เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วน 5 ตอน 19-20
ส่วนที่ 5
ตอนที่ 19 ยังมีใครอีก
ประโยคนี้ได้กระตุ้นให้จั่งซุนเดือดดาลอย่างที่สุด ต้องบอกให้รู้ว่าผู้ดูแลเหล่านั้นเป็นหัวกะทิที่นางคัดเลือกเอง ตอนนี้ฟังจากปากอวิ๋นเยี่ยพวกเขายังเทียบไม่ได้กับสุนัขหนึ่งตัว เช่นนี้แล้วจะให้จั่งซุนที่ทระนงตนจนยอมรับได้อย่างไร จึงชี้หน้าอวิ๋นเยี่ยแล้วพูดว่า “ดี เราจะไปที่บ้านเจ้า พาม้าตัวนั้นมาที่นี่แล้วหาร้านค้าสักร้านส่งมันไปอยู่ในนั้น ข้าจะดูว่าม้าของเจ้าทำการค้าอย่างไร” นางพูดคำว่าสุนัขไม่ออกจริงๆ เมื่อพูดออกมาจึงเปลี่ยนเป็นวั่งไฉของตระกูลอวิ๋น
อวิ๋นเยี่ยแอบเหล่มองจั่งซุน พบว่านางถูกตนเองยั่วโมโหจนโกรธอยู่ไม่น้อย ดังนั้นจึงพูดให้นุ่มนวลลงว่า “กราบทูลฮองเฮา ขณะที่กระหม่อมสังเกตการทำงานในร้านของหวงสือ พบว่ามันดูเหมือนเป็นราชสำนักขนาดย่อมมีการแบ่งระดับขั้นอย่างเข้มงวด มีกฎข้อห้ามที่เคร่งครัด การสนทนาของผู้ดูแลใช้ภาษาเป็นทางการ เห็นได้ชัดว่าจะขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นแต่ยังวางตนอยู่เหนือเขา สินค้าไม่ดีแต่ก็ราคาสูงมาก ทัศนคติในการค้าขายเลวร้ายมาก นอกจากการพยายามยื่นข้อเสนอดีๆ เกินจำเป็นให้กับตระกูลหวาง มีใครอยากจะไปรองรับอารมณ์บ้าง ขอท่านลองสังเกตตลาดของฝั่งตะวันออกและตะวันตกดู นอกจากร้านของตระกูลหวงแล้วมีใครทำการค้าเช่นนี้กันบ้าง คราวก่อนผู้ดูแลของหวงสือมาขอเป็นตัวแทนรับฝากขายสินค้าหลายอย่างของตระกูลอวิ๋น เห็นแก่หน้าของหวงสือตระกูลอวิ๋นจึงได้รับคำ แม้แต่น้ำหอมก็ส่งให้ถึงสิบขวด ซึ่งตระกูลอวิ๋นไม่เคยใจกว้างเช่นนี้มาก่อน ทั่วทั้งฉางอันมีหวงสือเพียงผู้เดียวที่สามารถนำน้ำหอมออกมาจากตระกูลอวิ๋นได้
ประการแรก ตระกูลอวิ๋นสามารถทำให้ร้านค้าเหล่านี้หารายได้ได้มากพอ ประการที่สอง สามารถช่วยเผยแพร่น้ำหอมให้เป็นที่รู้จักและเพิ่มมูลค่าของน้ำหอมได้ ใครจะรู้ว่าน้ำหอมสิบขวดมูลค่าหกร้อยก้วนกลับขายออกไปเพียงหนึ่งร้อยสี่สิบก้วน เห็นอยู่ชัดๆ ว่ามีพ่อค้าชาวเผ่าหูที่เต็มใจซื้อด้วยราคาหนึ่งพันก้วน แต่ผู้ดูแลของหวงสือกลับจะขายให้กับขุนนางคนหนึ่งให้ได้ ซื้อขายอย่างเป็นธรรมโดยขายในราคาทุนหนึ่งร้อยสี่สิบก้วน เขาบอกว่าพ่อค้าชาวเผ่าหูกลิ่นกายแรงจึงไม่อยากคบค้าสมาคมด้วย นี่หรือคือเหตุใด เมื่อกลับมายังมาเอาน้ำหอมจากตระกูลอวิ๋นอีก ทั้งยังต้องการหนึ่งร้อยขวด เขาเห็นน้ำหอมเป็นอะไร น้ำเปล่า? ต้องการแล้วก็หามาได้เลย สิบขวดนั้นก็เป็นยอดการผลิตในหนึ่งเดือนแล้ว”
“ฮึ! ตระกูลอวิ๋นของเจ้าขายของสิ่งนั้นด้วยราคาแพงมากเช่นนั้น แม้แต่เราเองยังต้องใช้อย่างระมัดระวังเลย ลดราคาลงหน่อยจะเป็นอะไรไป”
“ฮองเฮา! ตอนนี้ท่านกำลังทรงพระครรภ์อยู่ ห้ามใช้ของเหล่านั้น มิฉะนั้นกระหม่อมคงนำมาถวายท่านนานแล้ว ข้ากระวนกระวายอยากขายน้ำหอมหนึ่งขวดในราคาหนึ่งพันก้วน เช่นนี้เป็นผลดีราชสำนักและประชาชน” น้ำหอมบางตัวมีชะมดเป็นส่วนผสมอยู่ ต่อให้อวิ๋นเยี่ยมีแปดหัวก็ไม่กล้าส่งให้จั่งซุน
“เช่นนี้ก็น่าแปลกมาก เราอยากรู้ว่าตระกูลอวิ๋นของเจ้าทำเงินรายได้จำนวนมาก ใจดำอำมหิตจนไม่ใส่ใจชีวิตของคนอื่น แล้วมันจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศและผู้คนได้อย่างไร เจ้าอธิบายมาให้ชัดเจน มิฉะนั้นเราจะจับเจ้าส่งไปอยู่ที่ร้านค้าเป็นเถ้าแก่ร้านเสีย”
“สมมติว่าตระกูลอวิ๋นขายน้ำหอมได้ราคาหนึ่งพันก้วน จะมีคนซื้อได้กี่คน” อวิ๋นเยี่ยประสานมือถามจั่งซุนด้วยความนอบน้อม
“เช่นนี้ก็แทบจะไม่มีผู้ซื้อเลย เพราะเราจะสั่งห้าม” จั่งซุนตัดทางถอยของอวิ๋นเยี่ยในชั่วพริบตา
“หากฮองเฮามองจากจุดยืนของประเทศแล้วท่านควรจะต้องทรงสนับสนุน แต่ไม่ใช่การสั่งห้าม”
“เจ้าต้องการให้เราช่วยพวกพ่อค้าหน้าเลือดที่ไม่มีมโนธรรมพวกนี้หรือ ฝันไปเถอะ! ข้าจะต้องสั่งห้ามอย่างแน่นอน จะไม่ยอมให้พวกพ่อค้าหน้าเลือกอย่างพวกเจ้าลำพองใจ ไม่เช่นนั้นใต้หล้านี้ยังจะมีกฎหมายอยู่อีกหรือ”
รู้ว่าจั่งซุนต้องการรักษาหน้าไว้ อวิ๋นเยี่ยรู้สึกว่าการถกปัญหาเรื่องกฎหมายบ้านเมืองกับนางนั้นเป็นการทำลายตัวเองอย่างหนึ่ง กฎหมายเป็นของบ้านนาง นางอยากจะเล่นอย่างไรก็เล่นได้มากเท่าที่ต้องการ อวิ๋นเยี่ยพยายามที่จะไม่โกรธ บอกตัวเองเป็นพันครั้งว่าต้องปรองดองต้องหว่านล้อม อย่าถือสาหาความกับหญิงตั้งครรภ์
ขอฮองเฮาทรงลองตรองดู กระหม่อมขายน้ำหอมขวดหนึ่งราคาหนึ่งพันก้วน สิ่งแรกที่ต้องทำคือการจ่ายภาษี สิ่งของที่ทำกำไรเช่นนี้กระหม่อมไม่คัดค้านที่จะจ่ายภาษีหนักขึ้นเป็นสองหรือสามเท่า เช่นนี้แล้วราชสำนักก็จะเก็บภาษีได้เพิ่มอีกห้าร้อยก้วน ทุกครั้งที่กระหม่อมขายได้มากขึ้นอีกหนึ่งขวด ราชสำนักก็จะเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้นห้าร้อยก้วน ซึ่งภาษีที่เก็บได้นั้นสามารถนำมาเป็นเงินเดือนของขุนนาง อาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพ ซ่อมถนน สร้างสะพาน บรรเทาทุกข์ของผู้ประสบภัย ฝ่าบาทก็ทรงสามารถสร้างพระราชวังได้ ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องดีทั้งสิ้น เงินห้าร้อยก้วนของกระหม่อมก็สามารถนำกลับไปลงทุนในการผลิตน้ำหอมได้อีก ดำเนินการผลิตน้ำหอมต่อไป ทำการเก็บเงินของขุนนางคืนต่อไปได้อีก จากนั้นฝ่าบาทก็ทรงปรับขึ้นภาษีอีก แล้วก็มอบเงินเหล่านี้ให้เหล่าขุนนาง เช่นนี้ก็จะเกิดเป็นวัฏจักรหมุนเวียนสามารถหมุนเวียนต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง ราชสำนักก็จะไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการขาดแคลนเงินทุนอีกต่อไป”
ความสัมพันธ์ของเงินทุนหมุนเวียนนั้นจะต้องอธิบายให้ทั้งคู่ฟัง หากพูดให้หลี่ซื่อหมินฟังอวิ๋นเยี่ยก็จะรู้สึกอารมณ์เสีย พูดให้จั่งซุนฟังจะดีกว่า
“ด้วยวิธีนี้ตระกูลอวิ๋นของเจ้าก็สามารถสร้างผลกำไรไร้มโนธรรมได้ตลอดกาล” ฟังออกว่าจั่งซุนเริ่มสนใจขึ้นบ้างแล้ว เพียงแต่ความภาคภูมิใจในตัวเองของนางไม่อนุญาตให้นางยอมแพ้
“ตระกูลอวิ๋นไม่ใช่คนตระหนี่ขี้เหนียว เงินกำไรที่ได้มาจะนำไปลงทุนในการสร้างสำนักศึกษา จนกลายเป็นอาคารหลายๆ หลัง สร้างห้องเรียนหนึ่งห้องก็ต้องให้พ่อค้าสินค้าต่างๆ และช่างฝีมือได้ผลกำไรไป แน่นอนว่าพวกเขาก็ต้องชำระค่าภาษีให้กับฝ่าบาท”
จั่งซุนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดว่า “เจ้าจะไปเข้าเฝ้าไท่ซั่งหวงไม่ใช่หรือ ไปเถอะ คำพูดของเจ้าเราต้องพิจารณาให้รอบคอบก่อน”
อวิ๋นเยี่ยจึงคารวะแล้วกล่าวลา เมื่อเดินออกไปเพียงไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงจั่งซุนดังขึ้นจากด้านหลังว่า “เป้าหมายที่เจ้ามาเราเข้าใจดี ทำงานของเจ้าไปเถอะ ดังที่เจ้าพูด นี่เป็นภาระหน้าที่ของเจ้าในฐานะข้าราชบริพารคนหนึ่งพึงกระทำ ทหารหนึ่งพันคนของกองทัพอู่เว่ยฝ่ายซ้ายจะคุ้มกันเราไปตรวจตราสำนักศึกษาอวี้ซันในวันพรุ่งนี้ บนเขาไม่สามารถรองรับคนจำนวนหนึ่งพันคนได้ จะมีทหารห้าร้อยคนไปพักที่หมู่บ้านตระกูลอวิ๋น ช่วยจัดเตรียมที่พักให้เหมาะสมให้เราด้วย”
อวิ๋นเยี่ยหันกลับมาและโค้งตัวต่ำแล้วจากไปโดยไม่พูดอะไร
อวิ๋นเยี่ยไม่ได้สังเกตเห็นว่าหลังต้นฮอลลี่นั้นมีเก้าอี้เอนหลังวางอยู่ตัวหนึ่ง หลี่ซื่อหมินกำลังนอนเอนกายอาบแดดอยู่บนเก้าอี้ ดูเหมือนว่าจะหลับไปแล้ว จั่งซุนนั่งลงข้างๆ เก้าอี้ ยังไม่ทันได้เอ่ยปากมือใหญ่ของหลี่ซื่อหมินก็ลูบท้องที่นูนขึ้นของนางและพูดเบาๆ ว่า “เจ้าหนุ่มคนนี้ยังมีความกังวลอยู่ เมื่อครู่เขาไม่ได้พูดเหตุผลสำคัญออกมา สินค้าฟุ่มเฟือยเหล่านี้สามารถรีดไถเงินจำนวนมากจากเหล่าชนชั้นสูงได้ จากนั้นก็นำไปชดเชยให้กับประชาชน อย่างไรเสียสิ่งของเหล่านี้คนธรรมดาครอบครัวแร้นแค้นไม่สามารถซื้อหามาใช้ได้ ถือเป็นการปล้นคนรวยช่วยคนจนอย่างหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงพูดถูก น้ำหอมยิ่งราคาแพงยิ่งดี ยิ่งราคาแพงก็ยิ่งดีต่อราชสำนักและประชาชน พรุ่งนี้ไล่คนดูแลของเจ้าให้ไสหัวกลับบ้านไป การดูแลภายใน หึหึ! รออวิ๋นเยี่ยสอนเค่อเอ๋อร์จนเป็นงานก่อน ดูว่าจะสามารถมอบให้เขาดูแลได้หรือไม่ เจ้าหนุ่มคนนี้เพื่อเฉิงเฉียนแล้ว ถึงกับทุ่มเทสุดกำลังจริงๆ เฉิงเฉียนมีคบสหายคนนี้ช่างคุ้มค่าเสียจริง”
หลังจากผละตัวจากฮองเฮาแล้ว อวิ๋นเยี่ยรู้สึกผ่อนคลายและหมดกังวล ฝีเท้าจึงเร็วขึ้น เพิ่งจะเลี้ยวผ่านตำหนักไท่จี๋ ที่หัวมุมก็มีนางกำนัลรูปร่างอ้วนท้วมหลายคนโผล่ออกมา จับมือและเท้าของอวิ๋นเยี่ยและแบกเขาขึ้นมา อวิ๋นเยี่ยมองด้ายแขวนเอวสีแดงของพวกนาง ก็รู้ว่านี่เป็นกลุ่มนักมวยปล้ำหญิงที่เล่นซูโม่ในวังโดยเฉพาะ สร้างความสนุกสนานให้กับขุนนางในวัง ทุกคนมีความเชี่ยวชาญในการเล่นซูโม่และมีพละกำลังแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ไม่ใช่คนที่ชายอ่อนแออย่างอวิ๋นเยี่ยสามารถรับมือได้ เมื่อมองลงมาจากด้านบน แต่ละคู่ที่พุ่งเข้ามาล้วนแล้วแต่ร่างใหญ่ยักษ์ อกเสื้อเปิดออกเล็กน้อย เห็นเนื้อหนังวับๆ แวมๆ
จึงรีบหลับตา มีสองคนมาน่ากลัวถึงขั้นมีหนวดงอกแล้ว อย่ามองจะดีกว่า ในพระราชวังแห่งนี้สามารถทำอะไรอย่างวางอำนาจบาตรใหญ่โดยไม่ต้องกังวลได้เช่นนี้ก็มีเพียงไท่ซั่งหวงที่ว่างจนไม่มีอะไรทำเพียงคนเดียว ดังนั้นอวิ๋นเยี่ยจึงยอมรับชะตากรรมแต่โดยดี
เมื่อเท้าแตะพื้นสิ่งแรกที่เห็น อวิ๋นเยี่ยนึกว่ามาถึงถ้ำโจรเสียแล้ว ในวันที่อากาศอบอุ่นดอกไม้บานในตำหนักยังคงมีคบเพลิงส่องสว่างอยู่ หลี่หยวนมือซ้ายโอบสาวงาม มือขวาถือกาเหล้า เปิดอกเสื้อนั่งดูหญิงเปลือยกายเล่นมวยปล้ำ ในตำหนักเกิดเสียงฝีเท้าดังขึ้นอย่างหนักหน่วงเป็นระยะๆ เมื่อเห็นฉากเด็ดก็ตะโกนโห่ร้องเสียงดัง นี่ไม่ใช่วัง ให้ตายสิ แต่เป็นรังโจรของโจรป่า
ขณะที่เตรียมจะหลบหนี หลี่เฉิงเฉียนไม่รู้ว่าโผล่ออกจากไหน ลากอวิ๋นเยี่ยที่สีหน้าคับข้องใจ บนหน้าเขายังมีรอยเปื้อนแป้งบนด้วย จริงๆ เลย ทั้งปู่และหลานคลุกคลีอยู่กับเหล่าผู้หญิงอยู่ด้วยกัน แล้วจะให้อวิ๋นเยี่ยที่เป็นสุภาพบุรุษอย่างแท้จริงวางตัวเช่นไรดี ถึงแม้ว่าพวกเจ้าจะมีสายเลือดของชาวเผ่าหูแต่เช่นนี้ก็เกินไปหน่อยแล้ว
หลี่เฉิงเฉียนเช็ดรอยแป้งบนใบหน้าด้วยความรู้สึกอายมาก และกระซิบว่า “เสี่ยวเยี่ย ข้าเองก็ถูกจับมา เจ้าก็ถือว่าทำบุญสักหน่อยอยู่เป็นเพื่อนข้าสักครู่ ไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
คนหนึ่งผีขี้เหล้า อีกคนหนึ่งผีขี้เมา เห็นเช่นนี้อวิ๋นเยี่ยก็อยากถอยห่างให้ไกล คนคุ้นเคย เผยจี้! เสื้อผ้าของตาเฒ่าไม่เรียบร้อย บนหนวดเคราก็มีคราบเหล้า ไหนเลยจะเหลือความสุภาพและสง่างามในยามปกติให้ได้เห็นกัน
ไม่จำเป็นต้องพูด เนื่องจากตระกูลเผยและตระกูลโต้วทั้งสองตระกูลเกิดความขัดแย้งขึ้น จากนั้นต่างก็มาหาหลี่หยวนเพื่อขอการสนับสนุน เมื่อคิดถึงสภาพที่น่าเศร้าของเผยอิง อวิ๋นเยี่ยเหล่มองเผยจี้อย่างเย็นชา หาที่นั่งสะอาดๆ และนั่งลง หน้าบูดบึ้งแผ่ซ่านความเย็นชาออกมา
นางกำนัลที่ถูกสั่งให้มารินเหล้าให้ถูกอวิ๋นเยี่ยไล่ออกไป หลี่เฉิงเฉียนก็ไม่รู้ว่าอวิ๋นเยี่ยกำลังจะคิดทำอะไร จึงไม่รู้จะทำอย่างไรดี อวิ๋นเยี่ยยกกาเหล้าขึ้นกรอกเหล้าเข้าปากไปหนึ่งอึก จ้องมองและพูดกับหลี่หยวนว่า “ไท่ซั่งหวง ข้าน้อยมาวันนี้เป็นเพียงเพื่อเรื่องหนี้พนัน วันนี้ข้าน้อยตั้งใจนำเงินมาสามสิบตำลึงทอง เพื่อมาพบไท่ซั่งหวงที่เล่าลือกันว่าเป็นยอดนักพนันไร้พ่ายแห่งฉางอันขณะที่ข้าน้อยไม่อยู่เมืองหลวงเสียหน่อย เพื่อไม่ให้ชื่อเสียงหัวโจกของสามเภทภัยแห่งฉางอันต้องมัวหมอง ต้องมาแบกรับชื่อเสียงอันเลวร้ายว่าติดหนี้พนันแล้วไม่ยอมชดใช้”
หลี่หยวนพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิงแล้ว ตอนนี้เขาคงจะรู้แค่ใช้ชีวิตไปวันๆ มัวเมาอยู่ท่ามกลางสาวงาม ชัยชนะครั้งใหญ่ของหลี่ซื่อหมินบนทุ่งหญ้าได้ทำลายความเชื่อมั่นสุดท้ายของเขาจนหมดสิ้น บุตรชายที่เหนือเขาทั้งทางด้านการปกครองและการศึก ทำให้เขาได้แต่แหงนหน้ามองฟ้า ในทางกลับกันก็พิสูจน์ได้ว่าเขาเป็นผู้ที่ลุ่มหลงมัวเมาเพียงใด แม้กระทั่งบุตรชายของตัวเองก็มองไม่ออก มันช่างน่าเศร้าเพียงใดกัน
ตอนนี้หลี่ซื่อหมินมาเยี่ยมพบเขาน้อยลงเรื่อยๆ ไม่ใช่เพราะสิ่งอื่นใด นั่นก็เพราะไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป อำนาจการปกครองค่อยๆ มั่นคงขึ้น หลี่ซื่อหมินที่ไม่ต้องคอยกังวลด้านหลังจึงเริ่มแผลงฤทธิ์ไล่ลงมือแล้ว ตระกูลโต้วอยู่ในอันตรายทุกเช้าค่ำ เขาไม่สามารถทำอะไรได้ จึงยิ่งปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้มากกว่าเดิมเพื่อทำให้สมองที่บางครั้งก็ยังมีสติแจ่มชัดให้เมามายเสียหน่อย
หลี่หยวนหัวเราะอย่างคนบ้าแล้วสะบัดมือปัดกาเหล้าทิ้ง ผลักหญิงงามออกไป เตะแคร่นั่งจนพลิกคว่ำด้วยท่าทีอันองอาจ แล้ววางเท้าไว้บนโต๊ะจ้องมองอวิ๋นเยี่ยราวกับเสือจ้องมองเหยื่อ พูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เจ้าหนุ่ม เจ้ายังกล้ามาอีกหรือ เป็นหนี้ข้าอยู่เจ็ดตำลึงทองยังไม่ได้คืน ทั้งยังกล้าพูดจาโอหังที่นี่อีก วันนี้ขอข้าดูหน่อยว่าเจ้าจะแน่สักเพียงไหน”
อวิ๋นเยี่ยหมดหวังแล้ว หลี่หยวนนั้นถูกเหล้ากลืนกินมันสมองไปจนใช้การไม่ได้แล้ว จำได้เพียงแต่ว่าคราวก่อนอวิ๋นเยี่ยติดหนี้เขา จำเรื่องที่อวิ๋นเยี่ยคืนเงินไม่ได้ อวิ๋นเยี่ยอยากจะตะโกนว่า “ตาเฒ่าที่ป่วยหนักนี้ยังจะหวงเงินอีก”
อวิ๋นเยี่ยโยนก้อนทองคำสิบกว่าก้อนไว้บนแคร่เตี้ยๆ ที่ถูกเตะคว่ำ แล้วตะโกนว่า “ยังมีใครอีก”
เผยจี้ก็โยนทองคำเข้าไปพูดพลางสะอึกว่า “เรื่องดีๆ เช่นนี้จะขาดข้าได้อย่างไร”
ที่มุมห้อง มีเสียงคนที่แทบจะไม่ได้สติพูดว่า “ตระกูลอวิ๋น ตระกูลเผยต่างก็มากันครบแล้ว หากตระกูลโต้วไม่อยู่ที่นี่ จะไม่กลายเป็นเรื่องตลกไปหรือ”
ส่วนที่ 5
ตอนที่ 20 ข้าไม่รู้ว่านางชื่ออะไร
ชายชราคนหนึ่งให้โต้วเยี่ยนซันพยุงมาที่ด้านหน้าแคร่เตี้ยๆ นั้น โต้วเยี่ยนซันเหล่มองอวิ๋นเยี่ยแวบหนึ่ง หยิบใบหนึ่งออกมาแล้วเททองคำในถุงลงไป แต่ละก้อนมีขนาดใหญ่กว่าทองคำของอวิ๋นเยี่ยมากนัก
วันนี้เกิดอะไรขึ้น อวิ๋นเยี่ยค่อนข้างประหลาดใจ ใครที่ไม่มีอะไรทำก็หยิบทองคำออกมาจากอกเสื้อมาโยนเล่นหรือ ของสิ่งนี้ไม่สามารถนำไปใช้ได้โดยตรง มีเพียงการทำธุรกรรมขนาดใหญ่เท่านั้นจึงจะใช้ได้ ตนเองนั้นตั้งใจจะมาล้างแค้นหลี่หยวนแน่นอนว่าต้องพกทองคำมาด้วย เพราะเงินเดิมพันของหลี่หยวนนั้นหนักมาก มีเพียงเหรียญทองแดงเหล่านั้น ใครจะไปสู้ได้กัน
มองดูเผยจี้ที่ดูเหมือนจะเมาแล้ว จากนั้นมองดูตาเฒ่าโต้วที่ไม่ประสงค์ดี อวิ๋นเยี่ยตะโกนว่า “ดี ใจถึงมาก วันนี้หากพวกเราไม่แพ้จนหมดตัว ห้ามออกไปเด็ดขาด”
ดูเหมือนเสียงหัวเราะของหลี่หยวนจะเปลี่ยนไป ทุกคนต่างก็เห็นพ้องต้องกัน จึงสั่งให้นางกำนัลเก็บกวาดสถานที่ให้สะอาด ยกโต๊ะไพ่นกกระจอกออกมา เตรียมเริ่มการพนัน
อวิ๋นเยี่ยหยิบทองคำของตัวเองออกมาจากแคร่เตี้ยๆ นั้น แน่นอนเขาเลือกหยิบอันที่ใหญ่ที่สุด โต้วเยี่ยนซันมองจ้องตาเขม็ง ทั้งยังเห็นเผยจี้ก็หยิบก้อนใหญ่เช่นกัน แค้นใจจนกัดฟันกร่อดๆ แต่เขายังไม่มีคุณสมบัติที่จะพูดสอดแทรกอะไร จึงได้แต่เก็บทองคำที่เหลืออยู่ใส่ถุงเงิน เห็นได้ชัดว่าไม่ลงตามเหมือนเมื่อครู่ ยังไม่ทันได้เริ่มพนัน เงินทุนก็หดหายไปเสียแล้ว
หลี่หยวนชอบนั่งฝั่งทิศตะวันออก ตาเฒ่าโต้วนั่งฝั่งทิศใต้ เผยจี้นั่งฝั่งทิศตะวันตก อวิ๋นเยี่ยจึงต้องนั่งฝั่งทิศเหนือ
เพียงแค่นั่งลงมาบนโต๊ะพนัน หลี่หยวนดูเหมือนจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน คึกคักมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก ถอดเสื้อออกแล้วใส่ผ้าคลุมและทอยลูกเต๋า เมื่อนับแต้มบนลูกเต๋าเสร็จก็เริ่มหยิบไพ่ นับเลขจำนวนไม่มากได้อย่างแม่นยำ ดูเหมือนว่าฤทธิ์เหล้าจะไม่ส่งผลกระทบต่อการคิดวิเคราะห์ของเขาเลยแม้แต่น้อย
“อวิ๋นโหวเป็นยอดอัจฉริยะวัยเยาว์ เพียงแค่ประตูบานเดียวของสำนักศึกษาก็ทำให้ตระกูลโต้วต้องยอมแพ้ล่าถอยไปเอง ช่างน่ายกย่องยิ่งนัก แต่ก็ไม่รู้ว่าประตูนี้จะขวางกั้นตระกูลโต้วได้นานแค่ไหน หนึ่งหมื่น!” ตาเฒ่าโต้วถามอวิ๋นเยี่ยอย่างใจเย็นแล้วก็โยนไพ่ออกมาหนึ่งอัน
“เหล่ากั๋วกงคิดมากเกินไปแล้ว ประตูสำนักศึกษาเป็นเพียงสถานที่ที่สหายร่วมสำนักศึกษารู้สึกว่างจนเบื่อหน่ายไม่มีอะไรทำ จึงสร้างขึ้นมาให้เป็นสถานที่เล่นสนุกของเหล่าลูกศิษย์เพียงเท่านั้นเอง หาได้มีความลึกลับอะไรไม่ หากท่านมีเวลาว่างก็แวะไปเยี่ยมชมได้ ที่นั่นทัศนียภาพงดงาม ถือเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการพักผ่อนของผู้สูงอายุแห่งหนึ่ง จิ๋วปิ่ง”
“อ้อ เจ้าบอกว่าเขาอวี้ซันนั้นไม่เลวหรือ ทั้งยังมีค่ายกลอะไรไม่รู้เต็มไปหมด ข้าจำได้ว่ามีบ้านหลังหนึ่งอยู่ที่นั่น ไปพักผ่อนเสียหน่อยก็ไม่เลว อี้ปิ่ง” หลี่หยวนเมื่อนั่งเข้าวงเล่นไพ่ ก็จะมีสติแจ่มชัดกว่าปกติ
“ตอนนี้ตระกูลโต้วตกต่ำลงแล้ว ไม่ว่าใครก็ต้องการจะแสดงแสนยานุภาพอยู่เหนือตระกูลโต้ว หลานชายที่ดีของข้าเพียงเพื่อสาวน้อยนางหนึ่งต้องสังเวยด้วยชีวิต สาวน้อยคนนั้นได้ถูกคนที่บ้านทำให้เป็นขี้ผึ้งคอยจุดธูปหน้าหอป้ายวิญญาณของหลานชายข้า มีเด็กรับใช้หญิงแล้ว แต่ไม่มีเด็กรับใช้ชาย หอป้ายวิญญาณก็ดูไม่ขาดๆ เกินๆ ไป ดูเหมือนว่าข้าเองจะได้ยินหลานชายข้าโวยวายอาละวาดด้วยความไม่พอใจอยู่ในปรโลกด้วย เผยจี้ เจ้าคิดเห็นเป็นอย่างไร”
เผยจี้ไม่ได้พูดอะไร กำลังยุ่งอยู่กับการจัดระเบียบไพ่ในมือ ทำเป็นเหมือนหูทวนลมไม่ได้ยินคำพูดของผู้เฒ่าโต้ว หลี่หยวนก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่หยุดเล่นและหันมาฟังผู้เฒ่าโต้วพูด
นี่คือตระกูลใหญ่ผู้ทรงคุณธรรม ทายาทแห่งผู้มีการศึกษาหรือ นางรำไร้ที่พึ่งคนหนึ่งไม่มีค่าอะไรเลยในสายตาของพวกเขา รวมถึงหลี่หยวนซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นฮ่องเต้ก็มองเป็นเรื่องปกติ อาศัยอะไร คนอ่อนแอจึงถูกทำเป็นขี้ผึ้งหรือ
เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องลำบากตรากตรำกว่าจะเติบโตมาเป็นสาวน้อยที่งดงามได้ แต่ก็เพื่อจะมากลายเป็นเทียนไขอย่างนั้นหรือ
สีหน้าของหลี่หยวนยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ผู้เฒ่าโต้วพูดประเด็นสำคัญอย่างราบเรียบ เผยจี้แกล้งเป็นใบ้หูหนวก มีเพียงหลี่เฉิงเฉียนที่มีสีหน้าโกรธเคือง พูดต่อหน้าเชื้อพระวงศ์ว่าเขานำผู้หญิงที่ไร้ความผิดใดๆ คนหนึ่งไปทำเทียนไขทั้งเป็น ช่างยโสโอหังเพียงใดกัน
อวิ๋นเยี่ยบีบไพ่อู่เถียงที่อยู่ในมืออันหนึ่งจนเสียงดังกึ่ดๆ หลายครั้งที่เขาอยากจะลุกขึ้นยืน ก็ถูกหลี่เฉิงเฉียนที่อยู่ด้านหลังออกแรงกดเอาไว้ไม่ให้เขาลุกขึ้น
“ผู้เฒ่าโต้ว อีกประเดี๋ยวข้าจะกลับไปขับไล่เผยอิงออกจากสำนักศึกษา ปล่อยให้ท่านจัดการตามต้องการ” อวิ๋นเยี่ยโยนไพ่อู่เถียวลงบนโต๊ะ สีหน้าเรียบเฉยราวกับว่าไม่เห็นแววตาที่ตื่นตระหนกและหวาดกลัวของเผยจี้ และก็ไม่เห็นสีหน้าที่สมปรารถนาของโต้วเยี่ยนซัน
แล้วพูดต่อว่า “เหตุผลที่เผยอิงถูกไล่ออกจากสำนักศึกษา ไม่ใช่เพราะตระกูลโต้วของท่านแตะไม่ได้ แต่เป็นเพราะการกระทำของเผยอิงได้ทำให้นางรำผู้บริสุทธิ์ต้องตาย ในสายตาของข้า ชีวิตของเขาไม่ได้มีความแตกต่างกับชีวิตของนางรำที่ถูกทำเป็นเทียนไขเลยแม้แต่น้อย เขาต้องจ่ายค่าชดเชยต่อการกระทำของเขา
ผู้เฒ่าโต้ว ข้าอยากถามสักประโยคหนึ่ง ขณะที่ท่านจับหญิงนางรำผู้น่าสงสารคนนั้นทำเทียนไข ท่านเคยมีความสงสารเห็นใจอยู่ในใจแม้สักนิดหรือไม่
ไม่มีกระมัง! หัวใจของเจ้าทำจากหินเหล็ก ข้าไม่รังเกียจที่เจ้าจะตามรังควานเผยอิง แต่นางรำคนนั้นทำผิดอะไร เจ้านำความโกรธแค้นทั้งหมดของเจ้าไประบายลงที่คนที่น่าสงสารไร้ที่พึ่ง พวกเจ้าเป็นสัตว์ร้ายที่กินเนื้อคน ยังจะเรียกว่ามีศีลธรรมจรรยาอีกหรือ ผู้สืบทอดตระกูลใหญ่อันสูงส่ง ถุย!” อวิ๋นเยี่ยยิ่งพูดยิ่งเดือดดาล ยิ่งคิดยิ่งเจ็บแค้น พวกสุภาพชนจอมปลอม เคยเห็นคนเป็นคนเสียที่ไหนกัน พวกนี้เกินคำว่าคนตามธรรมดาทั่วไปแล้วแต่เป็นฝูงสัตว์ป่าที่กินเนื้อ
“ผู้เฒ่าโต้ว เจ้าถูกกำหนดให้ต้องตกนรกแน่นอน ก่อนที่เจ้าจะจับนางรำคนนั้นทำเทียนไข ข้ายังมีความเห็นอกเห็นใจเป็นอย่างมากต่อตระกูลโต้ว ตอนนี้ข้าคิดว่าก็เป็นเพียงแค่ลูกสุนัขกินเนื้อตัวหนึ่งที่ตายไป ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ลูกสุนัขกินคน ไม่รีบฆ่าทิ้งจะเก็บเอาไว้ทำไม “
โต้วเยี่ยนซันอยากจะพุ่งเข้ามาบีบคออวิ๋นเยี่ยให้ตาย แต่ถูกผู้เฒ่าโต้วที่มีสายตาอันเยือกเย็นโบกมือขวางไว้ ที่นี่คือวังหลวงไม่ใช่บ้านตระกูลโต้ว เขาแค่อยากจะรู้ให้ละเอียดว่าทำไมอวิ๋นเยี่ยจึงกล้าเอ่ยปากวิพากวิจารณ์เขาเช่นนี้
หลี่หยวน ผู้เฒ่าโต้วและเผยจี้ต่างก็หันมามองอวิ๋นเยี่ย แววตาทุกคนเต็มไปด้วยความงงงวย ก่อนที่จะพูดประโยคนี้ สำนักศึกษาและตระกูลโต้วยังแตกหักต่อกัน อวิ๋นเยี่ยเองก็หลบเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับตระกูลโต้วอย่างซึ่งหน้ามาโดยตลอด ครั้งนี้ที่มาหาหลี่หยวนก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการอยากจะเป็นผู้ไกล่เกลี่ย สลายความบาดหมางเรื่องนี้ทิ้งไป แต่ผู้เฒ่าโต้วกลับพูดโดยไม่ปิดบังว่าเรื่องการทำขี้ผึ้งมนุษย์ที่น่าหวาดกลัวนี้เป็นน้ำมือของตระกูลโต้ว ซึ่งนี่ทำให้อวิ๋นเยี่ยโกรธจนเลือดขึ้นหน้า เพราะเรื่องนี้มันเกินกว่าบรรทัดฐานการเป็นคนของเขาไปแล้ว ในฐานะคนคนหนึ่งเขาไม่คิดจะปกปิดความเกลียดแค้นและการเหยียดหยามที่มีต่อตระกูลโต้วอีกต่อไป
“อวิ๋นโหว ตระกูลโต้วทั้งอดีตและปัจจุบันไม่เคยมีความแค้นอะไรกับเจ้า เหตุใดเจ้าถึงเกลียดชังตระกูลโต้วมากถึงเพียงนี้ เพียงเพื่อนางรำชั้นต่ำที่เจ้าไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อคนหนึ่งน่ะหรือ” ผู้เฒ่าโต้วสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย เพราะนี่คือการท้าทายตระกูลโต้วของอวิ๋นเยี่ยอย่างซึ่งหน้า
“ผู้เฒ่าโต้ว เจ้าพูดถูกแล้ว หากอาจารย์ยังมีชีวิตอยู่เขาจะต้องฉีกมนุษย์หน้าเนื้อใจเสืออย่างตระกูลโต้วของเจ้าออกเป็นชิ้นๆ ทั้งเป็นอย่างแน่นอน ถ้าหากไม่เป็นเพราะข้าอยู่ในตำแหน่งราชการ ข้าก็จะทำให้ตระกูลโต้วไร้สิ้นลูกหลาน ล้มตายจนหมดสิ้นอย่างเงียบเชียบเลย สาเหตุก็คือเทียนไขตัวนั้น ผู้เฒ่าโต้ว วิธีการในการแพทย์อย่างหนึ่งสามารถเก็บร่างกายของมนุษย์ไว้โดยไม่ให้เน่าสลายได้ เมื่อใดก็ตามที่มีการใช้มันก็จะถูกนำออกมา แล้วใช้มีดเล็กๆ กรีดที่ผิวหนัง กล้ามเนื้อ หลอดเลือด เส้นเอ็น อวัยวะภายในและกระดูกให้แยกออกทีละชิ้นๆ เพื่อใช้ในการสอน แพทย์ที่ได้รับการศึกษาเช่นนี้ต่างก็จะเข้าใจดีว่าอวัยวะแต่ละส่วนของมนุษย์ทำหน้าที่อะไรบ้าง ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาก็จะกลายเป็นแพทย์ที่มีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์ หากเป็นไปได้ข้าอยากลองใช้กับร่างของคนในตระกูลโต้วสักหน่อย เพื่อดูว่าความเจ็บปวดที่ถูกทำให้เป็นเทียนไขทั้งเป็นหรือว่าถูกจับผ่าร่าง สิ่งไหนจะเจ็บปวดกว่ากัน ข้ารับประกันว่า ถ้าหากขณะที่เริ่มผ่าตัดเขาไม่ใช่คนตาย เมื่อนำเอาหัวใจออกมานั้น ดวงตาของเขาจะยังมองเห็นหัวใจกำลังเต้นอยู่ได้ด้วย”
ในตำหนักเงียบสงัด ดูเหมือนว่าจะมีสายลมพัดผ่านจากห้องโถงใหญ่ ทุกคนมองดูใบหน้าอวิ๋นเยี่ยที่พูดเรื่องที่โหดร้ายที่สุดพร้อมรอยยิ้ม ความรู้สึกเย็นยะเยือกผุดขึ้นจากฝ่าเท้าแผ่ซ่านไปทั่วร่าง แม้ว่าผู้เฒ่าโต้วจะขนหัวลุก แต่ก็ยังรักษาสีหน้าให้เป็นปกติเรียบเฉยและหัวใจไม่เต้นรัว
หลี่หยวนเลียริมฝีปากที่แห้งผาก แล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เจ้ายังติดต่อกับไป๋อวี้จิงอีกหรือไม่”
“กราบทูลไท่ซั่งหวง กระหม่อมไม่เคยไปที่นั่นมาก่อน เพียงแต่เคยได้ยินอาจารย์กล่าวถึงแต่มันไม่ใช่สถานที่ที่ดีอะไร อาจารย์ยินดีจะเป็นปุถุชนคนธรรมดาดีกว่าจะไปที่นั่น เช่นนี้ก็สามารถรับรู้ได้ถึงอันตรายของสถานที่แห่งนั้น” อวิ๋นเยี่ยไม่อยากที่จะพูดถึงไป๋อวี้จิงสถานที่แห่งความโชคร้ายนี้อีก
“ในเมื่ออวิ๋นโหวท้าทายแล้ว เช่นนั้นข้าก็จะรับมันไว้ แต่ไม่รู้ว่าอวิ๋นโหวตั้งใจจะท้าทายอำนาจบารมีนับหมื่นปีของตระกูลโต้วอย่างไรดี” ผู้เฒ่าโต้วลุกขึ้นยืนและยืนตัวตรงมากๆ ราวกับว่าแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยกลัวการข่มขู่ ซึ่งก็จริง ตระกูลที่สืบทอดมาหลายพันปีถ้าหากไม่แน่จริงอยู่บ้าง ก็คงจะถูกลบล้างให้หายไปจากสายธารแห่งประวัติศาสตร์นานแล้ว
“ไม่สามารถท้าทายได้ เพราะตระกูลโต้วนั้นยิ่งใหญ่เกินไป ยังไม่ใช่สิ่งที่ตระกูลอวิ๋นเล็กๆ ของข้าจะไปขยับได้ แต่ทว่าตั้งแต่สมัยโบราณมาบนแผ่นดินจีนเราไม่เคยมีปัญหาการขาดแคลนผู้ที่ยอมร้องทุกข์เพื่อประชา แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยขาดแคลนผู้ที่แบกรับคุณธรรมไว้ด้วยสองบ่าและแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยขาดแคลนผู้ที่ชอบนำไข่ไปกระทบหิน หากจะเพิ่มข้าอวิ๋นเยี่ยอีกคนจะเป็นอะไรไป”
หลายคนที่นั่งอยู่ในวงไพ่สามารถเรียกได้ว่าเป็นนักรบที่โด่งดังที่สุดแห่งราชวงศ์ถังก็ว่าได้ หลายปีที่ผ่านมาพวกเขาเรียกลมเรียกฝนในราชสำนัก เสกถั่วให้เป็นทหาร เพียงแค่มีคำสั่งก็มีคนนับร้อยแก่งแย่งกันทำ ยินดีรับใช้เป็นช้างม้า แย่งชิงกันแสดงเขี้ยวเล็บ แม้เพียงหายใจมีพลังดุจฟ้า ลุกนั่งเปล่งประกายรัศมี เพียงก้มมองก็มีมดมากมายมารายล้อม เพียงพลิกฝ่ามือสามารถทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสีได้
ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีใครมาท้าทายพวกเขาเพราะมดตัวหนึ่งที่ถูกบี้ตายไปแล้ว ทั้งยังทำอย่างเปิดเผยจริงใจมากถึงเพียงนี้ โดยไม่เหลือทางถอย สีหน้าของหลี่หยวนเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เผยจี้ทั้งตกใจและดีใจปะปนกัน แต่ผู้เฒ่าโต้วกลับรู้สึกขยะแขยงเหลือทนเหมือนกินแมลงวันเข้าไป
“อวิ๋นเยี่ย เจ้าคิดจะทวงความยุติธรรมคืนให้ผู้หญิงที่น่าส่งสารคนนั้นอย่างไร” หลี่หยวนถามอวิ๋นเยี่ยอย่างมีความหมายแอบแฝง
“ขอไท่ซั่งหวงทรงวินิจฉัยด้วย ตั้งแต่รัชศกอู่เต๋อปีที่เจ็ด ท่านได้ออก” กฎอู่เต๋อลวี่” เพื่อกำหนดบรรทัดฐานทางศีลธรรมและพฤติกรรมเพื่อผู้คนในใต้หล้านี้ เหตุใดในวันนี้มีคนโฉดชั่วตั้งศาลเตี้ยทำการทารุณกรรมคนจนตาย จับคนทำเทียนไขทั้งเป็น ท่านกลับทรงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ผู้ที่ก่อการปฏิวัติในตอนนั้น ท่านที่เห็นความสุขของชาวประชาเป็นเสมือนหนึ่งหน้าที่ของตนได้หายไปไหนแล้ว นั่งฟังคำเล่าเรื่องเลวร้ายแต่ไม่สะทกสะท้าน เป็นเพราะเหตุใดกัน แม้ว่าพระองค์จะสละราชสมบัติแล้ว แต่ท่านไม่ได้รักในแผ่นดินราชวงศ์ถังที่ท่านทรงบุกเบิกมาด้วยองค์เองหรือ” หลี่หยวนในตอนนี้ถูกอวิ๋นเยี่ยดูหมิ่นดูแคลนเป็นที่สุด วีรบุรุษที่โดดเดี่ยวก็ยังเป็นวีรบุรุษเช่นกัน แต่เห็นได้ชัดว่าหลี่หยวนไม่ใช่ ความองอาจผึ่งผายและปณิธานอันแรงกล้าของเขาได้ถูกหญิงงามและเหล้าชั้นเลิศทำลายจนหมดสิ้นไปนานแล้ว
หลี่หยวนก้มศีรษะลงอย่างหมดหนทาง ราวกับหมดอาลัยตายอยาก โบกมือยกเลิกการเล่นพนัน กลับไปที่ห้องโถงด้านหลังเพียงลำพัง แผ่นหลังที่ดูเศร้าสร้อยเป็นอย่างมาก
“อวิ๋นโหว เห็นความสุขของชาวประชาเป็นเสมือนหนึ่งหน้าที่ของตน เผยจี้นับถือจากใจอย่างยิ่ง เรื่องเผยอิงก็ปล่อยไปเถอะ เป็นตายชะตาฟ้าลิขิต”
“ข้าเป็นคนอบรมสั่งสอนให้ความรู้กับผู้คน ในใจไม่กล้าที่จะมีความคิดสกปรกแม้แต่น้อยนิด ความทุกข์ของเผยกงอวิ๋นเยี่ยเข้าใจดี นอกจากกฎหมายแล้วไม่ว่าใครก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะพรากชีวิตคนคนหนึ่งไปตามอำเภอใจ ตระกูลโต้วจะละเว้นได้อย่างไร”
“ตระกูลโต้วลำบากตรากตรำสร้างผลงานให้ใต้หล้ามาทุกรุ่น จะไม่สามารถเอาชีวิตที่ไม่ได้มีนัยสำคัญอะไรสักชีวิตหนึ่งเลยหรือ อวิ๋นโหวต้องการเป็นศัตรูกับตระกูลโต้วของเราให้ได้ใช่ไหม ไม่กลัวร่างจะแหลกสลายหรือ” ผู้เฒ่าโต้วมองอวิ๋นเยี่ยราวกับว่ากำลังมองดูสุนัขที่กำลังใกล้จะตาย
“ตอนนี้ข้าจะไปที่เขตฉางอันเพื่อร้องทุกข์ให้กับนางรำคนนั้น จริงสิ ยังไม่ได้สอบถามจากโต้วกง นางรำคนนั้นชื่ออะไร”
“ผู้หญิงชั้นต่ำนั่นชื่อลวี่จู๋ อวิ๋นโหวจำให้ดีล่ะ อย่าได้ลืมเป็นอันขาด!” โต้วเยี่ยนซันพูดแดกดัน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น