เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วน 5 ตอน 16-18
ส่วนที่ 5
ตอนที่ 16 ใครไร้ยางอายกว่ากัน
สำหรับตระกูลใหญ่อย่างแท้จริง อย่างน้อยหากเทียบกับการสืบทอดตระกูลแล้วชีวิตนั้นไม่มีค่าอะไรเลย แม้แต่ชีวิตของผู้นำตระกูลก็ไม่ได้มีค่ามากไปกว่าชีวิตของไก่
อวิ๋นเยี่ยไม่กล้าที่จะแข่งขันด้านกำลังที่แท้จริงกับตระกูลโต้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าตอนนี้ยังไม่ได้มีกำลังที่แท้จริงตามตำนาน หากไม่ใช่เพราะหลี่ซื่อหมินบีบบังคับ เขาจะรักษาระยะห่างกับตระกูลโต้วให้มากที่สุด หากพบโต้วเยี่ยนซันจะหัวเราะหน้าบานเข้าทักทาย ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นเจ้าภาพเชิญเขาไปกินดื่มอะไรทำนองนั้น
มีใครชอบสร้างศัตรูที่ทรงพลังให้ตนเองบ้าง มีความกล้าที่จะฟันฝ่าไปพร้อมกับฟ้าดิน ยินดีที่จะฟันฝ่าไปกับเพื่อนร่วมอุดมการณ์ นั่นคือแนวคิดท่านประธานเหมา เรื่องที่ยากลำบากอย่างที่สุดเช่นนี้ก็ควรปล่อยให้ท่านประธานเหมาเขารับหน้าที่ไปทำดีกว่า อวิ๋นเยี่ยเพียงแค่อยากเสพสุขกับชีวิตที่บ้าน ดูแลท่านย่าให้ถึงบั้นปลายของชีวิต ให้บรรดาน้องสาวแต่งงานออกไปอย่างมีเกียรติ ตนเองให้กำเนิดลูกสองสามคน หากไม่มีอะไรทำก็อยู่บ้านเล่นกับเด็กๆ ดีกว่าการแลกชีวิตต่อกรกับตระกูลโต้วที่ยิ่งใหญ่เป็นไหนๆ
ไม่มีทางที่จะหลบและหลบไม่ได้ด้วย หลี่ซื่อหมินกำลังรอให้อวิ๋นเยี่ยกลับมาริเริ่มเรื่องนี้ จนถึงตอนนี้อวิ๋นเยี่ยยังไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ และเขาก็ไม่กล้าถามเผยอิง ดูเหมือนครอบครัวเขาจะทอดทิ้งเขาแล้ว มาถึงสำนักศึกษาโดยไม่มีผู้ติดตามเลยแม้แต่คนเดียว ปล่อยให้เผยอิงซ่อนตัวรอความตายเพียงลำพังอยู่ในสำนักศึกษา
หัวใจของคนตระกูลใหญ่ทำจากหิน ไม่รู้ว่าฮ่องเต้ทำการแลกเปลี่ยนอะไรกับตระกูลเผย สรุปแล้วเผยอิงถูกทอดทิ้ง นอกจากตระกูลโต้วที่ต้องการจับเขาทำซาลาเปาไส้เนื้อกินแล้ว ไม่มีใครห่วงใยความเป็นความตายของเขา
ตัวเขาเองดูเหมือนก็จะยอมรับชะตากรรมแล้ว นอนอยู่บนเตียงและมองไปที่หลังคาโดยไม่กะพริบตา อวิ๋นเยี่ยหยิบซาลาเปาสองสามลูกกับโจ๊กหนึ่งชามมาส่งให้เขา ใช้เท้าเตะไปสองครั้งเขาจึงมีปฏิกิริยาตอบโต้ สีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มแต่แววตากลับตายด้าน
“หลายวันนี้เจ้าก็อยู่ที่นี่ก่อน หากรู้สึกเบื่อก็หาหนังสือมาอ่าน เจ้ายังไม่คุ้นเคยกับหลักสูตรของสำนักศึกษา ต้องเรียนปรับพื้นฐานก่อนโดยเฉพาะศาสตร์การคำนวณ ซึ่งสำหรับเจ้าแล้วเป็นโลกใหม่ที่เจ้ายังไม่เคยสัมผัสมาก่อน”
อวิ๋นเยี่ยส่งซาลาเปาให้เขาและพูดอีกว่า “ที่ที่เจ้าอยู่ตอนนี้เป็นคุกใต้ดินของสำนักศึกษา เจ้ารู้หรือไม่ว่านักเรียนทุกคนในสำนักศึกษาต่างก็กลัวที่จะมาที่นี่มากที่สุด พวกเขายินดีโดนโบยมากกว่าที่จะต้องมาที่นี่ ถ้าเจ้าอยู่แล้วไม่คุ้นเคยก็ให้พวกเขาเปลี่ยนห้องให้เจ้าได้ แม้ว่าที่นี่จะปลอดภัย แต่อยู่นานไปอาจจะเป็นโรคเอาได้”
“พี่อวิ๋น ข้าชอบที่นี่มาก จริงๆ นะ ชอบมันมาก ข้าอยากจะอยู่ที่นี่ตลอดชีวิต ข้าชอบความเงียบสงบของที่นี่เอามากๆ”
ดูออกว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นความจริง ประโยคสั้นๆ เขาใช้คำว่า “ข้า” สามคำติดต่อกัน พิสูจน์ได้ว่าเขาชอบคุกใต้ดินจริงๆ อวิ๋นเยี่ยตบไหล่เขาเบาๆ จึงปิดประตูและเดินออกไป มื้ออาหารของเขาทำในโรงอาหารย่อย เป็นอาหารแบบเดียวกับหลี่ไท่และหลี่เค่อกินและก็ผ่านการทดสอบเช่นเดียวกัน อวิ๋นเยี่ยไม่ต้องการให้เขาตายที่นี่โดยไม่รู้เรื่องอะไรเลย
จากนั้นก็ปีนขึ้นหอเก็บน้ำอีกครั้งและถามหลี่ไท่ “ลูกพี่ลูกน้องของเจ้าเดินออกไปกี่ครั้งแล้ว”
“หกครั้ง แต่เขาก็ยังดูเหมือนไม่เต็มใจยอมแพ้ ตอนนี้นั่งกินข้าวอยู่ในร้านเล็กๆ ของอิงเหนียง เมื่อพักผ่อนได้สติเต็มที่แล้วก็จะกลับมาอีก”
หลี่ไท่ชื่นชอบมากที่สุดก็คือการสอนโดยใช้คนจริงเช่นนี้ การให้คนแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของสิ่งต่างๆ เป็นสิ่งที่เขาชื่นชอบมากที่สุด
ทันใดนั้นเขาก็ถามอวิ๋นเยี่ยขึ้น “เสี่ยวเยี่ย ถ้าข้าไม่สามารถทำลายเขาวงกตนี้ได้ ข้าจะเจาะทะลุกำแพงหรือขุดเข้าไปในอุโมงค์ใต้ดินเข้ามา แล้วสุดท้ายเจ้าก็แพ้อยู่ดี”
“โอ้ แล้วทำไมเจ้าไม่ลองไปทำดู เห็นได้ชัดว่าโต้วเยี่ยนซันฉลาดกว่าเจ้า ทำไมเขาถึงไม่เลือกทั้งสองทางนี้ แน่นอนย่อมต้องมีเหตุผลอยู่ อย่าพูดเรื่องเจาะกำแพงเลย รอบสำนักศึกษาก็ไม่ได้ปิดตายเสียหน่อย เขาจะเข้ามาในสำนักศึกษาจากตรงไหนก็ได้ ทำไมถึงต้องพยายามคิดจนหัวแทบระเบิดก็ต้องฝ่าเขาวงกตให้ได้ ลองคิดให้ดีๆ แล้วค่อยพูด”
ทันใดนั้นกงซูมู่ที่หลับตาอยู่ก็พูดขึ้นว่า “เสี่ยวไท่ เจ้าไม่ต้องคิดถึงเรื่องเจาะกำแพง แล้วก็ไม่ต้องคิดเรื่องขุดอุโมงค์แล้ว ทั้งสองอย่างนี้ต่างก็เป็นเส้นทางแห่งความตาย เมื่อตอนที่กำแพงถูกสร้างขึ้นก็ได้คำนวณถึงปัญหานี้แล้ว เพียงแค่ทำให้กำแพงด้านใดด้านหนึ่งพังลง กำแพงทั้งหมดจะพังถล่มลงมาด้วย ดังนั้นใครก็ตามที่เจาะกำแพงก็มีแต่ตายเท่านั้น นอกจากนี้กำแพงถูกสร้างขึ้นด้วยหินที่เหลือจากการสร้างอาคาร เพียงเวลาชั่วขณะหนึ่งไม่สามารถเจาะทะลุได้ เว้นแต่ว่าเจ้าจะใช้ซุงพังกำแพงเมืองจึงจะได้ ส่วนเรื่องการขุดอุโมงค์ใต้ดิน เจ้าลองตรองดูให้ดี”
อวิ๋นเยี่ยเหลือบมองกงซูมู่ ตาเฒ่านี่นับว่าเป็นห่วงเป็นใยหลี่ไท่อย่างมาก ดูท่าทีแล้วมีแนวโน้มที่จะรับเป็นศิษย์ก้นกุฏิ
หลี่ไท่ก็ไม่พูดอะไร ก้มหน้าครุ่นคิด
โต้วเยี่ยนซันก็คว้าน้ำเหลวอีกครั้ง เขาทำเครื่องหมายไว้ทุกๆ ทางแยกแล้ว เขาเดินลอดอุโมงค์ทางเดินครบทุกเส้นไม่มีตกหล่น ทุกครั้งเมื่อเขาคิดว่าเขาพบเส้นทางที่ถูกต้องแล้ว แต่สิ่งที่รอต้อนรับเขาก็คือประตูทางออกของสำนักศึกษา
นั่งดื่มเหล้าข้าวเหนียวหมักที่องครักษ์นำมาให้หนึ่งคำด้วยความเมื่อยล้าอยู่ด้านนอกประตู เห็นสีหน้าที่เห็นอกเห็นใจขององครักษ์สำนักศึกษาจึงถามว่า “มีใครเคยทำกลไกของอันนี้ได้บ้างหรือไม่”
“เรียนคุณชาย ก่อนที่คุณชายจะมา โหวเหยียของพวกเราเพิ่งเข้าไปจากที่นี่ แล้วก็พาคนไปอีกคนหนึ่ง” องครักษ์พูดทุกอย่าง
“โหวเหยียของพวกเจ้าใช้เวลานานเพียงไหน” โต้วเยี่ยนซันรู้ดีว่าคนที่พาเข้าไปจะต้องเป็นเผยอิง แต่เขาไม่มีเวลาไปสนใจแล้ว ตอนนี้แค่อยากรู้ว่าอวิ๋นเยี่ยใช้เวลานานแค่ไหนในการทำลายกลไกนี้
“โหวเหยียออกมาทั้งหมดสามครั้งและครั้งที่สี่ใช้เวลาเพียงหนึ่งก้านธูปเท่านั้น”
หัวหน้าองครักษ์ของตระกูลโต้วโวยวายขึ้นทันที “คุณชาย เขาเป็นกรรมการของสำนักศึกษา แน่นอนว่าต้องรู้ว่ากลไกอยู่ที่ไหน แต่ท่านไม่รู้อะไรเกี่ยวกับที่นี่เลย แน่นอนว่าจึงต้องใช้เวลานาน พวกเราไม่ต้องทำลายกลไกบ้าๆ อะไรนี่แล้ว บุกเข้าไปเดี๋ยวนี้เลยดูว่าพวกเขาจะทำอะไรเราได้”
พูดยังไม่ทันขาดคำ ฝ่ามือของโต้วเยี่ยนซันก็ตบเข้าให้ที่หน้า หัวหน้าองครักษ์ยังไม่ทันได้ตั้งตัวก็พูดต่อองครักษ์คนอื่นว่า “ชื่อเต็มของสำนักศึกษาแห่งนี้คือ “สำนักศึกษาหลวงอวี้ซัน” ซึ่งก็หมายความว่านี่เป็นสถานที่ของราชวงศ์ หากมีใครกล้าคิดทำเรื่องเหลวไหลไร้สาระอีกจะถูกลงโทษตามกฎตระกูล”
ทุกคนตื่นตระหนก เพราะกฎของตระกูลโต้วไม่ใช่ว่าใครก็จะสามารถรับไหว โทษเบานั้นเนื้อหนังฉีกขาด โทษหนักถึงขั้นกระดูกหัก นี่ก็เป็นสาเหตุว่าทำไมคนในตระกูลโต้วมีหลายพันคนแต่กลับมีคุณชายจอมเสเพลอยู่น้อยมาก เนื่องจากคุณชายเล็กได้รับความเอ็นดูเป็นอย่างมากจากผู้ใหญ่ในตระกูล ทุกคนล้วนแล้วแต่ปิดตาข้างหนึ่ง ดังนั้นจึงทำให้เขามีนิสัยที่บ้าอำนาจเอาแต่ใจซึ่งในที่สุดก็นำมาซึ่งความหายนะ ตอนนี้ได้ยินคำตักเตือนของโต้วเยี่ยนซัน ย่อมต้องน้อมกายรับคำเป็นธรรมดา
องครักษ์ของสำนักศึกษาเอ่ยปากขึ้น “เมื่อครู่พี่ชายท่านนั้นถูกตบไปหนึ่งฝ่ามือก็สมควรแล้วจริงๆ โหวเหยียของพวกเราเพิ่งกลับมาเมื่อวานนี้ วันนี้เป็นวันแรกที่มาสำนักศึกษา อาจารย์กงซูจึงเตรียมไว้ที่จะทำให้โหวเหยียต้องลำบากเล่น แน่นอนว่าต้องไม่บอกความลับข้างในให้โหวเหยียรู้ แม้แต่ข้าน้อยเองก็ถูกเว่ยอ๋องกำชับอย่างดุดันว่าห้ามเปิดเผยข้อมูลใดๆ แม้แต่น้อย ข้าน้อยขอใช้ศีรษะรับประกัน โหวเหยียไม่รู้อะไรเลยสักนิด เข้าไปโดยพึ่งพาทักษะที่แท้จริงที่มีอยู่ ถ้าไม่เชื่อ ท่านสามารถถามอาจารย์หลี่กังได้ ท่านเป็นผู้ที่เถรตรงที่สุด คาดว่าจะไม่หลอกลวงทุกท่านแน่”
โต้วเยี่ยนซันที่เมื่อครู่ยังเริ่มคิดสงสัยอยู่ เมื่อได้ยินองครักษ์พูดเช่นนี้ ความสงสัยก็สลายไปสิ้น เขาสามารถสงสัยในความรู้ของอาจารย์หลี่กัง แต่กลับไม่สงสัยในการวางตนของหลี่กังเลย หลี่กังใช้เวลากว่าค่อนชีวิตในการสร้างคุณสมบัติเฉพาะตัวที่มั่นคงชัดเจน
โต้วเยี่ยนซันนึกได้ทันทีว่าทำไมตนเองจึงต้องมาแข่งประชันปัญญาอะไรกับสำนักศึกษาอยู่ที่นี่ด้วย เพียงแค่กลับเข้าวังไปขอราชโองการจากไท่ซั่งหวงเพียงฉบับเดียว แม้อวิ๋นเยี่ยจะใจกล้าบ้าบิ่นเพียงไรก็ต้องไม่กล้าขัดขืนแม้แต่น้อย
แต่ตอนนี้เป็นปัญหาแล้ว ถ้าไปที่วังในตอนนี้ อวิ๋นเยี่ยจะพูดกับคนทั้งฉางอันว่าตระกูลโต้วไม่สามารถทำลายกลไกของสำนักศึกษาได้ จึงต้องพึ่งพาอำนาจมาแย่งชิงคนไป ยังจะถือว่าเป็นตระกูลใหญ่เชื้อพระวงศ์ที่เป็นทายาทแห่งผู้มีการศึกษาอะไรกัน การสืบทอดหลายพันปีที่ผ่านมาก็คือการสืบทอดการกดขี่ประชาชนหรือ
แย่แล้ว ตั้งแต่ก้าวแรกที่ก้าวเข้าประตูไป สถานการณ์ของเรื่องนี้ก็เปลี่ยนไป จากเดิมที่ตระกูลเป็นฝ่ายถูกดูหมิ่นกลายเป็นผู้ที่มาสำนักศึกษาเพื่อหาเรื่องและท้าทายศักยภาพด้านความรู้ของสำนักศึกษาไปแล้ว
ตั้งแต่ที่ตนเองปรากฏตัวขึ้นจนถึงปัจจุบันได้ตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะได้เดินเข้าไปติดกับดักที่คนอื่นจงใจวางไว้ น่าสมเพชตัวเองที่เห็นมันเป็นเพียงการละเล่นเด็กๆ ว่าตนเองสามารถทำลายเขาวงกตของสำนักศึกษาง่ายดั่งพลิกฝ่ามือ ใครรู้ว่าเสียเวลาอยู่สองชั่วยาม ตัวเองก็ยังทำอะไรไม่ได้ ไม่สามารถทำลายปริศนาได้ก็เข้าไปในสำนักศึกษาไม่ได้ ประตูนี้ใหญ่บานนี้ก็คือหินก้อนใหญ่ที่กีดขวางบนเส้นทางการล้างแค้นของตระกูลโต้ว
มันก็สายเกินไปแล้วที่จะเสียใจภายหลัง สำนักศึกษาได้ทำลายกำแพงกั้นเป็นช่วงระยะหนึ่งในบริเวณใกล้ๆ อีกด้วย นักเรียนกลุ่มใหญ่ห้อมล้อมอาจารย์ พากันล้อมโต้วเยี่ยนซันชนิดที่น้ำยังไม่อาจไหลผ่านได้ ส่งเสียงจ้อกแจ้กถามกันว่าเขาจะหาวิธีทำลายปริศนาได้หรือไม่ ตนเองได้วางเดิมพันไปหมดแล้วด้วย
“พี่ชาย เจ้าทำลายปริศนาได้หรือยัง ข้าได้วางเดิมพันตั๋วมื้ออาหารห้าร้อยเหวินว่าเจ้าจะชนะ ห้ามแพ้เด็ดขาด ไม่เช่นนั้นอีกครึ่งเดือนที่เหลือข้าคงได้แต่กินหมั่นโถวแล้ว” หลี่ไท่มองดูลูกพี่ลูกน้องของเขาด้วยแววตาที่ชื่นชมนับถือ สีหน้าน่าขยะแขยง ท่าทางน่าเกลียด
ได้ยินเสียงเกือกม้าดังมาจากด้านหลัง โต้วเยี่ยนซันก็รู้ว่าเขาพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง ผู้ที่ขี่ม้าเหล่านั้นไม่ต้องบอกก็รู้ว่าไปฉางอันเพื่อป่าวประกาศเรื่องนี้ คิดว่าใช้เวลาไม่นานคนทั่วทั้งเมืองฉางอันก็จะรู้ว่าตระกูลโต้วต้องการท้าทายสำนักศึกษาอวี้ซัน สำหรับเรื่องที่น่าสังเวชของน้องชายตนคงจะไม่ถูกใครกล่าวถึงอีก ใต้หล้านี้ก็เพียงแค่มีขันทีเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคนเท่านั้น แล้วตระกูลใหญ่ที่สืบทอดมานับพันปีจะมีแรงกระตุ้นมาจากสิ่งใดจึงคิดจะท้าทายสำนักศึกษาอวี้ซันที่เพิ่งก่อตั้งไม่นานกัน
โต้วเยี่ยนซันกำสองหมัดแน่นจนข้อต่อกลายเป็นสีขาว เขากัดฟันพูดว่า “ตระกูลโต้วจะต้องทำลายปริศนาแล้วลากตัวฆาตกรที่ทำร้ายน้องชายข้าออกมาฉีกเป็นหมื่นๆ ชิ้น โต้วเยี่ยนซันนั้นไร้สามารถด้อยสติปัญญา ข้ายอมรับว่าตนเองทำลายปริศนานี้ไม่ได้ แต่ไม่เชื่อว่ากลไกปริศนาเล็กๆ นี้จะสามารถขัดขวางการแก้แค้นของตระกูลโต้วได้ เผยอิง เจ้าฟังให้ดี วันนี้จะปล่อยให้เจ้าได้หายใจอีกวัน พรุ่งนี้ข้าจะกลับมาอีก” พูดจบก็ผลักฝูงชนออกไป ขี่ม้ามุ่งหน้าไปยังฉางอัน
อวิ๋นเยี่ยก้าวออกมาจากร้านของอิงเหนียง มองดูแผ่นหลังของโต้วเยี่ยนซันอย่างหม่นหมอง ตระกูลใหญ่เต็มไปด้วยผู้ที่มีความสามารถจริงๆ เพียงคำพูดไม่กี่ประโยค ก็บีบให้สำนักศึกษาต้องเดินเข้าทางตัน บนโลกนี้ไม่มีปริศนาอะไรที่ทำลายไม่ได้ ซึ่งนี่ก็เป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป โต้วเยี่ยนซันยอมรับว่าเขาพ่ายแพ้และยอมรับว่าอย่างเปิดเผยไม่มีเล่ห์เหลี่ยมใดๆ ทั้งยังกล่าวย้ำว่าเขาไม่ได้อิจฉาความรู้ของสำนักศึกษา แต่เพราะสำนักศึกษาถือหางฆาตกรที่ทำร้ายคน ตระกูลโต้วจึงจำต้องรับคำท้า ถึงตอนนั้นสำนักศึกษาก็จะไม่มีข้ออ้างมาขัดขวางการล้างแค้นของพวกเขาได้ แผนการที่หลี่ซื่อหมินวางไว้ก็ล้มเหลว แม้ว่าอวิ๋นเยี่ยจะยังไม่รู้ว่าแผนของหลี่ซื่อหมินคืออะไรกันแน่
ฉันควรจะเปลี่ยนอักษรเจ็ดตัวของคำว่า “ท่ามกลางสามคนต้องมีอาจารย์ของเราอยู่สักคน” เป็นตัวเลขหนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก เจ็ดที่น่ารักเจ็ดตัวดีหรือไม่ แล้วหา “เลขหนึ่งที่หายไป” กลับคืนมา ให้กลายเป็นรหัสลับเจ็ดตำแหน่ง หากคิดจะถอดรหัสด้วยมือ ตระกูลโต้วคงต้องสืบทอดให้ลูกหลานอีกสักสองรุ่นจึงจะถอดรหัสสำเร็จ อวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกว่าตัวเองไร้ยางอาย อย่างน้อยตอนนี้ก็ไร้ยางอายเป็นอย่างมาก
ส่วนที่ 5
ตอนที่ 17 ตาเฒ่าที่ไร้คุณธรรม
ความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองในปัจจุบันนั้นเป็นคุณสมบัติเด่นที่ทุกคนในเมืองหลวงมีเช่นเดียวกัน หากเมืองฉางอันวันไหนไม่มีประเด็นร้อนแรงเกิดขึ้นจะมหานครเป็นอันดับหนึ่งของใต้หล้าได้อย่างไร
ก่อนที่จะมีการตีฆ้องบอกเวลา ข่าวการปะทะกันระหว่างตระกูลโต้วและสำนักศึกษาก็ได้เข้ามาแทนที่ข่าวร้ายที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ว่าซื่อหลางแห่งกรมพิธีการหลิวหยวนหล่างเกือบตายขณะมีเพศสัมพันธ์โชคร้ายกลายเป็นอัมพาตร่างกายช่วงล่างไป ซึ่งกลายเป็นหัวข้อสนทนาเรื่องใหม่ที่ร้อนแรง
คำเล่าลือนั้นเสมือนติดปีก ขอเพียงมีช่องว่างเล็กๆ มันจะแพร่กระจายเข้าไปทุกซอกทุกมุม ในตอนเริ่มแรกนั้นยังค่อนข้างดีเพราะพวกเขาบอกว่าตระกูลโต้วและสำนักศึกษาอวี้ซันมีข้อพิพาทกันเนื่องด้วยเรื่องความเป็นความตายของเผยอิง ทำให้ผู้เฒ่าในตระกูลโต้วจึงไม่ยอมรามือต่างๆ นานา ต่อมาเพราะชื่อเสียงของเผยอิงโด่งดังเรื่องผู้หญิงมากเกินไป ต่อมาจึงกลายเป็นผู้เฒ่าของตระกูลโต้วแก่แล้วไม่อยู่ส่วนแก่ เพื่อหญิงงามแห่งยุคจึงไม่ลังเลเลยที่จะปะทะกับหลานเถียนโหวแห่งสำนักศึกษาอวี้ซัน หนึ่งหนุ่มหนึ่งเฒ่าเพื่อการแก่งแย่งเผยอิงจึงตัดสินใจที่จะเปิดศึกครั้งใหญ่บนเขาอวี้ซัน
หญิงงามคู่กับชายหนุ่มย่อมที่จะเหมาะสมกว่า ระหว่างทั้งสองกลับมีตาเฒ่าหนังเ**่ยวเหมือนหนังไก่แทรกเข้ามาเตรียมช่วงชิงความรักอย่างวางอำนาจบาตรใหญ่ ภายใต้ข่าวลือดังกล่าวความคิดของผู้คนที่มีทั้งสนับสนุนและคัดค้านก็ปรากฏอย่างเด่นชัดโดยไม่ต้องกล่าวอะไรเลย
โต้วเยี่ยนซันกลับมาถึงฉางอัน เพิ่งจะรายงานความคืบหน้าของเหตุการณ์ให้ผู้เฒ่าที่บ้านฟังก็ถูกดุด่าอย่างสาดเสียเทเสีย ทั้งโดนโบยตามกฎบ้านอีกสิบที เดินกะเผลกออกจากหอบรรพชนก็ได้ยินข่าวอันเลวร้ายจนน่าตกใจนี้ จากนั้นจึงคว้าดาบขึ้นไม่สนใจแม้แต่อาการบาดเจ็บที่บั้นท้ายเพื่อที่จะบุกไปแลกชีวิตกับอวิ๋นเยี่ยที่สำนักศึกษา
ชื่อเสียงคุณธรรมของผู้เฒ่าในตระกูลได้รับการเคารพมานานหลายทศวรรษ ครั้งนี้กลับถูกลดระดับชื่อเสียงบารมีลงมาเหลือทัดเทียมระดับเดียวกับอวิ๋นเยี่ย คนหนึ่งเป็นขุนนางเก่าแก่ที่สร้างความดีความชอบผู้มีบารมีสูงส่ง อีกคนหนึ่งเป็นอันธพาลตัวเล็กๆ ที่เพิ่งจะเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว หัวโจกแห่งสามเภทภัยของฉางอันไม่ใช่อันธพาลแล้วคืออะไร
แต่ถูกบิดาของเขาโต้วหวยเต๋อขวางเอาไว้และแย่งดาบในมือไป โยนให้องครักษ์ที่ลานแล้วหันหลังเดินกลับไปที่ห้องโถงใหญ่โดยพูดเพียงสองคำว่า “ตามมา”
เขาเดินตามบิดาไปที่ห้องโถงใหญ่แต่โดยดี เห็นผู้เฒ่ากำลังพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าระมัดระวังตัวมาตลอดชีวิต แก่แล้วยังจะไปหาความสุขก็ไม่เลวนะ นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ขอเพียงได้เป็นหมายเลขหนึ่งในเมืองฉางอันก็พอ มีใครที่ไม่เคยต้องแบกรับข่าวลือเรื่องมัวหมองหลายๆ เรื่องกันบ้าง หลายวันก่อนข้าได้ยินถึงข่าวการจากไปของสหายเก่าหลายคนอย่างต่อเนื่อง ในใจก็รู้สึกเสียใจที่ได้กระทำผิดยิ่งนัก เห็นอยู่ชัดเจนว่ามีมิตรภาพอันดีต่อกัน แต่ทำไมจึงจำไม่ได้ว่าเคยทำเรื่องสนุกสนานที่ชวนให้ระลึกถึงเหล่านั้นมาด้วยกัน สิ่งที่จำได้มีเพียงเงาดาบแสงกระบี่และหลักคำสอนของขงจื๊อที่โต้ตอบด้วยบทกวี มันก็ค่อนข้างน่าเบื่อไปสักหน่อย ตอนนี้หลานเถียนโหวได้เพิ่มช่วงชีวิตที่สำมะเลเทเมาให้ข้า ในใจก็ไม่รู้สึกเสียดายอะไรอีกแล้ว
ชื่อเสียงของตระกูลโต้วนั้นดีเกินไป ไม่ควรให้เป็นเช่นนี้ ในครอบครัวตระกูลใหญ่จะไม่มีพวกจอมล้างผลาญอยู่บ้างเลยก็ไม่ดีนัก เยี่ยนซัน ต่อไปพวกเจ้าเองก็ลองไปเที่ยวแสวงหาความสำราญให้บ่อยครั้งหน่อยก็ได้ แล้วถือโอกาสเผยแพร่ชื่อเสียงตระกูลโต้วให้ภายนอกได้รับรู้บ้าง ตระกูลโต้วไม่เพียงแต่มีเหล่าศิษย์ด้านบรรพชิต แต่ยังมีสุภาพบุรุษจอมเจ้าชู้ที่เก่งด้านโคลงฉันท์กาพย์กลอนอยู่ด้วย”
โต้วเยี่ยนซันรีบคุกเข่าลงพลางโขกศีรษะพลางพูดว่า “ต่อไปหลานจะไม่กล้าอีกแล้ว ขอท่านผู้เฒ่าลงโทษสถานเบาด้วย”
ชายชราลุกร้องโอ๊ยอยู่เป็นนานจึงลุกจากเก้าอี้แล้วยืนขึ้นได้ ลูกหลานที่อยู่ข้างๆ ไม่มีใครกล้าที่จะเข้าไปพยุงสักคน ชายชราแต่ไหนแต่ไรไม่ยอมให้ใครช่วยพยุง ลูกชายคนก่อนที่ทำเช่นนี้จึงถูกเนรเทศไปเป็นชาวเผ่าหูที่ทะเลทราย ตั้งแต่นั้นมา นอกจากคนรับใช้ที่อายุเจ็ดสิบกว่าปีที่อยู่ข้างกายเขา ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปพยุงชายชรา
ชายชราเดินมาที่ข้างกายโต้วเยี่ยนซันแล้วถอนหายใจ “ปู่ไม่ได้ตำหนิเจ้า แต่เป็นเพราะตระกูลโต้วจำต้องมีคุณชายจอมเสเพลอยู่บ้างแล้วจริงๆ ปู่เองที่เป็นคนสั่งให้ซันสือหลางจงใจทำตัวสำมะเลเทเมา คิดไม่ถึงว่าจะทำให้เกิดเคราะห์ร้ายครั้งใหญ่ขึ้นกับเขา ซึ่งทำร้ายซันสือหลางผู้น่าสงสารของข้า”
“ท่านพ่อ ตระกูลเผยรังแกกันมากเกินไป หลานเถียนโหวทระนงตนว่าเก่งกาจ ต่างก็ไม่เห็นตระกูลโต้วของพวกเราอยู่ในสายตา ตามความเห็นของลูก พวกเราควรแสดงแสนยานุภาพด้วยการกวาดล้างศัตรูให้สิ้นซาก รีบทำลายทั้งสองตระกูลไปโดยเร็ว มิฉะนั้นชื่อเสียงตระกูลโต้วของพวกเราจะต้องเสียหายไม่เหลือชิ้นดี” โต้วหวยเอินบุตรชายคนที่สามของตระกูลโต้วลุกขึ้นยืนแล้วพูดกับบิดาของเขา
“เหล่าซัน ไม่ได้เด็ดขาด!” บุตรชายคนโตโต้วหวยอี้รีบห้ามน้องสามไม่ให้พูดต่อ
“หวยเอิน เจ้าไม่ต้องร้อนใจไป แม้ว่าเรื่องการแก้แค้นจะเป็นเรื่องสำคัญ แต่ก็ยังไม่สำคัญเท่ากับรากฐานตระกูลโต้ว ซันสือหลางเป็นลูกชายของเจ้าและก็เป็นหลานชายของข้าด้วย คนตระกูลโต้วไม่มีเหตุผลที่จะตายเปล่า เจ้าต้องส่งเขาไปปรโลกด้วยตัวเอง พ่อมีหรือจะไม่เข้าใจความเจ็บปวดในใจเจ้า อย่างไรตระกูลนี้ก็ยังคงต้องสืบทอดต่อไป คงต้องทุกข์ใจเจ้าแล้ว”
โต้วหวยเอินคุกเข่าลงบนพื้นร้องไห้คร่ำครวญไม่หยุด โต้วหวยอี้และโต้วหวยเต๋อที่ยืนอยู่ด้านข้างพยุงเขาลุกขึ้นไปนั่งบนแคร่เตี้ยๆ
“เยี่ยนซัน เมื่อเจ้าไปถึงสำนักศึกษาอวิ๋นเยี่ยพูดว่าอย่างไรบ้าง เล่ามาฟังอย่างละเอียด ห้ามปิดบังแม้แต่คำเดียว” ชายชราพูดกับโต้วเยี่ยนซันด้วยท่าทีขุ่นเคือง
“หลานไม่ได้พบกับอวิ๋นเยี่ย เพียงแต่ได้ยินองครักษ์เฝ้าประตูพูดเพียงประโยคเดียว”
“พูดว่าอะไร”
“โหวเหยียบอกว่าเขาไม่อยู่ พูดเพียงประโยคนี้ประโยคเดียว แต่หลานนึกว่าสามารถทำลายกลไกของพวกเขาได้ ใครจะรู้ว่าก้าวผิดเพียงก้าวเดียวก็ผิดพลาดไปทุกๆ ก้าว เดินเข้าสู่กับดักของอวิ๋นเยี่ย หลานไร้ความสามารถ ขอท่านผู้เฒ่าลงโทษด้วย” กางเกงของโต้วเยี่ยนซันนั้นเปื้อนเลือดจนแดงไปหมดแล้ว แต่ก็คุกเข่าบนพื้นไม่กล้าเคลื่อนไหวใดๆ
“โหวเหยียบอกว่าเขาไม่อยู่ น่าสนุก ซึ่งนี่ก็แสดงให้เห็นว่าระหว่างตระกูลโต้วและตระกูลเผยนั้นอวิ๋นเยี่ยเลือกจุดยืนอย่างชัดเจนแล้วว่าจะเข้าข้างตระกูลเผยโดยไม่ลังเล เขาโง่หรือไม่ แม้แต่เผยจี้ยังไม่กล้าปกป้องเผยอิง อวิ๋นเยี่ยเขาใจกล้ามาจากไหน อาศัยเพียงครอบครัวของเขาซึ่งมีแต่ผู้หญิงและเด็กที่ไม่สามารถรับมือการบุกอย่างดุดันของตระกูลโต้วแม้เพียงครั้งเดียวเสียด้วยซ้ำ เขาอาศัยอะไร”
ชายชราไม่ได้เห็นตระกูลอวิ๋นอยู่ในสายตามาตั้งแต่แรกแล้ว อวิ๋นเยี่ยเมื่ออยู่เบื้องหน้าเขาก็เป็นเพียงตั๊กแตนที่ขวางทางล้อเท่านั้น ตอนนี้ตั๊กแตนยื่นแขนออกมาเพื่อขัดขวางรถม้าของตระกูลโต้ว ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็คือรนหาที่ตาย เขาไปเอาความกล้ามาจากไหน หรือใครบางคนให้ความกล้าหาญแก่เขา
“เจ้าใหญ่ หยุดทำการค้ากับเซวียเหยียนถัวชั่วคราว อาวุธเหล็ก ม้วนผ้า แล็กเกอร์ดิบและผ้าลินินผ้าไหมหยุดทั้งหมด พ่อมักจะรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดา ไท่ซั่งหวงคราวก่อนก็เตือนข้าทั้งทางตรงทางตรงอ้อม ข้ามักจะคิดว่าในตระกูลเรามีคนมาก มีเส้นทางการค้าเพิ่มอีกหนึ่งเส้นทางย่อมเพิ่มทางรอดได้มากขึ้นอีกหนึ่งหน่อย ครอบครัวก็จะได้ร่ำรวยมากขึ้นอีกเล็กน้อย จะได้ไม่ให้ลูกหลานสาขาของตระกูลต้องอดอยากปากแห้ง ตอนนี้ดูไปแล้วข้าจะโลภเกินไป ในวัยเยาว์ควรหักห้ามใจเรื่องโลกีย์ ในวัยกลางคนควรรู้จักอดกลั้นเรื่องความโกรธ เมื่อสูงวัยควรรู้จักละทิ้งเรื่องการครอบครอง ข้าเกิดความโลภขึ้น หรือว่านี่จะเป็นสาเหตุที่ทำให้ตระกูลโต้วในตอนนี้ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก”
หลังจากสั่งงานเรื่องในบ้านเสร็จแล้ว ชายชราถามโต้วเยี่ยนซันอีกครั้ง “เจ้าเองก็เป็นวัยรุ่น คิดว่าเมื่อได้ทักทายกับอวิ๋นเยี่ย เขาจะสร้างความประทับใจอย่างไรให้เจ้า”
“เรียนท่านผู้เฒ่า อวิ๋นเยี่ยเป็นคนที่ฉลาดเกินคน มีความรู้กว้างขวาง ผู้คนทั่วหล้าล้วนแล้วแต่เสวนาพาทีกับเขาอย่างสนิทสนม เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสัญลักษณ์ว่าเป็นศิษย์ของสำนักที่โด่งดัง เขาเป็นคนที่ค่อนข้างล้าหลังแต่กลับค่อนข้างเจ้าเล่ห์เพทุบาย ทว่าเขาเป็นชายหนุ่มที่มีคุณธรรมมากที่สุดเท่าที่หลานเคยพบมา ใจกว้าง มีความเชื่อมั่น มองเงินทองเหมือนเบี้ย แต่ก็รักทรัพย์สินยิ่งชีพ มีความหสามารถเหมือนเถาจูกง[1]แต่ก็มีความล้างผลาญเหนือคนอื่นอยู่ด้วยเช่นกัน หลานเคยได้ยินสหายบอกว่าหลังจากที่อวิ๋นเยี่ยดื่มจนเมาแล้วเคยตะโกนโหวกเหวกว่า “คนเราเกิดมาทุกคนนั้นมีค่าในตัวเอง เงินทองหมดไปเดี๋ยวก็หาใหม่ได้” หลานฟังประโยคนี้แล้วก็เกือบจะคล้อยตาม”
โต้วเยี่ยนซันไม่ได้มองว่าเป็นความแค้นส่วนตัวเลยแม้แต่น้อย แสดงความเห็นต่ออวิ๋นเยี่ยให้ชายชราฟังอย่างละเอียด
“หนุ่มอัจฉริยะเช่นนี้จะมองสถานการณ์เบื้องหน้าไม่ชัดเจนเลยหรือ จะฝืนขวางหน้าตระกูลโต้วให้ได้เพราะเหตุใดกัน” ตอนนี้มาคิดถึงประโยคที่เขาบอกว่า “โหวเหยียบอกว่าเขาไม่อยู่” ประโยคนั้นแล้ว ความหมายนั้นก็ไม่แน่ว่าอาจจะแฝงไว้ด้วยเสียงหัวเราะอย่างจำใจอยู่บ้าง หวยอี้ หวยเต๋อ หวยเอิน พวกเจ้าตั้งสติให้ดีตระกูลโต้วจะต้องเผชิญกับมรสุมพายุที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้ว”
ผู้มากประสบการณ์ก็คือผู้มากประสบการณ์ อวิ๋นเยี่ยเพียงแค่เผยความรู้สึกไม่สบายใจออกมาก็ถูกจับได้ทันที คบไฟของบ้านตระกูลโต้วติดสว่างไสวตลอดคืน เมื่อฟ้าสางก็มีม้าเร็วสิบกว่าตัวออกจากฉางอันมุ่งหน้าไปยังสถานที่ต่างๆ
เมื่อพ่นใยออกไปแล้วหลี่ซื่อหมินก็เป็นเหมือนแมงมุมตัวใหญ่ที่นั่งอยู่ตรงกลางของใย ไม่ว่าจะมีการเคลื่อนไหวใดๆ ของเส้นใยก็ไม่สามารถรอดพ้นฝ่ามือของเขาได้ ทันทีที่ม้าเร็วของตระกูลโต้วก้าวออกจากประตูบ้าน ข่าวก็ได้ถูกส่งไปถึงเบื้องหน้าเขาแล้ว เมื่ออ่านข้อความที่ส่งมาให้เขาเพียงแค่ทำท่าทางสังหารเท่านั้นหงเฉิงก็โค้งกายแล้วถอยออกไป
อวิ๋นเยี่ยพบหงเฉิงที่หน้าประตูวัง ขณะที่กำลังคิดจะดึงเขามาถามสักสองสามคำ ใครจะรู้ว่าหงเฉิงจะรีบวิ่งหนีไปเหมือนถูกไฟลนก้น ทั้งยังพูดอะไรบางอย่างที่ไร้สาระด้วยว่า “รอข้ากลับมา แล้วพวกเราสองพี่น้องไปกินแตงกวาที่หอเอี้ยนไหลโหลวด้วยกัน”
เป็นการดีที่สุดที่จะไม่ต้องพบกันอีก เจ้าคนห่วยแตกเอาเรื่องแตงกวามาล้อเลียนฉัน ตั้งแต่ที่ลูกชายคนโตของหลี่จีวิ่งศีรษะปูดบวมรีบวิ่งออกจากหอเอี้ยนไหลโหลวแล้วก็ไม่มีใครกล้าที่จะพูดถึงของสิ่งนี้ต่อหน้าอวิ๋นโหวอีกเลย เพราะอวิ๋นโหวมีปฏิกิริยาตอบสนองไวต่อแตงกวา
องครักษ์ที่ประตูวังพลิกป้ายแขวนเอวของอวิ๋นเยี่ย ตรวจสอบด้วยรอยยิ้ม ตรวจอย่างระมัดระวังมาก ถึงแม้ว่าพวกเขาจะสนิทสนมจนไม่รู้จะสนิทสนมอย่างไรได้อีก พวกเขาก็ตรวจสอบป้ายแขวนเอวอยู่หลายครั้ง อวิ๋นเยี่ยพูดด้วยความหงุดหงิดใส่องครักษ์ที่มองหน้าเขาอย่างละเอียดว่า “หน้าข้านี้เจ้ามองมาสองปีแล้ว ยังไม่รู้สึกเอียนอีกหรือ”
องครักษ์ยิ้มแย้มและพูดว่า “โหวเหยียไม่ต้องร้อนใจ หลายวันนี้ฝ่าบาทกริ้วอยู่บ่อยๆ พวกข้าน้อยก็ต้องระมัดระวังให้มากยิ่งขึ้น ข้าน้อยยังได้ยินว่าโหวเหยียสามารถฉีกผิวหนังใบหน้าของผู้อื่นมาแปะไว้แทนใบหน้าของตนเองได้ด้วย สามารถเปลี่ยนหน้าได้นับไม่ถ้วน ระยะนี้ข้าน้อยใกล้จะบ้าอยู่แล้ว มักจะรู้สึกว่าใต้เท้าแต่ละท่านที่ผ่านหน้าไปจะเป็นคนอื่นปลอมตัวมา เช่นนั้นรบกวนโหวเหยียตรวจอาการให้ด้วยได้หรือไม่”
“ไสหัวไป เจ้านอกจากไตมีปัญหาแล้วเรื่องอื่นก็ไม่มีปัญหาอะไร คราวหน้าข้าจะปลอมใบหน้าเจ้าแล้วไปที่คอกม้าหลวงแล้วสังหารม้าที่ฝ่าบาททรงโปรดที่สุดที่ชื่อเท่อเลยเปียวเสีย ให้เจ้าเป็นคนรับโทษ จะปล่อยให้เจ้าพูดเหลวไหลไร้สาระให้พอ”
เรื่องหน้ากากหนังคนเขาเคยพูดให้หลี่ไท่ฟังคนเดียว เจ้าตัวแสบต้องใช้เรื่องนี้มาข่มขู่พวกราชองครักษ์อย่างแน่นอน โดยเฉพาะอวิ๋นเยี่ยที่เป็นเป้าหมายสำคัญที่สุด เรื่องใดที่ทำให้อวิ๋นเยี่ยไม่พอใจ เขาจะตั้งใจทำอย่างทุ่มเท
เมื่อเดินเข้าวังมา เขาจะไม่ไปพบหลี่ซื่อหมินเด็ดขาด อวิ๋นเยี่ยกลัวที่จะพบเขาจริง ๆ พบกันหนึ่งครั้งก็โชคร้ายครั้งหนึ่ง คราวนี้ยังไม่ทันได้พบก็โชคร้ายครั้งใหญ่ จึงตัดสินใจที่จะอยู่ให้ห่างจากเขา จึงไปพบมารดาแห่งแผ่นดินก่อนแล้วจึงไปหาหลี่หยวน เพื่อดูว่าจะสามารถชำระหนี้ดอกเบี้ยสูงนี้ได้หรือไม่! ติดค้างไว้ไม่ได้ ชำระคืนไปสี่ครั้งแล้วรวมถึงอาคารหลังใหญ่ด้วย ทำไมตอนนี้ยังติดหนี้เขาอยู่อีกเจ็ดตำลึงทอง ต้องไปถามว่าคุณลุงนับเลขเป็นหรือไม่
จั่งซุนนั่งปักอะไรบางอยู่ใต้แสงอาทิตย์ ทำไมท้องของนางถึงนูนขึ้นอีก อวิ๋นเยี่ยจำได้ว่านางให้กำเนิดหลี่จื้อยังไม่ถึงหนึ่งปี
ขันทีที่นำทางพูดกับจั่งซุนที่กำลังขะมักเขม้นกับงานปักอยู่ “กราบทูลฮองเฮา หลานเถียนโหวอวิ๋นเยี่ยมาถึงแล้ว”
อวิ๋นเยี่ยมักจะรู้สึกว่าจั่งซุนนั้นดูงามไม่หน่ายเร็ว มองจากลักษณะภายนอกแล้วดูไม่ออกเลยว่ามีบุตรแล้วสามคน หากอวิ๋นเยี่ยจำไม่ผิด ท้องนี้ต้องเป็นองค์หญิง
“กระหม่อมอวิ๋นเยี่ยถวายบังคมฮองเฮา ไม่พบกันครึ่งปี ฮองเฮายังคงดูสง่างามเช่นเคย ช่างเป็นเรื่องน่ายินดีมาก” ทันทีที่พบกันอวิ๋นเยี่ยก็รีบประจบประแจงทันที
“เจ้ากำลังหัวเราะที่ข้าตั้งครรภ์อีกแล้วใช่หรือไม่” ดูเหมือนจั่งซุนจะได้รับการกระทบกระเทือนที่สมอง คำพูดประจบประแจงที่สวยหรูก็ฟังเป็นความหมายเลวร้ายไปได้
“เหตุใดฮองเฮาจึงตรัสเช่นนี้ กระหม่อมรู้สึกหวาดหวั่น”
“คนอื่นอาจจะมีความจริงใจ แต่เจ้าปากไม่ตรงกับใจคิดว่าข้าไม่รู้หรืออย่างไร”
“ฮองเฮาทรงกล่าวโทษกระหม่อมผิดไปแล้ว…”
——
[1] เถาจูกง มีนามเดิมว่า ฟ่านหลี เป็นกุนซือของแคว้นเย่ว์ในสมัยปลายุคชุนชิว ภายหลังรบชนะแคว้นอู๋ ได้ออกจากราชการและได้เปลี่ยนชื่อเป็น เถาจูกง และได้ทำธุรกิจจนประสบความสำเร็จ จนได้รับการขนานนามว่าเป็น เทพเจ้าแห่งการค้า
ส่วนที่ 5
ตอนที่ 18 ภัยที่เกิดขึ้นเพราะดวงจันทร์
จั่งซุนวางงานปักในมือลงแล้วนางกำนัลก็ช่วยพยุงให้ลุกขึ้น พูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ไปเดินเล่นในอุทยานเป็นเพื่อนข้าหน่อย อีกประเดี๋ยวฝ่าบาทก็จะทรงเรียกพบเจ้า”
“กระหม่อมมาที่นี่เพื่อถวายบังคมฮองเฮา ไม่ได้ตั้งใจมาเข้าเฝ้าฝ่าบาท วันหนึ่งๆ ฝ่าบาททรงมีพระราชกรณียกิจมากมาย ขุนนางตัวน้อยๆ อย่างกระหม่อมอย่าไปรบกวนจะเป็นการดีกว่า” ตอนนี้อวิ๋นเยี่ยรำคาญหลี่ซื่อหมินอย่างที่สุด ขุนนางฝ่ายบุ๋นที่มีชื่อฝ่ายบู๊ที่กล้าหาญในราชสำนักมีมากมายไม่ไปเรียกใช้ กลับมาเอาตัวละครตัวเล็กๆ อย่างฉันออกไปดันหน้า เรื่องนี้หากประมาทเพียงเล็กน้อย ตระกูลอวิ๋นก็มีโอกาสล้มครืน
“เจ้าไม่พอใจฝ่าบาทหรือ” จั่งซุนก็มักจะเป็นเช่นนี้ โดยมากแล้วจะตีความความหมายแฝงของผู้อื่นผิดไปจากเจตนาเดิม
“กระหม่อมไหนเลยจะกล้า ไม่ว่าจะเป็นฟ้าผ่าหรือหยดน้ำค้างก็ล้วนแล้วแต่เป็นมหากรุณาธิคุณจากเบื้องบน กระหม่อมในฐานะมือเท้าและเขี้ยวเล็บของฝ่าบาท แน่นอนว่าควรต้องบุกน้ำลุยไฟเพื่อฝ่าบาท ตั้งแต่วันแรกที่สวมชุดข้าราชการ กระหม่อมก็มีสำนึกในเรื่องนี้อยู่เสมอ ฮองเฮาทรงคิดมากไปแล้ว” ต้องรีบอธิบาย การที่ในใจเก็บความขุ่นเคืองไว้เป็นข้อห้ามอย่างเด็ดขาดของขุนนาง
“ไม่ว่าจะเป็นฟ้าผ่าหรือหยดน้ำค้างก็ล้วนแล้วแต่เป็นมหากรุณาธิคุณจากเบื้องบน ประโยคนี้ฟังดูแปลกใหม่ดี เมื่อรวมกับประโยคที่เจ้าเมาเหล้าแล้วพูดที่ว่า “คนเราเกิดมาทุกคนนั้นมีค่าในตัวเอง เงินทองหมดไปเดี๋ยวก็หาใหม่ได้” ก็ได้เติมเต็มซึ่งกันและกัน ประโยคหนึ่งคือจงรักภักดี ประโยคหนึ่งคือทำตามอำเภอใจไม่ถูกผูกมัด ประโยคไหนคือตัวตนที่แท้จริงของเจ้ากันแน่ จั่งซุนชื่นชมอุทยานที่เ**้ยนเตียน ไม่มีดอกไม้ให้เด็ด จึงได้แต่เด็ดใบของต้นฮอลลี่แล้วเสแสร้งสูดดมจากนั้นก็โยนมันทิ้ง แล้วก็เค้นถามอวิ๋นเยี่ยต่อ
“คำพูดของคนเมาท่านก็ทรงเชื่อหรือ กระหม่อมจงรักภักดีซื่อสัตย์เสมอมา เพื่อแผ่นดินต้าถังแล้วแม้ต้องเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตก็จะไม่ถอยแม้แต่ก้าวเดียว” ต้องพูดอะไรในสถานการณ์เช่นไร บางครั้งก็ต้องแสดงออกถึงความภักดีของตนเองที่มีต่อต้าถังถือเป็นวิชาเฉพาะด้านที่ข้าราชบริพารต้องเรียน ผู้ที่มีอำนาจอยู่ต่างก็ชอบประโยคนี้ อวิ๋นเยี่ยได้รับการอบรมสั่งสอนจากหลี่กังมานานเพียงนี้ เขาได้เรียนรู้มานานแล้ว
“การมีความภักดีเป็นสิ่งที่ดี เช่นนี้จะได้มีชีวิตที่ยืนยาว ตระกูลก็จะสามารถเจริญรุ่งเรืองเป็นเวลานาน ลูกหลานก็จะได้สืบทอดวงศ์ตระกูลไปตลอดกาล อวิ๋นเยี่ย ถ้าเป็นขุนนางคนอื่นพูดข้าจะรู้สึกชื่นชมยินดี ทำไมเมื่อเป็นเจ้าพูดเช่นนี้ ไม่ว่าจะฟังอย่างไรก็รู้สึกขัดใจอย่างไรพิกล” คิ้วอันงดงามของจั่งซุนแทบจะตั้งขึ้นเป็นเส้นตรงอยู่แล้ว ฟันขบกันดังเสียงกรอดๆ นี่เป็นสัญญาณเตือนก่อนที่จั่งซุนจะอาละวาด แต่ไหนแต่ไรมานางไม่เคยเก็บซ่อนอารมณ์ของนางขณะอยู่ต่อหน้าอวิ๋นเยี่ยเลย ถ้าเป็นขุนนางคนอื่น เรื่องที่จะไม่แสดงอารมณ์ออกทางสีหน้านั้นไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลยสำหรับนาง ต้องบอกไว้ก่อนว่า หลังจากเหตุการณ์เสวียนอู่เหมินแล้ว คำสั่งกวาดล้างภายในวังก็มาจากปากเล็กๆ บนใบหน้าที่อวบอิ่มของนางนั่นเอง ศีรษะผู้คนนับร้อยนับพันร่วงลงสู่พื้น สีหน้านางก็ยังคงเดิม คำพูดเพียงไม่กี่คำของอวิ๋นเยี่ยสามารถทำให้นางควบคุมอารมณ์ไม่ได้
ถ้าหากไม่พูดเรื่องที่เป็นจริงเป็นจังเสียหน่อยไม่ได้แล้ว อวิ๋นเยี่ยสองมือประสานยกสูงค้อมกายคารวะ
“กระหม่อมอยู่ก็เป็นคนของต้าถัง ตายก็เป็นผีของต้าถัง แม้ว่าตายแล้วเกิดใหม่ก็หวังว่าจะได้เป็นคนต้าถังอีก ในทุ่งหญ้ากระหม่อมเห็นทหารที่ล้มหายตายจากแล้วก็รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวใจ เกลียดที่ตัวเองไร้ความสามารถ ไม่มีหนทางใดที่จะช่วยชีวิตของพวกเขาไว้ได้ ท่านผู้บัญชาการใหญ่ต้องบุกเสี่ยงอากาศที่หนาวสุดขั้วเพื่อลอบจู่โจมข่านเจี๋ยลี่ที่เขาอินซัน หลายวันในระหว่างที่รอข่าวกระหม่อมกินไม่ได้นอนไม่หลับ อย่างไม่สบายใจ เมื่อเสียงเคาะปังจื่อ[1]ที่อยู่บนเตียวโต้ว[2]ของค่ายดังขึ้น หลายครั้งที่กระหม่อมคิดว่าเป็นข่าวคราวที่ส่งกลับมาของกองทัพ จึงรีบสวมเสื้อแล้วลุกขึ้น ออกจากกระโจมเพื่อเตรียมต้อนรับพวกเขา ใครจะรู้ว่าท่านแม่ทัพก็ยังไม่มีข่าว มีเพียงดวงจันทร์ที่อยู่เหนือศีรษะเท่านั้นที่คล้อยไปทางทิศตะวันออกเล็กน้อย
ฮองเฮาทรงรู้หรือไม่ว่า ตอนนั้นกระหม่อมแทบอยากจะติดปีกมุ่งหน้าไปที่เขาอินซัน ความทุกข์ทรมานของการรอคอยนั้นเจ็บปวดยิ่งกว่าการสู้รบกันอย่างดุเดือดในสนามรบเสียอีก กระหม่อมตรวจสอบจุดพักของหน่วยลาดตระเวนซ้ำแล้วซ้ำอีก นี่ไม่ใช่ความรับผิดชอบของกระหม่อม แต่กระหม่อมก็ได้ทำเป็นเวลาสิบวันเต็มๆ จางกงจิ่นบอกว่าถ้ากระหม่อมกล้าแย่งงานของเขาอีก จะออกคำสั่งให้กำจัดกระหม่อมทิ้ง นี่เป็นเรื่องที่คนว่างงานอย่างกระหม่อมทำหน้าที่ได้ดีกว่าเขาที่เป็นแม่ทัพใหญ่ ซึ่งทำให้เขาทนไม่ได้จริงๆ กระหม่อมรู้ว่าการทำเช่นนี้ไม่ดี แต่เมื่อเสียงของปั่งจื่อดังขึ้น ข้าก็ยังคงสวมเสื้อคลุมแล้วลุกขึ้นและลาดตระเวนต่อไป
ต่อมาท่านกองทัพมีชัยกลับมา กระหม่อมดีใจจนลงไปนอนกลิ้งบนพื้นหิมะ ปั้นตุ๊กตาหิมะตัวใหญ่ที่สวมหมวกสีแดงเพื่อฉลองให้กับเหล่าทหาร ใครจะรู้คนนั้นกลับมาแล้ว เมื่อตอนที่พวกเขายกทัพไปเป็นขบวนที่ยาวถึงสามลี้แต่เมื่อกลับมานั้นสั้นลงไปถึงครึ่งหนึ่ง ข้าจึงก้าวขึ้นไปถามว่าคนอื่นๆ ไปไหนแล้ว ยังอยู่ด้านหลังไม่กลับมาใช่ไหม ข้าตั้งใจจะทำเนื้อแกะจำนวนมากไปรอต้อนรับพวกเขา
หัวหน้ามองมาที่ข้าเหมือนกับกำลังมองคนโง่เง่าอยู่ ผ่านไปเป็นเวลานานจึงพูดประโยคหนึ่งว่า ไม่มีแล้ว พี่น้องของพวกเราอยู่ที่นี่หมดแล้ว พวกที่ไม่ได้กลับมาก็ไม่สามารถกลับมาได้แล้ว กระหม่อมนั่งร้องไห้คร่ำครวญอยู่บนพื้นหิมะ อารมณ์ความดีใจเมื่อครู่ก็หายไปในพริบตา พวกเราชนะแล้วแต่มีผู้คนเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก ในตอนนั้นข้าแทบจะอดใจไม่ไหวที่จะกลืนข่านเจี๋ยลี่ทั้งเป็น
นักพรตซุนเตะข้าอยู่หลายครั้งห้ามไม่ให้ข้าร้องไห้ ให้ข้าเก็บน้ำตาที่ไร้ค่าเอาไว้ ทหารที่กลับมายังต้องการให้พวกเรารักษาอาการบาดเจ็บ
ฮองเฮาคงทรงคิดไม่ถึงกระมัง สิ่งแรกที่เหล่าทหารทำเมื่อพวกเขากลับมาถึงค่ายไม่ใช่การเฉลิมฉลอง แต่นอนกรนอยู่ในกระโจมที่อบอุ่น กระหม่อมหยิบใบเลื่อยที่แหลมคม ตรวจดูร่างกายของพวกเขาหากพบเห็นบริเวณบาดแผลที่เกิดจากการแช่แข็งก็จะใช้ใบเลื่อยตัดทิ้ง สิ่งที่น่าขำก็คือขณะที่ข้าตัดนิ้วมือนิ้วเท้าพวกเขายังคงนอนหลับอยู่”
เมื่อพูดถึงตรงนี้อวิ๋นเยี่ยก็กลืนน้ำลายพูดต่อไปไม่ได้อีก ก็น้ำตาร่วงเผาะๆ จั่งซุนเองก็น้ำตาไหลริน ขันทีและนางกำนัลข้างกายก็ร้องไห้กระซิก กระแอมเสียงแล้วอวิ๋นเยี่ยก็พูดต่อว่า “ข้าเดินเข้าไปทีละกระโจมๆ รู้สึกเหมือนกับตัวเองเป็นคนขายเนื้อ ไม่ได้มาเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บให้พวกเขา แต่มาตัดเนื้อจากร่างกายพวกเขา หน้าที่นี้ ข้าทำอยู่หนึ่งวันหนึ่งคืน นักพรตซุนเองก็ทำเช่นเดียวกันหนึ่งวันหนึ่งคืน ทหารเสริมหนึ่งร้อยกว่าคนก็ทำหนึ่งวันหนึ่งคืน ท่านผู้บัญชาการใหญ่หลี่จิ้งก็ถูกกระหม่อมตัดก้อนเนื้อไปชิ้นใหญ่จนแทบจะเห็นกระดูกบนข้อเท้าของเขา”
พูดจบแล้ว ทำไมไม่เห็นปฏิกิริยาใดๆ เมื่อมองอีกครั้งก็เห็นพวกจั่งซุนกำลังนั่งร้องไห้คร่ำครวญ จั่งซุนนั้นนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่บนเก้าอี้ที่ขันทียกมาให้
การสะเทือนใจมีผลกระทบอย่างมากต่อสุขภาพร่างกายและสุขภาพจิต อวิ๋นเยี่ยจึงหย่อนบั้นท้ายนั่งลงบนพื้นวาดวงกลมรอให้จั่งซุนตื่นขึ้นจากความโศกเศร้า ผู้ที่อยู่ในวังหลังก็ควรรู้ถึงความโหดร้ายของสนามรบเป็นอย่างไร เพื่อที่จะได้ไม่รู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้ยินว่าจะทำสงคราม
“ผู้ที่กินอาหารรสจืดย่อมจับสัมผัสรสชาติที่แปลกปลอมได้ ผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองที่เจริญย่อมมีโอกาสไปเที่ยวชื่นชมทัศนียภาพที่สวยงาม ผู้ที่อดทนต่อความทรมานได้ย่อมสามารถสร้างชื่อเสียงและผลงานได้ ทหารเหล่านี้ฝ่าคมหอกคมดาบ ฟันฝ่าท่ามกลางหิมะอันหนาวเหน็บ ราชสำนักจะไม่เฉยเมยต่อพวกเขาอย่างแน่นอน มีความชอบก็มอบรางวัล มีความผิดก็ต้องรับโทษ นี่ก็คือกฎแห่งต้าถัง”
จั่งซุนถึงกับเลียนแบบหลี่ซื่อหมิน เอามือไพล่หลังเดินวกวนไปมา ยื่นท้องที่ตั้งครรภ์สี่ห้าเดือน แต่ก็ดูมีเงาของหลี่ซื่อหมินอยู่บางส่วนด้วยเช่นกัน
“เหล่าทหารมีความดีความชอบในการชนะศึก แน่นอนว่าต้องรู้สึกซาบซึ้งดีใจที่ได้มีโอกาสรับใช้ชาติ กระหม่อมเองก็มีผลงานเล็กๆ น้อยๆ ไม่ทราบว่าจะได้รางวัลอะไรบ้าง” อวิ๋นเยี่ยกะพริบตาปริบๆ มองหน้าจั่งซุน สองสามีภรรยาคู่นี้ลำเอียงต่ออวิ๋นเยี่ยเป็นอย่างมาก คนอื่นสร้างผลงานเพียงเล็กน้อยเท่ารูเข็ม พวกเขาไม่เคยเสียดายที่จะให้รางวัลเลย แต่ถ้าอวิ๋นเยี่ยสร้างผลงานก็มักจะเบ้ปากใส่เพียงชั่วครู่ก็ลืมไปจนหมดสิ้น ต้องถามให้ชัดเจน ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถเลื่อนฐานันดรศักดิ์ได้แล้ว ให้เงินรางวัลสักเล็กน้อยก็ยังดี หลี่หยวนติดตามทวงหนี้ไปถึงที่สนามรบแล้ว ตอนนี้รอการชำระหนี้อยู่นะ
เป็นจริงดังคาด จั่งซุนหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาและเช็ดหางตาเบาๆ มองอวิ๋นเยี่ยที่นั่งอยู่บนพื้นอย่างผู้ที่อยู่เหนือกว่าจากบนลงสู่ล่าง ดวงตาที่แดงก่ำเริ่มเปล่งความเกลียดชังและพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “หากมีผลงานแน่นอนว่าต้องมีการตกรางวัล แต่เจ้าต้องอธิบายเรื่องดวงจันทร์ให้เราฟังก่อน”
“เรื่องดวงจันทร์อะไรกันพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่เข้าใจ!” ด้วยคำพูดเพียงประโยคเดียวทำให้อวิ๋นเยี่ยอึ้งไป
“แกล้งโง่ใช่ไหม เราถามเจ้า ผู้บัญชาการใหญ่หลี่จิ้งออกเดินทางไปแนวหน้าเมื่อต้นเดือน ในเวลานั้นมีดวงจันทร์ที่ส่องสว่างอยู่บนท้องฟ้าที่ไหนกัน การลอบจู่โจมแทนที่จะเลือกวันที่มีลมแรงจันทร์หม่นเพื่อลงมือกลับไปเลือกวันที่มีจันทร์เต็มดวงเพื่อลงมือแทน เป็นเพราะหลี่จิ้งโง่เขลาหรือว่าเราหลอกง่ายกัน ในหนังสือรายงานทางทหารเขียนไว้ว่า “วันที่สอง” เจ้าคิดว่าเราไม่เคยอ่านรายงานทางทหารอย่างนั้นหรือ
“ขอฮองเฮาทรงโปรดวินิจฉัยด้วย กระหม่อมเพียงเพราะต้องการสร้างบรรยากาศให้โดดเด่นจึงใช้สำนวนการพูดเล็กๆ น้อยๆ เพื่อแสดงถึงความเป็นห่วงเป็นใยของตนเองที่มีต่อประเทศชาติและชาวประชาเท่านั้น ขอฮองเฮาอย่าได้ทรงถือสาหาความกระหม่อมเลย เช่นนั้นกระหม่อมขอเปลี่ยนเป็นท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว เป็นเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ”
หากลืมเรื่องก่อนหน้าไป นี่เป็นตัวละครระดับนางมารร้ายเลยนะ ร้องไห้ฟูมฟายจะเป็นจะตายยังมีกะจิตกะใจมานั่งจับผิดทุกตัวอักษรทุกคำพูดอีก จบกันคราวนี้ไปทุ่งหญ้าเสียเปล่าเลย
“เจ้าก็ร่ำรวยมั่งคั่งอยู่ที่ทุ่งหญ้าอยู่แล้ว ได้ยินมาว่าทรัพย์สินเงินทองจำนวนมากร่วงหล่นลงมาจากรถม้า ทหารเสริมที่ติดตามไปด้วยแต่ละคนก็แบกเงินหลายสิบก้วน เจ้ายังมีหน้ามาขอรางวัลอีกหรือ เหล่าทหารอยู่แนวหน้าแลกชีวิต พ่อค้าหน้าเลือดอย่างเจ้าร่ำรวยอยู่ด้านหลัง ทั้งยังใช้เงินไม่กี่เหวินซื้อของรางวัลที่ชนะศึกของเหล่าทหารแล้วกักตุนเอาไว้ทั้งหมด นำมาถึงฉางอันมาแลกเปลี่ยนเป็นผลกำไรหลายสิบหรือหลายร้อยเท่า นอกจากนี้เจ้ายังแขวนป้ายบอกว่าจะส่งเงินของทหารกลับบ้านให้ด้วย หาผลกำไรจากพวกเขาเจ้ายังมีมโนธรรมหรือไม่”
อวิ๋นเยี่ยมั่นใจได้ว่าฮองเฮาแห่งต้าถังกำลังโรคตาแดงกำเริบ เห็นหรือไม่ว่าดวงตาสองข้างของนางเป็นสีแดงก่ำ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการร้องไห้เมื่อครู่อย่างแน่นอน แต่เป็นเพราะถูกเงินบีบคั้น ไม่จำเป็นต้องพูดท้องพระคลังของต้าถังในตอนนี้คงทำให้หนูอดตายได้ เพื่อช่วยเหลือหายนะ เพื่อการทำสงคราม ทั้งหลี่ซื่อหมินก็คิดจะสร้างพระราชวังอีก ในสถานการณ์เช่นนี้ ถ้าทำการค้าได้เงินทองแล้วฮองเฮาผู้ยิ่งใหญ่นางนี้ถูกลืม หากมีการทำการค้าหาเงินได้อีกครั้งนางจะต้องทำให้คุณชดใช้จนไม่เหลือแม้แต่กางเกงจะให้ใส่เลย แม้ว่าจะไม่ใส่ใจตระกูลอวิ๋น แต่เหอเซ่าก็ถือเป็นคนดีคนหนึ่ง ไม่ควรปล่อยให้เขาต้องสิ้นเนื้อประดาตัวแล้วมาเกาะตระกูลอวิ๋นเพื่อเอาชีวิตรอด
เขาหยิบกระดาษรายงานออกมาจากอกเสื้อ สองมือส่งมอบให้จั่งซุน หักจากส่วนของอวิ๋นเยี่ยออกมาสองส่วน เดิมทีเหอเซ่าจะนำส่วนของตัวเองบีบลดให้เหลือสองส่วน เพื่อให้ราชนิกุลรับไปห้าส่วน แต่ถูกอวิ๋นเยี่ยสั่งห้ามอย่างเด็ดขาด สิทธิ์ขาดในการตัดสินใจจะต้องอยู่ฝั่งตระกูลอวิ๋นและเหอสองตระกูล หากสิทธิ์ขาดอยู่ในมือราชนิกุล ผู้ดูแลที่ทำไม่เอาไหนจะต้องทำให้การค้าพังเละเทะไม่เป็นท่า
“ทำไมชายคนที่ชื่อหวงสือจึงถือครองเพียงสี่ส่วน ทำไมพวกเจ้าสองคนถึงถือครองหกส่วน มันไม่ยุติธรรม” สำหรับคนที่ไม่ยอมละทิ้งผลกำไรเล็กๆ น้อยๆ แม้แต่แดงเดียวแล้ว ตัวเลขตัวใหญ่ๆ ที่อยู่บนเอกสารทำให้นางเวียนศีรษะ ซึ่งหวงสือก็คือเชื้อพระวงศ์ ขณะที่เอกสารถูกร่างขึ้นมันก็ได้ถูกเขียนไว้เช่นนี้ แม้ว่าจะไม่ใช่ชื่อจริงจั่งซุนก็ไม่กังวลว่าจะมีคนแอบยักยอกเงินของนาง เพียงแต่ไม่พอใจการแบ่งสัดส่วนเท่านั้น
“ฮองเฮา การแบ่งสัดส่วนดังกล่าวก็เพื่อให้แน่ใจว่าบุคคลที่ชื่อหวงสือนั้นไม่ได้รับผลกำไรอยู่เพียงคนเดียว ค่าใช้จ่ายของเขานั้นเยอะมากสามารถแบ่งผลกำไรให้มากขึ้นอีกหน่อยซึ่งก็สมควรแล้ว แต่บุคคลนี้ชื่อหวงสือนี้ต้องไม่เข้ามาก้าวก่ายในการค้านี้ ไม่อย่างนั้นทุกคนจะไม่มีเงินกำไรกันหมด”
“เจ้าแน่ใจหรือว่าหากหวงสือคนนี้ไม่ได้เข้าไปก้าวก่ายในการค้าแล้ว การค้าของพวกเจ้าจะดีขึ้นกว่าเดิม แต่ไม่ใช่เลวร้ายเป็นที่สุด” จั่งซุนงุนงงเล็กน้อย
“เดิมทีกระหม่อมมีความมั่นใจในตัวหวงสือเป็นอย่างมาก ต่อมาได้ให้คนมีศึกษาการดูแลการค้าหลายอย่างของหวงสือ จึงคิดว่าคนที่รับผิดชอบในการดูแลการค้าให้กับหวงสือ หากอยู่ในตระกูลอวิ๋นจะต้องถูกสับเป็นเนื้อบะช่อนำไปเลี้ยงสุนัข ที่บ้านของหวงสือมีเหล่าผู้ดูแลที่ไม่เอาไหนเช่นนี้ แต่เขากลับไม่ต้องไปขอทาน สำหรับคุณงามความชอบของตระกูลเขาที่มีรากฐานแน่นหนาเช่นนี้ กระหม่อมก็รู้สึกนับถือจากใจ”
จั่งซุนเดือดดาลจนทรวงอกขยับขึ้นๆ ลงๆ ใบหน้าแดงก่ำ ยกมือข้างหนึ่งปัดถาดใส่เนยแข็งที่นางกำนัลเพิ่งยกเข้ามาจนคว่ำ ทำให้ขันทีและนางกำนัลที่ยืนอยู่ไกลๆ ตัวสั่นสะท้าน ไม่รู้ว่าทำไมฮองเฮาผู้ซึ่งสุขุมเยือกเย็นมาโดยตลอดตอนนี้จึงได้แสดงอารมณ์โกรธรุนแรงถึงเพียงนี้
“เจ้าคิดว่าผู้ดูแลเหล่านั้นใช้การอะไรไม่ได้เลย นอกจากมีดีแต่ชื่อเช่นนั้นหรือ” จั่งซุนเสียงแข็ง ถามอวิ๋นเยี่ย
“ฮองเฮา ท่านสามารถหาร้านค้าสักร้านแล้วเปลี่ยนผู้ดูแลเป็นสุนัข แล้วให้มันเฝ้าร้านอย่างสงบเสงี่ยม ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็ให้คนงานไปทำ หลังจากนั้นสองเดือน ท่านจะทรงพบว่าสุนัขตัวนี้ทำเงินให้ท่านได้ไม่น้อย”
——
[1] ปังจื่อ หรือ ปังปั่น เป็นเครื่องดนตรีโบราณชนิดหนึ่ง ทำด้วยไม้กลวงเป็นฐานและใช้ด้ามเคาะ
[2] เตียวโต้ว เป็นอุปกรณ์อย่างหนึ่งที่ใช้ในกองทัพ มีลักษณะเหมือนกระบวย มีด้ามจับยาว กลางวันใช้ในการหุงข้าว กลางคืนใช้ในการเคาะแจ้งเตือนขณะออกลาดตระเวน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น