เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วน 5 ตอน 21-22
ส่วนที่ 5
ตอนที่ 21 เป้าหมายอันสูงส่งกับการกระท...
หลังออกจากตำหนักของหลี่หยวนแล้ว หลี่เฉิงเฉียนถามอวิ๋นเยี่ยว่า “เสี่ยวเยี่ย เจ้าต้องการแก้แค้นให้หญิงนางรำคนนั้นจริงๆ หรือ”
อวิ๋นเยี่ยหยุดเดิน ลูบเสาต้นใหญ่ของตำหนักแล้วพูดกับเฉิงเฉียนว่า “ข้าไม่ได้ทำเพื่อแก้แค้นให้กับลวี่จู๋ แต่เพียงแค่อยากจะคืนความยุติธรรมให้กับดวงวิญญาณที่ตายอย่างอนาถในใต้หล้านี้ ลัทธิเต๋ามักจะสอนให้ใจกว้างและมีเมตตา คิดว่าผู้เฒ่าโต้วเองก็คงจะชอบเป็นคนใจกว้างและมีเมตตาเช่นกัน เพียงแต่เขาใช้คุณธรรมอันสูงส่งนี้เพื่อตัวเอง กับคนอื่นๆ แล้วมีแต่ความโหดร้ายเท่านั้น ก่อนหน้านี้ข้าเคยอ่านบทความที่ชื่อว่า ‘เพลงแห่งความชอบธรรม’ แต่อ่านอย่างไรก็มักจะไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว ผู้ที่สูงส่งอยู่เหนือคนอื่นเหล่านั้นในตอนแรกที่ทำสิ่งเหล่านี้ ในใจจะมีความรู้สึกไม่ยอมสยบอยู่ ทำให้จิตใจเป็นทุกข์กระสับกระส่ายนอนไม่หลับ ขอเพียงได้ทำเช่นนี้แล้วก็จะสามารถกินได้นอนหลับ”
เขาทุบเสาของวังหลังหมัดแล้วหมัดเล่า ราวกับว่าจะปลดปล่อยความกลัดกลุ้มในใจเขาออกมาให้หมดสิ้น
หลี่เฉิงเฉียนตัดสินใจแล้วว่าต้องรู้ให้ได้ “อะไรคือ ‘เพลงแห่งความชอบธรรม’ ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน บทกวีนี้เป็นเช่นเดียวกันกับบทกวี ‘เรื่องเล่าวัยเยาว์’ ที่เจ้าเคยท่องก่อนหน้านี้ใช่หรือไม่”
“ใช่ เป็นบทกวีเช่นเดียวกัน มีความฮึกเหิมเช่นเดียวกัน เฉิงเฉียน ภายหน้าเมื่อเจ้าขึ้นเป็นฮ่องเต้แล้ว เจ้าอย่าได้ลืมประชาชนที่ใช้ชีวิตอยู่ในสถานะเบื้องล่างสุดเหล่านั้น แม้ว่าจะไม่สามารถทำให้พวกเขามีชีวิตที่ดีขึ้นได้ เจ้าก็ได้โปรดอย่าทำร้ายพวกเขา พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่อ่อนแอที่สุดในใต้หล้านี้ พวกเขาทนรับมรสุมไม่ไหว”
หลี่เฉิงเฉียนพยักหน้ารับปากอย่างจริงจัง ทั้งยังกระซิบอยู่ข้างหูอวิ๋นเยี่ยเสียยืดยาว หลังจากฟังคำพูดของหลี่เฉิงเฉียนจบ สีหน้าของอวิ๋นเยี่ยก็ดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย
อวิ๋นเยี่ยคิดถึงชีวิตของตัวเองในยุคปัจจุบัน เรียบง่าย มีความสุข เป็นปัจจัยพื้นฐาน เมื่อเห็นโศกนาฏกรรมของโลกนี้ก็จะร้องไห้ เพียงแต่เหตุการณ์นั้นตนเองกล่าวอ้างได้ว่าเป็นเรื่องเหลือบ่ากว่าแรง แต่ตอนนี้เขาเป็นโหวเหยียแล้ว หรือจะบอกว่าเรื่องนี้เหลือบ่ากว่าแรงอีก หรือจะบอกว่าต้องได้เป็นฮ่องเต้ก่อนจึงจะสามารถแก้ไขทุกสิ่งในโลกได้ หลี่หยวนเป็นไท่ซั่งหวง แต่ก็ทำได้เพียงหลีกเลี่ยงเท่านั้น จะเห็นได้ว่าฮ่องเต้นั้นไม่ใช่ว่าจะทำได้ทุกสิ่ง ไม่มีทางให้ถอยแล้ว หากต้องการความสบายใจก็ต้องทำด้วยตัวเอง
ฉันเป็นคนที่มีสติปัญญาที่สุดในโลกนี้ เรื่องที่ไม่มีใครกล้าทำเช่นนี้ ถ้าฉันไม่ทำแล้วใครจะทำ
อวิ๋นเยี่ยจึงหยิบพู่กันและกระดาษ เมื่อรู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้อย่างชัดเจนแล้ว ในไม่ช้าหนังสือร้องเรียนก็ถูกเขียนขึ้น ไม่มีการพูดเกินจริง ไม่มีการปกปิด แม้แต่ภาษาโบราณก็ไม่ได้ใช้ หนังสือร้องเรียนด้วยความเรียงร้อยแก้วหนึ่งฉบับได้ปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้าหลี่เฉิงเฉียน
“เสี่ยวเยี่ย ครั้งนี้ดูเหมือนเจ้าจะเอาจริง” หลี่เฉิงเฉียนพูดกับอวิ๋นเยี่ยหลังจากอ่านหนังสือร้องเรียนจบ
“ทราบได้อย่างไรกัน”
“เมื่อครู่เจ้าโกรธมากจนลืมหยิบทองคำออกมา นี่ไม่ใช่พฤติกรรมของเจ้า ดังนั้นข้าจึงบอกว่าเจ้าจริงจังมาก อย่างน้อยเรื่องนี้ในความคิดเจ้า ก็มีความสำคัญมากกว่าทองคำกองนั้น”
“ข้าเห็นว่าเจ้าหยิบทองคำไปแล้ว เฉิงเฉียน ทองคำเหล่านั้นมีไว้เพื่อขอให้เจ้านำหนังสือร้องเรียนนี้แกะสลักในแผ่นหินและพิมพ์สักหนึ่งหรือแสนสองฉบับ ข้าอยากให้ทุกคนในฉางอันแห่งต้าถังได้รับรู้ถึงพฤติกรรมอันป่าเถื่อนของตระกูลโต้ว แจกจ่ายในฉางอันก่อนจำนวนห้าหมื่นแผ่นแล้วค่อยว่ากัน”
หลี่เฉิงเฉียนสีหน้าซีดเผือดแทบเป็นลมล้มลง ทองคำสามสิบตำลึงสามารถทำเรื่องเหล่านี้ให้สำเร็จได้งั้นหรือ เรื่องนี้อย่างน้อยต้องการทองคำหนึ่งร้อยตำลึง เขาเป็นผีที่ยากไร้ การทำเช่นนี้จะยิ่งทำให้เขาจนลง นอกจากนี้เวลายังไม่พอ จะแกะสลักคำหลายพันคำให้เสร็จอย่างน้อยก็ใช้เวลาครึ่งเดือน
“ข้าต้องการตัวอักษรขนาดใหญ่ หนึ่งหน้าพิมพ์ไม่เกินหนึ่งร้อยตัวอักษร เจ้าหาช่างแกะสลักสักสิบกว่าคนเริ่มทำงานทันที ตัวอักษรไม่จำเป็นต้องดู มีตัวอักษรเป็นแถวก็พอ แล้วก็ไม่ต้องทำพิมพ์นูนสูง แกะสลักแบบนูนต่ำก็พอ ข้าคิดว่าใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งคืนเจ้าก็คงทำสิ่งนี้ให้เรียบร้อยได้กระมัง ช่างฝีมือของตระกูลอวิ๋นก็จะทำเช่นกัน ข้าจะแปะกระดาษนี้ให้ทั่วเมืองฉางอันในวันพรุ่งนี้ “
หลี่เฉิงเฉียนไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ส่งคนไปเรียกคนที่สามารถเขียนหนังสือได้จากวังหลังมาทั้งหมดและคัดลอกหนังสือร้องเรียนของอวิ๋นเยี่ย ทั้งยังมีผู้ดูแลอยู่ในเมืองซึ่งกำลังตามหาช่างแกะสลักเพื่อเตรียมการแกะสลักและพิมพ์
คนในตระกูลโต้วยังคงเดินทางเข้าออกตระกูลใหญ่อื่นๆ จากการเชื่อมสัมพันธ์ด้วยการแต่งงานมานานปี ผู้เฒ่าโต้วมีญาติอยู่มากมายนับไม่ถ้วนและศิษย์อีกนับไม่ถ้วน คิดว่าในเช้าตรู่วันพรุ่งนี้ ฎีกาที่ร้องเรียนอวิ๋นเยี่ยคงต้องกองเต็มโต๊ะทรงพระอักษรของหลี่ซื่อหมินเป็นแน่
ไม่มีการลอบสังหารในต้าถัง แม้ว่าตระกูลโต้วจะเคียดแค้นอวิ๋นเยี่ยจนเข้ากระดูกดำ แต่ก็ไม่กล้าลงมือตามใจชอบในฉางอัน เพราะหากลงมือ พวกเขาก็จะกลายเป็นศัตรูของเหล่าชนชั้นสูงทั้งหมดในฉางอัน การสังหารผู้คนบนท้องถนนสมัยราชวงศ์ฮั่นได้สร้างความทรงจำอันโหดร้ายให้เหล่าขุนนางจนฝังใจ ไม่มีใครอยากใช้ชีวิตอย่างอกสั่นขวัญแขวนทุกวัน
เพียงแต่การค้าของตระกูลอวิ๋นไม่สามารถดำเนินต่อไปได้แล้ว ท่านย่าส่งเหล่าจวงมาปกป้องอวิ๋นเยี่ยและมีทหารชราที่ปลดเกษียณแล้วติดตามมาอีกสามสิบคน ท่านย่าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในเมืองฉางอัน นางรู้เพียงว่าตระกูลใหญ่ๆ ที่เดิมสั่งสินค้าของตระกูลอวิ๋นทุกคนยกเลิกหมดแล้ว แม้ว่าจะไม่ต้องวางเงินมัดจำแต่พวกเขาก็ต้องการตัดความสัมพันธ์กับตระกูลอวิ๋นให้ชัดเจน บางคนยังใช้โอกาสนี้มาคุกคามตระกูลอวิ๋นอีกด้วย ท่านย่าจึงสั่งหยุดการทำการค้าทุกอย่างของตระกูลอวิ๋นอย่างเด็ดขาด ตระกูลอวิ๋นจึงอยู่ในสภาวะตื่นตัวและเตรียมพร้อม
เหล่าจวงนำคำพูดมาเพียงประโยคเดียว “หากสถานการณ์ไม่ดี ก็จงล่าถอย” ท่านย่าไม่มีคำพูดอื่นใด ก็เพราะกลัวว่า หากพูดมากเกินไปจะทำให้หลานชายเป็นกังวล เป็นผลเสียต่อการล่าถอย ในความคิดอันคับแคบของท่านย่านั้น หลานชายตนสำคัญที่สุด ส่วนคนอื่นรวมถึงตัวนางเองนั้นไม่มีความสำคัญอะไร
อวิ๋นเยี่ยไล่เหล่าจวงออกไปแล้วปิดประตู นั่งสองมือเท้าคางอยู่บนโต๊ะทำงาน จ้องมองเปลวไฟอย่างเหม่อลอย บนโต๊ะทำงานมีของที่ล้ำค่าที่สุดของตระกูลอวิ๋นวางกองอยู่เต็มไปหมด ท่านย่าตั้งใจแลกเป็นเหรียญไคหยวนทงเป่า[1]อันใหม่ตั้งหลายพวง และยังมีเศษเงินอีกจำนวนหนึ่ง ทองคำแผ่นหนักถึงหนึ่งกิโลกรัม แม้แต่ชุดเกราะของเขาก็ถูกท่านย่าส่งมาให้
อวิ๋นเยี่ยลูบไล้เชือกถักเส้นใหม่ที่ใช้ผูกกับชุดเกราะแล้วยิ้มเจื่อนๆ พูดกับตัวเองว่า “ท่านย่า หลานก็อยากหนีไป แต่พวกเราจะหนีไปไหนได้ ฮ่องเต้ได้วางกับดักไว้เรียบร้อยแล้ว หลานก็คือเหยื่อในกับดัก ฮ่องเต้ไม่ไว้ใจขุนนางในราชสำนัก พวกเราไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหล่าตระกูลใหญ่ทั้งหมด จึงมีเพียงพวกเราเท่านั้นที่เป็นเหยื่อที่เหมาะสมที่สุด แต่เดิมนั้นก็ถูกคนริษยาอยู่แล้ว อีกทั้งฮ่องเต้ยังสาดน้ำมันอยู่ด้านบนด้วยน้ำเพียงสองสามถ้วย มีหรือจะดับไฟกองนี้ได้ หากไม่ได้เป็นเพราะรัชทายาทบอกข้าว่าเหล่าแม่ทัพผู้กล้าในเมืองหลวงอยู่ที่ไหนบ้าง หลานก็คงจะต้องคืนดีกับตระกูลโต้วซึ่งนี่จึงจะเป็นเรื่องที่น่ากลัวที่สุด เหล่าเฉิงและเหล่าหนิวจะต้องร้อนรนจนแทบคลั่งแน่ เพราะกลัวว่าข้าจะเลือกฝ่ายผิด ตอนนี้ที่กวนหล่งทะเลาะกันอย่างเอาเป็นเอาตายแล้วกระมัง เฉิงเหย่าจินอยู่ที่หล่งโย่ว จั่งซุนอู๋จี้อยู่ในกวนจง เว่ยฉือจิ้งเต๋ออยู่ในเมืองหลวง จางเลี่ยงอยู่ในเหอเป่ย ต้วนจื้อเสวียนอยู่ในซานตง จางซื่อกุ้ยอยู่ในลั่วหยาง ฮ่องเต้ของฉัน เจ้ากำลังจะทำอะไร”
คฤหาสน์ของตระกูลอวิ๋นในเมืองหลวง เนื่องจากมีคนจำนวนน้อยจึงดูค่อนข้างรกร้าง มีต้นหญ้าพยายามจะงอกออกจากรอยแยกของหิน ในมุมมืดของมุมกำแพงมีองครักษ์ของตระกูลอวิ๋นยืนนิ่งไม่ขยับอยู่ตรงนั้น บางครั้งก็มีแสงดาบส่องประกายน่ากลัว บอกอวิ๋นเยี่ยว่าสถานการณ์ของเขาตอนนี้นั้นเลวร้ายเพียงไหน
“โหวเหยียกลับไปนอนพักสักครู่เถอะ ใกล้จะฟ้าสางแล้ว พรุ่งนี้ยังต้องไปที่อำเภออีก” ไม่รู้ว่าเหล่าจวงโผล่ออกมาจากที่ไหน พูดเกลี้ยกล่อมอวิ๋นเยี่ยเบาๆ
“เหล่าจวง สองปีที่ผ่านมาเจ้าไม่เคยห่างจากข้าเลย เจ้าว่า ข้าเป็นคนสารเลวจริงๆ ใช่หรือไม่ เพื่อนางรำที่ไม่รู้จักชื่อคนหนึ่ง ถึงกับเอาชีวิตทั้งผู้ใหญ่และเด็กของทั้งครอบครัวมาพัวพันด้วย คุ้มค่าหรือ”
“โหวเหยีย ข้าน้อยไม่เคยเรียนหนังสือ แต่ข้ามีหัวใจ ตอนที่อยู่ในทุ่งหญ้า เมื่อท่านเห็นน่ารื่อมู่กำลังจะกลายเป็นจอกใส่เหล้า สีหน้าท่านในตอนนั้นน่ากลัวมาก ข้าน้อยรู้ว่าท่านไม่ได้สนใจว่าจะมีคนตายกี่คน ไม่ว่าจะตายเพราะสงครามหรือตายเพราะป่วย ที่จริงแล้วท่านไม่ได้สนใจ คนเราเกิดมาย่อมต้องตาย ตายช้าหรือตายเร็วก็เท่านั้นเอง ข้าน้อยคิดว่าสิ่งที่ท่านสนใจคือ เรื่องที่นางรำถูกจับทำเป็นเทียนไข นี่คือสาเหตุหลักที่ตระกูลโต้วทำให้ท่านขุ่นเคือง จุดชนวนระเบิดของท่าน แน่นอนว่าท่านจึงไม่ยอมปล่อยให้เขาอยู่เป็นสุข”
อวิ๋นเยี่ยตกใจสะดุ้ง และพบว่าชายหยาบกร้านคนนี้เป็นชายที่ละเอียดอ่อนอย่างหาได้ยากคนหนึ่ง เขาตบแขนของเหล่าจวงเบาๆ แล้วพูดว่า “ตอนที่ข้าอยู่ที่หล่งโย่ว มีผู้อาวุโสท่านหนึ่งบอกข้าว่า คนเราถูกฆ่าตาย ถูกตัดศีรษะ ถูกเผาได้ ถูกบีบคอตายได้ สรุปแล้วจะตายอย่างไรก็ได้ สิ่งเดียวที่ไม่ได้ก็คืออดตาย
แต่ข้าคิดว่าถึงจะอดตายก็ไม่เป็นไร ใต้หล้านี้ไม่เคยมีเสบียงอาหารเพียงพออยู่แล้ว ถ้าเจ้าไม่อดตายก็จะต้องมีใครบางคนอดตาย ญาติของผู้อาวุโสท่านนั้นอดตายทั้งหมด ดังนั้นความเห็นของเขาจึงค่อนข้างรุนแรง
แต่บ้านโหวเหยียของเจ้านั้นต่างกัน เหตุผลที่บุคคลถูกเรียกว่าเป็นมนุษย์นั้น เป็นเพราะเขาอยู่เหนือสัตว์ร้าย เคารพต่อชีวิตของผู้อื่นซึ่งก็คือการเคารพตัวเองด้วย สัตว์ป่ากินสัตว์ป่าด้วยกันเอง ก็เพราะมันหิวและจะกินจนไม่เหลือ จะไม่นำศพไปทำอย่างอื่นต่อ มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่เป็นสิ่งมีชีวิตที่ประหลาด ถึงได้ฆ่าคนด้วยเหตุผลอื่นๆ ร้อยแปดพันเก้า มนุษย์บางคนก็ทำเกินไป ซึ่งก็คือพวกที่ไม่สามารถเรียกได้ว่ามนุษย์ ถึงได้ใช้กะโหลกมนุษย์ที่ยังมีชีวิตมาเป็นจอกเหล้า ถึงได้นำศพคนมาทำเป็นเทียนไข ดังนั้นพวกเขาทั้งหมดสมควรตาย”
เหล่าจวงพยักหน้าด้วยท่าทีดูเหมือนจะเข้าใจ เมื่อเห็นว่าอวิ๋นเยี่ยไม่ง่วงนอนเลยสักนิด เขาก็ไม่เกลี้ยกล่อมอีก เขาเองก็เข้าใจดีว่าคืนนี้โหวเหยียคงจะไม่สนใจเรื่องการนอนแน่
เมื่อเปิดประตูห้องของเรือนตะวันออก แสงไฟยังคงส่องสว่าง ผู้คนที่ตระกูลอวิ๋นเรียกมากำลังคัดสำเนาหนังสือร้องเรียนของอวิ๋นเยี่ยอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครเงยหน้าขึ้น พวกเขาจำตัวอักษรพันกว่าคำนี้ได้นานแล้ว บนโต๊ะทำงานที่อยู่ด้านหน้าประตูก็มีกระดาษกองใหญ่วางอยู่
ในฐานะคนในยุคปัจจุบัน อวิ๋นเยี่ยมีหรือจะไม่รู้ถึงความทรงพลังของประชาวิจารณ์ ไม่ได้สาดโคลนใส่ตระกูลโต้ว เพียงแค่บอกประชาชนชาวฉางอันว่าตระกูลโต้วชอบใช้คนทำเทียนไข ตอนนี้เทียนที่ยังสว่างไสวในบ้านของเขาเป็นเทียนไขที่ทำจากร่างของลวี่จู๋หญิงผู้น่าสงสาร ขอให้ชาวฉางอันต้องระมัดระวังด้วย อย่าได้เผลอขัดขืนตระกูลโต้ว ผลที่ตามมาจากการไม่เชื่อฟังตระกูลโต้วอาจจะถูกเขานำไปทำเป็นเทียนไข
อวิ๋นเยี่ยไม่เชื่อว่าประชาชนชาวฉางอันจะไม่สนใจ แม้แต่คนที่ช็อกขณะกำลังมีสัมพันธ์กันบนเตียงก็ยังแพร่กระจายข่าวกันเช่นนี้ หากเจอเรื่องน่าหวาดกลัวเช่นนี้ มีหรือจะไม่รู้สึกอะไร อวิ๋นเยี่ยหยิบผลงานชิ้นเอกของตนเองขึ้นมาแผ่นหนึ่ง อ่านหนึ่งรอบและพูดกับตัวเองด้วยความพึงพอใจ “ยอดนักประพันธ์”
ตระกูลใหญ่ที่สืบทอดมาหลายชั่วอายุคนได้ มิได้เป็นเพราะใช้ชีวิตเป็นของเล่นเพื่อสั่งสมชื่อเสียงมาหรอกหรือ อวิ๋นเยี่ยไม่เชื่อว่ากับข้อหาที่บอกว่าตระกูลโต้วเป็นตระกูลที่จับคนทำเทียนไข ผู้เฒ่าโต้วจะไม่รู้สึกอะไรเลย ชื่อเสียงที่สั่งสมมานานหลายพันปี ถุย ข้าจะให้ตระกูลโต้วของเจ้าได้เห็นถึงพลังความน่ากลัวของตัวอักษรเสียหน่อย และให้พวกเจ้าได้สัมผัสบ้างอะไรที่เรียกว่า พลังมติมหาชน สามวันให้หลัง ผู้คนทั่วทั้งฉางอันหากพบตระกูลโต้วแล้วไม่เดินอ้อมหลบ ข้าจะเปลี่ยนไปใช้แซ่โต้วตามพวกเจ้าเลย
คิดว่าพรุ่งนี้รัชทายาทคงจะหาคนจำนวนหนึ่งที่สูญเสียคนในครอบครัวไป เพียงแค่หาใครก็ได้และพูดต่างๆ นานา เช่น บอกพวกเขาว่าอาจจะมีคนหายไป ตระกูลโต้วซึ่งชอบเอาคนมาทำเทียนไข ลวี่จู๋คนเดียวจะพอได้อย่างไร ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจถูกตระกูลโต้วนำไปทำเทียนไขหมดแล้วก็ได้
วิธีการนั้นค่อนข้างไร้คุณธรรม หลี่เฉิงเฉียนมีสีหน้าหวาดกลัว แต่กลับไปดำเนินการเรื่องนี้ด้วยความกระตือรือร้น แม่ของเขาพูดกับอวิ๋นเยี่ยตั้งแต่แรกแล้วว่าหากมีเรื่องใดไม่สะดวก สามารถขอความช่วยเหลือจากรัชทายาทได้ แผนการที่ดีเช่นนี้จะไม่ใช้ให้เต็มที่ ไม่ใช้ให้ถึงที่สุดได้อย่างไรกัน
อวิ๋นเยี่ยมั่นใจเป็นอย่างมากว่ามังกรร้ายที่มีอิทธิฤทธิ์ร้ายเหลือในวังหลวงตนนั้นกำลังเฝ้าดูการเคลื่อนไหวทุกอย่างในเมืองฉางอันด้วยความสนใจเป็นอย่างมาก กรงเล็บมังกรที่ซ่อนอยู่ใต้ท้องนั้น คงจะกระตือรือร้นอยากจะลองของแล้วกระมัง
——
[1] เหรียญไคหยวนทงเป่า คือ เหรียญเงินตราที่นิยมใช้มากที่สุดและใช้อย่างยาวนานที่สุดในราชวงศ์ถัง โดยตัวเหรียญจะมีรูตรงกลางและสี่ด้านของรูเหรียญมีอักษรสี่คำ คือ ไค หยวน ทง เป่า
ส่วนที่ 5
ตอนที่ 22 ถ่มน้ำลาย
นับตั้งแต่วันแรกที่ก่อตั้งต้าถัง เมืองฉางอันไม่ได้เปลี่ยนบรรยากาศดั้งเดิมที่มันเคยมีไปเลย ตลาดตามท้องถนนหนึ่งร้อยแปดแห่งได้ถูกเปิดขึ้นตามลำดับ ดูเหมือนว่าผู้คนจะลืมความเร่งรีบและคึกคักของเมื่อวานนี้ไป ยังคงเริ่มทำงานประจำวันของตน หากจะเป็นกังวลเรื่องตระกูลใหญ่อยู่เหนือผู้คน ไม่สู้กังวลเรื่องราคาข้าวสารจะดีกว่า ต้องบอกไว้ก่อนว่าราคาข้าวสารในฤดูหนาวปีนี้ได้เพิ่มขึ้นถึงสามส่วน ไม่รู้ว่าผู้ประสบภัยที่กินข้าวของฉางอันเหล่านั้นจากไปหมดแล้วหรือยัง
เด็กน้อยที่ตะกละกำลังขยี้ตาปรือสะลึมสะลืออยู่ แล้วมองไปที่ต้นเอล์มที่มุมถนน มันแปลกที่ต้นไซบีเรียนเอล์มเหล่านั้นมักจะปลูกไม่โต เห็นเมื่อวานนี้ก็เห็นดอกตูมงอกอยู่ที่กิ่งอ่อนๆ แล้ว ทำไมวันนี้ยังคงเหมือเดิมอีก จึงปัสสาวะรดบนรากของต้นอย่างเต็มที่ ต้นเอล์มแก่ๆ นี่ทำให้ผิดหวังอีกแล้ว
จากนั้นมองดูต้นหวยซู่ที่อยู่ทั้งสองข้างถนน กลืนน้ำลายหนึ่งอึก เมื่อเทียบกับต้นเอล์ม ดอกหวยซู่จึงจะเป็นความงดงามของจริง รูดดอกหวยซู่สีขาวแล้วนำไปนึ่งรวมกับข้าวกล้อง กลิ่นหอมนี้สามารถโชยไปถึงถนนได้ น่าเสียดายที่ดอกหวยซู่ต้องถึงเดือนสี่จึงจะออกดอก ตอนนี้ยังเป็นกิ่งที่เ**้ยนเตียนที่บนกิ่งไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย
ฝุ่นละอองที่ถูกม้าเร็วทำให้คละคลุ้งขึ้นก็ยังคงน่ารำคาญอยู่เสมอ เมืองฉางอันในฤดูใบไม้ผลิ หากฝนไม่ตกก็มักจะเป็นสีเทาอึมครึม
ทหารม้ากระโดดจากม้า ในมือถือถังแป้งเปียกอยู่หนึ่งถัง ใช้แปรงจุ่มแป้งเปียกแล้วป้ายบนกำแพงสองครั้ง ดึงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากกระบอกไม้ไผ่บนหลังของม้าก่อนจะติดมันไว้บนผนัง มองขึ้นมองลงเห็นว่าแปะได้เรียบร้อยแล้ว จึงขึ้นม้าแล้วมุ่งหน้าไปยังเป้าหมายต่อไป
ทหารม้าที่ทำเช่นนี้ไม่ได้มีเพียงหนึ่งหรือสองคน แต่มีอยู่ทุกหนทุกแห่งและทำเช่นเดียวกัน นั่นก็คือทาแป้งเปียกและแปะกระดาษ
นี่เป็นเรื่องแปลกใหม่ ที่เมืองฉางอันนอกเหนือจากทางการติดประกาศที่ประตูเมืองแล้ว ก็มีรูปวาดภาพเหมือนประกาศจับโจรเพียงสองแผ่น มีใครเคยเจอคนเอากระดาษที่มีราคาแพงแปะไปทั่วเมือง ทั้งด้านบนก็ยังเขียนหนังสือไว้อีก แต่ก็อ่านไม่ออกสักคำ นี่ไม่เท่ากับทำให้คนกระวนกระวายหรือ
หากมีเรื่องอะไรเจ้าของร้านขายของชำก็ถูกเรียกออกมาทันที เพราะในถนนละแวกนี้ถือว่าเขามีความรู้ดีที่สุด ไม่ว่าบ้านไหนก็ตาม จะเป็นเรื่องมงคลหรือเรื่องร้าย มีครั้งไหนที่ขาดเขากันบ้าง
เจ้าของร้านขายของชำกระแอมสองครั้ง เพื่อปรับหลอดเสียงเตรียมจะอ่านเสียงดัง หมายจะโอ้อวดแสดงความรู้ของตน ใครจะรู้ ทันทีที่เห็นอย่างชัดเจนว่าบนนั้นเขียนอะไรไว้ ก็รีบปิดปากทันที ส่งเสียงจุ๊ๆ แล้วก็รีบกลับไปที่ร้านขายของชำ ลงกลอนปิดประตู แม้แต่การค้าก็ไม่ทำแล้ว
เมื่อเห็นเจ้าของร้านขายของชำดูเหมือนลาตื่นตระหนก ชาวบ้านจึงยิ่งกังวลมากขึ้น ไม่รู้ว่าในกระดาษเขียนอะไรไว้ หรือว่าทางการต้องการจะเก็บภาษีในเมืองรายบุคคลอีกแล้วหรือ ความคิดเห็นแตกต่างกันไป ในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่มีข้อมูลอะไรเลย ในตอนนี้ขุนนางท้องที่ผู้ดูแลตรอกและอู่โหวต่างก็กำลังไปรายงานเรื่องนี้ต่อเจ้าหน้าที่จินอู๋เว่ย[1]ที่มาตรวจสอบ ในเวลานี้จึงหาคนที่รู้หนังสือไม่ได้เลย
บัณฑิตสวมเสื้อคลุมคอกลมคนหนึ่งเดินผ่านมา เห็นในแวบแรกก็รู้ว่าเขาเป็นคุณชายผู้มีความรู้ ชายชราคนหนึ่งจึงก้าวเข้าประสานมือทักทาย บัณฑิตหนุ่มก็เป็นคนที่คุยด้วยง่าย จึงเดินมาที่ด้านหน้าป้ายประกาศโดยไม่พูดอะไรสักคำ อ่านกวาดตาแล้วพูดกับชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียงว่า “มีโจรร้ายในเมืองฉางอัน ชอบนำคนมาทำเทียนไข โดยนำกรวยใส่ในปากคนแล้วกรอกเทียนไขเหลวที่ต้มจนเดือดเข้าไปในท้องคน ปล่อยให้ถูกลวกตายทั้งเป็น แล้วจึงเสียบไส้ตะเกียงและนำมาใช้เป็นเทียนไข ก่อนหน้านี้เมืองฉางอันมักจะมีเด็กๆ หายตัวไปไม่ใช่หรือ อาจเป็นโจรเลวคนนี้ที่จับเด็กไปทำเป็นเทียนไขและจุดใช้ในเวลากลางคืน
บัณฑิตยังไม่ทันได้พูดจบก็มีคนคว้าตัวบัณฑิตมาถามว่าโจรร้ายคนนั้นเป็นใคร ลูกของเขาหายไปสองปีแล้ว บัณฑิตบอกเขาว่าเรื่องนี้น่ะหรือ เดิมไม่เคยถูกค้นพบมาก่อน แต่สุดท้ายถูกหลานเถียนโหวพบเข้าหนึ่งคนในตระกูลโต้วที่ตรอกซิ่งฮว่าฟาง เมื่องมองดูเทียนไขอย่างละเอียดเขาจึงรู้ว่าที่แท้เป็นนางรำคนหนึ่งที่ตรอกผิงคังฟางซึ่งอยู่ทางด้านตะวันออกนามว่าลวี่จู๋ เมื่อสองวันก่อนยังได้ดูการเต้นรำของนางอยู่เลย ใครจะรู้ว่าพริบตาเดียวนางจะกลายเป็นเทียนไข แน่นอนว่าโหวเหยียต้องไม่พอใจ ดังนั้นติดประกาศเตือนพ่อแม่พี่น้องในตรอกแห่งนี้ขอให้ระวังดูแลลูกๆ ของตนเองให้ดี อย่าได้ให้ถูกหลอกไปทำเทียนไข โดยตัวเขาเองจะไปร้องทุกข์ที่ที่ว่าการเขตฉางอัน เพื่อทวงความยุติธรรมคืนให้หญิงที่น่าสงสารคนนั้น
เมื่อบัณฑิตพูดจบก็ประสานมือเตรียมจะจากไป ขณะที่เดินจากไปก็เตือนชาวบ้านในตรอกให้ระวังลูกๆ ของพวกเขา มองดูชาวบ้านในตรอกที่คร่ำครวญร่ำไห้ที่สูญเสียลูกไป ได้แต่ถอนหายใจแล้วจากไป
เมื่อเดินเลยมุมถนนก็หยิบหนวดปลอมออกจากอกเสื้อและติดไว้เหนือริมฝีปาก จากนั้นเดินไปที่อีกมุมถนนหนึ่งและอธิบายให้ชาวบ้านที่ไม่รู้ความจริงฟังต่อไป…
เด็กๆ ที่เมื่อครู่ยังน้ำลายไหลกับต้นกล้าเอล์มอยู่จึงถูกมารดาของเขานำตัวกลับบ้านทันที ถูกตีก้นหลายทีก่อนจะได้ยินมารดาบอกเขาเกี่ยวกับเรื่องโหดร้ายที่ตระกูลโต้วนำเด็กไปทำเทียนไข เด็กตกใจกลัวจนไม่กล้าร้องไห้ มุดเข้าอ้อมกอดมารดาอย่างสุดแรง
ในเมืองฉางอัน เด็กที่วิ่งเที่ยวเตร็ดเตร่ก็หายไปหมดและเด็กสาวที่ชอบเดินเที่ยวตลาดก็หายไป มีเพียงบางคนที่จำเป็นต้องออกมา ก็รีบเดินเหมือนโดนหมาป่าไล่ล่า เหลียวซ้ายแลขวาราวกับเป็นขโมย
เมื่อถึงเวลาที่ดวงอาทิตย์ใกล้จะพ้นขอบฟ้า ผู้คนจึงค่อยโล่งใจขึ้นบ้าง มีบางคนที่ค่อนข้างฉลาด ก็คิดว่านี่เป็นคุณชายเสเพลคนไหนกำลังกุเรื่องเล่นอยู่ เตรียมจะกลับไปบ้านแล้วปล่อยลูกที่ถูกขังอยู่ในบ้านมาหนึ่งวันให้ออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์เสียหน่อย ใครจะรู้ว่าโหวเหยียตระกูลอวิ๋นจะนำหนังสือคำร้องไปร้องเรียนที่ที่ว่าการฉางอันแล้ว จากตะวันออกไปยังตะวันตก คนกว่าค่อนเมืองในเมืองฉางอันได้เห็นโหวเหยียท่านนี้ผู้ซึ่งมีคุณธรรมสูงส่ง องอาจกล้าหาญไปที่ที่ว่าการอำเภอฉางอันด้วยสีหน้าขุ่นเคือง
เห็นอยู่ชัดๆ ว่านายอำเภอยืนต้อนรับเขาที่ประตูทางเข้าของที่ว่าการ แต่เขากลับไปตีกลองร้องทุกข์ทั้งสองด้านของที่ว่าการข้างละครั้ง ก่อนที่ชาวบ้านจะร้องเรียนจะต้องตีกลองเพื่อกระตุ้นให้เจ้าหน้าที่จอมขี้เกียจลุกขึ้นเปิดศาล ซึ่งกฎนี้มีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่น อวิ๋นเยี่ยไม่มีโอกาสที่จะได้ตีสิ่งนี้ ถ้าเขามีความคับข้องใจก็จะไปหาฮ่องเต้เพื่อแก้ไขปัญหา แต่วันนี้เขาสวมชุดธรรมดา ก็ถูกกำหนดให้ใช้วิธีการเดียวกันกับชาวบ้านเพื่อนำเรื่องของตนเองเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
ชาวบ้านนั้นไม่สามารถฟ้องร้องขุนนางได้ หากฟ้องร้องขุนนางในฐานะประชาชน ก่อนอื่นเลยก็คือถือว่ามีความผิด และถ้าฝ่ายขุนนางเป็นผู้ชนะ ก็ต้องโดยโบยหลังอย่างน้อยแปดสิบที เนรเทศไม่น้อยไปกว่าสามพันลี้อย่างแน่นอน เมื่อหันกลับไปมองกลุ่มประชาชนชาวฉางอันจำนวนมาก อวิ๋นเยี่ยมีรอยยิ้มอยู่ที่มุมปาก ตระกูลโต้ว ตระกูลโต้วจะต้องจมลงในคลื่นระลอกนี้
จั่วขุยนายอำเภอฉางอันไม่เคยเกลียดตัวเองเช่นวันนี้มาก่อนเลยว่า ทำไมเขาต้องรับราชการด้วย เขายืนอยู่ที่ประตูทางเข้าที่ว่าการ มองดูโหวเยี่ยคนนั้นตีกลองตาปริบๆ นั่นไม่ใช่การตีกลอง แต่เป็นการเร่งจะเอาชีวิต
รองนายอำเภอและผู้ช่วยนายอำเภอต่างก็หน้าซีดเหมือนกัน เย็นวานนี้ตระกูลโต้วได้บอกพวกเขาว่า ถ้าหากอวิ๋นเยี่ยมาฟ้องร้องและพวกเขากล้ารับคำร้องละก็ ทุกคนในครอบครัวพวกเขาจะมีชะตาชีวิตที่ดีที่สุดด้วยการถูกเนรเทศไปที่หลิ่งหนาน
อวิ๋นเยี่ยกำลังนั่งดื่มนมเปรี้ยวอยู่ในห้องโถงของที่ว่าการ มองดูเจ้าหน้าที่ทั้งสามซึ่งกำลังอ่านหนังสือร้องเรียนของตัวเองอย่างสบายอารมณ์ พวกเขาจำเป็นต้องอ่านและก็จำเป็นต้องรับด้วย อวิ๋นเยี่ยเห็นหงเฉิงสวมชุดเจ้าหน้าที่ศาล ในมือถือพลองไม้ไผ่ ยืนสัปหงกพิงป้ายใหญ่อยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ
การฆ่านางรำที่มีฐานะต่ำต้อยตายไปหนึ่งคนนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร กฎหมายอาญากำหนดเพียงแค่การลงโทษด้วยการปรับเงินหรือการโบย โทษที่หนักที่สุดก็คือการเนรเทศหนึ่งปีเท่านั้น ในเมืองฉางอันมีคนคนรับใช้และสาวใช้ที่ถูกฆ่าตายอย่างประหลาดในแต่ละปีไม่รู้ว่ามีจำนวนมากมายเท่าไร แต่ก็ไม่มีใครมาฟ้องร้องสักคน ส่วนใหญ่ก็ชดใช้เงินและเสบียงเล็กน้อยเพื่อให้จบเรื่อง เรื่องของคนฐานะดียังดูแลแทบไม่ทัน ใครจะมีเวลามาดูแลคนที่มีฐานะต่ำต้อยกัน ดังนั้นทางการจึงมักจะปิดตาข้างหนึ่งต่อเรื่องเหล่านี้เสมอ
ใครจะรู้ว่าอยู่ในวงการนานๆ ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องได้พบกับผีบ้าง บางทีอาจเป็นวิญญาณผู้บริสุทธิ์ของคนฐานะต่ำต้อยสั่งสมความแค้นในฉางอันมากเกินไป ในที่สุดก็ให้เกิดคดีใหญ่ที่ว่าโหวเหยียท่านหนึ่งมาฟ้องร้องกั๋วกงว่าฆ่าคนอย่างทรมาน ข้อกล่าวหานั้นแปลกยิ่งนัก “ละเมิดสิทธิมนุษยชน” พลิกหากฎหมายทุกข้อของต้าถังก็หาข้อหาประหลาดเช่นนี้ไม่เจอ
หลินกุ้ยกัดฟันพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “อวิ๋นโหว นับตั้งแต่ต้าถังเราประกาศกฎ ‘อู่เต๋อลวี่’ ในรัชศกอู่เต๋อปีที่เจ็ดเป็นต้นมา ไม่เคยมีความผิดข้อที่ว่าละเมิดสิทธิมนุษยชน ข้าน้อยในฐานะขุนนางที่ใกล้ชิดประชาชน กฎหมายของแต่ละราชวงศ์ก่อนหน้าก็เคยศึกษามาคร่าวๆ ด้วย แต่ก็ไม่เคยได้ยินกฎหมายข้อนี้มาก่อนเลย หวังว่าอวิ๋นโหวจะช่วยอธิบายให้ข้าฟังสักหน่อย”
“ตั้งแต่สมัยโบราณมาได้มีการบัญญัติกฎหมายเพื่อแก้ไขบรรทัดฐานพฤติกรรมของผู้คนในใต้หล้า กฎหมายอาญาที่เข้มงวดถูกนำมาใช้ เพื่อบอกเราว่าสิ่งใดสามารถทำได้และสิ่งใดไม่สามารถทำได้ นับตั้งแต่ราชวงศ์ฉินเป็นต้นมา หลักการแห่งการสอนให้ใจกว้างและมีเมตตาก็ได้ปรากฏให้เห็นมาโดยตลอด บทลงโทษที่โหดร้ายเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ ในประวัติศาสตร์ การลงโทษทางร่างกายที่โหดร้ายเหล่านั้นตอนนี้ในต้าถังเราก็เหลือเพียงการเฆี่ยนตีและการโบยเท่านั้น การลงโทษประเภทห้าม้าแยกร่าง การลงโทษตัดอวัยวะสืบพันธุ์ การควักตาตัดลิ้นหายไปหมดแล้ว แม้แต่โทษกบฏที่หนักสุดในสิบโทษร้ายแรง ก็เพียงแค่ตัดศีรษะของผู้เป็นหัวหน้า บิดาของเขาและลูกหลานลดโทษลงหนึ่งระดับโดยตัดสินให้แขวนคอเพื่อเก็บศพที่สมบูรณ์ทั้งร่างไว้
จะเห็นได้ว่าจุดประสงค์ของราชสำนักในการบัญญัติกฎหมายก็คือ เพื่อสั่งสอนไม่ให้ประชาชนฝ่าฝืนกฎหมาย จุดประสงค์เพื่อใช้สั่งสอนและช่วยคน โดยให้ความผิดเป็นครูต่อไปไม่ให้กระทำอีก ไม่ใช่เพื่อตั้งใจจะจับคนดีๆ คนหนึ่งเนรเทศไปให้ไกลหรือจะตัดศีรษะให้ได้ มีใครชอบทำเรื่องต่างๆ ให้เป็นการนองเลือดกันบ้าง แม้แต่เมื่อปีที่แล้วซึ่งเป็นปีที่เกิดภัยพิบัติ ก็มีอาชญากรเพียงยี่สิบคนในต้าถังที่ถูกประหารด้วยการตัดศีรษะไม่ใช่หรือ
เพราะอะไรน่ะหรือ นี่เป็นสัญญาณบ่งบอกว่ายุครุ่งเรืองกำลังจะมาถึง ที่ชายแดน พวกเราได้กวาดล้างชนเผ่าทูเจวี๋ยและจับเป็นข่านเจี๋ยลี่ได้ ขุนนางผู้ใกล้ชิดประชาชนที่อยู่ในราชสำนักเองก็มีคุณงามความชอบ ด้านหนึ่งต้องจัดหาเสบียงและอาวุธยุทโธปกรณ์สำหรับกองทัพที่อยู่แนวหน้า อีกด้านหนึ่งก็ต้องจัดหาเสบียงอาหารไปมอบให้กับชาวบ้านผู้ประสบภัยเหล่านั้นเพื่อไม่ให้พวกเขาต้องหนาวจนอดตาย
ตอนนี้ฤดูใบไม้ผลิมาถึงแล้ว ต้าถังของเรากำลังจะต้อนรับปีใหม่ที่แปลกใหม่ พวกเราทุกคนต่างก็หมายมั่นปั้นมือเตรียมพร้อมที่จะพยายามอย่างหนักเพื่อความเจริญรุ่งเรืองที่จะมาถึง เพื่อให้เราทุกคนสามารถมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี พวกเรามีกษัตริย์ที่ฉลาดปราดเปรื่อง เหล่าทหารที่กล้าหาญ ขุนนางที่เฉลียวฉลาด ประชาชนที่ขยันขันแข็ง แล้วพวกเราจะไม่มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีได้อย่างไรกัน”
ผู้คนในราชวงศ์ถังไม่เคยได้เห็นการกล่าวปาฐกถา แม้ว่าอวิ๋นเยี่ยจะรังเกียจคำพูดของตัวเอง แต่เหล่าขุนนางที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะทำงาน ชาวบ้านที่อยู่บริเวณประตูที่ว่าการได้ยินคำประกาศเรื่องการมาถึงของยุครุ่งเรืองเป็นครั้งแรก ต่างก็พากันแสดงออกถึงความโกรธแค้น แม้แต่หงเฉิงซึ่งกำลังยืนสัปหงกอยู่ตรงนั้นก็เบิกตากว้างราวกับว่าเพิ่งจะรู้จักอวิ๋นเยี่ยเป็นครั้งแรก
ทันทีที่คำพูดของอวิ๋นเยี่ยหยุดลง ชาวบ้านพากันตะโกนโห่ร้องว่าเยี่ยม วันนี้พวกเขาคือแกนหลัก อวิ๋นเยี่ยหันกลับมาเผชิญหน้ากับฝูงชนและตะโกนเสียงดังว่า “ในวันที่มีทัศนียภาพอันงดงามเช่นนี้ แต่ก็กลับเกิดเรื่องน่าขยะแขยงที่ไม่อาจให้ใครรู้ได้เกิดขึ้น ซึ่งก็คือตระกูลโต้วทายาทแห่งผู้มีการศึกษาที่อาศัยอยู่ในตรอกซิ่งฮว่าฟาง เพื่อระบายความโกรธแค้น พวกเขาได้จับหญิงสาวอายุสิบห้าปีทำเทียนไขทั้งเป็น
เด็กน้อยคนหนึ่งที่ลืมตาดูโลกจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ จะต้องฟันฝ่าอุปสรรคมากมายเท่าไร บิดามารดาต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจเพียงใด พวกเราต่างก็มีความรักที่ลึกซึ้งที่สุดในการจินตนาการว่า หลังจากลูกของตนเองที่เติบโตขึ้น ผู้ชายสามารถสร้างชื่อเสียงให้วงศ์ตระกูลได้ ผู้หญิงสามารถแต่งงานไปในครอบครัวที่ดี มีความสุขชั่วชีวิต มีใครอยากให้ลูกเป็นเทียนไข บอกข้าซิว่ามีใครต้องการให้ลูกเป็นเทียนไขบ้าง ต้าถังเรามีประชากรน้อย บนผืนดินอันกว้างใหญ่มีคนเพียงไม่กี่ล้านคน ทุกครั้งที่ฝ่าบาทประกอบพิธีบวงสรวงสวรรค์ทรงอธิษฐานอย่างจริงใจเพื่อให้ไพร่ฟ้าใต้หล้าเจริญรุ่งเรือง สัตว์ต่างๆ ในคอกปศุสัตว์เพิ่มทวีคูณ แล้วตระกูลโต้วกำลังทำอะไรอยู่ เจ้ากำลังฆ่าคนเป็นผักปลา!
ตระกูลโต้ว เจ้าทำได้ลงคอได้อย่างไร เมื่อพวกเราเห็นลูกสุนัขที่ได้รับบาดเจ็บ เราจะเห็นอกเห็นใจเป็นอย่างมาก แล้วทำไมพวกเจ้าถึงเพิกเฉยต่อคำวิงวอนของหญิงสาวผู้น่าสงสารคนนั้น ไม่ใส่ใจต่อคำร่ำร้องขอความเมตตาของนาง ทำไมจึงโหดร้ายกรอกขี้ผึ้งเหลวร้อนๆ ใส่ท้องของผู้หญิงคนนั้น ยังมีความเป็นธรรมอยู่อีกหรือ ตระกูลโต้วยังมีความเป็นคนอยู่อีกหรือไม่ ตระกูลใหญ่ที่สืบทอดกันมายาวนาน ทายาทแห่งผู้มีการศึกษารึ ถุย! “
ต่อจากการถ่มน้ำลายของอวิ๋นเยี่ยแล้ว ชาวเมืองฉางอันที่โกรธแค้นก็หันไปถ่มน้ำลายตรงทิศทางของตรอกซิงฮั่วฟาง
——
[1] จินอู๋เว่ย เป็นตำแหน่งขุนนาง ทำหน้าที่ลาดตระเวนดูแลความปลอดภัยทั้งในวังและในเมืองหลวง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น