เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 5 ตอนที่ 31-32
ส่วนที่ 5
ตอนที่ 31 ข้อกำหนดบทลงโทษ
อวิ๋นเยี่ยอยากจะจบการสนทนากับจั่งซุนมาก แต่ช่วยไม่ได้ที่จั่งซุนกำลังสนทนาอย่างออกรสชาติ เมื่อเผชิญหน้ากับซากสัตว์ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ คาดว่านางคงจะคิดว่านี่เป็นร่างอวตารของนางตั้งแต่แรกแล้ว นางอยากจะเข้าใจสัตว์ประหลาดยุคก่อนประวัติศาสตร์ประเภทนี้ ซึ่งก็เหมือนมนุษย์ที่ต้องเข้าใจตัวเองเช่นกัน
อาการยามนางลูบโครงกระดูกเริ่มอ่อนโยนขึ้น ทั้งยังดึงปิ่นปักผมออกมาอย่างระมัดระวังเพื่อกำจัดขี้โคลนที่ติดอยู่บริเวณฟันของโครงกระดูก ในซอกฟันมีอะไรติดอยู่คงรู้สึกอึดอัดเป็นแน่ ดูเหมือนว่านางจะรับรู้ได้ จึงไปขยับปากของมันโดยไม่ได้ตั้งใจ
ของบางสิ่งมีคุณสมบัติเป็นสัญลักษณ์ได้ เช่น มังกรซึ่งไม่มีตัวตนจริงๆ มีเพียงโครงกระดูกก็เพียงพอที่จะทำให้จั่งซุนรู้สึกภูมิใจอยู่เป็นเวลานาน
“เจ้าบอกว่ามังกรตัวนี้อดตายหรือว่าตายจากการต่อสู้”
“มีอะไรแตกต่างกันอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะฮองเฮา อย่างไรเสียมันก็ตายแล้ว” ทันทีที่พูดจบอวิ๋นเยี่ยก็รู้ว่ามันไม่ดีแน่นอน จริงดังคาด คิ้วของจั่งซุนขมวดขึ้น แม้แต่หลี่ไท่ก็วางท่าข่มขวัญมองเขาอยู่ด้านข้าง
“ก็ได้ ก็ได้ มังกรตัวนี้ตายจากการต่อสู้ ท่านก็เห็นโครงกระดูกของมันว่ามีรูโหว่ขนาดใหญ่หลายจุด ไม่จำเป็นต้องพูดก็รู้ว่านี่คือบาดแผลที่เกิดจากมังกรตัวอื่นทำร้ายมัน ขอให้ท่านตั้งใจดูให้ดี เมื่อนำฟันวางเข้าไปในช่องว่างนี้มันจะเข้ากันพอดี ซึ่งนี่ก็พิสูจน์ให้เห็นว่ามันได้ผ่านการต่อสู้ที่ดุเดือดอย่างยิ่ง สัตว์ใหญ่สองตัวที่เข่นฆ่ากันในทุ่งหญ้ากว้าง ต้นไม้ใหญ่ขนาดคนโอบรอบได้ถูกชนล้มอย่างต่อเนื่อง เสียงคำรามของพวกมั่นดังสะเทือนทั่วทั้งพื้นที่ สัตว์อื่นๆ ต่างก็พากันหวาดกลัว โผล่หัวขึ้นมาจากพุ่มหญ้าและเฝ้าดูราชาของตนเองอย่างระมัดระวังว่าแท้จริงแล้วใครเป็นฝ่ายเสียท่า เมื่อมังกรตัวนี้ทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือดยืนอยู่บนหน้าผา ร้องคำรามเปล่งเสียงดังกึกก้องเพื่อประกาศชัยชนะของมัน ภาพบรรยากาศนั้นจะต้องงดงามและยิ่งใหญ่มากแน่ๆ “
เพื่อไม่ให้ถูกลงโทษ อวิ๋นเยี่ยได้แต่ต้องแกล้งทำเป็นว่าเขาไม่เห็นร่องรอยของปากแผลที่หายเป็นปกติในภายหลัง
สองแม่ลูกผงกศีรษะด้วยความพึงพอใจ ดูเหมือนว่าหากไม่เป็นเช่นนี้จะไม่เพียงพอต่อการแสดงให้เห็นถึงอำนาจบารมีของราชวงศ์ ท่าทางหลี่ไท่ในตอนนี้ดูต่ำต้อยมาก ดูค่อนข้างคล้ายขันที ดูเหมือนลูกสุนัขที่ยืนพิงอยู่ข้างกายจั่งซุน ทันใดนั้นแววตาก็เปล่งประกายเจิดจรัส พูดกับมารดาของเขาว่า “เสด็จแม่ คำพูดของอวิ๋นโหวนั้นฟังดูไม่มีพลัง การต่อสู้ที่ดุเดือดสะเทือนเลือนลั่นเช่นนี้กลับอธิบายเพียงคำพูดประโยคเดียวเท่านั้น แล้วจะแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่เช่นนั้นออกมาได้อย่างไร ลูกตั้งใจจะหายอดนักปราชญ์สักท่านมาทำการจัดระเบียบการบรรยายของอวิ๋นโหวใหม่อีกครั้งและแกะสลักไว้ในอนุสาวรีย์หินวางไว้ข้างๆ โครงกระดูกมังกรนี้ เพื่อให้คนใต้หล้าเข้าใจว่ามังกรตัวนี้เก่งกล้าและอาจหาญเพียงไหน”
เมื่อจั่งซุนได้ยินเช่นนี้ก็ดีใจมาก ลูบศีรษะหลี่ไท่ด้วยความรักและเอ็นดู หลี่ไท่ยังจงใจโน้มตัวเข้าใกล้มากขึ้นอีกหน่อยเพื่อให้ท่านแม่ลูบศีรษะได้ง่ายขึ้น จนอวิ๋นเยี่ยดูแล้วรู้สึกคลื่นไส้
“การที่มีความแข็งแกร่งเช่นนี้ไม่ควรมีศัตรูตามธรรมชาติใดๆ อวิ๋นเยี่ย ความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งที่อาจารย์เจ้าพูดไว้คืออะไร”
“อุกกาบาต แขกที่มาจากฟากฟ้า อาจารย์บอกว่าใต้หล้านี้ไม่ค่อยสงบสุข ทุกๆ หมื่นปีจะมีหินก้อนใหญ่ลอยมาจากฟากฟ้าและกระแทกกับพื้น เนื่องจากมีความเร็วสูงมาก ทุกครั้งที่กระแทกเข้ามาจะเปลี่ยนโลกของเรา ควันและฝุ่นจากการกระแทกนั้นจะกระจายไปทั่วทั้งท้องฟ้าจนมองไม่เห็นดวงอาทิตย์ พืชบนพื้นดินจะล้มตายและตามด้วยสัตว์กินพืชที่ล้มตาย สิ่งมีชีวิตสุดท้ายก็คือไทรันโนซอรัสเหล่านี้ ผืนดินอันกว้างใหญ่จะถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งหนาๆ ตามที่อาจารย์กล่าวไว้ ช่วงเวลานี้เรียกว่ายุคธารน้ำแข็ง สิ่งมีชีวิตทั้งหมดจะเข้าสู่สภาวะหลับไหล เมื่อรู้ว่าฝุ่นละอองบนท้องฟ้าหายไปเองจนหมดแล้ว ดวงอาทิตย์ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ชีวิตใหม่จึงจะเกิดขึ้นบนโลกนี้”
“ช่างเป็นแนวคิดที่แปลกใหม่อะไรเช่นนี้ อวิ๋นเยี่ย ในวังหลวงมีเหล็กอุกกาบาตลอยลงมาเป็นเวลาเก้าวัน หยวนเทียนกังกล่าวว่ามันเป็นของขวัญจากสวรรค์ที่มอบให้ต้าถัง แต่เจ้ากลับบอกว่ามันเป็นต้นเหตุของความหายนะ เพราะเหตุใดกัน คำพูดของพวกเจ้าสองคนต้องมีคนใดคนหนึ่งผิด หรือว่าผิดทั้งสองคน”
แต่ไหนแต่ไรมาคนตระกูลหลี่นี่ช่างน่ารังเกียจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะที่พูดคุยกับพวกเขา ไม่ว่าเรื่องอะไรจะต้องแบ่งถูกหรือผิดให้ได้ ความรู้เหล่านี้ในยุคปัจจุบันล้วนแล้วแต่อยู่ในขั้นตอนการสำรวจ เจ้าจะให้ข้าให้คำสรุปได้อย่างไร อวิ๋นเยี่ยบ่นพึมพำอยู่ในใจ แต่ไม่สามารถเอ่ยปากออกมาได้
“ฮองเฮา ขอให้ท่านทรงมองเป็นว่ากระหม่อมเล่านิทานให้ท่านฟังก็พอแล้ว ท่านอาจารย์หยวนรอบรู้เรื่องโหราศาสตร์ ฉายาฟันธงไม่ผิดพลาด มีหรือที่ขุนนางตัวเล็กๆ อย่างกระหม่อมจะกล้าไปวิพากษ์วิจารณ์สุ่มสี่สุ่มห้าได้ ทุกอย่างที่เขาพูดจะต้องเป็นจริงอย่างแน่นอน ขอท่านอย่าได้คลางแคลงใจอย่างเด็ดขาด”
ยกยอเหล่าหยวนให้สูงขึ้นอีกหน่อย อย่างไรเสียตระกูลหลี่ก็กำลังยกย่องเขา นักพรตที่สูงส่งนี่นะ จะไม่ให้มีเรื่องแปลกประหลาดสักหน่อยได้อย่างไรกัน หากเผลอไปเปิดโปงความอัศจรรย์ของเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ คนแรกที่จะเอาเรื่องกับอวิ๋นเยี่ยต้องเป็นหลี่ซื่อหมินอย่างแน่นอน ถ้าหากด้วยความโกรธชั่ววูบของหลี่ซื่อหมินสั่งให้อวิ๋นเยี่ยไปเป็นนักพรตเข้าทรงลงเจ้าแทนหยวนเทียนกัง เมื่อคิดถึงสภาพหยวนเทียนกังที่ตอนนี้หน้าประตูมีรถม้ามาเยือนไม่หยุดหย่อน อวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกว่าหากให้ใช้ชีวิตเช่นนั้นแม้เพียงวันเดียว เขาคงต้องฆ่าตัวตายอย่างแน่นอน
“เจ้ามันเป็นคนไหลลื่น มองหาผลประโยชน์ไปทุกที่ กลัวปัญหาทุกอย่าง หากเจ้ามีความตั้งใจจะเป็นขุนนางให้มากกว่านี้อีกสักหน่อย ประชาชนใต้หล้าก็จะมีวาสนาเพิ่มขึ้น”
หากยังเสแสร้งอยู่ต่อหน้าจั่งซุนอีก ไม่เพียงแต่จะผิดต่อตัวเอง แต่ยังผิดต่อจั่งซุนที่คอยถือหางตระกูลอวิ๋นในหลายๆ ด้านอีกด้วย
“ฮองเฮา กระหม่อมเป็นพวกไม่ได้ความ ไม่ค่อยใส่ใจกับการเป็นขุนนางเท่าไรนัก ข้าได้เป็นโหวเหยียธรรมดาๆ ชั่วชีวิตก็ต้องขอบคุณฟ้าดินแล้ว มีหรือกล้าที่จะคาดหวังเรื่องอื่นอีก กระหม่อมดูแลสำนักศึกษาให้ดีและมีลูกอีกสองสามคน สืบทอดตระกูลอวิ๋นให้คงอยู่ตลอดไปก็เพียงพอแล้ว ในราชสำนักมีเหล่าขุนนางก็ดีแล้ว กระหม่อมขอไม่ไปข้องเกี่ยวดีกว่า”
“ก็จริงของเจ้า เจ้ามักมีความคิดแปลกๆ ที่คนอื่นคิดไม่ถึง สามารถแก้ปัญหาได้ แต่ทุกครั้งที่เจ้าแก้ไขปัญหาเรื่องหนึ่งก็มักจะเปลี่ยนแนวปฏิบัติบางอย่างของราชสำนัก ตอนนี้พวกฝางเสวียนหลิงกำลังปวดหัวว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร ข้าได้ยินว่าตรอกซิ่งฮว่าฟางนั้นถือว่าพังเละเทะแล้ว ชาวบ้านยังคงบ่นพูดไม่ยอมเลิกรา ไม่รู้ว่าจะปลอบโยนประชาชนอย่างไรดี เกรงว่าตอนนี้พวกเขาก็คงกำลังปวดหัวอยู่”
“มันก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าประชาวิจารณ์ เรื่องประชาวิจารณ์นั้นสามารถปรับเปลี่ยนได้ด้วยแนวคิดของผู้คน ท่านเพียงแค่สร้างกระแสเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นเรื่องใหม่ แน่นอนว่าจะไม่มีใครคิดเรื่องตระกูลโต้วอีกต่อไป หากท่านเลือกเรื่องได้ดี แม้แต่สุนัขก็จะไม่ไปที่ตรอกซิ่งฮว่าฟางอีกเลย จากนั้นท่านค่อยกลับมาหากระหม่อมให้รับผิดชอบดูแลการสร้างอาคารขึ้นมาใหม่ ราชวงศ์ไม่ต้องเสียอะไรเลยแม้สักนิดก็ได้รับตรอกซิ่งฮว่าฟางที่สมบูรณ์แล้วขายอาคารเหล่านั้นออกไป บางทีมันอาจจะทำเงินได้มาก ท่านทรงเห็นเป็นอย่างไร”
วันแรกที่ตรอกซิ่งฮว่าฟางถูกเผา เหล่าเหอก็กุลีกุจอมาหาอวิ๋นเยี่ยในวันถัดมา ประการแรกคือกังวลว่าอวิ๋นเยี่ยจะเกิดเรื่อง ประการที่สองเรื่องการฟื้นฟูตรอกซิ่งฮว่าฟาง ขณะที่อวิ๋นเยี่ยเป็นห่วงว่าไม่รู้ว่าจะสอดแทรกจากตรงไหนได้บ้าง ใครจะรู้เว่ยเจิงก็โผล่มาข่มขู่อวิ๋นเยี่ย จ่ายเงินหนึ่งหันห้าร้อยก้วนก็สามารถไล่ชาวบ้านที่ไม่ยอมย้ายออกจากพื้นที่ได้ทั้งหมด เหล่าเหอได้ให้เงินเพิ่มอีกจำนวนหนึ่งแก่ชาวบ้านเหล่านั้นเป็นการส่วนตัวและซื้อที่ดินมาอย่างเงียบๆ
อวิ๋นเยี่ยใช้ทองคำหนี่ง**บเพื่อติดสินบนหลี่ซื่อหมิน สิทธิในการก่อสร้างตรอกซิ่งฮว่าฟางใหม่ทั้งหมดก็ตกไปอยู่ในมือของอวิ๋นเยี่ย กรมโยธากำลังเฉลิมฉลองกับการทิ้งภาระขนาดใหญ่และระเบิดออกไปได้ เพื่อเป็นการป้องกันตัวจากอวิ๋นเยี่ยยังได้ยัดเยียดเรื่องแม่น้ำรอบๆ ตรอกซิ่งฮว่าฟางให้อวิ๋นเยี่ยด้วย ถ้าอวิ๋นเยี่ยต้องการสิทธิในการสร้างตรอกซิ่งฮว่าฟาง ก็จำเป็นจะต้องทำความสะอาดแม่น้ำบริเวณรอบๆ ด้วย หลายปีที่ผ่านมาไม่ได้ทำความสะอาดแม่น้ำเลย ดังนั้นจึงเต็มไปด้วยดินเลนตกตะกอนในแม่น้ำจนเรือใหญ่ไม่สามารถผ่านเข้ามาได้
เหอเซ่าไม่รู้ว่าทำไมอวิ๋นเยี่ยจึงรับปากอย่างมีความสุข ทั้งยังแสร้งทำเป็นรับดูแลแม่น้ำทั้งเส้นอย่างสะใจอีกด้วย โดยมีเงื่อนไขเพียงอย่างเดียวคือสร้างท่าเรือสิบแห่ง เมื่อถึงตอนนั้นวัสดุก่อสร้างจะได้เคลื่อนย้ายเข้ามาในเมืองได้อย่างง่ายดาย กรมโยธาได้ทำการศึกษาตลอดทั้งคืนและคำตัดสินสุดท้ายคืออวิ๋นเยี่ยต้องทำการชดใช้ เพื่อชื่อเสียงและชีวิตน้อยๆ ของเขาต้องยอมละทิ้งทรัพย์สิน
ในเวลานี้ไม่ลงมือสังหารตระกูลอวิ๋นให้เต็มทีแล้วจะรอถึงเมื่อไหร่จึงอนุมัติในชั่วข้ามคืน แม้แต่ขนาดของที่อยู่อาศัยก็ถูกกำหนด ซึ่งสามารถสูงกว่ามาตรฐานที่กรมโยธากำหนดได้แต่ห้ามต่ำกว่า
จากนั้นทุกคนก็ไปที่ร้านอาหารที่ตลาดตงซื่อเพื่อฉลองครั้งใหญ่กัน เตรียมสองมือสอดแขนเสื้อยืนรอดูสภาพที่น่าอนาถของอวิ๋นเยี่ย
สีหน้าของจั่งซุนค่อนข้างซีดเซียว จึงเลิกสนใจไทรันโนซอรัสตัวนั้นแล้ว นางอาศัยเพียงแค่ลางสังหรณ์ของผู้หญิงก็รู้ได้ว่ากรมโยธาจบสิ้นแล้ว คราวนี้เกรงว่าแม้แต่เหตุผลที่จะใช้รักษาหน้าตาก็หาออกมาไม่ได้
จึงเร่งอวิ๋นเยี่ยให้กลับไปที่บ้านและอ่านเอกสารของกรมโยธาอย่างละเอียดรอบคอบอยู่หลายครั้ง ตาลายจนจะกลายเป็นขดยากันยุงแล้ว ก็ยังคงดูไม่ออกว่าอวิ๋นเยี่ยคิดหาวิธีทำเงินจากเรื่องนี้ได้อย่างไร แต่ทว่าลางสังหรณ์เช่นนั้นนับวันยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่ยๆ ดูเหมือนว่าคราวนี้อวิ๋นเยี่ยจะทำเงินได้มากมายอีกครั้ง
หลังจากตรึกตรองอยู่นาน จึงได้หยิบพู่กันแล้วเขียนเพิ่มข้อกำหนดลงไปบนเอกสาร พฤติกรรมที่ไม่ดีเช่นนี้ทำให้หลี่ไท่พานรู้สึกละอายเล็กน้อยจนไม่กล้ามองตาอวิ๋นเยี่ย
ตามหลักการแล้ว นั่นเป็นหนังสือสัญญาที่ทำระหว่างตระกูลอวิ๋นและกรมโยธา คนอื่นไม่ควรแก้ไขตามใจชอบ แต่คนอื่นในที่นี้ไม่ได้รวมถึงจั่งซุนไว้ด้วย
แม้ว่าตระกูลอวิ๋นจะไปฟ้องที่ต้าหลี่ซื่อ ก็คาดว่าสุดท้ายแล้วข้อกำหนดนี้ก็ยังคงจะต้องเพิ่มอยู่ดี จะไม่มีทางถูกลบอย่างเด็ดขาด การขาดทุนนี้ต้องก้มหน้ายอมรับอย่างเดียว
“เอ๋ ตำหนักในวังส่วนใหญ่ก็ชำรุดทรุดโทรม โดยเฉพาะตำหนักไท่จี๋ซึ่งอับชื้นและหม่นหมอง เจ้ามักจะบอกอยู่บ่อยๆ ไม่ใช่หรือว่าสิ่งนี้ไม่เป็นผลดีต่อข้า ทั้งยังมีโรคลมฝ่าบาทอีกด้วย ทำไมไม่ใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้สร้างตำหนักใหม่ขึ้นอีกหนึ่งหลังเพื่อใช้ในการหารือราชการระหว่างฝ่าบาทและขุนนาง เจ้าคิดว่าอย่างไร” ในที่สุดจั่งซุนก็หยุดเขียนแล้วถามอวิ๋นเยี่ย
“ฮองเฮาทรงฉลาดปราดเปรื่องจริงๆ กระหม่อมไม่มีอะไรจะพูด สถานที่สำหรับปรึกษางานราชการยังคงเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจสูงสุดของต้าถังเรา มันจึงต้องโอ่อ่าหรูหรา สูงใหญ่และวิจิตรสวยงาม เรื่องวัสดุต้องไม่ใช้ของที่มีตำหนิใดๆ ในทางปฏิบัติจะต้องทำโดยไม่เกิดข้อผิดพลาดใดๆ และไม่ควรออกแบบอย่างขอไปทีด้วย สิ่งที่สำคัญที่สุดคือแม้แต่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ก็จะต้องทำอย่างละเอียดประณีต อาคารจะต้องดูโอ่อ่าหรูหรามีระดับ นี่คือข้อกำหนดเบื้องต้น ฐานรากของอาคารต้องยกสูงจากพื้นอย่างน้อยเก้าจั้ง ตำหนักเก้าประตูจึงจะเหมาะแก่เกียรติของโอรสสวรรค์ ฮองเฮา ตอนนี้ท่านสามารถสั่งให้คนเอาตัวกระหม่อมไปประหารห้าม้าแยกร่างได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
จั่งซุนเองก็รู้สึกว่าเรียกร้องมากเกินไป จึงคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ขณะอยู่ในวังหลวงเราก็รวบรวมเงินไว้ได้ประมาณสามหมื่นก้วน ซึ่งสามารถจัดสรรให้กับเจ้าเพื่อนำมาสร้างตำหนักโดยเฉพาะ คนที่เจียงจั้วเจี้ยนก็ให้เจ้าเรียกใช้ได้ตามแต่ต้องการ เช่นนี้น่าจะไม่มีปัญหาแล้วกระมัง”
“เวลาเล่า ฮองเฮา ท่านคงไม่ใช่ว่าจะไม่มีกำหนดเวลากระมัง”
“สามปี เพียงสามปี นี่คือเวลาที่เราอะลุ่มอล่วยมากที่สุดที่เราให้เจ้าได้”
เมื่อมองดูที่นิ้วมือขาวๆ ทั้งสามนิ้วที่โบกไปมาอยู่เบื้องหน้าต่อ อวิ๋นเยี่ยจึงได้แต่รับปากอย่างขมขื่น
“ฮองเฮา เรื่องนี้ท่านไม่ต้องทรงปรึกษากับฝ่าบาทก่อนหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่าบาทคือเจ้าแห่งแผ่นดิน แต่ละวันมีราชกิจสำคัญให้จัดการไม่หยุดหย่อน เราเป็นประมุขของวังหลัง เรื่องเล็กๆ เช่นการสร้างอาคารยังไม่จำเป็นต้องไปรบกวนฝ่าบาท” พูดตอบอย่างเด็ดขาดมาก สองสามีภรรยาคู่นี้ช่างเหมาะสมกันยิ่งนัก
ล้อรถที่ประทับของจั่งซุนกลิ้งขลุกๆ มุ่งหน้ากลับฉางอันแล้ว
รอให้จั่งซุนจากไปแล้ว อวิ๋นเยี่ยก็พูดกับเหล่าจวงที่พันผ้าขาวไว้ทั้งตัวว่า “ส่งคนไปบอกเหล่าเหอ ไม่ต้องวิ่งเต้นเที่ยวหาเงินแล้ว ราชนิกุลตั้งใจจะจ่ายเงินก้อนแรกให้ เงินของพวกเราเก็บเอาไว้ใช้ทำอย่างอื่น การค้าในทุ่งหญ้านั้นห้ามหยุด โดยเฉพาะที่น่ารื่อมู่แถบนั้น หากพวกเราตัดเงินทุนจุนเจือ พวกนางจะต้องอดตายแน่”
ส่วนที่ 5
ตอนที่ 32 ความยุ่งยากของไม้จินซือหนานมู่
เท้าของอวิ๋นเยี่ยเพิ่งจะเหยียบเข้าฉางอัน จดหมายของน่ารื่อมูก็มาถึงฉางอัน ตัวอักษรเป็นระเบียบงดงามไม่ต้องบอกก็รู้ว่านี่เป็นลายมือของฮ่วนเหนียง ในจดหมายบอกว่าน่ารื่อมู่ไม่แตะข้าวปลาอาหารเลยเพราะอวิ๋นเยี่ยจากมา ยืนมองแดนไกลจากที่สูงทุกวันและหวังว่าคนรักจะกลับมา นางนั้นผอมไปมาก ดูท่าทางแล้วจะมีชีวิตอยู่รอดเกินฤดูใบไม้ผลินี้หรือไม่ก็ยังไม่รู้ ผู้ที่จะรักษาโรคคิดถึงได้ก็มีแต่อวิ๋นเยี่ย หวังเป็นอย่างยิ่งว่าอวิ๋นเยี่ยจะกลับมาที่ทุ่งหญ้าอีกครั้ง
คนโกหก! ด้วยความคึกคักอย่างมากของน่ารื่อมู่ เพิ่งจะถูกผูกไว้กับแผ่นกระดานไม้กำลังจะถูกใช้สิ่วคว้านกะโหลกศีรษะเพื่อทำแก้วเหล้า เพียงชั่วพริบตาก็รู้จักแต่อยู่ด้านหลังผลักอวิ๋นเยี่ยร่ำร้องอยากจะกิน ผู้หญิงเช่นนั้นมีหรือจะกินข้าวไม่ลงเพราะโรคคิดถึง
ท่านย่าอยากรู้อยากเห็นมาก นางเหล่มองอวิ๋นเยี่ยที่กำลังอ่านจดหมาย เห็นเขาประเดี๋ยวส่ายศีรษะยิ้มเจื่อนๆ ประเดี๋ยวมีสีหน้าตกใจ ทั้งยังเขกศีรษะตัวเองไม่ยอมหยุด ดูเหมือนจะเสียใจภายหลังกับคำพูดของตัวเองมาก จดหมายนั้นส่งมาจากกองทัพ แต่ท่านย่ารู้ดีว่ามันไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องการทหารเลย ตัวอักษรด้านบนไม่ใช่ลายมือของผู้ชายและซองจดหมายยังส่งกลิ่นหอมอ่อนของแป้งผัดหน้าด้วย ในกองทัพจะมีสิ่งแปลกประหลาดเหล่านี้ได้อย่างไร
ท่านย่าเดาว่าน่าจะเป็นจดหมายจากผู้หญิงคนหนึ่งส่งมา นางอยากรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นกำลังตั้งครรภ์หรือไม่ สำหรับเรื่องที่ว่านางคือใคร มีฐานะอะไร ท่านย่าไม่ได้อยากสนใจเลย
“หลานรัก ถ้าผู้หญิงคนนั้นมีเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลอวิ๋นอยู่ เจ้าก็รับนางกลับมา ไม่จำเป็นต้องคิดมาก ซินเย่ว์ก็จะไม่โกรธด้วย หากในบ้านใครกล้าปากเสีย ย่าจะถลกหนังคนคนนั้นเสีย”
ท่านย่าอยากจะอุ้มเหลนจนบ้าไปแล้ว ถ้าหากผู้หญิงที่ส่งจดหมายมามีเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลอวิ๋นจริงๆ ยกเว้นเรื่องที่ว่าจะให้เป็นภรรยาหลวงแล้ว เรื่องอื่นจะว่าอย่างไรก็ได้ขอเพียงได้อุ้มเหลน
อวิ๋นเยี่ยยิ้มเจื่อนๆ แล้วส่งจดหมายให้ท่านย่าและพูดว่า “ก็มีผู้หญิงเช่นนั้นจริงๆ เป็นชาวเผ่าทูเจวี๋ย หลานไม่ได้คาดหวังในตัวนางสักเท่าไร เพียงแต่คาดหวังกับชนเผ่าของนางเป็นอย่างมาก ตระกูลอวิ๋นนั้นต่างจากตระกูลอื่นๆ บ้านเรามีเพียงหลานที่เป็นผู้ชายเพียงคนเดียว อยากจะให้แตกกิ่งก้านสาขาคงไม่ได้ จึงได้แต่ต้องลองเสี่ยงที่ผู้หญิงคนนี้เพื่อดูว่าเป็นไปได้ไหมที่จะหาที่อยู่สักแห่งสำหรับตระกูลอวิ๋นบนทุ่งหญ้า”
หลังจากอ่านจดหมายจบ ท่านย่าก็โยนจดหมายไว้บนโต๊ะแล้วทุบโต๊ะดังปัง โกรธจนไม่มีที่ระบาย “ล้วนแล้วแต่เป็นพวกไม่เอาไหนทั้งนั้น ไม่มีแม้แต่การตั้งครรภ์แล้วยังกล้าเอ่ยปากมาขอเงินทุนจุนเจืออีกสมควรแล้วที่ต้องอดตาย”
ตอนนี้คงคุยด้วยเหตุผลต่อไปไม่ได้แล้ว อวิ๋นเยี่ยไม่เคยแม้แต่สัมผัสน่ารื่อมู่ จะให้ตั้งครรภ์ได้อย่างไร หากตั้งครรภ์อวิ๋นเยี่ยจึงจะพิจารณาความสัมพันธ์กับน่ารื่อมู่ใหม่อีกครั้ง ส่วนเรื่องที่ว่าเขาจะกลับไปดูแลเรื่องที่ทุ่งหญ้าหรือไม่นั้น ก็ดูแค่ผลประโยชน์ว่าจะได้มากน้อยเพียงไหนเพียงเรื่องเดียวแล้ว จะไม่ได้ไปให้ความสำคัญอะไรของทุ่งหญ้าเพิ่มเติมเพราะเรื่องความสัมพันธ์อะไรเหล่านั้นอีกแน่
“หลานชาย ชาวเผ่าทูเจวี๋ยล้วนแล้วแต่เป็นพวกไร้น้ำใจไร้รัก ถ้าผู้หญิงคนนี้มีเชื้อสายของตระกูลอวิ๋น พวกเราให้การสนับสนุนนางก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว ตอนนี้ไม่มี เช่นนั้นก็ต้องว่ากันใหม่ ย่าไม่ยินดีที่จะลงทุนลงแรงช่วยคนอื่นเปล่าๆ โดยไม่ได้อะไรเลย”
“ท่านย่า นี่ไม่ใช่เพียงแค่การค้าของครอบครัว หลานยังต้องการใช้นางเพื่อค้นหาวิธีใหม่ในการควบคุมทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่แห่งนี้เพื่อถ้าตังเราอีกด้วย ตอนนี้ต้าถังเราเอาชนะชาวเผ่าทูเจวี๋ยได้แล้ว หากไม่สามารถหาวิธีการที่เหมาะสมมาควบคุมทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่นี้ได้ ไม่ช้าก็เร็วมันก็จะกลายเป็นต้นเหตุของภัยพิบัติอีกเช่นเคย ตระกูลอวิ๋นวางรากฐานการค้าเล็ก ๆ ในทุ่งหญ้าและค้นหาหนทางจึงจะเป็นเรื่องใหญ่ หากสูญเสียการควบคุมพวกนางไป หลานก็จะกำจัดพวกเขาให้สิ้นซากโดยไม่ให้เป็นปัญหาในอนาคต”
“หลานรัก ไปทำงานใหญ่ของเจ้าเถอะ ย่าไม่เข้าใจเรื่องในกองทัพ ขอเพียงเจ้ารู้สึกว่าเหมาะสมก็ทำไป ไม่มีตระกูลไหนที่ตั้งตัวขึ้นได้อย่างราบรื่นหรอก เหตุผลข้อนี้ย่ายังพอรู้อยู่ หากไม่ทุ่มเทอะไรไปก็ไม่มีเหตุผลที่จะได้รับอะไรมา ย่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกกี่ปีกัน เพียงแค่อยากจะเห็นเจ้าปลอดภัยก่อนที่จะหลับตาลง ถ้าหากมีเหลนสักหลายๆ คน ต่อให้ย่าต้องตายตอนนี้ก็มีความสุขแล้ว”
“ต้องมีเหลนแน่นอน กลัวแต่ว่าท่านจะอุ้มไม่ทันเอา ถึงตอนนั้นท่านห้ามบ่นรำคาญนะ” อวิ๋นเยี่ยเห็นว่าท่านย่าค่อนข้างเศร้าซึม จึงยืนข้างหลังนางแล้วกดนวดต้นคอเบาๆ ตอนนี้นางมักจะรู้สึกหนักศีรษะตัวลอยๆ ซึ่งนี่คือสาเหตุที่เกิดจากการครุ่นคิดอย่างหนักมากเกินไปในช่วงเวลานี้
เรื่องการแต่งงานกับซินเย่ว์นั้นท่านย่าได้กำหนดวันแล้ว โอกาสเหมาะคราวที่แล้วถูกอาจารย์อวี้ซันทำพังไป ท่านย่ายังคงฝังใจเรื่องนี้อยู่และคิดว่าชายชราเป็นดาวแห่งความอับโชค ระยะนี้จึงไม่ค่อยสนใจไปมาหาสู่อะไรกับเขานัก
หลายวันก่อนอาจารย์มาพูดคุยกับตระกูลอวิ๋นเรื่องที่จะนำผ้าปักมาแลกเปลี่ยนน้ำหอม เรื่องราวเรียบร้อยดี มีความสุขมาก เห็นแก่หน้าซินเย่ว์ ตระกูลอวิ๋นก็ไม่ได้สร้างความลำบากใจอะไรให้กับญาติตนเอง ให้ราคาที่ดีที่สุดและอำนวยความสะดวกอย่างที่สุด ถึงจะนำน้ำหอมไปก่อนแล้วค่อยส่งผ้าปักมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้
ท่านย่ามองซินเย่ว์แล้วยิ้มแย้มเบิกบาน เมื่อหันไปมองอาจารย์อวี้ซันก็โกรธจัด ทำให้เขาคิดไม่ตกว่าตัวเองไปล่วงเกินหญิงชราผู้นี้ให้ขุ่นเคืองได้อย่างไร ซินเย่ว์เอาแต่หน้าแดง ก้มหน้าไม่พูดอะไร อาหญิงเมื่อเดินออกมาก็หัวเราะจนแทบจะขาดอากาศหายใจแล้ว
เมื่อได้รับผลประโยชน์จากตระกูลอวิ๋นแล้วก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนบ้าง ท่านย่าจึงขอให้อาจารย์หลี่กังไปแจ้งวันจัดพิธีสมรสแก่ฝ่ายหญิง ทั้งยังมอบของขวัญมากมายรวมถึงห่านป่าใหญ่อีกหนึ่งตัวด้วย เหล่าจวงลากสังขารบาดเจ็บของตนนำคนไปเฝ้าอยู่ริมแม่น้ำสองวันกว่าจะเหวี่ยงแหจับได้มาสิบกว่าตัว จากนั้นเลือกหนึ่งตัวที่แข็งแรงที่สุดและส่งมาให้ การทำงานของอาจารย์หลี่กังนั้นรวดเร็วฉับไว ไปตอนเช้าและกลับมาตอนเย็น ไปกลับยังใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็สามารถจัดการทุกอย่างได้อย่างเรียบร้อย บอกท่านย่าว่าวันที่สองเดือนสี่เป็นวันที่ดี เช่นนั้นก็ใช้วันนี้ก็แล้วกัน
อวิ๋นเยี่ยเคยเห็นหนิวเจี้ยนหู่ไปแจ้งฤกษ์ฝ่ายหญิง พิธีรีตองต่างๆ วุ่นวายมากมาย ใช้เวลาสองวันกว่าจะเสร็จสิ้น ไม่รู้ว่าทำไมเมื่อถึงคราวของเขาจึงจัดการเสร็จอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาหนึ่งชั่วยามก็จัดการเรื่องทุกอย่างเสร็จสิ้นเรียบร้อย
อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าเมื่อเหลาหลี่ไปถึงตระกูลซิน ก็เอาห่านป่าตัวใหญ่ยัดเยียดใส่ในมือของอวี้ซัน แล้วบอกให้เขาเตรียมแต่งหลานสาวของเขาในวันที่สองเดือนสี่ จากนั้นพวกเขาก็นั่งลงเพื่อดื่มน้ำชา ฝากงานเล็กๆ น้อยๆ จากนั้นก็ประสานมือกล่าวลา เพียงแต่คนแบกของขวัญของตระกูลอวิ๋นไปอยู่ที่ไหนแล้ว ไม่เห็นมีใครกลับมาสักคน ถูกโจรป่าปล้นหรือ
คำพูดเหล่านี้ไม่กล้าถามหลี่กัง ระยะนี้เขาไม่พอใจอวิ๋นเยี่ยเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพฤติกรรมการสอนหนังสือที่ลุ่มๆ ดอนๆ ในสำนักศึกษาของเขาอย่างที่สุด สวี่จิ้งจงนั้นปรับตัวเข้ามามีบทบาทอย่างรวดเร็ว มีเพียงอวิ๋นเยี่ยที่กลับเมืองหลวงมาทำสิ่งที่ไร้ประโยชน์ ที่สามารถโค่นล้มตระกูลโต้วได้มันก็แค่เหตุบังเอิญ หากไม่เป็นเพราะการจลาจลของชาวบ้าน ศีรษะของอวิ๋นเยี่ยก็คงได้แขวนอยู่ที่ประตูเมืองให้ชาวประชาได้ชื่นชม
“เจ้าหนุ่ม สำนักศึกษาต้องการความเสถียรภาพ อย่าสร้างพายุฝนฟ้าคะนองให้บ่อยนัก นี่ไม่ใช่สภาพแวดล้อมการเรียนรู้ การอยู่อย่างสงบสุขรักใคร่ปรองดองจึงจะเป็นวิถีแห่งการเรียนรู้ คราวนี้ข้ารีบร้อนตัดสินใจการแต่งงานก็หวังว่าหลังจากแต่งงานแล้วเจ้าจะทำตัวสงบเสงี่ยมขึ้นบ้าง อย่าได้เข้าไปคลุกคลีกับข้อพิพาทในราชสำนักให้บ่อยนัก เพราะที่นั่นคือบ่อโคลนที่เลอะเทอะ ไม่มีถูกหรือผิด ท่ามกลางเสียงที่ถกเถียงกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เจ้าจะพบว่าอายุได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อถึงเวลาที่เจ้าหันหลังกลับช่วงเวลาที่ดีที่สุดได้หายไปอย่างเงียบๆ แล้ว และมันก็สายเกินไปที่จะทำอะไรบางอย่างที่ยิ่งใหญ่ ตอนนี้ข้ามองย้อนกลับไปในอดีตเกี่ยวกับความโง่งมในการเข่นฆ่ากันในวงการราชการในสมัยวัยหนุ่ม รู้สึกเสียใจภายหลังเจ็บปวดเหลือคณา ข้าไม่อยากให้เจ้าเดินตามรอยเท้าข้า”
หากบอกว่าตอนนี้สำนักศึกษาคือรากฐานชีวิตของอวิ๋นเยี่ย เช่นนั้นสำหรับหลี่กังแล้วสำนักศึกษาก็คือทุกสิ่งสำหรับเขา อายุเจ็ดสิบกว่าปีแล้วจึงได้พบกับสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตัวเอง อุดมคติและหยาดเหงื่อแรงใจของเขาได้ทุ่มเทลงไปจนหมดสิ้น หวังเพียงว่าจะได้เห็นดอกไม้ที่เบ่งบาน
“อาจารย์หลี่ ข้าเองก็ต้องการซ่อนตัวอยู่ในสำนักศึกษาไปตลอดชีวิต สั่งสอนและให้การศึกษาแก่ศิษย์ ยามว่างก็หาเรื่องสนทนาอย่างสนุกสนาน นั่งดูฟ้าคำรามที่น่าหวาดกลัว ชื่นชมการต่อสู้ของเหล่าผู้กล้า สัมผัสรสชาติหลังจากลิ้มชิมรสเหล้า เมื่อนึกถึงสิ่งเหล่านี้ข้าเองก็อยากทำเช่นนั้นมาก แต่ฝ่าบาทไม่ทรงอนุญาต คราวก่อนเรื่องตระกูลโต้ว อาจารย์เองก็เป็นผู้มากด้วยน้ำใจ ข้ามีช่องว่างที่จะปฏิเสธด้วยหรือ”
เมื่อพูดจบ ก็หยิบสัญญาที่เขาทำขึ้นกับกรมโยธาออกมาให้หลี่กังดู
แรกเริ่มที่อ่านสีหน้าหลี่กังดูสงบนิ่ง คนในกรมโยธาเป็นคนประเภทไหนเขาย่อมรู้ดี เรื่องเช่นนี้ไม่น่าเป็นปัญหาสำหรับอวิ๋นเยี่ย แต่เมื่อเขาเห็นข้อตกลงเพิ่มเติมที่ฮองเฮาเขียนลงไป จึงโกรธขึ้นในทันใด นี่เป็นสัญญาที่ไร้ความยุติธรรมให้กล่าวถึงเลยฉบับหนึ่ง ในใต้หล้านี้ไม่มีใครที่สามารถใช้เงินสามหมื่นก้วนเพื่อสร้างตำหนักขึ้นมาได้หรอก ไม่มีอย่างเด็ดขาด
“เจ้าไปล่วงเกินฮองเฮาเมื่อไหร่กัน”
“ไม่ได้ล่วงเกิน ในทางกลับกัน ฮองเฮามีแต่รักและเอ็นดูข้ามากกว่าเดิมมาโดยตลอด นางไม่ได้ประสงค์ร้ายต่อข้าเลย ไม่เคยเลย ข้าคิดว่าต่อไปก็จะไม่มีด้วย ต้องบอกว่าบุคคลผู้ที่คู่ควรให้ข้าเคารพมากที่สุดในวังก็คือฮองเฮา”
“ถ้าเป็นเช่นนั้น ทำไมถึงมีเงื่อนไขนี้ในสัญญา”
“ข้าคงพูดได้แค่ว่าฮองเฮาทรงเข้าใจข้ามากจริงๆ กลัวว่าข้าจะกำไรมากเกินไปและถูกคนอื่นเกลียดแค้น หน้าตาของกรมโยธาคงดูไม่ได้ ถ้าหากข้าทำเงินจำนวนมากด้วยวิธีการที่เรียบง่าย ทั้งเบื้องบนและเบื้องล่างของกรมโยธานอกจากพร้อมใจกันยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่ง ท่านคิดว่าพวกเขามีทางเลือกที่สองที่จะเดินหรือไม่”
จนถึงตอนนี้อวิ๋นเยี่ยก็ยังคงประหลาดใจมาก ทำไมขุนนางกรมโยธาจึงคิดว่าจะไม่สามารถทำเงินในการสร้างอาคารหนึ่งหลังบนถนนที่คึกคักในเมืองที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้านี้ได้ หากนักธุรกิจในยุคปัจจุบันรู้ว่ามีโอกาสเช่นนี้ จะต้องแย่งกันจนเลือดตกยางออกตั้งนานแล้ว ยังจะมีโอกาสที่จะให้อวิ๋นเยี่ยถูกคนอื่นดัดหลังได้อีกหรือ
“เจ้าหนุ่ม เจ้าคงไม่คิดว่าจะสามารถสร้างตำหนักหลักได้ด้วยเงินสามหมื่นก้วนจริงๆ หรอกนะ” หลี่กังได้ยินอวิ๋นเยี่ยพูดเช่นนี้ก็ไม่ได้รู้สึกร้อนรนอะไร เพียงแต่เป็นห่วงเท่านั้น
“ไม้หนานมู่ที่ดีที่สุด เพียงแค่เสาคานอย่างน้อยก็ต้องมีแปดสิบเอ็ดต้น ทั้งยังต้องเป็นขนาดใหญ่ขนาดเท่าคนโอบด้วย ตรงกลางห้ามมีรอยต่อ ห้ามมีตำหนิ เพียงแค่ของสิ่งนี้ก็มีราคาหลักหมื่นก้วนแล้ว ยังไม่แน่ว่าจะหาต้นที่เหมาะสมจะใช้ได้ด้วย”
ไม้หนานมู่ขึ้นชื่อว่าเป็นไม้พันปีไม่ผุพัง สีของมันเป็นสีส้มเหลืองอ่อนค่อนไปทางสีเทา เนื้อไม้ลวดลายเป็นเส้นละเอียดดังไหมทอง คุณสมบัติเป็นไม้เนื้ออ่อนและชุ่มชื่น ไม่มีการหดตัว หากโดนฝนจะส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ออกมา ซึ่งเป็นวัสดุที่ดีที่สุดในการใช้เป็นเสาคานตำหนักในพระราชวัง ไม้หนานมู่ที่คุณสมบัติที่ดีที่สุดคือไม้จินซือหนานมู่ ซึ่งเป็นไม้หนานมู่ที่แปลกประหลาด บางต้นมีลายสีทองด้านบนตามธรรมชาติ ซึ่งก็คือที่บอกว่าหาได้ยากมาก เพียงแต่ไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหนเท่านั้นเอง ค่าใช้จ่ายในการขนส่งไปยังฉางอันนั้นแน่นอนว่าต้องเป็นที่น่าตกใจ มันมีราคาหลักหมื่นก้วนอย่างที่ท่านบอกจริงๆ”
“แล้วเจ้ายังจะกล้ารับงานชิ้นนี้อีกหรือ เกรงว่าแม้ทุ่มเงินทั้งหมดที่เจ้าได้กำไรมาจากตรอกซิ่งฮว่าฟางก็ยังขาดอีกมากมาย” หลี่กังเริ่มหงุดหงิดอีกครั้ง
“อาจารย์กังวลเกินไปแล้ว ไม้จินซือหนานมู่ที่แดนเสฉวนนั้นมีอยู่จำนวนมาก มากจริงๆ อย่าว่าแต่ต้องการร้อยกว่าต้นเลย หากอยากได้สักหนึ่งพันต้นก็ไม่ได้ยากอะไร ข้ายังคาดหวังว่าจะขนไม้จินซือหนานมู่ไปฉางอันให้มากขึ้นอีกสักหน่อยเพื่อไปค้นหาคนร่ำรวยเหล่านั้นแลกเปลี่ยนเป็นเงิน เอามาเป็นค่าใช้จ่ายในการสร้างตำหนักเพิ่มเติม”
“เจ้าหนุ่ม เจ้าบ้าไปแล้ว แม้ว่าเจ้าจะพบต้นหนานมู่หนึ่งพันต้น แล้วจะขนต้นไม้เหล่านั้นออกมาจากภูเขาได้อย่างไร ไม่ต้องพูดถึงว่าเจ้าจะต้องบุกป่าปีนเขาและขนมันกลับมาจากสะพานไม้ทางเดินแคบๆ บริเวณหน้าผาจากแดนเสฉวน เจ้ารู้หรือไม่ว่าต้องมีคนตายมากมายเท่าไร ข้ายินดีให้เจ้าไปขอพระราชทานอภัยโทษจากฮองเฮา ก็ไม่อนุญาตให้เจ้าทำเรื่องที่ชวนให้ฟ้าพิโรธชาวประชาโกรธเช่นนี้แน่”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น