เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 5 ตอนที่ 36-38
ส่วนที่ 5
ตอนที่ 36 ความหวานชื่นกับความทุกข์
อยากร่ำรวยก็ต้องปูทางก่อน คำพูดประโยคนี้อวิ๋นเยี่ยตัดสินใจเลือกให้เป็นคำพูดคลาสสิกในเส้นทางการดำเนินชีวิตของเขา
ใครจะคิดว่ามีอันตรายซ่อนอยู่มากมายในแม่น้ำอันเชี่ยวกรากสายนี้ ที่นี่ไม่มีเขื่อนสามผาที่ใหญ่โตมโหฬาร นี่มีสิ่งเดียวที่เรียกว่าโขดหินผา ชื่อของสิ่งนี้ฟังดูเป็นชื่อที่ดี แต่แท้จริงแล้วมันเป็นความชั่วร้ายที่กินมนุษย์จนไม่เหลือกระดูกมาเป็นเวลายาวนานแล้ว ไม่รู้ว่ามีชาวเรือจำนวนเท่าไรที่ถูกฝังอยู่ใต้โขดหินนี้ เรือล่มคนตาย กระดูกไม่มีเหลือ อยากจะลำเลียงไม้จินซือหนานมู่จากที่นั่นคงต้องชนโขดหินเหล่านั้นแตกเป็นเสี่ยงๆ ถึงตอนนั้นที่ได้มาน่าจะเป็นไม้หักเป็นท่อนๆ ที่ไม่สามารถนำไปทำอะไรได้
“เจ้าหนุ่ม เว้นแต่ว่าเจ้าจะนั่งบนนั้นเพื่อให้ต้นไม้คงสภาพในแนวตั้งไว้ เช่นนั้นเจ้าจึงจะสามารถปล่อยไม้ได้” หลี่เซี่ยวกงยังล้ออวิ๋นเยี่ยเล่นหลังจากพูดจบ
“การที่จะให้ไม้คงสภาพในแนวตั้งไว้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร แถมข้าก็ไม่ต้องขึ้นไปนั่งเองด้วย” อวิ๋นเยี่ยตอบอย่างหงุดหงิด ใครจะรู้ว่าหลี่เซี่ยวกงถามอย่างจริงจังว่า “แล้วเจ้าจะมีแผนการอย่างไร”
“ท่านเป็นคนที่ยิงธนูมาชั่วชีวิต ท่านยังไม่เข้าใจหลักการนี้อีกหรือ ท่านเคยเห็นลูกธนูกลิ้งไปข้างหน้าหรือไม่ เพียงแค่ติดตั้งปีกที่ด้านหลังของไม้ก็ใช้ได้แล้ว ผู้เยาว์กล้ารับประกันว่าท่อนไม้นี้จะลอยพุ่งตรงไปข้างหน้าแน่นอน โดยจะไม่ลอยหมุนกลับมาเป็นแนวขวางแล้วไปชนโขดหินน่ารังเกียจพวกนั้นแน่
หลี่เซี่ยวกงคว้าศีรษะของอวิ๋นเยี่ยมาพินิจพิเคราะห์อยู่ครู่หนึ่งและพูดกับเซียวอวี่ว่า “ผู้คนมักจะพูดว่าใครบางคนรู้จักพลิกแพลงหาใครเปรียบได้ ข้ามักจะคิดว่าเหลวไหลไร้สาระ ไม่คิดว่าจะได้พบที่นี่ พี่สือเหวิน เจ้าว่าอย่างไร”
เซียวอวี่หัวเราะฮ่าๆ และพูดว่า “ถ้าเขาแก้ปัญหาข้อนี้ของข้าได้ ข้าจึงจะเห็นด้วย เจ้าหนุ่ม เจ้ารู้ไหมว่าไม้จินซือหนานมู่ไม่สามารถลอยอยู่บนผิวน้ำได้ มันลอยอยู่ในน้ำได้เท่านั้น เจ้าหนุ่ม มันลอยขึ้นมาไม่ได้ เจ้าจะทำให้มันกลายเป็นแพไม้ได้อย่างไร”
เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนั้น หลี่เซี่ยวกงก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดังขึ้นอีกครั้ง เรียกคนรับใช้นำอ่างน้ำเข้ามา หยิบที่วางพู่กันบนโต๊ะทำงานมาแล้วโยนมันลงในอ่าง เป็นจริงดังที่ว่า พู่กันลอยอยู่ตรงกลางน้ำไม่จมลงไปแต่ก็ไม่ลอยขึ้นมา
เมื่อเห็นสภาพเช่นนี้เข้าเฉิงฉู่มั่วก็ตกตะลึงอึ้งไป อ้าปากค้างจนน้ำลายไหลลงมาโดยไม่รู้ตัว
หลี่เซี่ยวกงและเซียวอวี่ชายชราใจดำสองคนก็เริ่มกุมท้องหัวเราะดังขึ้นอีกครั้ง อาการเห็นคนอื่นเป็นทุกข์แล้วมีความสุขนั้นชัดเจนเป็นอย่างมาก
อวิ๋นเยี่ยหยิบพู่กันหลายด้ามจากบนโต๊ะ แล้วตัดปลายพู่กันออก หาเชือกเส้นเล็กๆ มา นำกระบอกไม้ไผ่ผูกเข้ากับที่วางพู่กันแล้วโยนมันลงไปในน้ำอีกครั้ง คราวนี้ที่วางพู่กันลอยอยู่บนผิวน้ำอย่างมั่นคง ไม่จมลงไปอีก
ชายชราสองคนหยุดหัวเราะทันควัน แทบไม่ได้หายใจเข้าจนตาขาวเหลือกขึ้นมา
เฉิงฉู่มั่วปรบมืออย่างมีความสุขเหมือนเด็กๆ และตะโกนว่า “ลอยขึ้นแล้ว ลอยขึ้นแล้ว ตาเฒ่าสองคนจนแต้มแล้ว”
เสียงยังไม่ทันจบลง ด้านหลังศีรษะของตนเองก็โดนตบเข้าให้หนึ่งฝ่ามือ ที่บั้นท้ายโดนถีบเข้าให้หนึ่งฝ่าเท้า ชายชราทั้งสองคนขายหน้าจนเริ่มโกรธแล้ว เพราะโต้แย้งไม่ได้แล้วจึงเริ่มวางอำนาจของผู้อาวุโส
“ท่านลุงหลี่ ท่านลุงเซียว ข้าตั้งใจจะขนไม้จินซือหนานมู่ออกมาในเดือนแปดขณะที่แม่น้ำฉางเจียงกำลังน้ำขึ้นสูง หนึ่งพันต้น ถึงตอนนั้นน้ำในแม่น้ำจะปิดคลุมโขดหินอย่างสมบูรณ์ มีเวลาครึ่งปี ไม่ว่าอย่างไรก็มีเวลาพอเพียงให้ข้าได้ลงมือแล้ว”
“ที่บ้านข้ายังมีชายชราหลายคนที่เมื่อก่อนติดตามข้ารบทัพจับศึกขึ้นเหนือล่องใต้พร้อมกับข้า สามารถให้เจ้ายืมไปได้ แต่เงินเดือนจะต้องจ่ายหนักนะ ถ้าข้าได้ยินข่าวว่าเจ้าไม่ดีต่อพวกเขา ข้าจะบุกขึ้นเขาอวี้ซันหาเจ้าเพื่อทวงถามเรื่องนี้”
แน่นอนว่าอวิ๋นเยี่ยต้องรับปากอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ ทหารผ่านศึกเหล่านั้นเรียกได้ว่าจะต้องไปเสี่ยงชีวิต ตระกูลอวิ๋นจะไม่ให้พวกเขาต้องเสียเปรียบอย่างแน่นอน
“เหลาหลี่ข้ากับเจ้าต่างก็ก้าวขาหนึ่งข้างลงโลงไปแล้ว ถ้าไม่ฉวยโอกาสตอนนี้ตอกโลงศพสักอันยังจะต้องรอถึงเมื่อไหร่กัน” เซียวอวี่ครั้นได้ยินว่ามีไม้จินซือหนานมู่หนึ่งพันต้น มีหรือจะอดใจไหว ยุยงส่งเสริมให้หลี่เซี่ยวกงใช้โอกาสนี้ให้เกิดประโยชน์
หลี่เซี่ยวกงโบกมือใส่เซียวอวี่และพูดว่า “ภาระหน้าที่ของเจ้าหนุ่มนี่ก็มากพอแล้ว พวกเราสองพี่น้องจะไม่เข้าไปวุ่นวาย รอให้ภาระหน้าที่ของเขาจบลง หากต้องการไม้จินซือหนานมู่ก็ให้ทหารผ่านศึกเดินทางอีกครั้ง ทำไมจะต้องเข้าไปวุ่นวายกับเขาด้วย”
เซียวอวี่ยิ้มกับอวิ๋นเยี่ยแล้วพูดว่า “ข้าละโมบเกินไปแล้ว เจ้าหนุ่ม ห้ามเจ้าออกไปทำลายชื่อเสียงข้าให้เสียหายนะ”
ทหารผ่านศึกหนึ่งร้อยคน นี่คือจำนวนทหารเรือที่หลี่เซี่ยวกงให้สัญญาไว้ เมื่อมีพวกเขา อวิ๋นเยี่ยคิดว่าเรื่องอื่นนั้นไม่ใช่ปัญหา มีไม้หนานมู่จำนวนมากใกล้ๆ เมืองไป๋ตี้ เพียงแต่สถานที่นั้นอันตรายไปสักหน่อย ไม่มีทางที่จะขนส่งออกมาได้ ชาวบ้านท้องที่ก็เฝ้ารอขอทานจากผู้ที่มีเงินอยู่ทุกแห่ง อวิ๋นเยี่ยเชื่อว่าด้วยรายได้จำนวนมากเช่นนี้ ขุนนางและชาวบ้านที่นั่นจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นมาก
สำหรับเรื่องที่ว่ามันจะเป็นแบบอย่างอันเลวร้ายแก่คนในยุคปัจจุบันที่ทำให้ไม้จินซือหนานมู่หายตัวไปจากเสฉวนหรือไม่ นี่ไม่ใช่สิ่งที่อวิ๋นเยี่ยจะสามารถพิจารณาได้ แทนที่จะเก็บเอาไว้ให้ฮ่องเต้ราชวงศ์หมิงนำไปสร้างสุสาน ตอนนี้นำมาสร้างพระตำหนักที่โอ่อ่าหรูหรางดงามที่สุดในโลกอย่างเปิดเผยยังจะดีเสียกว่า
อวิ๋นเยี่ยได้มอบให้กงซูมู่ดูแลตำหนักทั้งหลัง ตระกูลกงซูเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในวงการนี้ หลังจากผู้เฒ่ากงซูได้ยินข่าวนี้ก็ตื้นตันจนน้ำตาไหลอาบแก้ม เชิญป้ายวิญญาณของหลู่ปันออกมาในทันใด ทั้งตระกูลทำพิธีเซ่นไหว้และขอให้อวิ๋นเยี่ยกับหลี่กังเข้าร่วมชมพิธี
เครื่องมือใช้สำหรับงานไม้ต่างๆ เช่น กบไสไม้ เลื่อยและเครื่องขีดเส้นตรงวางเรียงอยู่บนโต๊ะเซ่นไหว้ ไม่มีเครื่องไหว้ซาแซ[1] ไม่มีการจุดธูปให้ฟุ้งตลบ ลูกหลานของตระกูลกงซูอธิษฐานจิตอย่างจริงใจ กงซูมู่ท่องคำบวงสรวงจบก็ตะโกนเสียงดังขึ้น “เริ่มงาน” จากนั้นก็เดินเข้าไปข้างหน้า หยิบเลื่อยขึ้นมาเลื่อยท่อนไม้ที่ได้เตรียมพร้อมไว้ล่วงหน้าจนขาดเว้าเป็นช่องโหว่ กงซูเจี่ยใช้กบไสไม้ไสเนื้อไม้ออกมาเป็นเส้นยาวๆ แล้วนำมาวางไว้บนโต๊ะเครื่องเซ่นไหว้ กงซูมู่เริ่มแจกจ่ายแบบก่อสร้างอย่างเป็นทางการ
แบบจำลองนั้นเป็นขั้นตอนแรกที่ตระกูลกงซูต้องทำ มีผู้อาวุโสเพียงสามคนเท่านั้นที่มีคุณสมบัติที่จะทำได้ แม้แต่กงซูเจี่ยก็เป็นได้แค่ผู้ช่วยเท่านั้น คนอื่นๆ ในตระกูลกงซูก็ไม่ได้อยู่เฉย ลูกสะใภ้ของลูกชายคนเล็กใช้มีดเล็กเหลาจันทัน[2]ที่นับไม่ถ้วนเหล่านั้น บรรดาฮูหยินที่สูงวัยในบ้านเริ่มใช้ฝีมือทำการเย็บปักถักร้อยประตูและหน้าต่างนานาชนิด แม้แต่งานแกะสลักบนประตูและหน้าต่างนั้นก็มองเห็นลวดลายได้อย่างชัดเจน
การมอบสิ่งต่างๆ ให้กับผู้ที่เป็นมืออาชีพไปดำเนินการนั้นเป็นคติพจน์แห่งความสำเร็จ ตระกูลกงซูนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญที่โดดเด่นที่สุดในวงการนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
ตอนนี้เผยอิงยังมีความสนใจกับงานที่เสี่ยงอันตราย ยิ่งเสี่ยงอันตรายมากเท่าไรเขาก็ยิ่งชอบ เมื่อได้ยินว่าการขนไม้เป็นงานที่อันตรายที่สุด เขาก็กระโดดออกมาบอกว่าจะขออาสาไป ทั้งยังบอกว่าความแข็งแกร่งของตระกูลเผยในแดนเสฉวนนั้นน่าทึ่งมาก ความสะดวกสบายนี้อย่าได้ใช้อย่างไร้ประโยชน์
“ไม่อยากให้ตาย ต้องมีชีวิตรอดกลับมา เจ้าอายุแค่สิบเจ็ดปี วันข้างหน้ายังอีกยาวไกล พวกเรายังมีความหวานชื่นอีกมากมายไม่ได้เสพสุข หากตายตอนนี้จะขาดทุนมาก เพียงแค่ออกจากตระกูลก็ไม่อยากอยู่แล้วหรือ ข้าไม่เชื่อ!
เมื่อเผชิญหน้ากับการให้กำลังใจของอวิ๋นเยี่ย เผยอิงหัวเราะและพูดว่า “พี่อวิ๋น ตอนนี้ข้าเป็นคนของสำนักศึกษา ไม่ใช่คุณชายของตระกูลไหน ชีวิตนี้ได้รับจากสำนักศึกษา หากไม่มีสำนักศึกษารับอนุเคราะห์ไว้ ข้าคงกลายเป็นมนุษย์เทียนไขแล้ววางคู่กับลวี่จู๋อยู่หน้าหอป้ายวิญญาณตระกูลโต้วไปตั้งนานแล้ว”
“อย่าพูดไร้สาระ อย่างน้อยก็ยังมีมารดาเจ้าเป็นห่วงเจ้า ตั้งใจศึกษาให้ดี ตั้งใจทำงานให้ดี ก้าวขึ้นไปให้สูงกว่านี้เพื่อแสดงให้พวกเขาเห็น” อวิ๋นเยี่ยได้แต่งัดไม้ตายออกมาใช้ ทุกคนต่างก็มีมารดา ความรักของมารดาเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด อย่างน้อยก็ไม่ใช่เรื่องที่คิดผิดอะไร
แต่สุดท้ายการนำมาใช้กับเผยอิงนั้นผิดไปแล้ว เผยอิงหัวเราะจนหน้าบิดเบี้ยว “พี่อวิ๋น ข้าเกาะอยู่ที่ประตูหน้าบ้านปฏิเสธที่จะออกไปข้างนอก เพราะข้ารู้ว่าถ้าออกไปข้าต้องตายแน่ เจ้ารู้ไหมว่าใครเป็นคนผลักข้าออกไป ถูกต้อง ท่านแม่ข้าเอง แม่บังเกิดเกล้าของข้า! เพื่อที่จะไล่ข้าให้ออกไป นางจิกลากบนหลังมือข้าจนเป็นรอยเลือดสี่เส้น พี่อวิ๋น เจ้าคิดอย่างไรกับความรักของแม่เช่นนี้”
ทำให้อวิ๋นเยี่ยจนด้วยเกล้าพูดไม่ออกเลย แม่ของเขาก็ช่างโหดเ**้ยมเสียจริง ต้องเป็นแม่ประเภทไหนกันจึงจะทำเช่นนี้ได้
“เจ้าลูกนอกคอกจงฟังไว้ แม้ว่าทุกคนในใต้หล้านี้จะโหดเ**้ยมกับเจ้า เจ้าก็ไม่ควรดูถูกตัวเองและปล่อยตัว ยิ่งเป็นเช่นนี้ยิ่งต้องดูแลตัวเองให้มากขึ้น พวกเขาเป็นคนสารเลวแต่พวกเราไม่ใช่ เจ้าไปหาหญิงที่อ่อนโยนมีเมตตาสักคนแล้วแต่งงานเสีย แล้วจงรักภรรยาและลูกๆ ของตนเองให้มาก ใช้เวลาไม่นาน แล้วเจ้าจะค้นพบว่าความคิดอยากจะตายของเจ้ามันน่าขันเพียงใด”
“พี่อวิ๋นอย่าโกหกข้า ข้าถูกหลอกจนกลัวแล้ว หากมีผู้หญิงเช่นนี้จริง หากจะให้ข้าแต่งเข้าตระกูลนางข้าก็ยอม”
“หากเจ้าไม่มีความคิดที่ว่าจะต้องเหมาะสมกับฐานะอะไรพวกนั้น ผู้หญิงเช่นนี้คาดว่าจะมีอยู่ไม่น้อย แต่อย่างไรก็ตาม หญิงเช่นนี้คงหาได้ยากจากตระกูลใหญ่ เจ้าค่อยๆ หาไป เมื่อเจ้าพบแล้วจงบอกข้า ข้าจะจัดโต๊ะเลี้ยงฉลองให้เจ้า”
“พี่อวิ๋น ในตอนนี้ แม้แต่ท่านแม่ข้าก็พึ่งพาอะไรไม่ได้ ดูเหมือนว่าน้องคงต้องหาหญิงที่ดีด้วยตัวเองแล้ว”
ท้ายที่สุดแล้วเผยอิงก็ยังคงไปขนไม้ โดยนำผู้คนประมาณร้อยคนมุ่งหน้าไปยังแดนเสฉวน ทั้งยังพาอวี้ซัน ซินเย่ว์และคนรับใช้ของจ้าวเหยียนหลิงไปด้วย เผยอิงต้องการที่จะบรรเทาความคับแค้นใจผ่านความยากลำบาก จึงได้แต่ขอให้เขาประสบความสำเร็จ
อวิ๋นเยี่ยตั้งใจจะเผาอิฐในเมือง ในแผนของเขา เขาต้องการขุดแม่น้ำด้านนอกและแม่น้ำในประเทศให้มาบรรจบกันเพื่อให้กลายเป็นระบบการขนส่งทางน้ำที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งจำเป็นต้องทำการขุดตัดขาดถนนสามสายแล้วสร้างสะพานไว้ด้านบน โดยเรื่องนี้ต้องให้ทางการอนุญาตเสียก่อนจึงจะทำได้
อวิ๋นเยี่ยนำ**บใส่แบบก่อสร้างขนาดใหญ่หลาย**บเข้าวัง อย่างไรเสียหัวหน้าผู้บัญชาการของโครงการก็คือฮองเฮา ไม่รู้ว่าทำไมคราวนี้หลี่ซื่อหมินจึงไม่สนใจถามถึงเรื่องนี้เลย หรือว่าเขารู้สึกอับอายจนไม่กล้าพบอวิ๋นเยี่ย
ทันทีที่ความคิดนี้เกิดขึ้น อวิ๋นเยี่ยก็สำรอกน้ำลายออกมาหลายคำอย่างต่อเนื่อง อยากจะให้หลี่ซื่อหมินมีความรู้สึกเช่นนี้ตามเรื่องเล่า ยังยากกว่าการให้แม่หมูปีนต้นไม้เสียอีก
“ทำไมจึงต้องขุดให้ถนนตัดขาด” เห็นชัดๆ ว่าจั่งซุนดูไม่เข้าใจภาพแบบก่อสร้างที่อวิ๋นเยี่ยวาด แต่แกล้งทำเป็นชี้ไปที่กำแพงเมืองในแบบก่อสร้างแล้วเอ่ยถาม
“เพราะกระหม่อมมีเงินเพียงสามหมื่นก้วน จึงจำเป็นต้องใช้อย่างระมัดระวังทุกฝีก้าว ดินที่ถูกขุดขึ้นมาจะถูกเผาเป็นอิฐ ดินที่เหลือจากนั้นจะถูกนำมาใช้สร้างรากฐานของตำหนักใหม่ ทางที่ขุดขึ้นมาจะเชื่อมต่อกับแม่น้ำด้านนอกเพื่อสร้างเครือข่ายน้ำ ดังนั้นการขนส่งวัสดุก่อสร้างเช่นนี้จะช่วยประหยัดเงินและกำลังคนได้เป็นจำนวนมาก”
อธิบายตามตำราทุกประการ เสียงของอวิ๋นเยี่ยไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรเลย อธิบายให้จั่งซุนฟังด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เจ้าไม่พอใจเราเป็นอย่างมาก” น้ำเสียงของจั่งซุนก็แฝงไปด้วยบารมีน่าเกรงขามของฮองเฮาโดยไม่รู้ตัว
เช่นนี้จึงจะถูกต้อง งานหลวงนี่นะ ทำให้เป็นกิจจะลักษณะจะดีกว่า จะพูดเรื่องมิตรภาพกับจั่งซุนนั้นมันได้ไม่คุ้มเสีย อวิ๋นเยี่ยกลัวที่สุดก็คือการต้องต่อสู้กับศัตรูด้วยความรู้สึก สำหรับเรื่องงานนั้นแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยใส่ใจ ในยุคนี้ คนที่มีความรู้มากไปกว่าเขานั้นเรียกได้ว่าไม่มีเลย
“กระหม่อมจะกล้าได้อย่างไรกัน เพียงแค่ฮองเฮาทรงรับสั่ง กระหม่อมก็รีบเริ่มทุ่มเทสุดชีวิต เหล่ากั๋วกงหลายท่านเห็นกระหม่อมน่าสงสารจึงได้นำเงินค่าใช้จ่ายในครอบครัวมามอบให้กระหม่อมได้นำไปใช้ กระหม่อมจึงควรใช้เงินทุกบาททุกสตางค์ให้คุ้มค่า เช่นนี้จะได้ไม่ผิดต่อความคาดหวังของพวกท่าน”
“ไม่ต้องพูดให้เจ้าเป็นคนน่าสมเพชเพียงนั้น หลายปีที่ผ่านมาเจ้าอยู่ข้างกายเรามาตลอด เจ้าเป็นคนเช่นไรคิดว่าเราไม่รู้หรือ แม้ว่าจะไม่รู้ว่าเจ้ามีลูกเล่นอะไร แต่ตอนนี้เราบอกได้เลยว่าหากตอนนี้ไม่กดดันให้เจ้าสร้างตำหนักใหม่ ในกรมโยธาจะไม่มีใครกล้ามีหน้าที่จะอยู่ในตำแหน่งของตนเองต่อไป เสี่ยวเยี่ย เจ้าต้องการเงินมากมายไปทำอะไร เจ้าต้องการสร้างสำนักศึกษาแต่นั่นไม่ใช่สำนักศึกษา แต่เป็นเมืองฉางอันเมืองที่สอง ใช้เงินไปมากมายเพียงนั้น เงินถูกเจ้านำไปสร้างสำนักศึกษาหมดแล้ว แล้วประเทศชาติจะเป็นอย่างไร สิ่งที่เรียกว่าเงินนี้มีจำนวนให้นับ หากเจ้านำไปใช้มาก เช่นนั้นราชสำนักก็ได้ใช้น้อยลง เจ้าสร้างอาคารเรียนหนึ่งหลัง ไม่แน่ว่าราชสำนักจะสร้างเมืองน้อยลงไปอีกแห่ง เรื่องไหนหนักเรื่องไหนเบาคนฉลาดเช่นเจ้ามีหรือจะมองไม่ออก”
จั่งซุนเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลงแล้ว อวิ๋นเยี่ยยังจะทำอะไรได้ พวกเขามองเงินด้วยมุมมองเช่นนี้ หลงเข้ามาในยุคนี้ อวิ๋นเยี่ยทั้งตื่นเต้นทั้งเศร้าใจ
——
[1] เครื่องไหว้ซาแซ หมายถึง เนื้อสัตว์สามอย่าง ซึ่งจะประกอบไปด้วย ไก่ เป็ด และหมู
[2] จันทัน โครงสร้างเครื่องบนของหลังคาทรงปั้นหยา หรือทรงมนิลา วางพาดตามความลาดของหลังคา ตอนบนพาดอยู่กับอกไก่ตอนล่างพาดอยู่กับเสา จันทันทำหน้าที่รองรับแปกลอน ระแนง และเครื่องมุงชนิดต่างๆ
ส่วนที่ 5
ตอนที่ 37 ขูดรีดตระกูลใหญ่
ก่อนหน้านี้อวิ๋นเยี่ยเคยคิดว่าความเหงาของเหล่ายอดฝีมือนั้นไร้สาระจริงๆ ตอนนี้เขาได้สัมผัสกับตัวเองแล้ว เมื่อทุกคนเข้าใจผิดเกี่ยวกับแนวคิดเรื่องเงิน เขาจึงเป็นยอดฝีมือผู้โดดเดี่ยวคนนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ให้ตายสิ มันโดดเดี่ยวเกินไป
การประลองกระบี่บนเขาหวาซันอย่างน้อยก็ยังเรียกว่าเป็นศึกการประลองยุทธ์ของยอดฝีมือห้าถึงหกคน แต่คนที่ตนเองพบทั้งหมดนั้นเป็นพวกพ่อค้าที่รู้จักลงทุนแล้วแสวงหาผลกำไร ในวงการด้านการขายชอร์ต[1]มีตนเพียงคนเดียวที่จะเอะอะโวยวายและลงไปชักดิ้นชักงอได้ อยากเล่นอย่างไรก็เล่นอย่างนั้น
สร้างตำหนักเพื่อราชวงศ์! ยังคงเป็นประเด็นหลักในการประชุมราชการเช้า ทำไมไม่มีใครในโลกนี้คิดว่านี่จะเป็นโอกาสทำเงินได้มากกันบ้าง แม้จะสร้างอย่างเสียเปล่าก็ถือเป็นประโยชน์อย่างมาก
อิฐนั้นใช้ของตระกูลจาง ตระกูลหลี่ที่ทำอิฐเช่นเดียวกันจะเคืองโกรธไหม ไม่นานนักก้อนอิฐของตระกูลจางก็วางขายอยู่ทั่วทั้งฉางอัน ส่วนอิฐของตระกูลหลี่ไม่มีใครถามถึงเลย
ด้วยเหตุผลเดียวกัน วัสดุก่อสร้างหิน ทราย ไม้ หากใช้ของตระกูลไหนก็จะรู้สึกว่าเป็นสง่าราศีอันสูงสุดของตระกูล ตัวอย่างเช่นอนุญาตให้พวกเขาประทับตราตระกูลลงบนก้อนหินก้อนอิฐ กลุ่มคนผู้น่าสงสารอย่างบรรดาพ่อค้าของฉางอันจะต้องตาร้อนตาแดงจนน่ากลัวแน่นอน
สำหรับต้นทุนในการสร้างตำหนัก นอกเหนือจากความจำเป็นของกำลังคนที่ขาดไม่ได้แล้ว ยังมีเรื่องเช่นนี้อีกหรือ
ราชนิกุลเห็นเรื่องนี้เป็นภาระหน้าที่ และมอบหมายอำนาจทั้งหมดให้อวิ๋นเยี่ยเป็นคนจัดการ ในการสร้างอาคารสักหลังต้องใช้เงินหนึ่งแสนห้าหมื่นก้วนด้วยหรือ เงินสามหมื่นก้วนของจั่งซุนก็เพียงพอที่จะสร้างได้แล้ว ทั้งยังเป็นสิ่งปลูกสร้างที่โอ่อ่าวิจิตรการตาไร้ที่เปรียบอีกด้วย
สัญชาตญาณที่น่ารังเกียจของจั่งซุนนั้นมักจะถูกต้องแม่นยำเสมอ ภาพลักษณ์ที่หน้านิ่วคิ้วขมวดของอวิ๋นเยี่ยก็ถูกนางมองออกด้วยเช่นกัน หญิงตั้งครรภ์ไม่ยอมพักผ่อนให้เต็มที่ จะมัวมาวิตกกังวลอะไรนักหนา มอบหมายเรื่องสร้างตำหนักให้อวิ๋นเยี่ยก็พอแล้ว ส่วนตนเองก็รอเก็บกระเป๋าเตรียมย้ายเข้าไปอยู่ก็พอแล้ว เสียเงินสามหมื่นก้วนเพื่ออยู่ในอาคารระดับไฮเอนด์ยังมีอะไรไม่พอใจอีก กลัวฉันเอาเงินไปใช้หมดหรือไง นี่มันคือตรรกะอะไร
หากใช้น้ำหนึ่งกะละมังมาเปรียบเทียบเศรษฐกิจ ฉันตักน้ำกระบวยใหญ่หนึ่งกระบวย ราชสำนักก็จะได้น้ำน้อยลงหนึ่งกระบวยเล็ก เศรษฐีในยุคปัจจุบันใช้ปั๊มสูบน้ำก็ไม่เห็นว่าความมั่งคั่งจะถูกสูบจนหมดเสียหน่อย
จั่งซุนมองอวิ๋นเยี่ยตาปริบๆ นางหวังว่าอวิ๋นเยี่ยจะเข้าใจความหวังดีของนาง อย่าได้ให้ราชสำนักต้องอยู่ในจุดยืนที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ตอนนี้ราชสำนักอยู่ในสถานการณ์ที่มีเรื่องต่างๆ รอให้ต้องจัดการอีกมากมาย ซึ่งแต่ละอย่างนั้นต้องใช้เงินเพื่อสนับสนุนในการก่อสร้าง
พรมแดนใหม่ที่ยึดได้มาต้องดูแลให้มั่นคง ต้องสร้างเมือง ต้องตัดถนน การวางโครงข่ายทางน้ำให้ทั่วแดนกวนจงต้องสร้างใหม่ เหล่าทหารที่อยู่แนวหน้าต้องการรางวัลเป็นการปลอบขวัญ หลังจากการทำสงครามหลายปี เมืองที่พังทลายลงก็ต้องสร้างขึ้นใหม่ แต่ทว่ารายได้จากภาษีต่อปีจำนวนสองล้านก้วนนั้นไม่เพียงพอต่อการนำไปใช้ แม้ว่าตนเองจะประหยัดเงินจนสามารถรวบรวมได้สามหมื่นก้วน แต่สามหมื่นก้วนนี้มีกว่าครึ่งหนึ่งที่ยึดมาจากอวิ๋นเยี่ย
“ฮองเฮา เงินที่ได้กำไรจากการสร้างตำหนักกระหม่อมจะถวายให้ท่าน สำหรับเงินที่ได้กำไรจากการสร้างตรอกซิ่งฮว่าฟางนั้นกระหม่อมต้องการแบ่งเงินปันผลให้กับบรรดาผู้อาวุโสที่รักและเป็นห่วงกระหม่อม สำหรับเงินที่สร้างสำนักศึกษากระหม่อมจะหาวิธีใหม่เอง นอกจากนี้ ฮองเฮายิ่งกระหม่อมได้เงินกำไรมากเท่าไรราชสำนักก็จะได้รับประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น ไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านคิดว่า ยิ่งกระหม่อมกำไรมากเท่าไรราชสำนักก็ยิ่งได้ผลประโยชน์น้อยลง”
“จะเป็นเช่นนี้หรือ เจ้าบอกเราได้หรือไม่ว่าเจ้าจะสร้างผลกำไรอย่างไรกันแน่ และจะได้กำไรมากเท่าไร” จั่งซุนมีสีหน้าอยากรู้อยากเห็น
“อย่างน้อยเงินสามหมื่นก้วนของฮองเฮาจะถูกถวายคืนสู่พระหัตถ์ของฮองเฮาโดยไม่ได้แตะต้องเลย”
“เช่นนั้นเจ้าจะเอาอะไรมาสร้างตำหนัก เจ้ามีวิชาอาคมหรืออย่างไร”
“ฮองเฮา สำหรับท่านแล้วกระหม่อมไม่มีอะไรต้องปิดบัง กระหม่อมไม่สนใจในวงการราชการ หากมีความคิดที่จะต่อสู้แย่งชิงอำนาจกับพวกเขา เช่นนั้นกระหม่อมตั้งใจสั่งสอนบุคลากรอยู่ในสำนักศึกษายังจะดีเสียกว่า ท่านยังไม่ทรงเห็นความสำคัญของสำนักศึกษา ในเวลาไม่ถึงสิบปี ท่านจะพบว่าถ้าหากต้องการให้ต้าถังเจริญรุ่งเรืองตลอดไป สำนักศึกษาเป็นสถานที่ที่สำคัญมาก”
“คุยโตคุยโม้อยู่ฝ่ายเดียว เด็กอายุสิบกว่าขวบไม่ได้กลัวเลยว่าจะพูดเกินความจริงจนถูกจับได้ หากเจ้ามีความสามารถจริง ก็แสดงความสามารถในการหารายได้ของเจ้าต่อหน้าเราให้เห็นหน่อยเป็นไร จะได้ยอมรับทั้งกายและใจ” หลังจากพูดจบก็ให้คนนำเงินเหรียญทองแดงจำนวนหนึ่งเข้ามา ให้อวิ๋นเยี่ยแสดงการสร้างเงินกำไรให้เห็นต่อหน้านาง
นี่ยังมีเหตุผลอยู่หรือไม่ มีการสร้างเงินกำไรเช่นนี้ด้วยหรือ อวิ๋นเยี่ยจนด้วยเกล้า ผู้หญิงที่หวาดระแวงเช่นนี้ หากไม่ให้นางได้เห็นฝีมือเสียบ้างคงไม่ปล่อยตัวเองง่ายๆ เป็นแน่ เอาเถอะ ตั้งโจทย์คณิตศาสตร์เรื่องทศนิยมให้นางได้เห็นฝีมือหน่อย ตนเองจะได้มีทางถอย ไม่รู้ว่าหลี่เฉิงเฉียนแอบเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาซ่อนตัวอยู่หลังเสาแอบฟัง เมื่อเห็นว่ามีเรื่องสนุกให้ดูก็โผล่ออกมาจากหลังเสา คนตระกูลหลี่ก็มักจะมีโรคเก่าข้อนี้ ซึ่งก็คือนิสัยชอบแอบฟังบทสนทนาของคนอื่น
หลังจากนับเงินที่นำมาแล้ว อวิ๋นเยี่ยหยิบขึ้นมาสามสิบเหรียญ ให้จั่งซุนสิบเหรียญ หลี่เฉิงเฉียนสิบเหรียญ และให้นางกำนัลข้างกายของจั่งซุนสิบเหรียญและเรียกขันทีเข้ามาอีกหนึ่งคน เท่านี้ก็ครบจำนวนคนแล้ว
“ฮองเฮา ตอนนี้ในบรรดาพวกท่านสามคนที่มีเงินอยู่ในมือกำลังจะเข้าค้างแรม ค่าค้างแรมคนละสิบเหวิน โปรดมอบเงินให้กับขันทีคนนี้เพราะเขาเป็นเจ้าของโรงเตี๊ยม” พวกจั่งซุนสามคนมอบเงินให้ขันทีด้วยรอยยิ้ม รอดูเรื่องสนุกๆ
อวิ๋นเยี่ยพูดกับขันทีอีกครั้งว่า “เจ้าเป็นเจ้าของโรงเตี๊ยม เนื่องจากวันนี้มีงานมงคลในโรงเตี๊ยม เจ้าจึงตัดสินใจว่าแขกสามคนจะเก็บเงินเพียงยี่สิบห้าเหวิน ข้าเป็นคนทำบัญชี โดยเจ้าบอกให้ข้าทอนเงินห้าเหวินให้แขกสามคน เจ้าให้ข้าห้าเหวิน ส่วนที่เหลือยี่สิบห้าเหวินถือว่าฮองเฮาประทานให้เจ้าเป็นรางวัล”
ขันทีเชื่อฟังเป็นอย่างมาก หยิบเงินยี่สิบห้าเหวินแล้วก็เดินออกไป
อวิ๋นเยี่ยหยิบเงินสองเหวินใส่ในกระเป๋าของเขาท่ามกลางสายตาของทุกคนที่จับจ้องมองมา จากนั้นนำเงินที่เหลือคืนให้พวกเขาคนละหนึ่งเหวิน
“นี่ก็คือความสามารถในการทำเงินของเจ้าหรือ ช่างน่าขันเสียจริง การโกงเงินสองเหวินทั้งยังทำต่อหน้าสาธารณชน ถือเป็นความสามารถอะไรกัน” จั่งซุนคิดว่าอวิ๋นเยี่ยกำลังแกล้งพวกนางอยู่
“ถูกจับได้เสียแล้ว กระหม่อมต้องขอคืนเงินสองเหวินให้ฮองเฮา แต่ขอฮองเฮาทรงคำนวณบัญชีของท่านว่าถูกต้องหรือไม่” อวิ๋นเยี่ยยิ้มตาหยีพลางตอบจั่งซุน
“มันจะยากอะไร พวกเราแต่ละคนจ่ายเงินสิบเหวินกับโรงเตี๊ยม เจ้าของคืนเงินให้หนึ่งเหวิน รวมกับเงินสองเหวินที่เจ้ายักยอกมานั่นก็คือจำนวนเงินรวมทั้งหมด มีอะไรผิดปกติกัน” จั่งซุนเพิ่งจะพูดออกมา สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไป
หลี่เฉิงเฉียนเองคิดอย่างไรก็คิดไม่ตก หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เสี่ยวเยี่ย พวกเราให้เจ้าของโรงเตี๊ยมคนละสิบเหวินและได้รับคืนหนึ่งเหวิน ซึ่งก็หมายความว่าพวกเราแต่ละคนจ่ายเพียงเก้าเหวิน รวมกับสองเหวินที่เจ้าหยิบไปก็ได้เพียงยี่สิบเก้าเหวิน อีกหนึ่งเหวินหายไปไหน”
อวิ๋นเยี่ยก็ไม่ยอมอธิบายอะไร เพียงแค่ถวายความเคารพจั่งซุนแล้วสองมือไพล่หลังเดินจากไป มีแต่พวกเจ้าที่คอยหาเรื่องข้าแต่ไม่ให้ข้าเอาคืนอย่างนั้นหรือ ค่อยๆ คิดไปเถอะ อย่างไรเสียจั่งซุนก็รับปากเรื่องขุดทางน้ำแล้ว บรรลุวัตถุประสงค์ที่ใหญ่ที่สุดแล้ว ก็ถึงเวลาที่ต้องไปหาพวกเศรษฐีท้องถิ่นในเมืองฉางอันแล้ว
ขณะที่เข้าวังมานำภาพแบบก่อสร้างเข้ามาตั้งหลาย**บใหญ่ แต่เมื่อกลับออกไปด้วยท่าทางสองมือไพล่หลังช่างทำให้รู้สึกถึงการประสบความสำเร็จเสียจริง ปล่อยให้พวกจั่งซุนไปคิดหาเงินหนึ่งเหวินที่หายไปดีกว่า ใช้เวลาไม่นานหลี่ซื่อหมินก็น่าจะรู้ข่าว ให้คนในครอบครัวเขาศึกษาค้นคว้าทางคณิตศาสตร์ดีกว่าให้ไปค้นคว้าวิจัยชีวิตมนุษย์ เพราะเมื่อพวกเขาศึกษาค้นคว้าชีวิตมนุษย์อวิ๋นเยี่ยก็จะรู้สึกกลัว ไม่ว่าจะเป็นชีวิตของใคร อวิ๋นเยี่ยก็ไม่อยากที่จะให้ค้นคว้าอย่างไม่มีสิ้นสุด
บ้านตระกูลอวิ๋นในฉางอันนั้นมีชีวิตชีวามากจนเรียกได้ว่าเบียดเสียดแออัด ทุกคนในฉางอันต่างก็รู้ว่าจอมซื่อบื้อแห่งตระกูลอวิ๋นถูกฮองเฮาวางกับดักไว้ จำเป็นต้องใช้เงินเพื่อซื้อชีวิตและสร้างตำหนัก! เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีตั้งแต่การก่อตั้งราชวงศ์ถังมา ฝ่าบาทผู้ปรีชาสามารถไม่ต้องการให้ชาวบ้านต้องมอบเงินออกมา จึงคิดหาทางให้เหล่าเจ้าของทรัพย์สินผู้มั่งคั่งจ่ายเงินออกมา เมื่อไม่นานมานี้ที่ตระกูลอวิ๋นสร้างอาคารก็ได้กำไรไปไม่น้อย
บ้านที่ผุพังในหุบเขาลึกกลับขายได้ในราคาสูงเสียดฟ้า ยังมีเหตุผลอยู่อีกหรือไม่ แล้วจะให้พวกเราที่สร้างอาคารไว้ขายจะอยู่ได้อย่างไร ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่ตระกูลอวิ๋นจะล่มจม อย่างน้อยก่อนที่เจ้าคนซื่อบื้อจอมล้างผลาญจะไปเป็นขอทาน พวกเราต้องรีบซื้อร้านที่ดีและของดีๆ เหล่านั้นของตระกูลอวิ๋นกลับคืนมาให้หมด
เงินคืออะไร สิ่งที่ข้ามีก็คือเงิน เพียงแค่ซื้อสูตรลับการผลิตน้ำหอมของตระกูลอวิ๋นมาได้ มันก็คุ้มค่าเสียยิ่งกว่าคุ้ม อย่างไรเสียเจ้าคนซื่อบื้อนั้นตอนนี้ต้องการเงินสดจำนวนมาก หลายแสนก้วนเชียวนะ! ไม่กลัวว่าเขาจะไม่มาขอความช่วยเหลือจากตนเอง เมื่อถึงเวลาจึงค่อยกดราคาและก็ไม่กดราคาจนถึงตาย ตระกูลอวิ๋นยังมีหญิงชราและเด็กที่อ่อนแอต้องการให้เลี้ยงดู ถึงตอนนั้นเหลือทางรอดให้พวกเขามีหรือจะไม่ได้รับคำชื่นชมว่ามีเมตตา
ยามเฝ้าประตูของตระกูลอวิ๋นจะร้องไห้อยู่แล้ว คนเหล่านี้ไม่มีคนประสงค์ดีเลย เมื่อเข้ามาในบ้านแต่ละคนก็เดินดูกันทั่วมั่วไปหมดโดยบอกว่าพวกเขาจะต้องดูให้ละเอียดเพื่อที่จะได้เสนอราคาได้ถูกต้อง ตรวจดูบ้านของตัวเองก็ไม่เห็นต้องมีกฎเกณฑ์อะไรเสียหน่อย ถ้าก่อนหน้านี้ทุกคนกล้าทำเช่นนี้จะต้องถูกองครักษ์ของตระกูลอวิ๋นฆ่าตายแน่ เมื่อตายแล้วก็ไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก เพียงแต่คราวนี้พวกเขาเป็นแขกของอวิ๋นเยี่ย องครักษ์จึงกัดฟันอดทนไม่ลงมือกับพวกเขา
เมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยกลับมา คนกลุ่มนี้ก็แห่กรูเข้ามารายล้อมไว้
“อวิ๋นโหว ที่เรียกพวกเราเหล่าพ่อค้ามารวมตัวกันเพราะต้องการจะขายทรัพย์สินในบ้านของท่านใช่หรือไม่ ข้าถูกใจบ้านของท่านเป็นอย่างมาก ท่านคิดว่าราคาห้าร้อยก้วนเป็นอย่างไร ข้าได้นำเงินมาด้วยแล้ว”
“อวิ๋นโหว ท่านอย่าได้ไปใส่ใจคนต่ำช้าพวกนั้นเลย พวกเขาล้วนแล้วแต่รอซ้ำเติมผู้ที่ผิดพลาด ข้ารู้ว่าท่านขาดแคลนเงิน ขอเพียงท่านเอ่ยปาก เงินหนึ่งหมื่นก้วนของบ้านข้าได้เตรียมไว้พร้อมแล้ว ขอเพียงท่านนำสูตรลับในการผลิตน้ำหอมออกมาให้ทั้งสองตระกูลศึกษาร่วมกัน เงินก้อนนี้ก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายคืน”
กว่าจะเอาตัวรอดออกมาจากฝูงชนของคนที่น่ารังเกียจเหล่านี้ไม่ใช่ง่ายเลย อวิ๋นเยี่ยนั่งดื่มชาอยู่ในห้องรับแขกของเขา ทอดถอนใจและมองคนรับใช้ในบ้านที่ตื่นตระหนก ก่อนจะพูดว่า “จะตื่นตระหนกอะไร ฟ้าไม่ถล่มลงมาหรอก ควรทำอะไรก็ไปทำตามนั้น ตระกูลอวิ๋นไม่ล้มละลายแน่ ให้ผู้ที่ขายเฉพาะก้อนอิฐก้อนหินที่อยู่ด้านนอกเข้ามาก่อน”
คนรับใช้ของตระกูลอวิ๋นเห็นอวิ๋นเยี่ยเป็นกระดูกสันหลังของตระกูล เมื่อเห็นว่าเจ้านายมีท่าทีที่สงบนิ่งและไม่สนใจ แน่นอนว่าพวกเขาก็รู้สึกวางใจไปด้วย พวกเขาไม่อยากจะออกจากตระกูลอวิ๋นจริงๆ การมีเจ้านายเช่นนี้ต้องถือว่าเป็นบุญกุศลที่พวกเขาสั่งสมมาแต่ชาติปางก่อนจึงทำให้มีโอกาสเช่นนี้
ในเมืองฉางอันมีพ่อค้าที่ทำก้อนอิฐอยู่เพียงสามตระกูลเท่านั้น การที่อวิ๋นเยี่ยจะสร้างตำหนักไม่ว่าอย่างไรก็หลีกเลี่ยงทั้งสามตระกูลนี้ไม่พ้น ก้อนอิฐของตระกูลอวิ๋นยังไม่สามารถที่จะตอบสนองความต้องการของโครงการครั้งนี้ได้
ทั้งสามตระกูลนี้จิตใจสงบนิ่งมาก ราคาของอิฐและหินที่นำเสนอมาให้นั้นเพิ่มขึ้นร้อยละยี่สิบจากราคาก่อนหน้านี้ ดูเหมือนว่าพวกเขาได้ตัดสินใจที่จะเฉือนชิ้นเนื้อของตระกูลอวิ๋นมาให้ได้สักส่วน อีกทั้งยังได้จับเป็นพันธมิตรที่พร้อมใจกันเสนอในแนวทางเดียวกัน เพียงแค่ดูเงื่อนไขที่เหมือนกันทุกอย่างก็รู้ได้ว่าทั้งสามตระกูลกำลังเล่นลูกไม้กันอยู่
“เดิมทีตระกูลอวิ๋นไม่ต้องการทำทุกอย่างให้แล้งน้ำใจจนเกินไป ใครจะรู้ว่าพวกเจ้าถึงกับคิดแสวงหาผลประโยชน์จากตระกูลอวิ๋น เรื่องๆ หนึ่งที่สามารถทำให้เจ้าและข้าต่างฝ่ายต่างก็ได้รับผลประโยชน์ด้วยกันได้ถูกพวกเจ้าทำลายทิ้งอย่างสิ้นเชิง เห็นทีว่าเรื่องอิฐและหินในการก่อสร้างตำหนักคงต้องเป็นตระกูลอวิ๋นทำเองเสียแล้ว”
“อวิ๋นโหว เราเพียงว่ากันไปตามหลักการค้า ในเมื่อพวกเรายอมละทิ้งหน้าตาลงมาเป็นพ่อค้า นั่นก็เพื่อการลงทุนและแสวงหาผลกำไร แม้ว่าฐานะของอวิ๋นโหวนั้นสูงส่ง แต่ตอนนี้ก็เป็นเพียงมังกรที่จมอยู่ในดินโคลน หากท่านต้องการอิฐและหิน พวกเราหลายตระกูลก็ไม่ได้ทำอะไรที่แล้งน้ำใจจนเกินไป เพียงแค่จ่ายมาตามราคาสูงสุดก็ใช้ได้แล้ว อวิ๋นโหวยังมีอะไรไม่พอใจกันอีก “
น้อยนักที่จะได้เห็นพ่อค้าที่กล้าพูดอย่างมาดมั่นและมีเหตุผลต่อหน้าโหวเหยียท่านหนึ่งของประเทศ เมื่อมองดูเสื้อผ้าแพรไหมที่พวกเขาสวมใส่ รองเท้าหนัง หมวกที่เลี่ยมฝังไข่มุก อวิ๋นเยี่ยยิ้มอย่างไม่แยแสและพูดกับพวกเขาว่า “ใครอนุญาตให้เจ้าพูดกับโหวเหยียของประเทศเช่นนี้”
——
[1] การขายชอร์ต (Short Selling) คือการทำกำไรในช่วงที่คิดว่า หุ้นตัวนั้นจะปรับตัวลง โดยเราต้องยืมหุ้นจากบริษัทหลักทรัพย์มาเสียก่อน เพื่อทำการขายออกมา จากนั้นค่อยซื้อหุ้นตัวนั้นกลับคืนมาในราคาที่ต่ำกว่า
ส่วนที่ 5
ตอนที่ 38 เงินหนึ่งเหวินนั้นหายไปไหนแล้ว
ด้วยการซักถามของอวิ๋นเยี่ย ทำให้องครักษ์ตระกูลอวิ๋นที่เดิมทีก็แทบจะอดกลั้นไว้ไม่อยู่แล้วกระโจนเข้ามาจับพ่อค้าทั้งสามกดลงบนพื้นและกดศีรษะไว้ติดพื้น ไม่สามารถขยับได้เลย
อวิ๋นเยี่ยจิบชาหนึ่งคำแล้วพูดกับทั้งสามคนว่า “อุตส่าห์อ่อนข้อให้แล้วแต่ยังไม่รู้จักดีอีกจริงๆ ถึงเบื้องหลังพวกเจ้าจะมีตระกูลใหญ่หนุนหลังอยู่ แต่ทำไมมารยาทเบื้องต้นก็ยังไม่เข้าใจ ตอนนี้หากข้าจะตีขาพวกเจ้าให้หักก็ถือว่าสมเหตุผล ไม่มีใครว่าอะไรได้ ข้าคิดว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเจ้าก็อาจจะลงโทษเจ้าอีกครั้ง จะบอกพวกเจ้าให้รู้ว่า เรื่องดีๆ เรื่องหนึ่งถูกพวกเจ้าทำลายลงหมดแล้ว ในเมื่อไม่เต็มใจ ก็ไสหัวไปเถอะ”
ขณะที่อวิ๋นเยี่ยกำลังดุด่าอยู่นั้น เหอเซ่าก็เดินเข้ามาพร้อมด้วยชายร่างใหญ่ ถือถุงผ้าห่อใหญ่ไว้ในมือ ครั้นเห็นอวิ๋นเยี่ยโกรธอยู่จึงยืนอยู่ที่หน้าประตูไม่กล้าเข้ามา
“เป็นอย่างไรอวิ๋นโหว ข้าบอกตั้งแต่แรกแล้วว่าพวกเขาทั้งสามตระกูลเป็นผู้ผูกขาดธุรกิจอิฐและหินในฉางอันมาหลายปีแล้ว ตอนนี้รับทรัพย์ร่ำรวย กินกันจนตัวบวม จิตใจสกปรกมานานแล้ว เจ้าก็ไม่ยอมเชื่อเลย ตอนนี้คงรู้แล้วล่ะสิ ทำไมไม่ให้องครักษ์หักขาของพวกเขาล่ะ กล้ามาพูดจาใหญ่โตที่บ้านตระกูลอวิ๋น รนหาที่ตาย”
เหล่าเหอก็ถือว่าเป็นพ่อค้าคนหนึ่ง แต่เขาเป็นพ่อค้าที่มีฐานันดรศักดิ์ การเดินทางไปทุ่งหญ้าในครั้งนี้ได้รับผลตอบแทนมากมาย การส่งเงินกลับบ้านให้เหล่าพลทหารไม่เกิดข้อผิดพลาดใดๆ เหล่าทหารพอใจเป็นอย่างมาก หัวหน้าทหารหลายคนก็พูดถึงเขาในทางที่ดีจึงรักษาฐานันดรศักดิ์ของตระกูลไว้ได้ ตอนนี้มีหน้ามีตาเป็นอย่างมากในหมู่พ่อค้าแห่งฉางอัน มีแนวโน้มที่จะได้เป็นพี่ใหญ่อยู่ในวงการการค้าอยู่รางๆ
เมื่อเหอเซ่ากวักมือ ชายคนนั้นก็วางของลงบนพื้นอย่างระมัดระวังแล้วหมอบคารวะอวิ๋นเยี่ย
“พอแล้ว หยิบสิ่งที่เจ้านำมาออกมาให้คนงี่เง่าทั้งสามคนดู จะได้ไม่ออกไปเที่ยวโพนทะนาว่าข้าใช้อำนาจรังแกคน”
ชายชาวบ้านคนนั้นได้เปิดห่อผ้าแพรที่ห่อสิ่งของนั้นออก ที่แท้เป็นอิฐก้อนหนึ่งซึ่งตั้งใจเผาออกมาเป็นอย่างดี แต่มันเป็นอิฐสีเทาด้านบน มองไม่เห็นรอยแตกร้าวหรือเนื้อปูนที่แตกตัวเลย ตรงกึ่งกลางของอิฐนั้นมีตัวอักษรยุบลงไปเขียนว่า ‘สำหรับราชวงศ์เท่านั้น’
อวิ๋นเยี่ยส่งอิฐให้กับพ่อค้าทั้งสามและพูดกับพวกเขาว่า “เดิมทีข้าคิดว่าจะหยุดการเผาอิฐของตระกูลอวิ๋น ตั้งใจศึกษาเกี่ยวกับการเผาปูนซีเมนต์ แล้วให้พวกเจ้าสามตระกูลมารับช่วงต่อในเผาอิฐของตระกูลอวิ๋น คิดไม่ถึงว่าพวกเจ้าจะจิตใจสกปรกถึงเพียงนี้ เช่นนั้นก็ห้ามมาต่อว่าข้านะ ข้าสร้างเตาเผาอิฐขึ้นอีกสองสามเตาก็แล้วกัน และตระกูลอวิ๋นก็เผาอิฐต่อไป ถ้าไม่พอก็ให้ตระกูลอื่นจัดหาให้ จริงสิ ข้ายังไม่รู้เลยว่าเจ้าชื่ออะไร”
“เรียนโหวเหยีย ข้าน้อยแซ่หลิว เป็นลูกคนที่สาม ท่านเรียกข้าว่าหลิวซันก็ได้ ก่อนหน้านี้เคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเฉียวกง แต่ต่อมาทำผิดวินัยทหารและถูกขับออกจากค่ายทหาร จึงได้ทำการค้านี้เป็นอาชีพ ถ้าหากโหวเหยียมอบเรื่องอิฐให้ข้าน้อยดูแล ข้าน้อยจะส่งมอบให้โดยไม่คิดเงินแม้แต่หนึ่งเหวิน เพียงแค่ขอให้โหวเหยียอนุญาตให้ภายหน้าข้าน้อยนำคำเหล่านี้มาสลักไว้บนก้อนอิฐที่ข้าผลิตก็พอ” แม้ว่าหลิวซันจะไม่ใช่ทหารแล้ว แต่นิสัยก็ยังไม่เปลี่ยน ยังคงมีความเด็ดขาดของทหารทั้งยังไม่ได้โง่เขลา รู้ถึงพลังแฝงในการกอบโกยของสี่คำนี้ ยี่ห้อของตระกูลอื่นที่อายุร้อยกว่าปีไม่แน่ว่าจะใช้การได้ดีกว่าคำพูดประโยคนี้
เมื่อได้ยินคำพูดของหลิวซันแล้ว ทั้งสามท่านนี้จึงเริ่มร้อนรน เกียรติศักดิ์ของราชวงศ์เมื่ออยู่ท่ามกลางฝูงชนแล้วนั้นย่อมไร้คู่แข่ง แม้จะพูดจนปากฉีกว่าอิฐของเจ้านั้นคุณภาพดี ก็ไม่สามารถเอาไปเปรียบกับการหยิบอิฐก้อนหนึ่งที่สลักคำพูดประโยคที่ว่าสำหรับราชวงศ์เท่านั้นออกมาไม่ได้ แม้กระทั่งราชวงศ์ก็ใช้มัน ประชาชนยังต้องกังวลอะไรอีก เมื่อเห็นคนอื่นสลักลงไปแต่เจ้าก็ยังไม่กล้าสลักลงไปตามใจชอบ หากไม่ได้รับอนุญาตจะต้องโดนโทษประหาร
ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าช่างเผาอิฐที่เดิมฝีมือระดับรองลงมาคนนี้จะแทนที่พวกเขาในช่วงเวลาสั้นๆ เพื่อก้าวขึ้นมาเป็นผู้จำหน่ายอิฐและหินที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง เมื่อคิดถึงตรงนี้ พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะร้อนรน พวกพ่อค้านั้นเป็นคนที่ความคิดเรียบง่ายที่สุด หากมีข้อผิดพลาดแล้วไม่มีทางที่จะไม่แก้ไขอย่างเด็ดขาด
พ่อค้ารูปร่างอ้วนแซ่หวังนำหนังสือสัญญาที่เพิ่งส่งให้อวิ๋นเยี่ยมาขยำเป็นก้อนแล้วใส่เข้าปาก พยายามกลืนมันลงไป หมอบลงบนพื้นและโขกศีรษะดังตึงๆๆ หวังเพียงว่าจะได้รับการอภัยจากตระกูลอวิ๋น
อีกสองคนยังคงลังเล ตัดสินใจไม่ได้ว่าพวกเขาควรจะโขกศีรษะขอความเมตตา หรือยังคงยืนกรานให้ถึงที่สุด กลอกตามองไปทั่วขณะคิดหากวิธีที่จะให้ดีต่อทั้งสองฝ่าย
เหอเซ่าดึงตัวชายอ้วนแซ่หวังให้ลุกขึ้นแล้วพูดกับเขาว่า “พอแล้ว ให้พวกเจ้าสองตระกูลก็แล้วกัน โหวเหยียไม่ให้พวกเจ้าทำงานเสียเปล่าแน่ ต่างก็เป็นคนที่ต้องเลี้ยงดูคนในครอบครัวทั้งนั้น คราวนี้เจ้าได้ผลประโยชน์ก้อนโตเลย ทั้งยังเป็นของดีที่สามารถส่งต่อไปยังลูกหลานคนได้อีกด้วย คนอื่นอยากแย่งก็แย่งไปไม่ได้ ฮองเฮาประทานให้เพียงแค่สามหมื่นก้วน ซึ่งเป็นเพียงเงินร้อยละยี่สิบของเงินสำหรับการสร้างตำหนักทั้งหมด ดังนั้นราคาของอิฐของพวกเจ้าก็สามารถจ่ายให้เพียงร้อยละยี่สิบ ส่วนราคาที่เจ้าจะขายให้คนอื่นนั้นก็แล้วแต่เจ้า หากเจ้าสามารถจะขายออกไปในราคาสูงลิบลิ่วมันก็เป็นของเจ้า ร้อยละยี่สิบนั้นจำกัดแต่เพียงส่วนที่อยู่ในการก่อสร้างตำหนักเท่านั้น การก่อสร้างตรอกซิ่งฮว่าฟางจะเป็นไปตามราคาเดิมและจะจ่ายเจ้าไม่ขาดแม้แต่หนึ่งเหวิน”
หลิวซันก็เป็นคนฉลาดเช่นกัน ก้าวขึ้นมาข้างหน้าจับมือพ่อค้าแซ่หวังและพูดว่า “พี่ชาย ต่อไปน้องยังมีเรื่องที่ต้องขอให้ท่านช่วยดูแลอีกมาก พวกเราสร้างตำหนักขึ้นมา บรรพบุรุษก็มีหน้ามีตาไปแปดชั่วอายุคนแล้ว ถึงตอนนั้นจะดูว่ามีใครกล้าขัดขวางพวกเรา หากมีความสามารถจริงก็ขายให้กับราชสำนักให้ได้ก่อนแล้วค่อยมาว่ากัน”
พ่อค้าอ้วนทั้งดีใจและเศร้าใจผสมปนเปกัน โชคดีที่เขารอดพ้นจากปัญหาได้แล้ว ขณะที่อีกสองคนเพิ่งคิดออกและกำลังจะรับปาก ใครจะรู้ว่าอวิ๋นเยี่ยไม่ฟังพวกเขาและโบกมือให้ เขาสองคนจึงถูกองครักษ์ตระกูลอวิ๋นหิ้วปีกออกไป โยนออกนอกประตูแล้วถ่มน้ำลายใส่พูดว่า “ลูกเล่นอะไร” และหันเดินกลับเข้าบ้าน
บรรดาพ่อค้าในลานบ้านเงียบลงในทันใด บางคนก็ทำท่าทีขึงขังยืนพิงติดกำแพง คิดจะแอบออกไป คนรับใช้ตระกูลอวิ๋นจ้องมองพวกไม่พึงประสงค์แล้วเชิญกลับเข้ามาจนครบทุกคน คิดจะเอาเปรียบตระกูลอวิ๋นง่ายๆ อย่างนั้นหรือ ไม่ถลกหนังพวกเจ้าสักชั้นโหวเหยียมีหรือจะปล่อยพวกเจ้าง่ายๆ ไม่เห็นหรือว่าเมื่อครู่โดนโยนออกไปสองคนแล้ว
เมื่อมีตัวอย่างแล้ว คนอื่นก็คุยง่ายขึ้นมาก พ่อค้านั้นไม่มีคนโง่เขลา เมื่อได้ยินว่ามีเรื่องดีอย่างหาได้ยากเช่นนี้มีหรือที่จะไม่ขอเข้าไปข้องเกี่ยวด้วยสักหน่อย การวางรากฐานร้อยกว่าปีใช่เรื่องง่ายที่ไหนกัน ขอเพียงแค่เป็นพ่อค้าไม่มีทางที่จะไม่เข้าใจ ตอนนี้มีทางลัดให้เดิน เพียงแค่ยอมทุ่มกับราคาในช่วงนี้ แต่ลูกหลานสามารถพึ่งพาคำพูดประโยค “สำหรับราชวงศ์เท่านั้น” นี้สร้างผลกำไรไม่จบไม่สิ้น
เมื่อข่าวลือแพร่สะพัดออกไป ตระกูลอวิ๋นก็เริ่มคึกคักมากขึ้น คราวนี้ใช้ของขวัญในการเปิดทางแทน คนเฝ้าประตูตระกูลอวิ๋นเชิดหน้าขึ้นจนจะแหงนหน้ามองฟ้าอยู่แล้ว ไม่แม้แต่จะมองพ่อค้าที่ถือของขวัญเหล่านั้น พูดเพียงประโยคเดียว “โหวเหยียเหนื่อยแล้ว กำลังพักผ่อน ไม่พบแขก” จากนั้นก็ปิดประตูเสียงดังปัง ผู้ที่รู้จักก็รู้ว่าเขาเป็นคนเฝ้าประตู หากเป็นคนที่ไม่รู้จะคิดว่าเขาเป็นโหวเหยียเอาได้
อวิ๋นเยี่ยไม่ได้พักผ่อน แต่กำลังพบปะกับขุนนางที่สร้างความชอบน้อยใหญ่อยู่ในห้องรับแขก คนเหล่านี้มาพบเขาตามมารยาท จึงยากที่จะปฏิเสธปิดประตูไม่ต้อนรับ จึงต้อนรับเข้ามาด้วยความเคารพ อวิ๋นเยี่ยยืนรอทักทายอยู่ที่หน้าประตูห้องรับแขกด้วยตนเอง
“พี่ปู๋ชี่ ไม่ได้พบกันนานแล้ว ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน ได้ยินมาว่าท่านได้สร้างผลงานให้กับประเทศชาติที่ทุ่งหญ้ากว้าง พี่ชายก็แทบจะรอไม่ไหวอยากจะบินไปที่เมืองซั่วฟางภายในหนึ่งวันเพื่อร่วมต่อสู้กับพี่น้องให้ได้ มันจะสะใจเพียงไหนกัน!”
“พี่ซู่เหรินได้ยินว่าเจ้าเพิ่งแต่งอนุภรรยาคนใหม่เข้าบ้านเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ซึ่งนั่นเป็นสาวงามสุดยอดของหอเอี้ยนไหลโหลวเชียวนะ เมื่อไหร่ที่น้องชายจะได้มีโอกาสไปเยี่ยมคารวะ”
“ไสหัวไป ไม่บอกว่าจะมาเยี่ยมพี่ชายแต่คิดถึงพี่สะใภ้ พี่น้องเช่นนี้จะมีไปทำไมกัน ตอนที่ข้าอยู่ในหอเอี้ยนไหลโหลวก็ได้ลองกินแตงกวาไม่เห็นจะได้อารมณ์ทางศิลปะอะไรเลย พี่ปู๋ชี่มีกลยุทธ์อะไรรีบเล่ามาให้พี่ชายฟัง”
“ฮ่าๆ พี่ปู๋ชี่ ได้ยินมาว่าเจ้าถูกฮองเฮาวางหลุมพรางอีกแล้ว น้องตั้งใจมาแสดงความยินดีโดยเฉพาะ ข้าก็อยากจะโดนฮองเฮาวางหลุมพรางบ้าง แต่น่าเสียดายที่ไม่มีวิธีที่จะบอกฮองเฮาได้ พี่ปู๋ชี่สามารถทำให้ฮองเฮามองท่านใหม่ได้ ช่างน่าอิจฉายิ่งนัก”
“พี่ปู๋ชี่ บ้านของข้าได้แต่อาศัยการเปิดร้านน้ำมันตุงในการเลี้ยงชีพ เราต่างก็เป็นพี่น้องกัน เจ้าก็ช่วยดูทีว่าควรจัดการอย่างไรดี”
ในห้องรับแขกนั้นยุ่งเหยิงวุ่นวายเหมือนกับอยู่ในเล้าไก่ บางคนก็สานสัมพันธ์เก่า บางคนก็พยายามที่จะสนิทชิดเชื้อกัน บ้างก็หาเรื่องหยอกล้อกัน บางคนก็นำเรื่องมิตรภาพมาคุกคามกัน สรุปแล้วอวิ๋นเยี่ยเหมือนต้นหญ้าน้อยๆ ท่ามกลางพายุลมฝน โดนพัดโอนเอนไปมา
ผู้ที่ได้มาตระกูลอวิ๋นโดยมากแล้วเป็นลูกหลานของคนในกองทัพ อวิ๋นเยี่ยไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ ทหารต้าถังแต่ไหนแต่ไรมาก็มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันมาเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเผชิญหน้ากับขุนนางฝ่ายบุ๋น แม้ว่าจะมีความขัดแย้งกันเองเป็นการภายในอย่างรุนแรง แต่เมื่อเกี่ยวพันกับผลประโยชน์ของกองทัพแล้ว จะพร้อมใจกันพุ่งเป้าไปที่ฝั่งตรงข้ามโดยไม่ต้องพูดอะไรเลย
ตอนนี้อวิ๋นเยี่ยก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพ เหล่าคุณชายเสเพลพวกนี้เมื่อพูดอะไรจึงไม่ต้องมีข้อจำกัดใดๆ จะต้องทำให้คนสนิทชิดเชื้อของตนเองพึงพอใจก่อน นี่เป็นพื้นฐานของการวางตัว ตระกูลอวิ๋นจัดงานเลี้ยงต้อนรับให้ความบันเทิงเหล่าเสือสิงห์กระทิงแรด
หลังจากที่กินกันอย่างอิ่มหมีพีมันแล้ว เหล่าคุณชายเสเพลก็วางจอกเหล้าในมือลงอย่างพร้อมเพรียงกัน แล้วมองมาที่อวิ๋นเยี่ยรอให้เขาพูด รอให้ธุระเสร็จสิ้นแล้วจึงค่อยดื่มต่อ เพราะที่บ้านกำลังรอคำตอบอยู่
“พี่น้องทุกคนต่างก็เป็นคนกันเอง เช่นนั้นน้องจะไม่พูดคำพูดที่อ้อมค้อมเหล่านั้น ข้าถูกฮองเฮาเล่นงานเข้าให้จนตอนนี้ได้เผือกร้อนมาหนึ่งชิ้น ช่วยไม่ได้ ทรงมีพระราชเสาวนีย์มาแล้ว แม้ข้าต้องทุ่มเททั้งชีวิตก็ต้องทำให้สำเร็จให้จงได้ ไม่เช่นนั้นหน้าตาของกองทัพคงต้องถูกข้าทำลายจนหมดสิ้น
น้องครุ่นคิดอย่างหนักและในที่สุดก็คิดหาวิธีที่จะสร้างตำหนักได้ด้วยเงินสามหมื่นก้วนแล้ว นั่นก็คือการขายสิทธิ์ในการตั้งชื่อ สิทธิ์ในการตั้งชื่อนี้ไม่สามารถขายเป็นเงินเหรียญได้ มิฉะนั้นฝ่าบาทคงต้องจับน้องเสียบประจานบนเสาแน่ ดังนั้นจึงได้แต่คุยกันในเรื่องของราคาเท่านั้น พี่ชายทุกท่าน ขอเพียงการค้าของตระกูลสามารถเชื่อมโยงกับการก่อสร้างตำหนักได้ ข้ายินดีตอบรับทุกอย่าง เพียงแต่ต้องพูดเรื่องน่าละอายให้ทราบก่อน ซึ่งก็คือราคานั้นให้ได้เพียงร้อยละยี่สิบของราคาเดิม แน่นอนว่านี่เป็นเพียงราคาวัสดุที่ใช้สำหรับก่อสร้างตำหนักเท่านั้น ส่วนอื่นๆ รวมถึงวัสดุที่ใช้ในการสร้างตรอกซิ่งฮว่าฟางจะสั่งซื้อในราคาเดิม ไม่ทราบว่าได้หรือไม่ ขอให้แสดงความเห็นด้วย”
เนื่องจากพวกเขาต่างก็ได้ร่วมลงเรือลำเดียวกันแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องแบ่งแยกจากความสนิทชิดเชื้อใดๆ
“สิ่งที่พี่ปู๋ชี่พูดนั้นสมเหตุสมผล เงินสามหมื่นก้วนมีหรือจะพอสร้างตำหนัก อีกทั้งยังเป็นตำหนักที่ใช้ถกปัญหาราชการด้วย ซึ่งก็จะใช้ได้เพียงร้อยละยี่สิบเท่านั้น ที่บ้านพี่ชายทำวัสดุเกี่ยวกับสี ตำหนักในวังต้องมีโอกาสได้ใช้แน่ พี่ชายขอพูดเอาไว้ ณ ที่นี้เลย ขอเพียงแค่เป็นวัสดุที่ใช้ในวัง แม้ต้องแถมเงินให้ข้าก็จะยังคงจัดหามาให้ ถือเสียว่าเป็นการช่วยเหลือให้พี่ปู๋ชี่ผ่านพ้นด่านที่ยากลำบากนี้ไปได้ ไม่ว่าใครก็ห้ามแย่งกับข้า หากใครก็ตามแย่งข้าจะจัดการคนๆ นั้น”
ลูกชายของหลิวหงจีก็มีนิสัยเช่นนี้ บิดาของเขามีพื้นเพเป็นนักเลงท้องถิ่น ไม่มีอะไรนอกจากหมัด
ในไม่ช้าก็เป็นไปตามความคาดหมาย มีสองตระกูลที่ทำการค้าประเภทเดียวกัน พวกเขาจึงเจรจาต่อรองแบ่งสรรปันส่วนที่แต่ละตระกูลสมควรต้องรับผิดชอบ ซึ่งต่างก็ยินดีปรีดาด้วยกันทั้งหมด
เมื่อธุระเสร็จสิ้นแล้ว คนรับใช้ของแต่ละครอบครัวก็ส่งข่าวกลับไปแจ้งที่บ้าน งานเลี้ยงก็ยังคงดำเนินต่อไป เหล่าคุณชายเสเพลก็ยังดื่มกันต่อไป อวิ๋นเยี่ยจำได้แต่เพียงว่าเขาถูกลากลงมาเต้นรำกลางงาน ทั้งยังเป็นการเต้นรำแบบหูเสวียน[1]ด้วย หมุนไปหมุนมาจนสุดท้ายจำอะไรไม่ได้เลย
ผ่านไปแล้วอีกหนึ่งวัน เมื่อครู่เพิ่งได้ยินเสียงกลองดังอย่างเลือนราง ฟ้าเพิ่งจะสว่าง ทำไมจึงมีคนมาเขย่าตัวเองไม่ยอมหยุด อาการเมาค้างเมื่อคืนทำให้อวิ๋นเยี่ยปวดศีรษะสุดจะทานทน จึงดันมือที่มาเขย่าตัวเขาออกไปด้วยความรำคาญ แล้วพลิกกายเตรียมจะนอนต่อ
คราวนี้ไม่ได้ผลักแล้ว เปลี่ยนเป็นเปิดเปลือกตาขึ้น อวิ๋นเยี่ยโกรธจัด ในบ้านนี้ใครช่างใจกล้าถึงเพียงนี้ ไม่รู้หรืออย่างไรว่าเมื่อคืนดื่มหนักเพียงไหน
เช่นนี้ก็ไม่สามารถนอนหลับได้อีกต่อไป จึงลุกพรวดขึ้นมาเตรียมพร้อมที่จะอาละวาด ใครจะรู้ว่าภาพที่เห็นจะเป็นหลี่เฉิงเฉียนที่จ้องมองด้วยขอบตาดำๆ ทั้งสองข้าง แล้วถามอวิ๋นเยี่ยว่า “เงินหนึ่งเหวินนั้นหายไปไหนแล้ว”
——
[1] หูเสวียน เป็นรูปแบบการเต้นรำของชนเผ่าแถบซีอวี้ โดยเป็นการเน้นการหมุนหลายๆ รูปแบบเป็นหลัก มีต้นกำเนิดจากแคว้นคังในตะวันออกกลาง เผยแพร่เข้ามาในภาคกลางในสมัยราชวงศ์ถัง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น