เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วน 5 ตอน 09-11
ส่วนที่ 5
ตอนที่ 9 ความหวังของท่านย่า
ในปากอวิ๋นเยี่ยกัดขนมที่เสี่ยวยาใส่เข้าปาก ปล่อยให้ป้าสะใภ้และอาหญิงถอดชุดเกราะออกให้ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ท่านย่าปาดน้ำตาพลางพูดว่าดำขึ้นและผอมลง จับมือเขาขึ้นมาดูรอยแผลที่ถูกแช่แข็งจนบวมน้ำเป็นแผลก็ปวดใจจนแทนจะเป็นลมหมดสติไป ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าหลานชายต้องทนทุกข์ทรมานมากเพียงไหนท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บและยากลำบากเพียงไร นี่เป็นความยากลำบากที่โหวเหยียที่ถูกเลี้ยงอย่างสุขสบายควรจะต้องพบเจอที่ไหนกัน
อาบน้ำอีกแล้ว แต่คราวนี้อวิ๋นเยี่ยไล่ทุกคนออกไปห้ามไม่ให้พวกเขาอยู่ในห้อง โตเป็นผู้ใหญ่ตั้งนานแล้ว ถ้ายังให้ป้าสะใภ้อาบน้ำให้ต้องถูกคนอื่นหัวเราะเยาะแน่ ท่านย่ายืนกรานว่าจะต้องตรวจดูร่างกายทั้งตัวของอวิ๋นเยี่ยให้ชัดเจน เมื่อเห็นว่าไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรจึงยอมปล่อยอวิ๋นเยี่ยแล้วจึงปิดประตูเดินยิ้มออกไป
หลานชายโตเป็นผู้ใหญ่ ถึงเวลาที่ต้องจัดการเรื่องแต่งงานให้เขาแล้ว แม่หนูซินเย่ว์จนป่านนี้ยังไม่ยอมปล่อยผมลง ยังคงเกล้าผมดังหญิงที่ออกเรือน แม้ว่าในเมืองหลวงจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ แต่อย่างไรเสียก็เป็นหญิงสาวคนหนึ่ง คงต้องมีพวกปากหมูปากกาคอยพูดมากอยู่ลับหลังกันบ้าง ก็ไม่รู้ว่าไม่กลัวจะโดนตัดลิ้นทิ้งหรืออย่างไร
ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น ซินเย่ว์ก็รีบร้อนวิ่งมาหา เมื่อมองดูซินเย่ว์ที่หายใจหอบ ท่านย่ายิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกสบายใจ หากหนุ่มสาวคู่นี้ออกเรือนแล้วจะมีความสุขเพียงไหนกัน ตอนนี้ยังไม่ถึงเดือนสาม ถ้าหากจัดการแต่งงานให้เร็วขึ้นหน่อย บางทีในปีหน้าก็จะได้อุ้มเหลนแล้ว เมื่อนึกถึงตรงนี้ ท่านย่าก็มองไปที่ประตูห้องของหลานชายแล้วพูดกับซินเย่ว์ที่คารวะตนเองว่า “ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องรีบ คนเพิ่งจะกลับมากำลังอาบน้ำอยู่ เจ้าก็รู้นิสัยสามีเจ้า ไม่ชอบให้สาวใช้ปรนนิบัติ ปีก่อนเป็นป้าสะใภ้อาบน้ำให้เขา ปีนี้โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แม้กระทั่งคนแก่อย่างข้ายังถูกไล่ออกมา ข้าคิดว่าเขาคงทำอะไรไม่สะดวกเท่าไร เจ้าเข้าไปข้างในช่วยเขาหน่อย ทั้งบ้านก็มีเจ้าเหมาะสมที่สุด”
ซินเย่ว์เขินหน้าแดง ปฏิเสธที่จะเข้าไปข้างใน แต่สุดท้ายก็ถูกท่านย่าผลักเข้าไป แล้วยังปิดประตูจากข้างนอก เดินยิ้มตาหยีพลางพูดกับตัวเอง “ผมก็เกล้าขึ้นมาแล้ว เป็นคนของตระกูลอวิ๋นข้านานแล้ว ตอนนี้จะมาอายอะไร ตระกูลอวิ๋นข้ามีหน่อเนื้อเชื้อไขอยู่เพียงคนเดียว หากเอาแต่อายไม่เลิกแล้วเมื่อไหร่ข้าจะได้อุ้มเหลนเสียที เด็กๆ พวกนี้ทำไมจึงไม่เข้าใจจิตใจของผู้ใหญ่เอาเสียเลย”
เมื่อเห็นอาหญิงแอบหัวเราะอยู่ในลานหลังบ้าน ก็โกรธเป็นอย่างมากแต่ละคนนั้นไม่ได้ความ จะหาผู้ชายให้พวกนางรีบๆ แต่งงานไปเสีย สุดท้ายก็ไม่มีใครต้องการแต่งงาน อาสะใภ้สองคนที่อายุมากแล้วก็ช่างเถอะ ลูกสาวของตนเองอายุเพียงสามสิบปีทำไมจึงไม่ยอมแต่งงานอีก แต่ละคนห่วงกินแต่ขี้เกียจหวังรอหลานชายที่น่าสงสารเลี้ยงจนสิ้นอายุขัย คนพวกนี้ได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายจนเคยชินแล้วจะให้ไปใช้ชีวิตที่กดดันมันก็ไม่ต่างจากการฆ่าพวกนาง ช่างเถอะ อย่างไรเสียหลายชายก็เป็นคนมีความสามารถมาก เลี้ยงพวกเสียข้าวสุกไม่กี่คนก็ไม่เป็นปัญหาอะไร
“เฝ้าประตูให้ดี ถ้าคนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาก็ตีขาให้หักเลย” หลังจากสั่งงานให้อาหญิงทำเสร็จแล้ว จึงเดินโงนเงนกลับไปพักที่ห้องเพื่อเตรียมตัวเข้าร่วมงานเลี้ยงในตอนเย็น
อวิ๋นเยี่ยกำลังมุดศีรษะดำน้ำอยู่แล้วนับหนึ่งร้อยก่อนที่จะโผล่ศีรษะขึ้นจากน้ำ ทันทีที่เงยหน้าขึ้นก็เห็นใบหน้ายิ้มแย้มดั่งบุปผาอยู่ตรงหน้า ซินเย่ว์ เป็นไปได้อย่างไร อวิ๋นเยี่ยคิดว่าเขาดำน้ำนานเกิดไปทำให้สมองขาดออกซิเจนทำให้เกิดอาการประสาทหลอน จึงพ่นน้ำออกมาเต็มปากเพื่อทำลายภาพลวงตา
ใครจะรู้ว่าจะได้ยินเสียงร้องอันอ่อนโยนแทน อวิ๋นเยี่ยตกใจมากขยี้ตาหลายครั้งจึงได้แน่ใจว่า คนที่เช็ดคราบน้ำบนใบหน้าก็คือซินเย่ว์ มนุษย์เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดมาก ขณะที่อาบน้ำหากใครสวมเสื้อผ้าอยู่ก็คือผู้ที่ได้เปรียบแน่นอน
อวิ๋นเยี่ยขดตัวลงด้านล่างโดยไม่รู้ตัว ทั้งยังหยิบกิ่งของต้นไซเปรสที่เอาไว้ขจัดสิ่งชั่วร้ายที่อยู่ในน้ำอาบมาปกปิดส่วนที่สำคัญที่สุดไว้ด้วย
“เจ้ามาได้อย่างไร ข้ากำลังอาบน้ำอยู่นึกว่ามันเป็นภาพหลอนดังนั้น… ” เขายังถึงกับเตรียมที่จะอธิบาย แต่หารู้ไม่ว่าเรื่องเช่นนี้ยิ่งอธิบายยิ่งฟังดูเลวร้ายมากขึ้น ไม่อธิบายเลยจะดีเสียกว่า
“หึๆๆๆ” ซินเย่ว์หัวเราะอย่างมีเลศนัยไม่หยุด เมื่อครู่ยังเขินอายมากไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้อย่างไรดี น้ำที่อวิ๋นเยี่ยพ่นใส่นางได้ทำให้นางได้สติขึ้นมา ถูกต้อง เขาเป็นผู้ชายของข้า จะอายอะไรกัน จึงเงยหน้าขึ้นและจ้องมองอวิ๋นเยี่ยตาไม่กะพริบ มองจนอวิ๋นเยี่ยกลอกตาไปมารอบๆ เพื่อหลบสายตา
“ข้ามาช่วยเจ้าอาบน้ำ ท่านย่าสั่งน่ะ” หลังจากพูดจบก็หยิบรังบวบจุ่มลงน้ำและถูหลังให้เขาเบาๆ
มือเล็กๆ ที่ขาวราวกับหยกคู่หนึ่งลูบไล้ไปมาอยู่บนไหล่และแผ่นหลัง ถึงแม้ว่าอวิ๋นเยี่ยจะเป็นวัยรุ่นมาแล้วสองภพก็ไม่มีแรงต่อต้านเลยแม้แต่น้อย ในห้องนี้ร้อนมาก ท่านย่าได้สั่งให้วางเตาถ่านสองอันไว้ในห้อง การหายใจเริ่มเหนื่อยหอบมากขึ้น อวิ๋นเยี่ยหยุดมือที่ถูไหล่ให้เขาและกุมไว้ในฝ่ามือ ค่อยๆ วางมือของซินเย่ว์ไว้บนหน้าอก ให้นางได้สัมผัสถึงหัวใจของตนเองที่เต้นอย่างรุนแรง
ซินเย่ว์ราวกับว่าถูกกระชากวิญญาณไปในพริบตา แนบกายลงบนแผ่นหลังอวิ๋นเยี่ยอย่างอ่อนแรง ลมหายใจอันหอมหวนลอยที่เย้ายวนเล็กน้อยมาจากด้านหลังกกหูของอวิ๋นเยี่ย ไม่คิดว่าเด็กผู้หญิงคนนี้จะอ่อนไหวมากถึงเพียงนี้ หญิงงามอยู่ด้านหลังมีหรือที่อวิ๋นเยี่ยยังจะต้องเกรงใจอีก หันกลับมาและกอดร่างที่อ่อนระทวยของซินเย่ว์ไว้แน่น มองไปที่ริมฝีปากเล็กๆ แล้วจูบลงไป ในเวลานี้มือก็ได้ลูบไล้อยู่ที่หน้าอกของซินเย่ว์ด้วยความเชี่ยวชาญตั้งนานแล้ว…
อาหญิงได้ยินเสียงออดอ้อนของซินเย่ว์จึงนึกว่างานใหญ่สำเร็จแล้ว ในขณะที่นางกำลังฉลองอยู่นั้นก็พบว่าอาจารย์อวี้ซันมาที่ลานหลังบ้าน ตระกูลอวิ๋นแทบจะไม่จำกัดพื้นที่ต่ออาจารย์ทั้งสี่คน พวกเขาคุ้นเคยกับเส้นทางเป็นอย่างดี ครึ่งปีที่ผ่านมาเขาเองก็เป็นห่วงอวิ๋นเยี่ยมากเช่นกัน เมื่อเขาคิดว่าหลานสาวของเขาอาจเป็นหม้ายเขารู้สึกเสียใจภายหลังที่เชื่อคำของหลี่กัง ที่ได้รีบหมั้นหมายซินเย่ว์ให้กับอวิ๋นเยี่ย ตอนนี้เขาได้ยินว่าอวิ๋นเยี่ยกลับมาอย่างปลอดภัยก็ต้องหายใจได้ทั่วท้องเป็นธรรมดา แต่ถ้าไม่มาดูด้วยตาก็ยังคงไม่วางใจ
“อาหญิงอวิ๋น หลานชายของเจ้าอยู่ที่ไหน จริงสิเสี่ยวเย่ว์ไปไหนแล้ว ทำไมข้าไม่เห็นนาง” อาจารย์อวี้ซันถามอากญิงอวิ๋นอย่างเสียงดัง
อาหญิงอวิ๋นร้อนใจมาก มีหรือจะกล้าบอกว่าซินเย่ว์อยู่ในห้องหลานชายนาง ในช่วงเวลาสั้นๆ หาข้อแก้ตัวไม่ได้ จึงได้แต่อึกๆ อักๆ ไม่พูดอะไร
ข้าได้ยินว่าเจ้าหนุ่มกำลังอาบน้ำ ขอดูหน่อยแล้วก็จะไป” พูดพลางก็เปิดประตู
เมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยกำลังอาบน้ำ กวาดตาขึ้นลงครู่หนึ่งและพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เจ้าหนุ่ม ไม่ได้รับบาดเจ็บใช่ไหม”
“ขอบคุณอาจารย์อวี้ซันที่เป็นห่วง ข้าปลอดภัยดี” อวิ่นเยี่ยพูดกับอาจารย์อวี้ซันพลางกวักน้ำขึ้น
“อื้อ เช่นนั้นเจ้าก็อาบน้ำก่อน แล้วพวกเราค่อยๆ มานั่งคุยกัน” หลังจากพูดจบก็ปิดประตูแล้วเอามือไพล่หลังเดินออกไป อาหญิงรู้สึกประหลาดใจมาก หรือจะบอกว่าอาจารย์อวี้ซันเองก็ร้อนรนจนทนรอเรื่องแต่งงานของหลานสาวไม่ไหวแล้ว เห็นเหตุการณ์เช่นนี้แต่ก็ไม่ถือสาเช่นกัน ในใจเกิดความสงสัยมากมายแต่ก็น่าเกลียดที่จะเปิดประตูดู จึงได้แต่ต้องเก็บความสงสัยไว้ในใจ
อวิ๋นเยี่ยไม่เห็นซินเย่ว์ขยับเขยื้อนเป็นเวลานานจึงก้มหน้าดู แม่หนูคนนั้นดำลงไปในน้ำและยังไม่ยอมโผล่ขึ้นมา กลัวว่านางจะเป็นอะไรไปจึงรีบดึงตัวขึ้นมา เห็นเพียงซินเย่ว์ที่ดวงตาปรือราวกับว่าอายจนไม่กล้าเงยหน้า สายน้ำเล็กๆ ไหลลงมาจากช่องแคบขาวๆ บริเวณทรวงอกของนาง อวิ๋นเยี่ยจ้องมองจนสมาธิแตกซ่าน มุดหน้าไปที่ทรวงอกของซินเย่ว์ สูดดมกลิ่นหอมอ่อนของกล้วยไม้บนกายนาง มือเตรียมที่จะถอดกางเกงชั้นในของซินเย่ว์ออก เพื่อที่จะถอดเสื้อชิ้นสุดท้ายบนร่างนาง
ซินเย่ว์หยุดมือมารของอวิ๋นเยี่ยไว้ ไม่อนุญาตให้ก้าวล้ำไปมากกว่านี้ ซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของอวิ๋นเยี่ยครู่หนึ่ง จากนั้นก็กระโดดออกจากถังไม้ หยิบเสื้อผ้าที่อยู่ด้านหลังถังมาสวมใส่อย่างรวดเร็ว สวมเสื้อผ้าเสร็จก็ไม่มีเวลาใส่ใจกับผมที่เปียกโชก จูบที่แก้มอวิ๋นเยี่ยเบาๆ แล้วก็วิ่งหนีไป ปล่อยให้อวิ๋นเยี่ยผู้น่าสงสารอยู่คนเดียวมองดูน้องชายที่เตรียมทำงานใหญ่ต้องแหงนหน้ามองฟ้าแล้วถอนหายใจ “ทำไมจึงเป็นเช่นนี้”
ตระกูลอวิ๋นจัดงานเลี้ยงขนาดใหญ่เพื่อฉลองการชนะศึกกลับมาของผู้นำตระกูล พวกเขาได้เตรียมงานตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ผู้หญิงทุกคนในหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นต่างก็มีส่วนร่วมในการเตรียมงานเลี้ยง แน่นอนว่าเฉิงฮูหยินและหนิวฮูหยินที่อยู่ในฉางอันได้มาถึงที่หมู่บ้านตั้งแต่เช้า ฮูหยินทั้งสองของตระกูลอวี้ฉือก็ติดตามอวี้ฉือเหล่ากั๋วกงมาร่วมฉลองด้วย ลูกหลานของหลี่จิ้งและหลี่จีก็มาร่วมด้วย หลี่เฉิงเฉียนขี่ม้าชั้นเลิศห้อตะบึงมาด้วยความเร็วสูงสุด
ในสำนักศึกษานั้นยิ่งกว่าผึ้งแตกรัง หลี่กังพาอาจารย์หลีสือซึ่งเพิ่งรีบกลับมาจากบ้านเดินทางมาด้วยกัน อาจารย์หยวนจางและจ้าวเหยียนหลิงนั่งเกวียนเทียมวัวโยกเยกมาจนถึงตระกูลอวิ๋น โดยบอกว่าได้ยินว่าอวิ๋นโหวกลับมาแล้วจึงยังไม่ได้ทานอาหารกลางวัน เร่งรีบให้ตั้งโต๊ะอาหาร ผู้นำตระกูลกงซูนั้นวางท่ายิ่งใหญ่ต้องให้ตระกูลอวิ๋นจัดเตรียมรถม้าไปรับมา ทั้งยังต้องเป็นรถม้าคู่ของเจ้าบ้านอีกด้วย เมื่อมาถึงก็ไม่ถามว่าลูกชายของตัวเองยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ เดินตรงไปทักทายร่วมนั่งกับอวี้ฉือกง
แม่เฒ่ามองดูซินเย่ว์ที่ยิ้มแย้มเบิกบานราวกับผีเสื้อร่ายรำอยู่หมู่พฤกษาท่ามกลางหญิงผู้ติดตามก็ทอดถอนใจ ทำไมจึงไม่รู้จักบอกว่าไม่สะดวกบ้างนะ เช่นนี้ก็ไม่มีเหลนน่ะสิ ลมหายใจแห่งความคับข้องใจของแม่เฒ่าได้สาดกระเซ็นอยู่บนศีรษะของอาจารย์อวี้ซัน มองอาจารย์อวี้ซันอย่างขวางหูขวางตาไปหมด ทำให้ชายชราคิดอย่างไรก็คิดไม่ตกว่าตนเองได้ไปล่วงเกินอะไรแม่เฒ่าคนนี้ไว้กันแน่ จึงทำให้นางปฏิบัติต่อตนเองเช่นนี้
งานเลี้ยงได้จัดตั้งแต่ในห้องโถงรับแขกไปจนถึงด้านนอกของลานหลังบ้าน บนถนนก็ได้จัดเรียงไว้เป็นแถวยาวเหยียด เหล่าเฉียนยุ่งอยู่กับการเตรียมเพิงใหญ่ เหล่าจวงกำลังยุ่งอยู่กับการรักษาความสงบเรียบร้อย เมิ่งปู้ถงและต้วนเหมิ่งรอต้อนรับแขกที่ประตู หลี่ไท่และหลี่เค่อตรวจสอบสิ่งของที่อวิ๋นเยี่ยนำกลับมา ท้ายที่สุดก็ให้การประเมินที่สอดคล้องกัน นอกจากทรัพย์สินเงินทองแล้ว เจ้าหมอนี่ไม่ได้นำอะไรที่มีประโยชน์กลับมาเลยแม้แต่อย่างเดียว หลี่เฉิงเฉียนนั่งบนเก้าอี้โยกและถือคริสตัลโปร่งแสงสองชิ้นไว้เบื้องหน้าเพื่อเปรียบเทียบกันไม่ยอมวางมือ เขาหวังอยากได้ของสิ่งนั้นที่ใส่อยู่บนหน้าของตาเฒ่าเฉิงมาโดยตลอด ไม่รู้ว่าเสี่ยวเยี่ยยังจะมีหินแบบนี้หรือไม่ ของเหล่าเฉิงเป็นสีดำ ข้าจะทำเป็นสีแดงเช่นนี้ก็เท่ากับว่าได้เกทับเขาแล้วไม่ใช่หรือ สิ่งที่ขัดตาที่สุดก็คือพฤติกรรมที่เหล่าเฉิงสวมแว่นกันแดดเดินอวดเบ่งไปทั่วทุกแห่ง คราวก่อนเสด็จพ่ออยากจะทอดพระเนตรเสียหน่อยเขาก็ยังไม่ยอม บอกว่ามันเป็นสมบัติของเหล่าเทพเซียนอะไรก็ไม่รู้ ห้ามให้คนภายนอกดูเพราะจะทำให้ไอเซียนหายไป เสด็จพ่อทรงพิโรธจนแทบจะโยนตะเกียบทิ้ง
ไม่รู้ว่าหลี่ไท่ไปเจอแว่นขยายมาจากที่ไหน ติดนิสัยชอบวางไว้ตรงหน้าเพื่อใช้ดูทำให้หลี่เค่อตกใจจนทำหินหยกที่ถืออยู่ในมือตกกระแทกใส่หลังเท้าจนร้องครวญคราง ไม่มีอะไรอื่น ก็แค่ดวงตาประหลาดขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นต่อหน้าเท่านั้น
หลี่ไท่ที่เพิ่งค้นพบของเล่นชิ้นใหม่มีหรือจะสนใจกับสภาพที่น่าเศร้าของพี่สาม เขายังคงวางแว่นขยายบนสิ่งของต่างๆ ไม่ยอมหยุด เห็นสิ่งของต่างๆ เหล่านี้ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ต่อหน้าต่อตา เสียงร้องด้วยความตื่นตาตื่นใจไม่มีหยุดปากเลย
หลี่เฉิงเฉียพบว่าพี่น้องสามคนอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขก็สบายใจเป็นอย่างมาก โยนเรื่องการแก่งแย่งกันทั้งต่อหน้าและลับหลังของบรรดาพระสนมในวังทิ้งไป มิตรภาพพี่น้องแบบนี้ทำให้เขาเริ่มหลงใหลขึ้นมาเล็กน้อย หากสามารถเป็นเช่นนี้ต่อไปได้ หลี่เฉิงเฉียนจะไม่สนใจเลยแม้แต่น้อยว่าเสด็จพ่อจะพระราชทานที่ดินให้น้องสี่เป็นจำนวนเท่าไร
ในสถานการณ์ที่จัดเป็นทางการ ฐานะของสามพี่น้องนั้นมีเกียรติมากที่สุด แน่นอนว่าต้องรอเข้าร่วมเป็นคนสุดท้าย มันเป็นความคิดของอวิ๋นเยี่ยที่ให้พวกเขาสามคนเข้ามาด้วยกัน เขาต้องการดูว่าแท้จริงแล้วยังมีความหวังที่จะให้สามพี่น้องปรองดองกันได้หรือไม่ ถ้าหากมี เขาก็หวังว่าจะรีบใส่ห่วงรัดไว้ตั้งแต่ครั้งแรกสุดที่มีรอยร้าวแตกออกมา
เมื่อผลักประตูออก ก็เห็นสามพี่น้องต่างคนต่างยุ่งกันอยู่ คนหนึ่งกำลังมองหาคริสตัล คนหนึ่งกำลังคำนวณทรัพย์สิน และอีกคนเตรียมจะดึงเส้นผมจากศีรษะของพี่สามเขา มองดูอย่างละเอียดถี่ถ้วนว่าสภาพของเส้นผม เมื่อขยายใหญ่แล้วมีอะไรแตกต่างกันเส้นผมที่เห็นกันในยามปกติ
ส่วนที่ 5
ตอนที่ 10 งานเลี้ยง
งานเลี้ยงนั้นไม่สงบตั้งแต่แรกเริ่ม หลังจากที่ยกแก้วดื่มฉลองให้กับต้าถังเจริญรุ่งเรืองนับร้อยปี ขอให้ฮ่องเต้ทรงพระเจริญหมื่นปีพร้อมกันแล้ว นอกจากสามพี่น้องแห่งราชวงศ์แล้ว ผู้ที่ฐานะสูงที่สุดก็คืออวี้ฉือกงที่กำลังถือไหเหล้าตามหาอวิ๋นเยี่ย เหล้าฉลองชัยนั้นไม่ดื่มไม่ได้ เพียงแต่ภาชนะที่ใช้ใส่เหล้านั้นใหญ่ไปหน่อย อวิ๋นเยี่ยไม่สนใจหากว่าใช้ถ้วยซัง[1] แต่ใส่ไหเหล้าก็เกินไปแล้วจริงๆ เพิ่งจะกลับถึงบ้าน ในท้องก็มีขนมเพียงเล็กน้อยที่เสี่ยวยาส่งเข้าปากมา ก็ต้องล้างท้องด้วยการดื่มเหล้าดีกรีสูงของตระกูลอวิ๋นแล้วหรือ
ให้ตายสิ ในกองทัพเน้นเป็นสำคัญว่าเจ้าสามารถเมาเหล้าตายได้ แต่ห้ามตกใจตายอย่างเด็ดขาด อวี้ฉือจอมซื่อบื้อเลือกโอกาสได้เหมาะมาก กองทหารมีชัยกลับมาเป็นช่วงเวลาที่จะดื่มได้อย่างสะใจ ทั้งยังนำเรื่องในอดีตที่พวกเขาเอาชนะโต้วเจี้ยนเต๋อได้แล้ว พวกเขาและหลี่ซื่อหมินใช้หมวกของชุดเกราะมาใส่เหล้าดื่มอดีตมาเป็นตัวอย่างอีกด้วย
เมื่อพูดถึงรุ่นอาวุโส หลี่เฉิงเฉียน หลี่ไท่และหลี่เค่อก็ไม่สามารถนั่งนิ่งได้ จึงได้แต่ต้องลุกขึ้นดื่มเป็นเพื่อน ภายใต้สายตาที่เหยียดหยามของอวี้ฉือจอมซื่อบื้อ สามพี่น้องจึงวางแก้วเหล้าในมือลง หยิบไหเหล้าข้างๆ ที่มีขนาดใหญ่กว่าศีรษะคนขึ้นมา จ้องมองเหล่าอวี้ฉือด้วยแววตาที่เคียดแค้นตาไม่กะพริบ
หลี่กังกลับไม่ห้าม คนอื่นๆ ต่างก็พากันตะโกนโห่ร้องกันอยู่อย่างสนุกสนาน คอยืดคอยาวรอให้พวกเขาทั้งห้าแข่งกันดื่ม อวิ๋นเยี่ยนั้นค่อนข้างเจ้าเล่ห์ ส่งไหเหล้าในมือให้กับทหารผ่านศึกที่ติดตามเขาออกรบ ทหารผู้นั้นซาบซึ้งใจจนดวงตาแดงก่ำ
เหล้าชั้นเลิศของตระกูลอวิ๋นมีดีกรีที่แตกต่างกันมีห้าสิบดีกรี สี่สิบดีกรีและยี่สิบดีกรี แต่ไหเหล้าที่อวี้ฉือจอมซื่อบื้อส่งใส่มืออวิ๋นเยี่ยเมื่อครู่นั้นกระดาษที่ปิดอยู่ด้านบนมีตัวเลขใหญ่ๆ เขียนไว้ว่าหกสิบ ให้ตายสิ นี่เป็นผลผลิตจากความล้มเหลวในการกลั่นแอลกอฮอล์ หากไม่ส่งให้คนอื่นอวิ๋นเยี่ยต้องเมาตายแน่
หลี่เฉิงเฉียนเป็นจอมเจ้าเล่ห์ในจอมเจ้าเล่ห์เพราะคลุกคลีกับอวิ๋นเยียมาเป็นเวลานาน เรื่องสายตานั้นไม่ต้องพูดถึงเมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยส่งไหเหล้าให้กับทหาร เขาก็ไม่ได้โง่ รู้ทันทีว่ามีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากล เขาตบหน้าอกทหารผ่านศึกและส่งไหเหล้าในมือให้เขา ปากก็พูดขอบคุณทหารที่ไม่กลัวตายเสียสละเพื่อราชวงศ์ถังไม่หยุด แน่นอนว่าเหล้าไหนี้ต้องให้ทหารหาญได้ลิ้มลองก่อน หลี่ไท่และหลี่เค่อประทับใจความใจกว้างของพี่ชาย แน่นอนจึงส่งไหเหล้าในมือให้เขา เหล่าอวี้ฉือลูบหนวดเครายกย่องเสียงดังว่าคนหนุ่มรุ่นหลังหลายคนนี้มีความนิสัยเหมือนคนโบราณ พวกหลี่กังก็ส่งเสียงโห่ร้องชื่นชม ทุกคนลุกยืนขึ้น ยกจอกเหล้าขึ้นและรอให้พวกอวิ๋นเยี่ยยกไหเหล้าขึ้นมาอีกครั้ง ทุกคนจะได้ดื่มอย่างสะใจด้วยกัน
ไม่ง่ายเลยกว่าที่อวิ๋นเยี่ยจะหาไหเหล้าที่ด้านบนมีกระดาษปิดที่เขียนว่ายี่สิบออกมาจากกองไหเหล้าได้ เตรียมที่จะนำไปดื่มให้สะใจกับเหล่าอวี้ฉือ
“เสี่ยวเยี่ย ช่วยพี่น้องด้วยสิ เจ้าต้องมีวิธีใช่ไหม เหล้าไหที่เจ้าหาออกมาแตกต่างจากเมื่อครู่อย่างไร” หลี่เฉิงเฉียนซึ่งแกล้งเลือกไหเหล้าพลางถามอวิ๋นเยี่ย
“อย่าหาว่าพี่น้องกันแล้วไม่ดูแลเจ้า จำนวนตัวเลขที่อยู่บนไหเหล้ายิ่งน้อยยิ่งดี” หลังจากได้ยินดังนี้หลี่เฉิงเฉียนเองก็เข้าใจว่าเป็นอย่างนั้น ในไม่ช้าก็หาไหเหล้าดีกรีต่ำออกมาได้สามไห คิดๆ แล้วก็ส่งไหเหล้าที่เขียนเลขสิบห้าส่งให้หลี่ไท่และยี่สิบให้กับหลี่เค่อ ตัวเองกัดฟันแล้วหยิบไหเหล้าที่เขียนสามสิบไว้ออกมาหนึ่งไห หาไหที่มีตัวเลขน้อยกว่านี้ไม่ได้แล้วจริงๆ
เมื่อเหล่มองไปที่ไหเหล้าของเหล่าอวี้ฉือ ตัวเลขห้าอารบิกขนาดใหญ่สองตัวเขียนอยู่ด้านบน ทำให้หลี่เฉิงเฉียนวางใจได้ไม่น้อย มีกรรมการตรวจสอบเหล้าทำการตรวจสอบโคลนที่ผนึกไว้บนไหว่าเรียบร้อยดี จึงเอาโคลนปิดผนึกออกและดึงผ้าไหมสีแดงบนฝาไหออก กลิ่นหอมของเหล้าลอยคละคลุ้ง เหล่าอวี้ฉือตะโกนเสียงดัง “หมดไห” ทหารผ่านศึกที่ไปร่วมรบก็ตะโกนพร้อมกัน สุดท้ายยกไหเหล้าดื่มอย่างสะใจ อวิ๋นเยี่ยดื่มด้วยท่าทีที่ห้าวหาญมาก นี่คือสิ่งที่เรียนรู้จากเซวียว่านเริ่นขณะที่อยู่ที่ทุ่งหญ้า ก้นไหเหล้าถูกยกเอียงขึ้นระดับสายตา กรอกเหล้าคำใหญ่ใส่ปาก ที่มุมปากก็มีเหล้าไหลทะลักออกมาไม่หยุด อึกๆๆ ท่าทีองอาจผึ่งผายของนักรบปรากฏออกมาอย่างเด่นชัด ทุกคนต่างตะโกนร้องเยี่ยม หลี่เฉิงเฉียนดื่มพลางเหล่มองอวิ๋นเยี่ย เมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยดื่มด้วยท่าทีเช่นนี้ เขาจึงรีบยกไหเหล้าให้สูงขึ้นกว่าเดิมอีกหลายส่วน หลี่ไท่และหลี่เค่อเคยดื่มเหล้ารสเลิศของตระกูลอวิ๋น เมื่อคิดถึงรสชาติที่รุนแรงนั้นแล้วในใจยังอกสั่นขวัญแขวน สุดท้ายจึงดื่มไปหนึ่งอึกแล้วเบิกตากว้าง จากนั้นก็กรอกคำโตทันที พวกเขารู้สึกว่ารสชาติไม่เลว
ท่ามกลางเสียงโห่ร้องอย่างครึกครื้นทุกคนดื่มเหล้าจนหมดไห ดวงตาของอวี้ฉือจอมซื่อบื้อเริ่มแดงขึ้น ตบไหล่ของอวิ๋นเยี่ยอย่างสนิทสนม จากนั้นก็ตบหลังของสามพี่น้องตระกูลหลี่อีกหลายที เหล้าในปากของหลี่เค่อก็พ่นออกมาทันที ไม่ใช่เพราะดื่มจนเมา แต่เป็นเพราะอวี้ฉือกงตบหลังจนเหล้าไหลออกจากกระเพาะของเขา
อวี้ฉือกงไม่ถือสาแม้แต่น้อย สามพี่น้องตระกูลหลี่วันนี้ให้เกียรติเขาเต็มที่ ขณะกำลังจะไปชื่นชมสักหน่อย ก็เห็นว่าทหารผ่านศึกของตระกูลอวิ๋นล้มฟุบลงกับพื้นดัง “ตุบ” ไม่ใช่ว่าทุกคนจะคอแข็งดื่มพันจอกไม่เมาเหมือนอวี้ฉือจอมซื่อบื้อ ดื่มเหล้าดีกรีแรงตั้งเกือบแบนมีไม่กี่คนที่สามารถทนรับไหว ถึงแม้หลี่เฉิงเฉียนจะยืนโงนเงน แต่สายตานั้นยังคงชัดแจ้งยืนหยัดอยู่ได้
อวิ๋นเยี่ยเห็นว่าเหล่าอวี้ฉือกกำลังจะไปหยิบเหล้าอีก มองไปที่ไหเหล้าก็ไม่มีที่ตัวเลขน้อยกว่าสามสิบเหลือแล้ว จึงมองเหล่าเฉียนที่คอยรับใช้อยู่ข้างๆ เหล่าเฉียนที่ฉลาดหัวไวก็เดินมาด้านหลังอวิ๋นเยี่ยทันที อวิ๋นโหวในขณะนี้เริ่มต้านฤทธิ์เหล้าไม่อยู่กำลังจะล้มแล้ว ใครจะไปรู้ว่าหลี่เฉิงเฉียนจะชิงตัดหน้าล้มใส่ตัวเหล่าเฉียนก่อน เหล่าเฉียนจึงต้องพยุงรัชทายาทไว้ ไม่กล้าที่จะปล่อยให้เขาล้มลง เมื่อเขาล้มแล้วหลี่ไท่และหลี่เค่อก็ไม่โง่ องค์ชายทั้งสามเมาหมดแล้ว อวิ๋นเยี่ยไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเมาล้มทับอยู่บนร่างหลี่เฉิงเฉียน
ขันทีที่หลี่เฉิงเฉียนพามาและคนรับใช้ของตระกูลอวิ๋น ส่งคนทั้งสี่ที่ติดพันกันอย่างไม่ยอมปล่อยมือกลับไปที่ห้องของอวิ๋นเยี่ย อวี้ฉือจอมซื่อบื้อหัวเราะร่วนด้วยความภาคภูมิใจมาก เพียงแค่ตนเองออกโรงก็ทำให้ทั้งเจ้าภาพและแขกผู้มีฐานะสูงที่สุดถึงกับพ่ายแพ้ไม่เป็นท่า จะไม่ให้เขาภาคภูมิใจได้อย่างไร
หลี่กังชี้อวี้ฉือกงอยู่เป็นนานแต่แล้วก็วางมือลง กฎของกองทัพนักปราชญ์อย่างเขาไม่มีทางไปตำหนิได้ งานเลี้ยงยังคงดำเนินต่อไป ตัวละครเอกถูกมอมเหล้าจนเมาหมดแล้ว งานเลี้ยงของตระกูลอวิ๋นก็กลายเป็นสถานที่ที่มีฝูงมารก่อความไม่สงบทันที นักเรียนของสำนักศึกษาก็เลียนแบบการยกไหเหล้าดื่มบ้าง ด้วยเหตุนี้จึงไม่จำเป็นต้องพูดต่อห้องโถงรับแขกของตระกูลอวิ๋นก็เริ่มเต็มไปด้วยผีขี้เมา
เมื่อพวกอวิ๋นเยี่ยเข้ามาในห้องนอน ไม่ต้องให้คนพยุงอวิ๋นเยี่ยก็ลุกขึ้นยืน หลี่เฉิงเฉียนก็บิดคอและยืนขึ้นเช่นกัน หลี่ไท่ซึ่งถูกทับไว้ด้านล่างสุดก็เสแสร้งโอดครวญ แล้วผลักหลี่เค่อลงจากร่างกายของเขา
“เสี่ยวเยี่ย เหล้าบ้านเจ้าไม่เลวเลย รสที่ข้าดื่มเมื่อครู่นั้นอร่อยมาก ขอเพิ่มอีกหน่อย พวกเราค่อยๆ ดื่มในห้อง แล้วก็ขอกับแกล้มนิดหน่อย ข้าหิวมาก” หลี่เค่อยังไม่ทันลุกขึ้นมา ก็อ้าปากขอของกินกับอวิ๋นเยี่ยแล้ว
“ไม่มีใครถามว่าเกิดอะไรขึ้นเลยหรือ” อวิ๋นเยี่ยเหล่มองแล้วถามสามพี่น้องราชนิกุล
“มีอะไรน่าถาม เหล้าของเจ้านั้นเจ้าเลือกเอง เหล้าของพวกข้าพี่ใหญ่เลือกส่งมาให้ จะถามมากมายไปทำไม แค่ดื่มก็พอแล้ว เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเหล้าเหล่านั้นอันไหนดีกรีต่ำ อันไหนดีกรีสูง”
“ด้านบนมีตัวเลขอยู่ ยิ่งน้อยก็ยิ่งดีกรีต่ำ ของข้าด้านบนเขียนว่ายี่สิบ แล้วของพวกเจ้าล่ะ” อวิ๋นเยี่ยเห็นสิ่งที่หลี่เฉิงเฉียนทำแต่แรกแล้ว สิ่งที่เขาต้องการก็คือฉีกกำแพงกระดาษบางๆ นี้ทิ้งไป เช่นนี้จะเป็นผลดีต่อความสามัคคีของสามพี่น้องเป็นอย่างมาก
“ของข้าด้านบนเขียนว่าสิบห้า” หลี่ไท่พูด
“ของข้าด้านบนเขียนว่ายี่สิบ” หลี่เค่อพูด
“โชคร้ายจริงๆ ตั้งใจจะหาไหที่ด้านบนเขียนเลขสิบแต่ก็หาไม่เจอ จึงได้แต่ต้องหยิบไหที่ด้านบนเขียนสามสิบ โชคดีที่ทำเหล้ากระฉอกออกมาจำนวนมาก มิฉะนั้นแม้เป็นเหล้าดีกรีต่ำเพียงสามสิบดีกรีก็เอาชีวิตข้าได้” หลี่เฉิงเฉียนอย่างไรเสียก็เป็นคนที่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูของราชนิกุลตั้งแต่เยาว์วัย จึงรู้ดีว่าจะรักษาหน้าได้อย่างไร
ประเด็นที่จะพูดก็ได้พูดแล้วไม่จำเป็นต้องพูดต่อแล้ว จึงตะโกนเรียกเหล่าเฉียนให้เขาเตรียมอาหารแล้วส่งมาที่ห้องนอน อวิ๋นเยี่ยตั้งใจที่จะคุยกับสามพี่น้องดีๆ สักครั้ง เพียงแต่เมื่อเห็นว่าทั้งสามคนมีท่าทีหมดอาลัยตายอยากจึงละทิ้งความคิดนี้ไป ปฏิกิริยาตอบสนองทางจิตในของเหล่าราชนิกุลไม่สามารถเปิดเผยต่อสาธารณะได้ ในเวลานี้การสนทนากันก็ได้แต่คุยอย่างขอไปทีและการคาดเดา จู่ๆ อวิ๋นเยี่ยก็อยากจะหัวเราะขึ้นมา ทำไมต้องวางตัวเสมือนหนึ่งเป็นพระเจ้า จากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เมื่อครู่ทั้งสามคนไม่มีใครโง่เลย
ปล่อยให้เป็นไปตามวัฏจักรจะดีกว่า อย่าไปทำเรื่องที่เป็นการฝ่าฝืนกฎเกณฑ์การพัฒนาเลยรังแต่จะทำให้เสียงาน ในสถานการณ์เช่นนี้พวกเขาก็แสดงออกถึงสติปัญญา ไม่ใช่สิ่งที่คนที่มีต้นกำเนิดจากรากหญ้าเช่นตัวเองจะไปเปรียบเทียบได้ สิ่งที่ยังคงอยู่ก็คือความสมเหตุสมผล แต่ละคนมีเป้าหมายที่ต่างกัน จุดเริ่มต้นก็แตกต่างกัน สิ่งที่ประสบพบเจอก็ต่างกัน อาศัยอะไรไปเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เปลี่ยนได้ยากที่สุดในโลกนี้ เรื่องที่ศาสตราจารย์เฉพาะทางในยุคปัจจุบันยังไม่สามารถทำอะไรได้ แล้วตนเองจะอาศัยอะไร อวิ๋นเยี่ยจู่ๆ ก็ตื่นตระหนกขึ้น ได้ชีวิตราบรื่นเกินไปจนเริ่มถือดีขึ้นมา
“เฉิงเฉียน ได้ยินมาว่าเจ้าหมั้นกับลูกสาวของท่านแม่ทัพโหวแล้ว จะแต่งงานเมื่อไหร่” อวิ๋นเยี่ยเริ่มถามสอดเรื่องคนอื่นอย่างตรงไปตรงมา
“ยังมีเวลาอีกสองเดือน เจ้าเองก็ใกล้จะแต่งงานแล้วล่ะสิ ได้ยินว่าตอนที่เจ้าเดินทางไปแนวหน้า หญิงนางนั้นก็เกล้าผมใหม่อีกครั้ง ภรรยาเช่นนี้รีบแต่งงานให้เรียบร้อยโดยเร็วจะเป็นการดีนะ ตระกูลอวิ๋นมีเจ้าเป็นหน่อเนื้อเพียงคนเดียว แต่งงานเร็วหน่อยจะได้มีคนรับช่วงต่อ”
หลี่เฉิงเฉียนไม่ใช่คนรูปร่างใหญ่ แต่เขากลับสีหน้าเคร่งขรึมจริงจังเมื่อพูดถึงเรื่องเหล่านี้ มองไม่เห็นว่าจะมีการล้อเล่นปะปนอยู่เลยแม้แต่น้อยนิด คนสมัยโบราณไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องการสืบทอดตระกูลเหมือนทั่วๆ ไป หากนโยบายการให้กำเนิดบุตรในยุคปัจจุบันถูกนำมาประกาศใช้ในราชวงศ์ถัง อวิ๋นเยี่ยแน่ใจว่าราชวงศ์ถังจะต้องถูกโค่นล้มมานานแล้ว
“วันนี้ท่านย่าก็คุยกับข้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้าบอกว่าแล้วแต่นางจะจัดการ นางต้องการให้ข้าแต่งงานเมื่อไหร่ข้าก็จะแต่งงานเมื่อนั้น เรื่องนี้ข้าเชื่อฟังท่านย่า ไม่อยากทำให้เรื่องแต่งงานนั้นเละเทะวุ่นวาย”
“เจ้าเคยคิดถึงพี่สาวของข้าไหม” เมื่อได้ยินหลี่เฉิงเฉียนถามเช่นนี้ หลี่เค่อซึ่งกำลังก้มหน้าก้มตากิน หลี่ไท่รีบวางตะเกียบลงทันที รอฟังพร้อมกันว่าอวิ๋นเยี่ยจะตอบอย่างไร
“เฉิงเฉียน อันหลานสบายดีหรือไม่” ดื่มน้ำเข้าไปหนึ่งอึก ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงถามหลี่เฉิงเฉียน
“ไม่ดีเท่าไหร่ นางผอมไปมาก ไท่ซั่งหวงก็ไม่ค่อยสนใจนางมากนัก เสี่ยวเยี่ย หากเจ้าสามารถมาสู่ขอนางได้ก็จะดีมาก พวกเราก็จะกลายเป็นพี่น้องกันจริงๆ”
“เฉิงเฉียน ที่ข้าอยู่ห่างจากอันหลานไม่ใช่เพราะนางใช้ไท่ซั่งหวงมาบีบบังคับข้า แต่เพราะอันหลานจงใจทำเช่นนั้น นี่ก็เป็นปัญหาหนึ่งที่ข้าเพิ่งจะคิดออกอย่างชัดเจนขณะที่อยู่บนทุ่งหญ้า นางหยิ่งในศักดิ์ศรี ดื้อรั้น และมุมานะบากบั่น เป็นหญิงที่ดีคนหนึ่งที่หายากในใต้หล้านี้ ถึงแม้ว่าข้าที่เป็นพี่น้องกับเจ้าจะไม่ใช่ยอดอัจฉริยะของหนึ่งในหมื่น แต่ในหมู่คนที่พวกเจ้าสามารถมองเห็น ข้าคงจะเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดและคู่ควรที่สุดสำหรับนาง” เมื่อพูดถึงตรงนี้อวิ๋นเยี่ยมองดูสามพี่น้อง เห็นพวกเขาสีหน้าเต็มไปด้วยความงุนงงสงสัย
“เจ้าบอกว่าความเข้าใจผิดของพวกเจ้าเป็นความตั้งใจของพี่สาวข้าหรือ” หลี่ไท่ได้แต่อ้าปากค้าง
“เสี่ยวไท่ พวกเราเป็นพี่น้องกัน ดังนั้นข้าจะพูดกับพวกเจ้าทุกเรื่อง เรื่องนี้พวกเจ้าเพียงแต่เก็บไว้ในใจก็พอ อย่าได้เล่าออกไปและอย่าไปถามอันหลานด้วย พี่สาวเจ้าไม่ต้องการให้พวกเจ้ารู้ แน่นอนว่านางย่อมมีเหตุผลของนาง เจ้าแค่ลองคิดดูว่า ด้วยความเฉลียวฉลาดของพี่สาวเจ้าจะทำเรื่องที่โง่เง่าเช่นนี้หรือ มีเพียงเหตุผลเดียว นั่นก็คือนางทำอย่างจงใจ อีกทั้งเรื่องนี้ยังเป็นอันตรายอย่างยิ่งด้วย เห็นชัดๆ ว่านางก็มีใจให้ข้า แต่กลับทำลายน้ำใจข้าในช่วงที่ข้ามีความสุขที่สุด เพราะเหตุใด นั่นก็เพราะว่านางคิดว่า ถ้าหากข้าเข้าไปมีส่วนพัวพันในเรื่องนี้ จะต้องร่างกายแหลกสลาย”
——
[1] ซัง เป็นภาชนะสำหรับใส่เหล้าในสมัยโบราณ มีลักษณะคล้ายชามก้นแบน
ส่วนที่ 5
ตอนที่ 11 นิทานพื้นบ้านของราชวงศ์
อวิ๋นเยี่ยมีเวลาพักผ่อนเพียงแค่สามวันที่บ้าน ในวันที่สี่เขาจะต้องเข้าร่วมประชุมเช้าพร้อมกับหลี่จิ้ง นี่คือสิ่งที่ฮ่องเต้กำหนดไว้และให้รัชทายาทมาแจ้ง เขาจึงได้แต่ต้องทำตาม อันที่จริงตามความคิดเขา แม้แต่เมืองฉางอันเขาก็ไม่อยากจะเข้ามา ฉางอันในช่วงต้นรัชศกเจินกวนยังคงสั่นคลอนอยู่ท่ามกลางมรสุมอยู่ตลอดเวลา สาเหตุที่เว่ยอ๋องและสู่อ๋องถูกส่งไปเรียนที่สำนักศึกษา ก็เพราะเดิมทีพวกเขาต้องไปรับตำแหน่งประจำที่ที่ดินพระราชทาน แต่ฮ่องเต้ตัดใจไม่ลงที่จะให้เลือดเนื้อต้องจากไปแดนไกล จึงหาวิธีที่พบกันครึ่งทาง ซึ่งก็คือการไปเรียนที่สำนักศึกษา รอจนกระทั่งอายุสิบหกปี จึงค่อยไปยังที่ดินพระราชทานรับตำแหน่ง
พวกโหวจวินจี๋ต่างก็พากันถวายฎีกานับไม่ถ้วน โดยกล่าวว่าในเมืองหลวงควรจะให้รัชทายาทอยู่เพียงคนเท่านั้น สำหรับองค์ชายคนอื่นๆ ที่มีอายุเกินสิบสี่ปีจะต้องไปอาศัยยังที่ดินพระราชตามกฎมณเฑียรบาลของราชวงศ์ ลูกสาวของเขาแต่งงานกับรัชทายาท เขากับรัชทายาทได้ลงเรือลำเดียวกันแล้ว แน่นอนว่าจะขับไล่ภัยคุกคามทุกอย่างให้ไปไกลๆ และหากว่าตายอยู่นอกเมืองหลวงให้หมดยิ่งเร็วก็ยิ่งเป็นการดี เป็นผลให้เขาถูกฮ่องเต้ตำหนิเป็นการส่วนตัว โดยบอกให้เขายุ่งเรื่องชาวบ้านให้น้อยลง เรื่องของราชนิกุลมีฮ่องเต้เป็นผู้ตัดสินใจ ไม่ใช่หน้าที่ที่เขาจะต้องมาเอ่ยปากยุ่มย่าม
นี่เป็นเรื่องที่หลี่เฉิงเฉียนพูดให้อวิ๋นเยี่ยฟังขณะที่ทั้งสองนอนเอาขาดพาดกัน ดูออกชัดเจนว่าเขาสับสนมาก และดูเหมือนค่อนข้างจะไม่พอใจกับการกระทำของเสด็จพ่อเขา
ความเกลียดแค้นทั้งหมดก็เริ่มต้นด้วยความไม่พอใจเล็กๆ น้อยๆ เมื่อมีความไม่พอใจ การมองเหตุการณ์ต่างๆ ย่อมต้องมีการโอนเอนอย่างแน่นอน หลี่เฉิงเฉียนเองก็ไม่ใช่คนที่มีใจคอกว้างขวาง เมื่อความไม่พอใจสะสมนานวันเข้า ไม่ช้าก็เร็วความไม่พอใจก็จะกลายเป็นความเกลียดชัง ในที่สุดก็บานปลายไปจนถึงการใช้กำลังทหารมาห้ำหั่นกัน
“เฉิงเฉียน เจ้าบอกข้ามาว่า สุดท้ายแล้วใครคือผู้ที่สามารถตัดสินชะตากรรมของเจ้าได้” หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง อวิ๋นเยี่ยจึงถามหลี่เฉิงเฉียน
“แน่นอนว่าต้องเป็นเสด็จพ่อ นอกเหนือจากเสด็จพ่อแล้วก็ยังมีอีกคนคือเสด็จแม่ ส่วนคนอื่นไม่มีคุณสมบัตินี้ ข้าจะฉีกคนที่ต้องการมีคุณสมบัตินี้ออกเป็นชิ้นๆ” มังกรก็เป็นเช่นนี้ อาศัยความสามารถอันทรงพลังที่ตนเองมีอยู่ ใครก็ตามที่ต้องการจะอยู่เหนือศีรษะพวกเขา ก็จะมีจุดจบเป็นชิ้นๆ เท่านั้น บนศีรษะอันสูงส่งของพวกเขาจะมีใบไม้เพิ่มมาสักหนึ่งใบก็ยังไม่ได้ จะให้ดีที่สุดก็คือ การเงยหน้าแล้วเห็นท้องฟ้าที่ว่างเปล่า นอกเหนือจากสวรรค์แล้วห้ามมีอะไรอื่นอีก
“พูดได้ดีมาก เช่นนั้นเจ้าไปจับแม่ทัพโหวใช้ห้าม้าแยกร่าง จากนั้นก็จับทำเนื้อบดเสีย” อวิ๋นเยี่ยให้คำแนะนำแก่เฉิงเฉียนด้วยสีหน้าที่จริงจัง
“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร แม่ทัพโหวทำไปก็เพราะหวังดีต่อข้า จะฆ่าเขาเพื่ออะไร นอกจากนี้ข้าก็ไม่สามารถฆ่าเขาได้” เฉิงเฉียนลุกพรวดขึ้นมา พูดกับอวิ๋นเยี่ยอย่างเคร่งขรึม
“เจ้าไม่รู้อะไร เสด็จพ่อและเสด็จแม่ของเจ้าอาจเป็นคู่สามีภรรยาที่ผู้คนหวาดกลัวที่สุดในใต้หล้านี้ อย่าเห็นว่าทุกครั้งที่ข้าพบฝ่าบาทและฮองเฮาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มทะเล้นๆ ข้ายังเคยถือกระบี่ไล่ฟันเสด็จพ่อเจ้าด้วย ถึงแม้ว่าจะถูกเสด็จพ่อเจ้าบีบบังคับ แต่ครั้งนั้นข้าระมัดระวังแล้วระมัดระวังอีกที่จะเผชิญหน้ากับพวกเขาทั้งสอง แล้วก็ไม่ใช่ว่าเพราะเช่นนี้หรือ จึงถูกทั้งสองท่านสั่งให้ข้าวิ่งรอกไปทั่วเหมือนกับสุนัขตัวหนึ่ง ในเมื่อเจ้ารู้ว่าโชคชะตาเจ้าอยู่ในกำมือของเสด็จพ่อเสด็จแม่เจ้า ไม่ไปประจบประแจงพวกเขา ทั้งยังมาบ่นกระปอดกระแปดไม่พอใจพวกเขาลับหลัง เจ้ามีศีรษะไว้วางอยู่บนบ่าอย่างเดียวหรือ”
ที่นี่คือห้องลับ ขอเพียงรอบตัวไม่มีคนนอก ความแตกต่างทางฐานะระหว่างอวิ๋นเยี่ยและเฉิงเฉียนจะหายไปทันที อวิ๋นเยี่ยนั้นเป็นธรรมชาติมาก หลี่เฉิงเฉียนเองก็ดูเหมือนจะมีความสุขกับมัน เพียงแต่เมื่อครู่ถูกวิจารณ์ว่าศีรษะเอาวางไว้บนบ่าอย่างเดียวนั้น ทำให้หลี่เฉิงเฉียนค่อนข้างอับอายจนเริ่มโกรธ จึงเตะเข้าที่กลางหลังอวิ๋นเยี่ย มีหรือที่อวิ๋นเยี่ยจะยอมขาดทุน แน่นอนว่าต้องตอบโต้กลับ ไม่นานนักผ้าห่มและเบาะที่นอนก็ถูกโยนลงไปที่พื้นจนหมด หลังจากหลี่เฉิงเฉียนโดนปาหมอนใส่แล้ว ทั้งสองก็พักรบหายใจกระหืดกระหอบ ยืนอยู่บนพื้นปูผ้าห่มและเบาะนอนใหม่อีกครั้ง จากนั้นก็นอนต่อ
“เสี่ยวเยี่ย เจ้าว่าในวันหน้าข้าจะกลายเป็นเจ้านายของต้าถังหรือไม่” หาหมอนไม่เจอแล้ว หลี่เฉิงเฉียนจึงวางสองมือซ้อนไว้ใต้ศีรษะ แล้วมองขึ้นไปที่หลังคาพลางถามอวิ๋นเยี่ย
“นี่เป็นสิ่งที่แน่นอนอยู่แล้ว เจ้าเป็นพี่ใหญ่ของครอบครัว เจ้าเป็นลูกชายคนโตของภรรยาหลวง พ่อเจ้าเป็นฮ่องเต้ แม่แท้ๆ ของเจ้าเป็นฮองเฮา ในภายหน้าหากเจ้าไม่ได้เป็นฮ่องเต้ ใต้หล้านี้ใครยังจะเป็นฮ่องเต้ได้อีก นอกจากนี้ เจ้าเองก็หน้าตาดีเช่นนี้ สู่ขอลูกสาวของแม่ทัพโหวมาเป็นไท่จื่อเฟย ทั้งเวลา สถานที่และสถานะทั้งหมดล้วนถูกเจ้าครอบครองไว้หมดแล้ว ยังจะกังวลอะไรอีก”
“แต่เสด็จพ่อข้าเป็นลูกคนรอง” หลี่เฉิงเฉียนกัดฟันอยู่นาน ก่อนที่จะพูดประโยคนี้ออกมา
“ก็เพราะเสด็จพ่อของเจ้าเป็นลูกคนรอง ดังนั้นตำแหน่งฮ่องเต้ของเจ้าจึงเรียกได้ว่ามั่นคงกว่าเก้าส่วน แต่ต้องบอกไว้ก่อนว่าเจ้าต้องรักษาสถานะของลูกชายที่ดีดังเช่นตอนนี้เอาไว้”
“นี่มันเป็นหลักเหตุผลของลัทธิไหนกัน เจ้าพูดมาให้ชัดเจน” หลี่เฉิงเฉียนเลิกนอนแล้วกอดผ้าห่มลุกขึ้นนั่ง
“ยังจำได้หรือไม่ว่าข้าสอนเจ้าเรื่อง ‘สวรรค์จะมอบภารกิจอันใหญ่หลวงให้ใครสักคน’ ไว้อย่างไร”
“สิ่งที่เจ้าพูดเหล่านี้เหมาะกับผู้อื่นเป็นอย่างมาก แต่เกี่ยวอะไรกับที่เสด็จพ่อข้าเป็นลูกคนรองด้วย”
“เสด็จพ่อเจ้าเป็นผู้ริเริ่มการเป็นแบบอย่างที่เลวร้ายแห่งต้าถัง เพื่อที่จะชดเชยกับการกระทำที่เลวร้ายของเขาไม่ให้เกิดผลกระทบที่ไม่ดีต่อรุ่นลูกรุ่นหลาน แน่นอนว่าต้องทำทุกวิถีทางเพื่อรักษากฎมณเฑียรบาลของราชวงศ์เอาไว้ เรื่องบางอย่างเขาทำได้ แต่จะไม่อนุญาตให้พวกเจ้าไปทำอย่างแน่นอน อีกทั้งใครก็ตามที่ทำมันจะโชคร้าย ข้าก็เชื่อว่าจะโชคร้ายไปตลอดชีวิตด้วย”
“เสี่ยวเยี่ย นี่ก็คือสาเหตุที่เจ้าบอกว่า ‘สวรรค์จะมอบภารกิจอันใหญ่หลวงให้ใครสักคน’ คำพูดที่โด่งดังแต่โบราณนี้สามารถบอกกับคนอื่นได้เท่านั้น แต่ตนเองไม่สามารถปฏิบัติตามได้ใช่หรือไม่”
“เจ้าเป็นนักบุญหรือ เจ้าต้องการที่จะเป็นนักบุญหรือ เจ้าพร้อมที่จะเป็นนักบุญหรือ ฮ่องเต้ไม่สามารถเป็นนักบุญได้ รวมถึงจักรพรรดิและกษัตริย์ตั้งแต่โบราณกาลทั้งหมด” อวิ๋นเยี่ยเตรียมจะยุติการสนทนา วันนี้สิ่งที่ควรพูดและสิ่งที่ไม่ควรพูดก็พูดไปมากแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่ดีนัก การเข้าไปพัวพันกับเรื่องในบ้านของราชนิกุล ตั้งแต่สมัยโบราณก็ไม่เคยมีใครพบจุดจบที่ดี โชคดีที่เตรียมตัวอยู่ห่างจากราชวงศ์ไว้แต่เนิ่นๆ ไม่เช่นนั้นต่อให้ฆ่าให้ตายก็จะไม่ได้พูดเรื่องเหล่านี้แน่ เรื่องบางอย่างเพียงแค่พูดนั้นไม่เป็นไร แต่หากลงมือปฏิบัติเพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้วยก็คือรนหาที่ตาย
“เสี่ยวเยี่ย เรามาคุยกันก่อน เจ้าอย่าเพิ่งนอนสิ”
“เจ้าละเว้นข้าเถอะ ข้าง่วงนอนจะตายอยู่แล้ว รีบเร่งเดินทางตั้งหลายวัน ทั้งวันนี้ก็ดื่มเหล้าเข้าไปมากด้วย เลิกคุยกับข้าได้แล้ว หากมีเวลามาพูดคุยกับข้า เอาเวลาไปคิดเรื่องการที่จะอยู่กันอย่างกลมเกลียวกับพ่อแม่พี่น้องของเจ้าจะเป็นสิ่งที่ควรทำกว่า” หลังจากพูดจบก็ดึงผ้าห่มคลุมโปงแล้วหลับไป โดนหลี่เฉิงเฉียนถีบอีกสองครั้งก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ แสร้งทำเป็นเป็นสุนัขที่ตายแล้ว
อวิ๋นเยี่ยยังคงหลับอยู่ขณะที่หลี่เฉิงเฉียนออกไป ไม่ได้ไปส่ง นี่คือสิ่งที่รัชทายาทกำชับไว้ แม้ว่ารัชทายาทจะไม่ได้กำชับไว้ อวิ๋นเยี่ยก็จะไม่มุดออกจากผ้าห่มอันอบอุ่นและสวมชุดข้าราชการเพื่อส่งเขาอย่างแน่นอน
เสี่ยวยาวิ่งมาดูที่ห้องของพี่ชายหลายครั้งแล้ว แต่ก็ผิดหวังมาก พี่ชายของนางยังคงหลับอยู่ท่านย่าสั่งว่าห้ามไปรบกวน จึงได้แค่ยื่นหน้านางไปใกล้ๆ หน้าพี่ชายแล้วมองดูอย่างละเอียด หวังว่าพี่ชายจะตื่นขึ้นมาเร็วๆ ตัวเองมีเรื่องที่อยากจะพูดกับพี่ชายมากมายนัก
วั่งไฉนั้นคุ้นเคยกับห้องของอวิ๋นเยี่ยเป็นอย่างดี แต่ไม่อนุญาตให้มันเข้าไปในห้อง มันจึงได้แต่ใช้หัวเปิดหน้าต่างแล้วหายใจฝึดๆ เพื่อปลุกให้อวิ๋นเยี่ยตื่นขึ้น ใกล้จะเที่ยงวันแล้วอวิ๋นเยี่ยจึงได้บิดขี้เกียจยาวๆ หลังจากตื่นขึ้นมาได้ยินเสียงกระดูกสันหลังส่วนเอวบิดดังเสียงกร๊อบๆ ก็พอใจเป็นอย่างมาก ซึ่งนี่แสดงให้เห็นว่าร่างกายเขาเติบโตขึ้นแล้ว
เมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยขยับวั่งไฉก็ส่งเสียงร้องอย่างความสุข ทำให้เสี่ยวยาซึ่งฟุบหลับอยู่ข้างเตียงตกใจตื่นด้วย เมื่อเห็นพี่ชายตื่นขึ้นเสี่ยวยาก็รีบปีนขึ้นไปบนเตียงทันที หยิบเสื้อผ้าและช่วยสวมให้พี่ชายด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ทุกคนในครอบครัวต่างก็รู้ว่าพี่ชายสวมเสื้อผ้าไม่ค่อยเป็น ถ้าไม่ลืมชิ้นนั้นส่วนนี้ก็สวมแล้วเบี้ยวไปมา อวิ๋นเยี่ยเองก็ขี้เกียจจะอธิบายกับคนในครอบครัวว่าขณะที่เขาอยู่ข้างนอกนั้นตนเองไม่เคยสวมเสื้อผ้าผิดเลย หรือจะบอกว่านี่เป็นโรคขี้เกียจ
ขนแปรงสีฟันของอวิ๋นเยี่ยร่วงหายหมดแล้ว ตอนนี้เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตามจึงใช้กิ่งหลิวทำความสะอาดปาก เขาให้คนในบ้านทำแปรงสีฟันด้วยขนหมูขึ้นมาหลายด้ามแต่ไม่มีใครใช้มันโดยบอกว่ามีแต่กลิ่นสาบหมู วันนี้อวิ๋นเยี่ยตั้งใจจะไม่ทำอะไรทั้งนั้น เอาแต่ซ่อนตัวที่บ้านพักผ่อนอย่างสบายๆ ทั้งวัน ถ้าหากซินเย่ว์อยู่ปรนนิบัติที่บ้านก็จะดีมากเลย เขาคิดถึงความรู้สึกที่มือสัมผัสเมื่อวานนี้เป็นอย่างมาก
แขกกลับไปหมดแล้ว อวี้ฉือจอมโง่ถูกภรรยาสองคนของเขาหามกลับไป เหล้าห้าสิบดีกรีของตระกูลอวิ๋นไม่ได้มีดีแต่ชื่อ นักเรียนต่างก็กลับไปสำนักศึกษาหมดแล้ว หากการขานชื่อในตอนเช้าและไม่พบพวกเขา หลิวเซี่ยนจะให้พวกเขาได้ลิ้มลองความร้ายกาจของกฎของสำนักศึกษา
มันแย่มากจริงๆ เพิ่งจะตื่นขึ้นมาก็รู้สึกง่วงนอนแล้ว ปากก็อ้าค้างเหมือนฮิปโปโปเตมัส น้ำตาก็ยังไหลอีก ท่านย่าบอกว่านี่เป็นผลจากการฝืนร่างกายอย่างหนักขณะที่อยู่ชายแดน ต้องพักผ่อนให้มากๆ ที่ท่านย่าพูดมาก็สมเหตุสมผล แม้อวิ๋นเยี่ยจะคิดว่าขณะที่ตัวเองอยู่ที่ทุ่งหญ้านั้นเวลาที่นอนยังนานกว่าเวลาที่ยืน ไม่ได้ยากลำบากดังเช่นที่ท่านย่าจินตนาการก็ตาม
อวิ๋นเยี่ยกินผักดองเค็มไปหลายคำกับข้าวต้มชามใหญ่ อยากจะออกไปข้างนอกเดินเล่นเสียหน่อย วั่งไฉนั้นรอต่อไปไม่ไหวแล้ว เดินวนเวียนอยู่หน้าประตูไม่ยอมหยุด บีบนวดไขมันส่วนเกินของวั่งไฉแล้วถอนหายใจ ทำไมจึงกินจนเป็นเช่นนี้นะ ม้าดีๆ แท้ๆ จะกลายเป็นหมูอยู่แล้ว ตอนนี้ต้องกำจัดไขมันส่วนเกินให้หมดไปโดยเร็วที่สุด มิฉะนั้นจะส่งผลกระทบต่ออายุขัยของวั่งไฉ
ครั้นแล้วจึงผูกตัวรถม้าไว้กับวั่งไฉ แม้ว่าจะไม่เคยชินก็ตามแต่วั่งไฉก็ยังคงแสดงออกถึงการเชื่อฟังที่ดี รถม้านั้นเป็นรถขนาดเล็ก ซึ่งก็คือแบบที่สามารถนั่งได้สองคนเท่านั้น ไม่ได้มีการล็อกที่สลับซับซ้อนเหมือนรถม้าที่บ้าน พยายามทำให้ง่ายที่สุด ซึ่งแทบจะเป็นเพียงแค่ม้าลากโซฟาสองที่นั่งเท่านั้นเอง
ล้อที่บางและสูงวิ่งอยู่บนถนนหินได้อย่างคล่องแคล่ว ส่งเสียงกึกกักๆ เหมือนกับการนั่งรถไฟ วั่งไฉนั้นไม่ต้องการให้คนควบคุม ดูเหมือนว่ามันจะรู้ว่าอวิ๋นเยี่ยต้องการจะทำอะไร มันวิ่งเลาะไปตามถนนเส้นเล็กๆ ระหว่างเขาไม่นานก็ขึ้นไปบนภูเขา
เสี่ยวยาตื่นเต้นมาก นี่เป็นครั้งแรกที่ได้นั่งรถม้าประหลาดเช่นนี้ เกาะประตูรถไว้และมองดูภายนอกไม่ยอมเลิก
หุบเขาที่โดยปกติแล้วค่อนข้างจะกันดารได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง อาคารหลังกเล็กๆ ถูกปลูกสร้างขึ้นระหว่างต้นสนและไซเปรส กำแพงอิฐแดงและหลังคามุงกระเบื้องสีแดง บ้านทั้งหลังเสมือนเปลวเพลิง หน้าต่างเป็นสีขาว ด้านบนบุด้วยกระดาษกึ่งโปร่งแสง บางคนที่ใช้เงินอย่างสิ้นเปลืองก็ใช้หนังสัตว์ที่บางที่สุดมาปิดหน้าต่างซึ่งแสงสว่างสีเหลืองอ่อนสามารถส่องผ่านหนังสัตว์นั้นได้ ซึ่งไม่ใช่ว่าหน้าต่างที่บุด้วยกระดาษจะนำมาเทียบได้
ตอนนี้อาคารหลังเล็กๆ ดูเหมือนจะมีผู้คนอยู่อาศัยเต็มหมดแล้ว บางครั้งก็มีหญิงผู้ติดตามยืนบนหลังคาและมองไปรอบๆ ซึ่งนี่ดีกว่าการถูกกักอยู่ในลานบ้านที่มีกำแพงสูงเป็นอย่างมาก หญิงราชวงศ์ถังนั้นห้าวหาญ เมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยและเสี่ยวยานั่งรถม้ามา จึงต่างพากันทยอยหันมาดูทางนี้ บางคนที่ใจกล้าก็โบกมือทักทาย เสี่ยวยาก็คึกคักขึ้นทันที กระโดดอยู่ตรงที่นั่งโบกมือให้หญิงสาวที่อยู่ด้านบนอาคารทั้งยังตะโกนเสียงดังว่า “พี่ซินเย่ว์รีบลงมาเร็วๆ พวกเรามาเล่นด้วยกัน รถม้านั้นสนุกมากเลย” ตะโกนพลางดึงบังเ**ยนเพื่อให้วั่งไฉหยุด
ที่แท้เป็นซินเย่ว์ ไม่น่าแปลกใจเลยที่กล้าหาญเช่นนี้ เมื่อวานนี้เรื่องดีทำไม่สำเร็จอวิ๋นเยี่ยเสียใจอยู่เป็นเวลานาน ไม่รู้ว่าวันนี้จะมีโอกาสหรือไม่ เมื่อเห็นเสี่ยวยาที่คึกคักอวิ๋นเยี่ยก็รู้ว่าวันนี้ต้องไม่มีละครให้เล่นแน่เลย มีก้างชิ้นเล็กๆ นี้ขวางคออยู่มีโอกาสก็คงเป็นเรื่องแปลกแท้
ซินเย่ว์ที่สวมกระโปรงยาวอย่างรวดเร็วก็พาสาวใช้มาที่หน้ารถม้า ดูของเล่นใหม่ด้วยความสนใจ รถม้าที่ไม่มีขอบและมุมสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีลักษณะเป็นรูปโค้งอย่างเรียบง่ายทั้งหมด ไม่หนักเหมือนรถม้าแบบเก่า ดูแล้วรู้สึกเบาสบาย เหมาะที่สุดสำหรับการออกไปเที่ยวข้างนอกในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน แต่น่าเสียดายที่มันเล็กเกินไป จึงสามารถนั่งได้แค่สองคนเท่านั้น ซินเย่ว์เบียดกับเสี่ยวยา ส่วนสาวใช้เสี่ยวชิวได้แต่เบ้ปากแล้วเดินกลับบ้านเอง
ล้อรถเริ่มหมุนอีกครั้ง อวิ๋นเยี่ยอมยิ้มจ้องมองหน้าอกที่ทรวงอกที่ถูกเบียดจนนูนออกมาของซินเย่ว์ จึงได้มาซึ่งแววตาอันดุดันและอาการเจ็บที่แขน แต่ก็ฝืนกลั้นไว้ไม่ส่งเสียง เสี่ยวยาสะบัดบังเ**ยนเร่งให้วั่งไฉวิ่งเร็วขึ้น วั่งไฉเองก็ดูเหมือนจะมีชีวิตชีวามาก จึงลากรถม้าควบไปอย่างรวดเร็ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น