เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วน 5 ตอน 01-04
ส่วนที่ 5
ตอนที่ 1 โจรป่า
เมื่อรถม้าขับเคลื่อนอยู่บนทุ่งหญ้าที่รกร้าง อวิ๋นเยี่ยจึงรู้สึกได้ว่าฤดูใบไม้ผลิมาถึงแล้ว ทุกแห่งหนมีแต่ลำธารเล็กๆ ไหลอยู่บนทุ่งหญ้า แสงแดดที่อบอุ่นในฤดูใบไม้ผลิได้ละลายผ้าขาวในฤดูหนาวซึ่งปกคลุมภูเขาที่อยู่ห่างไกล ทำให้เกิดแหล่งน้ำมากมายสู่ทุ่งหญ้า ปีนี้เป็นปีที่ดี หลังจากทุ่งหญ้าประสบภัยพิบัติจากหิมะขาว ปีใหม่ที่มาเยือนก็จะเป็นปีที่อุดมสมบูรณ์
ไม่ใช่ทุกคนที่จะชื่นชมทัศนียภาพอันสวยงาม เหอเซ่ากำลังสาปแช่งฤดูใบไม้ผลิอันห่วยแตกของทุ่งหญ้าอยู่ เกวียนเทียมวัวของเขาตกลงไปในหลุมโคลน วัวที่น่าสงสารพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาแต่ก็ไม่เป็นผล เหอเซ่าจอมโลภเขาบรรจุของบนเกวียนเทียมวัวสูงเกินไปและเต็มเกินไป ถ้าเป็นไปได้ แม้แต่ตั๊กแตนบนทุ่งหญ้าเขาก็คงไม่ยอมปล่อยไป
ทหารเสริมแดนกวนจงที่เปื้อนโคลนไปทั้งตัว ตะโกนฮุยเลฮุยช่วยกันลากรถออกจากบ่อโคลน ไม่รอรีให้มีการพักและปรับกระบวนทัพก็ออกเดินทางต่อ ทุกคนต้องการออกจากทุ่งหญ้าโดยเร็วที่สุด พื้นดินที่แข็งตัวเริ่มละลาย เท้าเหยียบอยู่บนพื้นนุ่มๆ เหมือนเดินเหยียบอยู่บนพรมหนาๆ ได้ยินว่าทุกๆ ปีจะมีวัวและแกะติดอยู่ในหนองน้ำเป็นประจำ คนดวงไม่ดีก็จะโชคร้าย พริบตาเดียวคนก็หายไป สถานที่เลวร้ายเช่นนี้จากไปได้เร็วขึ้นเท่าไรก็ปลอดภัยเร็วขึ้นเท่านั้น
รถม้าสี่ล้อของหลี่จิ้งเผยให้เห็นถึงความเหนือชั้นกว่าใคร เพียงแค่ม้าที่ลากรถก็มีถึงสี่ตัวแล้ว เพลาข้อเหวี่ยงได้แปลงพลังงานจากทุกทิศทางให้กลายเป็นแรงผลักดันของการเดินไปข้างหน้าได้อย่างง่ายดาย การเคลื่อนที่ทั้งเร็วเบาและมั่นคง ในรถม้าไม่มีที่นั่ง มีเพียงแคร่นอน หลี่จิ้งห่มเสื้อขนสัตว์พลางมองไปยังทุ่งหญ้าด้านนอกหน้าต่าง หว่างคิ้วนั้นขมวดชนกันจนขึ้นเส้นตรงลึกลงไป ตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมาไม่ได้คลายตัวลงเลย การลงไพ่อย่างสุ่มสี่สุ่มห้าของอวิ๋นเยี่ยโดยกะทันหันได้ทำให้สิ่งที่เขาวางแผนไว้รวนไปหมด แผนการยังไม่ทันเริ่มก็จบลงเสียแล้ว
คนเราควรมีน้ำใจกว้างขวางดั่งทะเล มั่นคงดุจภูผา ไม่มีจิตคิดละโมบย่อมยืนได้อย่างมั่นคง คำพูดประโยคนี้อวิ๋นเยี่ยบอกกับเขาก่อนที่จะออกเดินทาง เขาชอบประโยคนี้ แต่กลับไม่ชอบกิริยาท่าทางของอวิ๋นเยี่ย เด็กคนนี้วางท่าทีเย่อหยิ่งจองหอง ใช้น้ำเสียงราวกับเป็นผู้มีสติปัญญามาปลอบโยนเขา ทำให้หลี่จิ้งผู้ซึ่งจิตใจสงบลงไปตั้งนานแล้วเกิดประกายไฟอันน่ากลัวขึ้นมาจากจุดตันเถียน “เจ้าหนุ่ม มาวางท่าทีผู้สูงส่งต่อหน้าข้า ข้าจะให้เจ้าได้รู้ว่าอะไรคือผู้สูงส่งที่แท้จริง”
อวิ๋นเยี่ยนั่งเอนกายแหงนหน้าอยู่บนเกวียนเทียมวัว สองมือหนุนศีรษะ ตั้งแต่เขามาถึงโลกแห่งนี้ เขาก็รู้สึกว่าท้องฟ้าสีฟ้าครามและเมฆสีขาวของที่นี่ไม่ว่าอย่างไรก็ดูไม่พอ ขอเพียงแค่มีเวลาว่าง เขาก็ไม่พลาดโอกาสที่จะชื่นชมพวกมัน
ฟากฟ้าทางใต้ มีม้าตัวหนึ่งกำลังเชิดหน้าส่งเสียงร้องฮี้ๆ ราวกับว่ากำลังเรียกหาเพื่อนที่อยู่ข้างหลัง อวิ๋นเยี่ยกำลังคิดจะปลุกเฉิงฉู่มั่วที่นอนอยู่ด้านข้างให้ตื่นขึ้นมาชื่นชมก้อนเมฆสีขาวแปรเปลี่ยนเป็นรูปม้าคะนอง ใครจะรู้ ดูเหมือนว่าจะมีลมพัดแรงอยู่บนท้องฟ้า ม้าคะนองที่ดูแข็งแกร่งทรงพลังพริบตาเดียวก็กลายเป็นหมูอ้วนตัวหนึ่ง ทั้งยังเป็นหมูอ้วนที่น่าเกลียดและประหลาดมากๆ ปากหมูยาวขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็กลายเป็นเหมือนสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง ลมก็พัดอย่างต่อเนื่อง สัตว์ประหลาดตัวนั้นค่อยๆ กลืนกินเข้าไปกับกลุ่มเมฆใหญ่ ดูไม่ออกว่าเป็นรูปอะไรอีกต่อไป
เสียงร้องเพลงของน่ารื่อมู่ดูเหมือนจะยังวนเวียนอยู่ข้างๆ หู หญิงโง่คนนั้นเห็นการจากลาเป็นเรื่องตลก ราวกับว่าอวิ๋นเยี่ยไม่ได้กลับไปฉางอันที่อยู่ห่างไกล เพียงไปที่บ้านของเพื่อนบ้าน เมื่อฟ้ามืดก็จะกลับมา
อวิ๋นเยี่ยก็ตกใจขึ้นในทันใด หญิงโง่เขลาคนนี้อาจจะไม่รู้จริงๆ ก็ได้ว่าที่นี่ไกลจากฉางอันเพียงไหน ถ้าตอนกลางคืนเขาไม่กลับไป นางจะร้องไห้จริงๆ และร้องไห้ออกมาดังๆ ด้วย ทำไมต้องเป็นห่วงนางแทนที่จะกังวลกับซินเย่ว์ที่แยกกันจากกันเป็นเวลาครึ่งปีกว่า พอคลำดูที่อกเสื้อ ถุงผ้าปักยังอยู่ ถุงผ้าปักนิ่มๆ ถูกผมที่มีแรงยืดหยุ่นของซินเย่ว์รัดเอาไว้จนตึง เมื่อกดลงไปเบาๆ พอปล่อยมือมันจะเด้งคืนตัวกลับมา เป็นเวลาครึ่งปีกว่าแล้วถุงผ้าปักอันนี้เว้นเสียแต่จะสกปรกไปบ้างแล้ว รูปร่างก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย
แรงยืดหยุ่นของเส้นผมไม่ได้ลดเลย แล้วหัวใจของอวิ๋นเยี่ยจะเปลี่ยนไปได้อย่างไร ซินเย่ว์คือภรรยาของเขา เก็บไว้ในใจก็พอ จะพูดพร่ำเพรื่อไปเพื่ออะไร ทั้งสองคนยังมีเวลาอีกหลายสิบปีที่จะได้อยู่ร่วมกัน ยิ่งเป็นความรู้สึกที่เรียบง่ายเท่าไรยิ่งอยู่ได้นานเท่านั้น จูงมือกันหลายสิบปีอย่างเรียบง่าย ดูดีมีความหมายกว่าความรักที่เที่ยวป่าวประกาศไปทั่วมากนัก
หลี่จิ้งที่อยู่ในรถม้าตอนนี้จะต้องรู้สึกหดหู่มากเป็นแน่ แผนการที่เตรียมเอาไว้อย่างดีนั้นเละเทะตั้งแต่อยู่ในมุ้ง ไม่ว่าใครก็คงรู้สึกทรมานมากแน่ เขาไม่เข้าใจว่าชาวฮั่นทุกคนไม่อยู่ในรายชื่อศัตรูของอวิ๋นเยี่ย ไม่ว่าจะเป็นคนดีหรือคนเลว ขอเพียงพวกเขาไม่เข้าไปยุ่มย่ามกับเขา อวิ๋นเยี่ยตั้งใจจะเผชิญหน้ากับทุกคนด้วยรอยยิ้ม ไม่จำเป็นต้องทำให้ใครถึงตายเลย ชาวฮั่นก็เหลือกันอยู่เพียงจำนวนเท่านี้ ตอนนี้แม้แต่ฮ่องเต้ก็มีเชื้อสายเผ่าหู ถ้าหากคนกันเองยังเข่นฆ่ากันเองอีก ก็คงใกล้จะสูญเผ่าพันธุ์กันเต็มที
บางทีท้องฟ้าของทุ่งหญ้าอาจทำให้จิตใจของอวิ๋นเยียที่เดิมทีก็ไม่ได้ใจกว้างเสียเท่าไรนักให้หมดไป เรื่องที่ทำให้เขาโกรธจนเลือดขึ้นหน้าก่อนหน้านี้ ตอนนี้เขาเรียนรู้ที่จะหัวเราะและปล่อยผ่านไปแล้ว คำพูดก่อนหน้านี้หานซันและสือเต๋อหลวงจีนสองรูปเคยกล่าวไว้ ตนเองคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ตอนนี้ปลงตกแล้ว อย่าได้ไปใส่ใจต่อผู้ที่ใส่ร้ายป้ายสีข้า ด่าข้า เมื่อผ่านไปอีกหลายปีค่อยมองพวกเขาอีกครั้ง บรรดาผู้ที่ด่าข้า เตะข้า ถีบข้า อีกสามสิบปีให้หลัง แม้ข้ากระดกบั้นท้ายให้ พวกเขาก็คงเตะไม่ไหวแล้วกระมัง
ระหว่างที่อวิ๋นเยี่ยกำลังคิดเหลวไหลไร้สาระ เสียงกรนของเฉิงฉู่มั่วที่ดังอยู่เป็นเพื่อนก็ทำให้เขาผล็อยหลับไปท่ามกลางแสงอาทิตย์อันอบอุ่น
เสียงผิวปากดังกังวานทำให้อวิ๋นเยี่ยและเฉิงฉู่มั่วตื่นขึ้น เห็นเพียงเนินเขาข้างหน้ามีคนกลุ่มใหญ่ถือดาบและหอกอยู่ในมือ กำลังมุ่งหน้าเข้ามา ชายหลายคนที่ขี่ม้าในกลุ่มคนนั้นตะโกนเสียงดังพุ่งลงมาจากภูเขา ดาบยาวในมือสะท้อนแสงวิบวับภายใต้แสงแดดที่ส่องประกาย
โจรป่า อวิ๋นเยี่ยและเฉิงฉู่มั่วหันมามองหน้ากัน มีโจรป่าที่กล้าปล้นกองทัพด้วยหรือ คนเหล่านี้ไม่เห็นทหารม้าหนึ่งพันคนที่อยู่ข้างหน้าหรือ
“เสี่ยวเยี่ย ไม่มีทหารม้า ไม่รู้ว่าทหารม้าไปไหนหมด ให้ตายสิ ตอนนี้พวกเรากลายเป็นกองคาราวานไปแล้ว” เฉิงฉู่มั่วยืนอยู่บนรถเทียมวัว มองไปที่ด้านหน้าแล้วจึงพูดกับอวิ๋นเยี่ย
“ทหารม้าเหล่านั้นหายไปไหนแล้ว บอกให้รู้ไว้ก่อนว่าพวกเขาเป็นองครักษ์ที่ต้องอารักษ์ขาท่านผู้บัญชาการใหญ่ หากท่านผู้บัญชาการใหญ่เป็นอะไรไป พวกเขาอย่าได้หวังมีชีวิตอยู่ต่อเลย” อวิ๋นเยี่ยก็หันหลังกลับมองหาทหารม้าซึ่งก็ไม่เห็นแม้แต่เงาจริงๆ โจรป่าเหล่านั้นยังคงมุ่งหน้าบุกเข้ามาทางด้านหน้าของกองกำลัง แม้ว่าจะไม่มีทหารม้า ทหารเสริมเหล่านี้ก็เป็นชายที่ผ่านสมรภูมิมาแล้ว อยู่ภายใต้คมหอกคมดาบไม่ใช่เพียงปีหรือสองปี เมื่อเห็นโจรป่าที่บุกมาอย่างโกลาหลก็ไม่ลนลานแม้แต่น้อย เพียงแค่ชักดาบออกของตัวเองออกมาพร้อมกัน และคุ้มกันโดยให้กองกำลังอยู่ด้านข้างหลัง
เสียงอื้ออึงที่คุ้นเคยดังขึ้น เห็นเพียงด้านหลังของโจรป่าที่เป็นหัวหน้ามีหอกยาวอันหนึ่งพุ่งฝ่าเข้ามา ทำให้เลือดของเลขาฯกองกำลังสาดกระเด็น ตัวคนนั้นก็ลอยขึ้นฟ้าด้วยแรงกระแทกอันทรงพลัง ม้าศึกที่ไร้คนควบคุมก็ยังพุ่งไปข้างหน้าต่อ
โจรป่าที่เหลือตะโกนเสียงดังขึ้น ไม่รู้ว่ากำลังตะโกนอะไร ดูเหมือนจะพูดประมาณว่าพี่ใหญ่อะไรทำนองนั้น เฉิงฉู่มั่วไม่แม้แต่จะสวมเกราะ ก็คว้าดาบยาวของเขากระโดดลงจากรถเทียมวัว ไม่สนใจอวิ๋นเยี่ยที่นั่งด่าอยู่ข้างหลังเลยแม้แต่น้อย
ลูกธนูยังคงถูกยิงไม่หยุด ทุกครั้งที่เสียงเอ็นธนูดังขึ้นก็จะพรากชีวิตไปหนึ่งชีวิต พวกมือสมัครเล่นเหล่านี้มีหรือจะเป็นคู่ต่อสู้ของทหารเสริมได้ เฉิงฉู่มั่วและหัวหน้าองครักษ์ของเหล่าหนิวสองคนเดินถือดาบยาวคนละเล่ม เดินเข้าไปในกลุ่มโจรป่าฟาดฟันไม่เลือก ทหารเสริมที่อยู่โดยรอบใช้ธนูยิงโจรป่าที่หนีกระจัดกระจายจนตายหมดทุกคน
ใช้เวลาเพียงหนึ่งก้านธูป โจรป่าก็ถูกฆ่าจนหมดสิ้น นอกจากทหารเสริมสองคนที่ได้รับบาดเจ็บแล้วก็ไม่มีอะไรสูญเสีย
ขณะนับจำนวนคน ไม่รู้ว่าใครตะโกนขึ้น “หมาน้อยไปไหนแล้ว” ทุกคนจึงพบว่าหมาน้อยที่เมื่อครู่ถูมือรำหมัดเตรียมจะฆ่าคนได้หายตัวไป ทหารเสริมชราคนหนึ่งรีบไปเปิดพลิกศพในกองศพดู คิดว่าหมาน้อยถูกฆ่าตายแล้ว เมื่อพลิกดูทุกศพแล้ว็ไม่มีร่องรอยของหมาน้อย คนตัวเป็นๆ จะบอกว่าบินหนีไปหรืออย่างไร
“ไม่แน่ว่าจะหลบหนีไปก่อนที่จะสู้กันก็ได้ คนขี้ขลาดเช่นนี้ไม่ต้องไปสนใจเขาหรอก” มีคนในกลุ่มแสดงความเห็นที่ต่างออกไป
ทหารเสริมชราหันหน้าไปค้อนขวับใส่ผู้ที่พูดจนนัยน์ตาดำแทบจะหายเข้าไปในนัยน์ตาขาวแล้ว ชั่วพริบตากองกำลังทหารเสริมก็เงียบงัน เกียรติศัพท์ของทหารเสริมชราท่านนี้ก็ยังคงโด่งดังมากในกองกำลังนี้
“ส่งหน่วยข่าวกรองออกไปในระยะสามลี้ ค้นหาหมาน้อยในบริเวณโดยรอบ” ทหารเสริมชราหันไปสั่งทหารเสริมที่ขี่ม้า ก็มีทหารม้าห้าคนกระจายตัวออกไปโดยรอบในทันใด
ฉวยโอกาสขณะที่กำลังค้นหาคน อวิ๋นเยี่ยเดินมาที่ข้างรถม้าของหลี่จิ้ง สอบถามหลี่จิ้งเกี่ยวกับที่อยู่ของทหารม้าพันนาย
หลี่จิ้งนั้นนอนซุกกายอยู่ใต้ผ้าห่มขนสัตว์ พูดกับอวิ๋นเยี่ยอย่างเฉื่อยชาว่า “ทหารม้าหนึ่งพันคนนั้นข้าสั่งให้พวกเขาไปรอฟังคำสั่งอยู่ที่เขตอวิ๋นจงแล้ว เจ้ายังจะถามอะไรอีก”
“ผู้บัญชาการใหญ่ ท่านไล่ทหารคุ้มกันไปแล้ว แล้วจะรับประกันความปลอดภัยของกองกำลังพวกเราได้อย่างไร นอกจากนี้ในกองกำลังนี้ยังมีท่าน ถังเจี่ยน นักพรตซุนและพวกสวี่จิ้งจง หากเกิดอะไรขึ้น แม้ข้าตายหมื่นครั้งก็ไม่สามารถไถ่โทษได้” อวิ๋นเยี่ยโกรธจนใกล้จะบ้าอยู่แล้ว “หากท่านอยากจะไล่ทหารคุ้มกันออกไป ก็น่าจะบอกข้าสักคำ คราวนี้ยังดีที่เป็นแค่โจรป่า หากเป็นชนเผ่าทูเจวี๋ยที่เหลือรอดอยู่ เช่นนั้นกองกำลังก็จะตกอยู่ในอันตราย”
“มีอันตรายบ้าอะไรกัน เขตอวิ๋นจงสิจึงจะเป็นอันตราย เมื่อครั้งที่ข้ายกทัพออกไปที่ทุ่งหญ้า ได้โยกกองกำลังของเขตอวิ๋นจงออกมาจนหมดสิ้น ตอนนี้ปล่อยให้เป็นเมืองที่ว่างเปล่า หากชาวเผ่าทูเจวี๋ยตะวันตกต้องการแย่งชิงดินแดนและบังเอิญยึดได้เขตอวิ๋นจง นี่สิจึงเป็นเรื่องใหญ่ แค่กองกำลังเล็กๆ ของเจ้ามีหรือจะสำคัญกว่าเขตอวิ๋นจง ข้าเห็นทหารเสริมที่เจ้าจ้างมาแต่ละคนเก่งกาจเรื่องการต่อสู้ โจรป่ากลุ่มเล็กๆ ควรจะไม่อยู่ในสายตาเจ้าจึงจะถูก มาพูดพร่ำเพ้ออะไรอยู่ข้างรถข้าอยู่ได้ รีบไสหัวไป เพิ่งจะได้หลับกลับถูกปลุกให้ตื่นขึ้นอีก ไม่ได้รู้สึกเห็นอกเห็นใจคนชราบ้างเลย” ปากก็บ่นพึมพำๆ คำพูดเหล่านี้ แต่ตัวนั้นได้มุดกลับเข้าไปในกองผ้าห่มแล้วนอนต่อ
หมาน้อยที่อยู่บนเนินเขากำลังพยายามส่งเสียงตะโกน กวักมือ อวิ๋นเยี่ยและเฉิงฉู่มั่วขี่ม้ามุ่งหน้าไปยังเนินเขา เมื่ออ้อมเชิงเขาไป อวิ๋นเยี่ยก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ด้านหลังของเนินเขามีกองศพอยู่เกลื่อนกลาด ดูการแต่งกายแล้วเป็นพ่อค้าชาวเปอร์เซีย ทั้งยังมีหญิงชาวเปอร์เซียร่างเปลือยเปล่าสองสามคนนั่งขดตัวสั่นเทาไปทั้งร่างอยู่ด้วยกัน
มีชายที่ร่างอาบเลือดคนหนึ่งนอนอยู่ใต้ฝ่าเท้าของหมาน้อย ถูกหมาน้อยเหยียบปากไว้ส่งเสียงอู้อี้ๆ พยายามพูดอะไรบางอย่าง
ไม่ต้องบอกอวิ๋นเยี่ยก็เข้าใจแล้ว โจรป่าเหล่านี้เพิ่งปล้นฆ่ากองคาราวานเปอร์เซียและพวกมันก็พบพวกอวิ๋นเยี่ยเข้า ด้วยความคิดที่ว่าปล้นหนึ่งคนก็ต้องเหนื่อยปล้นสองคนก็ต้องเหนื่อยเช่นเดียวกัน จึงตั้งใจจะกำจัดพวกอวิ๋นเยี่ยด้วยจะได้ร่ำรวยในคราวเดียว คิดไม่ถึงว่าจะเจอของแข็งเข้าให้อย่างแรง เมื่อกองกำลังทั้งหมดถูกกำจัดทิ้ง หมาน้อยนั้นไล่ตามโจรป่าที่วิ่งหนีมาคนหนึ่ง จึงได้พบที่นี่เข้า
อวิ๋นเยี่ยส่งสัญญาณให้หมาน้อยยกเท้าออกไป ตั้งใจจะถามโจรป่าคนนี้เสียหน่อย หมาน้อยไม่ได้ยกเท้าหนีและพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “โหวเหยีย ปากของผู้ชายคนนี้สกปรกมาก หากข้าเอาเท้าออก เขาจะล่วงเกินท่านได้ จะให้ท่านถูกโจรป่าลบหลู่ดูหมิ่นได้อย่างไร”
“ไม่เป็นไร หมาน้อย ถ้าหากเขากล้าใช้คำหยาบแม้แต่ประโยคเดียว ข้าจะถลกหนังเขาเอง” อวิ๋นเยี่ยพูดพลางขมวดคิ้ว
ทันทีที่เท้าของหมาน้อยยกออกมา ชายคนนั้นก็หมอบกราบบนพื้นโขกศีรษะขอให้ไว้ชีวิตเขาไม่ยอมหยุด
ส่วนที่ 5
ตอนที่ 2 การแลกเปลี่ยนของหลี่จิ้ง
ข้อมูลที่ได้จากปากของโจรป่าไม่แตกต่างจากที่อวิ๋นเยี่ยคาดเดาสักเท่าไร นี่คือกลุ่มโจรที่ยึดภูเขาตั้งตนเป็นใหญ่ หรือก็คือที่ผู้คนมักเรียกว่ากองโจร ตั้งใจทำการดักปล้นฆ่ากองคาราวานที่ผ่านมาในแดนที่ไร้เจ้าของแห่งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อค้าชาวเผ่าหู
ตั้งแต่มาถึงโลกนี้ การได้พบเห็นศพนั้นถือเป็นเรื่องธรรมดามาก ชีวิตคนในยุคสมัยนี้ดูเหมือนว่าจะบอบบางเป็นพิเศษ ในยุคนี้ หลายๆ คนไม่ใส่ใจที่จะฆ่าคนหนึ่งคนหรือฆ่าไก่หนึ่งตัวทิ้ง หมาน้อยเป็นเพียงเด็กอายุสิบกว่าปีเท่านั้น เขาลากโจรป่าไปในที่ที่ค่อนข้างลับตาคน จากนั้นก็แทงเข้าที่คอของโจรป่าเพียงดาบเดียว ดูเหมือนเขาจะไม่ได้ยินเสียงโจรป่าร้องขอชีวิตอย่างน่าสังเวชก่อนตาย ดาบนั้นแทงเข้าไปอย่างแม่นยำและเด็ดเดี่ยว
รังเก่าของโจรป่าอยู่ห่างจากที่นี่เพียงสิบลี้เท่านั้น ได้ยินว่าวันนี้มีการซื้อขายครั้งใหญ่ ในรังโจรเหลือไว้เพียงผู้ที่อ่อนแอ พิการและป่วยไม่กี่คน ส่วนที่เหลือที่สามารถหยิบดาบถือหอกได้ก็ล้วนแล้วแต่ออกมาด้วยกันทั้งหมด เมื่อได้ยินข่าวนี้ มีหรือที่ทหารเสริมจะยังสามารถนั่งอยู่ได้ ม้าเร็วห้าสิบตัวก็พุ่งตัวออกจากถนนเล็กๆ อย่างรวดเร็วปานพายุ
เพื่อเป็นการรับรองความปลอดภัยของตนเองในการเดินทัพต่อไป อวิ๋นเยี่ยไม่ได้คัดค้านทหารเสริมเหล่านี้ไปสร้างโชคเล็กๆ น้อยๆ เหล่าทหารเสริมต่างก็เก็บสิ่งของที่พ่อค้าชาวเปอร์เซียทิ้งไว้ให้อวิ๋นเยี่ยด้วยความสมัครใจ ซึ่งพวกเขาคิดว่านี่เป็นสิ่งที่โหวเหยียสมควรได้รับ
เมื่อได้รับค่าสินจ้างมาแล้วก็ต้องทำงานให้ผู้นั้น แม้ว่าจะไม่สามารถช่วยอะไรพวกพ่อค้าได้ การฝังพวกเขาลงดินเพื่อให้ไปสู่สุขคติก็ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งเช่นกัน
บางทีอาจเพราะออกจากบ้านนานเกินไป เหล่าทหารเสริมขุดหลุมไปพลาง แอบมองหญิงชาวเผ่าหูที่สวมเสื้อคลุมขนสัตว์อยู่ไปพลาง คนที่ใจกล้าหน่อยก็ชี้ไปที่ต้นขาเปลือยเปล่าของหญิงชาวเผ่าหูแล้วก็ส่งสายตากับสหาย หญิงชาวเผ่าหูเหล่านั้นจึงกอดกันแน่น ร่างสั่นเทามากยิ่งขึ้น
ได้ยินมานานแล้วว่าหญิงชาวเผ่าหูเหล่านี้เพื่อให้มีชีวิตที่ดีกว่า จึงตั้งใจมากับกองคาราวานอูฐจากเอเชียกลาง เดินทางไกลนับพันลี้มาที่ฉางอัน ต้องการหาเงินด้วยช่วงเวลาที่ยังมีเสน่ห์แห่งความงามอ่อนเยาว์ และใช้เวลาสั้นๆ ไม่กี่ปีในการเก็บรวบรวมเงินเพื่อใช้ในช่วงบั้นปลายชีวิต เมื่อถึงคราที่ตนเองอายุมาก สมรรถภาพทางเพศเสื่อมถอยจะได้มีที่พึ่งพา พวกเขาไม่สนใจตัวเองเลย ขอเพียงสามารถสร้างรายได้ได้ สำหรับพวกนางไม่มีอะไรที่ขายไม่ได้
ถังเจี่ยนพูดภาษาชาวเผ่าหูเป็นด้วย พูดคุยจุ๊กจิ๊กๆ กับหญิงชาวเผ่าหูอยู่ยกใหญ่ หญิงชาวเผ่าหูเหล่านั้นดูเหมือนจะมีชีวิตชีวาขึ้นมาในทันใด เมื่อครู่ยังหวาดกลัวเจียนตายกันอยู่ ตอนนี้ถึงกับใจกล้าเดินยั่วยวนเหล่าทหารเสริมไปทั่ว ท้าลมหนาวในต้นฤดูใบไม้ผลิอย่างไม่หวั่นเกรง นำเสื้อคลุมขนสัตว์มาพันรอบเอว เรียกได้ว่าพันหน้าอกเพียงครึ่งหนึ่งและสะโพกเท่านั้น ยกท่อนแขนที่เปลือยเปล่าโบกมือให้เหล่าทหารเสริมแล้วส่งสายตาหวานเยิ้ม หญิงชาวเผ่าหูที่สวยที่สุดสองคนถูกถังเจี่ยนและสวี่จิ้งจงลากเข้าไปในรถม้าสี่ล้อ ชายสองคนนี้ไม่คิดจะรักษาหน้าตาเลยหรือ
เมื่อเทียบกันแล้ว เหอเซ่านับว่ายังเป็นคนดี นำนักบัญชีสองคนไปนับสินค้าของพ่อค้าชาวเปอร์เซียอย่างละเอียด ไม่ถูกสิ ตอนนี้มันเป็นของอวิ๋นเยี่ยแล้ว ในเมื่อเป็นของอวิ๋นเยี่ย จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีส่วนแบ่งของเขาหนึ่งส่วนให้แก่ผีบ้ากามที่หิวโหย เมื่อเผชิญกับการยั่วยวนของหญิงชาวเผ่าหู เขากลับทำเสมือนไม่เห็น ลูบคลำผ้าห่มเปอร์เซียที่อ่อนนุ่มน้ำลายไหลไม่หยุด ก่อนจะยื่นมือออกไปผลักหญิงชาวเผ่าหูที่กำลังวิ่งเข้ามาหว่านเสน่ห์ไปด้านข้าง และมองดูหญิงชาวเผ่าหูอย่างระแวดระวัง ราวกับว่าหญิงชาวเผ่าหูคนนั้นจะมาแย่งของรักของหวงของเขา
หลี่จิ้งเป็นขุนนางใหญ่ที่ไม่สามารถล่วงเกินได้ ตอนนี้เขาทำศึกชนะและกำลังเดินทางกลับ จึงยิ่งล่วงเกินไม่ได้มากขึ้นไปอีก เมื่อกลับถึงฉางอันเรื่องการทหารในสำนักศึกษายังต้องการการสนับสนุนจากเขาเป็นอย่างมาก แม้ว่ากิริยาท่าทีของเขาจะเลวร้ายไปกว่านี้ก็ตาม อวิ๋นเยี่ยก็ยังคิดจะปฏิบัติต่อเทพแห่งการทหารท่านนี้ในฐานะท่านปู่อยู่
ถังเหล้าองุ่นใบเล็กๆ ที่ใส่เหล้าองุ่นหมักบริสุทธิ์ของแท้ได้ถูกส่งไปที่รถม้าของหลี่จิ้ง นี่เป็นของที่ดีที่แม้อยู่ฉางอันก็ไม่มีทางจะได้ลิ้มรสมัน สิ่งที่เหล้าองุ่นกลัวที่สุดก็คือการเขย่าไปมา ระหว่างการขนส่งจะเกิดการโคลงเคลงไปมาซึ่งจะลดคุณภาพของเหล้าองุ่นลง อีกทั้งไม่สะดวกในการขนส่งระยะทางไกล ดังนั้นพ่อค้าชาวเปอร์เซียเหล่านี้จึงพยายามใส่เหล้าองุ่นที่เพิ่มระดับความเข้มข้นแล้วลงในถังไม้ ขนส่งนับหมื่นลี้ไปถึงฉางอันจากนั้นจึงค่อยทำให้เจือจางซึ่งราคาสูงไม่เบา
ตลอดการเดินทางนี้ หลี่จิ้งนอกจากจะเห็นอวิ๋นเยี่ยขวางหูขวางตาแล้ว แต่สำหรับเสบียงอาหารและเครื่องใช้ที่ส่งมาล้วนแล้วแต่ไม่ปฏิเสธ ทั้งยังให้ความร่วมมือกับเขาอย่างแข็งขันในการตรวจรักษาอาการ เมื่อครู่ยังพูดคุยกับซุนซือเหมี่ยวอย่างหน้าชื่นตาบาน แต่เมื่อหันมาหาอวิ๋นเยี่ยก็หน้าบูดบึ้งถมึงทึง ทำให้อวิ๋นเยี่ยปวดเศียรเวียนเกล้าเป็นอย่างมาก หลายครั้งที่อยากจะบอกว่าเมื่อกลับไปฉางอันแล้วจะขอให้หลี่จิ้งไปบรรยายที่สำนักศึกษา เพื่อสอนเจ้าเด็กโง่ในสำนักศึกษาเหล่านั้นว่าอะไรที่เรียกว่าการบัญชาการศึก ไม่ใช่คนสองคนยืนบนกองทรายแล้วต่างฝ่ายต่างด่าใส่กัน แต่ยังไม่ทันที่จะได้พูดออกมาก็ถูกหลี่จิ้งไล่กลับเสียแล้ว การแสดงยุทธวิธีการศึกของอวี้ฉือจอมโง่และต้วนเหมิ่งกลายเป็นเรื่องตลกที่โด่งดังของฉางอันไปแล้ว ทั้งยังทำให้ชื่อเสียงของสำนักศึกษาได้รับความเสียหายไปด้วย หลังจากถูกหลี่กังอบรมสั่งสอนยกใหญ่แล้ว ก็ถูกจับไปขังอยู่ในห้องขังให้สำนึกผิดเป็นเวลาสองวัน คุณภาพของนักเรียนดังกล่าวทำให้อวิ๋นเยี่ยอดกังวลใจไม่ได้
อวิ๋นเยี่ยเจาะถังไม้ด้วยสว่านมือแล้วเทเหล้าองุ่นหนึ่งชามใหญ่เต็มๆ ชาม จากนั้นเคาะน้ำแข็งสักสองสามก้อนใส่ลงไป แล้วจึงยกไปให้หลี่จิ้ง ถ้วยกระเบื้องเคลือบที่ใส่เหล้าองุ่นสีแดงเลือด ประกอบกับก้อนน้ำแข็งที่ลอยขึ้นลงอยู่ในถ้วย เพียงแค่เห็นก็รู้ว่าเป็นของดี หลี่จิ้งรับมาแล้วดมกลิ่น จิบไปหนึ่งคำแล้วถอนหายใจ จากนั้นหยิบขวดกระเบื้องเคลือบเล็กๆ ออกจากอกเสื้อแล้วเติมมันลงไปในถ้วยเหล้าไม่หยุด เมื่ออวิ๋นเยี่ยดูอย่างละเอียดแล้ว มันคือน้ำตาลป่นแบบผง[1]การดื่มเหล้าองุ่นไม่ใช่ว่าควรจะดื่มรสชาติดั้งเดิมหรือ ทำไมหลี่จิ้งต้องเติมน้ำตาลด้วย
ตอนที่ตนเองอยู่ในยุคปัจจุบัน เวลาดื่มเหล้าองุ่นแล้วนำไปผสมกับสไปรท์ยังถูกเพื่อนเหยียดหยามไปหลายสิบปีเลย หลี่จิ้งกำลังทำอะไร เขาเกิดมาในตระกูลใหญ่ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้ว่าต้องดื่มเหล้าองุ่นอย่างไร แต่ก็ไม่กล้าถาม ระยะนี้เขาอารมณ์ร้ายมาก
“เจ้าหนุ่ม พูดมาเถอะ จู่ๆ เอาอกเอาใจโดยไม่มีสาเหตุต้องมีวัตถุประสงค์แอบแฝง มีเรื่องอะไรจะขอร้องก็พูดมาตามตรงเถอะ” คิดไม่ถึงว่าหลี่จิ้งจะถึงกับเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อน ซึ่งสิ่งนี้ทำให้อวิ๋นเยี่ยรู้สึกซาบซึ้งมาก ตอนนี้อย่าว่าแต่หลี่จิ้งดื่มเหล้าองุ่นแล้วเติมน้ำตาลเลย แม้เขาจะเติมซอสถั่วเหลือง อวิ๋นเยี่ยก็จะมองว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว
“ท่านกรำศึกมาชั่วชีวิต ทำศึกก็ไร้พ่าย โจมตีไม่มีพลาด ตรากตรำทำศึกตั้งแต่ใต้จรดเหนือ ทุกครั้งที่ยกทัพไม่มีคำว่าสยบไม่ได้ สามารถเรียกได้ว่าเป็นเทพเจ้าแห่งการทหารแห่งยุคของต้าถังเรา ข้ามีคำร้องขอเล็กน้อย ถ้าท่านสามารถไปบรรยายที่สำนักศึกษาสักสองสามครั้ง ข้าน้อยขอเป็นตัวแทนนักเรียนทุกคนในสำนักศึกษาขอบคุณท่านอย่างสุดซึ้ง” ฉวยโอกาสนี้รีบพูดเรื่องที่จะขอร้อง ไม่เช่นนั้นจะไม่มีโอกาสให้ได้พูดอีก
หลี่จิ้งมองอวิ๋นเยี่ยด้วยความรู้สึกสนใจ จิบน้ำหวานคำหนึ่งแล้วจึงค่อยพูดว่า “เจ้าไม่รู้หรอกว่ากลยุทธ์การทหารนั้นแตกต่างจากความรู้อื่นๆ ไม่ใช่จะสอนกันได้ง่ายๆ ฮ่องเต้ของแต่ละยุคแต่ละสมัยไม่มีพระองค์ไหนที่จะไม่เก็บกลยุทธ์สำคัญเทิดทูนไว้ไม่นำมาใช้ หากแม่ทัพที่อยู่ใต้บังคับบัญชามีความผิดปกติเล็กน้อย ก็จะนำมาซึ่งความหายนะครั้งใหญ่ คำขอของเจ้าเช่นนี้ข้าไม่รับปากและไม่กล้ารับปากด้วย เพราะมันจะเป็นอันตรายต่อเจ้าและจะทำร้ายข้าด้วย เจ้าหนุ่ม บอกเงื่อนไขอื่นจะดีกว่า ข้าเป็นหนี้น้ำใจเจ้า ขอเพียงไม่ใช่คำร้องขอที่เกินไป ข้าก็รับปากทั้งนั้น”
อวิ๋นเยี่ยพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าหากข้าสามารถเกลี้ยกล่อมให้ฝ่าบาททรงเห็นด้วยในการถ่ายทอดเคล็ดลับของกลยุทธ์การทหารในสำนักศึกษาได้ ไม่ทราบว่าท่านจะมาบรรยายที่สำนักศึกษาได้หรือไม่”
มือของหลี่จิ้งสั่นเล็กน้อยจนน้ำหวานในถ้วยกระฉอกออกมา เขาใช้ผ้าเช็ดเหล้าที่เปรอะมือจนสะอาดแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ถ้าหากเจ้าสามารถทำได้จริง ข้ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ไปบรรยายในสำนักศึกษา แม้จะให้เป็นอาจารย์สอนหนังสือตลอดชีวิตก็ไม่เป็นไร”
ครั้นได้รับคำตอบที่ตัวเองต้องการแล้ว อวิ๋นเยี่ยจึงกล่าวลาจากหลี่จิ้งอย่างอารมณ์ดี เดินกระโดดสลับเท้าจากรถม้าสี่ล้อไป หลี่จิ้งมองไปที่แผ่นหลังของอวิ๋นเยี่ยแล้วถามเสียงดังว่า “เจ้าหนุ่ม เจ้ามั่นใจมากแค่ไหน”
อวิ๋นเยี่ยไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ทำท่าทางให้รู้ว่าแปดส่วน จากนั้นก็ไปหาเหอเซ่าเพื่อดูว่าทรัพย์สินของเขามีเพิ่มมากขึ้นเท่าไร
“แปดส่วน เจ้าหนุ่มนี่ไปเอาความเชื่อมั่นมาจากไหน หวังว่าเจ้าจะประสบความสำเร็จ ข้าเองก็ไม่อยากจะให้สิ่งที่ข้าเรียนรู้มาทั้งชีวิตต้องฝังไปพร้อมๆ กับดิน” จากนั้นก็กรอกน้ำหวานที่เหลือเข้าปาก ในปากหลี่จิ้งมีรสหวานอมเปรี้ยววนเวียนอยู่ไม่ยอมจางหาย
มีควันสีดำลอยขึ้นจากภูเขาอยู่ห่างออกไปสิบลี้ นั่นเป็นสัญญาณว่าพวกเฉิงฉู่มั่วทำงานสำเร็จ ดูท่าแล้ววันนี้ไม่น่าจะไปไหนได้ อวิ๋นเยี่ยจึงมีคำสั่งให้ตั้งค่ายอยู่ในจุดนี้ กองกำลังเกือบหนึ่งพันคนเริ่มตั้งค่ายอย่างเป็นระเบียบ
ยังไม่ทันที่จะตั้งค่ายเสร็จ พวกเฉิงฉู่มั่วก็กลับมาถึงแล้ว ด้านหลังมีฝูงอูฐเป็นแถวยาว ซึ่งบนหลังของพวกมันนั้นเป็นทรัพย์สินทั้งสิ้น เหล่าทหารเสริมแต่ละคนต่างก็ยิ้มร่าเริง เพราะของเหล่านี้ล้วนเป็นของพวกเขา ขอเพียงแค่ขายสินค้าเหล่านี้ให้กับเหอเซ่า พวกเขาก็จะได้รับเงินจำนวนมาก อาชีพทหารเสริมในช่วงหลายปีที่ผ่านมาไม่มีครั้งไหนได้มากเท่ากับครั้งนี้ ไม่เพียงแต่จะมีรายได้เพิ่มขึ้นสิบกว่าเท่า อันตรายก็ยังน้อยลงไปมากอีกด้วย ในกองกำลังนี้ก็มีแต่พวกเขาที่หวังว่าถนนสายนี้จะเดินต่อไปได้โดยไม่มีวันจบสิ้น
เงินเหรียญทองแดงของเหอเซ่าไม่เพียงแต่ไม่ลดน้อยลง แต่ยังเพิ่มขึ้นอีกจำนวนมาก จนสามารถบรรจุได้สี่ถึงห้าคันรถ ที่เขาเป็นทุกข์ไม่ใช่เพราะมีเงินน้อยเกินไป แต่เป็นเพราะมีเงินมากเกินไป ขนเงินเหรียญทองแดงจำนวนมากที่ไม่มีมูลค่ากลับไป เขารู้สึกว่ามันเป็นความอัปยศของชีวิต
เฉิงฉู่มั่วเรียกทหารเสริมทั้งหมดมารวมตัวกันเพื่อแจกจ่ายทรัพย์สิน ในฐานะผู้นำเขาไม่สนใจเงินไม่กี่ร้อยก้วน เพียงแต่คิดว่าพวกพี่น้องติดตามเขาไปกวาดล้างกองโจรเป็นมิตรภาพที่แลกด้วยชีวิตในสนามรบ จะให้พวกเขาขาดทุนไม่ได้ เหอเซ่าเป็นคนจำพวกไหนต่างก็รู้อยู่แก่ใจ พี่น้องทหารเสริมที่ติดตามตัวเองไปกวาดล้างชาวเผ่าทูเจวี๋ย เสื้อขนสัตว์ซึ่งสมบูรณ์ดีทั้งตัวที่ถอดออกมาจากร่างของชนชั้นสูงชาวเผ่าทูเจวี๋ย เมื่อส่งไปให้เหอเซ่าก็กลายเป็นเศษผ้าขาดๆ ชิ้นหนึ่ง ถูกกดราคาเหลือสามสิบเหวิน ทำให้พี่น้องทหารเสริมโกรธจนเกือบจะหยิบดาบมาตัดศีรษะเขา ตอนนี้มีโอกาสในการสร้างความร่ำรวยอีกครั้งเกิดขึ้นต่อหน้าเหอเซ่า เห็นเพียงดวงตาที่แวววาวเปล่งประกายของเขาเท่านั้น ก็รู้ว่าเจ้าคนเลวนี่จะต้องเตรียมตัวสำหรับวางกับดักใครอีกแน่
เรื่องฝีปากตนเองนั้นสู้ไม่ได้ พูดเพียงไม่กี่คำก็ถูกเหอเซ่าพาออกนอกเรื่องลงทะเลไป โชคดีที่เขายังมีน้องชายที่ดีอีกคนหนึ่ง
เมื่ออวิ๋นเยี่ยถูกเฉิงฉู่มั่วลากมาตรงหน้าเหอเซ่า ทั้งสองคนเอาแต่จ้องตามองตาอยู่นาน แล้วส่ายศีรษะพร้อมกัน ทั้งสองคนเป็นพวกเดียวกัน จะกดราคาอย่างไร จะขึ้นราคาอย่างไร อวิ๋นเยี่ยหันกลับมาพูดกับเฉิงฉู่มั่วว่า “สินค้าเหล่านี้เจ้าต้องการราคาเท่าไร เจ้าบอกว่าราคาเท่าไรก็เท่านั้น พวกเราจะไม่ต่อรอง”
เฉิงฉู่มั่วที่ยืนซื่อบื้ออยู่จึงได้รู้สึกตัวว่า ดูเหมือนว่าสองคนนี้จะเป็นพวกเดียวกัน เมื่อพี่น้องไม่สามารถพึ่งพาได้ แล้วจะทำอย่างไรดี ขณะที่กำลังลำบากใจอยู่นั้นก็มีเสียงดังขึ้นมา “ข้าจะมาเจรจาให้ เงินที่แลกมาด้วยเลือดเนื้อของเหล่าทหาร ไม่ควรให้พ่อค้าที่ใจดำมายึดเอาไปได้”
เมื่อเหอเซ่าได้พบหลี่จิ้งก็ถึงกับเข่าอ่อน มักจะอยากลงไปคุกเข่าคำนับโดยไม่รู้ตัวอยู่เสมอ มีหรือยังจะมีความกล้าที่จะเจรจาราคากับเขา
“ในเมื่อท่านเอ่ยปากแล้ว เช่นนั้นก็ขอให้เสนอราคาได้เลย ข้าน้อยไม่มีทางปฏิเสธ” ในเมื่อไม่มีทางเจรจาต่อรองได้ เช่นนั้นก็ยอมยกธงขาวจะดีกว่า
“เช่นนั้นก็ใช้น้ำหนักในการคำนวณ อูฐนั้นถือว่ายกให้พวกเจ้า ของที่หนักหนึ่งจินแลกกับเงินเหรียญทองแดงที่หนักหนึ่งจิน ทุกคนจะได้ไม่ขาดทุน”
หลี่จิ้งลองช่างน้ำหนักสินค้า แล้วจึงมองดูที่รถหลายคันที่บรรทุกเงินไว้ จากนั้นจึงค่อยตัดสินใจ เหล่าทหารเสริมก็ส่งเสียงโห่ร้องขึ้นในทันที คราวนี้ไม่เท่ากับกลายเป็นว่ารีดเลือดจากพ่อค้าจอมเจ้าเล่ห์หรือ
เหอเซ่าอ้าปากค้างจนคางแทบจะหลุดออกมา นี่เป็นการทำการค้าหรือ หลี่จิ้งได้นำกฎทหารมาใช้เพื่อการเจรจาต่อรองแล้ว รุกโดยที่ฝ่ายตรงข้ามไม่ทันตั้งตัว เลือกใช้วิธีการที่แปลกใหม่ เพียงประโยคเดียวก็ตัดสินแพ้ชนะได้เลย
อวิ๋นเยี่ยและเหอเซ่าถามหลี่จิ้งพร้อมกันว่า “ลูกผู้ชายคำไหนคำนั้น”
หลี่จิ้งในใจคิดว่าแย่แล้ว แต่คำพูดเมื่อครู่เขาพูดเองกับปาก ราคานี้ก็เป็นราคาสูงสุดที่เขาคิดได้ คิดไม่ถึงว่าเขาจะตกหลุมพรางเสียแล้ว
———
[1] น้ำตาลป่นแบบผง มีความแตกต่างจากน้ำตาลป่นแบบผลึกเป็นอย่างมาก (ซึ่งก็คือน้ำตาลทรายที่ใช้กันในชีวิตประจำวันทั่วไป) ทั้งในเรื่องของรูปร่างและการใช้งาน กล่าวคือ น้ำตาลป่นแบบผง จะเป็นน้ำตาลที่ผ่านการโม่บดเป็นผงละเอียดคล้ายผงแป้ง หากมองด้วยตาเปล่าจะคล้ายน้ำตาลไอซิ่ง (Icing Sugar) เป็นอย่างมาก
ส่วนที่ 5
ตอนที่ 3 เรื่องโกหกเกี่ยวกับเทพเซียน
การเป็นแม่ทัพใหญ่นั้นหลี่จิ้งมีคุณสมบัติครบถ้วน แต่สำหรับการเป็นพ่อค้าแล้วยังอ่อนประสบการณ์ ถ้าหากพ่อค้าชาวเปอร์เซียนำสินค้าหนักหนึ่งพันจินจากเอเชียกลางที่ห่างไกล ผลที่ได้คือสินค้าหนักหนึ่งพันจินแลกเป็นเงินเหรียญทองแดงได้หนึ่งพันจิน เช่นนั้นเขาคงต้องชดเชยเพิ่มจนไม่เหลือกางเกงให้ใส่ เงินเหรียญทองแดงโดยปกติจะหนักแปดจิน สินค้าหนึ่งพันจินก็แลกได้เพียงหนึ่งร้อยยี่สิบห้าก้วนเท่านั้น การค้าเช่นนี้เหอเซ่ายังไม่ยอมทำเลย จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงพ่อค้าชาวเปอร์เซียที่ฉลาดเป็นกรดเหล่านั้น
เหล้าองุ่นถังเล็กที่อวิ๋นเยี่ยมอบให้หลี่จิ้งมีมูลค่าไม่ต่ำกว่าสิบก้วน เหล้าถังเล็กใบนั้นนับรวมถึงถังไม้ด้วย ก็หนักเพียงแค่สิบจินเท่านั้น ดังนั้นการทำการค้าครั้งนี้ หลี่จิ้งทำให้ทหารเสริมพวกนั้นถูกฝังหลุมอย่างอนาถ
แต่ทว่าเหล่าทหารเสริมไม่ใส่ใจ มองดูเหอเซ่าหยิบตาชั่งขนาดใหญ่ออกมา ปลายด้านหนึ่งใช้แขวนสินค้า ปลายอีกด้านหนึ่งแขวนถุงใส่เงินเหรียญทองแดง เมื่อใดก็ตามที่สินค้าและถุงเงินหนักเท่ากัน เหล่าทหารเสริมก็วางสินค้าใส่รถอย่างมีความสุขสนุกสนาน แล้วนำเงินเหรียญทองแดงวางไว้ด้านหลังตัวเอง
อวิ๋นเยี่ยเปิดปากถุงใส่สินค้าออกอย่างเงียบๆ เห็นว่าด้านในบรรจุกำยานเต็มไปหมด ของสิ่งนี้เป็นวัตถุดิบชั้นดีสำหรับการทำเครื่องหอม และเป็นสมุนไพรที่ล้ำค่าประเภทหนึ่ง ซุนซือเหมี่ยวพอจะมีอยู่เล็กน้อย คราวก่อนอวิ๋นเยี่ยปวดท้อง เขาจึงยอมแบ่งให้อวิ๋นเยี่ยใช้นิดหน่อยด้วยความเสียดาย หลังจากผสมเป็นยาแล้วดื่มก็หายปวดท้องในทันที อวิ๋นเยี่ยจำได้อย่างแม่นยำมาก ถุงใบใหญ่เช่นนี้หนักประมาณพันจิน ซื้อมาด้วยราคาสิบกว่าก้วน ไม่ต่างอะไรกับการเก็บมาได้เปล่าๆ
เหล่าทหารเสริมนั้นใจกว้างมาก เมื่อพวกเขาเห็นว่าเงินเหรียญทองแดงหมดแล้ว แต่ยังมีของอยู่อีกสิบกว่าถุง จึงโบกมือเอาของทั้งหมดยกให้เหอเซ่า เคยเห็นคนใจกว้าง แต่ไม่เคยเห็นคนใจกว้างเช่นนี้มาก่อน เงินนับร้อยนับพันกว้านก็ถูกมอบออกไปเสียเฉยๆ
จอมล้างผลาญจึงถูกแม่ทัพหลี่เตะนับครั้งไม่ถ้วน ได้แต่หมอบอยู่บนพื้นครวญคราง ไม่กล้าเอ่ยปากโต้แย้งอะไร แม้ว่าในใจจะรู้สึกดูถูกความใจแคบของแม่ทัพหลี่ แต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยความรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณเป็นอย่างมาก
ตอนนี้เหอเซ่าไม่มีเงินเหลือเลยแม้แต่แดงเดียว จึงต้องนำหยกของบรรพชนที่ติดตัวมาจำนำไว้ที่หลี่จิ้ง จึงสามารถรับสินค้าทั้งหมดมาไว้ในมือได้ ขณะที่ผูกมัดสินค้าอยู่ ซุนซือเหมี่ยว ถังเจี่ยน สวี่จิ้งจงกำลังออกไปเดินเที่ยวอยู่ เหล่าซุนนั้นจามไม่เลิก เดินตามกลิ่นไปก็หากำยานพบได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเปิดถุงออกก็ดวงตาแทบถลน ไม่พูดกล่าวอะไรทั้งสิ้นแบกขึ้นไหล่นำกลับไปที่รถเทียมวัวของเขา เหอเซ่าไม่กล้าห้าม ได้แต่มองซุนซือเหมี่ยวปล้นสินค้าในเวลากลางวันแสกๆ อย่างตาปริบๆ
ไม่ได้มีซุนซือเหมี่ยวเพียงคนเดียวที่เป็นโจร ถังเจี่ยนอุ้มได้หินโมราชิ้นใหญ่ก็หันหลังเดินจากไป สวี่จิ้งจงค่อนข้างสนใจเครื่องแก้ว โยนเงินไม่กี่เหวินให้กับเหอเซ่า พอหยิบได้ถ้วยชามีฝาปิดหนึ่งชุดก็รีบตามถังเจี่ยนไป
ในที่สุดท่านแม่ทัพหลี่ก็ยิ้มแย้มแล้ว ในมือก็เล่นหยกประจำตระกูลของเหอเซ่าพลางฉลองกับเหล่าทหารเสริมที่พวกเขาได้ร่ำรวยแล้ว
วันรุ่งขึ้นกองกำลังออกเดินทางต่อ ทุ่งหญ้าค่อยๆ ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ถนนข้างหน้าแคบลงเรื่อยๆ โชคดีที่เหล่าทหารเสริมได้ทรัพย์สินก้อนโตมา แต่ละคนแบกเงินเหรียญทองแดงหนักสามสิบถึงสี่สิบจิน แต่ไม่มีใครโอดครวญเลย เมื่อเจอสถานที่ที่รถม้าสี่ล้อไม่สามารถผ่านได้ก็ใช้พลั่วถางสองข้างทางให้เรียบ ท่านแม่ทัพหลี่ไม่แม้แต่จะต้องลงจากรถม้า ก็ได้เหล่าทหารเสริมที่กำลังฮึกเหิมเหล่านี้ช่วยแก้ปัญหาแล้ว
หมาน้อยสาบานว่าเขาจะต้องมีภรรยาสามคน คนหนึ่งทำรองเท้าให้เขา คนหนึ่งคุยเป็นเพื่อนเขาและอีกคนหนึ่งให้กำเนิดบุตรแก่เขา สำหรับวิธีทำให้มีบุตร เขาบอกว่าต้องนอนด้วยกัน ส่วนวิธีการนอนอย่างไรจึงจะทำให้มีบุตรได้เขาไม่รู้อะไรเลย แต่ไม่เป็นไรยังมีเวลาเรียนรู้อีกมากมาย ตอนนี้เขามีสัมภาระสามห่อ โดยทรัพย์สมบัติในแต่ละห่อนั้นก็เพียงพอที่จะให้เขาแต่งภรรยาได้หนึ่งคน
เมื่อเข้าสู่เขตแดนต้าถังแล้ว อวิ๋นเยี่ยจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อกองทัพใหญ่มีชัยชนะกลับมาย่อมได้รับการต้อนรับที่ยิ่งใหญ่ ถังเจี่ยนและสวี่จิ้งจงเองก็ยังร้องเพลงและแต่งกลอนท่ามการห้อมล้อมของขุนนางท้องถิ่นของเขตอวิ๋นจง ใช้ชีวิตอิสรเสรีเสมือนเทพเซียน
อวิ๋นเยี่ยไม่ได้เข้าร่วมการงานเลี้ยงเหล่านี้ เก็บตัวเองอยู่ในห้องเพียงลำพังเพื่อเตรียมรายละเอียดที่จะสนทนากับเถียนเซียงจื่อเมื่อถึงคราได้พบกัน เขาเขียนรายละเอียดเกี่ยวกับขั้วโลกเหนือที่เขารู้ทั้งหมดอย่างละเอียดจดบันทึกอธิบายเอาไว้ ทั้งยังได้อธิบายเรื่องแสงออโรร่าของขั้วโลกเหนือเป็นกรณีพิเศษว่า สิ่งนั้นไม่ใช่แสงแห่งเทพเจ้า อย่าได้ไล่ล่าตามไป ไม่เช่นนั้นจะตกเข้าไปอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง เมื่อเขียนถึงตรงนี้ เขาเคยคิดที่จะไปดูแสงออโรร่าที่ขั้วโลกเหนือ จากนั้นส่ายศีรษะขจัดความคิดนี้ออกไปจากหัวสมอง ด้วยสภาวะในปัจจุบัน การไปยังที่รกร้างเช่นนั้นในสมัยโบราณถือเป็นวิธีที่ดีในการฆ่าตัวตายจริงๆ พวกเถียนเซียงจื่อไม่ใช่คนโง่แต่เป็นพวกฉลาดเกินไป คนฉลาดมักจะมีความคิดที่แตกต่างจากคนอื่นๆ ความหวาดระแวงเป็นลักษณะเด่นของคนเหล่านี้ ความคิดที่แปลกประหลาดรวมกับความหวาดระแวง หากเป็นเรื่องอื่นคงประสบความสำเร็จไปแล้ว น่าเสียดายที่พวกเขาได้เลือกเส้นทางตายที่ไม่มีวันเป็นไปได้
อวิ๋นเยี่ยรู้สึกได้ว่าภายในหลายวันนี้เถียนเซียงจื่อจะต้องมาพบตัวเอง แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ปรากฏตัว อวิ๋นเยี่ยจึงจากเขตอวิ๋นจงไปด้วยความสงสัย
เมื่อจำนวนคนน้อยลง สภาพแวดล้อมของระบบนิเวศก็จะดี สองข้างทางของทางบนภูเขาเต็มไปด้วยต้นไม้โบราณ ป่าไม้ในต้นฤดูใบไม้ผลิเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา ตลอดฤดูหนาวแทบจะไม่ได้กินผักใบเขียวเลย เมื่อเห็นต้นกล้าที่เพิ่งงอกขึ้นมาบนพื้นหญ้า อวิ๋นเยี่ยก็อยากกินจนน้ำลายหยด
ผักขู่ไช่[1] ตี้กู่หลง[2] หมาฉื่อเซี่ยน[3] ซิงซิงเฉ่า[4] แม้ว่าจะยังเป็นต้นอ่อนอยู่จนแทบจะไม่มีร่องรอยบนพื้นดินให้เห็น แต่ถ้าใช้พลั่วขุดลึกลงไปก็จะพบก้านรากใต้ดินที่ทั้งอ่อนทั้งขาวและฉ่ำน้ำ เมื่อขุดมาได้หนึ่งตะกร้าแล้วลวกในน้ำเดือด ใส่พริกไทย พริกขี้หนู ตบกระเทียมเพิ่มลงไปอีกเล็กน้อย เทน้ำมันถั่วเหลืองที่เผาจนเดือดปุดๆ ลงไป กลิ่นหอมเย้ายวนใจช่างชวนให้คนเคลิบเคลิ้ม ตั้งแต่สมัยโบราณซานซีนั้นมีน้ำส้มสายชูชั้นเลิศ นำน้ำส้มสายชูต้มในหม้อให้เดือด โรยบนผักป่า ได้กินเพียงคำหนึ่งแม้ให้แลกกับการเป็นเซียนก็ไม่ยอม
การกินอาหารเพียงคนเดียวนั้นไม่ดี จึงแบ่งผักป่าหม้อใหญ่เป็นหลายๆ จานแล้วให้ทหารเสริมนำไปมอบให้กับหลี่จิ้งและถังเจี่ยน ตนเองยกจานหนึ่งมาที่เกวียนเทียมวัวของซุนซือเหมี่ยว นักพรตเฒ่าหลายวันนี้รู้สึกไม่ค่อยสบาย ตามที่เขาบอกก็คือไอเย็นซึมเข้ากระดูก ฟังคำศัพท์แพทย์แผนจีนไม่เข้าใจ เห็นเขาน้ำมูกน้ำตาไหลจึงสรุปว่าเขาเป็นหวัด
อันที่จริงแล้วนี่เป็นอาการของการขาดวิตามิน ฤดูหนาวบนทุ่งหญ้านั้นยาวนานมาก ในฤดูหนาวนี้ซุนซือเหมี่ยวก็เช่นเดียวกับอวิ๋นเยี่ยที่ได้แต่กินเนื้อสัตว์จำนวนมาก แม้ว่าจะมีใบชาที่พอจะฝืนใช้สลายไขมันได้บ้าง ซุนซือเหมี่ยวโดยปกติแล้วเป็นผู้ถือศีลกินเจ แต่เมื่ออยู่บนทุ่งหญ้าเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่กินเนื้อสัตว์ ร่างกายของเขาจึงยิ่งต้องการเสริมวิตามินมากกว่าอวิ๋นเยี่ย เป็นจริงดังคาด เมื่อซุนซือเหมี่ยวเห็นผักสดใบเขียวก็เกิดอยากอาหารในทันใด เมื่อครู่ยังกินข้าวอย่างไร้ความรู้สึกอยู่เลย แต่ตอนนี้เขากินติดต่อกันถึงสองชาม
สามารถกินอาหารได้ถือเป็นเรื่องที่ดี อวิ๋นเยี่ยมีความรู้สึกสนิทชิดเชื้อกับซุนซือเหมี่ยวเหมือนกับญาติสนิทคนหนึ่ง
ทุกวันที่กองกำลังทำการหยุดพัก การขุดผักป่าจึงกลายเป็นงานอดิเรกใหม่สำหรับทุกคน แม้ว่าจะทำไม่อร่อยเหมือนอวิ๋นเยี่ย เมื่อใส่ลงไปในทังปิ่ง ผักใบเขียวพร้อมกับเส้นสีขาวถูกตาถูกใจ กินไปแล้วชามหนึ่งเมื่อเห็นผักใบเขียวก็จะกินมากขึ้นอีกส่วนหนึ่ง
น้ำในแม่น้ำหวงเหอเพิ่งจะละลาย ก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ลอยอยู่ในแม่น้ำ ซึ่งนี่เป็นช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดของแม่น้ำหวงเหอ ไม่มีท่าเรือข้ามฟากใดกล้าออกเรือในเวลานี้ ขุนนางท้องถิ่นจะต้องคอยตื่นตัวอยู่เสมอ ในบริเวณที่แคบและคดโค้งจะต้องเพิ่มกำลังคนในการควบคุมดูแล ถ้าหากมีก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ไหลมารวมกันในบริเวณเหล่านี้ ไม่นานก็จะก่อตัวขึ้นเป็นเขื่อนน้ำแข็ง ซึ่งมันจะปิดกั้นทางไหลของแม่น้ำ น้ำที่ไหลมาจากต้นน้ำก็จะค่อยๆ เอ่อล้นเขื่อนกักเก็บน้ำกลายเป็นน้ำหลาก ประชาชนที่อาศัยอยู่สองริมฝั่งแม่น้ำหวงเหอก็มักจะต้องเผชิญหน้ากับมันครั้งหรือสองครั้งทุกๆ สองถึงสามปี ดูเหมือนว่าอุทกภัยเช่นนี้แทบจะไม่สามารถแก้ไขอะไรได้เลย นอกจากการขุดลอกคูคลองทางน้ำ ปล่อยให้ก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ลอยไปกับสายน้ำและละลายไปตามธรรมชาติแล้ว ดูเหมือนต้าถังก็แทบจะไม่มีหนทางอะไรเลยสำหรับเรื่องนี้
เมื่อยืนอยู่ริมแม่น้ำก็จะสามารถมองเห็นเขตหานเฉิงในเขตด่านชั้นในได้ เมื่อไปถึงที่นั่นก็จะถือว่าเข้าสู่แดนกวนจงอย่างเป็นทางการ ไม่เชื่อว่าเถียนเซียงจื่อจะมีความกล้าหาญพอที่จะก้าวเข้าสู่แดนกวนจง เมื่อซีถงเข้าแดนกวนจงยังต้องปิดบังฐานะของเขา บุคคลอันตรายอย่างเถียนเซียงจื่อหากถูกทางการพบเข้า เขาจะต้องเผชิญหน้ากับการไล่ฆ่าที่ไม่ตายไม่เลิกรา ความน่าเกรงขามกองทหารม้ายังคงมีแสนยานุภาพที่น่ากริ่งเกรงอยู่ในตัว
ซีถงยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ประคองชายชราผู้ซึ่งผมและเคราขาวโพลน ชายชราสวมชุดผ้าป่านและรองเท้าฟาง แต่บนศีรษะกลับสวมรัดเกล้าทองคำซึ่งฝังอัญมณีไว้มากมาย ไข่มุกที่ใหญ่ขนาดเท่าตามังกรโดดเด่นอยู่ด้านบนรัดเกล้า ส่องแสงแวววับอยู่รางๆ ใบหน้าของชายชรานั้นเต็มไปด้วยตกกระสีน้ำตาลเข้มของผู้สูงวัย ดวงตาที่ขุ่นเคืองคู่นั้น นี่เป็นชายชราคนหนึ่งที่กำลังใกล้จะสิ้นอายุขัยแล้ว รัดเกล้าทองคำอันหรูหรา เสื้อผ้าป่านสีขาวและรองเท้าฟางสีทองคำ เมื่อให้ชายชราผู้นี้สวมใส่แล้วก็ดูเข้ากันดีเป็นอย่างมาก
อวิ๋นเยี่ยลูบคลำรัดเกล้าทองคำอันเก่าโทรมของเขา ด้านบนมีเพียงพู่กลมสีแดงอยู่เพียงอันเดียว อีกทั้งรัดเกล้าทองคำยังกลวงอีกด้วย ในตอนที่ท่านย่าหาช่างมาทำรัดเกล้าทองคำแบบตันให้เขา เขาว่ามันหนักเกินไป ตอนนี้ดูไปแล้วมันช่างน่าขายหน้าเสียจริง
เมื่อตื่นขึ้นมาในเช้าวันนี้ บนโต๊ะมีเทียบเชิญอยู่ใบหนึ่ง นอกจากวิธีการจัดส่งอันเป็นที่น่ารังเกียจแล้ว อย่างอื่นนั้นถือว่าสุภาพเป็นอย่างมาก อักษรในเทียบเชิญนั้นดูเรียบง่ายแบบโบราณและทรงพลัง เห็นได้ชัดว่านี่คือลายมือของผู้เป็นนาย
ในเมื่อท่านผู้นี้จริงจังเกี่ยวกับเรื่องนี้ อวิ๋นเยี่ยจึงต้องปฏิบัติตอบด้วยความสุภาพ ไม่ใช่หน้าใหม่ที่เพิ่งจะมาถึงถิ่นนี้เป็นครั้งแรก อยู่ในวงราชการมาเป็นเวลาสองปี ได้สอนให้ชายหนุ่มชนชั้นกรรมาชีพผู้สัตย์ซื่อในยุคปัจจุบันคนหนึ่งกลายเป็นเจ้าคนนายคนในยุคศักดินาที่มีการแบ่งชนชั้นไปแล้ว ไม่เหมาะสมที่จะแต่งชุดขุนนางไปพบเขา มีแต่การสวมชุดไปรเวทที่หรูหราที่สุดไปพบเถียนเซียงจื่อเท่านั้นจึงจะถือว่าเป็นการให้เกียรติ
เถียนเซียงจื่อนั้นพูดน้อยมาก บางทีอาจเพราะสภาพร่างกายที่ไม่เอื้ออำนวย เพียงแค่ใช้พิธีการต้อนรับแบบธรรมดาทั่วไปก็ทำให้เขาหายใจแรงจนใจเต้นตุบตับๆ ใต้ต้นไม้ใหญ่มีเสื่อผืนใหญ่ปูอยู่ผืนหนึ่ง ซึ่งด้านบนปูด้วยผ้าห่มหนาๆ ซีถงพยุงเถียนเซียงจื่อไปนั่งลงด้านหลังโต๊ะไม้เตี้ยๆ ประสานมือพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ได้พบอวิ๋นโหวช้าไปหน่อย ชาวป่าในถิ่นทุรกันดารไม่มีอะไรจะมาต้อนรับ หามาได้แค่เพียงผลไม้เล็กๆ น้อยๆ เชิญอวิ๋นโหวลองชิม”
อวิ๋นเยี่ยเฝ้ามองลูกท้อผลใหญ่และลูกแพร์ที่อยู่ในจานเบื้องหน้าจนน้ำลายไหลมานานแล้ว เมื่อได้ยินเถียนเซียงจื่อพูดเช่นนี้มีหรือยังจะทนอยู่ได้ หยิบลูกท้อลูกหนึ่งขึ้นมากัด เนื้อฉ่ำน้ำแต่ไม่ค่อยหวานเท่าไร ผลไม้เรือนกระจกที่ได้มาตรฐาน กัดไปสองคำก็เบ้ปากแล้ววางมันลง
“ฮ่าๆ เพียงแค่ผลไม้ในฤดูหนาวไม่ได้อยู่ในสายตาของอวิ๋นโหวจริงๆ ด้วย เมื่ออวิ๋นโหวกลับไปถึงฉางอันก็เริ่มปลูกผักในฤดูหนาวต่อ คิดว่าผลไม้เหล่านี้ก็เป็นของพื้นๆ ทั่วไปที่อวิ๋นโหวทานอยู่เป็นประจำใช่หรือไม่”
“ของเหล่านี้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ผักผิดฤดูกาลของตระกูลอวิ๋นเป็นเพียงสินสอดทองหมั้นที่ข้าน้อยมอบให้กับน้องสาวในบ้าน ขอเพียงแค่อุณหภูมิพอเหมาะ ยังเรียกไม่ได้ว่าเป็นของวิเศษอะไรจริงๆ เหตุใดท่านผู้เฒ่าจึงใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อมาทดสอบข้าน้อย ถึงแม้ว่าข้าน้อยจะยังอ่อนเยาว์ แต่ก็เป็นคนรักษาสัจจะ เรื่องที่รับปากไว้ จะกลับคำได้อย่างไร “
“ตาแก่อย่างข้าช่างละอายยิ่งนัก ใช้ความคิดของคนต่ำช้ามาพิจารณาสุภาพชน หวังว่าอวิ๋นโหวจะอภัยให้ด้วย เหล่าเทพเซียนมีสมบัติล้ำค่าย่อมต้องหวงแหนไว้กับตน นี่คือสัจธรรมที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เหตุใดเมื่อมาถึงอวิ๋นโหวจึงยอมละทิ้งมันราวกับของไร้ค่าเช่นนี้ ตาแก่อย่างข้าคิดอย่างไรก็คิดไม่ตก หวังว่าอวิ๋นโหวจะไขความให้กระจ่าง” ขณะที่ถามประโยคนี้ จู่ๆ เถียนเซียงจื่อก็นั่งตัวตรง แววตาที่ขุ่นมัวก็เปล่งประกายเจิดจรัสในทันใด ราวกับว่าจะมองอวิ๋นเยี่ยให้ทะลุปรุโปร่ง
“สมบัติในใจท่านได้พรากเอาชีวิตของอาจารย์ไป และตอนนี้ เพราะสิ่งที่เรียกว่าสมบัติที่ว่านี้เกือบจะคุกคามความปลอดภัยของครอบครัวข้า สมบัติเช่นนี้ไม่ต้องการจะดีเสียกว่า ท่านเห็นมันเป็นของล้ำค่า แต่ข้ามองว่ามันคือศัตรูคู่อาฆาต ท่านอยากได้ก็เอาไปเถอะ เพียงแต่ท่านต้องให้แผนที่ที่มีรายละเอียดแก่ข้าเกี่ยวกับระหว่างทางที่พวกท่านแสวงหาวิถีเซียน จะต้องเขียนคำอธิบายเกี่ยวกับสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อมโดยรอบ เมื่อกลับมาแล้วนำมามอบให้ข้าก็พอ ข้าอยากรู้เพียงว่ามีอะไรอยู่บนแผ่นดินนั้น เหมาะแก่การให้ผู้คนอยู่อาศัยหรือไม่ ข้อมูลเหล่านี้จึงจะนับเป็นสมบัติสำหรับข้า ส่วนเรื่องเซียนนั้น อยู่ที่ว่าพวกท่านจะไปพิสูจน์ด้วยตัวเองแล้ว”
——
[1] ขู่ไช่ เป็นผักป่าชนิดหนึ่งที่มีรสขม มีสรรพคุณในการลดบวม ขับพิษ สลายลิ่มเลือด
[2] ตี้กู่หลง เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณในการขับลม แก้อาการปวดเอว ปวดขา
[3] หมาฉื่อเซี่ยน หรือ ต้นเพอร์สเลน เป็นพืชลำต้นอ่อน ก้านเลื้อยตามพื้น มีสรรพคุณรักษาโรคบิด ภายนอกใช้รักษาแผลเปื่อย
[4] ซิงซิงเฉ่า เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณแก้ร้อนใน มักจะใช้รักษาโรคผิวหนังที่มีตุ่มพุพอง
ส่วนที่ 5
ตอนที่ 4 ปลายักษ์กลืนเรือ
ในโลกนี้ไม่มีคนดีอย่างแท้จริงอยู่และก็ไม่มีคนเลวอย่างแท้จริงเช่นกัน อาจกล่าวได้ว่า ในบันทึกของทางการ เถียนเซียงจื่อนั้นเป็นจอมวายร้ายที่ก่อเรื่องเลวร้ายไม่เลือก แต่แท้จริงแล้วเขาเป็นแค่ชายชราที่ไม่มีแรงฆ่าไก่เสียด้วยซ้ำ ร่างกายที่อ่อนแอไม่สามารถฆ่าผู้คนได้ สิ่งที่สามารถฆ่าคนได้คือสติปัญญาอันฉลาดหลักแหลมของเขา เหตุใดคนฉลาดเช่นนี้จึงพยายามวิ่งเข้าหาทางตาย อายุแปดสิบปีเข้าไปแล้วเหตุใดจึงไม่รู้จักปล่อยวางบ้าง
คนโง่นั้นเถรตรงมาก เมื่อกินอิ่มก็นอนหลับ ไร้ทุกข์ไร้กังวล มนุษย์เราโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีสติปัญญาหลักแหลม เมื่อคิดมากก็มีข้อสงสัยมากขึ้น สิ่งที่ไม่รู้ก็ยิ่งมากขึ้นด้วย คนโง่จะไม่พิจารณาว่ามีเทพเจ้าบนดวงจันทร์หรือไม่ แต่คนฉลาดนั้นคิด ทุกครั้งที่เขาแหงนหน้ามองดูดาวบนท้องฟ้า ก็อดไม่ได้ที่จะคิดสงสัยว่าดวงดาวคืออะไรกันแน่ มันเป็นตำหนักของเทพเซียนบนแดนสวรรค์จริงๆ หรือ
ซึ่งเถียนเซียงจื่อในตอนนี้ก็เป็นผู้ที่โดดเด่นคนหนึ่งในบรรดาพวกเขา เขากล่าวอ้างว่าเข้าใจหลักสัจจธรรมของโลกอย่างถ่องแท้ ตอนนี้เพียงแค่ต้องการหาเส้นทางลัดสู่สวรรค์เท่านั้น เขาก็จะพ้นจากมนุษย์กลายเป็นเซียน ขณะที่คุยเรื่องเหล่านี้อยู่นั้น อวิ๋นเยี่ยพบว่าเขาอยู่ในสภาวะอารมณ์ที่คลั่งไคล้อย่างหนึ่งจนไม่สามารถถอนตัวออกมาได้ นี่คือคนบ้าคนหนึ่ง คนบ้าที่ซึ่งมีโรคหลงผิด แต่เขาก็ยังมีความสามารถในการควบคุมตนเองที่แข็งแกร่ง ดังนั้นปกติแล้วจึงมองความผิดปกติไม่ออก
“ตั้งแต่เขาเกล้าผมเริ่มเล่าเรียนมา คำแรกที่ข้ารู้จักก็คือคำว่าเซียน ตลอดชีวิตข้าได้ให้อุทิศให้กับการศึกษาค้นคว้าตำรา พลิกอ่านบันทึกตำราต่างๆ ของบรรพชนทุกยุคทุกสมัย จับประเด็นจากใจความหลัก ค้นรายละเอียดจากเนื้อหา มองหาจุดสำคัญ อ่านทุกประโยค วิเคราะห์ทุกตัวอักษร ในที่สุดก็ค้นพบไป๋อวี้จิง ที่นั่นเป็นดินแดนของหยกขาวร่ายรำอยู่บนท้องนภา นักรบถืออาวุธ เมื่อได้ยินบทบรรเลงแห่งเทพเซียนก็เต้นรำอย่างครื้นเครง กระเรียนเซียนคาบต้นจือหลัน เต่าขาวมอบหยกมหามงคล เบื้องล่างมีบึงมรกต เบื้องบนมีนางฟ้าโปรยดอกไม้ อวยพรข้าอายุยืนสามพันปี”
แนวคิดที่ฟุ้งซ่าน คำพูดที่ไม่มีตรรกะ เสียงที่มีเหมือนไม่มี แววตาที่ทำให้รู้สึกไม่เป็นสุข ทั้งหมดนี้ยืนยันได้ว่าเถียนเซียงจื่อเป็นคนบ้าอย่างสมบูรณ์แบบ อวิ๋นเยี่ยหยิบลูกท้อที่กัดไปแล้วหนึ่งคำขึ้นมากินต่อ เขาต้องการหาอะไรบางอย่างมาอุดปาก มิฉะนั้นเขาคงจะต้องวิ่งหนีเตลิดไปเป็นแน่
“พวกเจ้าติดตามข้า เดินขึ้นสู่บันไดสวรรค์ มีสายลมเป็นผ้าคลุม คว้าดวงดาว เช้าดื่มน้ำค้างเซียน ดึกมีสายรุ้งเป็นอาหาร จารึกชื่อไว้ในทำเนียบเซียน เช้าชื่นชมหิมะบนเขาคุนหลุน เย็นฟังเสียงคลื่นแห่งทะเลตงไห่ มีอิสระอย่างหาที่เปรียบไม่ได้” เถียนเซียงจื่อได้ตกอยู่ในภาพลวงตาที่ตนเองสร้างขึ้นจนถอนตัวไม่ขึ้น ลูบไล้ซีถงที่อยู่ด้านข้าง พูดจาไพเราะเสนาะหูเพื่อล่อลวงให้เขาเชื่อ ซีถงที่รูปร่างสูงกว่าแปดฉื่อขดหมอบอยู่ข้างหลังเขาราวกับลูกแมว ปล่อยให้อุ้งมือที่เ**่ยวแห้งข้างนั้นลูบหลังตามใจชอบ
อวิ๋นเยี่ยรู้สึกเสียใจภายหลังเป็นอย่างมากที่มาพบเถียนเซียงจื่อ เขาคิดว่าในฐานะผู้นำเถียนเซียงจื่อจะต้องเป็นผู้ที่ฉลาดหลักแหลม ภายใต้เงื่อนไขที่ทั้งสองฝ่ายจะต้องได้ในสิ่งที่ตนต้องการ ทั้งสองคนจะเห็นชอบแบบเดียวกัน คนหนึ่งจะเดินทางไปทั่วโลก อีกหนึ่งรออยู่ที่ฉางอันเพื่อรอดูบันทึกการเดินทางรอบโลกที่พวกเขาเขียน มันช่างสมบูรณ์แบบอะไรเช่นนี้ แม้จะคิดจนหัวแตก เขาก็คิดไม่ถึงว่าการมาพบหน้ากันของทั้งสองคนนี้จะแปลกประหลาดถึงเพียงนี้ ตัวเองอยากเจรจาเงื่อนไขกับคนบ้างั้นหรือ
“คิดไม่ถึงว่าท่านผู้เฒ่าจะฝึกฌานได้ลึกซึ้งถึงเพียงนี้ อวิ๋นเยี่ยรู้สึกศิโรราบเป็นอย่างยิ่ง ข้าน้อยรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสได้มีส่วนร่วมเล็กๆ น้อยๆ ในแผนการบรรลุเซียนของท่าน ดังที่กล่าวกันว่าการได้ติดตามนายดีย่อมได้อิทธิพลด้วย ดังเช่นพี่ซีถงที่ได้มีวาสนาต่อวิถีแห่งเซียนเช่นนี้ ช่างทำให้ผู้คนรอบข้างอิจฉาเสียจริง”
หลังจากที่หายตื่นเต้น แววตาของเถียนเซียงจื่อก็ค่อยๆ ชัดแจ้งขึ้น การที่เขาตกอยู่ในจินตนาการของตัวเองไม่ได้เกิดขึ้นครั้งหรือสองครั้ง ล้วนแล้วแต่อาศัยความมุ่งมั่นอันแข็งแกร่งเพื่อกลับสู่ความเป็นจริง เห็นได้ชัดว่าซีถงนั้นไม่มีความสามารถเช่นเขา ขณะตื่นเต้นยังคงไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้
“ได้ยินซีถงพูดว่าอวิ๋นโหวเตรียมที่จะบอกทุกสิ่งที่รู้เกี่ยวกับไป๋อวี้จิงให้ข้ารู้ ไม่ทราบว่าเรื่องนี้เป็นจริงใช่หรือไม่”
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ ตอนนี้ท้องฟ้าในดินแดนเหนือสุดยังคงมืดอยู่ แต่เมื่อถึงสิ้นเดือนสามจึงจะเป็นเวลาที่จะเริ่มดำเนินการได้ ก่อนหน้านี้ท่านผู้เฒ่าได้ส่งคนให้ออกเดินทางเร็วเกินไป ที่นั่นมีอันตรายรอบด้าน หากอยากรอดชีวิตกลับมามันยากยิ่งกว่าการปีนขึ้นสวรรค์เสียอีก” บอกความจริงในขณะที่เถียนเซียงจื่อยังคงมีสติครบถ้วนจะเป็นการดีกว่า
“ข้าเองก็คิดเช่นกันว่าพวกเขาไม่สามารถรอดกลับมาได้ แต่ว่าการอุทิศตนเพื่ออุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่ ก็ถือว่าเป็นเกียรติอย่างหาที่สุดมิได้ของพวกเขาด้วยเช่นกัน คราวนี้ข้าตั้งใจจะไปด้วยตนเอง อวิ๋นโหวเห็นเป็นอย่างไร”
“วาสนากับการเป็นเซียน วาสนากับการเป็นเซียน การได้พบกันจึงจะเรียกว่ามีวาสนาต่อกัน ซึ่งมันเป็นของท่านที่ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถแย่งไปได้ หากมันไม่ใช่ของท่านก็ไม่สามารถฝืนกันได้ การที่ท่านผู้เฒ่าจะไปด้วยตนเองสักครั้งหนึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก แต่ร่างกายของท่านจะสามารถทนอากาศอันหนาวเหน็บของที่นั่นได้หรือไม่” อวิ๋นเยี่ยอยากจะให้ชายผู้นี้ตายในทันทีเสียจริง แต่ปากก็ต้องพูดโน้มน้าวสักหน่อย กิริยาท่าทางที่พึงกระทำก็ไม่ควรให้ขาดหาย
“มีคำแนะนำของอวิ๋นโหวคิดว่าไม่น่าเป็นปัญหาอะไร เพียงแต่ว่าอวิ๋นโหวคิดจะสร้างผลงานไว้ในโลกมนุษย์ ตัดขาดกับเรื่องการบรรลุเป็นเซียนอย่างสิ้นเชิง ไม่เช่นนั้นหากเราสองคนแสวงหาวิถีแห่งเซียนและมรรคผลไปด้วยกัน เช่นนั้นจะไม่เป็นเรื่องที่น่ายินดีหรือ”
ประโยคนี้ทำให้อวิ๋นเยี่ยตกใจขนพองสยองเกล้า หากต้องถูกเขาลากตัวไปขั้วโลกเหนือด้วยละก็ นี่จึงจะเป็นการแกว่งเท้าหาเสี้ยนเองจริงๆ
“ก่อนอาจารย์สิ้น อาจารย์ได้ห้ามปรามข้าว่าไม่ควรหมกมุ่นอยู่กับวิถีแห่งเซียน นอกจากนี้ข้าได้เห็นสภาพที่อเนจอนาถของอาจารย์แล้ว ในใจจึงไม่กล้าใฝ่ฝันถึงเรื่องวิถีแห่งเซียนจริง ๆ ได้แต่เพียงอวยพรล่วงหน้าขอให้ท่านผู้เฒ่าประสบความสำเร็จในเร็ววัน หากวันหน้าเกิดปรากฏรุ้งบนฟากฟ้า ข้อต้องจุดธูปนมัสการเพื่อแสดงความยินดีกับท่านเถียนเซียงจื่อ”
ฮ่าๆๆ เสียงหัวเราะดังอย่างสะใจเปล่งออกมาจากทรวงอกของเถียนเซียงจื่ออย่างมีความสุขเป็นที่สุด
“ในใต้หล้านี้มีพวกที่ห่วงแสวงหาลาภยศและผลประโยชน์โดยไม่เลือกวิธีการ ถูกยศถาบรรดาศักดิ์และความร่ำรวยที่มีเป็นเวลาหลายร้อยปีในใต้หล้านี้ล่อลวงให้หลงใหล ดังเช่นแมลงชีปะขาวที่มีช่วงชีวิตอันแสนสั้นเช้าเกิดเย็นตาย อวิ๋นโหวละทิ้งวิถีแห่งเซียนอันยิ่งใหญ่ฝักใฝ่ในผลประโยชน์อันน้อยนิด เหตุใดจึงไม่รู้ความเช่นนี้ แต่ก็ช่างเถอะ วาสนากับวิถีแห่งเซียนนั้นฝืนกันไม่ได้ เจ้าอยู่ในดินแดนอันล้ำค่าแต่กลับต้องกลับมามือเปล่า ช่างน่าเศร้า ช่างน่าเสียดาย”
เถียนเซียงจื่อมองดูอวิ๋นเยี่ยด้วยแววตาสงสารเวทนาต่อมนุษย์โลก ราวกับว่าได้เจอคนที่โง่ที่สุดในโลก แม้ว่าอวิ๋นเยี่ยจะถูกดูหมิ่น แต่กลับแสดงออกว่าไม่สะทกสะท้านต่อคำชมและการดูหมิ่นเลย ในสายตาของเถียนเซียงจื่อนั้นเห็นเป็นว่าเขาได้หลงใหลในยศถาบรรดาศักดิ์และความร่ำรวยในโลกมนุษย์อย่างสิ้นเชิงแล้ว ไม่หลงเหลือจิตใจที่จะแสวงหาความก้าวหน้าแม้แต่น้อย
อวิ๋นเยี่ยหยิบแผนการบุกขั้วโลกเหนือที่เขียนเมื่อหลายวันก่อนออกจากอกเสื้อ สองมือยกขึ้นส่งมอบให้กับเถียนเซียงจื่อ อย่างไรเสียคนเขาก็กำลังจะกลายเป็นเซียน เตรียมใช้อายุแปดสิบปีที่ชราภาพของเขาในการบุกเบิกขั้วโลกเหนือแทนเขา จึงคู่ควรแก่การที่เขาจะให้ความเคารพ
เถียนเซียงจื่อรับสมุดเล่มเล็กๆ บางๆ จากมืออวิ๋นเยี่ยด้วยตัวเอง หลังจากเปิดออกอ่านอย่างละเอียด เพียงครู่เดียวก็อ่านจบ หลับตาลง ในสมองประมวลผลชั่วครู่ จึงลืมตาขึ้นแล้วถามอวิ๋นเยี่ยว่า “ปลายักษ์ที่หนักนับแสนจินมีอยู่จริงหรือ”
“ในตอนนั้นคุณชายเหรินโยนสมอยักษ์ลงในทะเล ใช้วัวเป็นเหยื่อล่อ ตลอดเวลาหนึ่งปีตกไม่ได้ปลาเลย สุดท้ายแล้วก็ตกได้ปลาตัวยักษ์ซึ่งสามารถใช้เป็นเสบียงเดินทางสำหรับพันลี้ ท่าผู้เฒ่าอ่านตำรามานับไม่ถ้วนเหตุใดจึงไม่รู้จักเนื้อความส่วนนี้ เหตุใดจึงถามเรื่องนี้ขึ้น ท่านไปทะเลเหนือต้องได้พบกับปลายักษ์ที่จะกลืนเรืออย่างแน่นอน หมีขาวนั้นไม่น่ากลัว ท่านมียอดฝีมือเป็นผู้คุ้มกันย่อมไม่กลัวเป็นธรรมดา แต่ปลาที่กลืนกินเรือได้ตัวนั้นไม่ใช่สิ่งที่แรงของมนุษย์จะสามารถจัดการได้ หากพบมันขอให้หลีกให้ไกลจะเป็นการดี”
“แน่นอนว่าข้าเคยอ่าน ‘จวงจื่อ’ ก่อนหน้านี้คิดว่ามันเป็นเพียงคำอุปมา คิดไม่ถึงว่าปลากลืนเรือจะมีอยู่จริง การไปครั้งนี้ของข้าเป็นตายยากคาดเดาได้ เรื่องดีอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ คนมากมายเท่าไหร่ที่คิดอยากจะไปและพยายามอย่างที่สุด แต่สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลว ตอนนี้ความเป็นไปได้ที่มากที่สุดกลับเป็นการตกเป็นอาหารปลา มันช่างวิเศษเหลือคำกล่าวจริงๆ ”
เถียนเซียงจื่อเป็นสิงห์ร้ายที่มีใจทะเยอทะยานแห่งยุคจริงๆ จูชั่นอ๋องปีศาจกินคนแห่งปลายยุคราชวงศ์สุยก็เป็นศิษย์ของเขาท่านหนึ่ง หลังจากที่จูชั่นเสียชีวิตแล้วเขาก็หายตัวไป คนทั่วหล้าเคียดแค้นที่เขาไม่ตาย เตรียมจะกินเนื้อของเขา คนที่อยากถลกหนังเขามาทำผ้าห่มห่มไม่ได้มีหนึ่งหรือสองคน หลี่จิ้งของต้าถังก็อาจจะเป็นหนึ่งในนั้น การพยายามติดตามไล่ล่ามาเป็นเวลาหลายทศวรรษแต่กลับไม่มีเงื่อนงำอะไรเลย แต่เขากลับยังอยู่บนโลกนี้อย่างมีความสุข
“ของขวัญล้ำค่าจากอวิ๋นโหว ข้าจะจดจำไว้ในใจ ตระกูลลับเองก็ได้เตรียมของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ไว้ หวังว่าอวิ๋นโหวจะให้เกียรติรับไว้ด้วย” หลังจากพูดจบก็ปรบมือ ชายหัวล้านก็ถือกล่องเหล็กมาวางไว้เบื้องหน้าอวิ๋นเยี่ย เสียงขณะที่วางลงพื้นฟังดูหนักอึ้ง น้ำหนักไม่เบา!
หลังจากมอบของขวัญเสร็จก็ดูเหมือนเถียนเซียงจื่อเองก็ใช้กำลังจนหมดสิ้น ชายแข็งแกร่งสองคนเดินแบกเกี้ยวสองคนหามออกมาจากด้านหลังต้นไม้ ซีถงอุ้มเถียนเซียงจื่อขึ้นเกี้ยวโค้งให้อวิ๋นเยี่ยหนึ่งครั้งแล้วก็จากไป ชายแข็งแกร่งสองคนนั้นเดินเร็วมาก พริบตาเดียวก็หายเข้าไปในป่าริมแม่น้ำ
เฉิงฉู่มั่วและทหารเสริมชราเดินออกจากศาลาริมแม่น้ำ มายังสถานที่ที่อวิ๋นเยี่ยและเถียนเซียงจื่อพูดคุยกัน อวิ๋นเยี่ยไม่ได้ขยับเขยื้อน ยังคงอยู่ในท่านั่งคุกเข่ากินลูกท้ออย่างสบายอกสบายด้วยท่าทีที่ใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
เฉิงฉู่มั่วก็นั่งลงข้างๆ อวิ๋นเยี่ยหยิบลูกแพร์ขึ้นมาลูกหนึ่งโยนให้ทหารเสริมชรา ตนเองก็หยิบขึ้นมากัดกินดังกร้วบๆ เขารู้จักนิสัยประหลาดของอวิ๋นเยี่ยดี ขอเพียงเขาตกอยู่ในการใช้ความคิดก็จะสูญเสียประสาทรับรู้เรื่องภายนอก สิ่งที่ตนเองสามารถทำได้ก็คือ อยู่ข้างๆ เป็นเพื่อนเขาและรอให้เขาได้สติกลับมาเอง
องครักษ์ของตระกูลอวิ๋นต่างก็เดินออกมาจากป่าทีละคน โดยที่ทุกคนชักดาบออกจากฝัก ลูกธนูดึงขึ้นลำเตรียมพร้อมที่จะสังหารได้ทุกเวลา เพราะตั้งแต่ต้นจนจบอวิ๋นเยี่ยไม่ได้ออกคำสั่งให้โจมตี ตอนนี้เถียนเซียงจื่อจากไปแล้ว แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องดักซุ่มต่อไป จึงทยอยปรากฏตัวขึ้น
อวิ๋นเยี่ยได้สติตื่นจากการใช้ความคิด หยิบเม็ดลูกท้อออกจากปาก ลูกท้อนั้นกินหมดไปนานแล้ว เขาเคี้ยวเม็ดลูกท้อโดยไม่รู้ตัว ฟันของเขาก็แทบจะหลุดหักออกมาแล้ว
มีม้าเร็วตัวหนึ่งออกมาจากริมแม่น้ำ หลี่จิ้งแต่งชุดพร้อมต่อสู้ ด้านหลังมีกระบี่ยาวอยู่ในฝักสะพายไขว้หลัง เดินเข้ามาที่ด้านหน้า ดวงตาแทบจะพ่นไฟออกมา เขาชักกระบี่ออกจากฝักเพียงกระบี่เดียวก็ฟันโต๊ะที่อยู่เบื้องหน้าอวิ๋นเยี่ยออกเป็นสองส่วน
เขาโบกมือไล่องครักษ์ที่อยู่โดยรอบออกไป เห็นว่าเหลือเพียงอวิ๋นเยี่ยและเฉิงฉู่มั่วที่นั่งกินผลไม้อยู่บนพรม เขารู้ว่าเฉิงฉู่มั่วนั้นไล่ไม่ไป จึงลดเสียงเบาลงแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าวันนี้เจ้าปล่อยคนประเภทไหนไป ความน่ากลัวของเขาเกรงว่าแม้เจ้าฝันก็คิดไม่ถึง เหตุใดท่านป้าหงของเจ้าจึงกลายเป็นสภาพเช่นนั้น นั่นก็เพราะพลาดท่าครั้งใหญ่ให้กับจอมปีศาจร้ายตนนี้ ข้าตามหาทั่วหล้าเป็นเวลายี่สิบปี ครั้งนี้เป็นครั้งที่เข้าใกล้เขามาที่สุด เจ้าหนุ่ม เจ้าจะต้องเสียใจไปชั่วชีวิตที่ปล่อยคนคนนี้ไปในวันนี้”
อวิ๋นเยี่ยยิ้มและพูดกับหลี่จิ้งว่า “ท่านลุงหลี่ วางใจได้ จุดจบที่ดีที่สุดของเขาก็คือการฝังร่างอยู่ในแดนร้างที่อยู่เหนือสุด ท่านพูดถูก บุคคลคนนี้น่ากลัวมากเพราะเขาเป็นคนบ้า ทุกคนที่ฝันถึงการเป็นอมตะ หากไม่ใช่คนบ้าก็เป็นพวกวิปริต ท่านคงไม่เข้าใจว่าอะไรเรียกว่าวิปริต เพียงแค่รู้ว่าเมื่อครู่ข้าเองก็อยากฆ่าเขามาก เพียงแต่มีความจำเป็นจริงๆ จึงจำต้องปล่อยให้เขาไป แค่ท่านเปิดเสื่อขึ้นก็จะเข้าใจเอง”
เฉิงฉู่มั่วได้ยินอวิ๋นเยี่ยพูดเช่นนั้นจึงเปิดเสื่อใต้เท้าออก เห็นเพียงใต้เสื่อนั้นมีหลุมอยู่หนึ่งหลุม สวี่จิ้งจงและถังเจี่ยนนอนขดสลบไม่ได้สติอยู่ที่ก้นหลุม รอบกายถูกโรยด้วยของจำพวกที่ติดไฟง่าย เช่น กำมะถัน น้ำมัน ฟืนเอาไว้ เชือกเส้นหนึ่งถูกชุบน้ำมันไว้เชื่อมต่อยาวมาถึงสถานที่ที่ซีถงนั่งอยู่
เมื่อหลี่จิ้งเห็นสิ่งเหล่านี้แล้วก็เขวี้ยงกระบี่ลงบนพื้นอย่างแรงและพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “โจรเฒ่านี้ได้ฉายาว่าวางแผนไร้ช่องโหว่ ครั้งนี้พวกเราเสียท่าอีกแล้ว”
“ต้องโทษที่ข้าไม่ได้บอกท่านลุงหลี่ก่อน ไม่เช่นนั้นด้วยความสามารถของท่านลุงหลี่ แม้ว่าเขาจะเป็นเซียนก็ไม่อาจหนีพ้นความตายไปได้” อวิ๋นเยี่ยจำเป็นต้องเป็นฝ่ายรับผิดไว้เอง มิฉะนั้นหากหลี่จิ้งเกิดเปลี่ยนใจกะทันหันไม่ไปบรรยายที่สำนักศึกษา คราวนี้อวิ๋นเยี่ยได้ร้องไห้ตายแน่ ส่วนเรื่องที่ว่าเถียนเซียงจื่อจะตายหรือไม่และตายเมื่อไหร่ เกี่ยวอะไรกับอวิ๋นเยี่ยด้วย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น