เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วน 5 ตอน 12-15

ส่วนที่ 5

 

ตอนที่ 12 ภัยที่มาเยือนโดยไม่รู้ตัว

 

วั่งไฉยิ่งวิ่งยิ่งคึกคักมากขึ้น บางครั้งก็ส่งเสียงร้องหลายครั้ง เสี่ยวยาตื่นเต้นจนหน้าแดงก่ำ มือเล็กๆ จับบังเ**ยนไว้ร้อง “ย่าๆ” เร่งวั่งไฉไม่ยอมหยุด แต่วั่งไฉกลับไม่อยากวิ่งเร็วนัก เพราะวิ่งอย่างนั้นเหนื่อยเกินไป ดังนั้นจึงค่อยๆ ก้าวเล็กๆ เดินเล่นอยู่บนทางระหว่างเขาอย่างสบายใจ ภูเขาแห่งฤดูใบไม้ผลิในช่วงเดือนสามเต็มไปด้วยความสดใหม่เขียวขจี อวิ๋นเยี่ยได้เห็นหญ้าแห้งสีเหลืองบนทุ่งหญ้ามามากพอแล้วในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา ตอนนี้ได้อยู่ในโลกสีเขียวทำให้ทุกเซลล์ในร่างกายของเขาเริ่มส่งเสียงโห่ร้อง


 


 


รถม้าของอวิ๋นเยี่ยผ่านสำนักศึกษาแต่กลับไม่หยุดแวะ เขายังชื่นชมกับทิวทัศน์ฤดูใบไม้ผลิของเขาอวี้ซันไม่เพียงพอ ตาแก่เหล่านั้นจะเทียบกับดอกไม้และนกที่สวยงามในฤดูใบไม้ผลิได้อย่างไร ชื่นชมจนพอแล้วค่อยกลับไปก็ได้ หลังจากสามวันนี้แล้วอยากจะหาเวลาพักผ่อนก็คงไม่ได้แล้ว ในเมื่อวันนี้ได้ออกมาแล้วก็ต้องเที่ยวให้สะใจและก็ชดเชยความยากลำบากในฤดูหนาวให้ซินเย่ว์ นางเกือบจะใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านตระกูลอวิ๋นเกือบตลอดฤดูหนาวที่ผ่านมา ท่านย่ามอบหมายเรื่องใหญ่น้อยในบ้านให้นางดูแลจนหมดสิ้น ตอนนี้คนในครอบครัวเมื่อพบซินเย่ว์ต่างก็เรียกฮูหยินน้อยแล้ว เกรงว่าพูดเพียงแค่ประโยคเดียวยังจะสั่งการได้ดีกว่าอวิ๋นเยี่ยพูดเสียอีก


 


 


ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ทั้งสองนั่งกอดกัน ที่นี่ไม่มีคนนอก เสี่ยวยากำลังยุ่งอยู่กับการดึงสายบังเ**ยนเพื่อเร่งม้า แม้ว่าวั่งไฉจะไม่ฟังนาง แต่นางก็ยังกระตือรือร้นที่จะเร่งมัน สายตาประสานกับซินเย่ว์แววตาทั้งคู่ต่างก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม


 


 


วั่งไฉเหนื่อยแล้ว ร่างอ้วนๆ ของมันชุ่มไปด้วยเหงื่อ หยุดหายใจหอบอยู่ที่ริมแม่น้ำ กลัวว่ามันจะไม่สบายจึงปลดวั่งไฉออกจากรถม้า อวิ๋นเยี่ยหยิบผ้าฝ้ายบนรถม้ามาเช็ดเหงื่อให้มัน ซินเย่ว์ก็หาผ้าชิ้นหนึ่งมาช่วยเช็ด


 


 


“เจ้าดีกับวั่งไฉจังเลย ดีกว่ากับข้าเสียอีก” ซินเย่ว์เบ้ปากรู้สึกอิจฉาวั่งไฉเล็กน้อย


 


 


“วั่งไฉเป็นเพื่อนคนแรกของข้าในโลกใบนี้ มันยังเคยบาดเจ็บเพื่อข้าด้วย นี่คือสิ่งที่ข้าติดค้างมัน ตั้งแต่ในทุ่งร้างข้าบอกวังไฉว่าต่อไปจะให้มันได้กินของเอร็ดอร่อย จะผิดคำพูดได้อย่างไรกัน” แล้วก็เช็ดผมที่ตกลงมา ส่งยิ้มให้ซินเย่ว์ข้ามหัววั่งไฉไป


 


 


“เจ้าเป็นคนที่รักอย่างยั่งยืน ข้ารู้มานานแล้ว ใครก็ตามที่มีบุญคุณกับเจ้าเจ้าก็จะตอบแทนนับพันเท่า ใครก็ตามที่ดีกับเจ้าเจ้าก็จะดีต่อเขา ท่านปู่บอกว่าในสำนักศึกษามีชายหนุ่มผู้มากความสามารถต้องการสู่ขอข้า ข้าก็คิดว่าจะเป็นใครกัน ไม่ว่าจะเดาอย่างไร ก็ไม่คิดว่าจะเป็นเจ้า แม้ว่าเจ้าเองจะเป็นชายหนุ่ม แต่ข้าไม่เคยเห็นเจ้าเป็นคนประเภทเดียวกันกับหนุ่มสาวในสำนักศึกษาเลย”


 


 


“หรือเจ้าคิดว่าข้าเป็นชายชราหรือ” อวิ๋นเยี่ยมองสองมือที่ยังอ่อนวัยของเขา มองไม่ออกว่าเขาดูมีอายุแล้ว


 


 


ซินเย่ว์ไม่ตอบและก้มหน้าก้มตาพูดต่อไป “เช้าวันนั้น ท่านปู่บอกว่าอยากกินผักป่า ให้ข้าไปเก็บกลับมาให้หน่อย เหตุผลนี้ฟังดูไม่ค่อยมีเหตุผลเท่าไร ท่านปู่แต่ไหนแต่ไรมาไม่ชอบกินผักป่า หลายปีก่อนก็กินจนกลัวแล้ว จู่ๆ ก็ให้ข้าไปขุดผักป่า ข้ารู้ว่ามีจะต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ สุดท้ายก็ได้พบเจ้า”


 


 


อวิ๋นเยี่ยไม่ค่อยพูดคุยความในใจกับผู้หญิง แต่ประสบการณ์ชีวิตในโลกปัจจุบันบอกเขาว่าตอนนี้การหุบปากและฟังนางพูดน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด


 


 


“ในวันนั้นเจ้าไม่ได้สวมชุดลำลองที่หรูหรา เพียงแค่สวมชุดของสำนักศึกษายืนมองมาข้าอยู่ตรงนั้น มองจนข้าจิตใจว้าวุ่น หากไม่เป็นเพราะมีเสี่ยวยาอยู่ด้วย ข้าก็อยากจะวิ่งหนี” ซินเย่ว์ถูจมูก นางไม่อายที่จะบอกให้อวิ๋นเยี่ยฟัง


 


 


“ข้าไม่ใช่ปีศาจเสียหน่อย พูดกับเจ้าอย่างสุภาพ เจ้าจะหนีอะไรของเจ้า” คำพูดนี้ทำให้อวิ๋นเยี่ยรู้สึกเจ็บแปลบ แสดงออกด้วยท่าทีที่ดีที่สุดแล้ว แต่เมื่อนางเห็นแล้วกลับอยากวิ่งหนี นี่เป็นการกระทบกระเทือนความรู้สึกที่รุนแรงต่ออวิ๋นเยี่ยจริงๆ


 


 


“ใครใช้ให้เจ้ายิ้มแปลกๆ ให้ข้ากัน เกือบจะคิดว่าเจ้าเป็นพวกบ้ากามอยู่แล้ว”


 


 


“อย่ากล่าวหาว่าคนอื่นเป็นพวกบ้ากามสิ ข้าเป็นชายน่าเกลียดที่รักแม่ภรรยาและภรรยาที่น่าเกลียดให้กำเนิดลูกสี่ห้าคนอย่างซ่งอวี้ จำเป็นต้องเขียนบทความด่าเขาด้วยหรือ ทำร้ายเขามาเป็นเวลาพันกว่าปีแล้ว ชื่อเสียงที่ฉาวโฉ่ไม่ว่าอย่างไรก็ล้างไม่ออก ข้าคิดว่าพวกเจ้าคงอิจฉาที่ซ่งอวี้หน้าตาดี ดังนั้นจึงช่วยคนคนนั้นพูดเรื่องที่เสียหายว่าเขาเป็นพวกบ้ากาม”


 


 


บทกวี “เติงถูจื่อเฮ่าเซ่อฟู่” ทำลายผู้ชายดีๆ ที่รักครอบครัวอย่างแท้จริงให้กลายเป็นคนบ้ากามอย่างแท้จริง นี่คือความชั่วร้ายที่ซ่งอวี้ก่อขึ้น


 


 


ซินเย่ว์ที่ดูฉลาดแท้จริงแล้วเป็นพวกพูดไม่เก่ง ขอเพียงพูดไม่ชนะนางก็จะลงไม้ลงมือ เสี่ยวยาวิ่งไปที่แม่น้ำดูหวงสู่จับปลา ซินเย่ว์ไม่ต้องกังวลอะไร แน่นอนว่าจึงพุ่งเข้าหาและกระหน่ำหยิกอวิ๋นเยี่ยไปทั่วตัว


 


 


สุดท้ายทรวงอกของนางก็ถูกคุกคามอีกครั้ง อวิ๋นเยี่ยมองรอยแดงที่ด้านหลังฝ่ามือแล้วยิ้มอย่างลามก ผู้หญิงผู้ชายลงไม้ลงมือกันก็ต้องมีการได้เปรียบเสียเปรียบกันบ้างไม่ใช่หรือ


 


 


ซินเย่ว์ที่หน้าแดงระเรื่อ ไม่สามารถสู้กับวิชาสุดยอดของอวิ๋นเยี่ยที่สืบทอดมาจากยุคปัจจุบันได้ จึงระบายความโกรธไปที่วั่งไฉ บิดหูของวั่งไฉไม่ยอมปล่อย เมื่อเห็นว่าหูยาวๆ ของมันจะกลายเป็นสามท่อนแล้ว แต่วั่งไฉก็ไม่ต่อต้านใดๆ กลั่นแกล้งพี่ข้าได้อย่างไร อวิ๋นเยี่ยจึงพุ่งเข้าไปข้างหน้าอุ้มซินเย่ว์ขึ้นมาพาดบ่าแล้วตีก้นนางหนึ่งที นางร้องออกมาด้วยความตกใจ รีบเอามือปิดปาก


 


 


“แน่จริง เจ้าก็ตะโกนไป วันนี้ที่ข้าลงเขามาก็เพื่อชิงตัวสาวงามเช่นเจ้า หากชิงตัวไม่ได้แปดเก้าคนจะไม่กลับค่ายโดยเด็ดขาด” อวิ๋นเยี่ยโหยหาความรู้สึกที่มือสัมผัสเมื่อครู่ อยากจะหาโอกาสอีกสักครั้ง


 


 


ผู้หญิงราชวงศ์ถังนั้นดีจริงๆ เพียงฝ่ามือเดียวก็ทำให้ซินเย่ว์ร่างอ่อนระทวย ส่งเสียงอยู่ในลำคอไม่ขยับตัว ไม่พูดอะไร พาดร่างอย่างอ่อนระทวยอยู่บนบ่าของอวิ๋นเยี่ย


 


 


“โอ้ พี่ปู๋ชี่ วันนี้ฤดูใบไม้ผลิอากาศอบอุ่นน้องชายออกมาเดินเล่น ไม่คิดว่าจะได้พบกับพี่ปู๋ชี่ที่นี่กำลังเล่นกับหญิงงามที่ริมน้ำ ช่างน่าอิจฉาเสียจริง” เสียงของคนแตกเนื้อหนุ่มดังมาจากด้านข้าง


 


 


อวิ๋นเยี่ยยังไม่ทันที่จะได้ตั้งตัว ซินเย่ว์ก็กระโดดลงจากบ่าของอวิ๋นเยี่ย เอามือปิดหน้าวิ่งหนีไปอย่างรีบเร่ง เห็นทีว่าหลายวันนี้นางจะไม่มีหน้าไปพบใครแล้ว อวิ๋นเยี่ยโกรธจัด ใครที่ไม่รู้จักดูตาม้าตาเรือมาขัดจังหวะขณะที่ตนกำลังหยอกล้อกับภรรยาอย่างสนุกสนาน


 


 


เผยเหล่าซัน เจ้าคนเลวนี้ถึงกับสวมชุดสีฟ้าของสำนักศึกษายืนเสแสร้งแกล้งทำความเคารพอยู่ตรงนั้น เมื่อเห็นเขาอวิ๋นเยี่ยก็ยิ่งโกรธมากกว่าเดิม ขณะที่กลับเมืองหลวงเมื่อปีที่แล้ว ก็เป็นเขาที่วางแผนกับตนเองว่าจะไปขโมยพระพุทธรูปสององค์ด้วยกันที่เขาไม่จี สุดท้ายถูกไต้ซือเฒ่าอิ้นถานจับได้ เจ้าสารเลวนี่ก็วางตัวให้พ้นผิดอย่างสะอาดหมดจด เป็นพวกไม้หลักปักขี้เลนที่ได้มาตรฐานจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกันที่นี่ แค้นเก่ากับแผลใหม่มีหรือยังจะมีเหตุผลให้ละเว้น


 


 


“เผยเหล่าซัน เจ้ามาที่สำนักศึกษาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ข้าในฐานะกรรมการของสำนักศึกษาอวี้ซัน เหตุใดถึงไม่รู้” อวิ๋นเยี่ยถามอย่างเป็นทางการ


 


 


“พี่น้องข้าดีที่ไหนกัน นี่ไม่ใช่เพราะว่าเพิ่งจะกลับมาจากหล่งโย่ว อยู่บ้านไม่ถึงหนึ่งวันก็ถูกท่านปู่ไล่ไปเรียนที่สำนักศึกษาแล้ว นี่ไม่ใช่เพราะว่าได้เห็นพี่อวิ๋นพาสาวงามออกมาท่องเที่ยว น้องชายจึงต้องมาขอความรู้สักหน่อย พี่ชายช่างฝีมือเก่งกาจจริงๆ น้องขอชื่นชม” การพูดนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่การเล่นหูเล่นตานี่ชวนให้น่ารังเกียจยิ่งนัก


 


 


“กุมศีรษะ นั่งยองๆ” อวิ๋นเยี่ยสั่งเผยเหล่าซัน


 


 


บารมีของอาจารย์นั้นไม่ได้มีไว้ล้อเล่น ถึงแม้ว่าเผยเหล่าซันจะไม่เข้าใจว่าทำไมต้องถึงทำอย่างนั้น แต่ก็ยังเอามือกุมศีรษะและนั่งยองๆ ลงไป อวิ๋นเยี่ยกระโดดขึ้นมาระดมกำปั้น เตะ ต่อย ซัดฝ่ามือ ขึ้นศอก ขึ้นเข่าทุกส่วนที่ใช้ได้ล้วนใช้อย่างไม่ยั้ง ต่อยอยู่เป็นนานจนมือและเท้าอ่อนแรง พิงวั่งไฉหายใจหอบไม่หยุด


 


 


เผยเหล่าซันยืนขึ้นอย่างงุนงง เจ้าสารเลวนี่นอกจากผมจะยุ่งเหยิงเพียงเล็กน้อยแล้วกลับไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย อวิ๋นเยี่ยมองมือของตัวเองเต็มไปด้วยเลือด เข่า ข้อศอกและเท้าเจ็บอย่างรุนแรง คาดว่าต้องเขียวช้ำแล้วเป็นแน่ จึงมองชายหนุ่มขึ้นลงแล้วพุ่งเข้าไปปลดเสื้อนอกของเขาออก จริงดังคาดเจ้าสารเลวนี้สวมเกราะอ่อนไว้ด้านใน ซึ่งด้านบนเต็มไปด้วยตะปูทองแดงถี่ยิบ


 


 


อวิ๋นเยี่ยทรุดตัวยวบอยู่บนชายหาด ต่อยคนแล้วนอกจากจะไม่ได้เปรียบ แต่เช่นนี้มันน่าอับอายกว่าถูกต่อยเสียอีก วันนี้ออกจากบ้านโดยไม่ได้ดูฤกษ์ดูยามหรือ ทำไมถึงต้องเจอพวกวิปริตที่ออกมาเที่ยวชมนกชมไม้แล้วยังต้องสวมเกราะอ่อนอีก อวิ๋นเยี่ยไม่ได้อยากนั่งลง แต่เท้าของเขานั้นปวดอย่างมาก


 


 


“นี่มันเพราะอะไรกันหรือพี่อวิ๋น น้องทำอะไรให้พี่อวิ๋นหงุดหงิด เมื่อเข้ามาก็กระหน่ำทุบตี หรือจะบอกว่านี่คือการวางท่าข่มกันของสำนักศึกษา


 


 


“เจ้าบอกข้าก่อนว่าทำไมเจ้ามายังสำนักศึกษาแล้วยังต้องใส่เกราะอ่อนด้วย”


 


 


“เมื่อคืนนี้น้องกลับเมืองหลวงเพื่อพบปะกับสหายที่หอเหมียนชุนโหลว เห็นว่านางรำข้างกายข้างดงามนักก็มีพวกไม่ลืมหูลืมตามายั่วยุ ด้วยนิสัยของข้าพี่ชายก็รู้ดีว่าจะทนได้อย่างไรกัน ดังนั้นข้ากับสหายจึงตีขาเจ้าหมอนั่นจนหัก คิดไม่ถึงว่าชายคนนี้จะมีเส้นสายอยู่ไม่เบา เป็นคุณชายเล็กของตระกูลโต้ว เมื่อบิดามารดาของเขามาเอาเรื่องถึงหน้าบ้าน ด้วยความโกรธจัดท่านปู่จึงสั่งให้ข้ามาเรียนที่สำนักศึกษา ไม่ว่าจะมีปัญหาหรือไม่ก็ห้ามกลับบ้านเด็ดขาด” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เผยเหล่าซันก็มีสีหน้าภาคภูมิใจในตัวเอง


 


 


“เป็นไปไม่ได้ ถ้าหากตีจนขาหัก จะทำให้กั๋วกงท่านหนึ่งถึงกับไปเอาเรื่องกั๋วกงอีกท่านหนึ่งเลยหรือ” ยังมีตื้นลึกหนาบาง ต้องถามให้รู้เรื่อง


 


 


“ได้ยินมาว่าเมื่อพี่ชายมาถึงฉางอัน ก็ได้ทำให้ชายคนหนึ่งที่ไม่ลืมหูลืมตาต้องพิการ น้องชายยังจำได้ดี เมื่อมีแบบอย่างก็ต้องเรียนรู้ที่จะทำตามอย่างแน่นอน เพียงแต่น้องชายนั้นใจไม่ถึง ไม่กล้าลงมือให้ถึงตาย เพียงแค่ใช้โซ่ลูกตุ้มเหวี่ยงเข้าที่จุดสำคัญไปสองครั้ง”


 


 


อวิ๋นเยี่ยนั้นกำลังมือสั่น มีใครไปเที่ยวดื่มเหล้าแล้วยังพกโซ่แขวนลูกตุ้มไปด้วย ต่อมลูกหลานถูกลูกตุ้มทุบไปสองครั้งยังจะเหลือชิ้นดีอีกหรือ บนลูกตุ้มนั้นเต็มไปด้วยหนามนะ ตระกูลโต้วเป็นใครกัน ฮองเฮาของหลี่หยวนก็แซ่โต้ว ตระกูลใหญ่แห่งเขตชิงเหอมณฑลเป้ยโจว มีชื่อเสียงบารมีอันยิ่งใหญ่ในเหอหนานและซานตง เพียงแค่หอเซ่นไหว้ประจำตระกูลก็มีถึงสองแห่งแล้ว หนึ่งคือซื่อเหอถังและอีกหนึ่งคือเฉิงเอินถัง เชื้อสายบรรพบุรุษสามารถสืบย้อนไปถึงราชวงศ์เซี่ยได้ ซึ่งก็คือราชวงศ์แรกของประเทศจีน นี่คือตระกูลยักษ์ใหญ่ตัวจริงซึ่งตระกูลหลูในเขตชิงเหอนั้นห่างชั้นจนเทียบไม่ติด


 


 


“เจ้าบ้าไปแล้วหรือ ทำไมถึงได้ลงมือหนักเช่นนี้ ตระกูลเผยของเจ้ากล้าไปหาเรื่องเสือตัวนี้ได้หรือ แม้ว่าปู่ของเจ้าจะสนิทชิดเชื้อกับไท่ซั่งหวง ก็ไม่สามารถถือหางเรื่องที่เจ้าทำลงไปได้” อย่างไรเสียเขาก็เป็นพี่น้องที่ร่วมหัวจมท้ายด้วยกันมา ตอนนี้เห็นเขาเกือบจะหมดหนทางหนี ความโกรธก็หายไปทันทีเหลือเพียงความวิตกกังวล


 


 


“แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร อย่างร้ายแรงที่สุดก็คือข้าชดใช้ให้ด้วยชีวิตก็เท่านั้นเอง ยังจะทำอะไรได้อีก ถ้าพี่ชายรู้สึกว่าเรื่องนี้แบกรับไว้ไม่ไหว เช่นนั้นน้องจะกลับเมืองหลวงและปล่อยให้ตระกูลโต้วตัดสินโทษตามแต่เขาต้องการ” ดูเหมือนว่าเผยเหล่าซันจะยังไม่เข้าใจถึงความร้ายแรงของเรื่องเรื่องนี้ มันไม่ใช่ว่าการชดใช้ด้วยหนึ่งชีวิตแล้วก็จะสามารถแก้ไขปัญหาได้


 


 


“ท่านปู่เจ้าพูดว่าอย่างไร” อวิ๋นเยี่ยจำเป็นต้องเข้าใจความเห็นของท่านปู่เขาเผยจี้ก่อน หากแม้แต่เผยจี้ก็ไม่มีวิธีที่ดี อวิ๋นเยี่ยก็คงจะได้แต่ยอมแพ้เท่านั้น การเผชิญหน้ากันในระดับนี้มันห่างชั้นเกินไปที่ตระกูลอวิ๋นจะไปมีส่วนร่วมได้ คาดว่าหลี่ซื่อหมินเองก็ไม่มีทางออกที่จะแก้เงื่อนตายนี้ได้ คุณชายเล็กของตระกูลโต้วภายหน้าต้องแต่งงานกับองค์หญิงหลานหลิง อวิ๋นเยี่ยไม่เข้าใจเด็กกะโปโลที่ยังไม่โตเต็มวัยอายุเพียงสิบสามสิบสี่ปีจะไปเที่ยวหอโคมเขียวทำไมกัน คราวนี้แม้จะช่วยชีวิตเขาได้ชาตินี้ก็หมดวาสนากับหอโคมเขียวแล้ว


 


 


“ท่านปู่บอกว่าทุกอย่างมีท่านอยู่ ให้ข้าตั้งใจศึกษาเล่าเรียนอยู่ในสำนักศึกษาแต่โดยดี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ห้ามข้ากลับบ้านโดยเด็ดขาด มิฉะนั้นหากถูกเขาฆ่าทิ้ง ก็ตายเปล่าอยู่ดี” ในที่สุดเผยเหล่าซันก็รู้สึกความร้ายแรงของเรื่องนี้แล้ว พูดสิ่งที่ปู่ของเขาพูดให้อวิ๋นเยี่ยฟังอย่างละเอียดทุกถ้อยคำ


 


 


“เช่นนั้นก็ทำตามท่านปู่เจ้า อยู่ในสำนักศึกษาให้ดี อย่าได้ออกไปหาเรื่อง อย่าออกไปข้างนอก สิ่งเดียวที่พี่ชายทำได้ก็มีเพียงเท่านี้” 

 

 


ส่วนที่ 5

 

ตอนที่ 13 เขาวงกต

 

เรื่องของเผยอิงเผยเหล่าซันจะต้องหารือกับคนอื่นๆ ในสำนักศึกษาด้วย ทำไมเขายังไม่ได้เข้าเรียนในสำนักศึกษาก็สวมชุดเครื่องแบบแล้ว แสดงให้เห็นว่าต้องมีคนเห็นด้วยที่จะให้เขาเข้ามาเรียนในสำนักศึกษา ผู้ที่มีสิทธิ์นี้มีเพียงสามคนคือ อวิ๋นเยี่ย หลี่กังและหลิวเซี่ยน อวิ๋นเยี่ยแค่อยากจะถามว่าใครเป็นคนหาปัญหาให้กับสำนักศึกษา หลี่กังหรือหลิวเซี่ยน ขออย่าได้เป็นหลี่กังเลยเพราะเขาเป็นคนใจอ่อน ได้ยินว่ามีความสัมพันธ์อันดีกับเผยจี้อยู่ไม่น้อย หากตาเฒ่าทนคำวิงวอนร้องขอของเผยจี้ไม่ไหวจึงยอมรับเผือกร้อนหัวนี้ไว้ อวิ๋นเยี่ยก็ไปต่อไม่ถูกแล้ว


 


 


ในสำนักศึกษานั้น มีเพียงความเสมอภาคซึ่งสิ่งนี้ได้ให้ทุกคนมีฉันทามติร่วมกันตั้งแต่เริ่มก่อตั้งสถาบันแล้ว ช่วยกันคิดริเริ่มวางแผนเพื่อการพัฒนาของสำนักศึกษาไปด้วยกัน ทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่ออนาคตของสถาบันไปด้วยกัน ปัญหาของคนคนหนึ่งก็คือปัญหาของเพื่อนร่วมสถาบันทุกคน นี่คือกฎที่ร่างไว้ตั้งแต่แรกเริ่มก่อตั้ง ตอนนี้มันหยั่งรากลึกลงในจิตใจคนมานานแล้ว ไม่ว่าใครก็ตามที่รับปัญหาไว้ มันก็จะกลายเป็นปัญหาของสำนักศึกษาด้วย


 


 


ถ้าเป็นหลิวเซี่ยนรับไว้นั่นก็จะเป็นการดีมากเลย ตัวเขาเองอยู่ในสำนักศึกษาก็เป็นแค่หุ่นเชิดเท่านั้น ในหัวสมองขี้เลื่อยของเขานั้นมีเพียงแสงสว่างแห่งบารมีของฮ่องเต้ หากมีคนที่เบื้องหลังไม่ธรรมดาออกหน้าอยู่ อวิ๋นเยี่ยก็ไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับทุกๆ ปัญหา ในประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์ให้เห็นนานแล้วว่าผู้ที่ท้าทาย หลี่ซื่อหมินนั้นไม่มีจุดจบที่ดีสักคน แม้ว่าจะไม่แน่ใจ แต่อวิ๋นเยี่ยเชื่อว่าหลิวเซี่ยนนั้นมีโอกาสสูงถึงแปดส่วนที่จะทำเช่นนี้


 


 


อวิ๋นเยี่ยนำรถม้ามาสวมไว้ที่วั่งไฉอีกครั้งแล้วส่งให้หวงสู่กับเสี่ยวยา ให้เสี่ยวยาไปหาซินเย่ว์ที่ซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ไม่ยอมออกมาแล้วค่อยๆ ควบรถม้ากลับบ้าน วั่งไฉนั่นเชื่อฟังมาก ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล


 


 


แผงลอยของอิงเหนียงได้กลายเป็นร้านอาหารเล็กๆ ที่ขายผักดองและเนื้อเค็ม ด้านหน้าร้านแขวนน้ำเต้าใส่เหล้าใบใหญ่อยู่เพื่อบอกให้รู้ว่าในร้านมีเหล้าขาย อิงเหนียงที่ท้องโตคอยทักทายลูกค้าที่อยู่ในร้านไม่หยุดนิ่ง ใบหน้ากลมๆ เต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข สำหรับนางแล้ว สำนักศึกษาเสมือนหนึ่งคือสรวงสวรรค์ ไม่ขาดแคลนเรื่องอาหารการกิน ไม่ต้องถูกคนรังแก คนที่ประสบพบเจอล้วนแล้วแต่เป็นพวกเล่าเรียนเขียนอ่านมีมารยาทเรียบร้อย ชอบบรรยากาศที่เหล่านักเรียนในมือถือม้วนหนังสือ สั่งเครื่องเคียงสองอย่างและเหล้าร้อนๆ หนึ่งกา แล้วเก็บตัวอยู่ในมุมของร้านค้านั่งอย่างอิสระตามลำพัง ทุกครั้งที่มีคนเช่นนี้มาเข้าร้าน นางมักจะใส่ผักให้เต็มจาน เพียงแค่ถ้วยชาบนโต๊ะของเหล่านักเรียนว่างเปล่า นางก็จะรีบเข้ามารินเติมอย่างขยันขันแข็ง ให้เดินไปกลับสิบรอบก็ไม่รู้สึกรำคาญแม้แต่น้อย


 


 


เพียงแต่ทำให้หวงสู่ไม่พอใจอย่างมาก อยากจะสั่งสอนอิงเหนียงสักหน่อยเพื่อให้นางรู้จักรักษากริยาของหญิงออกเรือนแล้ว สุดท้ายถูกอิงเหนียงตอกกลับเพียงหนึ่งประโยคก็พูดไม่ออก เจ้าอยากจะให้เด็กในท้องได้มีกลิ่นอายของคนมีการศึกษาเพิ่มขึ้นบ้างหรือไม่


 


 


ทันทีที่ประโยคนี้จบลง หวงสู่ก็ไม่กล้าแสดงความเห็นอะไรในทันที ตอนนี้เขาค่อยๆ เข้ากับคนในสำนักศึกษาได้อย่างกลมเกลียวและค่อยๆ หลอมรวมเข้ากับกลุ่มเล็กๆ ของสำนักศึกษาได้แล้ว คนดูแลที่ดูถูกเขา ตอนนี้เมื่อเห็นเขาก็ไม่จ้องหน้าตาเขียวปัดอีกต่อไป บางครั้งเรียกเขาว่าอาจารย์หวงด้วย ทุกครั้งที่ได้ยินคนอื่นเรียกตัวเองเช่นนี้ เขาก็ยืดอกขึ้นสูงกว่าเดิมโดยไม่รู้สึกตัว สำหรับเรื่องที่เขาจะถ่ายทอดวิชาการปล้นสุสานให้ลูกนั้น แม้แต่พูดยังไม่เคยพูดถึงเลย


 


 


เหล่าอาจารย์ในสำนักศึกษาต่างก็มีรสนิยมของผู้มีพื้นการศึกษาดี อย่างเช่นชอบการคัดลอกอักษรจากแผ่นหินจารึก ด้วยการวางกระดาษทาบลงไปแล้วใส่หมึกบนร่องเว้านูนจนได้อักษรบนแผ่นหินนั้น เสาะหาสุสานของคนดังในอดีตและเขียนคำไว้อาลัย การสืบเสาะเรื่องโบราณอะไรมักจะมาหาหวงสู่ หากพูดถึงความคุ้นเคยเกี่ยวกับสุสานโบราณเหล่านี้ไม่มีใครรู้ดีกว่าหวงสู่อีกแล้ว คราวก่อนที่อาจารย์เหวินเจี๋ยที่มาจากจิ้นหยางไม่รู้ว่าไปพบสุสานของอู่อันอ๋องหลิวซั่งจากหนังสือโบราณเล่มไหน เขากับอาจารย์จิ้นจู๋พาหวงสู่ร่องแพกลางคืนอย่างเพลิดเพลินเป็นเวลาสามวัน อาศัยลางสังหรณ์ห่วยๆ ที่มีมาแต่กำเนิดของหวงสู่ในการปล้นสุสาน กลับได้พบสุสานของหลิวซั่งจริงๆ แม้ว่ามันจะเหลือแต่ซากปรักหักพังแล้วก็ตาม หากไม่สังเกตุให้ดีจะไม่มีใครคิดว่าจะมีท่านอ๋องถูกฝังอยู่เบื้องล่าง


 


 


พวกเขาไม่ได้ขุดสุสาน อาจารย์จินจู๋เมื่อหาแผ่นศิลาจารึกที่แตกหักเหลือเพียงครึ่งหนึ่งเจอก็ตื่นเต้นดีใจมากเขา ทั้งยังว่าในตำราฮั่นซูอะไรนั่นหลิวซั่งแบ่งเขตแดนแคว้นหานตันผิดไป บนแผ่นศิลาจารึกไม่มีข้อความดังกล่าว แม้กระทั่งหานตันก็ไม่ได้พูดถึงเลย ซึ่งนี่แสดงให้เห็นว่าหนังสือประวัติศาสตร์นั้นไม่ถูกต้อง ไม่สามารถนำมาสอนนักเรียนได้เพื่อที่จะได้ไม่ทำให้เด็กเข้าใจผิด


 


 


น้ำลายของหวงสู่กำลังจะไหลออกมาแล้ว สุสานนี้ยังสมบูรณ์อยู่ด้วย ยังไม่เคยโดนโจรปล้นสุสานแม้แต่ครั้งเดียว เขาใช้พลั่วลั่วหยาง[1]ขุดเพียงชั่วครู่ก็พบที่ตั้งของโลงศพ โดยตัดสินจากระดับความอ่อนและแข็งของปูนคอนกรีตผสม โลงศพถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีหากขุดขึ้นมาแล้วจะต้องมีสมบัติมากมายอยู่ในนั้นแน่นอน จึงได้บอกเรื่องนี้กับอาจารย์เหวินเจี๋ยและรอคำสั่งของเขา ตนเองรอที่จะสนุกกับความแปลกใหม่และความตื่นเต้นในการเปิดโลงศพในเวลากลางวัน


 


 


ใครจะรู้ว่าอาจารย์เหวินเจี๋ยเหลือบมองหวงสู่อย่างดูถูก แล้วสั่งให้หวงสู่แบกแผ่นศิลาจารึกที่หักครึ่งโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย จากนั้นออกเดินทางกลับสำนักศึกษา หวงสู่รู้สึกคันไม้คันมือสุดจะทน หันกลับไปมองที่หลุมฝังศพของหลิวซั่งเป็นระยะๆ เจ็บปวดใจเหลือทน พวกเขาค้นหาอยู่หลายวันและใช้เงินไปหลายก้วนก็เพื่อแผ่นศิลาจารึกครึ่งแผ่นนี่น่ะหรือ ของดีถูกฝังอยู่ใต้พื้นดินนะ!


 


 


คันไม้คันมือเป็นอย่างมาก นอนพลิกตัวไปมาอย่างไรก็นอนไม่หลับ จึงโดนอิงเหนียงบ่นเข้าให้ โดยนางบอกว่าเขาได้แตะโดนท้องของนาง ไม่กลัวเด็กเป็นอะไรไปหรือ เมื่อพูดถึงลูก ความคิดที่อยากจะร่ำรวยของหวงสู่ก็หายไปในทันใด เขาลูบท้องใหญ่ๆ ของอิงเหนียง รู้สึกได้ว่าลูกของเขากำลังขยับตัวอยู่ในท้อง หวงสู่ส่ายศีรษะ ในเวลานี้อย่าว่าแต่สุสานของหลิวซั่ง สุสานหลวงของฮ่องเต้ก็ไม่สามารถดึงดูดความสนใจของเขาแม้แต่น้อย


 


 


สำนักศึกษามีการเปลี่ยนแปลงมากมาย ตัวอย่างเช่นประตูของสำนักศึกษาที่อยู่เบื้องหน้าของอวิ๋นเยี่ย สูงและยิ่งใหญ่ทั้งยังให้ความรู้สึกแห่งความหม่นหมองด้วย เพราะเหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้ สาเหตุก็คืออวิ๋นเยี่ยพาเผยอิงเดินผ่านประตูใหญ่แล้วสามครั้ง ทุกครั้งที่ผ่านทางแคบสุดท้ายก็กลับมาที่ประตูใหญ่ เข้ามาจากประตูด้านซ้ายก็ควรจะต้องออกมาจากประตูด้านขวา หากเข้าจากด้านขวาแล้วเดินวนเป็นเวลานานก็ควรจะต้องออกมาจากด้านซ้าย ห้องเรียนด้านหลังก็อยู่ห่างไม่ไกลจากประตูใหญ่ชัดๆ แต่กลับเดินไปไม่ถึงเสียที เพราะเหตุใด


 


 


   เผยอิงกำลังตัวสั่นแล้ว เขาคิดว่าความชั่วร้ายที่เขาก่อขึ้นพระเจ้าต้องไม่ให้อภัยเขาแน่ จึงไม่อนุญาตให้ลี้ภัยในสำนักศึกษา จึงคุกเข่าลงกับพื้นสวดอ้อนวอนขอการอภัยจากพระเจ้า อวิ๋นเยี่ยดึงเผยอิงขึ้นมา พูดกับเขาแบบตาประสานตา “เมื่อเข้ามาที่สำนักศึกษาแล้วก็เลิกเชื่อถือเรื่องภูตผีปีศาจ ไม่ต้องเชื่อในพระเจ้าใดๆ มิฉะนั้นไม่ว่าเจ้าจะต้องเผชิญกับเรื่องอะไรก็ตาม ข้าจะขับเจ้าออกจากสำนักศึกษาทันที นักเรียนผู้ศึกษาค้นคว้าความเป็นไปของโลกกลับเชื่อในสิ่งที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นถือเป็นความอัปยศของสถาบัน สิ่งที่เราเผชิญอยู่ในตอนนี้เป็นเพียงเขาวงกตเล็กๆ เท่านั้นเอง ภายหน้าเราหากพบกับสิ่งที่ซับซ้อนมากขึ้น เจ้าจะทำอย่างไร คุกเข่าลงอ้อนวอนทุกครั้ง”


 


 


จากนั้นโยนเผยอิงที่ร่างอ่อนยวบราวกับดินเหนียวทิ้งไป อวิ๋นเยี่ยเอามือไพล่หลังพิจารณาประตูอย่างละเอียด ทั้งยังมีทางเดินด้านหลัง ไม่จำเป็นต้องพูดก็รู้ว่าจะต้องเป็นลูกไม้ของกงซูมู่แน่นอน ประการแรกเพื่อแสดงเทคนิคการสร้างค่ายกลของตระกูลกงซูที่แข็งแกร่งให้เหล่าอาจารย์ในสำนักศึกษาได้ประจักษ์ พิสูจน์ให้เห็นว่าไม่ได้มีดีแต่ชื่อเท่านั้น ประการที่สอง พวกเขาต้องการยกระดับสถานะของตระกูลกงซูที่อยู่สำนักศึกษา และพิสูจน์ว่าความรู้ของพวกเขามีประโยชน์และมีประโยชน์มากด้วย สำหรับการชิงดีชิงเด่นอย่างสุภาพเช่นนี้ อวิ๋นเยี่ยยินดีอ้าแขนต้อนรับ งัดเอาทักษะของตัวเองออกมาทำให้คนอื่นต้องอึ้งไป ทำให้ทุกคนรู้สึกตื่นตาตื่นใจ การแสดงฝีมือเช่นนี้ในสำนักศึกษายิ่งมากยิ่งดี อวิ๋นเยี่ยไม่ถือสาที่จะอำนวยความสะดวกสบายจากทุกๆ ด้าน


 


 


เมื่อวานนี้พวกมีพรสวรรค์เหล่านี้ทั้งกินทั้งดื่มอย่างสนุกสนานอยู่ที่บ้าน แต่ก็ไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้เลย หลี่กัง อวี้ซัน หยวนจาง หลีสือยังมีจ้าวเหยียนหลิง ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของคนเหล่านี้หายไปหมดแล้ว กินของฉันใช้ของฉัน ทั้งตอนนี้ยังร่วมหัวกันมาแกล้งฉัน พวกตาแก่ไม่น่าเคารพเหล่านี้ตอนนี้คงจะซ่อนตัวและรอหัวเราะเยาะฉันอยู่แน่ รอจนฉันแก้ของเล่นห่วยๆ ได้แล้วจะขอดูสีหน้าของพวกเจ้าหน่อย ก็เพียงแค่ภาพลวงตาบางอย่างรวมกับการสร้างภาพลวงให้เกิดประสาทสัมผัสที่ผิดพลาดของร่างกาย ก็สามารถสร้างค่ายกลเช่นนี้ได้แล้ว ตระกูลกงซูนั้นไม่ธรรมดาจริงๆ


 


 


นี่คือประตูใหญ่ ที่เรียกว่าประตูก็คือถนนให้ผู้คนเข้าและออก บทบาทสำคัญที่สุดของถนนคืออะไร นั่นคือความสะดวก ทำให้คนสะดวกที่จะเข้าและออก หากออกแบบถนนให้ซับซ้อนเกินไปมันจะสูญเสียความสะดวกสบายที่เป็นความหมายพื้นฐานไป ตระกูลกงซูเป็นตระกูลที่โดดเด่นด้านก่อสร้าง ไม่มีทางที่จะไม่เข้าใจหลักการนี้ ทุกสิ่งในโลกนี้ไม่ว่าจะในปัจจุบันหรืออนาคตจะต้องปฏิบัติตามกฎนี้อย่างแน่นอน นั่นคือการมีมนุษย์เป็นพื้นฐาน เหตุการณ์และสิ่งของต่างๆ ก็ต้องทำตามกฎนี้ มิฉะนั้นเรื่องที่ปรากฏออกมาใหม่นี้ก็จะไม่เกิดประโยชน์แม้แต่น้อย


 


 


อวิ๋นเยี่ยเดินเข้ามาทางประตูด้านซ้าย ทั้งไม่ลืมที่จะดันเผยอิงไว้ข้างหน้า ในเขาวงกตนี้ย่อมต้องมีกลไก แต่เขาคนนี้สวมเกราะอ่อนไว้และผิวก็ค่อนข้างหนา เหมาะที่สุดที่จะใช้เป็นโล่รับกลไก คิดว่าตระกูลกงซูคงไม่ใช้ของจำพวกหน้าไม้ ประตูหินพันชั่ง หินกลิ้งมาใช้กับตัวเขา แต่คาดว่าน้ำเย็น ผงแป้ง คงไม่น้อยแน่ ถ้าหากมีหลี่ไท่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอุจจาระและปัสสาวะก็อาจจะมีโอกาสด้วย นักเรียนตัวแสบเช่นนี้คราวหน้าต้องวิพากวิจารณ์ให้หนัก


 


 


เผยอิงเข่าอ่อนอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่าทีของอวิ๋นเยี่ยที่เห็นอะไรผิดปกติก็วิ่งหนีทันที ยิ่งทำให้เขากังวลมากขึ้น จึงเกาะขอบประตูไม่ยอมเข้าไป


 


 


“ถ้าแน่จริงก็ทำให้ข้าเป็นขันที ทำไมเจ้าจึงไม่มีความกล้าที่จะเดินผ่านเขาวงกต ก็ไม่ได้ถึงตายเสียหน่อย หากไม่สามารถเข้าไปในประตูได้แล้วตระกูลโต้วตามมาข้าก็ไม่มีปัญญาจะช่วยได้ เจ้าลองคิดดูให้ดี เข้าหรือไม่เข้า รีบตัดสินใจเร็วๆ คนของตระกูลโต้วกำลังจะมาถึงแล้ว”


 


 


เผยอิงที่อายุสิบเจ็ดปีเช่นเดียวกันก็กลัวจนร้องไห้ เขาไม่กลัวมีดดาบเคยผ่านสนามรบหลายครั้งแล้ว แต่เขากลัวสิ่งที่ยังมองไม่เห็นโดยเฉพาะเรื่องภูตผีปีศาจซึ่งทำให้เขาสั่นเทาจากก้นบึ้งของจิตใจ ก็เหมือนกับนักรบที่ฆ่าคนไม่กะพริบตาในสนามรบแต่กลับกลัวแอ่งน้ำ สาเหตุก็เพราะเขาว่ายน้ำไม่เป็นและรู้ว่าจะต้องจมน้ำตาย ซึ่งทำให้เขาเกิดความกลัวอย่างมาก


 


 


หลังจากชักแม่น้ำทั้งห้า เผยอิงจึงถูกอวิ๋นเยี่ยผลักเข้าไปในประตูใหญ่ด้วยท่าทีที่เตรียมตัวเตรียมใจกับการเผชิญหน้าทุกเวลา


 


 


ถนนด้านหน้าประตูต้องตรง มิฉะนั้นจะทำให้ฮวงจุ้ยเสียไป ไม่มีประตูบ้านใครที่เข้ามาแล้วถนนบิดเบี้ยวมีหวังได้ถูกคนขำตาย อย่างมากที่สุดก็มีกำแพงเงา ตอนนี้หลังประตูสำนักศึกษานั้นมีพื้นที่ว่างอยู่ ไม่ใหญ่นัก กำแพงเงาอยู่ตรงหน้าพอดี ด้านบนเขียนประโยคที่เป็นเหตุผลพื้นฐานที่สุดอันโด่งดังไว้ว่า “ท่ามกลางสามคนต้องมีอาจารย์ของเราอยู่สักคน” ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเขียนไว้ น่าจะเขียนว่า สามัคคีคือพลัง เข้มแข็งจริงจัง จะอ่านคล่องปากกว่า ข้อนี้ควรจะแก้ใหม่


 


 


เผยอิงเดินไปทางซ้ายมือตามความเคยชินเพราะพื้นผิวถนนมีความลาดเอียงเล็กน้อย เดินไปทางซ้ายจะรู้สึกสบายกว่ามาก เมื่อเปรียบเทียบอยู่ครู่หนึ่ง อวิ๋นเยี่ยก็หยิบลูกปัดแก้วออกมา ดูเหมือนมันจะเป็นของที่อยู่บนสายคาดเอวของหลี่เฉิงเฉียน มาอยู่ในอกเสื้อตัวเองได้อย่างไร ไม่สนแล้ว เมื่ออยู่ในอกเสื้อฉันก็เป็นของของฉัน หากพบหลี่เฉิงเฉียนอีกครั้งก็อย่ายอมรับ ก็บอกว่าไม่เคยเห็นมาก่อน มิเช่นนั้นคราวหน้าจะเอาของของเขาจะไม่ง่ายแล้ว


 


 


เขาวางลูกปัดลงบนพื้นภายใต้แววตาหวาดกลัวของเผยอิง ลูกปัดก็กลิ้งไปตามเนินดินเล็กๆ…


 


 


 


 


——


 


 


[1] พลั่วลั่วหยาง เป็นอุปกรณ์ชนิดหนึ่งที่ใช้สำหรับขุดสุสาน โดยขอบข้างของตัวพลั่วช้อนขึ้นคล้ายทรงกระบอกผ่าครึ่ง 

 

 


ส่วนที่ 5

 

ตอนที่ 14 ภูเขาในแดนไกล

 

เผยอิงเบิกตากว้าง มองลูกปัดวิ่งขึ้นไปบนเนินเขา ขาของเขายิ่งสั่นเท่ามากขึ้น พริบตาเดียวก็พุ่งไปหลบอยู่ด้านหลังอวิ๋นเยี่ย แม้ว่าจะเข่าอ่อนแต่การเคลื่อนไหวยังคงไม่ผิดเพี้ยนไป ชีวิตที่รับใช้ชาติมาหลายปีไม่ได้เสียเปล่า


 


 


อวิ๋นเยี่ยเดินตามทางที่ลูกปัดกลิ้งไป ลูกปัดยิ่งกลิ้งก็ยิ่งเร็วขึ้น อวิ๋นเยี่ยก็ยิ่งเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น เขาไม่สนใจกำแพงทั้งสองด้าน และไม่สนใจด้วยว่าลูกปัดชนกับกำแพงแล้วจะเด้งไปทางไหน เขาเพียงแต่เดินตามลูกปัดไปมีเพียงเหตุผลเดียวก็คือ บริเวณที่ต่ำที่สุดของสำนักศึกษาคือสวนดอกไม้ ประตูใหญ่ถูกสร้างไว้บนบริเวณที่สูงที่สุด เพราะมันอยู่ใกล้กับทำนบกั้นน้ำมาก ถึงแม้ว่าแม่น้ำตงหยางจะเป็นเพียงแม่น้ำสายเล็กๆ  แต่มันก็มีน้ำท่วมด้วยเช่นกัน เพื่อป้องกันน้ำท่วมเจ้าของบ้านเดิมจึงได้เทพื้นด้านนอกประตูไว้สูงมาก ดังนั้นการเดินตามลูกปัดไปอย่างน้อยก็ไม่กลับออกไปนอกประตู กำแพงทั้งสองข้างนั้นคล้ายกันมาก ทั้งยังมีทางแยกมากมาย ทางแยกบางแห่งสามารถมองเห็นป่าทึบในระยะไกล แต่อวิ๋นเยี่ยก็ยังไม่สนใจมัน เดินตามลูกปัดต่อไป วนไปหนึ่งรอบผ่านทางเข้าหลายทาง ลูกปัดก็กระเด้งกระดอนและหยุดที่ด้านหน้าของกำแพงเงา ที่นี่คือจุดที่ต่ำที่สุด


 


 


เดินมาที่ด้านหน้ากำแพงเงาและมองไปที่คติคำสอนของขงจื๊อ ทำไมยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกว่าคำพูดเหล่านี้มันขัดใจ “ผู้คนมากมายต้องมีอาจารย์ของเราอยู่สักคน” คำพูดนี้ไม่ผิด เพียงแต่ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ตระกูลกงซูเริ่มนับถือขงจื๊อปราชญ์แห่งยุค พวกเขาเชื่ออย่างดื้อรั้นว่าบรรพชนของพวกเขานั้นเก่งกาจมากที่สุด ปฏิเสธที่จะนับถือผู้อื่น ซึ่งเรื่องนี้อวิ๋นเยี่ยได้ประสบด้วยตนเองขณะที่อยู่ที่เมืองซั่วฟางแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะใช้ประโยคนี้มาไว้ที่นี่เพื่อเป็นภาษิตสอนใจ เช่นนั้นการที่มันปรากฏที่นี่ก็มีเพียงเป้าหมายเดียว ก็คือต้องการปกปิดอะไรบางอย่าง เขาต้องการปกปิดอะไรกัน


 


 


เมื่อมองลงไปดูแผ่นหินสีเทาบนพื้นนั้น แม้กระทั่งลวดลายเกือบจะเชื่อมต่อกัน ทั้งยังตั้งใจทำให้ผสมปนเปเป็นอย่างมาก และใช้วัตถุที่สะท้อนภาพตรงกันข้ามเปลี่ยนลักษณะที่แท้จริงของพื้นดิน รายการสำรวจในยุคปัจจุบันเคยมีรายการหนึ่งในมณฑลส่านซีนำเสนอว่ามีเนินเขาซึ่งดูเหมือนว่าจะมีพลังน่าอัศจรรย์ หากรถไม่เบรกมันจะวิ่งไปบนยอดเขาเองโดยอัตโนมัติ หากเทน้ำในอ่างน้ำทิ้งน้ำก็จะไหลย้อนขึ้นด้านบน จึงเป็นที่รู้จักกันในชื่อ เนินเขาปีศาจ ท้ายที่สุดจากการทำรังวัดภาคสนาม ผู้เชี่ยวชาญพบว่าจุดที่สูงสุดก็คือจุดที่ต่ำสุด จุดที่ต่ำสุดก็คือจุดที่สูงสุด ผู้คนถูกกรอบอ้างอิง[1]ของวัตถุในท้องถิ่นหลอกเข้าแล้ว


 


 


กงซูมู่ผู้น่าฆ่าทิ้งยังได้ทำการซ่อมแซมอุโมงค์ทางเดินไว้ที่กำแพงเงาทั้งสองด้านด้วย ซึ่งดูเหมือนจะเป็นทางตรง แต่ในความเป็นจริงมันเป็นทางโค้ง สำนักศึกษาต้องการของเล่นจำพวกถ้ำผีสิงอย่างในยุคปัจจุบันตั้งแต่เมื่อไหร่กัน มีของสนุกน่าเล่นเช่นนี้ใครจะมีสมาธิไปเรียนกัน เห็นเงินสำนักศึกษาไม่ใช่เงินหรืออย่างไร ให้เข้าไปได้ก่อนจะคิดบัญชีกับพวกเจ้า


 


 


  ผู้คนมากมายต้องมีอาจารย์ของฉันสักคน เมื่อไหร่กันที่อาจารย์ก็รู้วิธีการใช้เครื่องหมายวรรคตอนด้วย เครื่องหมายจุลภาคตัวใหญ่มาก กงซูมู่คิดว่าฉันตาบอด มองไม่เห็นหรืออย่างไร จึงให้เผยอิงไปขยับเครื่องหมายจุลภาคนั้น ใครจะรู้ว่าเจ้าหนุ่มนั่นจะวิ่งไปใช้นิ้วมือแตะเบาๆ ก็วิ่งกลับมาซ่อนตัวอยู่ข้างหลังอวิ๋นเยี่ยอีกครั้ง


 


 


ช่วยไม่ได้ อวิ๋นเยี่ยจึงต้องบิดเครื่องหมายจุลภาคด้วยตัวเอง ใครจะรู้ว่าของอันนั้นถูกยึดตาย บิดอยู่เป็นนานก็ขยับไม่ได้ ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ อวิ๋นเยี่ยตรวจดูอีกครั้ง ในที่สุดก็พอจะเห็นหนทางแล้ว ทุกตัวอักษรขยับเขยื้อนได้ยกเว้นเครื่องหมายวรรคตอน เครื่องหมายวรรคตอนนี้ค่อนข้างจะดูเป็นส่วนเกิน ขยับอักษรสามตัวแรกนั้นค่อยยังชั่วเพราะมันเบาๆ จึงขยับอักษรที่เหลืออยู่อีกหลายตัว ก็ไม่เลว สามารถขยับได้ทั้งหมด ส่วนที่เหลือนั้นง่ายมาก มันเป็นเกมคำศัพท์เท่านั้นเอง เรียงอักษรอยู่หลายครั้งแต่ก็ยังเรียงออกมาไม่ได้ หากจะลองขยับตัวอักษรละหนึ่งครั้ง อวิ๋นเยี่ยก็ต้องลองนับครั้งไม่ถ้วน อวิ๋นเยี่ยบริภาษอยู่ในใจ ให้ดิ้นตายสิกงซูมู่ ตัวอักษรแต่ละตัวต้องลองประสมกันทีละตัว แล้วจะให้ฉันใช้เวลานานเพียงไหนกัน


 


 


นี่เป็นรหัสผ่านเจ็ดหลักชัดๆ มีกี่วิธีในการจัดเรียง อวิ๋นเยี่ยไม่อยากที่จะคิดเลยและไม่กล้าคิดด้วย อย่างไรเสียลองมองหากฎจากความหมายของอักษรก่อน เอาเถอะ ฉันจะลองเริ่มเรียงเจ็ดตัวอักษรที่ให้ความหมายถึงความภาคภูมิใจมากที่สุดเป็นประโยคแรก


 


 


“ผู้คนมากมายต้องมีอาจารย์ของเราอยู่สักคน” ทันทีที่ประโยคนี้เรียงออกมากำแพงเงาก็เกิดเสียงกึกกักๆ ดังขึ้น ตระกูลกงซูก็ยังคงมีความภาคภูมิใจดังเช่นเคย! ตรงกลางของกำแพงเงาแยกออกเป็นช่องว่างเส้นหนึ่ง อวิ๋นเยี่ยดีใจมากดูเหมือนว่าจะเดาถูกแล้ว ทั้งสองคนออกแรงอย่างมากกว่าจะผลักประตูให้เปิดออก เหนื่อยจนหายใจหอบตลอดเวลา ไม่รู้ว่าทำไมกงซูมู่ไม่ทำให้ประตูเบากว่านี้อีกหน่อย หากทุกคนต้องใช้แรงมากเช่นนี้เพื่อเปิดประตู กำแพงเงานี้เป็นของไร้ค่า


 


 


เพียงแค่ก้าวข้ามธรณีประตู อวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกว่าเท้าของเขาสะดุดอะไรบางสิ่ง ด้วยความตื่นตัวอวิ๋นเยี่ยย่อตัวลงอย่างรวดเร็ว ของลักษณะลูกบอลแกว่งผ่านศีรษะไป อวิ๋นเยี่ยตกใจจนเหงื่อแตกไปทั่วร่าง หากถูกของสิ่งนี้ทุบเข้าที่ศีรษะยังจะเหลือชิ้นดีอีกหรือ ใครกันนะที่เ**้ยมโหดเพียงนี้


 


 


เขาเอาแต่โกรธเพียงอย่างเดียวโดยลืมไปว่ามีอีกคนอยู่ข้างหลัง ตัวเขานั้นหลบได้แต่เผยอิงถูกของสิ่งนั้นกระแทกเต็มใบหน้า ร้องอ้าเพียงคำเดียวแล้วก็ล้มลงกับพื้น อวิ๋นเยี่ยจึงเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นถุงทราย


 


 


ประตูใหญ่นั้นผ่านเข้ามาได้แล้ว แต่สถานการณ์นั้นแปลกประหลาดมาก มีชาวนาจำนวนมากกำลังปลูก ต้นเอล์มอยู่ที่นั่น ปลูกอย่างหนาแน่นเหมือนกำแพง ไม่มีใครสนใจอวิ๋นเยี่ยราวกับว่าเขาเป็นมวลอากาศ


 


 


ยิ่งต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่แปลกประหลาดมากเท่าไร่ยิ่งต้องสงบสติให้มากขึ้น เผยอิงนั้นไร้ประโยชน์แล้วก็ปล่อยให้เขานอนที่นั่นแล้วกัน อวิ๋นเยี่ยคิดได้แล้วว่าถุงทรายนี้ต้องเป็นงานชิ้นเอกของหลี่ไท่กงซูเฒ่าไม่ทำตัวน่าเบื่อเช่นนั้น เขาสร้างประตูใหญ่ให้กับสำนักศึกษาอีกทั้งประตูนี้ยังมีการล็อกรหัสผ่านอยู่ในตัวด้วย ตรอกนอกกำแพงเงาเป็นเพียงเกมเล็กๆ น้อยๆ อาศัยการมองคลาดเคลื่อนของผู้คนทำให้เดินกลับไปข้างหลังโดยไม่รู้ตัว เทคนิคกลไกในสมัยโบราณน่าจะเป็นประมาณนี้ ชาวจีนมักเน้นย้ำว่าสรรพสิ่งในโลกนั้นมีไว้เพื่อให้มนุษย์นำมาใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องกลไกด้วยแล้วยิ่งยึดหลักนี้ พยายามจะทำให้ทุกแห่งไปให้ถึงจุดที่ไร้ซึ่งจุดบอด แต่กลับเผื่อทางรอดเอาไว้ทุกแห่ง รหัสผ่านเองก็เป็นเช่นนี้ ที่กล่าวกันว่าตามหา “เลขหนึ่งที่หายไป” ก็คงจะหมายถึงสถานการณ์เช่นนี้ อวิ๋นเยี่ยหัวเราะเฝื่อนๆ คุณเหลือทางออกหนึ่งทางเอาไว้ทุกหนทุกแห่ง ไม่ยอมทำอะไรให้เด็ดขาด ชนเผ่าอื่นจะปฏิบัติกับคุณเช่นนี้หรือไม่ เขาแค้นคุณที่ไม่ตาย! ! !


 


 


เพียงแค่เห็นคนที่ปลูกต้นเอล์มอยู่นั้นก็รู้ได้ว่านี่เป็นเขาวงกต ต้นเอล์มเติบโตเร็วเกินไป ปีหน้าก็คงจะปกคลุมพื้นที่โล่งทั้งหมดอย่างหนาแน่น เพียงแค่รอให้มันงอกสูงถึงสองเมตรและตัดยอดของมัน ทิ้ง นี่ก็จะเป็นเขาวงกตที่สมบูรณ์แบบ


 


 


สำนักศึกษาล้อมรอบด้วยภูเขาทั้งสามด้าน หันหน้าไปทางแม่น้ำตงหยาง อีกด้านหนึ่งของแม่น้ำคืออาคารที่หลี่เค่อสร้างขึ้นใหม่ เหล่าอาจารย์ก็อาศัยอยู่ที่นั่น สำนักศึกษาได้สร้างอาคารมากมายซึ่งเป็นอาคารสองชั้น ผนังด้านนอกไม่ได้รับการตกแต่งเลยแม้แต่น้อย รอยต่อระหว่างอิฐก็ใช้ปูนซีเมนต์ยาแนวจนดูเป็นระเบียบเรียบร้อย


 


 


ไม่มีเวลาที่จะไปเอาเรื่องกงซูมู่ ตอนนี้ต้องหาหลิวเซี่ยให้พบก่อนเพื่อถามเรื่องตระกูลเผยนั้นฮ่องเต้คิดเห็นเป็นอย่างไร เขาจะได้เข้าเป็นพวกด้วย เรื่องนี้ถึงคอขาดบาดตายไม่กล้าทำส่งเดช


 


 


ต้นเอล์มปลูกกันอย่างกระจัดกระจายตรงนั้นกระจุกหนึ่งตรงนี้กระจุกหนึ่ง แน่นอนว่าไม่สามารถหยุดยั้งฝีเท้าของอวิ๋นเยี่ยได้ เพียงไม่กี่ก้าวเขาเดินผ่านสวนออกมาถึงสถานที่ที่เหล่าอาจารย์ในสำนักศึกษาทำงานกัน ไม่ได้ไปหาหลี่กังก่อน อวิ๋นเยี่ยเคาะประตูของหลิวเซี่ยนขึ้นก่อน


 


 


ประตูเปิดออก แต่ไม่ได้มีเพียงหนึ่งคน หลี่กังก็อยู่ที่นั่นด้วย ด้านหลังยังมีขันทีชราอีกคนหนึ่ง ดูจากเสื้อผ้าของเขาก็รู้ได้ถึงระดับขั้นตำแหน่งของเขา ซึ่งเป็นถึงขุนนางขั้นหกคนหนึ่ง ซึ่งนี่เป็นตำแหน่งที่สูงที่สุดในวังแล้ว คนของสำนักพระราชวังมีอิสระในการเข้าออกสำนักศึกษาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน อวิ๋นเยี่ยมองดูหลี่กังและหลิวเซี่ยนและยังคงนิ่งเงียบรอให้พวกเขาเป็นฝ่ายอธิบายเหตุผลอย่างเหมาะสมให้ตนเองฟังอยู่ ตัดสินใจครั้งสำคัญเช่นนั้นไปแล้วคงจะไม่ใช่ว่าจะไม่พูดอะไรแม้แต่ประโยคเดียวหรอกนะ


 


 


“ข้าน้อยอู๋เสอ คารวะหลานเถียนโหว” พวกเขาสองคนยังไม่พูดอะไร แต่กลับเป็นขันทีที่ชื่อว่าอู๋เสอพูดก่อน


 


 


“ดูจากชุดที่เจ้าสวมใส่ เจ้าทำงานอยู่ในเยี่ยถิงจวี๋[2]กระมัง หัวหน้าขั้นหก ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเจ้าเป็นหัวหน้าของเยี่ยถิงจวี๋อย่างแน่นอน เพียงแต่ไม่รู้ว่าเจ้ามาสำนักศึกษาด้วยเหตุอันใด” หลี่ซื่อหมินเคยบอกไว้แต่แรกแล้วว่าหน้าที่ของขันทีมีเพียงรักษาการอยู่หน้าประตูตำหนัก ดูแลเรื่องความสะอาดฝ่ายในและอาหารการกินเท่านั้น ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่พวกเขาสามารถออกจากวังมาพูดคุยกับขุนนางได้ แต่ถ้ารับคำสั่งมาจากพระสนมท่านนั้นที่อยู่ในวังหลวงเพื่อที่จะให้สถานศึกษาเปิดประตูรับเพื่อช่วยเผยอิง อวิ๋นเยี่ยจะต้องตอกกลับไปอย่างแน่นอน เพราะถ้าหากทำตามก็จะถูกเหล่าขุนนางทั้งหมดดูถูก ไม่กล้าเงยหน้าสู้หน้าผู้คนไปแปดชั่วคนแน่นอน ยกเว้นฮองเฮาจั่งซุนนางจะไม่ตัดสินใจอะไรใดๆ หากนางตัดสินใจทำอะไรก็แสดงว่าความคิดนั้นเป็นการตัดสินใจของหลี่ซื่อหมิน ความลับเรื่องนี้อวิ๋นเยี่ยแบ่งแยกได้อย่างชัดเจนและเหล่าขุนนางเองก็แบ่งแยกได้ชัดเจนเช่นกัน


 


 


“เรียนโหวเหยีย ข้าน้อยก็คือขันทีจากเยี่ยถิงจวี๋ได้รับพระบัญชาให้มาบอกกับโหวเยี่ย” ขันทีเฒ่ายังคงมีสีหน้าเรียบเฉยและดูเหมือนจะไม่ถือสากับท่าทีของอวิ๋นเยี่ย พูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ


 


 


“กระหม่อมอวิ๋นเยี่ยรับพระบัญชา” ไม่มีอะไรจะพูด เนื่องจากเป็นงานราชการเช่นนั้นก็ทำตามหน้าที่ขุนนาง ไม่ต้องเลือกฝั่งที่จะยืนนั้นช่างวิเศษสุดๆ เลย


 


 


“ฝ่าบาททรงตรัสว่านี่คือการพูดคุยกันในครอบครัว โหวเหยียไม่จำเป็นต้องแสดงความเคารพอย่างเป็นทางการ”


 


 


เช่นนี้ก็เป็นปัญหาแล้ว ฮ่องเต้ไม่ได้มีพระราชโองการ แต่ตั้งใจใช้เป็นการสนทนาภายในครอบครัวให้ได้ ข้างในมีอะไรบางอย่างแปลกๆ ต้องฟังให้ชัดเจนห้ามถูกขันทีหลอกอย่างเด็ดขาด ดังนั้นอวิ๋นเยี่ยจึงหันไปมองหลิวเซี่ยก่อน เห็นว่าหลิวเซี่ยนพยักหน้าอวิ๋นเยี่ยจึงลุกขึ้น ฟังดูว่าฮ่องเต้จะคุยเรื่องอย่างคนในครอบครัวกับตนเองอย่างไร


 


 


“ฝ่าบาทตรัสว่า เจ้าหนุ่มอวิ๋นเยี่ยจงฟังให้ดี เราหาปัญหามาให้เจ้าเรื่องหนึ่ง เป็นปัญหาใหญ่ด้วย ก็คือเจ้าสารเลวเผยอิงที่ดันไปแหย่รังผึ้งเข้า แต่รังผึ้งนี้เราเป็นคนให้แหย่เอง ดังนั้นปัญหาจึงตกเป็นของเราด้วยเช่นกัน เมื่อเจ้ากลับมาแล้วปัญหานี้จึงต้องให้เจ้าเป็นผู้แบกรับ ห้ามมอบเผยอิงออกไปอย่างเด็ดขาด เว้นเสียแต่ว่าเราให้เจ้าส่งมอบ ไม่เช่นนั้นแล้วไม่ว่าใครพูดก็ห้ามฟัง จำไว้ให้ดี แม้ไท่ซั่งหวงให้เจ้ามอบตัวให้ก็ห้ามส่งคนให้อย่างเด็ดขาด” เมื่ออู๋เสอพูดเสร็จก็หุบปากเงียบ สงบนิ่งราวกับว่าเขาไม่มีตัวตน


 


 


ไม่แปลกใจเลยที่ไม่เขียนเป็นราชโองการ คำพูดเหล่านี้ไม่สามารถเขียนออกมาเป็นราชโองการได้ แม้ว่าจะไม่รู้ว่าทำไมเผยอิงถึงฟังคำสั่งของฮ่องเต้แล้วไปแหย่รังผึ้ง แต่ก็มีเรื่องหนึ่งที่อวิ๋นเยี่ยฟังออกคือฮ่องเต้วางตัวว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่ได้มีร่องรอยที่มีส่วนเกี่ยวข้องเลยแม้แต่น้อยนิด แต่มีใครบางคนต้องเป็นแพะรับบาปเอาไว้ ใครกันที่เหมาะ อวิ๋นเยี่ยนั้นเป็นคนที่มั่นคงที่สุด ในฐานะศิษย์ของผู้สูงส่ง สถานะอยู่เหนือผู้อื่น ไม่มีทางใส่ใจเกี่ยวกับชื่อเสียงที่ราวกับเป็นตำนานนับหลายพันปีของตระกูลโต้วอย่างแน่นอน นอกจากนี้อวิ๋นเยี่ยเข้ากันกับไท่ซั่งหวงได้อย่างมีความสุข ถ้าหากมีปัญหาจะปรับเปลี่ยนอะไรก็ยังมีหนทางอยู่ เขานั้นคิดได้รอบคอบมาก เพียงแต่พริบตาเดียวอวิ๋นเยี่ยก็ถูกกระชากให้ขึ้นไปอยู่ตรงปากเหวในทันที


 


 


จึงลากเก้าอี้แล้วนั่งลงคิดอยู่ครู่หนึ่ง อวิ๋นเยี่ยพูดกับอู๋เสอว่า “ขอฝ่าบาททรงวางพระทัย ข้ากับเผยอิงเองก็มีมิตรภาพที่แน่นแฟ้นดั่งชีวิต แน่นอนว่าจะไม่มอบเขาออกไป ไม่ว่าใครก็ไม่ได้ อวิ๋นเยี่ยจะแบกรับภาระนี้ไว้เอง” หลังจากพูดหลายประโยคนี้จบ เขาพูดกับหลิวเซี่ยนอีกว่า “เรื่องการดูแลเผยอิงคงต้องมอบให้พี่รองหลิวแล้ว ไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม ไม่อนุญาตให้เขาออกจากสำนักศึกษาแม้แต่ก้าวเดียว”


 


 


หันไปพูดกับหลี่กังว่า “ข้าคิดว่าหมู่นี้นักเรียนของสำนักศึกษาค่อนข้างอิสรเสรีเกินไป จะเป็นการดีที่จะขอให้อาจารย์หลี่ควบคุมนักเรียนของสำนักศึกษาให้เข้มงวดมากกว่านี้ สำหรับเรื่องอื่นๆ อาจารย์หลี่ก็ไม่ต้องสนใจแล้ว นับตั้งแต่ตอนนี้ข้าจะเป็นคนมารับช่วงดูแลสำนักศึกษาเอง หากใครมีปัญหาอะไรก็ให้เขามาหาข้าได้เลย”


 


 


พวกเขายังไม่ทันจะได้ตอบอะไร อวิ๋นเยี่ยก็เปิดประตูแล้วเดินออกไป ยืนอยู่ที่ราวบันไดบนชั้นสอง มองไปยังภูเขาที่อยู่ห่างไกลออกไปและยิ้ม


 


 


 


 


——


 


 


[1] กรอบอ้างอิง ในวิชาฟิสิกส์ คือ โคออร์ดิเนตที่ใช้เป็นหลักเทียบในการบอกตำแหน่งหรือการย้ายตำแหน่งของวัตถุเมื่อเวลาใดเวลาหนึ่ง


 


 


[2] เยี่ยถิงจวี๋ เป็นชื่อหน่วยงานหนึ่งซึ่งสังกัดสำนักพระราชวัง ตั้งอยู่ด้านตะวันตกของตำหนักไท่จี๋ โดยทั่วไปเป็นที่อยู่ของนางกำนันหรือหญิงที่กระทำความผิดซึ่งหญิงเหล่านี้จะต้องใช้แรงงานอยู่ในวัง 

 

 


ส่วนที่ 5

 

ตอนที่ 15 ลิงกับลา

 

ประโยชน์ของการยืนบนที่สูงก็คือมองเห็นได้ไกล เมื่อยืนดูคนอื่นจากตรงนี้พวกเขาจะตัวเล็กกว่ากว่าการมองจากที่ราบหนึ่งเท่า หวงสู่น่าจะส่งเสี่ยวยาและซินเย่ว์กลับไปแล้ว ตนเองกลับมาจากภูเขาเพียงลำพัง ปลายก้านไม้ไผ่มีปลาสองตัวเสียบอยู่ สะบัดไปพร้อมฝีเท้าของเขา เขาไม่มีความวิตกกังวล เพียงหวัง เป็นอย่างยิ่งว่าแม้จะเป็นเพียงส่วนเล็กๆ แต่ก็ใช้ชีวิตอย่างมีความหมายได้


 


 


“เจ้าหนุ่ม เจ้าจะเผชิญหน้ากับตระกูลโต้วที่ยิ่งใหญ่ดุดันเพียงคนเดียวจริงๆ หรือ” หลี่กังมองเขาจากด้านหลังเป็นเวลานานก่อนที่จะเอ่ยปาก


 


 


“อาจารย์หลี่ ท่านเป็นคนที่ข้าเคารพนับถือมากที่สุด ในขณะที่ข้าคนนี้ต้องต่อสู้เพียงลำพัง โชคดีที่ได้รับความช่วยเหลือจากท่าน ทำให้ข้าพอจะมีเวลาว่างได้พักผ่อนบ้าง สามารถรักษาจิตใจที่สงบนิ่งไว้ได้ภายใต้การแก่งแย่งชิงดีอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ปีนี่ท่านเองก็อายุเจ็ดสิบปีแล้ว ข้าจะไม่ปล่อยให้ท่านต้องไปสู้รบตบมือส่วนตัวเองก็หลบอยู่ด้านหลังเสวยสุขอีกต่อไปแล้วจริงๆ คราวนี้เห็นได้ชัดว่าฝ่าบาทต้องการจะทำอะไรบางอย่าง จึงเอาข้ามาเป็นโล่ ถ้าหากข้ายังหดหัวอีกจะถูกคนทั่วหล้าดูถูกเหยียดหยาม แต่จะว่าไปแม้ว่าข้าจะล้มเหลวแต่ก็ยังมีฝ่าบาทอยู่ อย่างมากข้าก็ออกจากราชการ คืนฐานันดรศักดิ์ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเลย มีพวกท่านอยู่ สำนักศึกษาจะยังคงอยู่ต่อไปได้อย่างเข้มแข็ง ท้ายที่สุดก็สามารถทำให้รุ่งโรจน์โชติช่วงได้ ข้ามั่นใจ”


 


 


หลี่กังหัวเราะฮ่าๆ “ข้าเองก็มีความมั่นใจมาก ตอนนี้มีนักเรียนห้าร้อยคนในสำนักศึกษา ขอเวลาเพียงสี่ปีเจ้าก็จะได้เห็นผลลัพธ์เบื้องต้น ปู๋ชี่ เจ้าเป็นคนที่มีจิตใจดีงาม อย่าได้ให้สิ่งสกปรกเหล่านี้มาทำลายจิตใจเจ้าได้ หากเจ้าลาออกจากตำแหน่งข้ากลับรู้สึกว่านี่คือโชคชะตาของสำนักศึกษา ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้วเช่นนั้นก็จงทำเสีย เรื่องนี้ข้าไม่สามารถเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องได้ เมื่อออกจากราชการข้าก็กลายเป็นคนไม่มีอะไรแล้ว มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่ยังคงปฏิบัติต่อข้าเป็นบุคคลสำคัญ ฮ่าๆ แก่แล้ว จึงค่อยพบเพื่อนรู้ใจ แม้ว่าเจ้าจะอายุน้อยไปเสียหน่อยแต่ก็ไม่สำคัญ เจ้าเองก็ควรผ่านลมมรสุมบ้าง จงทำมันให้ดีเถอะ”


 


 


มีคนกลุ่มหนึ่งมุ่งหน้ามาตามถนนที่คดเคี้ยว พวกเขาไม่ได้ดูเยือกเย็นไม่รีบร้อนเหมือนศิษย์ของสำนักศึกษา แต่ควบม้าห้อตะบึงอยู่ระหว่างภูเขาจนทำให้ฝูงนกแตกตื่น


 


 


อวิ๋นเยี่ยและหลี่กังต่างมองหน้ากัน มาแล้ว รวดเร็วดีจริงๆ เผยอิงมาถึงสำนักศึกษาไม่ถึงสองชั่วยาม พวกเขาก็มาตามหาได้ถูกที่อย่างแม่นยำ ไม่เสียทีที่เป็นตระกูลใหญ่เลย ข้อมูลข่าวสารก็รวดเร็วฉับไว อวิ๋นเยี่ยยังคิดว่าไม่ว่าอย่างไรตนเองก็น่าจะพอยืดเวลาได้สองวัน คิดไม่ถึงว่าจะต้องเผชิญหน้ากับตระกูลโต้วโดยตรงในตอนนี้


 


 


ลูกหลานตระกูลใหญ่นั้นต่างกับคนทั่วไปจริงๆ ไม่รีบร้อนบุกเข้าสำนักศึกษา พร้อมใจกันดึงบังเ**ยนม้าหยุดอยู่ที่หน้าประตูสำนักศึกษา คุณชายที่สวมชุดหรูหราคนหนึ่งลงจากม้าแล้วพูดกับองครักษ์ที่ประตูว่า “ไปแจ้งให้อวิ๋นโหวทราบว่าโต้วเยี่ยนซันมาเยี่ยมคารวะ”


 


 


“เรียนคุณชาย โหวเยี๋ยไม่อยู่! หากท่านมีธุระอันใดโปรดมาใหม่ในวันหลัง” องครักษ์ของสำนักศึกษาตอบอย่างเย็นชา


 


 


ม่านตาของโต้วเยี่ยนซันหดลงในทันใด ดูเหมือนองครักษ์คนนี้จะไม่ใช่คนโง่ อะไรที่บอกว่าโหวเยี๋ยไม่อยู่ แต่ไหนแต่ไรมาโต้วเยี่ยนซันไปมาหาสู่กันกับตระกูลใหญ่ในฉางอันไม่เคยมีใครตอบกลับคำขอเยี่ยมคารวะของเขาเช่นนี้มาก่อน


 


 


“คุณชาย อวิ๋นเยี่ยหลบหน้าเราอย่างชัดเจน มีใครบ้างที่บอกว่าตัวเองไม่ได้อยู่ที่นี่ เห็นได้ชัดว่าจงใจแกล้งคุณชาย ในเมื่อเขาไร้ยางอายก่อน พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องไว้หน้าเขาแล้ว บุกเข้าไปเลยเป็นอย่างไร จับเผยอิงออกมาฉีกเป็นชิ้นๆ เพื่อระบายความแค้นให้คุณชายเล็ก” หัวหน้าองครักษ์ตระกูลโต้วดูเหมือนจะร้อนใจจนทนไม่ไหวแล้ว อยากจะโอ้อวดความแข็งแกร่งของตนเองต่อหน้าเจ้านายให้เต็มที่


 


 


โต้วเยี่ยนซันไม่สนใจองครักษ์เพียงแต่จัดเสื้อผ้าหน้าผมใหม่ เพราะเมื่อครู่ควบม้าห้อตะบึงมาทำให้เสื้อผ้าของเขาค่อนข้างไม่เรียบร้อย


 


 


จากนั้นสั่งให้องครักษ์รอที่ประตู เขาก้าวขึ้นบันไดของสำนักศึกษาพร้อมยิ้มกล่าวกับองครักษ์ของสำนักศึกษาว่า “สำนักศึกษาคงไม่ได้มีกฎห้ามไม่ให้ผู้มีการศึกษาคนหนึ่งเข้าไปกระมัง”


 


 


“เรียนคุณชาย นับตั้งแต่ที่สำนักศึกษาอวี้ซันก่อตั้งขึ้นมาก็ไม่เคยปฏิเสธการมาเยี่ยมของผู้ใดทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นราชนิกุลหรือญาติของตระกูลใหญ่ หรือจะเป็นชาวบ้านผู้ยากจนต่างก็ปฏิบัติเช่นเดียวกัน แน่นอนว่าคุณชายสามารถเข้าไปเยี่ยมชมสำนักศึกษาได้ หอสมุดของสำนักศึกษามีหนังสือมากกว่าหกพันแปดร้อยชุด ทั้งยังมีตำราไม้ไผ่ที่นักปราชญ์ในราชวงศ์ก่อนหลงเหลือไว้ ตำราจิ่นซูซึ่งเป็นการใช้ใยไหมสีขาวมาถักทอเพื่อจดบันทึกตั้งแต่สมัยชุนชิวจั้นกั๋วซึ่งเต็มไปด้วยเนื้อหาสาระให้คุณชายได้เยี่ยมชม ด้านข้างหอสมุดยังมีโครงกระดูกไดโนเสาร์อยู่ด้วย เพียงแค่น้ำหนักของศีรษะก็มีน้ำหนักเกินหนึ่งพันห้าร้อยกิโลกรัมแล้วซึ่งมันใหญ่มาก หากคุณชายอยากจะดูมันอยู่ในอาคารสีขาวหลังนั้น ขอเพียงไม่นำมันออกไปคุณชายสามารถเที่ยวชมได้ตามสบาย”


 


 


องครักษ์ของสำนักศึกษาได้แนะนำสถานที่ของสำนักศึกษาให้โต้วเยี่ยนซันฟังตามความเคยชินซึ่งนี่เป็นงานประจำวันของพวกเขา


 


 


รอยยิ้มบนใบหน้าของโต้วเยี่ยนซันจึงยิ่งเจิดจรัสขึ้น ถามขึ้นอีกว่า “ไม่รู้ว่าข้าจะมีวาสนาได้ฟังการบรรยายของอาจารย์หลี่และอาจารย์ซินหรือไม่”


 


 


องครักษ์ของสำนักศึกษาพลิกเปิดตารางเรียนที่อยู่ด้านข้างและตอบโต้วเยี่ยนซันว่า “วันนี้อาจารย์หลี่ไม่มีบรรยาย ตอนนี้อาจารย์ซินกำลังจะบรรยายเรื่อง “จิ้นซู” บทที่แปดสิบเจ็ดตอนที่สี่ให้นักเรียนปีสามฟัง อีกประมาณหนึ่งก้านธูปก็จะเริ่มบรรยายแล้ว อาจารย์ซินบรรยายอย่างละเอียดและเข้มงวด ทุกตัวอักษรมีค่ามาก คุณชายอย่าได้พลาดโอกาส”


 


 


“องครักษ์สำนักศึกษาอวี้ซันเช่นพวกเจ้าก็รู้หนังสือทุกคนหรือ” ได้ยินองครักษ์พูดถึงวิชาเรียนอย่างละเอียดลออ ทั้งยังรู้หนังสืออีกด้วย การค้นพบครั้งนี้ทำให้โต้วเยี่ยนซันค่อนข้างประหลาดใจ องครักษ์ที่อยู่ด้านหลังเขาไม่รู้หนังสือเลยแม้แต่คนเดียว เกียรติยศของตระกูลอันเก่าแก่ยังคงไม่แผ่บารมีไปถึงคนหยาบกระด้างที่รู้จักแต่การเข่นฆ่าเหล่านี้


 


 


ไม่เพียงแต่เขา องครักษ์ที่อยู่ด้านหลังพบว่าคนที่มีสถานะเช่นเดียวกันกับเขากลับเป็นคนรู้หนังสือ แววตาก็แสดงออกถึงความชื่นชม ต้องบอกไว้ก่อนว่าถ้าพวกเขาเองก็ไรู้หนังสือก็จะไม่มีใครเต็มใจที่จะไปเป็นสุนัขเฝ้าบ้านให้ตระกูลใหญ่แน่ ต่างก็พากันไปเป็นทหารเพื่อแสวงหาความก้าวหน้ากันหมดแล้ว


 


 


“ในเมื่อเจ้ารู้หนังสือทำไมไม่เข้าร่วมกองทัพ ขอเพียงมีโอกาส การจะได้รับพระราชทานงานแต่งงานก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ทำไมจึงอยากเป็นเจ้าหน้าที่เฝ้าประตู” ดูเหมือนว่าโต้วเยี่ยนซันจะลืมจุดประสงค์ที่มาสำนักศึกษาไปแล้ว จึงคุยกับทหารองครักษ์อย่างออกรสชาติ


 


 


เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ องครักษ์ของสำนักศึกษาก็ยืดอกโดยไม่รู้ตัวและคุยกับโต้วเยี่ยนซันว่า “ข้าน้อยยังมีเวลาเข้าฟังบรรยายได้อีกหนึ่งปี จึงไม่อยากพลาดโอกาส รอจนฟังบรรยายครบแล้ว ข้าน้อยจะไปสมัครเป็นหัวหน้าทหารฝึกงานของกองทัพอู่เว่ยฝ่ายซ้าย”


 


 


“ในบรรดาองครักษ์นอกจากเจ้าแล้วยังมีใครที่รู้หนังสือบ้างไหม” จู่ๆ โต้วเยี่ยนซันก็คิดอยากจะเก็บข้อมูลของสำนักศึกษาสักหน่อย ราวกับว่าค่อนข้างจะเป็นเรื่องสำคัญกว่าสิ่งที่ตั้งใจจะมาทำก่อนหน้า


 


 


องครักษ์สำนักศึกษาหัวเราะฮ่าๆ ตอบทุกคำถาม “ทุกคนที่ไม่รู้หนังสือต่างก็ถูกโหวเหยียของข้าไล่ไปขุดเหมืองหินที่หลังเขา โดยบอกว่าพลางขุดเหมืองหินพลางเรียนหนังสือ หากยังจำตัวหนังสือไม่ได้อีกก็จงขุดเหมืองหินไปจนตาย คนโง่เช่นนี้ตายไปเลยจะยังดีเสียกว่า ตอนนี้ยังมีพี่น้องเจ็ดคนที่ทำงานอยู่ในเหมืองหินคิดว่าคงทำอีกไม่นาน ได้ยินว่าคนที่โง่ที่สุดก็รู้หนังสือหลายร้อยตัวอักษรแล้ว”


 


 


โต้วเยี่ยนซันสูดหายใจเข้าลึกๆ เขารู้ดีว่านักรบผู้รู้หนังสือจะได้รับการส่งเสริมในกองทัพอย่างไรบ้าง ผู้ที่มีความรู้ทั้งบุ๋นบู๊ หากอยู่ในกองทัพแล้วจะไม่ก้าวหน้าคงเป็นเรื่องยาก หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ใช้เวลาไม่ถึงสิบปี ผู้ใต้บังคับบัญชาในกองทัพอย่างน้อยก็มีสองส่วนที่เป็นคนที่สำเร็จการศึกษาจากสำนักศึกษาหรือ ด้วยพลังมหาศาลเช่นนี้ แม้แต่โต้วเยี่ยนซันผู้ที่พบเจอเหตุการณ์ต่างๆ มามากมายนั้นก็แอบตกตะลึงอยู่ในใจ


 


 


เดิมตั้งใจว่าจะให้รางวัลองครักษ์สักหน่อย แต่ตอนนี้พบว่าเขาเองก็เป็นผู้รู้หนังสือ ดังนั้นจึงไม่ควรทำโดยไม่ระวังเพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด การให้รางวัลผู้ที่รู้หนังสือในต้าถังเช่นนี้ถือเป็นการดูถูก คนที่รู้หนังสือในตอนนี้นั้นมีอยู่น้อยเหลือเกิน


 


 


โต้วเยี่ยนซันประสานมือขอบคุณองครักษ์ องครักษ์ก็โค้งคำนับแสดงความเคารพตอบ ผายมือเชื้อเชิญไปที่ประตูสำนักศึกษา เป็นสัญญาณว่าโต้วเยี่ยนซันนั้นสามารถเข้าไปได้แล้ว


 


 


ยังไม่ทันถึงหน้าประตูก็ได้ยินองครักษ์พูดขึ้นอีกว่า “คุณชายโปรดระวัง ประตูสำนักศึกษานั้นท่านอาจารย์กงซูมู่เป็นผู้ควบคุมการสร้าง ด้านในมีกลไกเล็กน้อยแต่ไม่ทำให้ใครบาดเจ็บ ขอคุณชายโปรดระวัง”


 


 


โต้วเยี่ยนซันเองก็ถือเป็นยอดบุคลากรของตระกูลโต้ว มีความรอบรู้เรื่องเบ็ดเตล็ดต่างๆ ตั้งแต่อายุยังน้อย สำหรับเรื่องกลไกโครงสร้างก็เคยศึกษาค้นคว้าอยู่บ้าง ครั้งนี้ที่ที่บ้านส่งเขามาก็เพื่อมารับมือกับยอดคนที่สำนักศึกษาอวี้ซันซึ่งแตกต่างจากสำนักศึกษาอื่นที่สอนหลักปรัชญาขงจื๊อตั้งใจพัฒนาขึ้นโดยเฉพาะ


 


 


หลังจากได้ยินคำพูดขององครักษ์ก็เพียงแค่ยิ้มและจากไป ในความคิดของเขาสิ่งที่เรียกว่า กลไกโครงสร้างก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการอาศัยสภาพภูมิประเทศและใช้วิธีการที่แยบยลเพื่อให้เกิดภาพลวงตาที่ว่าสี่ตำลึงยกพันชั่งก็เท่านั้นเอง เช่นของจำพวกแผ่นกระดานพลิก ทรายดูด กำแพงหนาม เขาไม่เชื่อว่าสำนักศึกษาจะกล้าใช้กลไกที่โหดร้ายเหล่านี้กับตัวเอง เมื่อตัดของเล่นที่อันตรายถึงชีวิตแล้วกลไกยังจะมีผลอะไรได้อีก ยิ่งเป็นผู้ที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลมากเท่าไรก็ยิ่งมีความหวาดกลัวต่อเรื่องที่ยังไม่รู้น้อยเท่านั้น อาจารย์กล่าวไว้ว่า “เคารพภูตผีเทวดาแต่ให้อยู่ห่างไกล”


 


 


อวิ๋นเยี่ยกำลังนอนหมอบอยู่บนหอเก็บน้ำ นั่งที่นี่เขาสามารถเห็นการเคลื่อนไหวทุกอย่างของโต้วเยี่ยนซันได้อย่างชัดเจน กงซูมู่หาเก้าอี้เอนมานอนและหลับตาพักผ่อน หลี่ไท่นั่งนวดก้นของเขานั่งปรนนิบัติกงซูมู่อย่างขยันขันแข็ง ไม่วางท่าทีเหมือนท่านอ๋องเลยแม้แต่น้อย ดูเหมือนว่ากงซูมู่จะเสพสุขกับเกียรติเช่นนี้มาก นอนฮัมเพลงอยู่ตรงนั้น ดูน่าขยะแขยงมาก ก็ไม่รู้ว่ากำลังร้องเพลงเด็กหรือโดนแดดเผาจนสุขสบายเกินไปจึงได้ส่งเสียงฮัมออกมาโดยไม่รู้สึกตัว


 


 


ความเจ็บปวดที่ก้นของหลี่ไท่นั้นเกิดจากเท้าของอวิ๋นเยี่ย เดิมยังคิดว่ากลไกที่เลวร้ายที่สุดของหลี่ไท่อย่างมากก็เป็นน้ำหนึ่งอ่าง ใครจะคิดว่าจะเป็นกระสอบทรายที่อัดทรายจนเต็มแน่น ตอนนี้เผยอิงยังคงปวดหัวหน้ามืด นอนโอดครวญอยู่ในคุกใต้ดินของสำนักศึกษาอยู่เลย


 


 


สำหรับความรุนแรงของอวิ๋นเยี่ย หลี่ไท่ทำอะไรไม่ได้เลย เมื่อบอกเสด็จแม่ของตนเองเพื่อขอให้นางออกหน้าให้ ใครจะรู้ว่าเสด็จแม่ถึงกับพูดว่า “ลูกผู้ชายหากถูกทุบตี ถ้าไม่อดทนก็ไปเอาคืน วิ่งมาโอดครวญต่อหน้าแม่ใช้ได้ที่ไหนกัน หากคราวหน้ายังกล้ามาฟ้องเรื่องเช่นนี้อีก ข้าจะตีเจ้าอีกรอบด้วย” นับแต่นั้นมาถ้าหากมีโอกาสหลี่ไท่จะหาหนทางจัดการอวิ๋นเยี่ยให้ได้ เพียงแต่จนถึงตอนนี้คะแนนก็ยังติดลบ ทุกครั้งที่ทำล้มเหลวตนเองก็ต้องเป็นฝ่ายเจ็บตัว แต่ไหนแต่ไรอวิ๋นเยี่ยไม่เคยอธิบายเหตุผลกับเขาเลย กำปั้นและเท้าจึงเป็นสิ่งเดียวที่เขาไว้ใจได้ หลี่ไท่เกลียดแค้นเขามาก


 


 


“ผู้เฒ่ากงซู ของเล่นห่วยๆ ของเจ้าจะใช้การได้ไหม จะสามารถหยุดยั้งโต้วเยี่ยนซันได้หรือไม่ ดูเหมือนข้าจะใช้เวลาเพียงหนึ่งก้านธูปก็แก้ปมของเล่นห่วยๆ ของเจ้าได้แล้ว มีแต่ช่องโหว่เต็มไปหมดเหมือนตะแกรงไม่มีผิด หากถูกชายคนนั้นแก้ปมได้ ใบหน้าเ**่ยวๆ ของเจ้าจะเก็บไว้ที่ไหน ถ้าหยุดยั้งไม่ได้ก็ขอให้รีบๆ บอก ข้าจะได้คิดอีกวิธีหนึ่ง”


 


 


อวิ๋นเยี่ยไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวกลไกของกงซูมู่สักเท่าไร ของเล่นเด็กสามขวบเหล่านั้นจะสามารถขัดขวางตระกูลโต้วได้หรือ


 


 


คำพูดเพียงประโยคเดียวทำให้ชายชราลุกพรวดขึ้นมาจากเก้าอี้ ดวงตาแดงก่ำ “ปีศาจร้ายอย่างเจ้าข้าอยู่มานานกว่าเจ็ดสิบปีก็เพิ่งจะเจอเจ้าเพียงคนเดียว ข้าไม่เชื่อว่าจะมีคนอย่างเจ้าอยู่ทั่วหล้านี้ ถ้าหากว่าใครๆ ก็สามารถแก้กลไกของข้าให้กลายเป็นของที่ไม่มีอะไรเลยได้ง่ายๆ เช่นนั้นวันนี้ข้าจะกระโดดลงไปจากหอเก็บน้ำนี้ อยู่ต่อไปยังจะมีหน้าสร้างชื่อเสียงบารมีอะไรในสำนักศึกษาได้อีก”


 


 


อวิ๋นเยี่ยเอานิ้วแคะหู คนอายุเจ็ดสิบกว่ายังจะตะโกนได้เสียงดังเพียงนี้อีก ดูแล้วน่าจะยังมีสินค้าที่ดีอยู่อีกหลายปี ด้วยการรับประกันเช่นนี้ อวิ๋นเยี่ยเองก็รู้สึกโล่งใจ มองดูโต้วเยี่ยนซันที่กำลังวนเวียนอยู่บนอุโมงค์ทางเดิน อวิ๋นเยี่ยยิ้มเหมือนสุนัขจิ้งจอก


 


 


ในใจก็คิดว่า ‘ลิงกับลาไม่ได้แข่งกันเรื่องมันสมอง แต่กลับแข่งกันในจุดแข็งของตัวเอง พวกคุณคิดว่าฉันโง่หรืออย่างไร’

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)