เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 5 ตอนที่ 39-40

ส่วนที่ 5

 

ตอนที่ 39 ความรู้สึกกับความลับ

 

สองตาของอวิ๋นเยี่ยจ้องมองหลี่เฉิงเฉียนอย่างเหม่อลอยไร้สติ ถามอย่างเจ็บปวด “แม้กระทั่งประชุมเช้าเจ้าก็ไม่เข้าร่วม วิ่งมาที่บ้านตระกูลอวิ๋นเพื่อถามข้าว่าเงินหนึ่งเหวินนั้นหายไปไหนตั้งแต่เช้าตรู่หรือ”


 


 


“ก็ใช่น่ะสิ เมื่อคืนข้าไม่ได้นอนเลย เพราะอยากรู้ว่าเงินหนึ่งเหวินนั้นหายไปไหน ตั้งแต่เช้าพอประตูวังเปิดก็รีบมาหาเจ้า” หลี่เฉิงเฉียนพูดด้วยความนอบน้อมและจริงใจเป็นอย่างมาก


 


 


“เจ้ารู้ไหมว่าเมื่อคืนข้าทำงานจนดึกดื่นค่ำมืดเพื่อสร้างตำหนักโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายให้กับครอบครัวเจ้า และดื่มเหล้าเข้าไปมาก ตอนนี้ปวดศีรษะเอามากๆ ต้องการการนอนหลับเป็นอย่างยิ่ง”


 


 


“ข้ารู้ว่าเจ้าต้องพบปะสังสรรค์กับพวกเพื่อนสำมะเลเทเมาจำนวนมาก เต้นรำอย่างสนุกสนาน อีกทั้งเจ้ายังเต้นรำแบบหูเสวียนอยู่บนโต๊ะอีกด้วย แม้แต่ชุดนอกก็ถอดออก ได้ยินว่าบิดสะโพกได้อย่างพราวเสน่ห์ ดูมีความสุขมาก สุดท้ายก็ส่งพวกเขาออกไป พวกเจ้ายังรุมต่อยตีอู่โหวที่ลาดตระเวนยามดึกอีกด้วย เช้าวันนี้ได้ยินว่าเจ้าหน้าที่จากหน่วยปราบปรามการทะเลาะวิวาทของเมืองอู่เฉิงได้ถวายฎีการ้องเรียนพวกเจ้า เพื่อหลีกเลี่ยงความเดือดร้อน ข้าจึงไม่ได้ไปร่วมประชุมเช้า เผ่นหนีออกมา”


 


 


เมื่อได้ฟังเรื่องที่หลี่เฉิงเฉียนพูด ก็ได้เติมเต็มความทรงจำที่หายไปของเมื่อคืนได้ครบถ้วน ความง่วงของอวิ๋นเยี่ยหายไปในทันใด ลุกขึ้นนั่งทั้งที่ยังห่มผ้าห่มและถามหลี่เฉิงเฉียนว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าฝ่าบาทจะจัดการข้าอย่างไร”


 


 


“ข้าจึงได้มาที่นี่เพื่อจัดการเจ้าอย่างไรเล่า เสด็จพ่อทรงมอบอำนาจในการจัดการพวกเจ้าให้ข้าหมดแล้ว โดยตรัสว่าก็แค่ความวุ่นวายที่พวกคุณชายเสเพลจอมล้างผลาญก่อขึ้น ให้ข้าสั่งสอนพวกเจ้าให้หนักสักครั้ง ถ้าหากข้าอารมณ์ดี ก็เพียงแค่ตำหนิเท่านั้นก็ย่อมได้ แต่ถ้าอารมณ์ไม่ดีพวกเจ้าก็จะโดนโบย แต่ถ้าเจ้าต้องการเลือกการถูกคุมขังข้าก็ไม่ว่าอะไร คนละสี่วันเท่านั้นเอง ก็แค่เรื่องนอนหลับสักพักเดี๋ยวก็ผ่านไป จัดการง่ายดี”


 


 


ตอนนี้เจ้าหนุ่มหลี่เฉิงเฉียนก็นิสัยเสียเสียแล้ว รู้จักใช้อำนาจในมือของเขามาข่มขู่ผู้คนแล้ว เพื่อให้เขารู้สึกดีขึ้น อวิ๋นเยี่ยจึงบอกคำตอบให้เขาฟัง “เจ้านำเงินในมือของเจ้าของโรงเตี๊ยมลบด้วยสามดูสิ แล้วคำนวณใหม่ก็จะเข้าใจ อย่าคำนวณย้อนจากหลังมาหน้า ไม่เช่นนั้นเจ้าจะละเลยตัวเลขที่น้อยกว่าหนึ่งพวกนั้นไป”


 


 


“เสด็จพ่อทรงบอกข้าว่านี่เป็นกลอุบายเล็กๆ ของเจ้า อาศัยความฉลาดด้านเรขาคณิตมาหลอกคนที่ไม่รู้ เป็นเพียงแค่กลวิธีบังตาเท่านั้น การคำนวณจากข้างหน้าไปข้างหลังไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามจะต้องมีการดำรงอยู่เป็นพื้นฐาน สิ่งใดที่ไม่มีตัวตนอยู่จริงเจ้าก็ใช้ข้อผิดพลาดทางคณิตศาสตร์มากลบเกลื่อนไป ตอนนี้ดูไปแล้วเห็นทีว่าจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ ในความเป็นจริงแล้วพวกเราแต่ละคนจ่ายเงินเก้าจุดสามเหวิน ซึ่งไม่ได้จ่ายแค่เก้าเหวินถ้วนถูกหรือไม่”


 


 


“รัชทายาททรงฉลาดปราดเปรื่องจริงๆ กระหม่อมนั้นไล่ตามไม่ทันจริงๆ”


 


 


“เสี่ยวเยี่ย เรื่องการสร้างตำหนักคราวนี้เจ้าอย่าเกลียดเสด็จแม่ได้หรือไม่” หลี่เฉิงเฉียนถามประโยคนี้ออกมาโดยอวิ๋นเยี่ยไม่ทันได้ตั้งตัว ซึ่งทำให้เขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย


 


 


“เสี่ยวเยี่ย ข้าเป็นรัชทายาท มันไม่ง่ายเลยที่จะหาเพื่อนได้สักคนหนึ่ง และยิ่งเป็นเรื่องยากกว่าที่จะหาเพื่อนเช่นเจ้าได้สักคน หากเจ้ามีความคับข้องใจใดๆ สามารถบอกข้าได้ ข้าจะต้องช่วยเจ้าแน่นอน แต่เจ้าอย่าได้โกรธเสด็จแม่ข้าได้หรือไม่”


 


 


อวิ๋นเยี่ยมองรัชทายาทอยู่ชั่วครู่หนึ่งแล้วถามเขาว่า “รอยคล้ำรอบดวงตาเจ้าคงไม่ได้เกี่ยวกับเงินหนึ่งเหวินนั้น แต่เป็นเพราะกังวลว่าข้าจะมีความคับแค้นใจต่อฮองเฮา จึงนอนไม่หลับทั้งคืนใช่หรือไม่”


 


 


หลี่เฉิงเฉียนลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงพยักหน้า


 


 


“เฉิงเฉียน ให้ข้าได้พูดถึงความรู้สึกที่มีต่อฮองเฮา แล้วเจ้าอยู่ด้านข้างคอยตัดสินดีหรือไม่”


 


 


ลูกจะไม่ฟังความผิดของบิดา นี่คือคำสอนของลัทธิขงจื้อ หลี่เฉิงเฉียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็ยังคงพยักหน้า


 


 


“ครั้งแรกที่ข้าได้พบฮองเฮาคือที่บ้านของหนิวเจี้ยนหู่ ข้ากับเฉิงฉู่มั่วแกล้งหนิวเจี้ยนหู่จึงถูกเขาวิ่งไล่ฆ่า วิ่งหนีออกจากจวนหนิวไม่ทันระวังจึงปะทะเข้ากับขบวนเสด็จเข้า ถูกองครักษ์ในวังจับตัวไว้และส่งไปรับโทษต่อหน้าพระพักตร์ฮองเฮา แต่ฮองเฮาไม่ได้ทรงลงโทษอะไรพวกเรา ลงโทษเพียงแค่ให้พวกเราเข้าไปเรียนหนังสือในวัง ที่จริงแล้วนี่ไม่ใช่การลงโทษอะไรเลย แต่ควรจะเรียกว่ารางวัล


 


 


ฮองเฮาทรงสร้างความประทับใจที่ดีมากให้ข้า ข้ามักจะคิดว่าผู้เป็นมารดาควรจะเป็นเช่นนี้ ข้าไม่เคยได้พบแม่ แต่ความรู้สึกที่ฮองเฮาทรงประทานให้นั้นอบอุ่นใจเป็นอย่างมาก


 


 


ต่อมาข้าได้พบพี่สาวเจ้า ข้าไม่ปิดบังเจ้า หน้าตาพี่สาวเจ้าดูเหมือนคนผู้หนึ่งมาก ราวกับเป็นคนเดียวกัน ในโลกใบนั้นนางควรจะเป็นภรรยาข้า ดังนั้นข้าจึงได้เสียมารยาทไป แต่น่าเสียดายที่หน้าตาเหมือนกันแต่จิตใจกลับแตกต่าง รูปร่างหน้าตาของพี่สาวเจ้าเหมือนคนที่สนิทชิดเชื้อที่สุดของข้า แต่วิญญาณที่สถิตในร่างกายนั้นกลับทำให้ข้ารังเกียจเป็นอย่างมาก ดังนั้นข้าจึงขาดสติไปต่อปากต่อคำกับไท่ซั่งหวง เจ้ารู้ไหม เฉิงเฉียน ขณะที่ฮองเฮาทรงคุกเข่าลงเพื่อขออภัยโทษแทนข้านั้น ข้าก็สาบานว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่ทำเรื่องที่ผิดต่อฮองเฮา เพื่อการคุกเข่าครั้งนั้นก็คุ้มค่าแล้ว!


 


 


เรื่องอื่นๆ ต่อมาเจ้าก็รู้หมดแล้ว เรื่องการขายเกือกม้าเหล็ก แทนที่จะบอกว่าฮองเฮาทรงต้องการเงินของข้า ต้องบอกว่าฮองเฮาทรงต้องการปกป้องข้าเสียมากกว่า เจ้าก็รู้ ครั้งนั้นพวกเราเกือบกำจัดขุนนางหมดราชสำนัก


 


 


เพราะมีฮองเฮาให้ท้ายข้า ดังนั้นข้าจึงได้เพียงฉายาสามเภทภัยแห่งฉางอัน แต่ในความเป็นจริงกลับไม่ได้โดนลงโทษใดๆ เจ้าคิดว่าข้าจะเกลียดแค้นฮองเฮาหรือไม่ สำหรับเรื่องการสร้างตำหนักเป็นเพียงการละเล่นเล็กๆ ระหว่างข้ากับฮองเฮา ที่จริงแล้วไม่ว่าตำหนักจะสร้างสำเร็จหรือไม่ข้าก็จะไม่ถูกลงโทษอยู่ดี


 


 


เฉิงเฉียน นอกจากข้าแล้ว เจ้าเคยเห็นใครที่ถูกฮองเฮาใช้อำนาจบีบคั้นเพื่อผลทรัพย์สินอะไรหรือไม่”


 


 


“ไม่มี ไม่มีอย่างแน่นอน เสด็จแม่ข้าเป็นคนที่มีคุณธรรมและฉลาดปราเปรื่อง ไม่มีวันทำเรื่องเช่นนี้อย่างเด็ดขาด แม้ว่าในวังจะมีสภาพคล่องฝืดเคืองเพียงไร แม้ถึงขั้นที่เสด็จแม่ข้าจะไม่ได้ใส่ชุดที่ยาวลากพื้น นางก็ไม่เคยแบมือขอใคร แม้แต่ท่านลุงข้าก็ไม่เคย”


 


 


“ฮ่าๆๆๆ !” อวิ๋นเยี่ยหัวเราะอยู่เป็นเวลานานจึงยอมหยุด พูดกับหลี่เฉิงเฉียนอีกว่า “เฉิงเฉียน เจ้ายังจำได้ไหมว่าตอนที่ข้าเพิ่งขายเกือกม้าได้และเจ้าก็ได้กำไรบางส่วน สุดท้ายก็ถูกฝ่าบาทยึดเอาไป ต่อจากนั้นของข้าก็ถูกฮองเฮายึดเอาไปด้วย


 


 


นี่แสดงให้เห็นว่าฮองเฮาไม่ได้ทรงเห็นข้าในฐานะคนนอก แต่เห็นข้าเป็นลูกหลานที่ไม่เข้าใจโลก การเก็บเงินที่มากเกินจำเป็นไปจากมือพวกเราคือสิ่งที่ผู้ปกครองทุกคนจะทำ ฮองเฮาไม่ได้ทรงมองว่านี่เป็นการใช้อำนาจขู่กรรโชกอะไร เพียงแค่คิดว่านี่เป็นเรื่องที่ถูกต้องชอบธรรมแล้ว ตอนนี้เจ้ายังคิดว่าในใจข้าจะยังมีความขุ่นเคืองฮองเฮาอยู่อีกหรือไม่ “


 


 


หลี่เฉิงเฉียนก็หัวเราะเสียงดังขึ้น เมฆหมอกที่อึมครึมก็จางหายไป อวิ๋นเยี่ยมองออกว่านั่นเป็นเสียงหัวเราะที่โล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอกจริงๆ


 


 


หัวเราะสักพักหนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็หยุดหัวเราะแล้วพูดอย่างแค้นใจว่า “พี่สาวข้านั้นเป็นคนโง่ ผู้ชายเช่นเจ้านางกลับไม่ต้องการ นางอยากได้คนเช่นไรกัน ถ้าเจ้าเป็นพี่เขยข้า มันคงจะดีอยู่ไม่น้อย เสี่ยวเยี่ย เจ้าบอกข้าทีโลกที่เจ้าพูดถึงคือไป๋อวี้จิงใช่หรือไม่ ที่นั่นมีคนที่หน้าตาเหมือนพี่สาวข้าใช่ไหม เจ้าชอบนางมากขนาดนั้นหรือ”


 


 


หลี่เฉิงเฉียนถามด้วยความตื่นเต้น เขาอยากรู้มาตลอดว่าแท้จริงแล้วมีสถานที่เช่นไป๋อวี้จิงอยู่หรือไม่กันแน่


 


 


“เฉิงเฉียน หากข้าบอกเจ้าละก็ เจ้าเพียงเก็บไว้ในใจก็พอ มิฉะนั้นมันจะนำความหายนะมาถึงตัว ถูกต้อง ไป๋อวี้จิงนั้นมีอยู่จริง ข้าเคยไปที่นั่นและผู้คนที่นั่นสามารถบินขึ้นสวรรค์เก้าชั้นได้ ดำดิ่งลงไปในท้องทะเลที่ลึกมากได้ แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่สามารถย้อนกลับไปได้อีกแล้ว”


 


 


หลี่เฉิงเฉียนสั่นเท่าไปทั่งร่างด้วยความตื่นเต้นเพราะเขาได้รู้ความลับอันยิ่งใหญ่ ถามด้วยเสียงสั่นเครือว่า “ทำไมถึงกลับไปไม่ได้ พวกเราลองไปดูด้วยกัน ข้าเองก็อยากเห็นด้วย”


 


 


“มีทฤษฎีแปลกๆ อยู่ที่นี่อย่างหนึ่ง เมื่อคนเราวิ่งได้เร็วกว่าแสงอาจเป็นไปได้ที่จะเปลี่ยนแปลงเวลาได้ เฉิงเฉียน เจ้าคิดว่าพวกเราต้องทำอย่างไรจึงจะวิ่งได้เร็วกว่าแสง”


 


 


กรามของหลี่เฉิงเฉียนแทบจะหล่นลงกับพื้น ผ่านไปเป็นเวลานานจึงพูดว่า “แสงวิ่งได้เร็วเพียงไหน ใครจะรู้กัน”


 


 


“ข้ารู้นะ เจ้าแบ่งหนึ่งชั่วยามออกเป็นเจ็ดพันสองร้อยส่วน ในแต่ละส่วนของเวลาแสงสามารถวิ่งได้หกแสนลี้” อวิ๋นเยี่ยอธิบายให้หลี่เฉิงเฉียนฟังด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น


 


 


“เช่นนี้ไม่เท่ากับว่าไม่มีวันเป็นไปได้หรือ ถ้าคนพวกนั้นมาทั้งหมดจะทำอย่างไรดี”


 


 


“ถ้าอยากจะมาก็ต้องวิ่งเร็วกว่าแสง ถ้ามีใครสามารถทำได้ เขาก็เป็นเทพเจ้าที่บรรลุเป็นเทพเซียนแล้ว มีใครใส่ใจว่าจะได้เป็นฮ่องเต้หรือไม่ ดังนั้นเจ้าจงเก็บมันไว้ในส่วนลึก คิดวิเคราะห์ปัญหาของชาวเผ่าเซวียเหยียนถัว ถู่อวี้หุน ถู่ปัว หนานจ้าว พวกนี้จึงจะเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า”


 


 


“เสี่ยวเยี่ย ข้าขอถามคำถามสุดท้าย หลังจากถามแล้วข้าสัญญาว่าต่อไปจะไม่ถามอีกเลย และจะไม่ไปเที่ยวพูดที่อื่นด้วย แม้แต่เสด็จพ่อข้าก็จะไม่พูด นี่เป็นการรับประกันของข้า”


 


 


“เช่นนั้นเจ้าก็ถามเถอะ นี่เป็นคำถามสุดท้าย หากเจ้าถามอีกครั้งในภายหลังข้าจะต่อยเจ้า”


 


 


“ในเมื่อผู้คนที่นั่นสามารถบินได้ ก็แสดงว่ามีชีวิตอยู่ได้นานใช่หรือไม่”


 


 


“โดยทั่วไปแล้วมีอายุถึงเจ็ดสิบหรือแปดสิบปี คนแก่ที่มีอายุมากที่สุดดูเหมือนจะมีอายุหนึ่งร้อยยี่สิบปี ไม่เคยได้ยินว่ามีคนที่อายุมากกว่านี้แล้ว” อวิ๋นเยี่ยพูดไปตามความสัตย์จริง แม้ว่าอายุขัยโดยทั่วไปของคนในโลกยุคก่อนของเขาจะยืนยาวกว่าคนในราชวงศ์ถัง แต่ถ้าเปรียบเทียบอายุขัยที่ยาวนานที่สุด ก็ไม่แน่ว่าจะอยู่ได้ยืนยาวกว่าชาวต้าถัง”


 


 


หลี่เฉิงเฉียนผิดหวังกับคำตอบนี้เป็นอย่างมาก เขาก็ยังคงรักษาคำมั่นสัญญาของเขา ซึ่งก็ไม่ได้ถามอีกเลยจริงๆ


 


 


ความลับใดๆ ที่อยู่ในใจเป็นเวลานานมักจะกลายเป็นภาระ ตอนนี้มีใครบางคนมาแบ่งปันออกไปช่างดีจริงๆ เดิมทีนั้นอวิ๋นเยี่ยคิดว่าเขาสามารถนำความลับนี้ฝังลงไปในสุสานพร้อมกับตัวเองได้ แต่ตอนนี้มันแตกต่างกันแล้ว อวิ๋นเยี่ยจำเป็นต้องตอบคำถามซึ่งหน้าให้ชัดเจน ซึ่งก็คือเขาเคยไปที่ไป๋อวี้จิงมาแล้วจริงๆ  การที่เอาแต่พูดคลุมเครือ เมื่อนานวันเข้ามันจะทำให้เกิดความสงสัย รวมถึงทำให้ผู้คนสงสัยในพฤติกรรมของตัวเองด้วย


 


 


การโกหกไม่ได้จีรังยั่งยืนมากนัก หากเป็นคนก็จะรู้จักคิดพิจารณา แทนที่จะปล่อยให้พวกเขาคิดไปในทางที่ไม่ดี การบอกออกมาตามตรงอย่างเปิดเผยจริงใจเลยยังจะดีเสียกว่า


 


 


การรับประกันของหลี่เฉิงเฉียนไม่ค่อยมีความน่าเชื่อถือเสียเท่าไร ด้วยความเป็นเด็กหนุ่มอายุน้อยเช่นนี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าจอมมารพันปีอย่างหลี่ซื่อหมินและจั่งซุนแล้วจะไม่ให้เผยพิรุธอะไรเลยนั้นยากกว่าการให้แม่หมูปีนต้นไม้เสียอีก


 


 


นอกจากนี้ตนเองก็ยังมีช่องโหว่มากเกินไป หากไม่อุดช่องโหว่ในตอนนี้ ภายหน้าก็จะไม่มีโอกาสอีก


 


 


“แล้วพี่สาวข้าเจ้าจะทำอย่างไร ข้าได้ยินมาว่านางกำลังจะแต่งงานไปที่หลิ่งหนาน เป็นคำร้องขอของนางเอง คราวนี้ตระกูลใหญ่ในหลิ่งหนานสวามิภักดิ์แล้ว จึงได้มีตระกูลใหญ่หลายตระกูลมาทูลขอเสด็จพ่อเรื่องการอภิเษกสมรส หวังว่าจะมีสายเลือดแห่งราชวงศ์ได้แต่งงานไปยังหลิ่งหนาน เพื่อความมั่นคงของประเทศชาติแล้วจึงถือเป็นเรื่องดีอย่างมาก ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าพี่สาวข้าจะเลือกตระกูลไหน”


 


 


เมื่อได้ยินหลี่เฉิงเฉียนพูดเช่นนี้ อวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกเจ็บปวดใจโดยไม่มีเหตุผล แต่เมื่อเขาคิดว่าตนเองก็กำลังจะแต่งงานแล้ว จึงได้ฝืนกดความรู้สึกนี้เอาไว้


 


 


“ขณะที่ข้ากับพี่สาวเจ้าอยู่ด้วยกัน นางมักจะชักชวนให้ข้าเป็นเสาหลักของราชสำนัก เดิมข้าคิดว่านางเพียงต้องการเกลี้ยกล่อมให้ข้าก้าวหน้า ตอนนี้ดูเหมือนว่าตัวนางเองจะเป็นคนชอบอำนาจมาก อำนาจภายในวังไม่อยู่ในสายตานาง นางอยากจะลิ้มรสอำนาจด้วยตัวนางเอง”


 


 


“นางอยากจะเลียนแบบบุตรีของท่านอ๋องหวยหนานแห่งราชวงศ์ฮั่นที่เต็มใจแต่งงานกับชาวเผ่าซยงหนูโดยสมัครใจ คิดจะใช้ความงดงามของนางมาควบคุมพลังอำนาจของราชาแห่งเผ่าซยงหนู หรือว่าที่พี่สาวข้าต้องการแต่งงานกับราชาแห่งหลิ่งหนาน จากนั้นก็เข้าแทนที่เขา ไม่จริงกระมัง นางเป็นคนเช่นนี้หรือ”


 


 


“เกรงว่าจะใช่ เจ้าเพียงแค่ดูการเลือกของหลี่อันหลานก็จะรู้เอง ขอเพียงนางเลือกตระกูลที่มีลูกชายน้อยแต่ทรงอิทธิพลมาก นั่นก็หมายความว่านางต้องการทำเช่นนี้จริงๆ ไม่น่าแปลกใจที่นางอยากจะอยู่ให้ไกลจากข้า กลัวข้าถูกทำร้าย ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง!” 

 

 


ส่วนที่ 5

 

ตอนที่ 40 แผนการร้ายถูกเปิดเผย

 

 


 


ในโลกนี้แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยขาดแคลนคนจำพวกแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ ตอนนี้หลี่อันหลานก็เตรียมพร้อมที่จะบินเข้ากองไฟแล้ว ซึ่งก็คือเมื่อครู่ที่เสด็จพ่อของนางตัดสินใจให้นางแต่งงานกับชายคนหนึ่งที่ชื่อเหมิงฉา เขาเป็นชาวหลิ่งหนาน เป็นราชาแห่งแดนเถื่อนซึ่งควบคุมเก้าเขาสิบแปดค่าย ภรรยาเพิ่งเสียชีวิต ดังนั้นจึงใจกล้าที่จะขอพระราชสมรสจากฮ่องเต้ เดิมนั้นเป็นความหวังลมๆ แล้งๆ แต่กลับกลายเป็นความจริงในทันทีที่ฮ่องเต้รับปาก


 


 


หลี่อันหลานเพียงเหล่มองเหมิงฉาแล้วกลับไปที่เรือนเล็กของตนเอง ในเรื่องแต่งงาน นางไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดกล่าวอะไร


 


 


บางทีอาจเป็นเพราะตั้งแต่ที่นางบอกบิดาเองว่าอยากจะแต่งงานไปยังสถานที่ที่ห่างไกล ด้วยความโกรธของบิดาจึงได้เลือกคนให้นางอย่างขอไปที นางไม่สนใจ เพราะอย่างไรเสียก็คุ้นเคยกับการขอไปทีมานานแล้ว หาอาจารย์อย่างขอไปที หาเรือนเล็กอย่างขอไปที ปล่อยให้นางเดินเล่นในวังตามสบาย หาสาวใช้ให้นางอย่างขอไปที แล้วจะหาสามีอย่างขอไปทีให้นางอีกคนจะเป็นอะไรไป


 


 


นอกจากสาวใช้แล้ว ไม่มีอะไรที่ถูกใจหลี่อันหลานเลย


 


 


ความทะเยอทะยานคือต้นหญ้า ที่ไม่ว่าใครก็มองเห็นได้หากมันโผล่ออกมา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเสด็จพ่อที่มีพลังอำนาจในการปกครองใต้หล้า ทั้งยังมีมารดาที่มีความละเอียดอ่อน ท่านแม่ที่อ่อนแอของนางทำได้แค่เพียงแต่งกายให้งดงามนั่งรออยู่ในส่วนลึกของวังเพื่อรอความโปรดปรานจากเสด็จพ่อ ไม่ได้สนใจรอยตีนกาที่หางตาและผิวหนังที่เ**่ยวย่นเลยแม้แต่น้อย รอคอยด้วยความหวังอันยิ่งใหญ่ทุกวัน มักจะรอให้แสงเทียนของเหล่านางสนมคนอื่นๆ ในวังมืดลงก่อนจึงยอมดับเทียนและเข้านอน


 


 


ครั้นยืนอยู่ในเรือนเล็กของตนเอง ก็เห็นร่างที่อ้างว้างของท่านแม่สะท้อนอยู่บนหน้าต่างแต่ไกล ปิ่นปักผมบนศีรษะก็แยกได้อย่างชัดเจน หลี่อันหลานเห็นเสด็จพ่อของตนเองไปที่ตำหนักของฮองเฮาอีกแล้ว ดังนั้นวันนี้ท่านแม่ก็ถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องรออย่างเสียเปล่าอีกแล้ว


 


 


เมื่อเห็นท่านแม่เป่าเทียนให้ดับ หลี่อันหลานนอนแหงนหน้าอยู่บนระเบียงของเรือนเล็ก เพลิดเพลินไปกับช่วงเวลาที่สวยงามที่สุดของนาง แม้ว่าวันนี้นางจะได้รับข่าวร้าย ก็ไม่ควรละทิ้งความสุขเช่นนี้ไป


 


 


นางใช้เวลาเก้าปีในการตั้งชื่อดาวทั้งหมดที่นางสามารถมองเห็นได้ เพียงแต่พวกมันค่อนข้างซุกซนมักจะเปลี่ยนตำแหน่งอยู่ตลอดเวลา หลายต่อหลายครั้งที่เกือบเข้าใจผิด


 


 


คืนนี้ฉยงฉยงเป็นดวงที่สว่างที่สุดดวงหนึ่ง หลี่อันหลานเอื้อมมือออกไปทักทายมัน นางจำได้อย่างชัดเจนว่าฉยงฉยงเป็นชื่อแรกที่นางตั้งให้ดวงดาว วันนั้นอาจารย์บังเอิญกล่าวถึงกระต่ายขาวฉยงฉยงวิ่งมองซ้ายมองขวา เสื้อผ้าใหม่จึงจะดีแต่ไมตรีสหายเก่าจึงจะดี บทกวียังบอกนางอีกว่า เพียงแค่เป็นภาษาที่สละสลวยที่สุด เมื่อท่องบทกวีนี้ต่อหน้าสหายเก่า เขาก็จะนึกถึงญาติมิตรในอดีตขึ้นมาและมีมิตรภาพงดงามเช่นเคย


 


 


หลี่อันหลานเชื่อคำพูดของอาจารย์ จึงรีบไปหาท่านพ่อของนางเพื่อท่องบทกวีนี้ให้ฟัง สุดท้ายท่านพ่อไม่ได้จดจำท่านแม่ของนางได้ พระชายาฉินอ๋องผู้งดงามชื่นชมหลี่อันหลานว่าท่องบทกวีได้ดี ทั้งยังประทานถุงผ้าเครื่องหอมให้นางด้วย หลี่อันหลานผู้ดื้อรั้นกลับไปที่เรือนของท่านแม่ด้วยน้ำตา บอกมารดาว่าอาจารย์เป็นคนโกหก คนโกหกที่เชื่อไม่ได้


 


 


ทางช้างเผือกที่เจิดจรัสพาดผ่านอยู่บนท้องฟ้า ส่องแสงเปล่งประกายระยิบระยับ ค่ำคืนที่ไม่มีดวงจันทร์ในช่วงต้นเดือนเช่นนี้เมื่อมีมันก็ดูเหมือนจะเพียงพอแล้ว ม่านสีดำขนาดใหญ่ประดับประดาด้วยผลึกแก้วอัญมณีอยู่เต็มไปหมด ทางช้างเผือกก็เหมือนสร้อยคอที่สวยงามที่สุด ไม่รู้ว่าใครจึงจะสามารถสวมใส่มันได้ ถ้าหากมีใครสามารถสวมใส่มันได้ สร้อยคอเส้นนี้จะต้องทำให้นางเป็นหญิงงามที่สวยและสะดุดตาที่สุด


 


 


มีเงาดำผ่านหางตานางไป ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าเป็นเสี่ยวหลิงตัง นางสวมหน้ากากทาสคุนหลุนอีกแล้วเพื่อมาหลอกหลี่อันหลานให้ตกใจ การละเล่นนี้เล่นมาสามปีแล้ว แม้ว่าจะไม่มีความคิดใหม่ๆ ก็ตาม หลี่อันหลานก็เตรียมพร้อมที่จะตกใจ เพราะเสี่ยวหลิงตังมักจะมีความสุขเสมอ


 


 


เสี่ยวหลิงตังพุ่งเข้ามา หลี่อันหลานพยายามแกล้งแสดงสีหน้าว่าตกใจกลัวมาก มันง่ายมากเพียงแค่อ้าปากหลับตาและร้องเสียงหลงอีกสักหน่อย ก็สามารถทำให้เสี่ยวหลิงตังพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง


 


 


ทั้งสองเล่นสนุกสนานกันอยู่ครู่หนึ่ง เสี่ยวหลิงตังก็พิงอยู่ในอ้อมแขนของหลี่อันหลานแต่โดยดีแล้วไม่ขยับตัวอีก ทั้งสองเพลิดเพลินกับเวลาที่ผ่อนคลายซึ่งหาได้ยากไปด้วยกัน ที่จริงหลี่อันหลานอิจฉาเสี่ยวหลิงตังมาก นางมักจะสามารถหาวิธีที่ทำให้ตัวเองมีความสุขได้เสมอ


 


 


นางไม่ตั้งใจเรียนหนังสือแต่นางกลับสามารถบอกชื่อของพันธุ์ไม้ทั้งหมดในอุทยานได้โดยไม่ต้องคิด นางชอบกิน แต่น่าเสียดายที่หลี่อันหลานไม่มีอาหารอร่อยให้นางมากนัก แม้ว่าเสี่ยวหลิงตังจะอิจฉานางกำนัลคนอื่นที่มีเนื้อสัตว์กิน แต่ก็เพียงแค่อิจฉาและน้ำลายไหลเท่านั้นเอง


 


 


นางก็มีความสุขของนาง นางเด็ดดอกล่าปาและดูดน้ำหวานจากด้านหลังของดอกไม้ นางสามารถกินดอกหวยฮวาได้ทั้งวันโดยไม่รู้สึกเลี่ยน ไซบีเรียนเอล์มที่อวบอ้วนเป็นที่ชื่นชอบมากที่สุดของนาง นางชอบแกล้งผึ้งตัวอ้วนแม้ว่าจะโดนผึ้งต่อยจนร้องโฮก็ตาม แต่ก็ไม่ยอมเลิก


 


 


ได้ส้มกิกจากท่านแม่มาหลายผล นางก็สามารถกินมันได้ด้วยความเอร็ดอร่อย หลี่อันหลานเพียงแค่กัดหนึ่งคำ น้ำผลไม้เปรี้ยวฝาดก็ทำให้ฟันของนางทรมานไปตลอดทั้งวัน แต่หลิงตังราวกับไม่สนใจอะไรเลย ขอเพียงแค่เป็นของกิน ปากเล็กๆ ของนางนั้นก็สามารถกินได้หมด


 


 


หลี่อันหลานดึงเสี่ยวหลิงตังเข้ามาในอ้อมกอดของนางอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว นี่เป็นบุคคลเดียวที่นางสามารถเป็นเจ้าของได้ทั้งหมดและพึ่งพาได้


 


 


“องค์หญิง ท่านจะทรงแต่งงานกับราชาแดนเถื่อนที่มาจากหลิ่งหนานหรือเพคะ เขาหน้าตาอัปลักษณ์เพียงนั้น ทั้งยังเตี้ยมาก ที่น่ากลัวที่สุดคือฟันของเขาเป็นสีดำ เขาไม่คู่ควรกับท่าน องค์หญิง ไม่เช่นนั้นท่านแต่งงานกับคุณชายอวิ๋นดีหรือไม่”


 


 


“อวิ๋นเยี่ยมีอะไรดี เขากับเสด็จพ่อของข้าและรัชทายาทล้วนเป็นคนแบบเดียวกัน ความทระนงตนของเสด็จพ่อแสดงออกให้เห็นอยู่ภายนอก รัชทายาทก็เป็นเช่นนั้น มีเพียงความทระนงตนของอวิ๋นเยี่ยเท่านั้นที่มาจากธาตุแท้ของเขา หลิงตัง เราไม่ควรแต่งงานกับผู้ชายที่มีความทระนงตน พวกเขาจะไม่สนใจความรู้สึกของผู้หญิง ข้ายินดีแต่งงานกับคนดีที่ดูธรรมดามากกว่า แต่จะไม่แต่งงานกับอัจฉริยะที่ทระนงตน”


 


 


“คุณชายอวิ๋นก็เป็นคนดีนี่เพคะ เขาไม่เพียงแต่ทำอาหารอร่อยๆ ให้เรากินเท่านั้น คราวก่อนข้าบังเอิญเดินไปที่วังตะวันออก เขาไม่เพียงไม่สั่งให้คนลงโทษข้าเท่านั้น แต่เขายังช่วยข้าช่วยเสวี่ยฉิวออกมาด้วย ตอนนั้นเสวี่ยฉิวสกปรกมอมแมมไปทั้งตัวจนเหมือนลูกบอลดิน ใครจะรู้ว่าหลังจากอาบน้ำให้มันแล้วจึงรู้ว่าเสวี่ยฉิวเป็นสีขาว องค์หญิง ท่านแต่งงานกับคุณชายอวิ๋นได้หรือไม่ ข้าแค่เห็นลิงที่มาจากหลิ่งหนานตัวนั้นก็กลัวแล้ว”


 


 


“มันสายไปแล้ว เดือนหน้าเขาก็จะแต่งงานแล้ว หากไม่เกิดเรื่องที่ไปล่วงเกินไท่ซั่งหวงเข้าก็ยังพอมีโอกาส แต่ตอนนี้เสด็จพ่อทรงออกพระราชโองการแล้ว ข้าจึงได้แต่ต้องแต่งงานกับราชาแห่งแดนเถื่อน แต่ก็ไม่เป็นไร เจ้าคนโง่คนนี้ข้าจะกุมเอาไว้ในมือไม่ให้ขยับเลย ต่อไปข้าจะยึดเก้าภูเขาสิบแปดค่ายมาให้หมด แล้วพวกเราจะเป็นเจ้าของเสียเอง พวกผู้ชายนั้นพึ่งพาไม่ได้ มีเพียงแต่พวกเราที่ต้องคิดหาวิธีเอง”


 


 


“แต่เรามีกันเพียงสองคน ไม่สามารถเอาชนะพวกเขาได้ ข้ายังได้ยินเสี่ยวเย่ว์พูดว่าพวกเขาเป็นคนป่าเถื่อน เมื่อหิวพวกเขาจะกินคน องค์หญิง พวกเราไม่ไปหลิ่งหนาน ต้องตายแน่ ข้ากลัว”


 


 


เสียงร่ำไห้กระซิกของเสี่ยวหลิงตังทำให้หลี่อันหลานรู้สึกเจ็บปวด ตนเองไม่มีอะไรเลย นอกจากร่างกายแล้วยังมีอะไรให้นำมาใช้ได้อีก เพียงแต่เมื่อคิดถึงร่างผอมดำของราชาแห่งแดนเถื่อนกำลังจะกดทับร่างตนเอง นางก็ขนลุกซู่ไปทั้งร่าง


 


 


หลี่อันหลานเช็ดน้ำตา พยายามบอกตัวเองไม่ให้นึกถึงราชาแห่งแดนเถื่อน จึงมองลึกเข้าไปในจักรวาลอันห่างไกล ดวงดาวที่อยู่ในทางช้างเผือกชื่อว่าตูตูกำลังกะพริบตามองนางอยู่ ราวกับว่ากำลังหัวเราะเยาะในความอ่อนแอและความไร้ความสามารถของนาง


 


 


พยายามเข้มแข็งมานานหลายปี ทว่าราชโองการของเสด็จพ่อเพียงฉบับเดียวก็ทำให้นางตกนรกสิบแปดขุม ตัวเองไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้ตอบโต้ กลับได้แต่ปล่อยให้ถูกบงการตามใจชอบ หลี่อันหลานไม่อยากตาย นางยินดีมีชีวิตอยู่ต่อเพื่อเผชิญหน้ากับนรกมากกว่าการตาย ความตายเป็นการแสดงออกที่น่าสมเพชที่สุดสำหรับนาง


 


 


ตูตูยังคงกะพริบอย่างไม่หยุดหย่อน หลี่อันหลานก็หลั่งน้ำตาอยู่อย่างนั้น อวิ๋นเยี่ยบอกว่าอย่ามองว่าตูตูนั้นดวงเล็ก แท้จริงแล้วมันใหญ่กว่าดินแดนที่เราอาศัยอยู่เป็นอย่างมาก หลอกลวง คนลวงโลก


 


 


เสวี่ยฉิวปีนขึ้นมาบนบันไดแล้วพิงอยู่ที่เท้าของหลิวตัง หลิงตังที่แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเป็นทุกข์ใบหน้าไร้รอยยิ้มเป็นครั้งแรก ลูบซอกหูนุ่มๆ ของเสวี่ยฉิวด้วยอาการเหนื่อยหน่าย


 


 


จะมีใครที่ใส่ใจในชีวิตของข้า จะมีใครสนใจร่างกายของข้า


 


 


ในช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวัง คนเรามักจะแสดงความเคียดแค้นที่เกรี้ยวกราดออกมา ความเคียดแค้นนี้ก่อให้เกิดความโกรธแค้นอยู่ในใจของหลี่อันหลาน นางกำหมัดแน่นจนข้อต่อเปลี่ยนเป็นสีขาวเนื่องจากออกแรงมากเกินไป


 


 


หลังมือที่แน่นตึงมีรอยเส้นสีแดงอ่อนๆ เกิดขึ้นซึ่งมีความยาวนิ้วหนึ่งได้ ทันใดนั้นในใจของหลี่อันหลานก็เกิดความคิดแปลกๆ ขึ้นมา ชีวิตอาจไม่มีใครใส่ใจแต่เรือนร่างนี้น่าต้องมีใครบางคนที่ใส่ใจกับมันกระมัง


 


 


นางลุกขึ้นนั่งในทันที ค่อยๆ หวนคิดถึงต้นกำเนิดของแผลเป็นนี้ ซึ่งนั่นเป็นแผลที่ตนเองกรีดขึ้นเพราะไม่ทันระวังขณะฝึกวิชากระบี่จนเป็นแผลลึก ตนเองก็ไม่สนใจมัน เพียงแค่หยิบผ้าเช็ดหน้ามาพันไว้ อย่างไรเสียถึงอยู่ในวังก็ไม่มีโอกาสได้รับการรักษาจากหมอหลวงอยู่แล้ว


 


 


เมื่ออวิ๋นเยี่ยเข้าวังมาเพื่อเยี่ยมตนเองได้เห็นบาดแผลนี้กลับโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ตำหนิหลี่อันหลานเสียงดังว่าไม่รู้จักทะนุถนอมร่างกายตัวเอง หากเป็นเช่นนี้ต่อไปจะใช้ได้ที่ไหนกัน หลังจากพูดจบก็ขี่ม้าเร็วกลับบ้านไปนำยามาและรักษาแผลให้เป็นอย่างดี เพื่อไม่ให้เป็นแผลเป็น อวิ๋นเยี่ยจึงฉีกด้ายไหมเป็นเส้นบางๆ หลายเส้นแล้วใช้เข็มที่เล็กที่สุดเย็บแผลให้ติดกัน ในเวลานั้นตนเองยังชื่นชมฝีมือการแพทย์อันเยี่ยมยอดของเขาอยู่เลย


 


 


อวิ๋นเยี่ยเพียงแต่เหล่ตนเองอย่างเย็นชา ถูกต้อง เพียงแค่เหล่อย่างเย็นชา ไม่ได้เป็นห่วง ไม่มีความรัก มีแต่การตำหนิเพียงอย่างเดียว ดูเหมือนว่าเขาจะใส่ใจแค่ว่าร่างกายได้รับบาดเจ็บหรือไม่ ไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดที่ตัวเองรู้สึกเลยแม้แต่น้อย


 


 


ไข่มุกขนาดใหญ่เท่าลำไยนั้นส่องประกายแวววาว เขาใช้แท่นบดยาบดจนเป็นผงโดยไม่เสียดายเลยแม้แต่น้อยนิด ผสมกับน้ำผึ้งแล้วทาไว้ตรงบาดแผล เขาบอกว่าเช่นนี้จะทำให้ไม่มีรอยแผลเป็น


 


 


คนเรานั้นไม่ควรได้รับการกระทบกระเทือน เมื่อความทรงจำของหลี่อันหลานถอยย้อนไปถึงการพบกันครั้งแรกนั้น คำว่า “ภรรยา” ได้เปิดเผยร่องรอยหลายๆ อย่างออกมามากมายจริงๆ


 


 


หลี่อันหลานปลดอกเสื้อออก แม้แต่ชุดชั้นในก็ถอดออก ยืนเปลือยกายอยู่บนระเบียง ทำให้เสี่ยวหลิงตังกระวนกระวายร้องไห้จะสวมเสื้อผ้าให้องค์หญิง หลี่อันหลานหลบเสี่ยวหลิงตัง ยืนเปลือยทรวงอกที่อวบอิ่มพลางถามเสี่ยวหลิงตังว่า “หลิงตัง ไม่ต้องกลัว ข้าไม่ได้บ้า แค่อยากถามเจ้าว่าร่างกายของข้างดงามหรือไม่”


 


 


สายลมยามเย็นในฤดูใบไม้ผลิพัดโชยผ่านผมยาวของหลี่อันหลาน ทรวงอกที่อวบนูนจึงถูกเผยให้เห็นอยู่ท่ามกลางแสงราตรี ร่องว่างระหว่างปอยผมทำให้เห็นยอดปทุมถันสองยอดสั่นเทาอยู่รางๆ ท่ามกลางสายลมยามราตรี เอวที่เรียวเล็กอรชรอ้อนแอ้น สะโพกที่อวบอิ่ม สองขาเรียวยาวทำให้เสี่ยวหลิงตังดูจนหน้าแดงไปถึงใบหู


 


 


หลี่อันหลานอมยิ้ม แต่ดวงตาของนางเย็นชาเหมือนน้ำแข็งก็ไม่ปาน ปล่อยให้เสี่ยวหลิงตังสวมเสื้อคลุมให้ นางลูบผมเหสี่ยวหลิงตังแล้วพูดว่า “ตอนนี้ปัญหาของเรือนร่างนี้ไม่ใช่ของพวกเราอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นของอีกคนหนึ่ง ข้าเชื่อว่าแม้ว่าเขาจะต้องฆ่าราชาแห่งแดนเถื่อนทิ้ง ก็จะไม่ปล่อยให้มือสกปรกของราชาแห่งแดนเถื่อนนั้นแตะต้องร่างกายนี้แม้เพียงเล็กน้อย”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)