เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วน 5 ตอน 07-08
ส่วนที่ 5
ตอนที่ 7 หลี่เค่อผู้เดือดร้อนอย่างรุนแรง
หลี่ไท่ที่อายุสิบสี่ปีกำลังทำการเลือกที่สำคัญที่สุดสำหรับชีวิตของเขา หลี่เค่อที่อายุสิบสี่ปีครึ่งกำลังตรวจเยี่ยมอาคารที่เขาสร้างขึ้น อาคารเล็กๆ แต่ละอาคารถูกทาเป็นสีขาวตั้งอยู่ภายใต้ต้นสนและต้นไซเปรสที่เขียวชอุ่มซึ่งดูสง่างามเป็นพิเศษ บนหลังคาของอาคารปูด้วยกระเบื้องสีแดงซึ่งแตกต่างจากพระราชวังที่มีแต่สีเทาอึมครึม ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเพราะอาคารหนึ่งปูด้วยกระเบื้องสีแดงและโบกปูน อีกอาคารหนึ่งปูด้วยกระเบื้องสีเทาซึ่งแน่นอนว่าต้องแตกต่างกันเป็นธรรมดา
คนเรามักจะชอบของใหม่เบื่อของเก่ากันทั้งนั้น อาคารหมายเลขหนึ่งถูกไท่ซั่งหวงหลี่หยวนใช้อำนาจยึดครองไปแล้วโดยไม่ชำระเงินแม้แต่แดงเดียว พูดเพียงประโยคเดียวคือเจ้าหนุ่มนั่นยังเป็นหนี้ทองคำไม่ได้ชดใช้ให้ข้า ยังกล้าที่จะเก็บค่าอาคารจากข้าอีกหรือ อวิ๋นเยี่ยได้บอกหลี่เค่อไว้แต่แรกแล้วว่าทุกคนในบ้านเขาหากต้องการอาคารไหนก็สามารถให้ได้เลยเพียงแต่ต้องชำระเงิน มิฉะนั้นหลี่เค่อต้องสำรองจ่ายล่วงหน้า
หลี่เค่อกำลังจะกลุ้มใจตายอยู่แล้ว อวิ๋นเยี่ยใกล้จะกลับมาแล้ว เพิ่งจะได้ค่าอาคารกลับมาได้เพียงหกส่วน ไม่นับรวมอาจารย์ที่อยู่ในสำนักศึกษา เพราะเดิมนั้นอาคารเหล่านี้สร้างขึ้นเพื่อพวกเขา อาจารย์หลี่กังได้ย้ายครอบครัวจากเมืองหลวงเข้าอยู่ในอาคารหมายเลขสิบของสำนักศึกษาหลังจากที่อาคารสร้างเสร็จเพียงสองเดือน ซึ่งนั่นเป็นอาคารที่สวยที่สุดหลังหนึ่ง ภายในอาคารปูด้วยกระเบื้องเคลือบและพื้นปูด้วยแผ่นกระดานไม้สนเคลือบเงาถึงหกครั้ง ประตูและหน้าต่างที่แกะสลักนั้นเรียบง่ายแต่ดูหรูหรา เพดานแขวนโคมระย้า เมื่อตกดึกใช้เครื่องกว้านเพื่อปล่อยโคมระย้าลงมาแล้วจุดตะเกียงน้ำมัน ในห้องก็จะส่องสว่างทั่วห้อง ควันจากน้ำมันยังไม่ทำให้คนสำลักควันอีกด้วย คนตระกูลกงซูคิดวิธีที่ดีได้อย่างหนึ่งคือการเพิ่มปล่องไฟขนาดเล็ก ควันจากน้ำมันถูกดูดออกสู่ด้านนอกจนหมดสิ้น เครื่องเรือนนั้นเรียบง่ายมากเพียงแต่ไม่ได้มีไว้สำหรับให้เจ้าของบ้านใช้ แต่มีไว้เพื่อการแลกเปลี่ยน ไม่ว่าใครหากเห็นบ้านที่งดงามเพียงนี้แต่เครื่องเรือนภายในดูเก่าๆ โทรมๆ พวกเขาจะไม่ลังเลที่จะเปลี่ยนของเหล่านั้นทิ้งแน่นอน หากใช้เครื่องเรือนเหล่านี้ก็ไม่ต้องจ่ายเงิน แต่ถ้าหากต้องการเปลี่ยนเครื่องเรือนก็จำเป็นต้องจ่ายเงินเพิ่มต่างหาก
พ่อค้ายิ้มตาหยีมาเยือนถึงหน้าบ้านถือภาพวาดสวยๆ ที่ซ้อนกันเป็นปึกใหญ่ให้เจ้าบ้านเลือก ถ้าไม่มั่นใจก็มีห้องตัวอย่างที่ตกแต่งเป็นพิเศษเพื่อให้เจ้าบ้านได้เยี่ยมชมอีกด้วย เก้าอี้ไม้ไร้ที่พักแขนที่ปูเบาะยัดขนแกะหนาๆ ทำจากวัสดุไม้ที่ล้ำค่าหรือเก้าอี้สตูล พรมที่นำเข้าจากซีอวี้ โต๊ะทำงานที่ดูแปลกๆ เป็นเอกลักษณ์ พ่อค้าที่ละเอียดอ่อนยังได้เตรียมเตียงไม้แกะสลักไว้อีกด้วย
ใครก็ตามที่เห็นบ้านหลังนี้ต้องอิจฉา ครอบครัวของอาจารย์หลี่กังทั้งหมดได้เหมาซื้อหมดเลยจึงได้ตกแต่งบ้านใหม่เสร็จ ค่าตกแต่งบ้านนั้นยังแพงกว่าตัวบ้านมากนัก เมื่ออาจารย์เฒ่านอนเอนกายอยู่บนเก้าอี้นุ่มอย่างเป็นที่พอใจและมองไปที่ทิวทัศน์ภูเขาด้านนอกหน้าต่าง ทันใดนั้นเขาก็กระโดดขึ้นและตะโกนเสียงดัง “หลงกลแล้ว” ทำให้ภรรยาที่นั่งเย็บปักถักร้อยอยู่หน้าเตาผิงใต้กำแพงตกใจจนเกือบตกพื้น จึงบ่นชายชราไม่ยอมหยุด “แก่ปูนนี้แล้วยังไม่ทำตัวให้เหมือนคนแก่เลยสักนิด ตื่นเต้นโวยวาย เอะอะมะเทิ่ง”
จึงถูกหลี่กังตำหนิเข้าให้ “พวกผู้หญิงอย่างเจ้าจะรู้อะไร ค่าใช้จ่ายของอาคารนี้ประมาณสามร้อยก้วน แต่ข้าซื้อข้าวของเครื่องเรือนเข้าบ้านถึงเจ็ดร้อยก้วนเต็มๆ อวิ๋นเยี่ยเจ้าเด็กคนนี้ ถ้าได้กำไรไม่ถึงสองเท่าจะทำหรือ พูดอีกอย่างก็คือเขาได้กำไรเงินทุนที่ใช้สร้างอาคารรวมถึงราคาเครื่องเรือนกลับไปหมดเลย ไม่แน่ว่าอาจมีส่วนเกินด้วย ทั้งยังทำให้ข้ารู้สึกว่าเขาได้ทุ่มเทเลือดเนื้อเพื่อสำนักศึกษา เดิมทีของเหล่านี้ควรเป็นของข้า กำไรเงินของข้าทั้งยังทำให้ข้าต้องซาบซึ้งใจในตัวเขา ไอ้เจ้าจอมวายร้ายแต่กำเนิด น่าสงสารที่เงินเก็บส่วนตัวทั้งชีวิตของข้าต้องถูกกลืนเข้าปากเสือ”
หลี่ฮูหยินมองพรมหนาๆ ที่ปูอยู่บนพื้น แล้วมองไปที่โคมระย้าอันงดงามเหนือศีรษะ แล้วเหลือบมองไปที่เตียงธรรมดาในอาคารเรือนนั้น มีสิ่งไหนบ้างที่ไม่ต้องใช้เงินก้อนโตจึงจะซื้อได้ เจ็ดร้อยก้วนนี้ยังเป็นราคาพิเศษที่พ่อบ้านตระกูลอวิ๋นเสนอให้เพราะเห็นแก่ที่เป็นผู้บริหารของสำนักศึกษา หลี่ฮูหยินคิดว่ามันคุ้มค่ามากมายนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเตียงแกะสลักเตียงนั้น เมื่อนอนบนนั้นเหมือนนอนอยู่บนปุยเมฆ เตียงแข็งๆ ที่บ้านมันควรจะถูกโยนทิ้งไปตั้งนานแล้ว จึงเบะปาก รู้สึกว่านิสัยตระหนี่ขี้เหนียวของตาเฒ่ากำเริบอีกแล้ว
“พอแล้ว พอแล้ว รอให้อวิ๋นโหวกลับมาเจ้าค่อยสอนเขาดีๆ ก็ได้ เขายังเด็กค่อยๆ แก้นิสัยก็พอแล้ว” หลี่ฮูหยินปลอบใจผู้เฒ่าหลี่กัง เฒ่าทารก เฒ่าทารกนี่นาจึงต้องปลอบใจเสียหน่อยจึงจะทำให้เขาสงบลงได้ แม้ว่าปากของเขาจะพูดอย่างโหดเ**้ยมว่าจะให้อวิ๋นเยี่ยได้เห็นดีกัน แต่รอยยิ้มกลับปรากฏให้เห็นบนใบหน้า
การสร้างอาคารใกล้ๆ น้ำตกนั้นเป็นความคิดห่วยๆ ของหลี่เค่อ ที่ดินที่เชิงเขานั้นไม่เพียงพอแล้วจริงๆ แต่ยังมีวัสดุก่อสร้างมากมายเหลืออยู่ ดังนั้นเขาจึงถือวิสาสะสร้างอาคารหนึ่งหลังตรงพื้นที่โล่งบริเวณข้างน้ำตก
ยืนอยู่ด้านนอกอาคารได้ยินเสียงน้ำดังซู่ๆ อย่างกึกก้อง หลี่เค่อจึงเขกศีรษะตัวเองเข้าให้ มีใครอยากฟังเสียงรบกวนดังๆ ทุกวัน คิดถึงคำพูดอวิ๋นเยี่ยที่บอกว่าในฐานะพ่อค้าอสังหาริมทรัพย์ อาคารที่ขายไม่ออกสุดท้ายก็ได้แต่ขายให้กับตัวเอง นี่คือหลักการอย่างหนึ่ง เมื่อหลี่เค่อคิดถึงว่าต้องในช่วงสองปีที่เขาอยู่ในสำนักศึกษาแล้วต้องฟังเสียงรบกวนอย่างไม่มีที่สิ้นสุดก็ชวนให้ปวดศีรษะแล้ว ฉวยโอกาสที่ท่านทูตเดินทางไปที่ทุ่งหญ้า จึงเล่าเกี่ยวกับความกังวลของเขาให้อวิ๋นเยี่ยฟังจนหมดสิ้นเพราะตนเองอยากฟังความคิดเห็นของเขา
จดหมายตอบได้รับการตอบกลับอย่างรวดเร็ว ผู้ส่งสารจากทุ่งหญ้าถึงฉางอันยังคงทยอยเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย อวิ๋นเยี่ยบอกเขาในจดหมายว่านี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพียงแค่ต้องทำการห่อเท่านั้น หลี่เค่อต้องบอกกับทุกคนว่า “หอฟังน้ำตก” เป็นอาคารที่มีระดับที่สุดในบรรดาอาคารทั้งหมดที่มี ที่นี่มีภูเขาที่อยู่ห่างไกล ใกล้ๆ มีต้นไม้ มีน้ำตกสาดกระเซ็น ในช่วงเช้ามองเห็นพระอาทิตย์ขึ้น ตกดึกได้ยินเสียงที่ไหลริน มีเอกลักษณ์โดดเด่นไม่เหมือนใครและหายากในใต้หล้านี้ หากพลาดโอกาสครั้งนี้ไป แม้เดินทั่วเมืองฉางอันก็หาไม่มีอาคารที่มีทัศนียภาพที่งดงามเช่นนี้ได้ ทันทีที่เปิดประตูก็จะเห็นน้ำตกสาดกระเซ็น สัมผัสได้ถึงความงามของน้ำตกจากระยะใกล้และระยะไกล ดังคำกล่าวที่ว่าผู้มีปัญญาย่อมมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลดุจสายน้ำ ผู้มีการุณยธรรมย่อมมีเมตตาตั้งมั่นในคุณธรรมดุจขุนเขา อาคารหลังนี้จะขายให้กับบุคคลผู้ซึ่งประสบความสำเร็จและเพียบพร้อมด้วยสติปัญญาและมีการุณยธรรม ผู้ที่คุณสมบัติไม่ผ่านเกณฑ์จะไม่ขายให้ และจะต้องปรับเพิ่มราคาบ้านหลังนี้เป็นสองเท่า
เมื่อเห็นจดหมายตอบกลับของอวิ๋นเยี่ย หลี่เค่อรู้สึกว่ามุมมองการประเมินค่าของตัวเองนั้นพังทลายไม่เป็นท่า รู้สึกหน้ามืดตาลาย วิงเวียนเห็นดาวเต็มไปหมด หรือจะบอกว่าทุกสิ่งที่อาจารย์สอนตนเองนั้นล้วนผิดทั้งสิ้น มันเป็นไปไม่ได้! เขาให้กำลังใจตัวเองในการประเมินค่าอยู่ในใจ หวังว่าจะไม่ทำลายมันลงด้วยเรื่องนี้
สุดท้ายแล้ว ในการประมูล อาคารหลังอื่นๆ ก็เปิดราคาซื้อขายเสร็จสมบูรณ์อย่างเรียบร้อย มีเพียง “หอฟังน้ำตก” หลังนี้เท่านั้นที่ถูกแย่งกันอย่างรุนแรง มีผู้คนจำนวนมากที่อ้างว่าบุคคลผู้ซึ่งประสบความสำเร็จและเพียบพร้อมด้วยสติปัญญาและมีการุณยธรรมแย่งกันจะซื้ออาคารเพียงหลังเดียวที่ได้รับการตั้งชื่อ ช่วงชิงที่จะเสนอราคา การแข่งขันที่ดุเดือดเผ็ดมันมาก มีท่านอ๋องของตระกูลหลี่ กั๋วกงของแต่ละท้องที่ สำหรับระดับโหวเหยียนั้นล้วนแล้วแต่ถูกไล่กลับทั้งสิ้น แม้แต่โหวเหยียตัวเล็กๆ ก็ควรได้รับการเรียกขานว่าเป็นคนที่ประสบความสำเร็จหรือ สำหรับพ่อค้าที่ร่ำรวยในเมืองฉางอันแม้แต่ความกล้าที่จะเริ่มต้นเสนอราคายังไม่มีเลย สุดท้ายอาคารหลังนี้ก็ถูกอวี้ฉือจอมซื่อบื้อใช้กำปั้นช่วงชิงมาจากหลี่เซี่ยวกง ราคาอาคารในเวลานี้มากกว่าราคาที่หลี่เค่อคาดไว้ถึงหกเท่า!
เมื่อเห็นผลลัพธ์แล้ว หลี่เค่อนั้นสีหน้าซีดเซียวอย่างมาก สองมือออกแรงจับราวรั้วจึงรักษาสมดุลร่างกายเอาไว้ได้ อาจารย์ ท่านผิดพลาดแล้วจริงๆ! พวกเขาทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นคนโง่และคนบ้า เพียงแค่คำพูดหนึ่งประโยคมีค่าถึงสามพันก้วน เงินสามพันก้วนสามารถซื้อคฤหาสน์หรูในเมืองฉางอันได้เลยทีเดียว
จึงตัดสินใจที่จะไปพบเสด็จพ่อที่สามารถทำได้ทุกอย่างของเขาเพื่อระบายข้อสงสัยในใจเขา
“ถ้าหากเจ้าไม่พูดต้นสายปลายเหตุของเรื่อง พ่อเองก็ต้องการอาคารหลังนี้” นี่เป็นประโยคแรกหลังจากที่หลี่ซื่อหมินฟังคำพูดของหลี่เค่อ เมื่อได้ยินประโยคนี้หลี่เค่อนั้นไม่สามารถนั่งนิ่งๆ ได้ ก้มกราบลงบนพื้นทันใด ที่นี่มีภูเขาที่อยู่ห่างไกล ใกล้ๆ มีต้นไม้ มีน้ำตกสาดกระเซ็น ในช่วงเช้ามองเห็นพระอาทิตย์ขึ้น ตกดึกได้ยินเสียงที่ไหลริน “ที่นี่มีภูเขาที่อยู่ห่างไกล ใกล้ๆ มีต้นไม้ มีน้ำตกสาดกระเซ็น ในช่วงเช้ามองเห็นพระอาทิตย์ขึ้น ตกดึกได้ยินเสียงที่ไหลริน หากไม่คิดให้ดีๆ คนส่วนใหญ่จะไม่คิดว่าเสียงดังกึกก้องของน้ำตกนั้นหนวกหูเพียงใด ประสาอะไรกับเด็กคนนี้นำชื่อมาชวนเชื่อเพื่อขายมัน ไม่น่าแปลกใจเลยที่ผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้” หลี่ซื่อหมินพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย
“แต่อาจารย์พูดว่า… ” หลี่เค่อยังคิดที่จะทักท้วงอีกสักหน่อย
“ในเวลาเช่นนี้อย่าได้เอ่ยถึงท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ถือเป็นสุภาพบุรุษ ไม่ใช่ราชนิกุลหรือพ่อค้า คิดดูแล้วก็ไม่อยู่ในจำพวกเดียวกับอวิ๋นเยี่ย เขาเอาคานหามขนาดใหญ่เช่นนี้ให้เจ้าแบกรับ เจ้ายังไม่เข้าใจเจตนาที่แอบแฝงอีกหรือ ในฐานะที่เป็นอาจารย์นั้นอวิ๋นยี่ยถือว่ามีคุณสมบัติ ในฐานะข้ารับใช้ถือว่าเขาให้เกียรติ เพื่ออบรมสั่งสอนให้เจ้ามีความสามารถ เราเชื่อว่าเงินที่ผ่านมือเจ้าในครั้งนี้มีมากกว่าสามหมื่นก้วน เจ้าต้องรู้ว่า เสด็จพ่อเจ้าก็ไม่มีทางมอบเงินจำนวนมากถึงเพียงนี้ให้เจ้าดูแลควบคุมตามใจชอบอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า อวิ๋นเยี่ยไม่ได้ไปหาคนอื่น แต่ตั้งใจมาหาเจ้าที่เป็นเด็กที่ใกล้จะเป็นผู้ใหญ่โดยเฉพาะ ประการแรกคือต้องการอบรมบ่มเพาะให้เจ้าเป็นคนที่ดูแลทรัพย์สินของต้าถังเราได้ในอนาคต เขาพบว่าเจ้ามีพรสวรรค์ในด้านนี้ ประการที่สองคือต้องการที่จะบอกเราว่าการกระทำของเขาเป็นเพียงการทำเพื่อหาเงินกำไรมาชดเชยค่าใช้จ่ายของสำนักศึกษาเท่านั้น เปิดเผยทุกอย่างไว้เบื้องหน้าเรา ไม่เพียงแต่โปร่งใส แต่ยังแสดงออกถึงความสะอาดเถรตรงของเขาอีกด้วย เจ้าเข้าใจไหม เขากลับมาคราวนี้ แม้กระทั่งเสด็จพ่อของเจ้าก็จะไม่เตะเขาซ้ำแล้วซ้ำอีกอีกแล้ว ทั้งราชสำนักไม่มีใครกล้าที่จะดูถูกเขาอีก หลานเถียนโหวจะกลายเป็นขุนนางชั้นสูงที่อยู่สูงสุดของต้าถังเราอย่างแท้จริง”
เมื่อหลี่ซื่อหมินพูดมาถึงตรงนี้น้ำเสียงก็ปกปิดความเสียใจที่ซ่อนเร้นไว้ไม่อยู่ หากเด็กคนนี้เป็นบุตรชายของเขาเอง ความมั่งคั่งรุ่งเรืองของราชวงศ์ถังนับร้อยปีก็มีความหวังแล้ว
หลี่เค่อลังเลอยู่เป็นนานก่อนที่จะพูดกับหลี่ซื่อหมินว่า “เสด็จพ่อ อวิ๋นโหวสร้างอาคารในครั้งนี้จำนวนเงินที่ผ่านมือลูกมีมากกว่าเจ็ดหมื่นก้วน แต่ลูกสร้างอาคารโดยใช้เงินไม่ถึงสองหมื่นก้วน ซึ่งมีอาคารสี่สิบสองหลังที่มอบให้กับสำนักศึกษาโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ยังมีอาคารอีกห้าสิบเอ็ดหลังที่ซึ่งต้นทุนในการสร้างแต่ละหลังไม่ถึงสี่ร้อยก้วน ซึ่งกำไรของเตาเผาปูนซีเมนต์ก็รวมอยู่ในนี้ด้วย ถ้าหากลบออกไป ต้นทุนในการสร้างอาคารแต่ละหลังจะน้อยกว่าสามร้อยก้วน ก่อนที่อาคารจะถูกสร้างขึ้นก็ได้รับจำนวนเงินที่สั่งจองอาคารรวมเป็นเงินถึงหนึ่งหมื่นก้วน ดังนั้นอวิ๋นโหวจึงสร้างอาคารเหล่านี้โดยใช้เงินตัวเองเพียงหนึ่งหมื่นแปดพันก้วนเท่านั้น สำหรับอาคารห้าสิบสองหลังราคาที่ถูกที่สุดขายได้ถึงหนึ่งพันก้วน ส่วนที่เหมือนหอฟังน้ำตกนั้นขายได้ถึงสี่พันก้วน ดังนั้นตอนนี้ในมือลูกจึงมีเงินอยู่เจ็ดหมื่นก้วนและยังมีอีกสองหมื่นก้วนที่ยังเก็บกลับมาไม่ได้”
ถ้วยชาของหลี่ซื่อหมินนั้นสั่นเล็กน้อยจนน้ำชาทะลักออกมาจากถ้วยชา แม้ฝันเขายังไม่เคยคิดเลยว่าอวิ๋นเยี่ยจะสร้างอาคารจำนวนหนึ่งป่าเขาที่ห่างไกลก็จะได้กำไรมากมายถึงเพียงนี้ ภาษีตลอดปีของเมืองหยางโจวก็เพียงแค่หนึ่งแสนก้วน ซึ่งนี่ก็เป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองที่มีอยู่น้อยมาก
น่าเสียดายที่เงินเหล่านี้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับตัวเองเลย เขาเพิ่งเสร็จสิ้นจากการทำศึก ท้องพระคลังที่ว่างเปล่าจนให้ม้าวิ่งได้ แม้ว่าจะเป็นเขาก็รู้สึกอิจฉาอยู่บ้าง
“จ่ายภาษีกันทั้งหมดแล้วหรือยัง” นี่เป็นสิ่งเดียวที่หลี่ซื่อหมินสามารถถามเพิ่มเติมได้
“ชำระมาแล้ว ทุกยอดที่ทำธุรกรรมสำเร็จ สิ่งแรกที่ลูกทำก็คือเก็บภาษี เจ้าหน้าที่เก็บภาษีของเมืองฉางอันได้ติดตามลูกโดยตลอด อวิ๋นโหวบอกกับลูกว่าหลังการทำธุรกรรมเสร็จสิ้น สิ่งแรกที่ต้องทำคือการเก็บภาษี มิฉะนั้นจะสูญเสียเป้าหมายหลักในการทำเงินไป”
“เป้าหมายหลักในการทำเงิน หมายความว่าอย่างไร” หลี่ซื่อหมินรู้สึกงงงวยเล็กน้อย สงสัยว่าทำไมอวิ๋นเยี่ยจึงมองว่าการเก็บภาษีมีความสำคัญถึงเพียงนี้ ตระกูลใหญ่ๆ ในฉางอันมีใครบ้างที่ไม่ได้ทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้เพื่อหลบเลี่ยงภาษี มีเพียงอวิ๋นเยี่ยที่เห็นเรื่องนี้เป็นรากฐานในการวางตัว
หลี่เค่ออึกอักอยู่เป็นนานจึงได้พูดกับหลี่ซื่อหมินว่า “เสด็จพ่อ ลูกไม่เข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในนั้น เพียงแต่ได้ยินอวิ๋นโหวพูดว่าเมื่อถึงวันที่เสด็จพ่อเริ่มเก็บภาษีแล้ว เขาจึงจะบอกสาเหตุที่แฝงอยู่ให้ลูกรู้ บอกว่าบอกให้รู้ตอนนี้รังแต่จะเป็นภัยไม่มีผลดีต่อลูก”
“ตอนนี้เจ้าเด็กคนนี้มาถึงที่ไหนแล้ว” หลี่ซื่อหมินถามองครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านหลัง
ส่วนที่ 5
ตอนที่ 8 คนและม้าที่ใจสื่อถึงกัน
หมู่บ้านตระกูลอวิ๋นที่อยู่เชิงเขาอวี้ซัน ทุกๆ สิบวันจะมีความสนุกครื้นเครงเป็นอย่างมาก ผู้คนในระยะหลายสิบลี้จะมารวมตัวกันที่นี่เพื่อเปิดตลาด ตระกูลอวิ๋นเองก็จะอนุญาตให้ชาวบ้านต่างหมู่บ้านเข้ามาเพื่อทำการค้ากับตระกูลอวิ๋นทุกๆ วันแรกในรอบสิบวัน ถนนดินที่อยู่กลางหมู่บ้านนั้นได้ถูกปูนซีเมนต์แทนที่แล้ว เพื่ออำนวยความสะดวกแก่การตั้งแผงขายของของชาวบ้าน ตระกูลอวิ๋นได้ทำการซ่อมแซมถนนให้กว้างขึ้นมาก
ฝนรอบแรกในต้นฤดูใบไม้ผลิเล็กดั่งสายไหม ขาวดั่งสายหมอก ค่อยๆ ตกลงมาอย่างช้าๆ ดั่งบทกวีที่ว่า สายฝนพรำหาได้ทำให้ผ้าเปียก สายฝนพรำกลับทำให้เคลิบเคลิ้ม ก็เป็นเช่นนี้เอง ละอองฝนบนท้องฟ้าไม่สามารถทำลายความกระตือรือร้นในการแลกเปลี่ยนสินค้าของชาวบ้านได้ นอกเหนือจากทางเข้าหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นที่ไม่มีการตั้งแผงขายของแล้ว ถนนที่เหลือก็ถูกชาวบ้านตั้งแผงลอยจนเต็มไปหมด บ้างขายเนื้อ บ้างขายผ้า บ้างชายหัวไชเท้า บ้างขายขนมเปี๊ยะทอดงา บ้างก็ขายเครื่องประดับเงินชิ้นเล็กๆ บ้างก็ให้ลาแบกถุงกระสอบเสบียงอาหารมาขาย บ้างก็เป็นชาวบ้านในหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นที่จูงแกะ ต้อนไก่และนำไข่ไก่มาด้วย
การขายรากบัวนั้นไม่แปลกใหม่อีกต่อไป ตอนนี้สิ่งที่แปลกใหม่ในเมืองฉางอันก็คือการตั้งแผงลอยขายของที่ตั้งอยู่ตามร้านค้าขนาดใหญ่หลายๆ แห่ง เครื่องประดับราคาถูกนั้นขายดีที่สุด เห็นเกษตรกรที่แต่งตัวเรียบง่ายหยิบเงินเหรียญทองแดงที่ยังมีความอุ่นเพราะอุณหภูมิของร่างกายอยู่ส่งให้เจ้าของร้าน เจ้าของร้านที่อ้วนพลี่ก็ยิ้มตาหยีและพูดขอบคุณแล้วจึงหยิบจี้อันเล็กๆ ราคาถูกจากบนแผงห่อด้วยผ้าไหมผืนเล็กๆ พร้อมกับเครื่องประดับที่เกษตรกรซื้อ ส่งมอบให้เกษตรกรด้วยสองมือ
เมื่อมองดูฝูงชนที่หนาแน่น สัมผัสได้ถึงอุณหภูมิของร่างกายบนเหรียญทองแดงที่อยู่ในมือ เจ้าของร้านที่อ้วนพีคิดว่าเขาควรจะเปิดร้านที่หมู่บ้านตระกูลอวิ๋นสักร้านหนึ่งดีหรือไม่ เกษตรกรที่นี่สามารถซื้อเครื่องประดับได้คิดว่าของอย่างอื่นหากขายที่นี่ก็น่าจะมีคนมาซื้อกระมัง นอกจากนี้ยังมีตระกูลใหญ่อีกหลายสิบตระกูลที่อาศัยอยู่บนภูเขานี้ เมื่อมองดูคู่ต่อสู้ที่ยุ่งไม่แพ้กันที่อยู่ข้างๆ จึงแอบตัดสินใจ เขาเหล่มองพ่อค้าที่แบกหาบน้ำอบแป้งหอม อุปกรณ์เย็บปักถักร้อยจำนวนนับไม่ถ้วนเข้ามาขาย ก็เห็นว่าพวกเขาถูกล้อมรอบด้วยเหล่าหญิงสาวและลูกสะใภ้วัยเยาว์อย่างแน่นขนัด ในใจก็ดีใจมากคราวหน้าที่มีการเปิดตลาด หญิงสาวและลูกสะใภ้วัยเยาว์เหล่านี้จะต้องกลายเป็นลูกค้าของเขาแล้ว
คนขายเนื้อร่างกำยำแกว่งมีดในมือของเขาไปมา แล้วลงมีดตรงกลางอย่างแรงเพียงครั้งเดียวก็แบ่งกระดูกหมูออกเป็นสองเส้น ห่อด้วยใบบัวแล้วก็โยนมันลงในตะกร้าไม้ไผ่ของหญิงชาวนา แล้วแบมือที่เปื้อนเลือดและน้ำมันเยิ้มให้กับหญิงชาวนาแล้วบอกว่า “ราคาสามเหวิน กระดูกท่อนนี้นำไปตุ๋นน้ำแกงให้เด็กเล็กๆ ดื่มนั้นดีที่สุด ถึงจะเห็นข้ารูปร่างเช่นนี้ แต่ก็โตมากับการตุ๋นกระดูกหมูนะ นี่เป็นเคล็ดลับที่หมอเทวะซุนไม่ถ่ายทอดให้คนนอกเชียวนะ”
“เจ้าก็โอ้อวดไปเถอะ ตลาดของหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นเพิ่งเปิดเพียงสี่เดือนเท่านั้น หมอเทวะซุนและอวิ๋นโหวยังอยู่ที่ชายแดน หมอเทวะซุนจะเอาเวลาที่ไหนมาสอนเจ้า” พูดจบก็หยิบเงินสามเหวินออกจากกระเป๋าผ้าปักรูปใบบัว โยนใส่มือของพ่อค้าขายหมู เบะปากหัวเราะพลางด่าว่าเขาคุยโตคุยโม้ ทำให้คนอื่นๆ ที่รอซื้อเนื้อสัตว์หัวเราะกันยกใหญ่
คนขายเนื้อจึงด่าคำหยาบออกไปประโยคหนึ่ง สุดท้ายกลับถูกด่ากลับนับไม่ถ้วน เอนหลบหัวไชเท้าเน่าๆ สองหัวที่ถูกขว้างมา แล้วจึงหัวเราะพลางก้มศีรษะก้มหน้าก้มตาขายเนื้อหมูบนแผงของเขาต่อไป
พ่อค้าเร่ที่ขายเหล้าหมักมองซ้ายมองขวาแต่ก็ไม่เห็นวั่งไฉ ร้อนรนจนเดินวนไปมา เขาจึงตั้งใจเหลือเหล้าหมักไว้ให้หนึ่งกะละมังซึ่งก็คือเหล้าที่เตรียมไว้จะขายให้วั่งไฉ ใครจะรู้ว่าวั่งไฉที่ปกติแล้วเมื่อเขาอุ่นเหล้าหมักพอได้กลิ่นก็จะวิ่งออกมา แต่วันนี้กลับหายไปไม่เห็นแม้เงา
หยิบผ้าเช็ดมือขึ้นมาถูมือแล้วเดินมาที่ทางเข้าหมู่บ้านอย่างระมัดระวัง ประสานมือคารวะองครักษ์ของตระกูลอวิ๋นเพื่อสอบถามข่าวคราววั่งไฉ
“เจ้าขายเหล้าให้คนอื่นเถอะ วั่งไฉไม่สบายนอนอยู่ในคอกไม่ยอมออกมา ก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร” องครักษ์พูดอย่างกังวลกับพ่อค้าขายเหล้า
เมื่อได้องครักษ์พูดเช่นนี้ พ่อค้าขายเหล้าก็รู้สึกกังวลมาก เมื่อคิดถึงว่าปกติแล้ววั่งไฉนั้นกล้าได้กล้าเสีย จึงรีบยกเหล้าหมักที่เพิ่งอุ่นร้อนมา บอกกับองครักษ์ว่า “พี่ชายท่านนี้ วั่งไฉไม่สบายข้าเองก็ไม่มีความคิดดีๆ อะไร เหล้าหมักกะละมังนี้ได้อุ่นร้อนแล้ว รบกวนพี่ชายช่วยส่งไปให้วั่งไฉด้วย หากสามารถดื่มได้แล้วก็ให้ดื่มสักสองคำ หากดื่มไม่ได้ก็เททิ้งก็แล้วกัน ถือว่าเป็นน้ำใจของข้าที่มีต่อลูกค้าประจำ”
เมื่อองครักษ์ได้ยินคนขายเหล้าพูดเช่นนี้จึงไม่ได้บอกปัด จึงยกกะละมังเหล้าขึ้นแล้วเดินเข้าไปในบ้าน มีคนมุงอยู่ที่คอกม้าจำนวนมาก แม่เฒ่าของตระกูลอวิ๋นก็อยู่ในคอกม้าด้วย นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่บนเก้าอี้มองดูวั่งไฉนอนอยู่บนกองหญ้าแห้งหนาๆ ดวงตาของพวกต้ายา เสี่ยวยา เสี่ยวตง น้ำตาคลอมองดูวั่งไฉที่ไม่ขยับ อี้เหนียงเกาให้วั่งไฉเบาๆ ที่แท้หากมีใครบางคนเกาให้มัน มันก็จะนอนตาปรือเสพสุขเป็นอย่างมาก แต่ตอนนี้ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เห็นมันเป็นเช่นนี้แล้ว อี้เหนียงก็อดที่จะน้ำตาไหลไม่ได้
วั่งไฉไม่ได้เป็นโรคอะไร ยกเว้นเรื่องที่กินจนอ้วนก็ไม่มีโรคร้ายแรงอะไร สัตวแพทย์ที่อยู่ในระยะหลายสิบลี้นี้ก็ถูกเชิญมาครบทุกคนแล้ว นับตั้งแต่ที่อวิ๋นเยี่ยจากไป วั่งไฉก็ไม่ค่อยร่าเริงสักเท่าไร นอกจากชอบที่จะเดินเล่นในลานหลังบ้านแล้ว ก็เหลือเพียงการดื่มด่ำกับการดื่มเหล้าหมักเท่านั้นเอง
เมื่อเห็นว่าวั่งไฉไม่เจริญอาหาร คนทั้งตระกูลอวิ๋นก็ร้อนรนจนทำอะไรไม่ถูก ในความรู้สึกของพวกเขา วั่งไฉไม่ใช่ม้าแต่เป็นคนในครอบครัว เห็นไหมว่าวั่งไฉได้รับค่าใช้จ่ายทุกเดือนเทียบเท่ากับลูกชายคนหนึ่ง ใช้ชีวิตราวกับคุณชายของตระกูล
ความรู้สึกที่อวิ๋นเยี่ยมีต่อวั่งไฉนั้นประจักษ์ชัดต่อทุกคนในครอบครัว ที่จริงแล้ววั่งไฉโตพอที่จะให้ขี่ได้แล้วขอเพียงแค่ไม่เดินทางไกล แต่อวิ๋นเยี่ยก็ไม่เคยขี่เลยแม้แต่ครั้งเดียว แม้ว่าจะเคยเดินเล่นเป็นเพื่อนวั่งไฉแต่ก็ไม่ได้ขี่ ทั้งบ้านมีเพียงเด็กหญิงตัวน้อยๆ ไม่กี่คนที่เคยถูกอวิ๋นเยี่ยอุ้มขึ้นไปนั่ง ทุกคนที่เหลือนั้นไม่กล้าพอที่จะขี่วั่งไฉ หากพวกเขาขึ้นไปขี่เกรงว่าโหวเหยียจะหักขาของเขา
หยกแกะสลักราคาหลายร้อยก้วนในห้องของโหวเหยียถูกหางของวั่งไฉปัดลงพื้นแตกกระจาย โหวเหยียลงโทษเพียงแค่ไม่ให้ดื่มเหล้าหมักเป็นเวลาสองสามวัน พวกที่สายตาไวบางคนก็พบว่าตกดึกโหวเหยียยังแอบนำเหล้าไปให้วั่งไฉดื่ม
วั่งไฉไม่ชอบกินหญ้าแห้ง ดังนั้นพวกเสี่ยวยาจึงเลี้ยงวั่งไฉด้วยขนมถั่วทอดและยังมีขนมหวานอีกด้วย ขณะที่ทำอาหารทาน อี้เหนียงมักจะเด็ดผักกาดก้านขาวและผักปวยเล้งออกมาหลายๆ กลีบโดยไม่ตั้งใจอยู่เสมอ โดยบอกว่ามีโคลนติดอยู่มันไม่สะอาด จึงเด็ดออกเพื่อเลี้ยงวั่งไฉ แม่ครัวเห็นแล้วปวดตับจริงๆ ในฤดูหนาวเช่นนี้มีใครบ้างที่เด็ดผักใบเขียวออกจนหมดเหลือแต่ก้านอ่อนกันบ้าง ครอบครัวของขุนนางใหญ่ก็ใช่ว่าจะได้กินผักใบเขียวทุกวัน
อวิ๋นเยี่ยไม่อยู่วั่งไฉก็ไม่อยากจะขยับตัว คนเลี้ยงม้าทั้งร้องขอทั้งอ้อนวอนก็ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ วั่งไฉนอกจากอาบแดดแล้วก็อาบแดดอีก อยู่ดีกินดีเกินไปทั้งยังไม่ออกกำลังกาย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องช่วยงาน หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่อ้วนขึ้นก็เป็นเรื่องแปลกแล้ว ภายในเวลาห้าเดือน วั่งไฉมีน้ำหนักตัวมากขึ้นครึ่งหนึ่งของเมื่อก่อน
องครักษ์ยกเหล้าหมักเข้ามาวางไว้ตรงปากของวั่งไฉ ใครจะรู้ว่าวั่งไฉจะถอนหายใจแล้วหันหน้าหนี
“ข้าพอจะเข้าใจได้แล้ว วั่งไฉเป็นเพราะคิดถึงเสี่ยวเยี่ย ตั้งแต่เขาไปแนวหน้า วั่งไฉก็ไม่มีความสุขเลยสักวันเดียว สัตว์พวกนี้รู้ดีว่าใครดีกับมัน ไม่เสียทีที่อวิ๋นเยี่ยปฏิบัติเหมือนมันเป็นคนในครอบครัว” แม่เฒ่าพูดพลางก้มตัวลงลูบหัวของวั่งไฉและพูดว่า “เสี่ยวเยี่ยจะกลับมาเร็วๆ นี้แล้ว ได้ยินว่าเขามาถึงด่านชั้นในแล้ว เจ้าจะต้องกินให้ดี ให้มีกำลังวังชาจะได้มีหน้าไปพบเขา”
สายลมเย็นที่ถูกละอองฝนพัดพามาได้พัดเข้าไปในคอกม้า ดวงตาของวั่งไฉดูเหมือนจะเปล่งประกายขึ้น หายใจฟืดฟาดสองครั้งแล้วลุกพรวดขึ้น อ้าปากส่งเสียงร้องแล้วก็วิ่งออกไปข้างนอก คนเลี้ยงม้าจะขวางไว้ สุดท้ายถูกวั่งไฉดันจนหงายหลัง เมื่อออกจากคอกม้า วั่งไฉก็วิ่งตรงไปที่ประตูใหญ่ เมื่อไปถึงถนนก็เร่งฝีเท้าควบพุ่งออกไป ไม่รู้ว่าชนแผงลอยล้มไปกี่ร้าน เหล่าพ่อค้าหาบเร่เพียงแค่ด่าสองสามคำ แต่ก็ไม่กังวลเกี่ยวกับความเสียหายเพราะตระกูลอวิ๋นจะชดใช้ให้แน่ พ่อค้าขายเหล้าที่ถังเหล้าถูกเตะกระเด็นคนละทิศละทางยังยกนิ้วหัวแม่มือคุยโวโอ้อวดให้องครักษ์ตระกูลอวิ๋นฟัง “เห็นไหมล่ะ ข้ารู้อยู่แล้วว่าวั่งไฉคิดถึงเหล้าหมักของข้า ดื่มลงไปเพียงแค่กะละมังเดียวก็คึกคักมีกำลังวังชาขึ้นมาทันที หายเป็นปลิดทิ้งเลย”
ในตอนแรกแม่เฒ่าอวิ๋นตกตะลึงไปเล็กน้อย จากนั้นรีบพูดกับพ่อบ้านว่า “โหวเหยียกลับมาที่จวนแล้ว กวาดถนน เปิดประตูใหญ่ทุกคนในครอบครัวออกไปรอต้อนรับ! พ่อบ้านไปแจ้งให้ฮูหยินน้อยรู้ด้วย”
สายฝนเย็นๆ กระทบบนใบหน้ารู้สึกชุ่มฉ่ำเป็นอย่างมาก อวิ๋นเยี่ยกำลังขี่ม้าห้อตะบึงอยู่ ระยะเวลาสองปีทำให้คนโง่ที่ขี่ม้าไม่เป็นขัดเกลาจนเป็นยอดนักขี่ม้า โน้มตัวไปตามแรงพุ่งของม้าศึก ร่างกายขยับขึ้นลงตามม้า ทั้งส่ายไปส่ายมา เสื้อคลุมที่บังสายฝนก็ถูกลมพัดจนเป็นเส้นตรง ชอบขี่ม้าบนถนนดินที่เปียกชื้นเป็นที่สุดเพราะไม่มีฝุ่นลอยคละคลุ้งเต็มท้องฟ้า เหลือเพียงแต่ความสุขและความห้าวหาญ
พวกซุนซือเหมี่ยวยังมาไม่ถึงจิงหยาง คาดว่าน่าจะถึงในวันมะรืน หลังจากข้ามแม่น้ำหวงเหอแล้ว ความรู้สึกที่อยากกลับบ้านก็พุ่งพล่นขึ้นมา บอกหลี่จิ้งเพียงคำเดียวก็พาองครักษ์ตระกูลอวิ๋นรีบเริ่งเดินทาง เส้นทางที่ต้องใช้เวลาเดินทางหกวันเขาเร่งเดินทางเหลือเพียงสองวันก็มาถึง ผ่านฉางอันแต่ไม่เข้าเมือง ลัดเลาะไปตามคูน้ำรอบเมืองตรงกลับบ้านตลอดทาง
ทันทีที่มาถึงซุ้มประตู ม้าหนึ่งตัวหรือม้าอ้วนๆ ตัวหนึ่งก็พุ่งออกมา อวิ๋นเยี่ยจ้องดูเมื่อเห็นก็ถึงกับตกใจมาก อดไม่ได้ที่จะตะโกนว่า “วั่งไฉ เจ้าเป็นอะไรไป”
ทันทีที่วั่งไฉมาถึงด้านหน้าอวิ๋นเยี่ยก็ยื่นหัวโตๆ เข้ามาบนใบหน้าของอวิ๋นเยี่ย ทั้งยังใช้เท้าหน้าถีบเข้าที่ม้าศึกของอวิ๋นเยี่ยด้วย ทำให้แม่ม้าที่เชื่องตัวนี้ต้องถอยไม่หยุด ม้านั้นขี่ต่อไปไมได้แล้วจึงพลิกตัวลงจากม้า กอดวั่งไฉไว้แล้วก็แสดงความรักอันเร่าร้อนด้วยการเกาให้มันทั่วตัว วั่งไฉก็เอาหัวดันชุดเกราะบนตัวของอวิ๋ฯเยี่ยไม่ยอมหยุด คนและม้าหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน
องครักษ์ตระกูลอวิ๋นพยายามมองซ้ายมองขวาด้วยความอยากรู้อยากเห็น เห็นผู้คนทั้งหลายแปลกประหลาดใจ หมู่บ้านตระกูลอวิ๋นมีคนเหล่านี้อยู่ด้วยหรือ เหล่าเฉียนรีบวิ่งออกมาอย่างรวดเร็ว เห็นคนสิบกว่าสวมเสื้อคลุมและชุดเกราะก็รู้ว่าโหวเหยียกลับมาแล้ว วิ่งมาข้างหน้าสองก้าวแล้วหันหลังวิ่งกลับ วิ่งพลางตะโกนว่า “เล่าฮูหยิน โหวเหยียกลับมาแล้ว เล่าฮูหยินโหวเยี่ยกลับมาแล้วจริงๆ!” น้ำเสียงเริ่มสั่นเครือ
บนถนนเงียบสงบลงในทันใด ผู้ใหญ่และเด็กในตระกูลอวิ๋นวิ่งกรูออกมาจากประตูบ้านเพื่อมาต้อนรับเจ้าของของพวกเขา ก่อนอื่นเลยคือเหล่าทหารผ่านศึกที่ไม่ได้ติดตามอวิ๋นเยี่ยไปออกศึก ยกมือทุบอกคุกเข่าลงข้างหนึ่งแล้วตะโกนเสียงดังติดต่อกันสามครั้งว่า “ยินดีต้อนรับโหวเหยียคว้าชัยกลับมา โหวเหยียผู้เกรียงไกร!”
อวิ๋นเยี่ยและเหล่าองครักษ์ที่ออกศึกยกมือทุบอกตะโกนกลับว่า “ต้าถังจงเจริญ ต้าถังเกรียงไกร!” ซึ่งก็ตะโกนสามครั้งเช่นกัน นี่เป็นขั้นตอนที่แม่ทัพจำเป็นต้องทำหลังจากได้ชัยชนะกลับมา หลี่จิ้งทำมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว โดยทั่วไปชาวต้าถังจะไม่คุกเข่า แต่สำหรับทหารที่ทำศึกกลับมานั้นเป็นข้อยกเว้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชนะศึกกลับมา พิธีการนั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าจะจินตนาการได้ หลังจากที่พวกอวิ๋นเยี่ยตะโกนครบสามครั้งแล้ว ผู้คนในตลาดไม่แบ่งแยกชายหญิงเด็กหรือคนชรา ไม่แบ่งแยกฐานะว่าสูงศักดิ์หรือต่ำต้อย ผู้ชายต่างก็โค้งคำนับ ผู้หญิงต่างก็กล่าวอวยพร นี่เป็นเกียรติยศที่ทหารที่ออกศึกสมควรจะได้รับ
ต้าถังนั้นให้ความสำคัญกับผลงานการศึกมากที่สุด ลูกหลานชาวกวนจงก็ภูมิใจในการรับราชการทหาร รางวัลที่ได้รับก็มากที่สุด ทหารคนหนึ่งที่สร้างผลงานชนะศึกกลับมา ระดับฐานะจะสูงส่งมากเกินกว่าที่พ่อค้าผู้มั่งคั่งร่ำรวยจะสามารถมาเทียบเคียงได้ พ่อค้าผู้มั่งคั่งหากพบทหารที่สร้างผลงานการศึกยังต้องทำการคารวะ หากล่วงเกินจะต้องลงโทษอย่างหนักและจะไม่มีใครเห็นใจพ่อค้าผู้มั่งคั่งคนนี้ด้วย
อวิ๋นเยี่ยสองมือประสานเดินผ่านฝูงชน พูดกล่าวคำขอบคุณไม่หยุด ทั้งยังช่วยพยุงคนชราในฝูงชนให้ลุกขึ้นเป็นครั้งคราว การให้พวกเขาทำการคารวะตลอดทางเป็นการแสดงออกให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่สูงส่งอย่างหนึ่ง ตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะสร้างชื่อเสียงของอวิ๋นเยี่ย ห้ามไม่ให้เกิดข้อบกพร่องแม้แต่นิดเดียว อวิ๋นเยี่ยจำเป็นต้องปฏิบัติตามขั้นตอนอย่างเรียบร้อย ตอนนี้หากใครวางตัวไม่เหมาะไม่ควร ผู้นั้นก็เป็นจอมโง่ที่ได้มาตรฐานนั่นเอง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น