกันสร้างตำหนักให้กับราชวงศ์ นางก็นั่งอยู่บนตั่งเตี้ยๆ โดยไม่พูดอะไรเลย อวิ๋นเยี่ยมักจะสามารถยืมพลังของคนอื่นเพื่อบรรลุเป้าหมายของตนเองได้เสมอ ไม่แน่ว่าอาจมีพายุอีกระลอกหนึ่งเกิดขึ้นในราชสำนักก็เป็นได้


 


 


“ฮองเฮา กระหม่อมทำงานเสร็จแล้ว ส่วนที่เหลือก็มอบให้กรมโยธาเป็นผู้จัดการต่อเถิด ข้าเป็นแค่โหวเหยีย ไม่ว่าเรื่องอะไรก็เข้าไปมีส่วนพัวพันไปเสียหมด แลดูไม่เหมาะสม” รออยู่เป็นนานฮองเฮาก็ไม่พูดอะไร อวิ๋นเยี่ยจึงต้องเป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อน


 


 


“โอ้ เรายังคิดว่าเจ้ามาที่นี่เพื่อโอ้อวดเสียอีก คิดไม่ถึงว่าเจ้ายังรู้จักว่าอะไรควรไม่ควร” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจั่งซุน


 


 


“กระหม่อมเป็นข้าราชบริพารของต้าถัง ไม่ใช่ศัตรูของต้าถังเสียหน่อย เหตุใดต้องทำลายฉากสันติภาพที่ได้มาอย่างยากลำบากนี้ด้วย ฮองเฮาทรงกังวลมากไปแล้ว” อวิ๋นเยี่ยคำนับจั่งซุนพร้อมด้วยรอยยิ้ม


 


 


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้เราจะได้นอนหลับอย่างเป็นสุขเสียที หน้าที่ที่ได้รับมอบหมายของเจ้าหลังจากถวายรายงานต่อฝ่าบาทแล้วก็มอบหมายให้ผู้อื่นต่อก็แล้วกัน คิดว่าตู้เค่อหมิงน่าจะอดทนรอเป็นเวลานานแล้ว เจ้าก็อย่าได้ทรมานเขาอีกเลย ให้พวกเขาสร้างตำหนักว่านหมินขึ้นมาให้เรียบร้อย นี่เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่แห่งต้าถังของเรา”


 


 


พอยืนมองจั่งซุนจากไป อวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกผ่อนคลายไปทั้งตัว ตนเองไม่ใช่คนที่เหมาะที่จะทำงานอย่างหมกมุ่น เพราะเหตุใดจึงต้องไปหาเรื่องให้ผู้คนเกลียดชังไปทั่วด้วย ข้าราชบริพารที่มีความสามารถมากที่สุดในประวัติศาสตร์ไม่เคยมีจุดจบที่ดีเลย อวิ๋นเยี่ยคิดว่าเขากลับบ้านแล้วนอนพักหลายๆ วันจึงจะเป็นเรื่องที่จริงจังกว่า


 


 


ครั้นเดินผ่านอุทยาน ก็เห็นหลิงตังที่ผูกแกะจนเป็นสัญลักษณ์ทำท่าลับๆ ล่อๆ แอบอยู่ใต้ต้นหวยซู่มองซ้ายมองขวา นิสัยเด็กๆ ของอวิ๋นเยี่ยจึงบังเกิดขึ้น เขาตัดสินใจเดินอ้อมจากด้านหลังเพื่อหลอกให้นางตกใจเล่น 

 

 


ส่วนที่ 5

 

ตอนที่ 42 มองเรือนร่างข้าแต่เสียน้ำตา...

เสี่ยวหลิงตังค่อยๆ โผล่ศีรษะออกมาจากหลังต้นไม้ ก็เห็นดวงตาคู่หนึ่งจ้องหน้านางอยู่ ด้วยความตกใจจึงต่อยเข้าที่ดวงตาที่น่ากลัวคู่นั้นแล้วร้องโวยวายวิ่งหนีไปพลางเหวี่ยงแขนขามั่วไปหมด


 


 


อวิ๋นเยี่ยเอามือปิดตา คราวนี้แกล้งไม่สำเร็จแถมยังต้องเจ็บตัวอีกต่างหาก เมื่อคนตกใจกลัวส่วนตัวเองก็เจ็บตัวกว่าเดิม เสี่ยวหลิงตังวิ่งหนีไปได้ไม่กี่ก้าวก็หันกลับมามอง จึงรู้ว่าเป็นอวิ๋นเยี่ย จึงค่อยๆ ก้าวกระเถิบเข้าไปหาด้วยความเขินอาย


 


 


“หลิงตัง เจ้าไปเรียนรู้ความร้ายกาจจากองค์หญิงเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ไม่ทันทำอะไรก็ต่อยคน นิสัยเช่นนี้ไม่ดีนะ โอ๊ย ตาข้า ถูกเจ้าต่อยจนบอดแล้ว จบกันๆ แล้วข้าจะแต่งงานได้อย่างไรนี่”


 


 


“ข้าไม่รู้ว่าเป็นเจ้า เจ้าซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้หลอกให้ข้าตกใจ ก็แค่ต่อยเบาๆ เอง” เสี่ยวหลิงตังมองอวิ๋นเยี่ยที่นั่งยองๆ ร้องโอดครวญไม่หยุดอยู่บนพื้น ขอโทษไม่ยอมหยุด ฟังน้ำเสียงแล้วเหมือนว่าเขาจะเจ็บปวดมาก


 


 


เพราะแกล้งหยอกล้อหญิงใจดีมีเมตตาคนนี้ไม่ลง อวิ๋นเยี่ยจึงขยี้ตาแล้วลุกขึ้นยืน ไม่เป็นไร เพียงแค่ตาข้างซ้ายปวดเล็กน้อย จึงหรี่ตาซ้ายแล้วถามเสี่ยวหลิงตังว่า “เจ้ามาทำลับๆ ล่อๆ อะไรอยู่ที่นี่ อย่าบอกนะว่าเตรียมจะดักตีคนส่งอาหารที่ผ่านทางมา แล้วแย่งอาหารอร่อยๆ ไป”


 


 


ใครจะคิดว่าเสี่ยวหลิงตังไม่ได้โต้แย้งคำพูดที่เหลวไหลไร้สาระของอวิ๋นเยี่ยเหมือนเมื่อก่อน แต่เบ้ปากแล้วก็ร้องไห้โฮ


 


 


หากผู้หญิงร้องไห้ขึ้นมาเมื่อไหร่นั่นเป็นเรื่องที่ชวนปวดศีรษะอย่างมาก ใช้ชีวิตมาสองภพก็ยังเรียนรู้วิธีปลอบใจผู้หญิงไม่ได้เสียที จึงได้แต่ใช้ไม้ตายตระกูลอวิ๋นออกมา “อย่าเพิ่งร้องไห้ บอกข้าก่อนว่าใครรังแกเจ้า ข้าจะไปตีขาเขาให้หักระบายความโกรธให้เจ้าเอง”


 


 


“ก็ราชาแห่งแดนเถื่อนที่มาจากหลิงหนานคนนั้นที่ชื่อเหมิงฉารังแกข้า เขาต้องการแต่งงานกับองค์หญิง ข้าไม่อยากไปหลิ่งหนาน ได้ยินมาว่าพวกเขาชอบกินเนื้อมนุษย์” คิดไม่ถึงว่าเสี่ยวหลิงตังจะพูดสาเหตุที่แท้จริงออกมา เพียงแต่ถ้าตอนนี้ตีแขกของหลี่ซื่อหมินจนขาหัก ไม่รู้ว่าหลี่ซื่อหมินจะหันกลับมาจับตนเองไปตีให้ขาหักหรือไม่


 


 


“เสี่ยวหลิงตัง ถ้าเจ้าไม่อยากไปหลิ่งหนาน ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร ข้าไปหาเหมิงฉาขอเจ้ากลับมาก็เรียบร้อยแล้ว อย่างไรเสียเรื่องนี้เขาก็ต้องไว้หน้าข้าอยู่แล้ว หากไม่ไว้หน้าข้า ข้าก็จะฉุดเจ้าหนี อย่างร้ายแรงที่สุดก็คือโดนปรับเงินเท่านั้นเอง”


 


 


อวิ๋นเยี่ยนั้นพูดความจริง มันเป็นเรื่องธรรมดาระหว่างตระกูลใหญ่ด้วยกันที่จะมอบสาวใช้ให้กันสักคนสองคน ตอนนี้อวิ๋นเยี่ยอยู่ในจุดที่รุ่งเรืองที่สุด จึงคิดว่าราชาแห่งแดนเถื่อนตัวเล็กๆ ก็ไม่กล้ามีปากมีเสียงอะไรแน่ แม้ว่าจะมีการลงไม้ลงมือก็เพียงแค่ถูกปรับเงินเท่านั้น อวิ๋นเยี่ยไม่สนใจเสียหน่อย ในตอนนี้แม้แต่ฮองเฮาก็เป็นหนี้บุญคุณตนเอง การแย่งคนคนหนึ่งมาไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรเลย


 


 


เสี่ยวหลิงตังมองอวิ๋นเยี่ยด้วยความนับถือ ดวงตาแทบจะกลายเป็นดาวระยิบระยับแล้ว จับมือของอวิ๋นเยี่ยเขย่าอย่างแรงพลางพูดว่า “เช่นนั้นเจ้าช่วยถือโอกาสแย่งองค์หญิงมาด้วยได้ไหม ได้หรือไม่ องค์หญิงก็ไม่อยากไปหลิ่งหนาน”


 


 


นางไม่ได้พูดถึงหลี่อันหลานนั้นยังดี แต่เมื่อพูดถึงหลี่อันหลาน อวิ๋นเยี่ยก็โกรธเลือดขึ้นหน้า “อย่าพูดถึงผู้หญิงโง่คนนั้น นางเองเป็นคนไปทูลขอฝ่าบาทที่จะแต่งงานไปยังดินแดนที่ห่างไกล คำพูดที่อกตัญญูเช่นนี้ใครได้ฟังก็ต้องโกรธทั้งนั้น ทำตัวเองแท้ๆ สมควรแล้ว แล้วยังจะทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนด้วย เห็นแก่ตัวอย่างที่สุด ข้าไม่สนใจแล้ว ตอนนี้ข้าจะไปหาราชาแดนเถื่อนนั่นเพื่อขอเจ้ามาก่อน ต่อไปเจ้าก็ใช้ชีวิตในตระกูลอวิ๋นให้ดี อยากทำอะไรก็ทำ ถ้าเขากล้าไม่ยอมให้ ข้าจะตีเขาให้ขาหักจริงๆ”


 


 


อวิ๋นเยี่ยหันหลังแล้วเดินไป เสี่ยวหลิงตังลากอวิ๋นเยี่ยไว้ไม่ให้เขาไป ร้องไห้พลางพูดว่า “ถ้าเจ้าไม่ช่วยองค์หญิงออกมาด้วย ข้าจะไม่ไปไหน ข้าจะไปหลิ่งหนานกับองค์หญิง ไม่เช่นนั้นนางตัวคนเดียวต้องหงอยเหงา น่าสงสารมาก ข้ารู้ว่าเจ้าชอบองค์หญิง ดังนั้นโปรดช่วยพวกเราด้วย”


 


 


อวิ๋นเยี่ยจึงหยุดแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาให้เสี่ยวหลิงตัง พูดกับนางอย่างจริงจังว่า “หลิงตัง ใต้หล้านี้ไม่มีความรักและความแค้นที่เกิดขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล เจ้าไม่เข้าใจความรู้สึกที่ข้ามีต่อองค์หญิง นอกจากนี้องค์หญิงก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว นางต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง ตั้งแต่วันที่นางเริ่มแสดงอาการเอาแต่ใจ ก็ได้กำหนดชะตาไว้แล้วว่านางจะไม่มีความสุขตลอดชีวิต นางไม่เคยทุ่มเทต่อความรู้สึกของผู้อื่น  แล้วจะคาดหวังให้ผู้อื่นรักนางได้อย่างไร


 


 


แม้ว่าฝ่าบาทจะทรงมีความผิด แต่นั่นเป็นบิดาของนาง หากยืนอยู่ภายใต้ความชอบธรรมนี้นางก็คือคนที่อกตัญญู อย่าลืมว่าฝ่าบาทไม่ได้เป็นเพียงบิดาของนาง แต่ยังเป็นกษัตริย์ของนางด้วย นิสัยที่ไม่ดีของนางจะทำให้ทุกอย่างยิ่งทำยิ่งแย่ลงไปตลอดกาล ในที่สุดมันก็จะมาถึงจุดที่ไม่สามารถปรับเปลี่ยนอะไรได้อีกดังเช่นตอนนี้ อย่างน้อยนางก็ต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยตัวเองสักแปดส่วน”


 


 


เสี่ยวหลิงตังจึงได้แต่ร้องไห้เสียงเบา ไม่พูดอะไรเลย แต่ก็ไม่ยอมปล่อยชายเสื้อของอวิ๋นเยี่ย อวิ๋นเยี่ยเป็นความหวังสุดท้ายของนาง นางไม่อยากให้หลุดมือไป สำหรับนางแล้วหลิ่งหนานนั้นอยู่ไกลมากเหลือเกิน ทั้งยังไม่คุ้นเคยเลยสำหรับนาง ซึ่งทำให้นางหวาดกลัวเป็นอย่างมาก มีเพียงแค่ดึงชายเสื้อของอวิ๋นเยี่ยไว้จึงจะทำให้นางรู้สึกปลอดภัยขึ้นบ้าง


 


 


“องค์หญิงอยากพบเจ้า นางบอกว่าหากเจ้าไม่มาจะต้องเสียใจไปตลอดชั่วชีวิต” เสี่ยวหลิงตังหยุดร้องไห้และพูดถึงจุดประสงค์ที่นางมา


 


 


มองดูเสี่ยวหลิงตังที่น้ำตานองหน้าแล้วอวิ๋นเยี่ยก็พยักหน้า ในฐานะที่เป็นเพื่อนกัน มันก็สมเหตุสมผลที่จะพบนางสักครั้งก่อนที่นางจะจากไป


 


 


ในเรือนเล็ก หลี่อันหลานแต่งหน้าอย่างระมัดระวัง นางไม่ชอบแต่งหน้าให้งดงามหยาดเยิ้ม โดยปกตินางจะเข้าวังโดยไม่แต่งหน้า วันนี้นางไปนำเครื่องหอมแป้งผัดหน้าจากท่านแม่ของนางมาจนครบ ทั้งยังตั้งใจหาที่ทาปากสีแดงสดออกมาโดยเฉพาะ ท่านแม่บอกว่าหากนางแต้มลงไปเพียงเล็กน้อยจะต้องดูงดงามขึ้นแน่ เสื้อผ้าก็นำมาจากท่านแม่ของนาง นางเพียงแค่พันผ้าไว้ที่ทรวงอก ด้านนอกสวมเสื้อชีฟองบางๆ เกล้าผมยกสูงขึ้นและแต้มจุดแดงไว้ระหว่างคิ้ว


 


 


อวิ๋นเยี่ยต้องมาแน่ นางมั่นใจมาก ตัวเองแต่งตัวให้กับเรือนร่างนี้อย่างละเอียดอ่อน คิดว่าเขาคงต้องพอใจกระมัง ตอนนี้หลี่อันหลานไม่ได้จินตนาการถึงความรักอันบริสุทธิ์เหล่านั้นอีกต่อไปแล้ว รูปลักษณ์ภายนอกสุดท้ายก็เป็นเหมือนหนังตะลุง หญิงงามที่ประดับด้วยดอกไม้ไม่แน่ว่าจะได้พบกับสุภาพบุรุษผู้อ่อนโยน บางทีอาจจะได้พบกับคนชั่วร้ายก็เป็นได้ อวิ๋นเยี่ยไม่ได้ชอบตัวเอง เขาเพียงแค่ใส่ใจกับร่างนี้เท่านั้น ตนหน้าตาเหมือนผู้หญิงที่อวิ๋นเยี่ยเรียกว่าภรรยาคนนั้นจริงๆ หรือ


 


 


เสียงฝีเท้าดังขึ้นบนบันได แต่ละขั้นตอนนั้นมั่นคง นี่คือเสียงฝีเท้าของอวิ๋นเยี่ย เสียงฝีเท้าของรัชทายาทนั้นค่อนข้างรีบเร่ง เสียงฝีเท้าของเสี่ยวหลิงตังนั้นปนเปมั่วซั่ว สองมือนางดันหน้าอกขึ้นเพื่อให้ดูอวบอิ่มมากยิ่งขึ้น ท่านแม่มักจะพูดว่าหน้าอกของนางนั้นสวยที่สุด และตอนนี้ก็ได้ใช้มันแล้ว


 


 


ทันทีที่อวิ๋นเยี่ยเห็นหลี่อันหลานที่แต่งตัวเต็มยศก็รู้สึกเผลอไผลไปเล็กน้อย ใบหน้าราวกับรูปวาด วาดออกมาจริงๆ คิ้วสองเส้นถูกเขียนจนดกดำ แป้งบนใบหน้าก็เกลี่ยไม่สม่ำเสมอ ส่วนที่มากเกินไปที่สุดก็คือปากที่สีแดงเลือด ทั้งยังแต้มจุดสีแดงตรงจุดอิ่งตง[1]อีก นี่คือต้องการแต่งตัวเป็นชาวญี่ปุ่นหรือ


 


 


ภรรยาของเขาไม่ค่อยแต่งหน้า แม้ว่าจะแต่งหน้าเธอก็จะทาลิปสติกสีอ่อนเพียงเล็กน้อย ตอนนี้ใบหน้านี้ได้ถูกทำลายจนเหมือนผีก็ไม่ปาน อวิ๋นเยี่ยโกรธจนตัวสั่นเทา ผู้หญิงคนนี้ไม่เพียงแต่ไม่มีสมอง แม้แต่เรื่องความงามก็มีปัญหา


 


 


เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาแล้วจุ่มน้ำในอ่างให้เปียก เดินมาหยุดที่เบื้องหน้าของหลี่อันหลาน ก่อนจะเช็ดแป้งผัดหน้าทั้งหมดบนใบหน้าของนางออก เช็ดไปสามรอบ ใบหน้าที่ดูเป็นธรรมชาติของภรรยาของเขาจึงค่อยปรากฏขึ้น อวิ๋นเยี่ยถอนหายใจด้วยความโล่งอก ความทรงจำเมื่อครู่เขาไม่ต้องการเลยสักนิด


 


 


“ข้าสวยไหม” หลี่อันหลานไม่หยุดพฤติกรรมที่หยาบคายของอวิ๋นเยี่ย ปล่อยให้เขาทำตามใจชอบ


 


 


 “ตอนนี้สวยมาก เมื่อครู่เหมือนผี ต่อไปอย่าทำเช่นนี้อีก มันเป็นการทำลายมากกว่า” อวิ๋นเยี่ยพูดด้วยน้ำเสียงเนิบๆ หลี่อันหลานในตอนนี้ถึงกับละทิ้งศักดิ์ศรีและต้องการใช้ความงามของนางมายั่วยวน นางมาถึงทางตันแล้วจริงๆ มิฉะนั้นด้วยนิสัยของนางไม่สามารถทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้


 


 


หลี่อันหลานพยักหน้าและพูดว่า “ดูเหมือนว่าข้าจะแต่งตัวไม่เป็นจริงๆ นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าแต่งตัว น่าขายหน้าจริง ต่อไปจะไม่มีอีก”


 


 


“เจ้ารู้จักที่จะเห็นอกเห็นใจผู้อื่นตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยสังเกตเห็น”


 


 


“ในอดีตข้าคิดว่าตราบใดที่ข้าเข้มแข็งพอก็จะไม่มีเรื่องอะไรที่ข้าไม่สามารถจัดการได้ ใครจะรู้ว่าเมื่อเรื่องเกิดขึ้นต่อหน้า จึงพบว่าข้าไม่สามารถกุมชะตากรรมของตัวเองได้เลย ราชโองการของเสด็จพ่อเพียงฉบับเดียวทำให้ข้าตกลงไปในเหวลึกที่ไร้ก้นเหว ต้องแต่งงานกับคนป่าเถื่อนไปที่หลิ่งหนาน อวิ๋นเยี่ย ข้ารู้ว่าคนที่เจ้ารักนั้นไม่ใช่ข้า แต่เป็นร่างนี้ ข้าหน้าตาเหมือนนางมากอย่างนั้นหรือ”


 


 


อวิ๋นเยี่ยตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าจะถูกผู้หญิงคนนี้มองได้ทะลุปรุโปร่ง มันเป็นความคิดที่ละเอียดอ่อนมาก ในเมื่อถูกมองออกแล้วก็ไม่จำเป็นต้องปฏิเสธ ไม่เช่นนั้นจะถูกนางดูถูกได้ ความหยิ่งในศักดิ์ศรีของอวิ๋นเยี่ยก็จะไม่อนุญาตให้ตนเองถอยหนีต่อหน้าหลี่อันหลาน


 


 


เขาหรี่ตาลง พูดว่า “คล้ายกันมาก แม้แต่ไฝบนหน้าอกเม็ดนั้นก็เหมือนกันทุกประการ”


 


 


หลี่อันหลานหน้าแดงไปทั้งใบหน้า แต่นางก็ไม่ได้สนใจว่าเสื้อจะเปิดออก แต่กลับยืดอกขึ้นและถามอวิ๋นเยี่ยว่า “เจ้าคุ้นเคยกับร่างนั้นมากนักหรือ แม้แต่จุดซ่อนเร้นก็เคยเห็นหรือ”


 


 


“นางเคยเป็นภรรยาข้า เจ้าคิดว่าอย่างไร” การเผชิญหน้ากับร่างนี้ อวิ๋นเยี่ยรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงเลยจริงๆ


 


 


หลี่อันหลานยืนขึ้น มือของนางเพียงแค่ดึงอาภรณ์ช่วงเอว เสื้อผ้าบนร่างกายของนางก็ไหลหล่นลงมา ผ้าแพรไหมนั้นนุ่มลื่น หลี่อันหลานแม้แต่กางเกงชั้นในก็ไม่ได้สวมใส่ ดังนั้นจึงยืนเปลือยกายเช่นนี้อยู่ต่อหน้าอวิ๋นเยี่ย


 


 


อวิ๋นเยี่ยเดินถอยหลังไปหลายก้าวแล้วนั่งลงที่ขอบโต๊ะ แต่ไม่ได้ละสายตายไปจากเรือนร่างนี้เลย นี่คือเรือนร่างของสาวน้อยที่งดงามเต่งตึงกว่าร่างของภรรยามาก เต็มไปด้วยพละกำลัง ผิวพรรณที่ขาวผุดผ่องราวกับงาช้าง เรียวขาที่ยืดตรง ทรวงอกที่เต่งตึงและเอวคอดเล็กได้ทำให้อวิ๋นเยี่ยถูกดึงกลับไปสู่อดีตในพริบตา


 


 


‘นี่คุณ คิดว่าท้องของฉันมีแต่ไขมันส่วนเกินหรือเปล่า’


 


 


‘ไม่มี อย่าไปฟังเพื่อนสนิทคุณพูดเหลวไหลไร้สาระ พวกเขาก็เพียงแค่อิจฉาเท่านั้นแหละ’


 


 


‘นี่คุณ ถ้าคลอดตัวเล็กแล้วท้องจะแตกลาย แล้วฉันจะทำอย่างไรดี’


 


 


‘ไม่เห็นจะเป็นอะไร นั่นคือประจักษ์พยานที่บ่งบอกถึงคุณงามความชอบนะ คลอดลูกชายตัวอ้วนโตเพียงคนเดียวไม่ทำให้เธอรูปร่างเสียหรอก ตระกูลอวิ๋นต้องขอบคุณเธอไปชั่วชีวิตเลย’


 


 


‘เอวของฉันจะกลายเป็นถังน้ำอยู่แล้ว คุณต้องคิดหาวิธีนะ ไม่อย่างนั้นจะออกไปข้างนอกได้อย่างไร’


 


 


‘ไม่ได้ให้คนอื่นดูเสียหน่อย ฉันว่าดูดีออก ที่อ้วนเป็นเพราะออกกำลังน้อยเกินไป เรามาออกกำลังกันหน่อยดีกว่า…’


 


 


ในโลกนี้คงมีเพียงขันทีและอวิ๋นเยี่ยเท่านั้นที่สามารถร้องไห้ให้กับร่างผู้หญิงเปลือย น้ำตาได้ไหลรินออกมาจากหางตา ไหลผ่านริมฝีปากและหยดลงมาจากคาง อวิ๋นเยี่ยมองดูอย่างหิวกระหายแต่กลับไม่ได้รู้สึกอยากมีสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งเลย เพียงแค่อยากจะจดจำเรือนร่างนี้ไม่มีวันลืมและเก็บไว้ในส่วนลึกของหัวใจ


 


 


หลี่อันหลานอิจฉาและโกรธมาก อวิ๋นเยี่ยมองเรือนร่างของนางแต่เสียน้ำตาเพื่อผู้อื่น ทั้งที่รู้ถึงต้นสายปลายเหตุ ความอิจฉาริษยาของผู้หญิงทำให้คิ้วของนางเชิดขึ้น นางหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาจากพื้นและสวมใส่มันปกปิดอย่างมิดชิด ผิวพรรณที่สดใสหาได้เปิดเผยต่อหน้าอีกต่อไป


 


 


“ข้ายังดูไม่พอเลย ทำไมจึงรีบสวมเสื้อผ้าล่ะ” อวิ๋นเยี่ยเงยหน้าขึ้นมองหลี่อันหลานด้วยน้ำตาคลอเบ้า


 


 


หลี่อันหลานกัดฟันพูดออกมาสองคำ “ไร้ยางอาย!” นางลืมไปว่าเมื่อครู่ตนเองเป็นคนถอดเสื้อผ้าเอง


 


 


อวิ๋นเยี่ยจมปลักอยู่ในความทรงจำจนไม่อาจถอนตัวได้ จะมีเวลาให้ความสนใจว่าหลี่อันหลานจะพอใจหรือไม่พอใจได้อย่างไร ในหนึ่งปีนี้ ญาติของเขาปรากฏตัวในความฝันน้อยลงเรื่อยๆ มีหลายครั้งที่อวิ๋นเยี่ยภาวนาก่อนเข้านอน หวังว่าพวกเขาจะปรากฏตัวในความฝัน ทำให้ตัวเองหวนระลึกถึงความหวานชื่นในอดีต


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] จุดอิ่งตง คือ บริเวณร่องเล็กๆ เหนือริมฝีปากบนและปลายจมูก

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)