เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 5 ตอนที่ 25-26
ตอนที่ 25 การเปลี่ยนแปลงของมังกร
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เจ้าเข้ามาได้อย่างไร” อวิ๋นเยี่ยจู่ๆ ก็คิดถึงคำถามนี้ขึ้นทันที ถ้าหากไม่ว่าใครก็สามารถเข้าออกเรือนจำของต้าหลี่ซื่อได้ คาดว่าชีวิตน้อยๆ ของตัวเองช้าเร็วจะต้องรักษาไว้ไม่อยู่แน่ เรื่องนี้ต้องถามให้ชัดเจน
“เจ้าวางใจได้ การป้องกันของเจ้ามิดชิดไม่มีรั่วไหล พี่ชายเสียเงินห้าร้อยก้วนเพื่อซื้อพระพุทธรูปหยกคุณภาพต่ำที่มีราคาเพียงสองก้วนมาจึงได้ขอให้ไต้โจวเปิดทางเข้ามาในต้าหลี่ซื่อ โดยให้หนังสือคำสั่งแก่ข้ามาหนึ่งฉบับจึงสามารถเข้ามาได้ ใครจะรู้ว่า องครักษ์หกคนของวังหลังเฝ้าคุมอยู่ด้านนอกห้องขังของเจ้า ทั้งยังมีอีกหกคนที่ฮองเฮาส่งมาด้วย พวกเขาตรวจดูสิ่งที่ข้าส่งเข้ามาอย่างละเอียด จึงได้อนุญาตให้เข้ามา”
หลังจากฟังคำอธิบายด้วยความปลาบปลื้มของเหอเซ่าแล้ว คอของอวิ๋นเยี่ยรู้สึกเกร็ง เขาชี้ไปที่ชามเปล่าที่ใส่ชีสเหลวแล้วถามเหลาเหอว่า “ของสิ่งนี้ก็ตรวจสอบด้วยหรือ”
เหอเซ่านั้นไม่พอใจกับความรักสะอาดของอวิ๋นเยี่ยมานานแล้ว จึงพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “แน่นอนอยู่แล้ว ยังมีชายสองคนทดลองกินก่อนด้วยแล้วพูดว่าอร่อย ไร้สาระ “ขนมเปี๊ยไส้เนื้อและชีสเหลวของท่านป้าเฉาคนธรรมดาทั่วไปสามารถซื้อได้อย่างนั้นหรือ”
อวิ๋นเยี่ยยืนเท้ากำแพงและอาเจียนสองสามครั้ง เขาเข้าใจดีแล้วว่าเหตุใดเมื่อต้องกินอาหารเหลือแล้วหลี่เค่อจึงเคียดแค้นมากถึงเพียงนั้น
“เอ๋ เกือบลืมถามเจ้าไป เจ้าเสียเงินห้าร้อยก้วนเพื่อซื้อขยะเกี่ยวอะไรกับการที่ไต้โจวมอบหนังสือคำสั่งให้เจ้าด้วย” พยายามอยู่เป็นนานจึงหยุดอาการคลื่นไส้ได้ อวิ๋นเยี่ยจึงถามเหล่าเหอเกี่ยวกับเรื่องของไต้โจว เหล่าไต้กล่าวได้ว่าเป็นตัวแทนของบุคคลที่มือสะอาดดั่งน้ำใส ทำอะไรชัดเจนดั่งกระจก หากนำมาโยงเข้ากับเงินห้าร้อยก้วนก็แลดูจะแปลกประหลาดไปเสียหน่อย
“อย่าได้ป้ายสีไต้โจวเด็ดขาด แต่ไหนแต่ไรมาเหล่าไต้ไม่เคยไว้หน้าใคร มีหรือจะทำเรื่องที่น่ารังเกียจเหล่านี้เพื่อเงินทองเล็กๆ น้อยๆ หากข้ามอบเงินห้าร้อยก้วนให้กับเหล่าไต้ บางทีเขาอาจจะจับข้าโยนเข้าคุกทันที ข้าก็เพียงแค่เต็มใจเสียเงินห้าร้อยก้วนเพื่อซื้อพระพุทธรูปหยกคุณภาพต่ำที่มีราคาเพียงสองก้วนก็เท่านั้นเอง เรื่องที่เจ้ายินดีข้าเต็มใจมีอะไรผิดกัน เพียงแต่เรื่องค่อนข้างจะบังเอิญไปเสียหน่อย ร้านนั้นบังเอิญเป็นร้านที่พี่ชายของอนุภรรยาของเหล่าไต้เป็นเจ้าของเท่านั้นเอง”
เหล่าเหอรู้สึกไม่พอใจอย่างมากกับการที่อวิ๋นเยี่ยไปกล่าวหาว่าเหล่าไต้รับสินบน จึงอธิบายอย่างเคร่งขรึมพร้อมด้วยเหตุผล เหล่าไต้รับเงินและจัดการให้อย่างเรียบร้อย เจ้ายังจะไม่พอใจอะไรอีกหรือ ขุนนางที่ซื่อสัตย์เช่นเหล่าไต้ในใต้หล้านี้มีไม่มาก ห้ามเพิ่มข้อกล่าวหาว่าเป็นขุนนางทุจริตให้เขาอย่างเด็ดขาด นอกจากนี้หากเหล่าไต้ไม่ได้เปิดร้านค้า มีเพียงเงินเดือนของเขาจะสามารถเลี้ยงอนุภรรยาถึงสี่คนได้อย่างไร คนครอบครัวใหญ่ ข้าวสารที่ฉางอันก็แพงมาก หากไม่มีรายได้สีเทาเข้ามาบ้าง เจ้าจะให้เหล่าไต้อดข้าวตายกันหรืออย่างไร
“ถ้าหากข้าใช้ทองคำในหีบที่ได้รับจากเถียนเซียงจื่อไปซื้อตะปูเหล็กที่ร้านพี่ชายของเหล่าไต้ ข้าจะได้รับการปล่อยตัวในวันพรุ่งนี้หรือไม่” อวิ๋นเยี่ยนั่งครุ่นคิดพลางถามเหล่าเหอ
“ฝันไปเสียเถอะ! หากไม่มีราชโองการของเรา แม้เจ้าขนย้ายทองคำทั้งหมดในใต้หล้ามาไว้ที่นี่ก็ไม่เกิดประโยชน์” ไม่รู้ว่าหลี่ซื่อหมินยืนสองมือไพล่หลังอยู่ด้านนอกห้องขังตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ดูเหมือนว่าเขาจะยืนอยู่นานแล้ว ไต้โจวที่ยืนสูดหายใจลึกๆ อยู่ด้านข้างไม่หยุดดูเหมือนว่าจะปวดฟันมาก ที่หน้าผากก็มีเหงื่อออก
ยังไม่ทันรอให้อวิ๋นเยี่ยถวายบังคม หลี่ซื่อหมินก็พูดกับเหอเซ่าว่า “ไสหัวออกไป ประเดี๋ยวค่อยคิดบัญชีกับเจ้า หน้าตาของขุนนางที่สร้างความดีความชอบของต้าถังถูกเจ้าทำลายจนย่อยยับหมดแล้ว”
เหอเซ่าล้มลุกคลุกคลานออกจากห้องคุมขังไป หลี่ซื่อหมินมองไต้โจวอีกครั้งแล้วพูดกับเขาว่า “การค้าของบ้านเจ้าควรจะปิดทำการแล้วจริงไหม”
ไต้โจวมองอวิ๋นเยี่ยด้วยความขุ่นเคืองและพูดซ้ำๆ ว่า “จากนี้ไปจะไม่มีร้านค้าอีกแล้ว เจ้าของร้านก็ควรกลับไปทำนาที่บ้านเกิดแล้ว” หลังจากพูดจบก็รีบจากไปอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่าไปหาเหล่าเหอเพื่อคิดบัญชีหรือว่ากลับไปปิดร้านด้วยตัวเองแล้ว
หลี่ซื่อหมินก้าวเข้ามาในห้องขัง ขันทีก็เช็ดม้านั่งในห้องขังซ้ำแล้วซ้ำอีกทันทีแล้ววางไว้ให้หลี่ซื่อหมินนั่งอย่างระมัดระวัง รอให้ฮ่องเต้นั่งนิ่งแล้วจึงก้มศีรษะเดินจากไป
“รู้สึกว่าถูกใส่ร้ายหรือไม่” หลังจากหลี่ซื่อหมินนั่งอย่างองอาจผึ่งผายแล้ว ประโยคแรกที่ถามอวิ๋นเยี่ยก็คือรู้สึกว่าเขาคับข้องใจหรือไม่
“คราวนี้ไม่มี เมื่อรับเบี้ยหวัดของทางการก็ต้องแบ่งเบาปัญหาให้กับกษัตริย์ นี่คือหน้าที่ของข้าราชบริพาร กระหม่อมคือข้ารับใช้ของฝ่าบาท ในศีรษะนี้จะใช้อย่างไรเคลื่อนไหวอย่างไรแน่นอนว่าต้องฟังคำสั่งของฝ่าบาท หากเป็นเพราะกลัวสกปรกจึงไม่ยอมไปขุดห้องน้ำ ยังจะมีสถานที่สะอาดในใต้หล้านี่อีกหรือ”
เมื่อเป็นขุนนางก็ต้องมีสติตื่นตัว เตรียมพร้อมที่จะถูกผู้อื่นหลอกใช้อยู่ตลอดเวลา หากต้องการวางตัวให้สูงส่งขาวสะอาด การไปเป็นคนป่าในภูเขาที่รกร้างในแดนไกลถือเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวอย่างหนึ่ง
“เราฟังเข้าใจได้ว่าเจ้าไม่ได้ขุ่นเคืองอะไรเรา รักษาบทบาทหน้าที่ของตัวเองได้ดีมาก แต่กลับดูถูกตระกูลใหญ่จากก้นบึ้งของหัวใจเพราะเหตุใด ต้องรู้ว่าตระกูลอวิ๋นของเจ้าก็เป็นตระกูลใหญ่เช่นกัน แม้ว่าบุตรชายของตระกูลจะไม่มากก็ตามที แต่ในเมืองฉางอันก็ยังสามารถนับจำนวนได้”
หลี่ซื่อหมินจงใจไม่ได้ยินคำว่า “คราวนี้” ถามอวิ๋นเยี่ยตรงๆ ว่าทำไมจึงเต็มไปด้วยความรู้สึกเป็นศัตรูกับกับตระกูลใหญ่
“กราบทูลฝ่าบาท แต่ไหนแต่ไรมากระหม่อมไม่เคยคิดว่าผู้ที่กินเนื้อไม่ใช่สิ่งที่น่าดูถูกเหยียดหยาม แต่คิดว่าในเมื่อจะกินเนื้อก็ควรต้องมีคุณสมบัติที่จะกินเนื้อด้วย ไม่จำเป็นว่าบรรพบุรุษกินเนื้อแล้วเจ้าก็จะต้องเป็นเช่นนั้นด้วย ในเมื่อไม่ได้มีคุณงามความชอบอะไรเหมือนพวกเขาเลย การกินเนื้อมันเป็นบาปอย่างหนึ่งเพราะเขาได้รับโดยไม่ต้องลงทุนลงแรง ทำนาบนหลังคนกินจนอ้วนพี ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็อธิบายไม่ได้ อีกทั้งสัตว์กินเนื้อบางคนก็เบื่อเนื้อสัตว์และต้องการเปลี่ยนรสชาติบ้าง ในที่สุดพวกเขาจึงหันเหมาสนใจมนุษย์เข้าและอยากกินคนขึ้นมา กระหม่อมอยากจะนำสัตว์กินเนื้อดังกล่าวมาต้มในหม้อเพื่อให้พวกเขารู้ว่าความเจ็บปวดเป็นเช่นไร”
หลี่ซื่อหมินอดหัวเราะไม่ได้และพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ในสำนักศึกษาเจ้าไม่ใช่ว่ากำลังเพาะบ่มสัตว์กินเนื้อตัวแล้วตัวเล่าหรือ รับประกันได้หรือว่าพวกเขาจะไม่ไปกินคน”
“ฝ่าบาท เหตุใดจึงรับสั่งว่าสำนักศึกษาของกระหม่อม ที่นั่นคือสำนักศึกษาของพระองค์ กระหม่อมเพียงแค่ใช้มันมาทำให้ความฝันของกระหม่อมเป็นจริง ผู้ที่จะได้ใช้งานจริงคือพระองค์และผู้ที่ได้รับผลประโยชน์ก็คือต้าถัง กระหม่อมเพียงแค่ต้องการติดตามอยู่ใต้ร่มเงาพระบารมีของฝ่าบาท เพื่อถวายการรับใช้ไปตลอดกาล เพื่อดูว่าต้าถังของพวกเราจะไปได้ไกลเพียงไหน”
ในใจของอวิ๋นเยี่ยรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย สำนักศึกษาเป็นสิ่งหนึ่งที่เขาต้องการทำให้สำเร็จมากที่สุดตั้งแต่เขามาถึงราชวงศ์ถัง ถ้าเปรียบเทียบสำนักศึกษากับชีวิตของเขา อวิ๋นเยี่ยรู้สึกว่าชีวิตน้อยๆ ของเขาไม่สำคัญอะไรอีกต่อไป ต้องพึ่งพาราชวงศ์ จำเป็นต้องพึ่งพาราชวงศ์ ในโลกแห่งความเป็นจริงนี้มีเพียงการพึ่งพาราชวงศ์เท่านั้นสำนักศึกษาจึงจะสามารถดำรงอยู่ต่อไปได้เป็นเวลานาน ในตอนนี้ยังอ่อนแอเกินไป ต้องรอจนถึงวันที่มันแข็งแกร่งพอที่จะทนต่อลมมรสุมต่างๆ ได้ก่อน จึงจะเป็นเวลาที่มันได้แสดงแสนยานุภาพอย่างแท้จริง
“ฮึ เราส่งลูกชายทั้งสองไปยังสำนักศึกษา ขัดแย้งกับคำคัดค้านของเหล่าขุนนางไม่ยอมให้พวกเขาไปยังที่ดินพระราชทาน ก็เพื่อต้องการจะเห็นว่าสำนักศึกษานั้นมีอะไรดีกันแน่ ซึ่งในขณะนี้นับว่าไม่เลว เพียงแต่เจ้าหนุ่ม เจ้าเล็งเป้าหมายไปที่พวกเขา ภายหน้าอย่าได้เสียใจภายหลังเสียล่ะ ลูกมังกร ลูกมังกร เจ้าหนุ่ม เจ้าต้องรู้ว่ามังกรก็กินคน นี่คือหลักการที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เจ้าอย่าเพิ่งคิดว่าตอนนี้สามารถเก็บเขี้ยวเล็บมังกรได้ชั่วคราว ช้าเร็วสักวันหนึ่งเจ้าจะพบว่ามังกรคือมังกร แม้เก็บซ่อนเขี้ยวเล็บไว้ก็ยังเป็นมังกรอยู่ดี”
อวิ๋นเยี่ยไม่รู้ว่าหลี่ซื่อหมินไปเอาความหลงตัวเองมาจากที่ใด ในประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่าเขาปั่นหัวเหล่าขุนนางเอาไว้ในกำมือ แต่เขากลับมองลูกทุกคนผิดไป ถูกต้อง ดูผิดไปทั้งหมด เฉิงเฉียนถูกเขาบีบคั้นจนกลายเป็นคนวิปริต ชิงเชวี่ยถูกเขาล่อลวงจนกลายเป็นคนโง่ไป หลี่เค่อถูกเขามอบความหวังจอมปลอมบดบังจนสับสนปนเป เกาหยางกลายเป็นหญิงปล่อยเนื้อปล่อยตัว ทั้งยังเป็นหญิงปล่อยเนื้อปล่อยตัวที่ก่อกบฏอีกด้วย หลานหลิงกลายเป็นหมากตัวหนึ่งที่เขาใช้ในการควบคุมตระกูลโต้ว ไม่มีความสุขเลยชั่วชีวิต ลูกชายเขามีกี่คนกันที่มีจุดจบที่ดี มีสิทธิ์วิพากษ์วิจารณ์พวกเขาหรือ
ยังจะบอกว่ามังกรก็คือมังกร สิ่งมีชีวิตชนิดนั้นมีอยู่จริงหรือไม่ หากเจ้ามีความสามารถจริงก็จับมาให้ดูสักตัวหนึ่งได้ไหม สมมติว่าพวกเฉิงเฉียนกลายเป็นพวกหัวรุนแรง มันก็เป็นเพราะได้รับอิทธิพลจากคนบ้าเช่นเจ้า ไม่มีข้อจำกัดใดๆ ในอำนาจของเจ้า ไม่ว่าในหัวจะคิดอะไรก็ล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น คิดว่าลูกของตัวเองก็ควรจะเป็นเหมือนตัวเอง เจ้าเคยคลั่งไคล้ในอำนาจมาก่อน หรือว่าต้องการให้ลูกของตัวเองก็มาคลั่งไคล้ในอำนาจเช่นเดียวกัน
เฉิงเฉียนเป็นคนหนุ่มที่ดีมาก ชิงเชวี่ยเป็นคนหนุ่มที่เฉลียวฉลาด หลี่เค่อเป็นคนหนุ่มที่ไม่หยุดยั้ง หากเด็กสามคนไม่เดินออกนอกเส้นทางก็ควรจะกลายเป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก โลกนี้กว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ หลี่ซื่อหมิน เจ้ามีความสามารถให้พื้นที่ส่วนหนึ่งแก่พวกเขาเพื่อแสดงความสามารถ แต่กลับกักขังพวกเขาไว้ในเมืองฉางอันทั้งเป็น ปล่อยให้พวกเขาน้ำลายไหลอยู่กับบัลลังก์ ซึ่งนี่ถือเป็นคนดีหรือ นานวันเข้าก็จะกลายเป็นวิปริต อย่าคิดว่าฉันไม่รู้อะไร เกี่ยวกับเรื่องนี้ บางทีความโฉดชั่วของชาวตงอิ๋งอาจจะเป็นเจ้าสอนออกมาก็ได้ เขารู้สึกรังเกียจคนสารเลวประเภทนี้ที่สอนให้เด็กดีๆ ต้องกลายเป็นปีศาจร้ายมากที่สุด
“เจ้าหนุ่ม แววตาเจ้าดูประหลาดมาก หรือว่าเราพูดผิด” หลี่ซื่อหมินกำลังวิพากษ์วิจารณ์จุดแข็งและจุดอ่อนของลูกๆ ของเขาจนน้ำลายแตกฟอง แต่กลับพบว่าอวิ๋นเยี่ยตกอยู่ในอาการงุนงง เขาจึงไม่ค่อยพอใจนัก
“หามิได้ กระหม่อมกำลังคิดทบทวนพระบรมราโชวาทของฝ่าบาท ทุกคำล้วนทรงคุณค่าจริงๆ วิเคราะห์ได้อย่างแตกฉาน สามารถกล่าวได้ว่าจี้ใจดำทุกคำ ตรงประเด็นทุกประโยค ความคิดเห็นของเหล่าโอรสของพระองค์ทำให้กระหม่อมหูตาเปิดกว้างและตระหนักได้ในทันที มีความรู้สึกว่าได้เห็นทางสว่าง ซึ่งสิ่งนี้ได้ให้จิตใจที่เคารพเลื่อมใสของกระหม่อมที่มีต่อฝ่าบาทยิ่งมั่นคงขึ้นอีก การบรรยายลักษณะของมังกรของพระองค์ทำให้กระหม่อมรู้สึกประทับใจและนับถือ”
การจะประจบประแจงหลี่ซื่อหมินก็ต้องเลือกเวลาด้วย เยินยอเพิ่มในขณะที่เขากำลังกระหยิ่มยิ้มย่อง จะจี้ก็ต้องจี้ให้ตรงจุด จึงจะให้ได้ผลลัพธ์ดีขึ้นเป็นเท่าตัว ดังเช่นตอนนี้ที่เป็นโอกาสดีที่จะประจบประแจง
“หลังจากฟังคำบรรยายมังกรของฝ่าบาทแล้ว ทำให้กระหม่อมนึกขึ้นได้ว่าอาจารย์ก็เคยบรรยายมังกรไว้ด้วยเช่นกัน ไม่ทราบว่าฝ่าบาททรงสนพระทัยที่จะฟังคำบรรยายของอาจารย์หรือไม่” จะประจบทั้งทีก็ต้องจัดเต็ม อวิ๋นเยี่ยเข้าใจดีถึงจุดประสงค์การมาในวันนี้ของหลี่ซื่อหมิน ว่าไม่ได้มาเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับปัญหาการศึกษาของเหล่าองค์ชาย ตั้งแต่ที่เขาได้รู้จากปากเหอเซ่าว่าโต้วจงได้กลายเป็นเจ้าบ้านคนใหม่ของตระกูลโต้ว เบื้องหน้าของอวิ๋นเยี่ยก็ปรากฏภาพเมื่อตอนที่เขาได้พบกับหลี่อันหลานเมื่อหนึ่งปีก่อนขึ้น ชายที่ได้พบกันตั้งแต่เช้าตรู่บริเวณนอกวัง ตอนนี้มาย้อนคิดดู ชายคนนั้นไม่มีลักษณะเด่นอื่นใดนอกจากรูปลักษณ์ที่น่าเกลียด อยากจะให้ฉันเป็นบันไดไปสู่เป้าหมายให้เจ้าบ้านคนใหม่ของตระกูลโต้วงั้นรึ ไม่มีทาง!
“อาจารย์เจ้าเป็นผู้สูงส่งแห่งยุค สิ่งที่เขาพูดและวิจารณ์จะต้องแตกต่างจากคนธรรมดาแน่ รีบๆ ว่ามา เรารอฟังอยู่”
“มีอยู่วันหนึ่ง เมื่อท้องฟ้ามืดมัวใกล้จะมีฝนตกหนัก เมฆดำลอยตัวอยู่บนท้องฟ้า ในท้องฟ้าดูเหมือนว่ามังกรสองตัวกำลังต่อสู้กัน กระหม่อมจึงถามอาจารย์ว่ามังกรมีลักษณะอย่างไร อาจารย์กล่าวว่า มังกรนั้นสามารถขยายตัวใหญ่และหดตัวให้เล็กได้ สามารถทะยานขึ้นมาและซ่อนตัวได้ หากเป็นมังกรตัวใหญ่ก็จะมีอิทธิฤทธิ์มากมาย หากเป็นมังกรตัวเล็กก็จะซ่อนกายไม่ให้ใครเห็น หากทะยานขึ้นมาจะสามารถบินอยู่ระหว่างจักรวาลได้ หากซ่อนตัวก็จะฝังร่างไว้ใต้เกลียวคลื่น มังกรมักจะรอคอยโอกาสในการแปลงร่าง เฉกเช่นผู้ที่มีปณิธานกล้าแกร่งที่แสวงหาความสำเร็จไปทุกหนแห่ง นับตั้งแต่ที่ฝ่าบาทเคลื่อนกองกำลังที่ไท่หยวนก็กรำศึกนับไม่ถ้วนจนได้แผ่นดินมาครองเฉกเช่นมังกรที่เหินอยู่บนท้องฟ้า สำแดงอิทธิฤทธิ์ สร้างความสงบสุขให้ใต้หล้า ตอนนี้แผ่นดินสงบสุขแล้ว ต้าถังของพวกเรากำลังรอรับการเข้าสู่ยุคใหม่ กระหม่อมขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาทด้วยพ่ะย่ะค่ะ! “
อวิ๋นเยี่ยใช้น้ำเสียงให้เกียรติอย่างที่สุดในการท่องคำบรรยายเกี่ยวกับมังกรของโจโฉในเรื่องสามก๊กออกมา โจโฉออกโรงเองช่างเหนือผู้คนทั่วไปจริงๆ หลี่ซื่อหมินฟังจนรู้สึกปลาบปลื้มเป็นที่สุด ลูบเคราสั้นๆ กำลังเตรียมจะแสดงความคิดเห็น ก็ได้ยินเสียงที่น่ารังเกียจดังมาจากนอกห้องขัง “ฝ่าบาท คำลวงชวนเชื่อของหลานเถียนโหว โดยใช้มังกรเป็นสัญลักษณ์ถือเป็นการดูหมิ่นเป็นอย่างมาก ขอฝ่าบาททรงลงอาญาบุคคลคนนี้ที่ประจบประแจงพูดคำลวงชวนหลงเชื่อให้หนัก มิเช่นนั้นแล้วอาจทำให้กระเทือนต่อพระอัจฉริยภาพของฝ่าบาทได้”
“ใคร”
หลี่ซื่อหมินและอวิ๋นเยี่ยจ้องมองผู้ที่มาด้วยความโกรธพร้อมกัน
——
ส่วนที่ 5
ตอนที่ 26 ชดใช้ ชดใช้
หลี่ซื่อหมินและอวิ๋นเยี่ย คนหนึ่งฟังคำประจบสอพลอจนเคลิบเคลิ้มเป็นที่สุด อีกคนหนึ่งในใจแฝงไว้ด้วยเป้าหมาย เตรียมพร้อมที่จะร้องขอจากฮ่องเต้ทุกเวลา ใครจะรู้ว่าในเวลาเข้าด้ายเข้าเข็มเช่นนี้ กลับมีพวกไม่รู้กาละเทศะเข้ามาขัดคอ แล้วจะไม่ให้หลี่ซื่อหมินและอวิ๋นเยี่ยโกรธได้อย่างไร จะไม่ให้เห็นเป็นศัตรูได้อย่างไร
คนประเภทรนหาที่ทั้งยังน่ารังเกียจ นอกจากเว่ยเจิงแล้วยังจะมีใครอีก ความโกลาหลเมื่อวานนี้ทำให้ผู้คนใต้หล้าต่างอกสั่นขวัญแขวน เหล่าขุนนางบุ๋นบู๊พากันวิตกกังวลอยู่ไม่เป็นสุข กว่าจะปลอบขวัญให้ประชาชนฉางอันสงบลงได้ไม่ใช่ง่าย บ้านตระกูลโต้วกลายเป็นซากปรักหักพัง โต้วหวยเอินถูกชาวบ้านตีจนตายทั้งเป็น โต้วหวยอี้เห็นสถานการณ์ไม่ดีจึงได้แขวนคอตาย เจ้าบ้านตระกูลโต้วตายด้วยความหวาดกลัว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสาวใช้และคนรับใช้ที่ตายไปอีกนับไม่ถ้วน เวลาสั้นๆ เพียงสองชั่วยามก็มีคดีข่มขืนสามสิบเอ็ดคดีและคดีฆาตกรรมเกิดขึ้นสิบเจ็ดคดี ส่วนการปล้นนั้นมีอีกนับไม่ถ้วน ไม่เพียงแต่ตระกูลโต้วต้องพบกับภัยพิบัติ แม้แต่เพื่อนบ้านละแวกใกล้ๆ อีกสามครอบครัวก็ถูกปล้นด้วย นายหญิงของเพื่อนบ้านถูกขืนใจ หากไม่ใช่เพราะจินอู๋เว่ยลงมือได้ทันการณ์ การจลาจลจะกระจายไปทั่วเมือง ความโหดร้ายของมนุษย์ปรากฏออกมาท่ามกลางความโกลาหลจนหมดสิ้น
ในฐานะเก่ยซื่อจง[1] จะไม่ให้เว่ยเจิงโกรธได้อย่างไร ระบบระเบียบที่เหล่าขุนนางต้าถังพยายามรักษาเอาไว้อย่างเต็มที่กลับถูกทำลายลงจนไม่เหลือชิ้นดีภายในวันเดียว ทั้งยังสร้างแบบอย่างอันเลวร้ายอย่างยิ่งสำหรับชนรุ่นหลัง ซึ่งก็คือหากมีความไม่พอใจ ก็จะรวมตัวกันเพื่อก่อความโกลาหล
ฝางเสวียนหลิงปิดปากนิ่งเงียบเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตู้หรูฮุ่ยหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงเรื่องนี้ เหล่าตระกูลใหญ่เก็บตัวเงียบเหมือนจักจั่นไม่ร้องในฤดูหนาว ปิดประตูไม่ต้อนรับแขก อวี้ฉือกงตะโกนเสียงดังว่าเยี่ยม ปรบมืออย่างสะใจ เรื่องตระกูลโต้วถือว่าเป็นการรนหาที่เอง เว่ยเจิงยังไม่โง่พอที่จะกระตุกหนวดเสือของฮ่องเต้ แต่เพื่อนบ้านเหล่านั้นที่ติดร่างแหรับเคราะห์ไปด้วยมีความผิดอันใด นายหญิงของเพื่อนบ้านที่ถูกขืนใจได้พยายามฆ่าตัวตายถึงสองครั้งแล้ว แม้ว่าเพื่อนบ้านจะเป็นเพียงเฉิงซื่อกวน[2]ตัวเล็กๆ แต่ก็เป็นขุนนางเช่นกัน อาศัยในบ้านที่สืบทอดจากบรรพบุรุษ แต่คราวนี้บ้านก็ถูกไฟเผาไปกว่าครึ่งหนึ่ง เสียหายอย่างหนัก แต่ไม่รู้จะไปร้องทุกข์ที่ใด ทั้งครอบครัวได้แต่กุมศีรษะร้องไห้อยู่ในกองซากปรักหักพังเท่านั้น
เว่ยเจิงผู้ซึ่งมาตรวจสถานที่เกิดเหตุย่อมต้องรู้สึกโกรธจนเลือดขึ้นหน้า ความโกรธแค้นแน่นอกอย่างแน่นอน ตัดสินใจไปที่ต้าหลี่ซื่อเพื่อฟ้องร้องอวิ๋นเยี่ยที่เป็นตัวการใหญ่ เพื่อบรรเทาความโกรธแค้นในใจ อีกทั้งจะถือโอกาสดูว่าจะได้รับค่าชดเชยจากอวิ๋นเยี่ยหรือไม่ เพื่อจะได้ไปปลอบใจเหยื่อผู้บริสุทธิ์เหล่านั้น
ใครจะคิดว่าอวิ๋นเยี่ยอยู่ในคุกก็ยังคงหาได้สำนึกผิดไม่ ทั้งยังพูดฉะฉานหว่านล้อมประจบประแจงให้หลงเชื่อ ซึ่งไม่ควรให้อภัยอย่างเด็ดขาด
“ฝ่าบาททรงมีพระวรกายอันล้ำค่า แต่ทรงลดตัวมาถึงเรือนจำซึ่งเป็นสถานที่สกปรก กระหม่อมยังคิดว่าจะทรงเสด็จมาเพื่อสั่งสอนพวกที่กลับกลอก ไหนเลยจะคิดถึงว่านายบ่าวจะเสวนากันอย่างสนุกสนาน เห็นชีวิตคนไร้ค่า มนุษย์เล่าเป็นอะไร เห็นขุนนางสับปลับที่เห็นชีวิตคนเป็นผักปลาเป็นคนรู้ใจ กระหม่อมรู้สึกไม่คู่ควรแทนฝ่าบาทยิ่งนัก”
เว่ยเจิงที่มีผิวสีแสดงท่าทียอมรับไม่ได้ นิ้วชี้และนิ้วกลางยื่นตรงชี้ไปที่อวิ๋นเยี่ยพร้อมทั้งต่อว่าว่าเป็นขุนนางขี้ประจบ ซึ่งพฤติกรรมนี้ไหนเลยทำให้หลี่ซื่อหมินที่เมื่อครู่กำลังพูดคุยกับอวิ๋นเยี่ยอย่างถูกคอรู้สึกดี จึงตะโกนว่า “เว่ยเจิง เจ้าบังอาจ เราจะพูดเล่นกับขุนนางบ้าง มีอะไรไม่ได้กัน”
“หากปกติฝ่าบาททรงหยอกล้อเล่นกับอวิ๋นเยี่ย กระหม่อมย่อมไม่กล้ายุ่งวุ่นวายอย่างแน่นอน แต่เสียงร่ำไห้ที่ตรอกซิ่งฮว่าฟางนั้นเป็นที่น่าสังเวชมาก หรือว่าฝ่าบาทจะไม่ทรงไยดีต่อความทุกข์ร้อนของประชาชนและขุนนางแม้แต่น้อยนิดเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ” ในที่สุดก็ได้มีโอกาสเห็นความแข็งกร้าวของเว่ยเจิงต่อหน้าพระพักตร์แล้ว ได้ยินว่าเขาไม่เคยใส่ใจต่อสีหน้าของฮ่องเต้ เมื่อมีโอกาสก็จะทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ บางครั้งก็ยังบั่นทอนบารมีของฮ่องเต้อีกด้วย ตอนนี้ดูไปแล้วเขาก็ทำสำเร็จจริงดังว่า
มือของหลี่ซื่อหมินกำสลับแบไม่หยุด ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่จะต้องโกรธมากในตอนนี้ อวิ๋นเยี่ยมองดูชุดชั้นในของตัวเองพลางครุ่นคิดว่า เขาควรเรียนรู้จากจั่งซุนหรือไม่ ที่เปลี่ยนมาสวมชุดขุนนางแล้วแสดงความยินดีกับฮ่องเต้ที่มีขุนนางดีที่พร้อมจะทำให้หงุดหงิดใจอีกคนหนึ่ง
เขาทำให้ฮ่องเต้พูดอะไรไม่ออกแล้ว แน่นอนว่าพุ่งเป้าไปที่อวิ๋นเยี่ย การที่ชอบกระตุกหนวดเสืออยู่บ่อยๆ นั้นวันหนึ่งจะต้องเกิดเรื่อง
“ห้าร้อยก้วน!” อวิ๋นเยี่ยยื่นมือออกไปแล้วแบมือแสดงเลขห้า จนจะไม่ทะเลาะกับเว่ยเจิงอย่างเด็ดขาด เพราะเขานั้นหากินอยู่กับการด่าว่าผู้อื่น การทะเลาะกับเขาต้องถูกเขาด่าไม่เหลือชิ้นดีแน่ คนฉลาดจะไม่พึงกระทำ ไม่ว่าเขาจะโกรธแค้นเท่าไร เขาเพียงแค่ต้องการจะชดเชยให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบบ้างเท่านั้น เรื่องที่สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยเงิน อวิ๋นเยี่ยจะไม่รนหาเรื่องอย่างเด็ดขาด ไม่เห็นหรือว่าเขาทำให้ฮ่องเต้โกรธจนแทบชักแล้ว
“ฮึ! เจ้าเป็นคนที่มีโทษติดตัว เจ้าไม่มีสิทธิจะได้พูด อายุน้อยๆ แต่กลับลงมืออย่างโหดเ**้ยม ปลุกระดมชาวบ้านเพื่อทำงานให้ตนเอง ใจดำอำมหิต!” พูดด้วยความเจ็บแค้นใจเช่นเดิม พูดตำหนิด้วยวาทะที่เถรตรงมากด้วยเหตุผลเช่นเดิม แต่ทว่าคำว่าขุนนางขี้ประจบหายไปไหนเสียแล้ว
“หนึ่งพันก้วน!” ไม่มีคำว่าขุนนางขี้ประจบนี่ถือเป็นเรื่องที่ดี อวิ๋นเยี่ยตัดสินใจขึ้นราคา เพื่อดูว่าจะสามารถลบคำว่าใจดำอำมหิตออกไปได้หรือไม่
“เพื่อให้บรรลุเป้าหมายแล้วเจ้าไม่เลือกวิธีการ ท่ามกลางการจลาจล มีคดีข่มขืนเกิดขึ้นสามสิบเอ็ดคดี ตายไปสิบเจ็ดชีวิต นี่คือบาปกรรมที่เจ้าสร้างขึ้นในสองชั่วยาม เจ้ายังจะมีหน้าไปพบพ่อแม่พี่น้องชาวฉางอัน มีหน้าเข้าไปยืนในราชสำนักในฐานะขุนนางที่สร้างความชอบด้วยความภาคภูมิใจอีกหรือ”
เจ้าคนสารเลว กัดคนอื่นไม่ยอมปล่อยเลย เงินหนึ่งพันก้วนสามารถสร้างอาคารได้สามหลังทั้งยังมีเหลือ แม้แต่ความตายและการบาดเจ็บของตระกูลโต้วก็นับเป็นความผิดของอวิ๋นเยี่ย นี่มันจะมากเกินไปแล้ว หลี่ซื่อหมินดูเหมือนจะหายโกรธแล้ว เอามือไพล่หลังฟังการสนทนากันระหว่างขุนนางทั้งสองอย่างสนุกสนาน
เว่ยเจิงนั้นล่วงเกินไม่ได้และไม่กล้าด้วย เมื่อมาคิดๆ ดู ในหนังสือประวัติศาสตร์ได้ยกย่องผู้ที่อยู่เบื้องหน้าท่านนี้ว่าเป็นกระจกเงาสะท้อนคนมานานนับพันปี ขอเพียงถูกกระจกบานนี้ส่องเข้าให้ ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ใหญ่หรือเล็กล้วนถูกบันทึกไว้หมด อวิ๋นเยี่ยไม่อยากให้หนังสือประวัติศาสตร์บันทึกว่าเว่ยเจิงได้วิพากษ์วิจารณ์คุณชายเสเพลอวิ๋นเยี่ยไว้ จึงได้แต่ต้องทนเจ็บและจ่ายเงิน แต่การชดใช้เงินให้กับตระกูลโต้วทำให้อวิ๋นเยี่ยหงุดหงิดเป็นอย่างมาก
“หนึ่งพันห้าร้อยก้วน อีกหนึ่งชั่วยามให้หลัง เหอเซ่าจะส่งเงินไปยังที่ว่าการของเขตฉางอันและขอให้ใต้เท้าคอยตรวจควบคุมด้วย”
เว่ยเจิงสะบัดแขนเสื้อแล้วหันไปถวายบังคมหลี่ซื่อหมินด้วยความเคารพ พูดเพียงประโยคเดียว “กระหม่อมขอทูลลา ตอนนี้ที่ตรอกซิ่งฮว่าฟางเหลือแต่ซากปรักหักพัง กระหม่อมต้องทำการตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ ขอฝ่าบาททรงอนุญาตด้วย” หลี่ซื่อหมินมองเว่ยเจิงด้วยแววตาประหลาดใจ เดิมคิดว่าวันนี้อวิ๋นเยี่ยจะต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์ทั้งคำพูดและลายลักษณ์อักษร คิดไม่ถึงว่าจะแก้ปัญหาได้ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่ประโยค เดิมคิดว่าไม่แน่ว่าตนเองอาจจะต้องใช้อำนาจในการทำให้เรื่องนี้จบลง ตอนนี้ดูเหมือนว่าไม่จำเป็นแล้ว
“เว่ยชิง เจ้าไปตรวจดูสถานที่เกิดเหตุที่ตรอกซิ่งฮว่าฟาง เรายังต้องอยู่สั่งสอนเด็กคนนี้ให้เต็มที่เสียหน่อย”
เรื่องนี้ในสายตาของเว่ยเจิงดูเหมือนจะเป็นเรื่องใหญ่มาก แต่ในสายตาของหลี่ซื่อหมินมันไม่ใช่เรื่องใหญ่ สิ่งที่เขาใส่ใจก็คืออวิ๋นเยี่ยถึงกับสามารถปลุกปั่นอารมณ์ของผู้คนด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ ทักษะนี้ทำให้เขาค่อนข้างกังวลเล็กน้อย เพียงแต่เมื่อคิดถึงว่าอวิ๋นเยี่ยกำลังทำการสอนสิ่งเหล่านี้ในสำนักศึกษาอย่างไม่กังวล ก็ไม่น่ามีอะไรจะต้องคัดค้าน แม้ว่าความสามารถนั้นมหัศจรรย์ แต่ถ้าหากมีผู้คนจำนวนมากใช้เป็นแล้วก็จะไม่มีประสิทธิผลที่อัศจรรย์อะไรแล้ว
แววตาของหลี่ซื่อหมินนั้นแปลกประหลาดมาก ไม่ต้องพูดก็รู้ว่า หากอวิ๋นเยี่ยต้องการออกจากห้องขัง ถ้าไม่กระอักเลือดคงไม่ได้ออก ทองคำที่เถียนเซียงจื่อให้มานั้นค่อนข้างร้อนมือ หากภายหน้ามีคนใช้มันมาฟ้องร้องอวิ๋นเยี่ย แม้เขาจะมีหนึ่งพันปากก็แก้ต่างๆ ไม่ได้ อย่างไรเสียเถียนเซียงจื่อก็เป็นอาชญากรที่ต้าถังต้องการตัว ตอนนี้มอบให้หลี่ซื่อหมินก็เท่ากับเติมเต็มหลุมนี้ได้แล้ว ภายหน้าหากแม้ว่ามีใครมาตามสืบเสาะ เขาหรือจะมีความสามารถมากพอจะเอาทองคำจากมือของหลี่ซื่อหมินกลับมาเป็นหลักฐาน
“ฝ่าบาท ขณะที่อยู่ทุ่งหญ้ากระหม่อมได้พบชายคนหนึ่งชื่อเถียนเซียงจื่อ เขาได้มอบ**บทองคำให้กระหม่อมหนึ่ง**บ กระหม่อมไม่กล้านำไปใช้โดยพลการ ขอฝ่าบาททรงโปรดจัดการกับทองคำนี้ด้วย”
“เถียนเซียงจื่อ ในหนังสือโบราณบันทึกไว้ว่าเขาเป็นลูกศิษย์ของมั่วตี๋ ต่อมากลายเป็นผู้นำของตระกูลมั่ว เขามีชีวิตอยู่ยาวนานมากถึงเพียงนี้เชียวหรือ” ความสนใจในทองคำของหลี่ซื่อหมินไม่ได้มากมายอะไร แต่เขาสนใจว่ามีใครบางคนสามารถมีชีวิตอยู่ได้เป็นเวลากว่าพันปี ซึ่งสิ่งนี้ดึงดูดความสนใจเขาเป็นอย่างมาก
“ขอฝ่าบาทอย่าได้ทรงเชื่อข่าวลือ ในผู้นำแต่ละรุ่นของพวกเขาต่างก็จะถูกเรียกว่าเถียนเซียงจื่อ ซึ่งเถียนเซียงจื่อที่กระหม่อมได้เจอไม่รู้ว่าเป็นรุ่นที่เท่าไรแล้ว ซึ่งก็เป็นตาเฒ่าที่ใกล้จะลงโลงคนหนึ่ง ไม่มีความน่าอัศจรรย์แม้แต่น้อย”
เรื่องบางสิ่งสามารถปิดบังได้ แต่เรื่องของเถียนเซียงจื่อไม่ได้เป็นหนึ่งในเรื่องเหล่านั้น จะเป็นภัยมหันต์ตามมาในภายหลัง อวิ๋นเยี่ยจึงเริ่มเล่าเกี่ยวกับเรื่องนั้นโดยเริ่มตั้งแต่เมืองซั่วฟางไปจนถึงเรื่องที่ริมแม่น้ำหวงเหอที่เถียนเซียงจื่อเป็นฝ่ายเอ่ยปากมอบทองคำให้ตั้งแต่ต้นจนจบ
หลี่ซื่อหมินอาจไม่คุ้นเคยกับพื้นที่แคบๆ ในห้องขัง คุยกับอวิ๋นเยี่ยพลางเดินออกไปนอก เขาเองก็ไม่ได้รู้สึกสนใจจะคุยกับอวิ๋นเยี่ยเกี่ยวกับเรื่องตระกูลโต้ว การกำจัดตระกูลของท่านลุงตัวเองหมดทั้งตระกูลก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าเชิดหน้าชูตาสักเท่าไร แน่นอนว่าเรื่องนี้ต้องให้ฮองเฮาไปคุยกับเขา หลี่ซื่อหมินมองออกว่าเวลาอยู่ต่อหน้าฮองเฮา อวิ๋นเยี่ยยังคุยง่ายกว่าอยู่ต่อหน้าตนเองเสียอีก บางทีอาจเป็นเพราะเด็กคนนี้สูญเสียพ่อแม่ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก จึงเกิดมีความผูกพันกับฮองเฮามากขึ้นอีกส่วนกระมัง เมื่อคิดถึงเรื่องนี้จึงหันไปพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า
“เจ้าหนุ่ม นับแต่โบราณมา มนุษย์เรายากนักที่จะกล้าเผชิญหน้ากับความตาย บางทีอาจมีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่สามารถคงอยู่ตลอดกาล ใช้ชีวิตที่มีขีดจำกัดไปแสวงหาชีวิตอมตะ แต่เราไม่สนใจ เรายังมีแผ่นดินที่ต้องให้ลูกหลานสืบทอดต่อไป มีประชาชนอีกมากมายที่จะต้องคอยดูแล ชีวิตคนนั้นเป็นช่วงสั้นๆ เพียงร้อยกว่าปี ดั่งแสงที่สาดส่องแล้วก็ผ่านไป เราจะจัดการเรื่องต่างๆ ให้ได้มากที่สุดในช่วงเวลาที่จำกัดเช่นนี้ เรื่องราวมากมายซับซ้อน ความวิตกกังวลต่างๆ นานา ผู้ที่ทำให้แผ่นดินเกิดความโกลาหลนั้นคือตระกูลใหญ่ที่สืบทอดกันมานาน ตระกูลหลี่ของข้าคือตระกูลขุนนางชนชั้นสูงผู้มีความชอบแห่งกวนหล่ง มีหรือที่ข้าจะไม่เข้าใจเหตุผลด้านในนั้น เจ้าอย่าได้มองว่าเราไร้น้ำใจ แท้ที่จริงแล้วเราได้มอบน้ำใจและความรักให้แก่แผ่นดินอันงดงามเสมือนภาพวาดแห่งนี้ เพื่อสิ่งนี้แล้วจึงไม่มีโอกาสใดที่จะให้เราได้มืออ่อน”
เป็นเพราะแสงแดดจ้าที่อยู่ด้านนอกต้าหลี่ซื่อทำให้หลี่ซื่อหมินสับสนหรืออย่างไร อวิ๋นเยี่ยไม่กล้าพูดตอบ ความอ่อนแอของฮ่องเต้จะไม่เปิดเผยต่อหน้าผู้คนได้ง่ายๆ บางทีอาจปลงอนิจจัง บางทีอาจมีความในใจ อวิ๋นเยี่ยไม่คิดว่าหากหลี่ซื่อหมินฆ่าคนคราวหน้า เขาจะมีเมตตาต่อศัตรูเพราะความปลงอนิจจังเช่นในตอนนี้
รถม้าพระที่นั่งจากไปแล้ว ขณะที่หลี่ซื่อหมินขึ้นรถม้ายังได้เกาะไหล่ของอวิ๋นเยี่ยเพื่อส่งตัวขึ้นไป ประตูต้าหลี่ซื่อที่ว่างเปล่านั้นเหลืออวิ๋นเยี่ยที่สวมชุดชั้นในเพียงลำพัง เพื่อการเป็นขุนนางที่ดี อวิ๋นเยี่ยจึงตั้งใจกลับเข้าห้องขังต่อ หลี่ซื่อหมินไม่ได้บอกเขาอย่างชัดเจนว่าเขาสามารถออกมาเดินเพ่นพ่านไปทั่วได้
ไต้โจวนั้นหน้าดำเหมือนก้นหม้อ ดูเหมือนว่าจะมีรอยเท้าที่ก้นของเหอเซ่า ไม่รู้ว่าเขาเป็นคนเตะหรือไม่
“เจ้ายังจะกลับมาทำไมกัน หรือยังคิดว่าทำร้ายข้าไม่มากพอ การปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพราะอามิสสินจ้างก็เพียงพอที่จะส่งข้าไปใช้ชีวิตบั้นปลายที่หลิงหนานได้แล้ว เจ้าเป็นมือพิฆาตและยังเป็นศัตรูคู่อาฆาตของเหล่าขุนนาง นับตั้งแต่วันนี้ ข้าจะไม่คบค้าสมาคมกับตระกูลอวิ๋นอย่างเด็ดขาด รังแต่จะอายุสั้น”
ไต้โจวร้องครวญว่าตนเองถูกให้ร้าย ตนเองอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้อื่น ใครจะรู้ว่าเพียงชั่วพริบตาก็ถูกหักหลังเสียแล้ว หากไม่เป็นเพราะได้รับประสบการณ์ด้วยตัวเอง ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเขาจะไม่เชื่อว่าอวิ๋นเยี่ยและเหอเซ่าทำนี้โดยไม่ได้ตั้งใจ หากเหล่าไต้ไม่อยู่ ตระกูลอวิ๋นมีหวังได้ศัตรูคนนี้เพิ่มเป็นแน่
“เหล่าไต้ นี่มันเป็นความจอมปลอมของเจ้า เหล่าเหอเป็นคนจิตใจดี ขณะที่เขาพูดเรื่องเหล่านั้น ใครจะคิดว่าฝ่าบาทจะยืนอยู่นอกห้องขัง นี่มันเป็นคำพูดไร้สาระระหว่างพี่น้องสองคน แต่ทำให้เจ้าต้องเดือดร้อนมากเพียงนี้ ข้าเองก็รู้สึกผิดด้วยเช่นกัน เอาอย่างนี้ดีไหม ร้านของเจ้านั้นไม่ต้องเปิดแล้ว แล้วมอบเงินต้นทุนให้เหล่าเหอ ให้เขาช่วยเจ้าหาเงินเพื่อเลี้ยงครอบครัว เจ้าคิดว่าอย่างไร”
การตัดหนทางทำมาหากินผู้อื่นเสมือนกับการฆ่าบิดามารดา หากไม่หาหนทางในหาเงินให้กับเหล่าไต้ เขาต้องเก็บเป็นความแค้นแน่นอน การถูกหัวหน้าของหน่วยตุลาการที่สูงที่สุดของประเทศเกลียดชังเข้า ไม่ช้าก็เร็วต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบแน่
——
[1] เก่ยซื่อจง เป็นชื่อตำแหน่งขุนนางโบราณ ทำหน้าที่ทัดทานคำสั่งราชสำนักที่ผิดพลาด
[2] เฉิงซื่อกวน เป็นชื่อตำแหน่งขุนนางฝ่ายบุ๋นที่ไม่ได้กำหนดหน้าที่แน่นอนในสมัยโบราณ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น