เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 5 ตอนที่ 23-24

ส่วนที่ 5

 

ตอนที่ 23 ใครคือวีรบุรุษ

 

ในฐานะผู้นำตระกูลของตระกูลที่สืบทอดมานาน ผู้เฒ่าโต้วนั้นมีคุณสมบัติอย่างไม่ต้องสงสัย เขาได้เตรียมตาข่ายขนาดใหญ่ที่ไม่คาดฝันเพื่ออวิ๋นเยี่ยเอาไว้ตั้งนานแล้ว ตั้งใจที่จะจับตระกูลอวิ๋นเล็กๆ มัดไว้ในตาข่ายแล้วบีบคอจนตาย เขาได้ศึกษาฎีกาที่เตรียมฟ้องร้องอวิ๋นเยี่ยของญาติและสหายทั้งหมดของเขาอย่างละเอียดหมดแล้ว ชี้นำคำต่อคำประโยคต่อประโยคที่อาจจะเป็นช่องโหว่ได้


 


 


คำพูดที่ออกนอกลู่นอกทางของอวิ๋นเยี่ย ความโอหังอวดดีของอวิ๋นเยี่ย ยกหางตนเองว่าเป็นผู้สืบทอดของผู้สูงส่งแต่ตัวเองนั้นกลับไม่มีอะไรเลย ต้นกำเนิดของเขา ชาติกำเนิดของเขา เขารับสินบนที่หล่งโย่ว ทำการค้าในแดนกวนจง พยายามนำพูดของตระกูลตนเองปลูกฝังให้กับเหล่านักเรียน ชักนำศิษย์เหล่านี้ไปในทางที่ผิด…


 


 


ยิ่งมีคนเล่าลือกันไปเป็นจำนวนมาก พูดปากต่อปากโดยไม่มีหลักฐาน คำเล่าลือเหล่านั้นก็จะทำให้กลายเป็นเรื่องจริง ซึ่งนี่เป็นความรับผิดชอบของขุนนางฝ่ายทัดทานคำพูด คราวก่อนใช้คนเหล่านี้เป็นเครื่องมือในช่วงรัชศกอู่เต๋อ หลิวเหวินจิ้งในฐานะขุนนางเปิดราชวงศ์ก็ต้องล้มลงภายใต้คำโจมตีของคนเหล่านี้ทั้งทางวาจาและฎีกาไม่ใช่หรือ ฎีกาหลายสิบฉบับนี้คงจะสามารถดึงอวิ๋นเยี่ยให้ลงจากตำแหน่งได้กระมัง ขอเพียงแค่ไม่มีฐานันดรศักดิ์หลานเถียนโหว ตระกูลอวิ๋นก็จะเป็นเนื้อบนเขียงให้ตนเองได้บดขยี้ตามใจชอบ เขายังคำนึงถึงปฏิกิริยาตอบรับของตระกูลเฉิง ตระกูลหนิวและตระกูลของหลี่จิ้งเพื่อวางแผนอย่างละเอียดรอบคอบสำหรับเรื่องนี้อีกด้วย เมื่อดูรายการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์มากมายก่ายกองบนโต๊ะทำงานแล้ว ทั้งสามตระกูลน่าจะพึงพอใจได้กระมัง เหล่าตระกูลใหญ่ต่างก็ใช้ผลประโยชน์เพื่อสร้างความเกี่ยวดองกัน เพื่อผลประโยชน์ที่อยู่เบื้องหน้าเหล่านี้จะให้ละทิ้งตระกูลอวิ๋นเล็กๆ ก็ไม่ได้ยากอะไรเลย


 


 


ไม่ประมาณกำลังตนเอง ทำตัวเป็นก้างขวางคอ เป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่หลงงมงายอยู่ในความยุติธรรมมากเกินไปเท่านั้นเอง จึงได้ถูกกำหนดให้ต้องสูญสลายไปในวันนี้ ความรุ่งโรจน์ของหลานเถียนโหวก็สว่างไสวเพียงชั่วครู่เหมือนกับดาวตกในท้องฟ้ายามค่ำคืน แต่ตระกูลโต้วคือดวงจันทร์ที่สุกสกาวในท้องฟ้ายามค่ำคืน และจะยังคงรุ่งโรจน์ต่อไปเหมือนที่ผ่านมา


 


 


เขาได้ยินข่าวที่ว่าตระกูลอวิ๋นส่งทหารม้าไปติดประกาศไปทั่วทุกแห่งและยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ นี่ก็เป็นเพียงการดิ้นรนก่อนตายของของตระกูลอวิ๋นเท่านั้นเอง เขาพูดกับโต้วเยี่ยนซัน การฆ่าสุนัขหนึ่งตัวเจ้าจะไม่ปล่อยให้สุนัขเห่าก่อนตายสักหน่อยหรือ


 


 


เมื่อได้ยินว่าอวิ๋นเยี่ยออกไปฟ้องร้อง ผู้เฒ่าโต้วก็ยิ่งหัวเราะอย่างมีความสุขมากขึ้น เขาไม่เชื่อว่านายอำเภอเขตฉางอันจั่วขุยจะมีความกล้าพอที่จะรับหนังสือคำร้อง ขอเพียงแค่ไม่รับหนังสือคำร้อง หรืออวิ๋นเยี่ยจะกล้ามาหาเรื่องถึงที่ด้วยตัวเอง? หากเขาไม่มีสมองเช่นนี้ ตระกูลโต้วจะเตรียมคนสักหลายสิบชีวิตไว้ให้อวิ๋นเยี่ยฆ่า ไม่มีอะไรต้องกังวล


 


 


สิ่งเดียวที่ทำให้เขาค่อนข้างกังวลก็คือ ไม่มีข่าวมาจากหล่งโย่วเลย โดยปกติจะมีการติดต่อกันเดือนละหนึ่งครั้งซึ่งเป็นกฎระเบียบ แต่ครั้งนี้ผู้ดูแลหล่งโย่วถึงกับไม่ส่งผู้ส่งสารมา แม้ว่าจะมีหลายครั้งเกิดขึ้นในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา แต่ก็ล้วนแล้วแต่เป็นเพราะผู้ส่งสารทุกคนประสบอุบัติเหตุระหว่างทาง คราวนี้ก็เป็นเช่นนั้นหรือ


 


 


อวิ๋นเยี่ยเข้าไปในที่ว่าการแล้วหรือ ซึ่งนี่ทำให้ผู้เฒ่าโต้วค่อนข้างโกรธแค้น จั่วขุยจำเป็นต้องไว้หน้าของคนที่ใกล้ตายด้วยหรือ เมื่อยืนอยู่ในลานบ้านของตระกูลโต้วสามารถมองเห็นชายคาของตำหนักไท่จี๋ได้จากระยะไกล ซึ่งนี่คือภูมิทัศน์ที่ตระกูลโต้วตั้งใจเก็บเอาไว้โดยเฉพาะ ทุกครั้งที่เห็นดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าจากชายคาตำหนัก ก็ทำให้เขาอดคิดไปต่างๆ นานาไม่ได้โดยไม่รู้ตัว


 


 


ตอนนี้ที่นั่นยังไม่มีข่าวคราวใดๆ ท้องพระโรงเงียบสงัดดั่งป่าช้า เมื่อไหร่จึงจะมีคำตอบที่เด็ดขาดออกมา เพียงแค่โหวเจวี๋ยตัวเล็กๆ จำเป็นต้องปรึกษากันนานเช่นนี้เลยหรือ ฮ่องเต้ไม่ใช่ว่าต้องการจะลดฐานันดรศักดิ์เจวี๋ยเหยียมาโดยตลอดหรือ ข้าส่งให้เจ้าหนึ่งคนแล้ว ทำไมยังไม่รีบหาข้อสรุปอีก


 


 


ผู้เฒ่าโต้วเริ่มร้อนใจ คำพูดทั้งหมดของอวิ๋นเยี่ยนั้นถูกเหล่าผู้ดูแลนำกลับมาถ่ายทอดโดยไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้ยินว่ามีผู้คนนับหมื่นก่นด่าตระกูลโต้วพร้อมกัน มือของเขาสั่นเทา เส้นเลือดสีเขียวปูดขึ้นเต้นตุบๆ อยู่บนลำคอ ชื่อเสียงที่สั่งสมมาเป็นพันๆ ปีของตระกูลโต้วต้องถูกทำลายลงในคราเดียว


 


 


ผู้หญิงชั้นต่ำในหอโคมเขียวคนหนึ่งสามารถทำชื่อเสียงซึ่งมีค่ามากกว่าทองคำของตระกูลโต้วถูกทำลายจนย่อยยับไม่เหลือชิ้นดี ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า นับแต่นี้เป็นต้นไปการจะล้างมลทินที่ขึ้นชื่อว่าตระกูลโต้วเป็นตระกูลแห่งเทียนไข คงเป็นเพียงแค่ความฝัน


 


 


“เมื่อประตูเมืองเปิดออก พ่อค้าของตระกูลอวิ๋นก็ขี่ม้าเร็วออกนอกเมืองไปพร้อมกับหนังสือประกาศกล่าวหาตระกูลโต้ว ได้ยินว่าเมื่อพวกเขาออกไป ก็รีบกระจายตัวไปทั่วทุกแห่งทันที ข้าน้อยคิดว่าหากพวกเขาไม่ได้ติดประกาศทั่วแดนกวนจง คงไม่ยอมรามือแน่”


 


 


พ่อบ้านสูงวัยที่ผมขาวโพลนของตระกูลกำลังรายงานความคืบหน้าของสถานการณ์ต่อเจ้านายโดยละเอียด


 


 


ผู้เฒ่าโต้วนอนเอนกายอยู่บนแคร่เตี้ย น้ำตาไหลรินอาบแก้ม อวิ๋นเยี่ยลงมือได้เ**้ยมโหดจริงๆ สิ่งที่เปราะบางที่สุดในโลกนี้ก็คือชื่อเสียงของคนคนหนึ่ง การจะสร้างชื่อเสียงที่ดีต้องใช้ความพยายามมาหลายชั่วอายุคน แต่หากต้องการทำลายชื่อเสียงใครสักคน กลับไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองแรงกายแรงใจอะไรมากมายนัก คราวนี้เพื่อจัดการกับอวิ๋นเยี่ย การสูญเสียของตระกูลโต้วนั้นหนักหนาสาหัสจริงๆ แม้ว่าจะสามารถถอนรากถอนโคนตระกูลอวิ๋นได้ ก็ไม่สามารถชดเชยการสูญเสียครั้งนี้ได้ ผู้เฒ่าโต้วเริ่มเกิดความคิดที่จะจับอวิ๋นเยี่ยฉีกเป็นชิ้นๆ ขึ้นเป็นครั้งแรก


 


 


ผู้เฒ่าโต้วลุกพรวดขึ้นมา รีบเดินไปยังหอป้ายวิญญาณของซันสือหลาง เทียนไขมนุษย์คนนั้นที่อยู่หน้าหอป้ายวิญญาณได้เงยหน้าและอ้าปากอยู่ เปลวเทียนยังคงลุกไหม้อยู่ ครั้นมองดูรอยยิ้มที่เจ็บปวดของลวี่จู๋ เป็นครั้งแรกที่ผู้เฒ่าโต้วไม่มีความสุขเลย ก่อนหน้านี้ทุกครั้งที่เขาไปเยี่ยมหลานชายที่หอป้ายวิญญาณ ก็อดไม่ได้ที่จะถ่มน้ำลายใส่หุ่นเทียนไขสักครั้งเพื่อระบายความโกรธแค้น เมื่อคิดถึงว่าเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะหญิงชั้นต่ำคนนี้ เขาจึงชักดาบขององครักษ์ออกมา เงื้อมือขึ้นแล้วเหวี่ยงฟันลงไปที่ศพของลวี่จู๋


 


 


มนุษย์เทียนไขนั้นทำได้ค่อนข้างสมบูรณ์ และผู้เฒ่าโต้วเองก็แรงไม่พอ ยังไม่ทันได้ฟันศพจนแยกร่าง ดาบก็ฝังติดอยู่ตรงลำคอ ผู้เฒ่าโต้วตบๆ เอวที่เคล็ดเจ็บ ขณะที่กำลังจะให้ทหารองครักษ์นำมนุษย์เทียนไขไปเผาทิ้งที่ลานหลังบ้าน ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าอึกทึกครึกโครมดังใกล้เข้ามา


 


 


ชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งแต่งกายด้วยชุดเจ้าหน้าที่ศาลเข้ามายังหอป้ายวิญญาณ เห็นมนุษย์เทียนไขล้มลงอยู่บนพื้น ไม่พูดอะไรใดๆ ทั้งสิ้น แบกมนุษย์เทียนไขขึ้นมาแล้วจากไป


 


 


“บังอาจ! สุนัขรับใช้ที่ไหนกัน ตระกูลโต้วเป็นสถานที่ที่พวกเจ้าคิดจะมาก็มาอยากจะไปก็ไปหรือ!” ผู้เฒ่าโต้วโกรธสุดขีด พวกทหารองครักษ์และพ่อบ้านมัวทำอะไรกันอยู่ จึงได้ปล่อยให้เจ้าหน้าที่ศาลบุกรุกเข้ามาในจวน ยังเห็นกฎหมายอยู่ในสายตาหรือไม่


 


 


ชายคนหนึ่งผู้เป็นหัวหน้าไม่แม้แต่จะประสานมือ เพียงแค่ยิ้มตาหยีและพูดกับผู้เฒ่าโต้วว่า “ขอกงเหยียอย่าเพิ่งโกรธ ข้าน้อยนั้นทำตามหน้าที่ หากท่านไม่คิดที่จะปิดปากพวกข้าน้อยแล้วละก็ ขอได้โปรดเปิดทางด้วย เพื่อที่ข้าน้อยจะได้กลับไปรายงานได้”


 


 


“พวกเจ้าเป็นใคร รับคำสั่งจากใคร” ผู้เฒ่าโต้วสงบสติอารมณ์ลงแล้ว เรื่องในวันนี้นั้นเต็มไปด้วยความแปลกประหลาด ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เจ้าหน้าที่ศาลกล้าบุกเข้ามาถึงโถงด้านหลังของตระกูลโต้วกัน


 


 


“ข้าน้อยเป็นเจ้าหน้าที่ศาลของเขตฉางอัน แน่นอนว่าได้รับคำสั่งจากนายอำเภอเพื่อมานำศพของแม่นางลวี่จู๋ซึ่งถูกทำเป็นเทียนไข จุ๊ๆๆ หญิงสาวที่งดงามเช่นนี้ตระกูลโต้วยังทำได้ลงคอ ช่างน่าเสียดาย” ชายคนนั้นมองดูลวี่จู๋ที่ถูกทำเป็นเทียนไขด้วยสีหน้าสงสารระคนเสียดาย ก่อนจะถอนหายใจอย่างแรง


 


 


“น้องชายท่านนี้ ถ้าเจ้ายอมถอยสักก้าว ตระกูลโต้วจะรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง ป้ายหยกชิ้นนี้มีมูลค่าห้าร้อยก้วน มอบให้พวกเจ้าเอาไว้ดื่มเหล้า ถือว่าตระกูลโต้วข้าติดหนี้น้ำใจพวกเจ้าครั้งหนึ่งเป็นเช่นไร” ในมือผู้เฒ่าโต้วหงายหยกลายนกยูงคู่ที่มีขนหางสีเขียว ดวงตาแดงราวกับทับทิม จะงอยปากยาวสีน้ำตาลซึ่งดูเป็นธรรมชาติ เพียงแค่มองก็รู้ว่ามันมีราคาไม่ธรรมดา


 


 


ชายผู้เป็นหัวหน้าก้าวไปข้างหน้าหยิบหยกขึ้น มองดูครู่หนึ่งแล้วเก็บใส่อกเสื้อ พูดกับผู้เฒ่าโต้วที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มว่า “มีเงินก็ค่อยเดินเรื่องง่ายหน่อย” จากนั้นเขาก็หันหลังกลับมาพูดกับลูกน้องว่า “พี่น้อง ข้ารับเงินมาแล้ว พวกเจ้าอย่าทำให้ข้าลำบากใจ ตกลงกันแล้วว่าให้ถอยก้าวหนึ่ง พวกเราถอยให้เลยสองก้าว อย่าให้ผู้อื่นว่าเราไม่รักษาสัจจะ”


 


 


ภายใต้การสังเกตของผู้เฒ่าโต้ว กลุ่มเจ้าหน้าที่นั้นก้าวถอยหลังไปสองก้าวอย่างพร้อมเพรียงกัน จากนั้นก็เดินออกไปข้างนอกต่อ


 


 


ความอัปยศอดสูเช่นนี้มีหรือผู้เฒ่าโต้วจะสามารถทนได้ ด้วยคำสั่งเพียงคำเดียว ทหารยามรักษาความปลอดภัยของตระกูลโต้วก็กรูเข้ามา พวกเขาไม่ต้องการทำร้ายใคร เพียงแค่ต้องการชิงศพกลับมา ใครจะรู้ว่าเจ้าหน้าที่ศาลกลุ่มนี้นั้นโหดเ**้ยมกว่าปกติมาก ไม้พลองแดงในมือร่ายรำแผลงฤทธิ์อย่างเต็มที่ ทหารยามรักษาความปลอดภัยของตระกูลโต้วนั้นคัดเลือกมาเป็นอย่างดี ใครจะรู้ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าหน้าที่ศาลกลุ่มนี้พวกเขากลับไม่ใช่คู่ต่อสู้เลย เพียงชั่วพริบตากว่าสิบคนก็ถูกตีจนกระดูกหนักเอ็นฉีก ที่เหลือก็ยกมือกุมศีรษะวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน


 


 


ชายผู้เป็นหัวหน้าหัวเราะฮ่าๆ ให้กับผู้เฒ่าโต้ว อุ้มมนุษย์เทียนไขขึ้นมาจากพื้นแล้วออกจากลานหลังบ้านไป


 


 


พ่อบ้านชราช่วยพยุงผู้นำตระกูลที่เป็นลมสลบไป ทั้งบีบจุดอิ่งตง[1]และกรอกน้ำ ผ่านไปครู่ใหญ่ ผู้เฒ่าโต้วจึงฟื้นตื่นขึ้น ประโยคแรกหลังจากที่ฟื้นตื่นขึ้นก็คือ ให้พ่อบ้านตามโต้วเยี่ยนซันที่อยู่นอกวังกลับมาโดยบอกว่ามีงานจะมอบหมายให้ไปทำ


 


 


อวิ๋นเยี่ยไม่รู้ว่าหลี่ซื่อหมินตั้งใจจะทำถึงขั้นไหน ขณะที่เขากำลังลังเลที่จะทำให้เรื่องใหญ่ขึ้นอีกหน่อยหรือไม่ เขาเห็นหงเฉิงเดินนำคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาโดยหนีบหญิงเปลือยกายอยู่ข้างลำตัว ร่างกายโค้งงอผิดธรรมชาติ สองมือไพล่หลังดูเหมือนกำลังทำการคารวะอยู่


 


 


หงเฉิงนำศพวางไว้ที่ประตูของที่ว่าการ กระแอมเสียงและตะโกนว่า “นี่ก็คือมนุษย์เทียนไขของตระกูลโต้วคนนั้น เพื่อนบ้านทุกคนจงดูให้ดี ในปากยังมีไส้ตะเกียงอยู่ด้วย เมื่อจุดก็จะติดไฟขึ้น” พูดจบก็ใช้แท่งจุดไฟที่ใส้ตะเกียงจริงๆ


 


 


เมื่อเห็นฉากนี้ หญิงอายุสามสิบกว่าปีคนหนึ่งก็รีบวิ่งมา แล้วร้องเพียงประโยคเดียว “นานนานของข้า!” จากนั้นก็กอดลวี่จู๋นิ่งไม่ขยับ ปากก็ส่งเสียงร้องคร่ำครวญราวกับเสียงสัตว์ร้ายขณะกำลังจะตาย ประชาชนชาวเมืองฉางอันที่อยู่หน้าประตูที่ว่าการไม่มีใครไม่หลั่งน้ำตา


 


 


ผ่านไปนาน หญิงคนนั้นก็ยังคงไม่ขยับแม้แต่น้อย หงเฉิงรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ จึงดึงผู้หญิงคนนั้นขึ้นมาเบาๆ เห็นเพียงดวงตาของหญิงนางนั้นเบิกกว้าง มีเลือดและน้ำตาไหล ในปากคาบไส้ตะเกียงครึ่งเส้นสิ้นลมหายใจไปนานแล้ว


 


 


อวิ๋นเยี่ยถอดเสื้อคลุมออกแล้วคลุมให้ลวี่จู๋ ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงบนพื้นอย่างอ่อนล้า นั่งขัดสมาธิเฝ้าทั้งสองศพ นอกจากร้องไห้แล้วก็ไม่พูดอะไรเลย


 


 


แดนกวนจงแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยขาดพวกเลือดร้อน ก่อนหน้ายังมีความคิดที่จะดูเรื่องสนุก แต่คราวนี้ถึงกับอึ้งไปเลย ไม่รู้ว่าใครเป็นคนตะโกนขึ้น “ไปที่ตระกูลโต้วเพื่อขอคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้” ตลอดทางก็มีคนเข้าร่วมมากขึ้น ขบวนจึงยิ่งขยายใหญ่ขึ้น ในที่สุดก็มาถึงจุดที่เสียงตะโกนโห่ร้องกึกก้องไปทั่วเมือง


 


 


หงเฉิงถามอวิ๋นเยี่ยด้วยรู้สึกกังวลเล็กน้อยว่า “อวิ๋นโหว พวกเราควรทำอย่างไรดี ตอนนี้ชาวบ้านทั้งตรอกบ้าไปหมดแล้ว”


 


 


อวิ๋นเยี่ยเงยหน้าขึ้นมอง แต่ดวงตาไม่มีชีวิตชีวาแม้แต่น้อย พูดอย่างห่อเ**่ยวว่า “นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าต้องการหรือ”


 


 


“ไม่มีใครคาดคิดว่าชาวฉางอันจะดุร้ายถึงเพียงนี้ ด้วยท่าทีในตอนนี้ จะให้บุกไปถึงวังก็ยังได้เลย” หงเฉิงเลียริมฝีปากที่แห้งผากของเขาโดยไม่รู้ตัว


 


 


“ก็ดี เป็นเช่นนี้ก็ดี ให้พวกตระกูลใหญ่ได้เห็นบ้างว่านี่คือพลังของประชาชน นี่คือพลังของประชาชนที่พวกเขาชอบพูดว่าอ่อนแอ หลังจากรู้ถึงความแข็งแกร่งของพวกเขา บางทีอาจจะมีมนุษย์เทียนไขน้อยลงอีกหลายคน บางทีอาจจะลดการทารุณกรรมอย่างโหดร้ายเหล่านั้นลงได้ ลวี่จู๋ เจ้าดูสิ เจ้าได้แก้แค้นให้ตัวเองแล้ว คนเหล่านั้นที่ทรมานเจ้า ข้าคิดว่าพวกเขาจะอยู่ได้ไม่เกินวันนี้”


 


 


ถึงเวลาแล้ว แต่เสียงฆ้องบอกเวลาตอนกลางคืนยังไม่ดังขึ้น มีกลุ่มควันหนาที่ตรอกซิ่งฮว่าฟางลอยขึ้นมา ในที่สุดจินอู๋เว่ยก็เคลื่อนไหวแล้ว บนท้องถนนเต็มไปด้วยเสียงฝีเท้าม้าอย่างอลหม่าน


 


 


อวิ๋นเยี่ยตบร่างที่แข็งทื่อของลวี่จู๋แล้วพูดกับนางด้วยรอยยิ้ม “ในที่สุดฝ่าบาทก็ควรพูดคำพูดที่โด่งดังประโยคนั้นของเขาแล้ว ประโยคนั้นพูดว่าอย่างไรนะ อ้อ ‘น้ำสามารถลอยเรือได้ แต่ก็สามารถคว่ำเรือได้เช่นกัน’ ด้วยประโยคนี้จึงทำให้มีคนตายน้อยลงอีกมาก เจ้าเยี่ยมมาก ลวี่จู๋ เจ้าเป็นวีรบุรุษ จริงๆ นะ ไม่ได้โกหกเจ้า!”


 


 


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] จุดอิ่งตง เป็นบริเวณร่องเล็กๆ ใต้ปลายจมูกเหนือริมฝีปากบน 

 

 


ส่วนที่ 5

 

ตอนที่ 24 ไม่เสียใจภายหลัง

 

ไต้โจวแห่งต้าหลี่ซื่อมาถึงแล้ว ชุดขุนนางสีแดงเข้มทำให้ดูโดดเด่นเตะตาภายใต้แสงอาทิตย์อัสดงในช่วงสุดท้าย จั่วขุยนายอำเภอฉางอันนั้นตามมาข้างหลังเขา กลุ่มคนนี้มากันอย่างรีบร้อน หมวกของจั่วขุยยังเอียงกะเร่เท่อยู่เลย ห่างออกไปไม่ไกลนักยังมีเจ้าหน้าที่ของต้าหลี่ซื่อถือกุญแจมืออยู่ในมือ


 


 


อวิ๋นเยี่ยโบกมือให้กับไต้โจวเพื่อบอกให้เขาไม่ต้องเข้ามา เขากำลังดึงเอาเข็มยาวที่บริเวณเอว ไหล่ คอข้อศอก หัวเข่าและสะโพกของลวี่จู๋ออกมา เพราะเข็มยาวเหล่านี้ถูกใช้สำหรับยึดตรึงให้ร่างกายของนางอยู่ในท่านั่งคุกเข่ามาโดยตลอด ทุกครั้งที่ดึงเข็มออกมาหนึ่งเล่มก็โยนไปที่เท้าของไต้โจวเกิดเสียงดัง เคล้งขึ้น


 


 


เข็มยาวทั้งหมดที่ถูกดึงออกมามีสิบห้าเล่ม จึงมีเสียงดัง เคล้ง สิบห้าครั้ง


 


 


ศพของลวี่จู๋นั้นแข็งตัวมานานแล้ว ร่างกายที่เดิมนั้นผิวสีขาวเต็มไปด้วยรอยจ้ำเลือด ในมุมมองของอวิ๋นเยี่ย การพัฒนาของร่างกายนี้ดูเหมือนเพิ่งจะเริ่มขึ้น เขายื่นมือเข้าไปในปากของลวี่จู๋ที่อ้ากว้างผิดปกติแล้วดึงไส้ตะเกียงที่เหลือออกมา ใช้มือกดจับกรามของนางให้แน่น ออกแรงเล็กน้อยจึงปิดปากนางลงได้ ทันทีที่ปล่อยมือปากของนางก็อ้าเปิดออกอีกครั้ง อย่างไรเสียนางก็ตายไปแล้ว กล้ามเนื้อก็สูญเสียความยืดหยุ่นไป


 


 


“ใครมีเข็มกับด้ายติดตัวมาบ้าง” อวิ๋นเยี่ยถามไต้โจว


 


 


ไต้โจวเพียงแค่ขยับมือก็มีคนวิ่งเข้าไปในที่ว่าการทันที ไม่นานนักก็กลับมาพร้อมกับชุดเข็มด้าย จัดการเย็บมุมปากที่ปริแตกเล็กน้อยของลวี่จู๋ไปหลายเข็ม เขาเย็บอย่างระมัดระวัง ราวกับเกรงว่าจะกระทบกับความงามของลวี่จู๋


 


 


ปากของลวี่จู๋หุบเข้าหากันแล้วแต่เบี้ยวเล็กน้อย ดูเหมือนกำลังยิ้มด้วยความขี้เล่น อวิ๋นเยี่ยต้องออกแรงเป็นอย่างมากเพื่อยืดร่างที่คดงอของนางให้ตรง จากนั้นนำเสื้อคลุมของตัวเองคลุมให้นาง อุ้มนางขึ้นมาแล้ววางไว้ในอ้อมแขนของมารดานาง เมื่อเป็นเช่นนี้ลูกก็ได้รับการปกป้องแล้ว อย่างน้อยมารดานางก็จะปกป้องนางจากอันตราย หากมีสวรรค์จริง อวิ๋นเยี่ยอธิษฐานจากใจจริงให้นางมีความสุขอยู่ในที่แห่งนั้น…


 


 


เมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยทำสิ่งเหล่านี้เสร็จสิ้น ไต้โจวก็ก้าวเข้ามา ขณะที่กำลังจะพูด อวิ๋นเยี่ยพูดขึ้นก่อนว่า “วันนี้ข้าตกอยู่ในความโกรธชั่ววูบทำให้เกิดการจลาจลของชาวบ้านโดยไม่ได้ตั้งใจ โทษหนักไม่ควรละเว้น ตอนนี้ขอมอบตัวต่อต้าหลี่ซื่อ ขอให้ควบคุมตัวไปคุมขังด้วย”


 


 


หลังจากพูดจบ เขาก็ยกสองมือขึ้นและรอให้เจ้าหน้าที่เหล่านั้นสวมกุญแจมือ เหล่าจวงถึงถอดเสื้อคลุมคลุมให้อวิ๋นเยี่ย จากนั้นก็ยืนนิ่งเงียบอยู่ข้างๆ


 


 


ไต้โจวลังเลอยู่นาน ก่อนจะถอนหายใจและออกคำสั่งให้สวมแผ่นไม้ล็อกคอ ที่ว่าการอำเภอไม่มีคุณสมบัติพอที่จะควบคุมตัวอวิ๋นเยี่ย หากต้าหลี่ซื่อไม่มีพระราชโองการของฮ่องเต้ ก็ไม่มีคุณสมบัตินี้เช่นกัน ตอนนี้พวกไต้โจวสวมใส่กุญแจมือได้ก็เพราะได้รับมอบหมายจากฮ่องเต้อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะผู้ที่ถูกภาพประชาชนที่โกรธแค้นทำให้หวาดหวั่นไม่ได้มีเพียงแต่ตระกูลโต้วเท่านั้น


 


 


หลังจากถูกสวมแผ่นไม้ล็อกคอแล้ว อวิ๋นเยี่ยถามเหล่าไต้ว่า “ผู้เฒ่าโต้วตายแล้วหรือยัง”


 


 


 “ตายแล้ว ตกใจกลัวจนตาย โต้วหวยอี้ปลิดชีวิตตัวเอง โต้วหวยเอินถูกประชาทัณฑ์จนตาย โต้วหวยเต๋อถูกคุมขังแล้ว สายเลือดตรงตระกูลโต้วมีเพียงโต้วเยี่ยนซันคนเดียวที่ไม่พบตัว ทางการได้ออกประกาศจับแล้ว เขาหนีไม่พ้นแน่” ไต้โจวเป็นคนพูดจาชัดเจนไม่อ้อมค้อมมาโดยตลอด


 


 


ขณะที่รถขังนักโทษเคลื่อนผ่านถนนฉางอัน บนถนนนั้นว่างเปล่าไม่มีคนแม้แต่คนเดียว มีเพียงรองเท้าและผ้าคลุมศีรษะที่กระจัดกระจายไปทั่วสถานที่ที่ดูเหมือนจะบอกว่าสถานที่แห่งนี้ก่อนหน้านี้ไม่นานได้มีความวุ่นวายมากเพียงไร ประตูใหญ่ของตรอกถูกล็อคไว้อย่างแน่นหนา มีเพียงรูตามกำแพงเหล่านั้นที่มีดวงตาจำนวนมากแอบดูอวิ๋นเยี่ยถูกคุมขัง


 


 


ในเมืองฉางอันไม่มีใครเลยสักคน


 


 


ขอเพียงเป็นคุก เงื่อนไขต่างๆ ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกันเสียเท่าไร โต๊ะหนึ่งตัว เก้าอี้ยาวหนึ่งตัวและแคร่นอนและตะเกียงน้ำมันหนึ่งดวงนั้นถือว่าเป็นการดูแลระดับสูงแล้ว หลังจากที่เจ้าหน้าที่คุมขังปลดเครื่องพันธการให้อวิ๋นเยี่ยแล้ว สิ่งแรกที่ทำคือการปีนขึ้นไปบนเตียงแคร่ ห่มผ้าห่ม หลังจากนั้นไม่นานเสียงกรนก็ดังขึ้น ดูเหมือนเขาจะง่วงนอนมาก…


 


 


แสงไฟในพระราชวังยังคงส่องสว่างอยู่ หลี่ซื่อหมินเดินวนไปวนมาอยู่ในตำหนักด้วยความกระสับกระส่าย มือที่ไพล่หลังอยู่นั้นประเดี๋ยวกำหมัดประเดี๋ยวก็แบออกอย่างสุดเหยียด ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเขาไม่เคยคิดเลยว่าทำไมแผนการที่ไร้ช่องโหว่ของเขาจะต้องจบลงด้วยการจลาจล ก่อนที่อำนาจของจักรวรรดิจะได้แสดงแสนยานุภาพ ตระกูลโต้วที่ยิ่งใหญ่อยู่เหนือผู้คนมาหลายชั่วคนก็ล้มครืนล่มสลายลง สิ่งที่ตนเองได้วางแผนไว้อย่างแยบยล การให้ความร่วมมือของกองกำลังต่างๆ รากฐานของตระกูลโต้วที่อยู่ในแดนกวนจง หล่งโย่ว ลั่วหยางและเหอเป่ยได้ถูกขุดรากถอนโคนอย่างรวดเร็ว มีเพียงที่ซานตงที่ยังไม่ได้ลงมือ ไม่ใช่เพราะเขาทำไม่ลง แต่เพราะไม่มีความจำเป็นเลยแม้แต่น้อย โต้วจงแห่งซานตงนั้นเป็นผู้สืบทอดตระกูลโต้วที่เขาเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อสองปีก่อนแล้ว


 


 


หากในช่วงสองปีมานี้ไม่มีโต้วจงที่ทรยศต่อตระกูลโต้วคอยให้ข้อมูลอย่างต่อเนื่อง ตนเองจะไม่สามารถเป็นฝ่ายได้เปรียบเรื่องตระกูลโต้วอย่างเด็ดขาดได้รวดเร็วถึงเพียงนี้อย่างแน่นอน สองปีแห่งการเตรียมการ กับการจลาจลในหนึ่งวัน ผลที่ออกมาก็เหมือนกัน แต่กระบวนการนั้นกลับไม่สามารถควบคุมได้ ทันใดนั้นหลี่ซื่อหมินก็ค้นพบว่า ขอเพียงแค่อวิ๋นเยี่ยมีส่วนร่วมในเรื่องนั้นด้วย มากหรือน้อยก็จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องนั้นเสมอ เขาไม่ชอบความรู้สึกของการสูญเสียการควบคุมไป ในฐานะฮ่องเต้แห่งยุคเขาชอบความรู้สึกของการถือครองทุกอย่างเอาไว้ในมือ


 


 


   ฮองเฮาไม่อยู่ ขันทีและนางกำนัลต่างก็ปรนนิบัติรับใช้อย่างระมัดระวังด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง เพราะกลัวว่าหากเกิดผิดพลาดอะไรจะก่อให้เกิดหายนะต่อตนเอง หลี่ซื่อหมินที่แต่เดิมนั้นเป็นเจ้านายที่ถ้าหากตนเองอารมณ์ไม่ดีแล้วก็จะไม่ให้คนอื่นเป็นสุขอย่างเด็ดขาด


 


 


กาเหล้าใส่เหล้าองุ่นลอยออกมา กาเหล้าที่ใส่เหล้าสือต้งชุนลอยออกมา สุดท้ายกาเหล้าที่ใส่เหล้าซันเล่อเจี้ยงก็ลอยออกมา ทุกคนในวังต่างก็คุกเข่าลงบนพื้นไม่กล้าหายใจแรง หัวหน้าขันทีนับกาเหล้าที่อยู่บนพื้น พบว่ากาเหล้าที่ใส่เหล้าชั้นดีของตระกูลอวิ๋นไม่ได้ถูกโยนออกมา เขาดีใจมาก ตั้งใจเงี่ยหูฟังการเคลื่อนไหวในห้องโถง ได้ยินเพียงฮ่องเต้พูดกับตัวเองว่า “เรายกทัพขึ้นเหนือล่องใต้ไม่เคยหยุดนิ่ง ได้พบศัตรูที่เก่งกาจนับไม่ถ้วน แต่ไม่เคยมีสถานการณ์ใดที่ทำให้เราตื่นตระหนกเช่นนี้มาก่อน วันนี้ เราหวาดกลัวแล้ว พวกเขาเป็นราษฎรของเรา ในมือไม่มีอาวุธ แต่กลับทำให้เรารู้สึกเสียวสันหลังได้ในพริบตา


 


 


ซุนอู่กล่าวไว้ว่า หากไม่วิเคราะห์จากภาพรวม แม้จะแก้ไขสถานการณ์ได้ในจุดหนึ่งก็ไม่เกิดประโยชน์ ไม่สามารถแก้ไขปัญหาในระยะยาวได้ ถ้าหากต้องการให้ตระกูลหลี่แห่งต้าถังสืบทอดไปชั่วลูกชั่วหลาน จะต้องห้ามมองข้ามพลังอำนาจเช่นนี้อย่างเด็ดขาด ดังที่กล่าวกันว่าน้ำนั้นลอยเรือได้ ก็สามารถจมเรือได้ ก็เป็นสิ่งที่สมเหตุสมผล เราต้องการให้ลูกหลานทุกคนจดจำประโยคนี้เอาไว้ การเป็นปฏิปักษ์ต่อพลังเช่นนี้ มันคือการเอาไข่ไปกระทบหินจริงๆ แม้ว่าเปลือกไข่จะแข็งเพียงไร ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน”


 


 


หลังจากที่เข้าใจหลักเหตุผลแล้ว ตนเองจึงเลิกกระสับกระส่าย เพียงแต่ว่าเหล้าของตระกูลอวิ๋นใช้เป็นเครื่องดื่มคลายทุกข์ได้ที่ไหนกัน ไม่นานนัก หัวหน้าขันทีก็ได้ยินเสียงกาเหล้าหล่นลงมาใส่พื้นเบาๆ จึงค่อยๆ ชะโงกหน้าเข้าไปดูในห้องโถง เห็นฮ่องเต้ล้มพับนอนตะแคงอยู่บนแคร่แล้วหลับไป


 


 


เมื่อเป็นคนก็ต้องรู้สึกเหนื่อยล้ากันบ้าง เหล่าจวงไม่หลับมาสองวันสองคืนแล้ว แต่เขาก็ยังดูตื่นตัวอยู่มาก การแอบออกนอกเมืองหากถูกจับได้คือโทษประหาร เขาเดินไปตามทางระบายน้ำทั้งสองด้านของถนนจูเชวี่ยอย่างระมัดระวังไปจนถึงหน้ากำแพงเมือง โหวเหยียถูกขังอยู่ในเรือนจำ ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเขาต้องบอกข่าวนี้ให้แม่เฒ่ารู้ให้ได้ ถ้ารู้เร็วขึ้นอีกสักนิด บางทีโหวเหยียอาจจะได้รับโทษน้อยลงอีกสักหน่อย


 


 


กลิ่นเหม็นในทางระบายน้ำเกือบจะทำให้เขาหายใจไม่ออก กลิ่นฉุนจมูกดูเหมือนจะทำให้แสบตาได้ด้วย น้ำตาไหลอาบแก้ม เขาต้องใช้ทั้งมือและเท้าเพื่อหมอบคลาน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพบว่าถนนจูเชวี่ยนั้นยาวมาก


 


 


สุดปลายทางของทางระบายน้ำเป็นคูน้ำป้องกันเมือง รั้วที่มีขนาดเท่าแขนเด็กขวางทางอยู่ เขาใช้เท้าควานหาอยู่ในโคลน ในที่สุดเขาก็พบหลุมในตำนาน นี่เป็นข้อมูลที่เขาใช้เงินสิบก้วนจึงสืบมาได้จากนักดาบพเนจรคนหนึ่ง


 


 


เขาถอดเสื้อออกจนร่างเปลือยเปล่า สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วดำลงไปโคลน ดินโคลนลื่นๆ เหนียวๆ ปกคลุมร่างกายของเขา เขาเป็นเหมือนปลาหมูแหวกว่ายอยู่ในดินโคลนและมุดออกมาจากรู หลังจากดื่มน้ำสกปรกเข้าไปสองอึกแล้ว ในที่สุดเขาก็โผล่ศีรษะพ้นน้ำได้ ไม่มีเวลาให้คิดแล้ว เขามีเวลาเพียงหนึ่งก้านธูปว่ายน้ำข้ามคูน้ำป้องกันเมือง สูดลมหายใจเข้าและดำน้ำลงไปอีกครั้ง


 


 


เหล่าจวงที่เปลือยกายปีนขึ้นจากคูน้ำป้องกันเมืองรีบใส่เสื้อ แล้ววิ่งโซเซมุ่งหน้าไปยังเขาอวี้ซัน…


 


 


การได้นอนหลับสนิทตลอดคืนได้ปลดปล่อยอวิ๋นเยี่ยออกจากสภาพที่เข้มแข็งแข็งแรงในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง ยังไม่ทันได้ลืมตาขึ้นและไม่อยากที่จะลืมตาเลย แสงอาทิตย์ส่องผ่านหน้าต่างที่แคบและเล็กลงมายังใบหน้าของเขา ความอบอุ่นทำให้รู้สึกสบายเป็นอย่างมาก แสงอาทิตย์ส่องทะลุเปลือกตากลายเป็นโลกสีชมพูอยู่ภายในเปลือกตานั้น


 


 


“มีใครอยากจะรีบตื่นกัน ตัวฉันนั้นมีแผนอยู่ในใจ นอนหลับในห้องขังอย่างสะใจ แม้ไถงยังไม่พ้นขอบฟ้า” เขาบิดขี้เกียจอย่างเต็มที่ อ้าปากกว้างๆ แล้วถอนหายใจออกมาด้วยความเบื่อเป็นครั้งสุดท้าย รู้สึกได้ถึงจิตใจที่ผ่องแผ้วแจ่มใส


 


 


เมื่อลืมตาขึ้นก็สะดุ้งเฮือก เบื้องหน้ามีชายอ้วนคนหนึ่งกำลังเกาะกรงขังร้องไห้น้ำตาไหลพราก ทั้งยังสะอึกสะอื้นไม่หยุด ดูเหมือนว่าจะเศร้าโศกมาก


 


 


“ปู่ของข้า ต่อไปพวกเราหาเงินกำไรกันอย่างซื่อสัตย์สุจริตและมีความสุขดีหรือไม่ หากเจ้าว่างจนรู้สึกอึดอัดใจก็ไปที่สำนักศึกษาเพื่อแกล้งคุณชายเสเพลเหล่านั้นสักหน่อยก็ได้ อย่าได้ก่อศัตรูที่น่ากลัวเช่นนี้ได้หรือไม่ ทันทีที่ข้ามาถึงเมืองหลวง เดิมอยากจะไปผ่อนคลายที่เอี้ยนไหลโหลวเสียหน่อย ใครจะรู้ว่าเมื่อถามผู้ดูแลประตูว่าเจ้าอยู่ที่ไหน สุดท้ายข้าตกใจจนน้องชายข้าอ่อนแรงเลย ตอนนี้จะไร้สมรรถภาพเรื่องนั้นได้หรือไม่ก็ยังไม่แน่เลย”


 


 


ไม่รู้ว่าเหล่าเหอมาที่นี่นานเท่าไรแล้ว ดูท่าน่าจะร้องไห้ไม่ยอมหยุด สิ่งที่อวิ๋นเยี่ยทำนั้นแม้เขาฝันร้ายถึงเรื่องที่น่ากลัวที่สุดก็ไม่ได้เกิดขึ้น เขาไม่ได้เศร้าโศก แต่กำลังหวาดกลัว ตอนนี้ตระกูลอวิ๋นกับเขาก็เหมือนลงเรือลำเดียวกันแล้ว หากเขาเกิดเรื่องอวิ๋นเยี่ยก็ยังสามารถช่วยเขาได้ การตอแยเล็กๆ น้อยๆ ของพวกพ่อค้าเหล่านั้นยังไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวล แต่หากตระกูลอวิ๋นเกิดเรื่องขึ้นก็หมดทางเยียวยาแล้ว ตระกูลอวิ๋นและตระกูลเหอจะต้องจบสิ้นไปด้วยกัน


 


 


“ร้องไห้ทำพระแสงอะไร ตระกูลโต้วถูกข้ากำจัดแล้วไม่ใช่หรือ” อวิ๋นเยี่ยไม่ชอบเห็นผู้ชายร้องไห้กระซิก เมื่อเห็นเหล่าเหอร้องไห้อย่างน่าสงสาร จึงเอ่ยปากปลอบใจเขาสักหน่อย


 


 


“ตระกูลโต้วนั้นถูกกำจัดแล้ว ได้ยินว่าลงมือพร้อมกันที่หล่งโย่ว เหอเป่ย ลั่วหยางและกวนจง ผู้นำของตระกูลโต้วก็ได้ยินว่ามีการเปลี่ยนตัวเขาแล้ว เปลี่ยนเป็นผู้ชายคนหนึ่งชื่อโต้วจง นั่นเป็นการแสดงแสนยานุภาพของฝ่าบาท ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า เจ้าส่งเสริมให้เกิดการจลาจลของชาวบ้านโดยไม่มีเหตุผลนี่คือโทษหนัก ไม่สิ คนอื่นกำลังเฉลิมฉลอง แต่เจ้าต้องเข้าคุกในต้าหลี่ซื่อ สังหารศัตรูหนึ่งหมื่นคนสร้างความเสียหายสามพันคนให้ตนเอง นางรำที่ชื่อลวี่จู๋เป็นนางรำที่มีค่าตัวสูงสุดในประวัติศาสตร์อย่างแน่นอน นำไปเปรียบเทียบกับต๋าจีและจ้าวเฟยเยี่ยนซึ่งเป็นนางล่มเมืองได้อย่างแน่นอน ตระกูลใหญ่ที่สืบทอดกันมานานต้องล้มครืนล่มสลายลงเพราะนาง โหวเหยียคนหนึ่งที่มีอนาคตอันยาวไกลต้องจำคุกเพราะนาง นางเป็นดาวแห่งหายนะที่ยิ่งใหญ่ ต่อไปข้าจะไม่ไปตรอกผิงคังฟางอีกแล้ว สถานที่นั้นน่ากลัวมาก” ได้ยินเหล่าเหอบ่นกระปอดกระแปดแล้วอวิ๋นเยี่ยรู้สึกอบอุ่นมาก


 


 


เขายกชามชีสเหลวที่เหล่าเหอนำมากรอกปากไปหนึ่งชาม ตบไหล่เหล่าเหอเบาๆ “เหล่าเหอ ข้าไม่เคยรู้สึกเสียใจภายหลังกับการกระทำที่มุทะลุในเรื่องนี้มาก่อนเลย ไม่เคยเลยจริงๆ”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)