เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 5 ตอนที่ 28-30
ส่วนที่ 5
ตอนที่ 28 ทะเลไร้คลื่น
จั่งซุนรู้สึกเสพสุขกับความกตัญญูที่ไม่ขาดตกบกพร่องของหลี่ไท่โดยไม่ปฏิเสธหรือให้กำลังใจ เพียงแต่เสพสุขกับช่วงเวลาแห่งความอ่อนโยนที่หาได้ยากนี้อยู่ในใจ นางเองก็ชอบบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาของสำนักศึกษาโดยไม่รู้ตัว
นางชอบพระอาทิตย์ขึ้นตรงปากทางเข้าของเขาอวี้ซันในทุกๆ วัน ความรู้สึกอ่อนโยนของสายลมเย็นชุ่มชื่นที่พัดผ่านใบหน้าของนางทำให้นางเคลิบเคลิ้ม เห็นท่าทางหลี่ไท่ที่ถ่อแพไม้ไผ่อย่างเงอะงะ เหงื่อออกเต็มศีรษะ ในใจก็มีความสุขมาก แต่กลับบอกให้หลี่ไท่ถ่อแพให้เร็วขึ้นอีกหน่อย อย่าปล่อยให้ปลาหลีฮื้อหางสีแดงว่ายน้ำหนีไปได้
เที่ยวเล่นจนเหนื่อยแล้วก็กลับไปยังสำนักศึกษาและเข้าฟังหลี่กังบรรยายเรื่องใจความหลักของอู่จิง[1] เป็นครั้งแรกที่พบว่าในกะโหลกศีรษะอันใหญ่ของผู้เฒ่าผอมแห้งคนนี้มีสติปัญญามากมายถึงเพียงนี้ ได้ยินว่าอวี้จอมโง่ (ตอนนี้ในใจนางก็เรียกพ่อลูกตระกูลอวี้ฉือเช่นนี้ เพียงแต่เรียกอยู่ในใจ ไม่ได้เรียกต่อหน้าผู้คนเท่านั้น) ตื่นเต้นจนพูดตอบอย่างติดอ่างเนื่องจากการปรากฏตัวของนาง
บทกวีโบราณ‘จื้อฮู่’ดีดีที่เป็นเรื่องการพำนักในต่างแดนที่แต่งขึ้นในยุคแรกๆ ที่ว่า เมื่อไปถึงยอดเขาเอินหลง ก็ยังคงเหมือนเสียงพ่ออยู่ใกล้ๆ ทั้งเช้าค่ำลูกพ่อเร่งเดินทางไกล อยากขอให้เจ้ารีบหวนคืน ท่องผิดเกือบทุกคำ กัดริมฝีปากของตัวเองจึงฝืนไม่ให้หัวเราะออกมาได้ เบิกตากว้างเพื่อรอดูว่าหลี่กังจะลงโทษเว่ยฉือเป่าหลินอย่างไร เช่นเดียวกับเมื่อสมัยยังเป็นเด็กที่พี่ชายหลายคนซึ่งเป็นลูกท่านลุงเรียนหนังสือไม่รู้เรื่องและถูกอาจารย์ลงโทษ ซึ่งดูเหมือนว่านี่เป็นความสนุกเพียงอย่างเดียวในวัยเด็กของนาง
ผิดหวังมากเลย หลี่กังไม่เพียงแต่ไม่ตีอวี้ฉือเป่าหลิน แต่กลับพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เมื่อวานนี้เป่าหลินได้ทบทวนการบ้านที่ข้ามอบหมายอย่างละเอียดดีมาก ข้ารู้สึกพอใจมาก เพียงแต่ยังมีข้อบกพร่องเล็กน้อยคราวหน้าขอให้พยายามมากกว่านี้อีกหน่อย”
จั่งซุนเบ้ปาก เห็นได้ชัดว่าลำเอียง ตาเฒ่าก็เรียนรู้วิธีที่จะทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวแล้ว ไม่รู้ว่าอวี้ฉือกงให้ผลประโยชน์อะไรเขา เขาจึงได้พยายามดูแลลูกชายของตระกูลอวี้ฉือถึงเพียงนี้
เมิ่งโหย่วถงลุกยืนขึ้นอย่างภาคภูมิใจและท่องกลอนบทกวีจื้อฮู่ในบทเว่ยเฟิง ของคัมภีร์ซือจิงออกมาอย่างคล่องแคล่ว เพียงแค่ท่องตกไปคำเดียว หลี่กังโกรธมากในทันใด เขายกแผ่นไม้ไม้ไผ่ขึ้นมาและฟาดลงไปที่มือซ้ายของเมิ่งโหย่วถงอย่างแรง เจ็บมากจนเมิ่งโหย่วถงเบ้ปาก สูดลมหายใจเข้า แต่กลับไม่กล้าร้องออกมา
นักเรียนทุกคนในสำนักศึกษารู้หลักการข้อนี้ดี หากใครทนรับไม้ของอาจารย์หลี่ไม่ได้แล้วกล้าตะโกนร้องออกมา จะโดนลงโทษเพิ่มเป็นสองเท่า
นี่มันไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย จั่งซุนดูจนคิ้วขมวดชนกันแล้ว เตรียมที่จะยืนขึ้นและต่อว่าหลี่กัง อวี้ฉือเป่าหลินท่องออกมามีข้อผิดพลาดมากมาย หลี่กังกลับชื่นชม เมิ่งโหย่วถงท่องผิดพลาดเพียงคำเดียวก็โดนลงโทษแล้ว ดูเหมือนว่ามือจะต้องโดนตีจนบวมแน่
พริบตาเดียว เมื่อคิดได้จึงนั่งลงและฟังการบรรยายต่อไปจนจบ หลี่กังนั้นบรรยายบทเรียนได้อย่างละเอียด มีชีวิตชีวา บทกวีโบราณที่น่าเบื่อและเข้าใจยากกลับถูกเขาอธิบายได้อย่างออกรสออกชาติ ชวนให้น้ำตาไหลริน มหาปราชญ์ก็คือมหาปราชญ์ ซึ่งอาจารย์สอนหนังสือในบ้านของท่านลุงตัวเองยังห่างไกลนักที่จะไปเทียบชั้นได้
การบรรยายบทเรียนจบลง หลี่กังและจั่งซุนออกจากห้องเรียน เหลาหลี่พูดกับจั่งซุนว่า “เมื่อครู่กระหม่อมเห็นฮองเฮาทรงต้องการจะตรัสอะไรแต่ก็หยุดไป คาดว่าคงทรงเห็นกระหม่อมเข้าข้างอวี้ฉือเป่าหลินมากเกินไป แต่กลับดุด่าเมิ่งโหย่วถงรุนแรงเกินไปกระมัง”
“เมื่อครู่ก็คิดเช่นนั้น หลังจากที่เจ้าถามประโยคนี้ก็รู้ว่าเราอาจจะผิดไป เรื่องการอบรมสั่งสอนท่านย่อมเป็นปรมาจารย์แห่งยุค หวังว่าจะช่วยคลายสงสัย ทำเช่นนี้มีเป้าหมายอะไรหรือไม่”
จั่งซุนอยากรู้มากว่าการจงใจลำเอียงให้กับนักเรียนคนหนึ่งเช่นนี้ จะส่งผลร้ายต่อนักเรียนคนอื่นหรือไม่
“ฮองเฮาทรงได้รับการยกย่องเป็นยอดหญิงที่มีพรสวรรค์ตั้งแต่สมัยทรงพระเยาว์ มีหรือจะไม่ทรงทราบว่าการสอนหนังสือย่อมต้องสอนเหตุผลก่อน อวี้ฉือเป่าหลินพื้นฐานเป็นเด็กที่โง่เขลา สิ่งที่เด็กคนอื่นท่องเพียงสามครั้งก็สามารถจำได้ เด็กคนนี้ต้องท่องถึงสามสิบครั้งและไม่แน่ว่าจะจำได้ด้วย การแสดงออกของเขาในชั้นเรียนวันนี้คงจะดีกว่านี้ถ้าพระองค์ไม่ได้ทรงประทับอยู่ที่นี่ จะเห็นได้ว่าเมื่อวานนี้เขาทบทวนการบ้านอย่างหนักจริงๆ
กระหม่อมสอนให้การศึกษาแก่คนมานานหลายสิบปี พบนักเรียนที่ฉลาดแต่กำเนิดจำนวนนับไม่ถ้วน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือสุยหยางตี้หยางก่วง ในอดีตเมื่อสมัยอยู่ในวัง อธิบายเพียงหนึ่งสามารถอนุมานเรื่องอื่นได้อีกมากมาย ยังไม่เพียงพอที่จะอธิบายความเฉลียวฉลาดของเขาได้ สุดท้ายลงเอยอย่างไร กระหม่อมคงไม่ต้องอธิบายให้มากความ ใช้ชีวิตสำมะเลเทเมาและฟุ่มเฟือยจนสูญสิ้นแผ่นดิน ประเทศที่เจริญรุ่งเรืองกลับถูกทำลายจนไม่เหลือชิ้นดี ประชาชนตกอยู่ในความทุกข์ยากเหลือแสน
ทุกครั้งที่กระหม่อมคิดถึงเรื่องนี้ ก็รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวอย่างสุดใจ ถ้าหากกระหม่อมไม่เพียงแค่ใส่ใจกับความรู้ที่ไร้ประโยชน์เหล่านั้น แต่ใส่ใจกับเรื่องการฝึกฝนด้านศีลธรรมของเขาให้มากกว่านี้ อาจจะไม่มีคนตายมากมายถึงเพียงนี้
เมิ่งโหย่วถงนั้นไม่เหมือนกับเป่าหลิน คุณสมบัติของเขาไม่เลว แต่น่าเสียดายที่ไม่ค่อยตั้งใจจริง มักจะคิดว่าด้วยความฉลาดเล็กน้อยของเขาจะสามารถแสดงความเก่งกาจต่อหน้านักเรียนทั้งชั้นได้ โอ้อวดความรู้ที่ตนเองยังไม่ชำนาญทั้งยังภาคภูมิใจกับสิ่งนี้ ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่กระหม่อมไม่สามารถยอมรับได้อย่างเด็ดขาด การลงโทษเขาจึงกลายเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ “
หลังจากฟังคำพูดของหลี่กังแล้ว จั่งซุนคารวะหลี่กังและพูดอย่างจริงจังว่า “อาจารย์หลี่สมแล้วที่เป็นปรมาจารย์แห่งยุค หลักการถ่ายทอดความรู้แก่ผู้อื่นก็วิเศษยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง ท่านวิเคราะห์นิสัยของนักเรียนราวกับตาเห็น เราเทียบไม่ได้ จึงขอรับคำสอนนี้ไว้”
หลี่กังหลีกเลี่ยงพิธีรีตองของฮองเฮาและพูดกับฮองเฮาอีกครั้งว่า “บุตรชายของท่านเป็นเด็กที่โดดเด่นที่สุดในสำนักศึกษานี้ หากพิจารณาแต่เพียงเรื่องการเรียนรู้ แม้อวิ๋นเยี่ยก็ยังด้อยกว่าหลายส่วน การคิดวิเคราะห์อันยอดเยี่ยมของหลี่ไท่ ความยืนหยัดต่อสู้ไม่ย่อท้อของหลี่เค่อ ต่างก็เป็นคุณสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดในสำนักศึกษาแห่งนี้ คิดว่าสองวันนี้ฮองเฮาก็คงสัมผัสได้กับการเปลี่ยนแปลงของเด็กสองคนนี้ ความดีนับร้อยความกตัญญูมาเป็นหนึ่ง สามารถกตัญญูต่อบิดามารดา พี่น้องรักใคร่สามัคคี ดังที่กล่าวกันว่าครอบครัวที่ดีย่อมไม่มีบุตรหลานที่เลวร้าย เด็กเช่นนี้หากจะเลวร้ายก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากมายแน่ ข้านั้นเต็มไปด้วยความคาดหวังกับอนาคตของเด็กสองคนนี้”
ขอเพียงแค่เป็นผู้ปกครองที่ได้ยินคนอื่นชื่นชมลูกของตน มีหรือจะไม่ดีใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลี่ไท่ที่ได้อันดับหนึ่งในการสอบใหญ่ของสำนักศึกษาถึงสามครั้งแล้ว ได้ยินว่าสำนักศึกษาจะมอบเงินสองก้วนเป็นรางวัลให้เขาโดยเฉพาะ โดยเรียกว่าเงินรางวัล
เงินที่หลี่ไท่มอบให้กับคนขับรถม้าเป็นรางวัลยังมากกว่าสองก้วนเสียอีก แต่เงินจำนวนสองก้วนที่ได้มาจากหลี่กังดูราวกับว่าได้รับเงินมาหนึ่งหมื่นก้วน ยิ้มไม่ยอมหุบตั้งแต่เช้า ทำให้นักเรียนคนอื่นอิจฉาตาร้อนเป็นอย่างมาก
ในสำนักศึกษามีกฎแปลกๆ อยู่ข้อหนึ่ง ขอเพียงเป็นเหรียญทองแดงที่เป็นรางวัลของสำนักศึกษาสามารถซื้อสิ่งของที่ไม่สามารถหาซื้อได้ตามปกติได้ เช่น สามารถใช้เงินหนึ่งก้วนเพื่อขอให้อาจารย์หลี่กังเขียนภาพอักษรให้ตนเองได้ ต้องบอกไว้ก่อนว่า ตั้งแต่สิบปีก่อนหลี่กังก็ไม่เคยเขียนภาพอักษรให้ใครอีกเลย
หรือขอให้อาจารย์อวี้ซันเขียนคำไว้อาลัยให้บรรพบุรุษของตัวเอง โดยปกติมีแต่ราชนิกุลเท่านั้นจึงจะมีโอกาสเช่นนี้ หรือไม่เช่นนั้นก็สามารถขอให้อาจารย์หยวนจางแกะสลักตราประทับชื่อตัวเอง ภาพวาดเหมือนคนของอาจารย์หลีสือก็ยอดเยี่ยมมาก ถ้ามีเงินหนึ่งก้วนแล้วขอให้อาจารย์หลีสือวาดภาพของตนเองสักภาพก็ถือเป็นอะไรที่หาได้ยากยิ่ง ทักษะการวาดภาพของอาจารย์หลีสือนั้นสามารถเทียบชั้นได้กับจิตรกรเอกจันจื่อเฉียน
หลี่ไท่ใช้เงินหนึ่งก้วนเพื่อขอให้อวิ๋นเยี่ยปรุงอาหารหนึ่งมื้อให้มารดาเขา อาหารต้องไม่น้อยกว่าแปดชนิดและต้องมีอาหารจานหลักด้วย
อวิ๋นเยี่ยนอนหลับอย่างสบายอยู่ที่บ้าน ไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นเลยและเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ด้วย ขอเพียงแค่เขาคิดว่าจะออกไปข้างนอกเพียงเล็กน้อย อี้เหนียงที่ดูแลเขาก็เม้มปากร้องไห้หนัก น้องสาวคนอื่นๆ ก็จะวิ่งกรูออกมา บ้างก็เกาะขา บ้างก็ดึงเสื้อผ้า เพราะกลัวว่าเขาจะออกไปสร้างปัญหา
จนถึงตอนนี้ ซินเย่ว์ที่ยุ่งวุ่นวายอยู่กับงานบ้านก็เข้ามากับเขาด้วย มองอวิ๋นเยี่ยด้วยน้ำตาคลอ ยังไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่เห็นซินเย่ว์และถูกน้องสาวหลายคนฉุดรั้งไว้ อวิ๋นเยี่ยจึงได้แต่ต้องเอนกายนอนบนเก้าอี้ดังเดิม นับดูว่าบนท้องฟ้ามีนกนางแอ่นบินผ่านมากี่คู่แล้วพยายามมาสร้างรังอยู่ใต้ชายคาบ้านด้วยความเบื่อหน่ายต่อไป
อวิ๋นเยี่ยมักจะหาโอกาสที่จะอยู่กับซินเย่ว์ให้มากขึ้นอีกครู่หนึ่ง แต่ทำอะไรไม่ได้เพราะบรรดาน้องสาวจ้องมองไม่ยอมห่าง แม้กระทั่งเข้าห้องน้ำก็จะเฝ้ารออยู่ด้านนอก ตามคำพูดของเสี่ยวยา “ต้องเฝ้าพี่ชายให้ดี ไม่เช่นนั้นจะออกไปสร้างความเดือดร้อน ฮ่องเต้จะขังเขาไว้ในห้องขังและให้อดอาหาร เขาจะต้องหิวตายแน่”
อวิ๋นเยี่ยแปรงขนให้วั่งไฉไปแปดรอบแล้ว ขาดก็เพียงแว็กซ์เงา สีขนนั้นมันเงา นุ่มลื่นจนแม้กระทั่งแมลงวันก็เกาะไม่อยู่ วั่งไฉไม่ชอบภาพลักษณ์ใหม่ของตัวเองเลยแม้แต่น้อย มักจะหันกลับมาแลบลิ้นเลียขวัญผมที่ต้นขาของมัน บริเวณตรงนั้นที่มันชอบมากที่สุดก็ถูกอวิ๋นเยี่ยใช้แปรงแปรงจนขนเรียบแปล้
ตั้งแต่อวิ๋นเยี่ยกลับมา วั่งไฉก็ได้กลับมาเริ่มต้นชีวิตการเมาหยำเปของมันอีกครั้ง เพียงแต่ตอนนี้มันได้เพิ่มนิสัยเสียข้อใหม่ขึ้น ไม่รู้ว่าคนขายเหล้าหมักไปเรียนสูตรลับมาจากที่ไหน เขารู้ว่าจะต้องเพิ่มดอกกุ้ยฮวาลงไปในเหล้าสักหน่อย จะทำให้กลิ่นเหล้าของเขาหอมหวานมากยิ่งขึ้น ดังนั้นในตอนนี้หากไม่ใช่เหล้าหมักของร้านนี้วั่งไฉจะไม่ดื่ม
จะให้เป็นอย่างนี้ได้อย่างไร! ของหวานไม่ใช่สิ่งที่ม้าควรกินต่อเนื่องเป็นเวลานาน ตอนนี้อ้วนจนดูไม่ได้แล้ว คราวก่อนจับมันไปลากรถม้าเพียงครั้งเดียว ตอนนี้จะลากมันไปที่หน้ารถม้ายังลากไม่เดินเลย เมื่ออวิ๋นเยี่ยเตรียมรถม้าเสร็จวั่งไฉก็ทำท่าแกล้งเป็นสุนัขนอนตายนอนอยู่บนพื้นพร้อมกับเหยียดขาทั้งสี่แผ่หลาออกมา ดวงตาหลับสนิท หนังหน้าท้องที่อ้วนบวมก็ไม่มีการขยับขึ้นลงเหมือนเช่นปกติเลย
ทำอะไรไม่ได้ อวิ๋นเยี่ยและคนขับรถม้าสองคนต้องช่วยกันออกแรง พยายามอย่างมากในการผลักดันวั่งไฉที่เกิดโรคขี้เกียจกำเริบให้ลุกขึ้นมาอย่างยากลำบาก คนขายเหล้าหมักเจ้ากรรมคนนั้นก็มายืนตะโกนขายที่หน้าประตูบ้านอีกแล้ว วั่งไฉก็วิ่งคึกคักมีชีวิตชีวาทันที ทำให้อวิ๋นเยี่ยและคนขับรถม้าต่างมองหน้ากันยิ้มอย่างขมขื่น
ไม่ว่าจะเป็นคนหรือม้า หากต้องการกำจัดความขี้เกียจทิ้งไปในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางได้เห็นผลในวันหรือสองวันอย่างเด็ดขาด อวิ๋นเยี่ยมองวั่งไฉที่ดื่มอย่างสะใจอยู่นอกประตู แล้วก็ตัดสินใจว่าเพื่อชีวิตน้อยๆ ของมัน จะต้องแก้ปัญหาความอ้วนของมันให้ได้
เมื่อกินอาหารก็จะเพิ่มเนื้อ กินเพียงอย่างเดียวแต่ไม่ออกกำลังจะยิ่งเพิ่มเนื้อ วั่งไฉไม่ได้ถูกเลี้ยงเพื่อกินเนื้ออย่างเอาเป็นเอาตาย หากปล่อยให้อ้วนขึ้นไปอีกขาทั้งสี่ของมันก็จะรับน้ำหนักไม่ไหว ช้าเร็วต้องมีปัญหาแน่
ขณะที่กำลังกังวลเกี่ยวกับโรคอ้วนของวั่งไฉ หลี่ไท่ก็มาหาถึงที่บ้านด้วยท่าทีเย่อหยิ่งอวดดี โยนเงินหนึ่งก้วนดัง ‘แปะ’ ลงบนโต๊ะและพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “อาหารแปดอย่าง ห้ามทำซ้ำด้วย แล้วก็น้ำซุปกับอาหารหลักอีกหนึ่งอย่าง ต้องการของที่ยังไม่ได้กินด้วย ร่างกายเสด็จแม่ข้าไม่พร้อม ต้องการอาหารเสริม หลายวันนี้ที่มาสำนักศึกษาก็ผอมลงไปมาก ไม่กล้าให้เป็นเช่นนี้ต่อไป เสด็จพ่อจะต้องคิดว่าข้าดูแลเสด็จแม่ไม่ดี ต้องถลกหนังข้าแน่”
คำพูดเหล่านี้ของหลี่ไท่ทำให้อวิ๋นเยี่ยนึกขึ้นได้ว่า จั่งซุนดูเหมือนต้องการจะพักอยู่ในสำนักศึกษาไม่ยอมกลับไป จะเป็นไปได้อย่างไร ฮองเฮาคนหนึ่งจะมาอยู่ในสำนักศึกษาเป็นเวลานานนั้นไม่ใช่เรื่องดีอะไร
หากบอกว่าจั่งซุนมาเพราะเรื่องการควบคุมสถาบัน เช่นนี้ถือว่าใส่ร้ายนางแล้ว หากนางต้องการควบคุมสำนักศึกษาโดยสมบูรณ์ก็จะไม่ใช้วิธีชั้นต่ำเช่นนี้ เรียกขอนำกลับโดยตรงเลยก็ได้ เพราะที่นี่เดิมก็คือสำนักศึกษาหลวง
“อาไท่ ฮองเฮาจะประทับอยู่ในสำนักศึกษานานเท่าไร เจ้ารู้หรือไม่”
“สามวัน อีกเพียงสามวัน เสี่ยวเยี่ย เจ้ามีเวลาเพียงสองวันในการเตรียมตัว ต้องรีบทำก่อนที่เสด็จแม่จะกลับวังเพื่อให้ท่านได้เสวยอาหารมื้อนี้”
ใบหน้าของอวิ๋นเยี่ยค่อนข้างแดงเล็กน้อย ทำดีไม่ได้ดีจริงๆ
——
[1] อู่จิง เป็นชื่อเรียกรวมของคัมภีร์คำสอนหลักของลัทธิขงจื๊อห้าเล่ม ได้แก่ “ซือจิง” “ซั่งซู” “หลี่จี้” “โจวอี้” และ “ชุนชิว”
ส่วนที่ 5
ตอนที่ 29 ประโยชน์ของอาหารเลิศรส
มนุษย์เรามักใช้จิตใจที่มืดมนที่สุดมาคาดเดาความคิดของผู้อื่น ด้วยความคิดเล็กคิดน้อยทำให้อวิ๋นเยี่ยสูญเสียพื้นฐานความสงบของจิตใจไป เมื่อมนุษย์เรามองสิ่งหนึ่งว่าเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง ก็มักจะรู้สึกว่าผู้คนทั่วโลกเตรียมจะแย่งชิงมันไป
สำนักศึกษาในต้าถังยังไม่มีความสำคัญเหมือนที่อวิ๋นเยี่ยจินตนาการไว้ ในสายตาของฮ่องเต้และขุนนางต้าถังนั้น มองว่าสำนักศึกษาเป็นต้นกล้าที่สามารถเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่สูงเทียมฟ้าได้ อย่างน้อยพวกเขาก็คิดว่าในยุคสมัยของพวกเขาไม่จำเป็นต้องพิจารณาคุณค่าของสำนักศึกษาให้มากนัก เพราะว่าสำนักศึกษามีแต่เพียงการทุ่มเทลงไปเป็นจำนวนมากและไม่มีผลผลิตอะไรออกมา ก็ย่อมไม่สามารถให้ความช่วยเหลือที่จำเป็นให้กับพวกเขาได้ และแน่นอนว่าก็ไม่สามารถสร้างการคุกคามใดๆ ได้
หลังจากที่อวิ๋นเยี่ยคิดเรื่องนี้ได้แล้ว ก็มุ่งมั่นทุ่มเทให้กับมื้ออาหารของฮองเฮา จะปรุงอาหารอะไรดี
อวิ๋นเยี่ยนั้นเป็นดังเช่นเดียวกับที่ฮ่องเต้คิดจริงๆ มีความรู้สึกดีต่อฮองเฮาเป็นอย่างมาก
ผู้หญิงนั้นแปลกประหลาดมาก บางคนให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนอยู่บ้านเช่นซินเย่ว์ บางคนให้ความใกล้ชิดเหมือนแม่เช่นจั่งซุน ส่วนบางคนก็ทำให้คนเมื่อคิดถึงแล้วก็เกิดความหุนหันพลันแล่นอยากที่จะต่อยนางเช่นหลี่อันหลาน
ปลาลิ่นในตลาดถูกสับเป็นสองส่วน หัวปลานั้นขายราคาแพงมาก เนื้อปลาราคาถูกแทบไม่มีราคา
ห้องครัวเป็นสถานที่ที่ฮองเฮาควรมาอย่างนั้นหรือ ทั้งยังผูกผ้ากันเปื้อนอย่างเป็นจริงเป็นจัง โดยบอกว่ากำลังเตรียมที่จะฝึกเรียนการทำอาหารกับอวิ๋นโหวยอดนักกินสักหน่อย ภายหน้าจะได้แสดงฝีมือให้พ่อสามีและสามีได้ชิมบ้าง ทั่วทั้งใต้หล้านี้ผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะให้นางทำอาหารให้ทานก็มีเพียงสองท่านนี้เท่านั้น ได้ยินมานานแล้วว่าจั่งซุนนั้นเคี่ยวโจ๊กได้อร่อยมาก ซึ่งก็คือเห็ดหูหนูขาวตุ๋นลูกบัวที่โด่งดัง ได้ยินนางคุยโตว่าทุกครั้งต้องใส่น้ำตาลป่นแบบผงสองสามช้อน ใบหน้าของอวิ๋นเยี่ยเริ่มชักกระตุก ชามใบขนาดเท่ากับกำปั้นแต่ใส่น้ำตาลป่นแบบผงสองสามช้อน จะกินโจ๊กหรือกินน้ำตาลกันแน่ หลี่ซื่อหมินนั้นมีความดันโลหิตสูง มีหรือจะรับความน่ากลัวกับการกินน้ำตาลวันละสองช้อนได้ ไม่รู้ว่าจะบำรุงร่างกายหรือทำร้ายร่างกายกันแน่ อย่าเห็นว่าหลี่ซื่อหมินเป็นฮ่องเต้ที่โด่งดังนับพันปี ในสายตาของอวิ๋นเยี่ยในตอนนี้นั้นเขาดูไม่แตกต่างจากอู่ต้าหลางเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ขาดซีเหมินชิ่งและแม่เฒ่าหวังไปเท่านั้นเอง
เพียงแค่นางมาถึงครัว ผู้ที่สามารถยืนได้ก็คืออวิ๋นเยี่ย คนรับใช้อื่นๆ และพ่อครัวเอาแต่คุกเข่าตัวสั่นอยู่บนพื้น ขันทีในวังจึงเข้ามาทำหน้าที่แทนพวกที่หน้าซีดเป็นไก่ต้มเหล่านั้น แม้ว่าหลี่ไท่และหลี่เค่อจะเกลียดการเข้าครัว แต่แม้แต่มารดาก็เข้ามาแล้ว ทั้งสองพี่น้องจึงได้แต่ต้องตามเข้ามา
“ฮองเฮา เชิญท่านเสด็จไปเดินเล่นในสวน ทอดพระเนตรตัวอย่างผีเสื้อที่นักเรียนจับมาได้ แล้วดูอำพันใหม่ที่พวกเขาทำจากเรซิน หากไม่ชอบจริงๆ ท่านเสด็จไปทรงศึกษาหัวกะโหลกมังกรสักหน่อยก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลว”
หลังจากที่จั่งซุนวิพากษ์วิจารณ์ห้องครัวของตระกูลอวิ๋นจนไม่เหลือชิ้นดีแล้ว อวิ๋นเยี่ยต้องการเพียงแค่ส่งจั่งซุนออกไป
ทำไมกระทะถึงดำมากเพียงนี้ กระทะที่สกปรกเพียงนั้นสามารถปรุงอาหารอร่อยๆ ได้หรือ
ทำไมต้องใช้เงินทำเป็นช้อน จอมล้างผลาญ! ผ้าฝ้ายดีๆ หนึ่งผืนถูกฉีกขาดเป็นชิ้นเล็กๆ สิ้นเปลือง ไม่รู้จักความยากลำบากของการทอผ้าของชาวนา แสดงให้เห็นถึงฝีปากกล้าและใจเ**้ยมเป็นอย่างยิ่ง
“เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างเจ้าจะรู้อะไร เราทำนา เลี้ยงไหม ทอผ้า ดูแลเรื่องเล็กใหญ่ในวัง สิ่งไหนที่ไม่ได้รับคำชมจากไพร่ฟ้ากันบ้าง อย่างตระกูลอวิ๋นที่ยุ่งเหยิงของเจ้า คนรับใช้เอาแต่กินตลอดทั้งวัน แต่ละคนจะกลายเป็นหมูอยู่แล้ว เอาแต่กินไม่ทำงาน เลี้ยงม้าตัวหนึ่งตอนนี้ใครสามารถบอกได้ว่ามันเป็นหมูหรือม้า ยังมีหน้ามาไล่เราออกไปอีก”
ปีที่แล้วได้เห็นจั่งซุนทำนา รัชทายาทจูงวัว ฮ่องเต้อยู่ตรงกลางดึงคันไถ จั่งซุนเดินหว่านเมล็ดพืชอยู่ด้านหลัง พื้นที่สามร้อยกว่าตารางเมตรทั้งครอบครัวสามคนช่วยกันทำนาอยู่ครึ่งวันเช้า อวิ๋นเยี่ยเผลอหลับไป จึงถูกเหล่าหนิวถีบเข้าให้หนึ่งฝ่าเท้า ตอนนี้เมื่อคิดถึงมันก็ยังปวดอยู่เลย
หากชาวนาทำไร่ไถนาเหมือนครอบครัวนางคงอดตายไปนานแล้ว ยังจะเหลือชีวิตให้พวกเขาได้รีดนาทาเร้นกันอีกหรือ นับจำนวนทั้งหมดแล้วเลี้ยงไหมได้หนึ่งชะลอม ทั้งยังเรียกเหล่าฮูหยินที่มีฐานะไปเยี่ยมชม ท่านย่าโชคดีที่ได้เห็นไหมที่ฮองเฮาเลี้ยงดู โดยบอกว่าอ้วนๆ ขาวๆ ไม่มีผอมเลยสักตัว ราวกับคัดออกมาจากหนอนไหมหนึ่งหมื่นตัวจริงๆ ท่านย่าบอกว่าสมแล้วที่เป็นฮองเฮา สภาพแวดล้อมในการเลี้ยงไหมนั้นดี คนที่เลี้ยงไหมมาตลอดชีวิตอย่างนางนั้นไม่มีวันเทียบชั้นได้
หลังจากฟังคำพูดของท่านย่าแล้ว ในหัวอวิ๋นเยี่ยก็ปรากฏภาพฮองเฮาถือไม้บรรทัดวัดตัวไหมไปมาทีละตัว เมื่อวัดเสร็จแล้วก็โยนมันลงในชะลอมของนาง
พอเขาบอกความกังวลของตนเองให้ท่านย่าฟัง กลับแลกมาซึ่งฝ่ามือของท่านย่าและยังไม่อนุญาตให้พูดเรื่องนี้ออกไป ให้เขาเก็บไว้ในส่วนลึกของจิตใจ
ดูเหมือนว่าหญิงตั้งครรภ์จะกลายเป็นคนออดอ้อน หลังจากปอกใบสีเขียวของต้นหอมจนเหลือแต่แกนอ่อนแล้ว จั่งซุนก็หยุดการทำลายล้าง แววตาที่มองดูหลี่ไทซึ่งกำลังยุ่งอยู่เปี่ยมไปด้วยความรัก ยื่นมือออกไปให้หลี่ไท่ช่วยพยุงนางลุกขึ้นโดยบอกว่านางนั่งนานๆ ไม่ได้ อยากจะไปที่เรือนกระจกของตระกูลอวิ๋นเพื่อผ่อนคลายและยืดเส้นยืดสายเสียหน่อย
“เสี่ยวเยี่ย ข้าเองก็อยากรับเสด็จแม่ข้ามาพักอยู่ที่สำนักศึกษาสักระยะหนึ่ง แล้วเจ้าก็ทำอาหารอร่อยๆ ให้นางทานหนึ่งมื้อได้หรือไม่ ปีนี้ข้าไม่ได้รับเงินรางวัลไม่สามารถจ่ายเงินหนึ่งก้วนให้เจ้าได้ รอปีหน้า แม้ต้องแลกด้วยชีวิต ข้าก็จะคว้าเงินรางวัลมาให้ได้แล้วค่อยคืนให้เจ้าได้หรือไม่”
หลี่เค่อเห็นพวกเขาแม่เอ็นดูลูกกตัญญูจนทนไม่ไหวแล้วจริงๆ เมื่อนึกถึงว่ามารดาต้องเลี้ยงหลี่อั้นน้องชายอายุห้าขวบในวังเพียงลำพังจึงอดไม่ได้ที่จะขอร้องอวิ๋นเยี่ย จะให้อวิ๋นเยี่ยเข้าครัวได้เว้นแต่ว่าเขาเต็มใจเอง มิฉะนั้นแล้วคนอื่นพูดออกมาจะเป็นการดูถูกอวิ๋นเยี่ย
“ความดีนับร้อยความกตัญญูมาเป็นหนึ่ง เรื่องนี้ย่อมได้แน่นอน ขอเพียงเจ้าสามารถพูดกับเสด็จพ่อของเจ้า ยอมอนุญาตให้เสด็จแม่ของเจ้าออกจากวังมาสำนักศึกษาได้ ข้ายอมให้เจ้าเป็นหนี้เงินหนึ่งก้วนนี้ไว้ก่อน ทำอาหารให้เสด็จแม่เจ้าให้เต็มโต๊ะ แต่เพื่อความเป็นธรรมแล้ว เจ้าจะต้องจ่ายข้าสองก้วนและเรื่องนี้มีเพียงครั้งเดียว ไม่มีครั้งที่สอง”
เรื่องที่น่ารักเช่นนี้คือสิ่งที่อวิ๋นเยี่ยชอบทำที่สุด ขอเพียงสามารถช่วยเขาได้ อวิ๋นเยี่ยก็ไม่ใส่ใจกับการที่จะต้องทำอาหารเพิ่มอีกหนึ่งมื้อ หากในราชวงศ์มีเพียงแค่การแข่งขันกันเรื่องนี้ ลูกทุกคนของหลี่ซื่อหมินต่างพากันร้องขอเช่นนี้อวิ๋นเยี่ยก็จะต้องรับปากแน่ ลูกรักแม่เป็นสัจธรรมของโลก
เห็นได้ว่าเมื่อหลี่เค่อได้รับคำสัญญานี้แล้วก็ดูมีชีวิตชีวาอย่างเห็นได้ชัด อวิ๋นเยี่ยไม่ได้เขม่นหน้าใส่เขาเพราะว่าเขาไม่ใช่ลูกชายของฮองเฮา สำหรับเรื่องเงินสองก้วนของอวิ๋นเยี่ย เขาก็มีความมั่นใจในตัวเองอย่างเต็มเปี่ยม ขอเพียงท่านแม่ไม่ขมวดคิ้วอีกต่อไป จะให้แลกด้วยอะไรเขาก็ยอม
ตั้งแต่อายุยังน้อย เขาก็รู้ว่าท่านแม่ของเขาแตกต่างจากสนมคนอื่นๆ เพราะบิดาของนางเป็นฮ่องเต้ของราชวงศ์ก่อน ท่านแม่ก็อยู่ในวังอย่างระมัดระวังตัวอยู่เสมอ แม้กระทั่งสนมที่อยู่ระดับต่ำกว่าท่านแม่เหล่านั้นนางก็ไม่ไปล่วงเกินโดยไม่จำเป็น อยู่ในวังไม่ว่าพบใครก็จะยิ้มแย้มทักทาย ไม่เคยเห็นท่านแม่โกรธมาก่อนเลย ซึ่งนี่ไม่ใช่เรื่องดี คราวก่อนได้ยินอาจารย์ซุนกล่าวว่าความโกรธ ความสุข ความสนุกสนานและความเศร้าเป็นสิ่งที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคนตั้งแต่เกิด จึงไม่ควรขาดสิ่งใดไปรวมถึงความโกรธด้วย คนปกติจะมีอารมณ์พวกนี้แสดงออกสลับกันไป ขอเพียงอย่าบ่อยเกินไปนักมันจึงจะเป็นเรื่องดี ระบายความไม่พอใจออกมาทางความโกรธ ที่จริงเป็นการปกป้องตัวเองอย่างหนึ่ง สุขภาพของมนุษย์ไม่ได้มีเพียงแค่ด้านบวกอย่างเดียว
เมื่อมองดูหลี่เค่อที่กำลังมีความสุขจริงๆ อวิ๋นเยี่ยเบ้ปาก ราชนิกุลผู้น่าสงสาร แม้แต่ความสุขที่เรียบง่ายที่สุดก็หาไม่ได้ อยากจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไรกัน
“ทำไมจึงไม่มีไก่ที่ห่อด้วยโคลนเหมือนคราวก่อนเล่า”
บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารที่เข้ากันเป็นอย่างดีและมีคุณค่าทางโภชนาการด้วย ซุปหัวปลาเต้าหู้ ขาหมูตุ๋นถั่วเหลือง เนื้อวัวผัดรากบัว เนื้ออกไก่ผัดเห็ดหูหนู ทั้งยังตั้งใจทำหูหมูซอยผัดน้ำพริกเผาจานพิเศษซึ่งเป็นของโปรดของอวิ๋นเยี่ย เวลาเคี้ยวทั้งเหนียวและกรอบ เป็นอาหารที่ขาดไม่ได้ขณะอวิ๋นเยี่ยดื่มเหล้า
ผัดเผ็ดมันฝรั่งซอยหนึ่งจานซึ่งเป็นของที่ฝ่าบาทพระราชทานให้กับตระกูลอวิ๋นเมื่อปีที่แล้ว ตระกูลอื่นเก็บเอาไว้เหมือนสมบัติล้ำค่า มีเพียงตระกูลอวิ๋นเท่านั้นที่นำมากิน อวิ๋นเยี่ยรู้ถึงปริมาณผลผลิตของมันฝรั่งเป็นอย่างดี ใช้เวลาไม่ถึงสิบปีต้าถังจะเต็มไปด้วยของสิ่งนี้ เพราะมันปลูกง่าย ตระกูลใหญ่ๆ ในฉางอันต่างก็รับเป็นของขวัญ ได้ยินว่าปลูกมันฝรั่งกันทุกครอบครัว ปลูกมันฝรั่งราวกับว่ากำลังปลูกต้นทองคำ ทั้งยังต้องส่งองครักษ์ของที่บ้านมาเฝ้าทั้งกลางวันและกลางคืน ซึ่งนี่เป็นเพราะอวิ๋นเยี่ยพูดกับหลี่ซื่อหมินว่าของสิ่งนี้เขามอบเป็นของขวัญให้กับประชาชนชาวต้าถัง แต่สำหรับคนอื่นนั้นไม่ได้อยู่ในขอบข่ายนี้
ดังนั้นไม่ว่าตระกูลอวิ๋นจะปลูกหรือไม่ก็ไม่เป็นไร ถึงเวลารอทานผลผลิตที่ออกมาก็พอแล้ว
อาหารสีสันสดใสวางเรียงเต็มโต๊ะ ทำให้ผู้คนที่เห็นก็เกิดอยากอาหาร อวิ๋นเยี่ยล้างมือเตรียมจะนั่งบนเก้าอี้รอกิน ฮองเฮาจึงเอ่ยปากขึ้น
“นี่คือสิ่งที่ชิงเชวี่ยจ่ายเงินหนึ่งก้วนแลกมา พวกเราสามคนแม่ลูกกินแน่นอนว่าต้องไม่มีปัญหาอะไร เจ้านั่งลงมาทำอะไร เจ้าเคยได้ยินบ้างไหมว่ามีพ่อครัวที่ภัตตาคารลงมาร่วมโต๊ะอาหารด้วย อยากกินไก่ห่อโคลนย่างเสียหน่อยก็ไม่มี ยังจะกล้ามาแย่งกินและดื่มอีกหรือ”
คำพูดเพียงประโยคเดียวทำให้อวิ๋นเยี่ยพูดไม่ออก ได้แต่ค้อนขวับ เขาสรุปได้เลยว่าฝีปากกล้าและใจเ**้ยมนั้นเป็นนิสัยที่แท้จริงของจั่งซุน
จั่งซุนที่อยู่ในสำนักศึกษาดูเหมือนจะมีความเป็นผู้หญิงมากขึ้น บารมีน่าเกรงขามของฮองเฮาน้อยลง บางทีอาจจะเกี่ยวข้องกับการที่ต้องแสร้งทำเป็นคนใจกว้างมานานปี แสร้งทำเป็นคนฉลาดปราดเปรื่องทำให้อึดอัดจนถึงขีดสุด เมื่อมีสถานที่ที่สามารถทำให้นางละทิ้งสิ่งจอมปลอมเหล่านี้ทิ้งไป ธรรมชาติของผู้หญิงจึงปรากฏชัดขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่านางนั้นกำลังตั้งครรภ์อยู่ด้วย ฮอร์โมนเอสโตรเจนก็เพิ่มขึ้น จากหลายอย่างรวมกัน หากอวิ๋นเยี่ยได้ใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขจึงจะเป็นเรื่องแปลก
ไม่เป็นไร พ่อครัวนี่นะ แน่นอนว่าต้องมีวิธีการกินอาหารตามแบบฉบับพ่อครัว อวิ๋นเยี่ยไปหาชามใบใหญ่มา ตักข้าวพูนๆ ชามใหญ่ จากนั้นเลือกผักที่ดีที่สุดบนโต๊ะตักโปะเต็มชามใบใหญ่ สุดท้ายตักขาหมูวางไว้บนเนินข้าวที่พูนๆ และลอยหน้าลอยตาเดินออกไปท่ามกลางแววตาอิจฉาขึ้นในทันที
ส่วนที่ 5
ตอนที่ 30 อยู่นอกกฎระเบียบ
ก่อนออกจากห้อง อวิ๋นเยี่ยเหล่มองจั่งซุนด้วยหางตา เป็นจริงดังคาด สีหน้าจั่งซุนเต็มไปด้วยความสุขโดยไม่โกรธเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่ายังอยากจะปรบมือโห่ร้องอีกด้วย เดิมนั้นก็หน้าตางดงามเป็นอย่างมาก ตอนนี้ยังแสดงกิริยาดั่งสาวน้อย ทำให้อวิ๋นเยี่ยเกือบจะสะดุดธรณีประตูล้ม
จั่งซุนเห็นเข้าจึงยิ่งหัวเราะดังกว่าเดิม เดิมทีนางก็มีเชื้อสายของชาวเผ่าหู เปิดเผยและวางอำนาจจึงจะเป็นนิสัยที่แท้จริงของนาง เสแสร้งเป็นคนที่ปราดเปรื่องมาหลายปีคงเบื่อหน่ายอย่างที่สุดมาตั้งนานแล้ว ในสำนักศึกษานางใหญ่ที่สุด ลูกชายกตัญญู ชีวิตเป็นไปตามต้องการ หากไม่หาเรื่องที่ทำให้ตนเองมีความสุขเสียหน่อยไม่เท่ากับผิดต่อตัวเองหรือ
เมื่อเดินเลยมุมกำแพงไป อวิ๋นเยี่ยมอบชามข้าวในมือให้เสี่ยวยาที่กำลังหลบซ่อนอยู่ที่นั่น เสี่ยวยารับชามข้าวใบใหญ่มา ยิ้มจนตาหยีราวกับจันทร์เสี้ยวแล้ว นั่งหมอบอยู่บนโต๊ะหินและเริ่มลงมือจากขาหมูอันใหญ่ขานั้นก่อน
เขาเทน้ำหนึ่งแก้วให้เสี่ยวยา อวิ๋นเยี่ยเริ่มลูบหนวดบางๆ ที่ใต้คางแล้วแอบซุ่มมองจั่งซุนที่อยู่ในห้องนางส่งเสียงหัวเราะดังไม่ขาดสาย บางทีคงมีแต่อยู่ที่นี่เท่านั้นจึงจะได้เห็นจั่งซุนที่ไม่ต้องระมัดระวังการวางตัวกระมัง
อวิ๋นเยี่ยกล้ารับประกันว่าในวันพรุ่งนี้ ฮองเฮาผู้สง่างามและสูงส่งจะกลับมาสู่โลกอีกครั้ง
จั่งซุนได้ส่งทหารอู่เว่ยฝ่ายซ้ายห้าร้อยคนมาคอยดูแลตระกูลอวิ๋น อวิ๋นเยี่ยรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก หากอยากจะก่อเรื่องก็เชิญเถอะ ตระกูลอวิ๋นทั้งครอบครัวจะเล่นกับเจ้า แม้ว่าเจ้าอยากขึ้นสวรรค์ ขอเพียงเจ้ามีความสุขข้าก็จะไปคิดหาวิธีมาให้
อวิ๋นเยี่ยเดินเล่นเป็นเพื่อนจั่งซุนในสำนักศึกษาตลอดทั้งวัน ฟังอวิ๋นเยี่ยและหลี่ไท่เล่าเรื่องสนุกในสำนักศึกษาให้นางฟัง หวงสู่กลับได้กลายเป็นตัวเอก หลี่ไท่ตั้งใจเรียกหวงสู่มาโดยเฉพาะและถามมารดาว่าเขาดูเหมือนหนูจริงๆ หรือไม่
หลี่ไท่ละทิ้งการระมัดระวังตัวทั้งหมดไปจนดูเหมือนกับเด็กที่ได้สร้างผลงานขึ้นคนหนึ่ง พยายามจะแสดงความสำเร็จทั้งหมดของเขาให้มารดาเขาเห็นอย่างไม่คิดชีวิต เขาเห็นสีหน้าประหลาดใจของมารดาที่เห็นเขายกของหนักห้าร้อยกว่ากิโลกรัมได้อย่างง่ายดายก็ตื่นเต้นดีใจจนริมฝีปากสั่น
หวงสู่สองสามีภรรยาโขกศีรษะคำนับจั่งซุนอยู่บนพื้น เมื่อเห็นว่าภรรยาของหวงสู่เองก็กำลังตั้งครรภ์ จึงให้ขันทีไปพยุงอิงเหนียงขึ้นมา ตรัสถามด้วยรอยยิ้มและน้ำเสียงอันอ่อนโยนว่านางตั้งครรภ์มากี่เดือนแล้ว รู้สึกไม่สบายหรือไม่ ปกติประกอบอาชีพอะไร มีทานอาหารบำรุงหรือไม่
อิงเหนียงเข่าอ่อนจนยืนไม่ติดแล้ว หากไม่มีขันทีช่วยพยุงไว้ไม่แน่ว่าอาจจะล้มก้นกระแทกพื้นแล้ว ตอบคำถามไม่ตรงคำถามที่จั่งซุนถามไปหลายประโยค จู่ๆ ก็ผละออกจากขันทีแล้ววิ่งไปที่ร้านของนาง หยิบชามกระเบื้องเคลือบสีขาวต้มน้ำให้เดือด ไม่นานนักเหล้าหมักใส่เก๋าคี่ พุทราและกุ้ยฮวาก็ถูกอิงเหนียงยกออกมา ส่งให้จั่งซุนด้วยความเคารพ
อวิ๋นเยี่ย หลี่ไท่ห้ามไว้ไม่ทัน ขันทีเหล่านั้นยิ่งกว่าเห็นปีศาจเสียอีก จั่งซุนรับเหล้าหมักและจิบไปหนึ่งคำแล้วพูดกับอิงเหนียงว่า “รสชาติดี ทำอย่างไร อร่อยกว่าเหล้าหมักในวังหลายส่วนเลย”
ทันใดนั้นก็มองไม่เห็นดวงตาบนใบหน้ากลมๆ ของอิงเหนียง สองมือบิดไปมาอย่างเงอะงะ ไม่รู้ว่าจะวางมือที่ไหนดี
ขันทีก็ได้มอบเครื่องประดับไม้จันทน์เล็กๆ หนึ่งอันให้กับอิงเหนียง อิงเหนียงพยุงสามีนางขึ้นมา ทั้งสองโค้งคำนับแล้วก็ถอยกลับออกไป
ตั้งแต่ต้นจนจบหวงสู่ไม่กล้าเงยหน้าขึ้น สายตาเอาแต่จับจ้องอยู่บนพื้น ในความรู้สึกของเขาหลี่ไท่เป็นมังกรร้ายที่กินคน ไม่รู้ว่ามารดาของเขามีความทรงพลังอะไรแฝงอยู่ กลัวว่าใบหน้าที่น่าเกลียดของตัวเองจะทำให้ฮองเฮาตกใจ จากนั้นต้องถูกหลี่ไท่สับเป็นหมื่นๆ ชิ้น เขากลัวหลี่ไท่จริงๆ
หลังจากหวงสู่สองสามีภรรยาจากไป จั่งซุนก็ดื่มเหล้าหมักต่อโดยไม่ได้วางท่าทีใดๆ ดื่มพลางพูดกับอวิ๋นเยี่ยและหลี่ไท่ว่า “ใต้หล้านี้มีคนที่ต้องการเอาชีวิตเราอยู่ แต่ไม่ใช่สามีภรรยาคู่นี้อย่างแน่นอน ดูพวกเจ้าแต่ละคนท่าทางร้อนรนกัน คิดว่าไม่ว่าใครนำอาหารอะไรมาเราก็กินอย่างนั้นหรือ”
อวิ๋นเยี่ยหายใจยาวๆ ด้วยความโล่งอก หลี่ไท่ตัดสินใจว่าจะต้องไปต่อยหวงสู่อีกครั้งเพื่อระบายความแค้นในใจ
ในสำนักศึกษาไม่ได้มีดอกไม้และต้นไม้ที่งอกปนเปกันจนยุ่งเหยิง มีเพียงพื้นหญ้าสีเขียวขนาดใหญ่ ตอนนี้เป็นเวลาเข้าเรียน ไม่มีคนว่างที่ออกมาเดินเล่นเตร็ดเตร่ จั่งซุนรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย อวิ๋นเยี่ยจึงให้คนปูพรมบนพื้นหญ้า หลี่ไท่นำขันทีไปหลายคนเพื่อไปนำผีเสื้อออกมาจากห้องเพาะเลี้ยงผีเสื้อให้มารดาของเขาได้ชม ทั้งยังเน้นหนักไปที่การแนะนำผลงานของตัวเอง โดยบอกว่าผีเสื้อรักแร้ขาวหลายตัวนี้ตนเองไปจับมาจากเขาฉินหลิ่งซึ่งกว่าจะจับได้ไม่ใช่เรื่องงายเลย สำหรับความเหนื่อยยากขององครักษ์นั้น เขาไม่ได้กล่าวถึงแม้แต่คำเดียว
แน่นอนว่าผีเสื้อนั้นมีความสวยงามของมัน เมื่อผีเสื้อที่มีหลากสีสันอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ก็ยิ่งมีสีสันมากขึ้น แต่ละตัวถูกผึ่งลมจนแห้ง แล้วใช้ด้ายและเข็มเย็บยึดเอาไว้บนกระดานไม้เนื้ออ่อน เมื่อถูกลมพัดก็ดูราวกับว่าพวกมันฟื้นคืนชีวิตขึ้นมา จั่งซุนมองดูด้วยแววตาที่เปล่งประกาย อวิ๋นเยี่ยรู้ว่านางเกิดความคิดที่อยากจะได้เป็นของตัวเอง ใครจะรู้ว่าฮองเฮาพูดขึ้นก่อนว่า “อวิ๋นเยี่ย เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ราชวงศ์ก็มีกฎของราชวงศ์ ถ้าของดีทุกอย่างต้องถูกส่งเข้าวัง นี่ไม่ใช่เรื่องที่ดีอะไรนัก เมื่อมีผีเสื้อเหล่านี้ก็จะเกิดอยากได้ผีเสื้อเพิ่มขึ้นอีกและขุนนางท้องถิ่นก็จะพยายามนำมามอบให้อย่างไม่คิดชีวิต ในหนังสือประวัติศาสตร์ก็มีบันทึกไว้ว่าเจ้าของตัวเล็กๆ นี้ก็กินคนเช่นกัน ผีเสื้ออยู่ในสำนักศึกษานั้นถือเป็นความงามอย่างหนึ่ง รวมถึงเป็นความรู้แขนงหนึ่งด้วย แต่หากนำมันเข้าวัง เราเข้าใจดี มันจะกลายเป็นความหายนะในภายหลัง หากไม่ไปยับยั้งปัญหาเล็กๆ เหล่านี้ แล้วต้าถังเราจะสามารถสร้างรากฐานนับหมื่นปีได้อย่างไร”
เมื่ออวิ๋นเยี่ยและหลี่ไท่เห็นฮองเฮาพูดเช่นนี้ จึงได้แต่ค้อมกายน้อมรับคำสอน
การอยู่นอกกฎระเบียบเป็นบางครั้งนั้นก็ไม่ใช่เรื่องน่าเครียดอะไร เพราะมันสามารถปรับเปลี่ยนสภาพรอบข้างเราให้เหมาะสมได้ จากการแนะนำของอวิ๋นเยี่ย จั่งซุนก็เริ่มปรับตัวเข้าสู่สภาพรอบกายได้อย่างรวดเร็ว ภายในห้องที่จัดวางโครงกระดูกมังกร จั่งซุนใช้มือตบกระดูกฟอสซิลของโครงกระดูกเบาๆ และถามอวิ๋นเยี่ยว่า “อวิ๋นเยี่ย สัตว์ที่ดุร้ายเช่นนี้เคยมีอยู่ในโลกนี้จริงๆ หรือ”
“กราบทูลฮองเฮา เคยมีตัวตนอยู่จริง โครงกระดูกนี้ก็คือหลักฐานว่ามันเป็นเจ้าของของโลกนั้นในสมัยโบราณอันห่างไกลมาก โลกทั้งโลกอบอุ่นและชุ่มชื้นเต็มไปด้วยพืชพรรณที่เขียวชอุ่ม มีสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนอาศัยในดินแดนแห่งนี้ ไทรันโนซอรัสจะซ่อนกายอยู่หลังพืชพรรณที่มีลำต้นสูง รอเวลาที่ดีที่สุดเพื่อล่าเหยื่อ
สัตว์ดุร้ายตัวเตี้ยตัวหนึ่งเดินเงอะงะเข้ามา บนหัวของมันมีเขาแหลมที่แหลมคมสามอัน ซึ่งมันก็ถือเป็นสัตว์ร้ายที่ดุร้ายมากชนิดหนึ่ง โดยปกติไทรันโนซอรัสจะไม่สนใจสัตว์ร้ายชนิดนี้ แต่ตอนนี้จำเป็นต้องสนใจแล้วลูกๆ สองตัวของมันยังคงรอคอยที่จะให้มันนำอาหารกลับไปให้ ไทรันโนซอรัสเพศเมียตัวนี้พุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว ใช้ฟันอันแหลมคมของมันฉีกท้องของสัตว์ที่ดุร้ายตัวนั้นจนเปิดเป็นแผลกว้าง เบื้องหน้าก็ดูเหมือนจะได้ชัยชนะ ใครจะคิดว่าสัตว์ดุร้ายตัวนั้นยังไม่ตายและก่อนที่มันจะตายมันแทงเขาที่แหลมคมเข้าไปในหน้าอกของไทรันโนซอรัสเพศเมียตัวนั้น ถึงแม้ว่าไทรันโนซอรัสจะเป็นราชาแห่งสัตว์ป่า แต่หัวใจของมันก็บอบบางเหมือนกับสัตว์ทุกชีวิต
สัตว์ดุร้ายตัวนั้นตายแล้ว ไทรันโนซอรัสดึงร่างของสัตว์ดุร้ายกลับมา หน้าอกก็มีเลือดสดๆ ไหลออกมาไม่หยุด ลูกๆ ของมันยังไม่สามารถที่จะยืนหยัดได้ด้วยตัวเอง ถ้าหากมันตาย ลูกๆ ของมันก็จะกลายเป็นอาหารของสัตว์อื่นๆ”
ดูเหมือนว่าจั่งซุนจะไม่ได้ฟังสิ่งที่อวิ๋นเยี่ยพูด เดินไปรอบๆ โครงกระดูกอยู่หลายรอบ ในที่สุดก็หยุดลง ลูบฟันมังกรขนาดใหญ่และพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ทำไมไม่พูดต่อล่ะ เรายังรอฟังตอนจบอยู่นะ แต่ถึงเจ้าจะไม่พูด ข้าก็สามารถเดาได้ว่าตอนจบต้องไม่ดีแน่ ไม่พูดถึงก็ดีเหมือนกัน ราชาแห่งสัตว์ร้ายต้องมีชีวิตอยู่ หากตายไปแล้วก็ไม่นับว่ายิ่งใหญ่ มังกรตัวนี้พยายามอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องลูกๆ ของมัน ไม่กลัวแม้แต่ความตาย ผู้เป็นแม่ย่อมมีความรู้สึกนี้เช่นเดียวกันทุกคน อวิ๋นเยี่ย ข้าอยากฟังตอนจบที่ดี”
“ตอนจบที่ดีที่สุดก็คือไทรันโนซอรัสลากสัตว์ดุร้ายกลับไปที่รังของมันและเสียชีวิต ลูกๆ ของมันอาศัยกินเนื้อสัตว์ดุร้ายตัวนั้นและศพของมันจึงเอาชีวิตรอดจากวัยเยาว์จนสามารถออกหาเหยื่อเองได้ ในที่สุดก็กลายเป็นไทรันโนซอรัสตัวใหม่”
“ตอนจบที่ไม่ดีอาจเป็นไปได้ว่าพวกมันแม่ลูกตายกันหมดใช่ไหม”
“ฮองเฮาทรงฉลาดปราดเปรื่อง กล่าวมาไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย”
“อวิ๋นเยี่ย ทำไมเจ้าถึงเล่าเรื่องเกี่ยวกับชะตาชีวิตความเป็นตายของไทรันโนซอรัสให้เราฟังด้วย ข้ากำลังจะตายหรือ”
“ฮองเฮา กระหม่อมเพียงแต่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการคาดเดาเรื่องหนึ่งเท่านั้น ขอท่านอย่าได้เอามันไปเกี่ยวพันถึงพระองค์เองอย่างเด็ดขาด สิ่งที่กระหม่อมพูดคือกฎธรรมชาติอย่างหนึ่ง เข้มแข็งรอดอ่อนแอม้วย เป็นเช่นนี้มาแต่โบราณกาล”
“สัตว์ร้ายที่ทรงพลังเช่นนี้ มีเวลาแห่งความตายแล้วผู้คนจะหลีกหนีไปได้อย่างไร อวิ๋นเยี่ย ทำไมตอนนี้จึงไม่เห็นสัตว์พวกนี้แล้ว พวกมันไปไหนหมด ทำไมถึงสูญพันธ์ไป เจ้าเป็นคนแรกที่ได้สิ่งนี้มา จะต้องรู้เรื่องดีอย่างแน่นอน บอกข้าที”
“มีนักวิจัยที่ไม่ใช่กระหม่อมแต่เป็นอาจารย์ อาจารย์เดาว่ามีเหตุผลสองประการ ประการหนึ่งคือสภาพอากาศเกิดการเปลี่ยนแปลง ในเวลานั้นโลกอบอุ่นมาก มีป่าเขียวชอุ่มทั่วทุกที่ มีสัตว์เล็กๆ จำนวนมากอาศัยอยู่ ดังนั้นไทรันโนซอรัสจึงมีอาหารที่เพียงพอ ต่อมาสภาพอากาศหนาวเย็นลงและสัตว์เล็กๆ จำนวนมากล้มตายไป เมื่อไม่มีอาหาร ไทรันโนซอรัสจึงต้องอดตายไป”
เขาไม่สามารถบอกจั่งซุนเกี่ยวกับรูปร่างของโลกได้ ดังนั้นจึงได้แต่รับมืออย่างขอไปทีเช่นนี้
“อวิ๋นเยี่ย นี่เจ้ากำลังกล่าวทัดทานอยู่หรือ เจ้าควรจะพูดเรื่องเหล่านี้ให้ฝ่าบาทฟัง การปฏิบัติต่อประชาราษฎร์ด้วยความเมตตาจึงจะเป็นสิ่งที่ต้องทรงตระหนักไว้เสมอ เจ้าก่อความหายนะครั้งใหญ่ในฉางอัน ทำจนเกิดความสับสนอลหม่าน ฝ่าบาททรงตรัสว่า น้ำช่วยพยุงเรือได้ ก็สามารถจมเรือได้ หากพวกเราไม่ปฏิบัติต่อประชาราษฎร์ให้ดี ช้าเร็วก็จะต้องเหมือนราชวงศ์สุย ถูกประชาชนลุกฮือขับไล่จนต้องล่มสลาย
ฝ่าบาททรงตระหนักถึงความจริงข้อนี้ก็มีค่าดั่งทองคำนับหมื่น ซึ่งนี่ก็คือสาเหตุที่เจ้าสามารถเอาตัวรอดออกมาได้อย่างง่ายดายในคราวนี้ เจ้านึกว่าในราชสำนักไม่มีฎีกาเรียกร้องให้ตัดศีรษะเจ้าเพื่อสร้างความสงบสุขให้ไพร่ฟ้าหรือ”
นางเหล่มองอวิ๋นเยี่ยและพูดอีกว่า “คราวนี้ทุกคนต่างก็อยู่นอกกฎระเบียบ เจ้าอยู่นอกกฎระเบียบ ตระกูลโต้วอยู่นอกกฎระเบียบ ฝ่าบาททรงอยู่นอกกฎระเบียบ ข้าก็ได้แต่อยู่นอกกฎระเบียบอยู่ที่สำนักศึกษาแห่งนี้ ทำอะไรโดยไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังสักครั้ง สามีว่าเช่นไรภรรยาก็ว่าตามนั้น หากข้าไม่อยู่นอกกฎระเบียบ ไพร่ฟ้าจะกล่าวหาว่าข้าสงบนิ่งกว่าฝ่าบาทหรือไม่ “
จั่งซุนเป็นฮองเฮาที่เหนื่อยเกินไปแล้ว ฮ่องเต้ทำผิดนางก็ต้องทำผิดตามไปด้วย ก้าวหน้าและล่าถอยไปด้วยกัน มีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้าน นี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมนางจึงไม่เคยสูญเสียความโปรดปรานจากหลี่ซื่อหมินเลย
ตอนนี้มีเด็กหญิงน่ารักตัวน้อยที่อายุแปดขวบกำลังเตรียมจะโจมตีตำแหน่งฮองเฮาที่มั่นคงดุจขุนเขาของนางอยู่ ไม่รู้ว่าจั่งซุนจะรับมืออย่างไร อวิ๋นเยี่ยมองดูจั่งซุนผู้งามสง่าที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
สุขภาพร่างกายของจั่งซุนจะแย่ลงมากหลังจากให้กำเนิดลูกสาวคนนี้แล้ว อวิ๋นเยี่ยและซุนซือเหมี่ยวได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับโรคลมชักและโรคหอบหืดมาแต่เนิ่นๆ แล้ว ด้วยความสามารถของเหล่าซุน คิดว่าใช้เวลาไม่นานก็จะคิดหาวิธีที่ดีให้นำมาใช้ได้ จั่งซุนตายไม่ได้และไม่ตายได้
อวิ๋นเยี่ยอยากจะเห็นการต่อสู้แย่งชิงระหว่างฮองเฮาผู้โด่งดังนับพันปีกับฮ่องเต้หญิงแห่งยุคว่าจะเป็นอย่างไร เมื่อวานนี้อู่ซื่อเยวียเข้าเมืองหลวงแล้วในฐานะนักรบ ลูกหลานของเขาแน่นอนว่าต้องมาเรียนที่สำนักศึกษาแห่งนี้ ลูกสองคนของเขาต้าอู่และเสียวอู่ดูไปแล้วช่างโง่เขลา เพียงแต่ไม่เห็นลูกสาวของเขา ไม่รู้ว่าจะเป็นหญิงงามมากความสามารถหรือจะเป็นนางปีศาจกันแน่
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น