เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 5 ตอนที่ 33-35

ส่วนที่ 5

 

ตอนที่ 33 ต่อติดเป็นตับ

 

เมื่ออวิ๋นเยี่ยเห็นว่าชายชรานั้นเป็นกังวลจริงๆ ก็ไม่ได้ยั่วให้ชายชราโกรธอีกต่อไป หยิบแผนที่แผ่นหนึ่งออกมาจากชั้นวางหนังสือ ซึ่งแผนที่นี้อวิ๋นเยี่ยคัดลอกมาจากแผนที่แผ่นนั้นของเขาเองเพียงแต่แค่เปลี่ยนชื่อ เขาชี้ไปที่ทางน้ำสายหนึ่งแล้วพูดกับหลี่กังว่า “อาจารย์ ท่านดูนี่ ท่อนไม้จะลอยน้ำได้ นี่คือหลักการที่ทุกคนรู้แล้ว เหตุใดจึงไม่ใช้มัน ข้าตัดไม้จินซือหนานมู่บนภูเขาริมแม่น้ำฉางเจียง เอากิ่งเล็กๆ ออก จากนั้นตัดมันให้มีความยาวตามที่ต้องการใช้ แล้วจึงมัดรวมกันเป็นแพ โยนลงไปบนแม่น้ำฉางเจียง หาผู้ที่ว่ายน้ำเก่งมาถ่อแพให้ล่องลงไปตามกระแสน้ำของแม่น้ำเจียงซีไปยังหยางโจว เมื่อถึงหยางโจวข้าจะให้พวกเขาข้ามร่องน้ำหานโกว จากนั้นขนส่งไปตามลำน้ำให้ถึงเหอเป่ย เรือยังสามารถผ่านไปได้ แล้วทำไมแพขอบข้าจะผ่านไม่ได้ เมื่อถึงลั่วหยางเมืองหลวงที่อยู่ทางตะวันออก ท่านคิดว่าข้าจะขนไม้จินซือหนานมู่เหล่านั้นกลับไปที่ฉางอานไม่ได้อีกหรือ”


 


 


“เก็บไว้สักต้นเพื่อทำโลงศพดีๆ ให้ข้าด้วย อวี้ซัน หลีสือ หยวนจางแล้วก็ตาเฒ่ากงซูก็ดูแล้วน่าจะต้องใช้เช่นกัน จะให้ดีที่สุดคือเจ้าเตรียมโลงศพให้เรียบร้อยแล้วส่งมาให้ข้าเพื่อที่พวกเราจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเอง ยังมีเรื่องการรับสมัครนักเรียนใหม่ของปีนี้ที่ต้องให้เจ้าไปจัดการด้วย ตอนนี้ไม่ขาดแคลนอาจารย์แล้วแต่นักเรียนมีแค่สามร้อยคนมันน้อยเกินไปจริงๆ นอกจากนี้ขณะที่เจ้าก่อสร้างตำหนักก็ให้นักเรียนบางส่วนได้เข้าไปมีส่วนร่วมด้วย นี่จะเป็นการดีสำหรับพวกเขา เรื่องสำนักศึกษาเจ้าสามารถวางมือชั่วคราวได้ รีบหาเงินเข้ามาก่อน ส่วนข้าจะช่วยดูแลเรื่องสำนักศึกษาให้เอง ไม่เกิดปัญหาอะไรแน่นอน”


 


 


เหลาหลี่สาบานว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะมาหาอวิ๋นเยี่ยเพื่อพูดคุยเรื่องเงิน ทั้งยังรู้สึกเวทนาเหล่าพ่อค้าผู้ที่ทำงานหนักเพื่อนำไม้จินซือหนานมู่มาจากสะพานไม้เล็กๆ บนหน้าผาในแดนกวนจงกลับมาที่ฉางอัน ไม้จินซือหนานมู่กำลังจะมีราคาเช่นเดียวกับรำข้าวแล้ว หวังว่าจะมีคนไม่มากที่จะได้รับผลกระทบ


 


 


หลี่กังคิดมากเกินไปแล้ว ของดีที่อวิ๋นเยี่ยทุ่มเทขนกลับมามีอย่างที่ไหนที่เขาจะขายในราคาถูก ถ้าไม่ปั่นมูลค่าของสิ่งเหล่านี้ให้สูงที่สุด อวิ๋นเยี่ยจะสามารถสร้างตำหนักใหญ่ด้วยเงินสามหมื่นก้วนได้อย่างไร ตอนนี้ตำหนักหลินเต๋อยังไม่มีแม้แต่เงา ส่วนวังต้าหมิงกงนอกจากอวิ๋นเยี่ยแล้วคงไม่มีใครรู้ว่าคือสถานที่อะไร


 


 


ไม่จำเป็นต้องซ่อมแซมตำหนักหลินเต๋อให้หลี่ซื่อหมินจนหรูหราจนเกินไป ตำหนักที่แม้ไม่ต้องไปยุ่มย่ามมากก็ยังเป็นตำหนักอันดับหนึ่งในโลก รอเอาไว้ให้หลี่เฉิงเฉียนหรือหลี่จื้อไปสร้างก็แล้วกัน ทำให้หลี่ซื่อหมินดีใจในระดับกลางก็พอแล้ว สร้างอีกหนึ่งตำหนักตามแบบตำหนักไท่จี๋ก็แล้วกัน อย่างน้อยก็จะไม่เกิดข้อผิดพลาดแน่ ไป พลิกไปพลิกมาอ่านกฎระเบียบของหน่วยโครงสร้างของกรมโยธา ถูกกดข้อกำหนดรายละเอียดยิบย่อยที่ระบุออกมาเป็นข้อๆ ทำให้ตกใจอยู่ไม่น้อย อย่าตัดสินใจอะไรเองจะดีกว่า เขาทำมาอย่างไรก็ทำตามเขาไปเช่นนั้น หากเกิดความคิดของตนเองออกแนวหัวรุนแรงเกินไปจนท้ายที่สุดไปกระตุ้นให้เหล่าขุนนางทั้งวิจารณ์และถวายฎีกาคงไม่ดีแน่ เมื่อครู่อาจารย์หลี่ก็เพิ่งจะตักเตือนตัวเองว่าอย่าได้ทำอะไรออกนอกกรอบจนเกินไปไม่ใช่หรือ ถ้าอย่างนั้นตนก็จะไม่ออกนอกกรอบ


 


 


ไม่รู้ว่ากรมโยธานั้นคิดจะทำอะไรจึงส่งหนังสือและเอกสารจำนวนมากเกี่ยวกับการก่อสร้างมาให้อวิ๋นเยี่ย ซึ่งทั้งหมดเป็นม้วนหนังสือที่ต้องใช้รถม้าลากมาถึงสามคันรถ เจ้าหน้าที่ของกรมโยธามารยาทเรียบร้อยแต่น้ำเสียงโอ้อวดนัก


 


 


“โหวเหยีย นี่เป็นรูปแบบการก่อสร้างอาคารและตำหนักต่างๆ ที่กรมโยธาเก็บรวบรวมไว้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แบบก่อสร้างของตำหนักไท่จี๋ที่ท่านต้องการอยู่ในนั้น ทั้งหมดมีหนึ่งพันสองร้อยสามสิบหกแบบก่อสร้างตั้งแต่ฐานของอาคารไปจนถึงหลังคาไม่มีขาดแม้แต่ใบเดียว โหวเหยีย ท่านดูว่ามีแบบก่อสร้างที่ขาดหายไปหรือไม่ หากขาดไปท่านสามารถบอกได้ตามสบาย ข้าน้อยจะกลับไปเตรียมให้ จะไม่ให้กระทบกระเทือนการสร้างตำหนักของท่านให้ล่าช้าอย่างแน่นอน”


 


 


ในตอนนี้เข้าใจความคิดของพวกเขาแล้ว ซึ่งก็คือไม่เปิดโอกาสให้อวิ๋นเยี่ยได้เสียใจภายหลังแล้วไปหาข้อผิดพลาดได้เลย ขอเพียงแค่พวกเขาสามารถทำได้ก็จะเตรียมให้อย่างพร้อมสรรพ หากอวิ๋นเยี่ยอยากจะหาข้อแก้ตัวว่าพวกเขาเป็นเหตุนั้นก็เป็นเพียงแค่ความฝัน


 


 


ก็นั่นน่ะสิ ตอนเช้าเพิ่งจะส่งผู้ดูแลที่บ้านไปที่กรมโยธาเพื่อขอยืมแบบก่อสร้าง ตอนบ่ายก็ส่งมาถึงสามคันรถ ให้ความร่วมมือดีมากจนน่าตกใจ สัญญานั้นฮองเฮาเป็นคนแก้ไข ไม่มีใครสามารถชี้ความผิดของกรมโยธาออกมาได้ เห็นแก่ความน่าสงสารของอวิ๋นเยี่ย กรมโยธาจึงไม่อยากเป็นตัวถ่วงให้เขา


 


 


เจ้าหน้าที่ของกรมโยธาก็ได้ไปเฉลิมฉลองครั้งใหญ่อีกครั้ง ได้ยินว่าคราวนี้ยังเรียกนางรำมาด้วย มาตรฐานก็เปลี่ยนจากร้านอาหารในเขตตงซื่อเป็นหอเอี้ยนไหลโหลว


 


 


เฉิงฉู่มั่วนำเงินเหรียญทองแดงห้าคันรถเต็มๆ มาส่งให้อวิ๋นเยี่ย เมื่อเขาได้ยินเรื่องนี้ก็รีบขนเงินเหรียญทองแดงทั้งหมดที่มีในบ้านมาให้ทันที ได้ยินเขาพูดว่าแม้แต่เงินซื้อกับข้าวที่บ้านก็ไม่เหลือไว้เลยด้วยซ้ำ


 


 


“เสี่ยวเยี่ย ตอนนี้ที่บ้านมีเพียงเท่านี้ รออีกสักระยะข้าขายทรัพย์สินหลายๆ แห่งก่อนจะมีเพิ่มอีกบางส่วน ข้ารู้ว่าไม่พอ แต่ว่าถ้ามีเพิ่มอีกหน่อยก็จะดี”


 


 


อวิ๋นเยี่ยก้มหน้าก้มตาเขียนแบบก่อสร้างโดยไม่เงยหน้าขึ้น พูดกับเฉิงฉู่มั่วว่า “เงินเหล่านี้ถือว่าเจ้านำมาเข้าหุ้น เอาไปที่ฝ่ายบัญชีตรวจนับให้เรียบร้อยแล้วค่อยเอามาให้ข้า ภายหน้าจะได้คิดบัญชีได้ถูก นอกจากนี้ในเมื่อเจ้าก็มาแล้วก็อย่าอยู่เฉย ไปที่บ้านของจางเลี่ยงจ้างผู้ที่ว่ายน้ำเก่งมาให้ข้าจำนวนหนึ่ง ข้ามีเรื่องใหญ่จำเป็นต้องใช้ เงินเดือนไม่น่าเกลียด”


 


 


เฉิงฉู่มั่วกระโดดโหยงและตะโกนว่า “เสี่ยวเยี่ย เจ้าอย่าได้พูดเรื่องชดใช้เงินอะไรเด็ดขาด พวกเราเป็นพี่น้องกัน เงินนี้ข้าตัดสินใจจะมอบให้เอง ขอเพียงแค่เราผ่านพ้นด่านนี้ไปได้ มีหรือจะกลัวว่าภายหน้าจะไม่มีเงิน”


 


 


“เจ้าโวยวายอะไรของเจ้า ใครบอกว่าข้าจะคืนเงินครั้งนี้ให้ ข้าเคยบอกเจ้าหรือ ทำไมข้าจำไม่ได้”


 


 


“ตอนนี้ภายนอกเล่าลือกันมั่วไปหมดแล้ว บอกว่าคราวนี้ตระกูลอวิ๋นจบเห่อย่างแน่นอน จะต้องล้มละลายแน่ ฮองเฮานั้นรังแกกันมากเกินไป ตำหนักที่ต้องสร้างด้วยเงินหนึ่งแสนห้าหมื่นก้วนแต่กลับให้เจ้าเพียงสามหมื่นก้วนเท่านั้น แล้วเจ้ายังต้องลอกแม่น้ำ สร้างตรอกซิ่งฮว่าฟางขึ้นใหม่อีก หากมีไม่ถึงสองแสนก้วนก็เลิกคิดได้เลย เจ้าจะไปเอามาจากไหนอีกหนึ่งแสนเจ็ดหมื่นก้วน”


 


 


เห็นท่าทางเฉิงฉู่มั่วที่เดินถูมือวนเวียนไปมารอบๆ จู่ๆ อวิ๋นเยี่ยก็หัวเราะขึ้น มีเพื่อนเช่นนี้สักคนหนึ่งตนเองยังมีอะไรให้โอดครวญกันอีก ตระกูลเฉิงบางทีอาจจะพอมีเงินอยู่บ้าง โดยส่วนใหญ่เป็นอสังหาริมทรัพย์และบ้าน เพียงช่วงเวลาสั้นๆ ก็มอบเงินออกมาได้แปดพันก้วน นี่คงเป็นกำลังที่มากที่สุดของตระกูลเฉิงแล้วจริงๆ


 


 


“แน่นอนว่าต้องช่วยเพื่อน แต่ก็ไม่ควรนำออกมาจนหมดบ้านในครั้งเดียว ข้ารับไว้ห้าพันก้วนถือเป็นเงินทุนร่วมหุ้น ที่เหลืออีกสามพันก้วนเจ้านำกลับไป ที่บ้านไม่ต้องใช้ชีวิตกันต่อแล้วหรือ การใช้ชีวิตของคนในตระกูลใหญ่ไม่ใช่เรื่องง่าย หากถึงตอนนั้นจวนกั๋วกงไม่มีแม้แต่เงินรางวัลที่จะให้ผู้ใต้บังคับบัญชา จะไม่ถูกคนอื่นหัวเราะเยาะตายหรือ”


 


 


เฉิงฉู่มั่วยังไม่ทันกลับ หนิวเจี้ยนหู่ก็ลากเงินสามคันรถมายังตระกูลอวิ๋น บ้านเขาไม่ได้ร่ำรวยอะไรมีเพียงห้าพันก้วน มาถึงก็ทิ้งเงินไว้แล้วก็เตรียมจะกลับ แต่ถูกอวิ๋นเยี่ยเรียกไว้


 


 


“พี่เจี้ยนหู เจ้าเห็นว่าข้ากำลังจะรวยแล้ว จึงได้ทุ่มเต็มที่ในการมามีส่วนร่วมหรือ ทำไมจู่ๆ ก็เริ่มหัวใสกันจังเลยเล่า” อวิ๋นเยี่ยพูดล้อเล่นกับหนิวเจี้ยนหู่


 


 


เสี่ยวหนิวนั้นอารมณ์ไม่ดีเลย คว้าแล้วก็ยกอวิ๋นเยี่ยขึ้นเขย่าแล้วพูดกับเขาว่า “นี่มันเวลาไหนแล้ว เจ้ายังคงแก้นิสัยเสียฝีปากกล้าและเหน็บคนเก่งไม่ได้อีกหรือ คราวนี้ข้าจะดูว่าเจ้าจะสามารถสร้างตำหนักด้วยเงินอันน้อยนิดนี้ได้อย่างไร”


 


 


อวิ๋นเยี่ยยังไม่ทันได้อ้าปาก เหอเซ่าก็วิ่งร้องไห้ตลอดทางเข้ามาในบ้านตระกูลอวิ๋น เมื่อเจอหลายๆ ท่านนี้ยามของตระกูลอวิ๋นจะไม่เข้าขวางเลย เมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยถูกหนิวเจี้ยนหู่กระชากคอเสื้อลอยอยู่กลางอากาศ ก็พุ่งเข้าไปกอดขาอวิ๋นเยี่ยแล้วร้องคร่ำครวญ “ท่านปู่ข้า เจ้าช่วยเพลาๆ หน่อยได้หรือไม่ พวกเราเพียงแค่ตกลงกันว่าจะสร้างตรอกซิ่งฮว่าฟางขึ้นใหม่ไม่ใช่หรือ ทำไมเจ้าถึงจะสร้างตำหนักด้วย เจ้าจะให้ลูกเด็กเล็กแดงในครอบครัวข้าอยู่รอดได้อย่างไร”


 


 


เจ้างี่เง่านี่ไม่เพียงแต่เช็ดน้ำตาและน้ำมูกของเขาบนเสื้อของอวิ๋นเยี่ยเท่านั้น แต่ยังอ้าปากกัดขาอวิ๋นเยี่ยไปหลายครั้งด้วย


 


 


เมื่อเห็นเหล่าเหอร้องไห้อย่างน่าสงสาร หนิวเจี้ยนหู่ก็มีอาการน้ำตาซึมเช่นกัน เฉิงฉู่มั่วนั้นกำลังเช็ดน้ำตาอยู่


 


 


“หุบปากให้หมด เหล่าเหอ ถ้าเจ้ายังไม่เอาปากเจ้าออกไป ตอนจ่ายเงินปันผลเจ้าจะไม่มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรด้วย”


 


 


เมื่อเหล่าเหอได้ยินเรื่องการจ่ายเงินปันผลก็ได้สติกลับมาในทันใด กระโดดขึ้นมาจ้องมองอวิ๋นเยี่ยตาปริบๆ สีหน้านี้กินเวลาเพียงชั่วครู่หนึ่งจากนั้นเขาก็กลับสู่สภาพร้องไห้คร่ำครวญดังเดิม


 


 


“ฮองเฮานั้นโหดเ**้ยมเกินไป การสร้างตำหนักหลักนั้นต้องการอย่างน้อยหนึ่งแสนก้วน ราคานี้ยังรวมค่าอิฐและก้อนหินเพราะตระกูลอวิ๋นสามารถแก้ไขเรื่องเหล่านี้ได้ ถ้านับรวมทั้งหมดแล้วได้ไม่ถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นก้วนก็เลิกคิดเสียเถอะ”


 


 


นี่คือความแตกต่างระหว่างพ่อค้าและคุณชายจอมเสเพล ใบเสนอราคานั้นถูกว่าของเฉิงฉู่มั่วถึงห้าหมื่นก้วนเต็มๆ ต้องให้ทั้งสามคนกินยาสงบจิตใจ มิฉะนั้นทุกคนต่างก็มีแต่ความคิดที่จะจบสิ้นเพียงอย่างเดียว ยังจะปล่อยให้เขาได้ทำงานให้เรียบร้อยอีกหรือ


 


 


“ไปที่ห้องกันเถอะ ข้าจะให้พวกเจ้าดูอะไรบางอย่าง น่าขายหน้า ชายร่างใหญ่เอาแต่เกาะขากางเกง ข้าไม่ได้สงสารน้ำตาของเจ้า แต่ข้าสงสารเสื้อผ้าข้า มีแต่น้ำมูกน้ำตาเต็มไปหมดจะให้ใส่ได้อย่างไร“ จากนั้นเตะเหล่าเหอไปหนึ่งที เจ้างี่เง่าคนนี้มีความกล้าหาญน้อยลงเรื่อยๆ นี่คงจะเป็นปัญหาทั่วไปสำหรับคนรวย


 


 


อวิ๋นเยี่ยให้เหล่าจวงเฝ้าอยู่หน้าห้องหนังสือไม่ให้ใครเข้ามา


 


 


แล้วนำแบบก่อสร้างที่วาดในหลายวันนี้ให้ทั้งสามคนดูหมดทุกใบ


 


 


“เสี่ยวเยี่ย นี่คือตรอกซิ่งฮว่าฟางหรือ ตำหนักเซียนกงก็ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไร มีต้นไม้สีเขียว กำแพงสีแดงศาลาพักร้อนและหออาคาร แล้วก็มีสวน เพียงแต่สวนนั้นใหญ่เกินไปส่วนตัวบ้านก็เล็กเกินไปหน่อยหรือเปล่า” เหล่าเหอสูดน้ำมูกพลางถามอวิ๋นเยี่ย


 


 


“บ้านทุกหลังมีสามชั้น นี่คือภาพสำรวจย่อๆ ซึ่งเป็นภาพที่มองจากบนลงล่าง ในความเป็นจริงบ้านนั้นไม่เล็กเลย มันเป็นแค่การใช้ประโยชน์สูงสุดจากที่ดินที่จำกัดจึงทำการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย นำบ้านที่กระจายออกไปในแนวราบเปลี่ยนเป็นรูปทรงกระบอก เจ้าดูนี่ ชั้นแรกเป็นห้องรับแขก ชั้นสองเป็นห้องหนังสือและห้องพักและชั้นที่สามเป็นบ้านด้านใน มันเข้าใจยากตรงไหน”


 


 


 “เสี่ยวเยี่ย บ้านนี้พวกเราต้องขายอย่างน้อยหลังละสองพันก้วนจึงจะได้ แล้วก็ต้องสั่งอุปกรณ์ตกแต่งบ้านจากพวกเรา” เพียงพริบตาเดียวเหล่าเหอก็ก้าวเข้าสู่บทบาทของพ่อค้า เขารู้ราคาต้นทุนของบ้านหลังนี้ หากขายสองพันก้วนจะต้องมีคนจำนวนมากมาซื้ออย่างแน่นอน


 


 


“มีบ้านเช่นนี้อยู่ห้าสิบหลังและเงินทุนที่จะหมุนเวียนคืนมาให้เราจะมากถึงหนึ่งแสนก้วน หากตัดค่าใช้จ่ายในการสร้างสวนส่วนกลาง พื้นที่สีเขียว ศาลาพักร้อนและหออาคารจะได้กำไรหกหมื่นก้วน นี่เป็นเพียงการประมาณการเบื้องต้น ซึ่งยังไม่นับรวมผลกำไรอื่นๆ เช่น ค่าอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน ที่อยู่อาศัยประเภทนี้เหมาะสมที่สุดสำหรับเจ้าหน้าที่ตัวเล็กๆ ในเมืองหลวงจะซื้ออยู่กัน ข้าเคยถามแล้ว เจ้าหน้าที่ตัวเล็กๆ เหล่านั้นยังเป็นตระกูลที่มีฐานะมีชื่อเสียงในท้องถิ่นเช่นกัน มิฉะนั้นคงไม่ได้รับการแนะนำให้รับราชการ ดังนั้นบ้านประเภทนี้ไม่ต้องกังวลว่าจะขายไม่ออก”


 


 


“แต่ถึงแม้ว่าพวกเราจะทำทุกอย่างได้อย่างเรียบร้อยแล้วก็ได้กำไรเพียงหนึ่งแสนก้วน ก็ยังไม่เพียงพอที่จะเติมเต็มการสร้างตำหนักในวัง” แม้ว่าเหอเซ่าจะพูดเช่นนี้ แต่ใบหน้าเกิดรอยยิ้มขึ้นแล้ว เมื่อรวมกับเงินสามหมื่นก้วนที่ฮองเฮาประทานให้ก็จะขาดอีกเพียงสองหมื่นก้วนเท่านั้น ก็เป็นแรงกดดันไม่มากเท่าไรแล้ว คราวนี้เพียงแค่อ้างชื่อการสร้างตำหนักให้ราชวงศ์ แม้จะไม่ได้กำไรเลยก็ยังได้ผลประโยชน์อย่างมากมายมหาศาล


 


 


“อันที่จริงเรื่องตรอกซิ่งฮว่าฟางเป็นเพียงเงินเล็กน้อยเท่านั้น ความเป็นจริงรายได้ที่ใหญ่ที่สุดมาจากการสร้างตำหนักเองนั่นล่ะ” เมื่ออวิ๋นเยี่ยเห็นชายสามคนเริ่มผ่อนคลายลง จึงเทชาดื่มไปหนึ่งถ้วย


 


 


“สร้างตำหนักให้เปล่าๆ ยังจะมีข้อดีอะไรกัน” หนิวเจี้ยนหู่แทบจะกระโดดขึ้นมาถามอวิ๋นเยี่ย


 


 


“เจ้าปล่อยให้เสี่ยวเยี่ยพูด อย่าเพิ่งร้อนรนขัดจังหวะ เจ้าว่าใช่ไหม เสี่ยวเยี่ย” เหอเซ่าต่อว่าหนิวเจี้ยนหู่พลางช่วยอวิ๋นเยี่ยจัดคอปกเสื้อที่ถูกหนิวเจี้ยนหู่กระชากจนเบี้ยวอย่างระมัดระวัง สำหรับเฉิงฉู่มั่ว เมื่อตอนที่อวิ๋นเยี่ยคำนวณออกมาว่าเหลือส่วนต่างเพียงสองหมื่นก้วนนั้นเขาก็ไม่ใส่ใจอีกต่อไป เงินสองหมื่นก้วนตระกูลอวิ๋นและตระกูลเฉิงสามารถหามารวมกันได้อย่างง่ายดาย


 


 


ในเมื่อสามารถรวบรวมออกมาได้ ก็หมายความว่าเรื่องนี้ไม่ได้ร้ายแรงสักเท่าไรแล้ว ส่วนที่เหลือก็มอบให้อวิ๋นเยี่ยจัดการก็พอ ตนเองช่วยเขาทำงานในส่วนที่ตัวเองทำได้ให้เสร็จและกลับบ้านเพื่อเตรียมตัวแต่งงานจึงจะเป็นเรื่องสำคัญ 

 

 


ส่วนที่ 5

 

ตอนที่ 34 สายลมอันสดชื่นระลอกใหม่

 

 


 


หลังจากรอให้ทั้งสามคนสงบลงแล้ว อวิ๋นเยี่ยวางถ้วยชาในมือลง หยิบม้วนกระดาษม้วนหนึ่งออกมาจากข้างหลังแล้วพูดกับพวกเขา “พวกเจ้าดู เพื่อรักษาการคานอำนาจกันในพระราชวังให้คงอยู่ต่อ ตำหนักนี้จึงสามารถสร้างไว้ข้างๆ สระไท่เยี่ยฉือเท่านั้น แน่นอนว่าทิวทัศน์ที่นี่นั้นสวยงามที่สุด แต่สถานที่นั้นไม่กว้างพอ จำเป็นจะต้องขยายพื้นที่ออกไปด้านนอก ผลของการขยายออกไปก็คือตำหนักนี้จะไปเชื่อมต่อกับตำหนักหานหยวนและกลายเป็นกลุ่มตำหนักหลวง เช่นนี้แล้วภาพรวมของพระราชวังจะยิ่งดูใหญ่โตวิจิตรการตายิ่งขึ้นไปอีกอย่างมาก ข้าคิดว่าพระราชวังจะงดงามมากเพียงไรในยามอาทิตย์อัสดง”


 


 


“แต่ยิ่งงดงามมากเท่าไรพวกเราก็ยิ่งเสียเงินมากขึ้นเท่านั้น” ตอนนี้เหอเซ่ากลัวที่จะได้ยินคำพูดเช่นความใหญ่โตงดงาม เขาแทบอยากจะสร้างพระราชวังเช่นเดียวกับเล้าหมูเพื่อให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไป


 


 


“ฮองเฮาเพียงแค่สั่งให้ข้าสร้างตำหนัก แต่ไม่ได้บอกให้ข้าจัดการเรื่องของตกแต่งภายใน พวกเรารับราชโองการเพื่อซื้อวัสดุก่อสร้างทุกชนิด ซึ่งหนึ่งในนั้นคือไม้จินซือหนานมู่และหินอ่อนสีขาว ทั้งยังมีของจิปาถะอื่นๆ ด้วย เรื่องไม้จินซือหนานมู่และหยกหินอ่อนสีขาว ให้ข้าเป็นคนจัดการเอง วัสดุอื่นๆ ให้เหล่าเหอจัดการ เจ้าดูให้ละเอียดพวกเราจะสั่งซื้อเฉพาะของที่จำเป็นสำหรับการก่อสร้างและสั่งซื้อจากต่างถิ่น ในครั้งนี้ไม่ใช่การจ่ายเงินจากทางราชสำนัก เมื่อร้านค้าต่างถิ่นเห็นว่ามีหนทางในการทำกำไรก็จะเปิดประตูอ้าแขนต้อนรับอำนวยความสะดวกสบายแน่นอน เงินสามหมื่นก้วนที่ฮองเฮาก็เพื่อนำมาใช้ในการนี้


 


 


หากเราไม่ได้นำเงินสำหรับการสั่งซื้อวัสดุไปจ่ายให้ร้านค้าท้องถิ่นแต่จ่ายให้ท้องพระคลังแทน ซึ่งก็หมายความว่าร้านค้าท้องถิ่นไม่ต้องนำส่งเงินภาษีส่งมาที่ฉางอัน เพียงแค่ส่งสินค้ามาก็พอแล้ว และผู้ใช้แรงงานเหล่านั้นก็ไม่ได้ทำงานเปล่าแต่มีค่าแรง ดังนั้นจะไม่มีเรื่องกดขี่ข่มเหงประชาชน ข้าคิดว่าร้านในท้องถิ่นต้องชอบวิธีการนี้แน่นอน”


 


 


“ไม่เพียงแต่ชอบเท่านั้น ยังจะรู้สึกซาบซึ้งในความดีของโหวเหยียด้วย” ประตูถูกเปิดออก หลี่จิ้งเดินเข้ามาด้านหลังตามมาด้วยเหล่าจวงที่สีหน้ารู้สึกผิด ดูจากสีหน้าความเจ็บปวดของเขาแล้วก็รู้ได้ว่าต้องถูกหลี่จิ้งควบคุมไว้ไม่ให้ออกเสียง


 


 


จึงยิ้มให้เหล่าจวงส่งสัญญาณว่าไม่เป็นไร ให้เขาถอยออกไปก่อน


 


 


หลี่จิ้งนั่งบนเก้าอี้ของอวิ๋นเยี่ย เทชาดื่มเองแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “พูดต่อไป คุยเรื่องแผนการของเจ้าต่อไป ข้าตั้งใจจะลงทุนในบ้านเจ้าเสียหน่อย เมื่อครู่อยู่ด้านนอกประตูได้ยินไม่ค่อยชัด เจ้าลองว่ามาอย่างละเอียดที”


 


 


“ความหมายของข้าก็คือการให้ร้านค้าท้องถิ่นส่งมอบของมาที่นี่ เงินจะจ่ายจากฉางอัน จากนั้นพวกเราจะหักจำนวนหนึ่งส่งไปที่ท้องพระคลังซึ่งถือเป็นส่วนของภาษีที่พวกเขาต้องชำระ เช่นนี้แล้วเราก็ประหยัดเวลาการขนไปขนกลับหนึ่งรอบ พวกเราก็จะสามารถลดค่าใช้จ่ายลงได้สองส่วน ซึ่งก็หมายความว่าในเบื้องต้นเมื่อรวมกับรายได้จากตรอกซิ่งฮว่าฟางแล้วพวกเราสามารถทำให้รายรับและรายจ่ายเสมอตัวแล้ว อย่างมากที่สุดพวกเราก็เพียงแค่เหนื่อยขึ้นอีกหน่อยเท่านั้น แต่เหล่าเหอในระหว่างการติดต่อนี้ เจ้าจะได้คบค้ากับเจ้าหน้าที่ในท้องถิ่นต่างๆ ภายหน้าหากเจ้าต้องการสินค้าบางประเภท เพียงแค่ส่งจดหมายถึงพวกเขาก็พอแล้ว ด้วยวิธีนี้เจ้าจะประหยัดต้นทุนได้มากกว่าคนอื่นอย่างถาวรซึ่งอย่างน้อยก็สองส่วน พ่อค้าในเมืองฉางอันยังจะมีใครเป็นคู่ต่อสู้ของเจ้าได้อีก”


 


 


ใบหน้าอันอ้วนกลมของเหล่าเหอเริ่มส่องประกายเปล่งปลั่ง เหงื่อยังคงไหลหยดย้อยไม่ยอมหยุด ปรบมือเต็มแรงด้วยความตื่นเต้นดีใจ ทั้งยังยกนิ้วสองนิ้วชี้จนจะตรงเป็นไม้บรรทัดแล้ว


 


 


“นี่ก็หมายความว่าเงินทุนของข้าจะไม่ได้รับผลกำไรอะไรใช่ไหม” หลี่จิ้งไม่พอใจอย่างมากกับการลงทุนโดยสูญเปล่าของตัวเอง เพราะไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆ เลย


 


 


“ท่านลุงหลี่ ข้าจะให้ท่านลงทุนโดยเสียเปล่าได้อย่างไรกัน การสร้างตำหนักใช้ไม้จินซือหนานมู่เพียงแปดสิบเอ็ดต้น แต่ข้าตั้งใจจะสั่งซื้อหนึ่งพันต้นจากแดนเสฉวน ผูกพวกมันเป็นแพไม้ลำเลียงมาทางน้ำจนถึงลั่วหยาง ท่านเห็นว่าอย่างไร”


 


 


หลี่จิ้งไม่ใช่หลี่กัง เส้นทางน้ำใต้หล้านี้ล้วนอยู่ในความทรงจำของเขา เพียงแค่ฉุกคิดเล็กน้อยก็เข้าใจได้ กองไม้ใหญ่ลำเลียงไปตามแม่น้ำฉางเจียงไหลลงมายังหยางโจว จากนั้นล่องไปตามทางน้ำจนถึงลั่วหยาง เป็นวิธีการที่ยอดเยี่ยมจริงๆ”


 


 


“เจ้าหนุ่ม การค้าของเจ้าหากนำจางเลี่ยงหัวหน้าหน่วยนาวิกโยธินมาร่วมด้วยก็จะสมบูรณ์ไร้ข้อบกพร่องแน่นอน อย่าบอกคนอื่นว่าข้าก็ร่วมหุ้นด้วยห้าพันก้วน ใบหน้าเ**่ยวๆ นี้จะให้เสียหน้าไม่ได้” พูดจบก็ลุกขึ้นแล้วเดินจากไป


 


 


หลังจากส่งหลี่จิ้งกลับไปแล้ว พวกเฉิงฉู่มั่วก็อำลากลับบ้าน เรื่องเหล่านี้ต้องอธิบายให้คนสำคัญในบ้านฟังให้ชัดเจนเพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิด อวิ๋นเยี่ยมองไปที่เหรียญทองแดงในลานบ้านแล้วรู้สึกกลัดกลุ้ม ท่านย่ายืนอยู่ห่างๆ ไม่เข้าใจว่าทำไมทุกคนนำเงินส่งมาที่บ้านเต็มไปหมด หรือจะบอกว่าหลายชายจะมีการค้าครั้งใหญ่อีกแล้ว


 


 


มีบางอย่างที่อวิ๋นเยี่ยไม่ได้พูดอย่างชัดเจน นั่นก็คือท่าเทียบเรือทั้งสิบที่ตั้งใจขอเป็นพิเศษ ในแดนกวนจงแต่โบราณมาก็มีคำพูดที่ว่าฉางอันมีแม่น้ำล้อมรอบแปดสาย แม่น้ำแปดสายที่ว่าก็คือ แม่น้ำเว่ย จิ้ง เฟิง เล่า อวี้ เฮ่า ฉั่น ป้า ทั้งแปดสายนี้ไหลผ่านทั้งสี่ด้านของเมืองซีอันและถือเป็นแม่น้ำสายย่อยของแม่น้ำหวงเหอ


 


 


 


 


ตั้งแต่ที่ซือหม่าเซี่ยงหรูเขียนไว้ในบทกวีประเภทฉือฟู่ ‘ซั่งหลินฟู่’ ที่โด่งดังว่า “ไหลรินแยกเป็นแม่น้ำแปดสาย แตกกระจายไหลไปเขตต่างๆ” ซึ่งได้บรรยายความงดงามของสวนซั่งหลินในสมัยราชวงศ์ฮั่น ต่อมาจึงได้เกิดการบรรยายว่า “สายน้ำแปดสายรายล้อมฉางอัน” ขึ้น


 


 


ในบรรดาสายน้ำทั้งแปดนั้น มีเพียงแม่น้ำเว่ยที่ไหลไปบรรจบแม่น้ำหวงเหอ อีกเจ็ดสายจะไหลมาบรรจบที่แม่น้ำเว่ย ที่อวิ๋นเยี่ยให้ความสนใจก็คือแม่น้ำสายใหญ่เหล่านี้ พวกมันเกือบจะเชื่อมโยงถึงกันทุกทิศทาง แม้ว่าเรือใหญ่จะไม่สามารถผ่านได้ แต่ด้วยเรือที่ทำจากไม้ในยุคนี้ ขอเพียงแค่เป็นเรือเล็กที่ประกอบจากไม้ไม่ถึงหนึ่งร้อยชิ้นก็สามารถแล่นผ่านได้โดยไม่มีปัญหา


 


 


ไม่รู้ว่าทำไมขุนนางเมืองฉางอันจึงเห็นน่านน้ำเหล่านี้เป็นเพียงต้นกำเนิดแหล่งน้ำ ถึงขั้นเรียกได้ว่ามองข้ามศักยภาพในการขนส่งทางน้ำของแม่น้ำเหล่านี้ ทุกครั้งที่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองฉางอันมองดูกองคารวานอูฐและรถเทียมวัวที่หลั่งไหลอย่างคับคั่งแล้ว อวิ๋นเยี่ยก็อยากจะวิ่งไปถามเจ้าหน้าที่เมืองฉางอันว่าในหัวของพวกเขาบรรจุอะไรเอาไว้ ต้องรอจนถึงรัชสมัยของจักรพรรดินีอู่เจ๋อเทียนจึงค่อยให้ความสำคัญกับศักยภาพการขนส่งทางน้ำของแม่น้ำเหล่านี้อย่างจริงจัง


 


 


ทั่วทั้งเมืองฉางอันไม่มีท่าเรือสักแห่ง มองดูน้ำทะเลสีฟ้าใสไหลผ่านไปอย่างเปล่าประโยชน์ในเมืองฉางอันทุกวัน อวิ๋นเยี่ยก็จินตนาการถึงใบเรือที่ขวักไขว่ราวกับป่าทึบในสมัยของอู่เจ๋อเทียน


 


 


ช่างเถอะ ในเมื่อไม่มีใครชอบการใช้ช่องทางน้ำ อย่างนั้นก็ให้ฉันเป็นคนเริ่มก็แล้วกัน สำนักศึกษาต้องการแหล่งเงินทุนถาวรเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานขั้นพื้นฐานอย่างเร่งด่วน สวรรค์ประทานให้แล้ว หากไม่รับไว้ รังแต่จะต้องรับทุกข์เพราะสิ่งนี้


 


 


ต้องการเพียงแค่สร้างท่าเรืออย่างง่ายไม่กี่แห่งและสร้างคลังสินค้าบางแห่งก็สามารถเสพสุขไปกับเงินปันผลที่มาจากการขนส่งทางน้ำด้วยเงินทุนอันน้อยนิดได้อย่างถาวร เรื่องง่ายๆ เช่นนี้ไม่มีใครคิดได้เลยหรือ ซีเป่ยเป็นดินแดนแห้งแล้ง ขี่ม้าเป็นมากกว่าการนั่งเรือ เมื่อความคิดถูกกำหนดไปแล้วจะไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้เลยหรือ


 


 


หัวหน้าองครักษ์นำเงินมาห้าพันก้วนมาที่ตระกูลอวิ๋นโดยบอกว่ารัชทายาทให้ส่งมา ขอให้อวิ๋นเยี่ยรับเอาไปเพื่อสร้างตำหนักให้เสด็จพ่อของเขา ตนเองนั้นเป็นลูกชายไม่มีเหตุผลให้นิ่งดูดายจริงๆ


 


 


กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเงินนี้ไม่ต้องชำระคืนซึ่งพูดได้ชัดเจนมาก แต่อวิ๋นเยี่ยพูดกับหัวหน้าองครักษ์ว่า “รบกวนพี่ชายท่านนี้กลับไปทูลรัชทายาทว่าเห็นแก่ที่เขาเป็นผียากไร้ ข้าจะยอมรับเงินห้าพันก้วนของเขาไว้เป็นเงินทุนร่วมหุ้น สองปีให้หลังหลังจากคำนวณรายได้แล้ว อวิ๋นเยี่ยจะไม่ปล่อยให้เงินห้าพันก้วนของเขาต้องหายไปอย่างสูญเปล่าแน่”


 


 


ดวงตาขององครักษ์นั้นเบิกกว้างมาก รูจมูกหุบเข้าหุบออกไม่ยอมหยุด ดูเหมือนไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับอวิ๋นเยี่ยด้วยท่าทีเช่นใด สุดท้ายก็ประสานมือและรีบจากไป เขากลัวจริงๆ ว่าเขาจะไม่สามารถอดกลั้นได้จนใช้กำปั้นของเขาทิ้งเครื่องหมายไว้บนใบหน้าของอวิ๋นเยี่ย


 


 


เคยเจอพวกไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี แต่ไม่เคยเจอใครที่เป็นเช่นอวิ๋นเยี่ยมาก่อนเลย ความหวังดีของรัชทายาทถูกนำไปเลี้ยงสุนัขหมดแล้ว เขารู้สึกแทนรัชทายาทว่าไม่คู่ควรเลยจริงๆ ม้าเร็วส่งเขากลับถึงวังหลังอย่างรวดเร็ว หลี่เฉิงเฉียนกำลังเล่นว่าวกับน้องสาวอยู่ในอุทยาน ว่าวที่ทำจากผ้าไหมปลิวพลิ้วอยู่บนท้องฟ้า หลานหลิงร้องเสียงดังขึ้น ออกแรงไล่พี่ชายให้วิ่งให้เร็วกว่านี้อีกหน่อยเพื่อให้ว่าวสามารถลอยสูงขึ้นไปอีก


 


 


เมื่อเห็นองครักษ์กลับมา หลี่เฉิงเฉียนส่งว่าวไปไว้ในมือของหลานหลิงแล้วหยิบผ้าที่ขันทีส่งให้มาเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก น้องสาวของเขานั้นมีจำนวนมากจริงๆ น้องสาวแต่ละคนต้องการให้พี่ชายช่วยปล่อยว่าวของพวกนางให้ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าโดยบอกว่าเป็นการเตรียมการสำหรับวันที่สามเดือนสาม เขารู้สึกว่าตัวเองวิ่งมาหนึ่งวันแล้ว เพียงแต่เมื่อคิดว่าอวิ๋นเยี่ยก็มีน้องสาวแปดคน ในใจก็รู้สึกเสมอภาคขึ้นในทันที คนเราก็เป็นเช่นนี้ ไม่กังวลว่ามีทรัพย์น้อย แต่กังวลว่าจะแบ่งทรัพย์ไม่เท่ากัน ขอเพียงแค่มีคนที่สภาพย่ำแย่กว่าตัวเองในใจก็จะรู้สึกดีขึ้นมาก


 


 


 “เป็นอย่างไรบ้าง อวิ๋นเยี่ยคงต้องซาบซึ้งใจเป็นอย่างมากแน่ ร้องไห้หรือไม่” หลี่เฉิงเฉียนเคยถูกมิตรภาพที่ไม่เห็นแก่ตัวทำให้ซาบซึ้งมาหลายครั้งแล้ว เมื่อเขาคิดว่าหากอวิ๋นเยี่ยเห็นเงินหลายคันรถ จะต้องซาบซึ้งใจจนร้องไห้น้ำมูกน้ำตาไหล ทำให้คิดถึงที่คราวก่อนตนเองกล่าวขอบคุณต่อผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งที่สร้างผลงานเพียงคำเดียว ชายร่างกำยำคนนั้นก็ร้องไห้เหมือนเด็กทารกที่อยู่ในเดือน อวิ๋นเยี่ยได้รับความช่วยเหลืออันมากมายของตนเอง น่าจะต้องมีอะไรตื่นเต้นกว่านี้กระมัง!


 


 


หลังจากรอเป็นเวลานานก็ไม่ได้ยินคำตอบจากองครักษ์ เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นสีหน้าองครักษ์เหมือนคนมีอาการท้องผูก ใบหน้าย่นจนดูไม่ได้


 


 


เพียงแค่เห็นก็รู้ว่าอวิ๋นเยี่ยต้องไม่ได้ตอบอะไรที่ดีแน่ เพียงแต่องครักษ์คนนี้เป็นคนสนิทของเขาไม่ต้องกังวลมากนักจึงถามขึ้นตรงๆ ว่า “เจ้างี่เง่านั่นพูดอะไร บอกเรามาให้หมด”


 


 


องครักษ์กัดฟันแล้วคุกเข่าลงพูดกับหลี่เฉิงเฉียนว่า “อวิ๋นเยี่ยไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี เขาบอกว่าเห็นแก่ที่รัชทายาทเป็นผียากไร้ เขาจะยอมรับเงินทุนร่วมหุ้นของท่านไว้ ทั้งยังบอกว่าอีกสองปีให้หลังท่านค่อยไปรับเงินปันผล”


 


 


“โอหังถึงเพียงนี้เชียว เดิมคิดว่าเขาถูกเสด็จแม่บีบหอคอยจนแทบหายใจไม่ได้แล้ว ไม่น่าเล่นลวดลายอะไรได้อีก คิดไม่ถึงว่าเขาจะตอบเช่นนี้ รู้ว่าผิดพลาดแล้วยังไม่คิดจะแก้ไขหรือ


 


 


ไม่ถูก ผู้ชายคนนี้ไม่เคยทำอะไรที่ไม่มีความมั่นใจ กล้าเช่นนี้แสดงว่าจะต้องมีไพ่อะไรอยู่ในมือแน่ เขาอยู่ในทางตันแล้วยังจะทำอะไรได้อีก”


 


 


คนที่คิดเช่นนี้ไม่ได้มีเขาเพียงคนเดียว หลี่ซื่อหมินก็กำลังถามจั่งซุน “กวนอินปี้ โจทย์ข้อนี้เจ้าตั้งขึ้นมาได้เจ้าเล่ห์มาก หรือเจ้าหนุ่มนั่นจะเสกหินให้เป็นทองคำได้”


 


 


“เอ้อร์หลาง หม่อมฉันรู้สึกว่าเรื่องนั้นมันไม่ง่ายเช่นนี้ หม่อมฉันมักจะรู้สึกว่าขณะที่เขาสัญญาว่าจะสร้างตำหนักนั้น ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยการเย้ยหยัน ราวกับว่าเขามีวิธีแก้เงื่อนตายข้อนี้ได้จริงๆ ตอนนั้นหม่อมฉันก็เพียงแค่อยากทำให้เขาอึดอัดใจเสียหน่อย ทำให้เขาล้มเลิกการสร้างตรอกซิ่งฮว่าฟางไปเอง ไม่ใช่เพราะโลภอยากได้เงินจำนวนนั้นของเขา หม่อมฉันยังรู้สึกอีกว่ากรมโยธาจะต้องตกหลุมพรางครั้งใหญ่ของเขา เพื่อรักษาหน้าตาของราชสำนัก หม่อมฉันจำเป็นต้องทำเช่นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ดีถ้าใครคนหนึ่งจะโดดเด่นจนเกินไป หม่อมฉันกังวลว่าอวิ๋นเยี่ยจะได้รับอันตราย”


 


 


หลี่ซื่อหมินพูดกับจั่งซุนด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ ว่า “สถานการณ์เช่นนี้ไม่ควรเกิดขึ้นภายใต้การปกครองของกษัตริย์ผู้ชาญฉลาด ยิ่งเป็นผู้ที่มีความสามารถมากยิ่งสมควรต้องนำมาใช้งานจึงจะถูก เพียงแต่ว่าใต้หล้านี้ก็ยังคงไม่อนุญาตให้ผู้ที่เฉลียวฉลาดเกินคนสามารถดำรงอยู่ได้”


 


 


สองสามีภรรยานิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง


 


 


หลี่ซื่อหมินมองดูฮองเฮาที่ขมวดคิ้วไม่เลิกแล้วจู่ๆ ก็หัวเราะขึ้น “กวนอินปี้ เจ้าไม่ต้องกังวลไม่ว่าเรื่องนี้จะดีหรือไม่ดี ก็เป็นเรื่องดีที่ประเทศได้รับประโยชน์ ผู้คนได้ผลกำไร สำหรับปัญหาหน้าตาของเจ้าหน้าที่กรมโยธานั้นเจ้าไม่ต้องใส่ใจ หรือจะบอกว่าใต้หล้านี้จะไม่อนุญาตให้มีใครที่ฉลาดกว่าพวกเขาอยู่อีกแล้ว ขอเพียงเป็นผลดีต่อต้าถัง เราไม่สนใจเรื่องหน้าตา ไปเจรจากับข่านเจี๋ยลี่ที่สะพานบนแม่น้ำเว่ยเหอ พวกขุนนางกรมโยธายังจะรักษาหน้าอะไรกันอีก เราหวังว่าอวิ๋นเยี่ยจะชนะและหวังว่าเขาจะพัดพาสายลมอันสดชื่นระลอกใหม่มายังตำหนักที่หงอยเหงาเศร้าสร้อยแห่งนี้” 

 

 


ส่วนที่ 5

 

ตอนที่ 35 ความคิดเห็นของหลี่เซี่ยวกง

 

เหล่าขุนนางและแม่ทัพในต้าถังที่มีชื่อเสียงเกือบทั้งหมดอวิ๋นเยี่ยเคยได้พบหมดแล้ว แต่หัวหน้าหน่วยนาวิกโยธินจางเลี่ยงกลับเคยได้พบเขาเป็นครั้งแรก


 


 


 ในฐานะที่เป็นทหารเรืออันดับหนึ่งของต้าถัง เขามีคุณสมบัติที่จะอาศัยอยู่ในตรอกไท่ผิงฟาง แต่เขากลับจงใจเลือกตรองชิงหลงฟางที่อยู่ห่างไกลที่สุดอยู่รวมกับกลุ่มชาวบ้าน ได้ยินว่าเขามีลูกชายหลายร้อยคน ทุกวันแล่นเรือเป็นเสมือนการละเล่นที่สระฟูหรงฉือราวกับฝึกขบวนทหาร


 


 


เมื่ออวิ๋นเยี่ยมองประตูที่ชำรุดทรุดโทรมของบ้านจางเลี่ยง มักรู้สึกว่าบันทึกในหนังสือประวัติศาสตร์นั้นผิดเพี้ยนไปพอสมควร บุคคลที่ใช้ชีวิตเรียบง่ายเช่นนี้จะเป็นคนทรยศหักหลังที่มีชื่อเสียงได้อย่างไร แต่เมื่อคิดถึงว่าชายคนนี้ภายหลังจะถูกหลี่ซื่อหมินสั่งประหารอยู่ที่ถนนเน่าซื่อโข่ว จึงตัดสินใจว่าจะทักทายกับเขาเพียงครั้งเดียว เฉิงฉู่มั่วเดินนำอยู่ข้างหน้าอวิ๋นเยี่ยเดินตามหลัง ยิ่งเดินยิ่งรู้สึกประหลาดใจ ทำไมเดินมานานมากแล้วก็ยังไม่ถึงห้องรับแขกของตระกูลจางเสียที


 


 


พ่อบ้านที่เดินอยู่ด้านหน้าสุดเห็นอวิ๋นเยี่ยเริ่มรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย จึงพูดกับเขาว่า “นายท่านของข้าชอบบ้านที่ค่อนข้างใหญ่เสียหน่อย ครอบครัวมีสมาชิกจำนวนมาก หากเล็กไปจะไม่พออยู่เอาได้ ผู้ที่อาศัยอยู่ในตรอกชิงหลงฟางล้วนแล้วแต่เป็นสหายเก่าของนายท่านทั้งนั้น จะว่าไปแล้วเหล่าขุนนางที่สร้างความชอบในเมืองฉางอันก็ต้องบอกว่าบ้านข้านั้นใหญ่ที่สุด แม้แต่สวนฟูหรงที่อยู่ด้านหลังก็กลายเป็นสวนหลังบ้านของตระกูลข้าไปแล้ว เดินขึ้นไปอีกสองร้อยก้าวก็จะเป็นที่เก็บอาวุธของนายท่าน โหวเหยียน้อย ท่านสนใจอยากจะดูหรือไม่ มันเป็นอาวุธที่ดีที่สุดที่รวบรวมมาจากทั่วทุกสารทิศของต้าถัง ของบางอย่างไม่แน่ว่าในวังจะมี แต่บ้านเรามีครบ”


 


 


อวิ๋นเยี่ยหยุดเดิน เฉิงฉู่มั่วเห็นเขาหยุดจึงคิดว่าเขาอยากจะไปดูของสะสมตระกูลจาง ใครจะไปรู้อวิ๋นเยี่ยพูดกับพ่อบ้านว่า “ต้องขออภัยเป็นอย่างมาก จู่ๆ ข้าก็รู้สึกปวดท้อง นี่เป็นโรคที่สะสมตกค้างมาจากทุ่งหญ้า จำเป็นต้องกลับบ้านเพื่อทานยา วันนี้ขอไม่รบกวนท่านจางแล้ว โปรดอย่าได้ถือสา”


 


 


หลังจากพูดจบก็ลากเฉิงฉู่มั่วออกไปอย่างรวดเร็ว ยามที่หน้าประตูนั้นแปลกใจมาก แต่ก็ไม่ได้รั้งไว้ ได้แต่ปล่อยให้พวกเขาออกประตูใหญ่ไป


 


 


ทันทีที่พ้นประตูใหญ่ อวิ๋นเยี่ยและเฉิงฉู่มั่วก็ขี่ม้าลงแส้แล้วจากไป เฉิงฉู่มั่วนั้นมีคำถามอยู่แน่นอกอยากจะถาม เมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยเงียบเขาก็ไม่ได้ถาม ทั้งสองคนหนึ่งนำหน้าคนหนึ่งตามควบม้ากลับไปที่บ้านตระกูลเฉิง


 


 


“ในต้าถังเรามีใครอาศัยทางน้ำทำมาหากินอีกบ้าง” เพิ่งจะนั่งลง อวิ๋นเยี่ยก็ถามเฉิงฉู่มั่ว


 


 


“บ้านของหลี่หวยเหรินก็อาศัยทางน้ำทำมาหากิน ในตอนนั้นขณะที่บิดาของเขาเป็นผู้บัญชาการทหารอยู่ที่มณฑลขุยโจวนั้นเคยฝึกยุทธการทางทหารเรือที่ทะเลสาบต้งถิงหู ในครอบครัวจะต้องมีคนที่มีความสามารถคุ้นเคยกับเรื่องทางน้ำแน่นอน เสี่ยวเยี่ย ข้าไม่เข้าใจ ตระกูลจางมีคนเก่งเรื่องทางน้ำตั้งมากมาย เจ้าจะไปหาตระกูลอื่นทำไม พวกเราจะเปลี่ยนคนอีกแล้วหรือ”


 


 


ในเวลานี้เอง เฉิงฮูหยินได้เดินเข้ามา ครั้นได้ยินลูกชายถามอวิ๋นเยี่ยเช่นนี้ นางจึงพูดว่า “นั่นน่ะสิ เสี่ยวเยี่ย ตระกูลจางจึงจะเป็นตัวเลือกแรกของเจ้าสำหรับการลำเลียงสิ่งของทางน้ำ ทำไมจึงทิ้งผู้เชี่ยวชาญแล้วเสียเวลามาหาทางแก้ใหม่”


 


 


“ท่านป้าไม่รู้อะไร วันนี้หลานไปที่ตระกูลจางแล้วรู้สึกแย่มาก ถ้าเพียงลานบ้านลึกและบ้านมีขนาดใหญ่ก็ช่างเถอะ ทั้งๆ ที่ครอบครัวร่ำรวยแต่กลับจงใจไม่ตกแต่งใดๆ ดูจากด้านนอกชำรุดทรุดโทรม แต่ด้านในนั้นกลับหรูหราจริงๆ เดินไม่ถึงร้อยก้าวหลานชายก็เห็นดอกไม้และต้นไม้ที่มีค่าหลายชนิดซึ่งล้วนเป็นพันธุ์ไม้ในอุทยานหลวง หินจำลองนั้นก็เป็นหินจากเขาไท่ซัน ของต่างๆ เหล่านี้คนฐานะยากจนสามารถเป็นเจ้าของได้หรือ ในครอบครัวมีลูกเลี้ยงที่รับไว้อย่างไม่เลือกหน้า บอกประมาณว่าคลังอาวุธของเขายังเหนือกว่าของราชสำนัก เห็นได้ว่าปกติแล้วต้องเย่อหยิ่งจองหองเป็นอย่างมาก ตรอกชิงหลงฟางที่กว้างใหญ่มีครอบครัวเขาอาศัยอยู่เพียงครอบครัวเดียวเท่านั้น ชาวบ้านคนอื่นๆ ไปไหนกันหมด


 


 


ท่านป้า บุคคลที่ดูเหมือนจะมีความภักดี ในความเป็นจริงแล้วในใจกลับคิดคดทรยศ พวกเราอยู่ให้ห่างไกลจะดีกว่า ประการแรกคือไม่ควรยั่วยุ ประการที่สองคือไม่กล้าไปยั่วยุ หากได้ข้องเกี่ยวกับคนประเภทนี้มันจะเป็นหายนะสำหรับลูกหลานรุ่นหลัง”


 


 


“เสี่ยวเยี่ย เจ้าอยู่ในบ้านเขาใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูปเสียด้วยซ้ำ ก็สังเกตเห็นสิ่งต่างๆ มากเพียงนี้เลยหรือ ทำไมข้าไม่เห็นจะเจออะไรเลย ข้ายังคิดว่าชายคนนี้มีอัธยาศัยดี รู้สึกถูกใจมาก”


 


 


“ฉู่มั่ว เจ้าจงจำไว้ นับจากนี้ไปอย่าได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับครอบครัวของเขาอีกเป็นอันขาด แม่ทัพคนหนึ่งรับสมัครรวบรวมลูกเลี้ยงห้าร้อยคน เขาคิดจะทำอะไร หน่วยข่าวกรองไม่เคยปล่อยให้ทุกสิ่งในฉางอันรอดสายตา เจ้าคิดว่าฝ่าบาทจะไม่ทรงทราบหรือ หรือไม่ก็ยังไม่ลงมือ แต่ถ้าลงมือเมื่อไหร่มันจะเป็นหายนะครั้งใหญ่”


 


 


เฉิงฮูหยินเขกศีรษะเฉิงฉู่มั่ว พูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เสี่ยวเยี่ย เจ้าเด็กโง่คนนี้ไม่ใช่คนละเอียดอ่อน พวกเจ้าอยู่ด้วยกันบ่อยๆ ช่วยท่านลุงเฉิงของเจ้าดูแลเขาให้มากๆ ด้วย อย่าได้ปล่อยให้เขาก่อเรื่องร้ายแรงขึ้นเด็ดขาด”


 


 


“ท่านป้า พวกเราสองตระกูลยังต้องพูดเกรงใจอะไรกันอีก ข้าเห็นฉู่มั่วเสมือนพี่ชายมาโดยตลอด เรื่องของเขามีหรือหลานชายจะนิ่งดูดายไม่ช่วยเหลือ หลานแนะนำว่าหากตระกูลเฉิงและตระกูลจางยังมีอะไรที่ข้องเกี่ยวกันอยู่ ขอให้รีบตัดไฟแต่ต้นลมจะเป็นการดีกว่า”


 


 


 


 


เฉิงฮูหยินก็เป็นลูกหลานของตระกูลใหญ่ด้วยเช่นกัน มีหรือจะไม่เข้าใจเหตุผลที่แอบแฝง จึงรีบไปที่ลานด้านหลังบ้านเพื่อจัดการเรื่องในบ้าน


 


 


การไปหาหลี่เซี่ยวกงก็ลำบากเช่นกัน เคยกลั่นแกล้งตาเฒ่าไปหลายครั้ง คิดว่าในใจตาเฒ่าคงเก็บกดความโกรธอวิ๋นเยี่ยอย่างอัดแน่นเต็มอก ตอนนี้มีเรื่องไปขอร้อง ไม่รู้ว่าตาเฒ่าจะทรมานตนอย่างไรบ้าง อวิ๋นเยี่ยนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวด คิดหาวิธีการอยู่ในห้องโถงของตระกูลเฉิง


 


 


เฉิงฉู่มั่วไม่ใช่คนที่สามารถนั่งติดที่ได้ จึงเอนนอนบนตั่งพลิกตัวไปมาส่งเสียงอู้อือๆ เหมือนทั่วร่างเต็มไปด้วยเหา


 


 


“ถ้าเจ้าอยากนอน ก็นอนพักสักครู่หนึ่ง พลิกไปพลิกมาทำไมกัน ส่งเสียงครวญครางน่าขยะแขยง” ถูกรบกวนความคิดอีกครั้ง อวิ๋นเยี่ยค่อนข้างโกรธเล็กน้อย หลี่เซี่ยวกงก็มีปัญหาเช่นนี้ ได้ยินหลี่หวยเหรินบอกว่าขณะที่บิดาเขาหลบหนีเอาชีวิตรอดที่เจียงหนานในตอนนั้น ร่างกายเป็นแผลเน่าเฟะ แต่หลังจากแผลรักษาหายแล้ว เขาก็มักจะรู้สึกคันไปทั้งตัวอยู่บ่อยๆ วันๆ ถ้าไม่ให้คนรับใช้เกาให้สักร้อยครั้งจะไม่รู้สึกสบายตัวเลย


 


 


ซุนซือเหมี่ยวดูอาการให้แล้ว อวิ๋นเยี่ยก็เคยดูอาการให้แล้ว ไม่ได้เป็นปัญหาที่ผิวหนัง แต่เป็นเพียงแค่อาการวิตกจริต ได้ยาปลอบใจสักเล็กน้อยก็จะดีเอง แต่ทว่าจะใช้อะไรเป็นยาปลอบใจดีกันล่ะ ในมือก็ไม่มียาอะไรด้วย คงได้แต่ใช้ของจริงแทนแล้ว


 


 


ไม้ไผ่ที่ตระกูลเฉิงปลูกอยู่ที่ด้านนอกหน้าต่างทำให้อวิ๋นเยี่ยเกิดความคิดใหม่ขึ้น


 


 


เสียเวลาไปกว่าครึ่งค่อนวันจึงเตรียมของกำนัลเสร็จ การส่งของขวัญให้ผู้อาวุโสเหล่านี้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามีราคาแพงหรือไม่ หากแต่ขึ้นอยู่กับว่ามีความจริงใจหรือไม่


 


 


หลี่หวยเหรินไปที่หล่งโย่วแล้ว อวิ๋นเยี่ยจึงได้หน้าด้านหน้าทนส่งเทียบคารวะไปยังจวนอ๋องเพื่อขอพบท่านอ๋อง


 


 


ด้วยหน้าตาของอวิ๋นเยี่ยก็ยังพอใช้ได้อยู่ พ่อบ้านจึงออกมาต้อนรับและส่งอวิ๋นเยี่ยกับเฉิงฉู่มั่วไปที่ห้องรับแขกด้วยตัวเอง ได้ยินหลี่เซี่ยวกงพูดขึ้นตั้งแต่ไกล “เจ้าลูกลิงตัวนี้กะล่อนปลิ้นปล้อน ข้าขาดทุนเพราะน้ำมือเขามาหลายต่อหลายครั้งแล้ว ท่านเซียว อย่าได้ให้ภาพลักษณ์ภายนอกของเขามาหลอกลวงได้อย่างเด็ดขาด เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียเปรียบ ถึงตอนนั้นอย่าหาว่าข้าไม่กล่าวเตือนล่วงหน้า”


 


 


แย่แล้ว เขายังมีแขกอยู่ เรื่องประเภทขอยืมคนจะให้พูดต่อหน้าคนอื่นได้อย่างไรกัน อวิ๋นเยี่ยแอบเป็นทุกข์อยู่ในใจ เฉิงฉู่มั่วกลับมองดูของขวัญของอวิ๋นเยี่ยอย่างเป็นกังวล เตรียมพร้อมที่จะก้าวขาโกยอ้าวหากตาเฒ่าอาละวาดขึ้นมา


 


 


ตั่งเตี้ยๆ นั้นมีคนสองคนนั่งอยู่ คนหนึ่งนั้นเตี้ยและแข็งแรง อีกคนนั้นผอมจนเหลือแต่กระดูก ผู้ที่เตี้ยและแข็งแรงคือหลี่เซี่ยวกง ส่วนผู้ที่ผอมแห้งคือซ่งกั๋วกงเซียวอวี่ หากไม่ได้มีเวรกรรมต่อกันคงไม่ได้มาพบกัน เซียวอวี่ที่ครั้งก่อนที่อยู่ตระกูลหลี่แล้วหลอกว่าตั้งใจจะแต่งตำราเองสักเล่ม ตอนนี้ผ่านไปหนึ่งปีกว่าแล้ว ไม่รู้ว่าเขาเขียนออกมาได้แล้วหรือไม่


 


 


“มีเพียงแค่การผ่านมรสุมใหญ่ จึงจะได้เห็นต้นหญ้าที่แข็งแกร่ง มีเพียงแค่การผ่านศึกที่รุนแรง จะแสดงให้เห็นขุนนางภักดี” นี่คือคำวิจารณ์ที่หลี่ซื่อหมินมีต่อเซียวอวี่ ซึ่งก็คือพี่ใหญ่ในกลุ่มพี่ใหญ่ ไม่มีใครที่อวิ๋นเยี่ยจะสามารถล่วงเกินได้ จึงได้แต่เข้าไปคารวะแต่โดยดี “ผู้เยาว์อวิ๋นเยี่ยคารวะท่านอ๋อง เซียวกง ไม่ได้พบกันนานแล้ว ไม่ทราบสุขสบายดีหรือไม่”


 


 


“ยังไม่ตายแน่นอน เจ้าหนุ่ม เดาว่าเจ้าเองก็ควรมาหาถึงบ้านแล้ว ถูกพลองของฮองเฮาเข้าไปเจ้ายังไม่ถึงตายก็นับว่าเก่งมากแล้ว เข้าวังไปเพื่อขอขมาก็จบเรื่องแล้ว แต่เจ้ากลับดื้อด้านยอมหักไม่ยอมงอ ข้าไม่รู้ว่าควรชื่นชมเจ้าหรือด่าเจ้าดี เงินหนึ่งหมื่นก้วนข้าเตรียมไว้ให้แล้ว ลากออกไปตอนกลับออกไปด้วย มีธุระอะไรรอหวยเหรินกลับมาหาพวกเจ้าค่อยไปหารือกัน หากข้าคลุกคลีกับเด็กรุ่นหลังอย่างพวกเจ้า เกรงว่าเงินจะไม่พอจ่ายให้คนอื่นเอา”


 


 


คำพูดเพียงประโยคเดียวของเหลาหลี่ทำให้ดวงตาของอวิ๋นเยี่ยแดงก่ำ คำพูดติดอยู่ในลำคอจนพูดไม่ออก เขายังนึกว่าเหลาหลี่น่าจะหัวเราะอย่างน้อยสองสามคำ คิดไม่ถึงว่าตาเฒ่าจะเป็นห่วงเขาตั้งแต่แรกแม้แต่เงินก็เตรียมไว้ให้พร้อมแล้ว


 


 


อวิ๋นเยี่ยจึงหยิบไม้เกาหลังออกจากแขนเสื้อของเขา นี่คือสิ่งที่เขาประดิษฐ์ขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วนที่บ้านตระกูลเฉิง ไม้ไผ่ยังคงเป็นสีเขียวอยู่แต่ก็สวยงามมาก มีฟันเล็กๆ ห้าซี่ที่โค้งงออยู่ด้านหน้า นำมาเกาแก้คันนั้นถือว่ายอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก


 


 


สองมืออวิ๋นเยี่ยยกไม้เกาหลังส่งไปที่เบื้องหน้าของหลี่เซี่ยวกงพลางพูดว่า “ความปรารถนาดีของท่านลุง หลานจะจดจำขึ้นใจไม่มีวันลืม หลานนั้นมีความรู้ต่ำต้อย จึงได้แต่ทำไม้เกาหลังที่ประดิษฐ์ขึ้นเองมามอบให้ลุงหลี่ หวังว่ามันจะบรรเทาความทุกข์จากอาการคันของท่านลุงได้บ้าง”


 


 


หลี่เซี่ยวกงหัวเราะฮ่าๆ และหยิบไม้เกาหลังมา จากนั้นใส่ไม้เกาหลังเข้าไปใต้คอเสื้อต่อหน้าเซียวอวี่เกาบนหลังของเขาสองสามครั้งแล้วดึงมันออกมาอีกครั้ง แล้วพูดกับเซียวอวี่ว่า “พี่สือเหวิน ข้าเคยบอกท่านแล้วว่าเด็กคนนี้ทำอะไรมักจะถูกใจผู้อื่นมากที่สุด เพียงแค่ไม้เกาหลังอันเดียวกลับเป็นของขวัญที่ดีที่สุดยามพบหน้า หายากจริงๆ”


 


 


เซียวอวี่ลูบเคราแล้วพูดว่า “เจ้าให้เงินเขานับหมื่น เขาคืนมิตรภาพให้เจ้า ทั้งสองอย่างนี้ก็ถือว่าเสมอกันแล้ว นับว่าเป็นการสร้างเรื่องดีงามอีกเรื่องหนึ่งในใต้หล้านี้”


 


 


หลี่เซียวกงหันหลังกลับมาพูดว่า “เจ้าหนุ่ม ธุระเจ้าก็เสร็จแล้ว เจ้ากับเจ้าหนุ่มตระกูลเฉิงไม่ไปทำงาน จะมานั่งอยู่กับคนชราสองคนอย่างพวกข้าทำไมกัน จะต้องให้ข้าเลี้ยงอาหารพวกเจ้าด้วยหรืออย่างไร”


 


 


เรื่องที่กำลังจะมั่งคั่งร่ำรวยนั้นไม่ควรปิดบังแล้ว มิฉะนั้นต่อไปยังจะกล้าเป็นคนอีกหรือ ปล่อยให้คนอื่นพูดว่าตระกูลอวิ๋นแสร้งทำเป็นน่าสังเวชเที่ยวหลอกเอาเงินไปทุกหนทุกแห่ง ใช้เงินของคนอื่นเพื่อทำเงินให้ตัวเอง ด้วยคำครหานี้ ต่อให้อวิ๋นเยี่ยกลายเป็นท่านอ๋องก็ต้องถูกผู้คนใต้หล้ารังเกียจ


 


 


“ท่านลุงอาจไม่รู้อะไรบางอย่าง ฮองเฮาไม่ได้ทำให้ผู้เยาว์ต้องตกที่นั่งลำบาก แต่ได้เปิดโอกาสให้ผู้เยาว์ได้โอกาสขยายกิจการของครอบครัว สร้างความร่ำรวย ที่หลานชายมาเยี่ยมเยียนในครั้งนี้ก็เพราะต้องขอความช่วยเหลือจากท่านลุงจึงจะสามารถทำให้สำเร็จได้ ดังนั้นวันนี้จึงตั้งใจมาเยี่ยมคารวะโดยเฉพาะ”


 


 


นมแพะที่หลี่เซี่ยวกงเพิ่งดื่มเข้าปากพุ่งพรวดออกมาทันที โชคดีที่เขาเป็นนักรบที่มีปฏิกิริยาตอบสนองดี จึงได้รีบหันศีรษะไปอีกด้านได้ทัน นมแพะจึงถูกพ่นลงบนหน้าต่างที่อยู่ด้านข้าง


 


 


หลังจากหายสำลักแล้วเขาก็พูดกับอวิ๋นเยียว่า “เจ้าหนุ่ม อยู่ต่อหน้าข้าไม่จำเป็นต้องฝืนทำเป็นไหว พูดมาตามตรง เจ้าบอกข้ามาว่าเจ้าจะเอาตัวรอดจากเงื่อนตายนี้ได้อย่างไร”


 


 


เซียวอวี่ก็เงี่ยหูของเขา เตรียมตั้งใจที่จะรับฟังวิธีของอวิ๋นเยี่ย เขาไม่เชื่อจริงๆ ว่าจะมีเรื่องที่ไร้สาระเช่นนี้ในใต้หล้านี้ เงินส่วนต่างถึงหนึ่งแสนก้วนเป็นสิ่งที่ใครก็สามารถแก้ปัญหาได้อย่างง่ายดายหรือ สาเหตุหลักที่สุดที่ในวังไม่ได้สร้างตำหนักใหม่ก็เพราะไม่มีเงิน หากฮองเฮาทรงมีหนึ่งแสนก้วนคงสร้างตำหนักไปนานแล้ว พระราชวังไม่ได้รับการบูรณะมาตั้งสมัยสุยหยางตี้แล้ว เขาประทับอยู่ที่ลั่วหยางเป็นเวลาหลายปี ไม่เคยมาที่ต้าซิงเฉิงถึงสิบปี จนกระทั่งเสียชีวิตก็ยังเสียชีวิตในลั่วหยางเมืองหลวงทางด้านตะวันออก


 


 


อวิ๋นเยี่ยไม่ได้พูดอะไรอีกเลย เพียงแค่พูดถึงแผนการของเขาเกี่ยวกับไม้จินซือหนานมู่ ทั้งยังตั้งใจหยิบแผนที่ชี้ให้หลี่เซี่ยวกงและเซียวอวี่ดูโดยเฉพาะอีกด้วย


 


 


หลี่เซี่ยวกงหัวเราะหึๆ อย่างเย็นชา เซียวอวี่ลูบเคราไม่พูดอะไร ทั้งสองต่างมองหน้ากันและกัน หลี่เซี่ยวกงพูดว่า “เจ้าหนุ่ม ขนเงินกลับไปแต่โดยดี สร้างตำหนักแต่โดยดี อย่าได้คิดหาของเล่นที่ไม่น่าสนใจเหล่านั้น หากว่าส่วนต่างมากเกินไป ไปหาพวกตาแก่สักสองสามคนเพื่อช่วยระดมทุนให้เจ้า แล้วไปขอให้ฝ่าบาททรงสนับสนุนเจ้าอีกบางส่วนก็น่าจะพอไหวแล้ว หากอยากร่ำรวยก็ไปหาวิธีอื่น การลำเลียงไม้จินซือหนานมู่กลับมาจำนวนเล็กน้อยนั้นไม่เป็นปัญหา แต่ถ้าอยากลำเลียงมาเป็นจำนวนมากนั้น ยากนัก!”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)