ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 499-500

 ตอนที่ 499 ไม่เคยมองเจ้าเป็นบุตรสาวมา...

 

ให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าผิวของนางกำลังถูกแช่แข็งอย่างไรอย่างนั้น


 


 


“อาจารย์….” ดาบยักษ์ในมือของนางปักจมลึกลงไปในโคลนข้างเท้า นางมองดูซื่อมั่วด้วยสีหน้าเป็นกังวล


 


 


แต่ก็เห็นเพียงสีหน้าที่ซีดขาวของเขา ร่างกายของเขาดูแล้วเหมือนจะผ่ายผอมกว่าในยามปกติลงไปมาก


 


 


ช่วงนี้ อาจารย์มักจะพักอยู่ในบ้านพักของนาง ทุกๆวันเวลาเดิมจะส่งอาหารบำรุงต่างๆมาให้ นางกลับไม่ได้สังเกตเลยว่า…..อาจารย์ผ่ายผอมลงไปกว่าแต่ก่อน


 


 


ผอมลงมากขนาดนี้


 


 


นางเองก็ไม่ได้อยู่ใกล้ชิดกับท่านอาจารย์ถึงขนาดนี้มานานมากแล้ว ดวงตาดอกท้อสำรวจดูเขาอย่างละเอียดลออตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า คิดจะหาตำแหน่งที่เขาบาดเจ็บออกมา


 


 


ซื่อมั่วยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย เขาอุ้มพิณเอาไว้ในมือเดียว ปลายนิ้วที่เรียวยาวไล้ผ่านสายพิณ เกิดเป็นเสียงสะท้อนที่สงบนิ่งออกมา


 


 


น้ำเสียงนุ่มนวลที่ดังออกมาเบาๆจากพิณโบราณ เลื่อนไหลออกไปสู่ภายนอกเรือน


 


 


ทำให้เปลวเพลิงที่ลุกไหม้อยู่ในป่าทึบดับลงในทันที


 


 


นิ้วมือของเขาฉีกเป็นแผลแล้ว เลือดไหลอาบลงไปบนตัวพิณ ทำให้พิณตัวนี้เพิ่มพูนกลิ่นอายสังหารขึ้นมาอย่างหนีไม่พ้น


 


 


ผ่านไปอีกพักใหญ่เลือดถึงได้หยุดไหล ใบหน้าของเขาซีดขาว มือประคองพิณเอาไว้ ผลักลูกศิษย์ออกไป เดินกลับไปยังห้องด้วยตนเอง


 


 


ตู๋กูซิงหลันไหนเลยจะกล้าวางใจ นางรีบติดตามไปที่ห้อง


 


 


ทำเหมือนยามที่เป็นเด็กเล็กๆอีกครั้ง นางเดินตามก้นซื่อมั่วมาติดๆ ราวกับกลัวว่าจะทำตนเองหลงทาง


 


 


เพียงแต่ว่าครั้งนี้ นางกลัวว่าเขาจะหายไปมากกว่า


 


 


ซื่อมั่วเข้าไปในห้อง วางพิณลง ล้างมือจนสะอาดต่อหน้าตู๋กูซิงหลัน จากนั้นค่อยเดินเข้าไปที่ฉากกั้นลมเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าชุดใหม่ที่สะอาดสะอ้าน


 


 


เขาถอดชุดแบบตะวันตกสีม่วงทิ้ง จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นชุดยาวสีม่วง ผมทรงเสยไปด้านหลังถูกฝนจนยุบตัวลงมา คืนสู่ทรงเดิมตามธรรมชาติ


 


 


กลายเป็นเช่นเดียวกับจีเฉวียน ทรงผมของเขาใช้เวทย์กำบังตา พอเวทย์นั้นสลายไป ก็กลายเป็นเส้นผมยาวสลวยลงมา


 


 


เส้นผมที่เปียกชื้น เลื่อนไหลไปด้านหลัง พอประกอบกับดวงหน้าที่ซีดขาว ก็ให้ความรู้สึกเหมือนคนงามที่ป่วยไข้


 


 


แม้จะเป็นกลางฤดูร้อน แต่เมื่ออยู่ในห้องของเขา ตู๋กูซิงหลันกลับรู้สึกหนาวจนสะท้านขึ้นมา


 


 


นางนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเล็กในห้องอย่างว่าง่าย พอเห็นอาจารย์เปลี่ยนเสื้อผ้าออกมาเรียบร้อย ก็ใจลอย


 


 


ไปชั่วขณะหนึ่ง


 


 


อาจารย์มีอะไรหลายๆอย่างที่คล้ายกับจีเฉวียน…..เช่นโรคบ้าความสะอาดเกินใครเทียบ


 


 


พึ่งจะออกศึกมาแท้ๆ สิ่งแรกที่คิดกลับไม่ใช่เรื่องจัดการกับบาดแผล แต่ว่าเป็นเปลี่ยนเสื้อผ้า……


 


 


แต่ว่าเขาเป็นคนพูดน้อย อุปนิสัยก็เย็นชา เวลาไม่พูดไม่จาสีหน้าก็เหมือนจะแขวนคำว่า ‘ข้าไม่ใช่คนที่ชอบให้ใครมาหาเรื่อง ออกไปห่างๆ’ เอาไว้อยู่เสมอ


 


 


ตู๋กูซิงหลันยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ก็เห็นซื่อมั่วโยนเสื้อผ้าสะอาดชุดหนึ่งมาให้นาง


 


 


“เปียกปอนจนตัวเหม็น ไปเปลี่ยนซะ”


 


 


ตู๋กูซิงหลันยกเสื้อผ้าในมือขึ้นดู มุมปากก็เหยไปเล็กน้อย “อาจารย์…..เสื้อผ้าชุดนี้เป็นของท่าน”


 


 


ใช้แล้ว ซื่อมั่วส่งชุดหลวมกว้างที่สะอาดมากตัวหนึ่งให้นาง บนตัวเสื้อยังมีกลิ่นของไอแดด


 


 


“อาจารย์ซักสะอาดแล้ว” ซื่อมั่วกล่าวอย่างไม่มีเรื่องใดน่าแปลกใจ ทั้งยังเสริมไปอีกประโยค “ซักด้วยมือ”


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “……”


 


 


เมื่อครู่นางออกแรงไปมากพอสมควร น้ำฝนชโลมเปียกบาดแผล ทำให้เหนียวตัวจนรู้สึกอึดอัดไม่สบายอยู่บ้าง


 


 


ดังนั้นจึงไปที่ฉากบังลมเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า


 


 


แต่ว่าซื่อมั่วเพียงให้เสื้อเชิ้ตมาตัวเดียวเท่านั้น…..ไม่มีอย่างอื่น


 


 


ยังดีที่เสื้อเชิ้ตตัวนี้ตัวใหญ่…..พอนางสวมลงไปพอยาวพอจะปิดต้นขาได้พอดี


 


 


แต่ว่ากระดุมเสื้อหลุดไปสองเม็ด เผยให้เห็นไหปลาร้าและบ่าที่ขาวกระจ่าง


 


 


เมื่อนางเดินออกมาอย่างกระบิดกระบวน ก็เห็นว่าในห้องติดเตาถ่านเอาไว้แล้ว อากาศอบอุ่นขึ้นมา


 


 


ซื่อมั่วนั่งบนเบาะนุ่ม ด้วยดวงตาสะลึมสะลือ


 


 


พอตู๋กูซิงหลันเดินออกมา ก็มองดูนางแวบหนึ่ง จากนั้นก็หันไปมองด้านนอกอย่างรวดเร็ว


 


 


สาวน้อยสวมใส่เสื้อเชิ้ต…..ดูแล้วมีเสน่ห์เย้ายวนอย่างบอกไม่ถูก


 


 


เส้นผมที่เปียกชื้นระอยู่บนบ่า ม้วนเป็นวง ทั้งยังมีหยดน้ำเกาะพราว


 


 


เสื้อเชิ้ตที่ขาวสะอาดดุจหิมะซับละอองน้ำบนเสื้อผมจนเปียกเป็นรอยชื้น ทำให้สามารถมองเห็นผิวพรรณที่นวลเนียนราวเนื้อหยกได้จางๆ


 


 


สองขาเรียวยาวและตรงดุจพู่กัน ปรากฏอยู่ตรงเบื้องหน้าของเขา


 


 


“อาจารย์ ท่านดูดีขึ้นกว่าเมื่อครู่บ้างแล้ว สีหน้าค่อยมีสีเลือดอยู่บ้าง” ตู๋กูซิงหลันนั่งลงที่เก้าอี้ตัวเล็กๆ มองดูซื่อมั่ว


 


 


นางวางดาบยักษ์ที่เมื่อครู่ถือติดเข้ามาด้วยลงข้างหน้าตัวเอง


 


 


วิญญาณทมิฬไม่กล้าพูดอะไรออกไป…. เพราะเมื่อครู่ตอนที่อาจารย์และหลันหลันต่อสู้อยู่นั้น มันไม่ได้ช่วยเหลืออะไรเลย


 


 


เพียงรู้สึกอยากระบายความคิดจนทนไม่ไหวอยู่บ้าง …..ท่านอาจารย์ดีขึ้นกว่าเมื่อครู่ที่ไหนกัน….


 


 


ที่จริงแล้วเป็นเพราะ….เห็นเจ้าสวมใส่แบบนี้แล้วมันเซ็กซี่เกินไป จนเลือดลมพุ่งพล่านจนทนไม่ไหวต่างหากเล่า!


 


 


นี่มันชัดเจนเลยว่า…..อาจารย์ที่มีนิสัยแบบบุรุษขี้หวง…..อยากจะเห็นหลันหลันสวมใส่เสื้อเชิ้ตของตนเองต่างหากมิใช่หรือ?


 


 


แถมยังจงใจดึงกระดุมเสื้อตรงปกทิ้งไปอีก?


 


 


มันเคยได้ยินมาว่า มีบุรุษบางคน….มีรสนิยมแปลกๆบางอย่าง อยากเห็นคนที่ตนเองชอบ สวมใส่เสื้อผ้าของตนเอง


 


 


เช่นนี้จะทำให้พวกเขารู้สึกพึงพอใจเหมือนได้ครอบครอง


 


 


อืม…..อาจารย์จะต้องเป็นคนประเภทนี้เป็นแน่!


 


 


“อาจารย์ไม่เป็นอะไร” ซื่อมั่วปิดตาลง แสงไฟจากเตาในห้องอาบลงบนร่างของเขา เพิ่มพูนความอบอุ่นอ่อนโยน


 


 


ถ่านบนเตาไฟลั่นดังเปรี๊ยะๆ ยิ่งทำให้รู้สึกว่าด้านนอกมีแต่ความสงบเงียบ


 


 


น้ำเสียงพึ่งจะพูดจบ ก็ได้ยินเขากระแอมเบาๆ พอในลำคอได้รสหวานก็รีบกล้ำกลืนลงไปในทันที


 


 


วิญญาณทมิฬที่ดูอยู่ด้านข้างรู้สึกปวดใจแทน


 


 


เนื่องเพราะร่างแบ่งภาคยืดระยะกลับคืนออกไป…..ร่างกายของซื่อมั่ว จึงต้องทนรับความเจ็บปวดทรมานอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน …..ดังนั้นตอนที่คนพวกนั้นอยู่ๆก็บุกเข้าประตูมา เขาจึงไม่อาจกำจัดพวกมันได้ตั้งแต่แรก


 


 


ทั้งหมดนี้เป็นเพราะประโยคเดียวของศิษย์รัก: ข้าไม่อยากให้เขาตาย


 


 


อืม เทพเจ้าผู้นี้ยังคงแข็งแกร่งอย่างยิ่ง หากมิใช่ว่าสีหน้าซีดจนย่ำแย่ ผู้อื่นคงมองไม่ออกเลยสักนิดว่าเขาบาดเจ็บ


 


 


“อาจารย์ ข้าเป็นศิษย์ของท่าน ถือว่าเป็นบุตรสาวของท่านครึ่งหนึ่ง ท่านบาดเจ็บอยู่ชัดๆ แล้วยังจะปิดบังข้าอีก?”


 


 


ตู๋กูซิงหลันมิใช่คนโง่ นางย่อมดูออกว่าเขาไม่ปกติ


 


 


แค่คำว่าบุตรสาวครึ่งหนึ่ง ถึงกับทำให้ขนตาของซื่อมั่วสั่นสะท้าน


 


 


ท่านั่งของเขาแข็งทื่อขึ้นมา แผ่นหลังเหยียดตรงเป็นพู่กัน ลืมตาขึ้นมามองนางอีกครั้ง


 


 


“แล้วถ้าหากว่าอาจารย์ไม่เคยเห็นเจ้าเป็นบุตรสาวมาก่อนละ?” เขาเอ่ยออกไป ในดวงตาสะท้อนแต่ภาพของนางเพียงผู้เดียว


 


 


ตู๋กูซิงหลันตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก็ยกสองมือขึ้นมาประกบใบหน้า “อาจารย์ ท่านใจร้ายมาก….เช็ดอึเช็ดฉี่ให้มาตั้งหลายปี …..แล้วจะมาบอกว่าไม่รู้สึกผูกพันกับศิษย์เลยได้อย่างไร?”


 


 


ซื่อมั่ว “…..”


 


 


เขาไม่รู้ควรจะบอกว่าศิษย์ผู้นี้ฉลาดหรือว่า งี่เง่าดี


 


 


ริมผีปากของเขาขยับน้อยๆ คำพูดที่มาถึงริมฝีปากแล้ว ถูกกลืนกลับลงไป


 


 


เปลี่ยนใหม่เป็นว่า “อาจารย์ไม่ขอถกเถียงเรื่องที่ไม่เป็นสาระกับเจ้าอีก”


 


 


เขานั่งขัดสมาธิ สงบจิตใจลง ทรวงอกกระเพื่อมน้อยๆ ทั่งหมดล้วนเป็นเพราะโมโหเจ้าลูกศิษย์ตัวแสบผู้นี้


 


 


“อาจารย์…. พวกคนเมื่อครู่ เป็นพวกเทพหรือ?” ตู๋กูซิงหลันเองก็ไม่ได้พูดเรื่องไร้สาระกับเขาอีก นางถามออกไปตรงๆอย่างเคร่งเครียดจริงจัง “พวกเขาเรียกท่านว่า…หมิงอ๋อง”


 


 


จะมากจะน้อยนางก็คลุกคลีอยู่ในวงการคุณไสยมานานปี


 


 


ย่อมต้องเคยได้ยินเรื่องของเผ่าหมิงมาบ้าง


 


 


คล้ายจะได้ยินมาว่าเผ่านี้จะล่มสลายไปตั้งแต่เมื่อพันปีก่อนแล้ว


 


 


แต่ว่าล่มสลายไปเพราะอะไร นางก็ไม่รู้เหตุผลที่แน่ชัด

 

 

 


ตอนที่ 500 ไม่....นางไม่ใช้ผู้หญิงเจ้...

 

ได้ยินมาว่าพอเผ่าหมิงล่มสลาย หมิงอ๋องก็หายสาปสูญไปด้วย


 


 


หมิงอ๋องคือผู้ใด หมิงอ๋องมีนามว่าอะไร ใต้หล้านี้ก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้อีกแล้ว


 


 


ยามปกติตู๋กูซิงหลันก็เคยคลุกคลีกับภูติผีมาไม่น้อย นางเองก็รู้ว่า ผู้ที่ควบคุมดูแลปรโลกในตอนนี้ล้วนมาจากเผ่าสวรรค์


 


 


แต่ว่าเมื่อหลายพันปีก่อน ดินแดนในปรโลกทั้งหมด สมควรจะเป็นเขตแดนของเผ่าหมิงสิ


 


 


ดังนั้นพอได้ยินคนเหล่านั้นเรียกท่านอาจารย์เป็นหมิงอ๋อง นางจึงต้องประหลาดใจขึ้นมา


 


 


นางเคยคาดเดาฐานะที่แท้จริงของอาจารย์เอาไว้….แต่ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะเคยเป็นถึงหมิงอ๋อง


 


 


ซื่อมั่วมิได้ปฏิเสธอะไร เขาผ่อนลมหายใจลง พักผ่อนอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยเอ่ยตอบว่า “นั่นเป็นเรื่องเมื่อหลายพันปีก่อน อาจารย์ไม่ได้เป็นหมิงอ๋องมานานมากแล้ว”


 


 


น้ำเสียงของเขาสงบนิ่ง ปราศจากร่องรอยกังวลใดๆ


 


 


“ตอนนั้น……เกิดเรื่องอะไรขึ้น? ทำไมคนเหล่านั้นถึงต้องการฆ่าท่าน?”


 


 


คนเหล่านั้นมิว่าใครก็แข็งแกร่งกว่าเยี่ยเฉิงทั้งนั้น พลังเทพของพวกเขา เป็นสิ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้


 


 


เรื่องนี้พอคิดย้อนไป ก็ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายคงจะไม่ยอมเลิกราง่ายๆเช่นกัน


 


 


หากว่าไม่ได้ทำความเข้าใจเรื่องนี้ให้ชัดเจน ก็คงไม่อาจคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายจะลอบลงมืออย่างไรอีก


 


 


“ตอนนั้น….” พอซื่อมั่วคิดย้อนกลับไป สมองก็ปวดตุ๊บๆขึ้นมา


 


 


ขณะที่เขาพูด สายตาก็ทอดลงไปบบเรือนร่างของตู๋กูซิงหลัน


 


 


“ใดๆในโลกหล้า ทั้งความดี ความชั่ว มนุษย์และสัตว์ เกิดหรือตาย อำนาจ ตันหา ปรารถนาหรือความหวัง…..ต่างก่อให้เกิดเหตุและผลด้วยกันทั้งนั้น”


 


 


“อาจารย์ พวกเราพูดภาษาคนกันดีหรือไม่?” ตู๋กูซิงหลันฟังด้วยสีหน้ามึนงง อาจารย์เป็นพวกปราชญ์โบราณ ชอบพูดอะไรที่คนฟังไม่เข้าใจ


 


 


ซื่อมั่วมองดูนางอย่างลึกล้ำ “เพราะเพื่อหยกสรรพชีวิต”


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “หืม?”


 


 


ซื่อมั่วไม่ได้รีบร้อนให้คำตอบนาง แต่กลับถามออกไปว่า “ในความคิดเห็นของเจ้า ชาวสวรรค์เหล่านั้นเป็นพวกมีเมตตาหรือว่าชั่วร้าย?”


 


 


ตู๋กูซิงหลันคิดอยู่ครู่หนึ่ง “กล้ามางัดกับอาจารย์ ย่อมเป็นคนดีไม่ได้!”


 


 


หากเป็นเรื่องปกป้องพวกพ้อง ตู๋กูซิงหลันไม่เคยคำนึงถึงเหตุผลอยู่แล้ว


 


 


นางไม่มีทางคิดว่าอาจารย์ของตนเองเป็นผู้ร้ายไปได้เด็ดขาด


 


 


ซื่อมั่วถูกประโยคนี้ของนางชมจนอารมณ์ดีขึ้นมาแล้ว


 


 


“คนเราไหนเลยจะแบ่งเพียงแค่ว่ามีเมตตาหรือว่าโหดร้ายได้กัน”


 


 


“ท่านอาจารย์ย่อมต้องเป็นคนดี!”


 


 


ตู๋กูซิงหลันจะอย่างไรย่อมต้องยืนอยู่ฝั่งอาจารย์ของตนเองอยู่แล้ว


 


 


ในที่สุดใบหน้าที่เคร่งขรึมมาตลอดพันปีของซื่อมั่ว ก็อดไม่ได้ที่จะมีรอยยิ้มขึ้นมา มุมปากของเขาขยับน้อยๆ


 


 


เขายิ้มแล้ว ทั้งยังหัวเราะน้อยๆ


 


 


“ศิษย์ที่ดี” น้ำเสียงของเขานุ่มนวลลงไปอีกหลายส่วน ในดวงตาคล้ายมีประกายแสงเทียนที่งดงามผุดขึ้น


 


 


พอเขาหัวเราะออกมา ตู๋กูซิงหลันก็ต้องตื่นตะลึงแล้ว


 


 


หลายปีมานี้นางได้เห็นอาจารย์หัวเราะน้อยมาก ขนาดใช้สิบนิ้วนับได้เลย


 


 


ครั้งก่อนที่ได้เห็นนั้น….มันกี่ปีมาแล้วนะ?


 


 


เหมือนจะลืมไปแล้ว


 


 


ในชั่วขณะนั้น นางพลันรู้สึกว่าหัวใจของตนเองเต้นช้าลงไปมาก


 


 


ในตอนนั้น นางถึงกับอดไม่ได้ที่จะตำหนิตนเอง


 


 


นางเป็นสตรีเจ้าชู้จริงๆหรือไม่?


 


 


ทั้งๆที่มีเสี่ยวเฉวียนเฉวียนอยู่แล้ว แต่ยังจะถูกรูปโฉมที่งดงามของอาจารย์…..ล่อลวงได้อีก?


 


 


ตู๋กูซิงหลันได้แต่ถามคำถามนี้กับบรรพชนทั้งสิบแปดรุ่นของตนเองในใจอย่างเงียบๆ


 


 


ไม่…..นางไม่ใช่สตรีเจ้าชู้


 


 


หากว่านางเจ้าชู้จริง ก็คงเป็นเพราะได้รับถ่ายทอดสิ่งนี้มาจากบิดาคนงาม


 


 


ไม่ ไม่ ไม่ …..ข้าย่อมไม่ใช่สตรีเจ้าชู้เสเพลอย่างแน่นอน…..ในใจของข้ามีแต่เพียงเสี่ยวเฉวียนเฉวียนเท่านั้น นางพยายามตอกย้ำกับตนเองอย่างเข้มแข็ง


 


 


กับอาจารย์ มีแต่ความรักใคร่ผูกพันฉันท์บุตรและบิดาต่างหาก


 


 


……………………….


 


 


เยี่ยจ้านที่ติดอยู่ในหุบเหวที่มืดมิดอดที่จะจามออกมาเสียงดังไม่ได้


 


 


ใครกล้านินทาเขา? นินทาอย่างหนักหนาเลยใช่หรือไม่?


 


 


พวกที่เกลียดชังเขาถึงขั้นขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน สมควรจะเป็นพวกเทพหน้าเหม็นพวกนั้นมิใช่หรือ?


 


 


ในมือของเยี่ยจ้าน ประคองลูกแก้วสีอ่อนจางลูกหนึ่งเอาไว้ เขาดึงซื่อมั่วมายังโลกนี้ แล้วยังฝืนใช้มันส่งพวกเขากลับไปโลกโน้น จนตนเองสูญเสียพลังไปจำนวนมาก


 


 


แม้แต่ลูกแก้วลูกนี้ก็ถูกใช้งานหนักเกินไป จนเกิดรอยร้าวขึ้น


 


 


ตอนนี้เขาจึงไม่อาจดึงทั้งหมดกลับมาด้วยพละกำลังของตนเองเพียงคนเดียวได้


 


 


เช่นนี้ก็ดีอยู่เหมือนกัน ….โลกโน้นปลอดภัยกว่าโลกนี้ ขอเพียงชาวสวรรค์พวกนั้นไม่สามารถแกะรอยติดตามซื่อมั่วจนพบละก็…..โลกโน้นก็คือที่ที่ปลอดภัยที่สุด


 


 


…………………………


 


 


ภายในห้อง สายตาของซื่อมั่วยังคงทอดมองอยู่บนร่างของตู๋กูซิงหลัน พอมองดูดวงตาดอกท้อทั้งสองของนาง หัวใจที่เย็นชามาเนิ่นนานเพิ่มพูนความอบอุ่นขึ้นมา


 


 


ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ค่อยได้ยินซื่อมั่วเอ่ยว่า “นับตั้งแต่ที่หยกสรรพชีวิตก่อกำเนิดขึ้นมาก็จุดประกายความโลภของฝ่ายต่างๆขึ้นมา เจ้าเคยได้ครอบครองมัน ย่อมรู้ดีว่ามันแข็งแกร่งเพียงไร”


 


 


ตู๋กูซิงหลันพยักหน้าติดๆกัน ตัวนางใน‘ชาติก่อน’สามารถกล่าวได้ว่าคือผู้ถือครองหยกสรรพชีวิต …..แต่ว่าทำไมถึงได้มา นางก็ไม่อาจบอกได้ชัดเจนเช่นกัน


 


 


อาจารย์บอกว่าตอนที่นางเกิดมาก็มีของเล่นชิ้นนี้มาด้วยอยู่แล้ว


 


 


ก่อนหน้านี้นางย่อมเชื่อ แต่ว่าตอนนี้เกิดเรื่องขึ้นมากมาย สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านั้นทำต้องกลับมาคิดทบทวนใหม่อีกครั้ง


 


 


เพราะจริงๆแล้วแม้แต่ตัวนางเองก็ไม่สามารถควบคุมพลังของหยกสรรพชีวิตได้ทั้งหมด


 


 


“เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน ตอนที่อาจารย์ต้องกลับมาจุติใหม่อีกครั้ง….” ซื่อมั่วเล่าอย่างช้าๆ “วันนั้น…..พวกชาวสวรรค์ก็ถือโอกาสบุกลงมาที่เผ่าหมิง และแย่งชิงหยกสรรพชีวิตไป”


 


 


ถึงแม้ว่าน้ำเสียงของซื่อมั่วจะสงบราบเรียบ แต่ว่าตู๋กูซิงหลันก็ยังคงรู้สึกได้ถึงความเหน็บหนาว


 


 


ท่านอาจารย์จะต้อง….เกลียดชังและเคียดแค้นคนเหล่านั้นอย่างยิ่ง


 


 


“พวกเทพก็ทำเรื่องต่ำช้าเช่นนี้ด้วยหรือ?” ตู๋กูซิงหลันออกจะประหลาดใจ นางได้พบพวกเทพมาไม่มากนัก ที่ใกล้ชิดหน่อยก็มีแต่ชือหลีที่ค่อนข้างซื่อตรงและใสซื่อ ดังนั้นจึงไม่เคยมีอคติใดๆกับพวกเทพมาก่อน


 


 


ในโลกนี้ไม่มีผู้ใดที่เป็นฝ่ายดีหรือเป็นฝ่ายชั่วตลอดกาล ในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน ย่อมทำให้มีการตัดสินใจที่แตกต่าง


 


 


“พวกเขาเป็นพวกสูงส่งอยู่แล้ว ทำไมถึงยังต้องทำเรื่องเช่นนี้อีกด้วย?” ตู๋กูซิงหลันถามออกไป


 


 


“ผู้มั่งมีไม่แหนงหน่ายเงินทองว่ามากเกิน ผู้ครองอำนาจไม่รังเกียจอำนาจที่เพิ่มพูน ฉันใดฉันนั้น” น้ำเสียงของซื่อมั่วยิ่งทียิ่งเย็นชา “พวกชาวสวรรค์มิได้เรียบง่ายอย่างที่เจ้าเข้าใจ”


 


 


“นับตั้งแต่บรรพกาลมาในหกภพภูมิ ชาวสวรรค์ถือเป็นผู้ดูแลชีวิต เผ่าหมิงเป็นผู้ควบคุมความตาย เป็นสองเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในหกภพภูมิ”


 


 


“เดิมทีสองเผ่ารักษาสมดุลของความสงบเสมอกันมานานหลายหมื่นปี กระทั่งเมื่ออดีตเง็กเซียนฮ่องเต้ลงจากตำแหน่ง เง็กเซียนฮ่องเต้คนใหม่ขึ้นครองบัลลังก์ ความสงบสุขนี้ก็ถูกทำลายลง”


 


 


ตู๋กูซิงหลันไม่เคยได้ยินเรื่องของชาวสวรรค์มาก่อน ดังนั้นยามที่ซื่อมั่วเอ่ยออกมา นางจึงไม่กล้าพูดแทรก


 


 


เพราะขนาดชือหลีที่เป็นเทพแห่งสายน้ำ ก็ยังไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับพวกชาวสวรรค์แม้แต่นิดเดียว นางจึงไม่เคยมีโอกาสได้รับรู้เรื่องเหล่านี้มาก่อน


 


 


“มนุษย์ทั่วไปฝึกฝนเพื่อเป็นเซียน เซียนฝึกฝนเพื่อเป็นเทพ ในบรรดาเทพต่างๆในโลกหล้า ชาวสวรรค์นับว่ามีศักดิ์ศรีสูงส่งที่สุด นับตั้งแต่ที่พวกเขาถือกำเนิดขึ้นมาก็เป็นเทพ ทั้งยังถูกกำหนดให้คงอยู่ได้ชั่วนิจนิรันดร์”


 


 


“ตอนนั้นเมื่อพวกชาวสวรรค์สามารถแย่งชิงหยกสรรพชีวิตได้สำเร็จ สองเผ่าก็เกิดสงครามขนาดใหญ่ การฆ่าฟันในสงครามครั้งนั้นกระทบถึงโลกมนุษย์จนมีผู้คนล้มตายกลายเป็นภูติผีไปนับพันนับหมื่นชีวิต คลื่นวิญญาณผู้ตายล้นทะลักในแดนปรโลกจนกลายเป็นภัยพิบัติ แม้อาจารย์จะทุ่มเทพลังไปชำระล้างวิญญาณนับพันนับหมื่น แต่ก็เพราะกระทำได้ไม่สมบูรณ์ทำให้ปรโลกสูญเสียสมดุลจนล่มสลาย …..แดนนรกผุดปีศาจร้ายขึ้นมามากมาย อาจารย์เองก็ได้รับผลสะท้อนจากการกระทำของตนเอง …… สิบยมราช ห้าแม่ทัพใหญ่ในยมโลกล้วนแตกสานซ่านกระเซ็นไปยังมิติต่างๆ…..เผ่าหมิงดับสูญ”


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “….” เอ๋ มีแต่นางเพียงคนเดียวหรือที่รู้สึกว่าประเด็นสำคัญอยู่ที่คำว่าการชำระวิญญาณ ‘กระทำได้ไม่สมบูรณ์’?


 


 


ตอนนั้นอาจารย์ทำการชำระล้างไม่สมบูณณ์แบบใดจนทำให้ปรโลกถึงขั้นล่มสลาย? จะช่วยบอกให้ละเอียดหน่อยได้หรือไม่?


 


 


เห็นอาจารย์เกลียดชังพวกชาวสวรรค์ถึงเพียงนั้น นางยังเข้าใจว่า เป็นเพราะเผ่าหมิงถูกชาวสวรรค์ทำลายจนดับสูญ


 


 


แต่แล้วเขากลับบอกว่าเป็นเพราะ เขาทำการชำระล้างได้ไม่สมบูรณ์ถึงได้ล่มสลาย?


 


 


ยามนี้สายตาของตู๋กูซิงหลันที่มองดูอาจารย์ของตนเองจึงเปี่ยมไปด้วยความสับสนงุนงง


 


 


พอซื่อมั่วเห็นสายตาของตู๋กูซิงหลัน สีหน้าก็ยิ่งราบเรียบเฉยชา “ตลอดเวลาที่อาจารย์เป็นหมิงอ๋อง ล้วนเปี่ยมด้วยความรับผิดชอบ สุขุมและระเอียดรอบคอบอยู่ตลอด”


 


 


ตู๋กูซิงหลันได้แต่ถกเถียงอยู่ในใจ ก็ใช่นะสิ แค่ท่านเผลอไผลขึ้นมาก็ทำเอาเผ่าหมิงพังพินาศแล้ว!


 


 


วิญญาณทมิฬได้แต่กรอกตาอยู่ในมุมหนึ่ง ไม่กล้ามองออกไปตรงๆ


 


 


ท่านอาจารย์เองก็ซื่อตรงเกินไปแล้วมั้ง?


 


 


ท่านทำยมโลกถล่มก็ถล่มไปเถอะ …. ทำไมจะต้องพูดความจริงออกมาตามนั้นด้วย? ไม่รู้จักโยนความผิดเหล่านั้นให้กับพวกชาวสวรรค์บ้างหรือไร?


 


 


“สรุปแล้ว หลังจากที่เผ่าหมิงล่มสลาย ตลอดหลายปีมานี้อาจารย์จึงได้พยายามช่วยเหลือสรรพชีวิตในใต้หล้า โปรดสัตว์ช่วยเหลือเหล่าวิญญาณทั้งหลายให้พ้นทุกข์ ถือเป็นการชดเชยให้กับชีวิตที่ต้องสูญเสียไปในครั้งนั้น”


 


 


ประโยคนี้ตู๋กูซิงหลันย่อมต้องเห็นด้วย อาจารย์ย่อมเป็นคนดีที่สุด ใครอื่นไหนเลยจะมาแทนที่ได้


 


 


ขนาดเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับเขาเลยสักนิด เขายังเร่งร้อนไปช่วยเหลือ


 


 


ครั้งก่อนเพื่อช่วยชีวิตผู้คนในเมืองเมืองหนึ่ง เขาต้องรับบาดเจ็บหนักถึงขนาดต้องไปเข้าฌานที่ธารน้ำพุเหลืองระยะหนึ่ง


 


 


ทั้งๆที่ทำความดีแต่กลับไม่ได้ทิ้งนามเอาไว้ให้ใครรู้


 


 


เพียงเพราะแค่ต้องการชดเชยความผิดหรือ?


 


 


นางคิดๆดูแล้ว ในใจก็ยังเกิดข้อสงสัย “อาจารย์ ถ้าเช่นนั้นทำไมชาวสวรรค์ถึงยังต้องการตามล่าสังหารท่านอีก?”


 


 


ซื่อมั่วครุ่นคิดอย่างจริงจัง ค่อยให้คำตอบที่นางไม่อาจถกเถียงได้ว่า “บางทีอาจเป็นเพราะว่าอาจารย์แข็งแกร่งเกินไป จนพวกเขากลัว”


 


 


ใช่สิ ท่านไม่เพียงแต่แข็งแกร่ง แต่ยังหล่อเหลาอีกด้วย


 


 


สมแล้วที่เป็นร่างหลักของฮ่องเต้สุนัข เรื่องความมั่นใจในตนเอง เหมือนกับจีเฉวียนอย่างไรอย่างนั้น


 


 


“ดังนั้นเงาแสงเมื่อครู่นั่น ก็คือพวกชาวสวรรค์ใช่หรือไม่?”


 


 


ซื่อมั่วมิได้ปฏิเสธ


 


 


“พวกเขาค้นพบร่องรอยของอาจารย์ได้อย่างไร ดูท่าคงจะไม่ยอมปลดปล่อยท่านไปง่ายๆอย่างแน่นอน” ตู๋กูซิงหลันพูดพลางก็มองดูใบหน้าที่ซีดขาวของซื่อมั่วไปด้วย ในใจของนางยิ่งเปี่ยมไปด้วยความวิตกกังวล


 


 


“อาการบาดเจ็บของอาจารย์ในครั้งก่อนยังไม่ทันหายดี ตอนนี้ก็มาบาดเจ็บซ้ำอีก ไม่ว่าอย่างไรไม่ควรลงมือปะทะอีกแล้ว”


 


 


พอซื่อมั่วได้ยิน ตอนแรกเขาก็คิดจะปลอบประโลมนางว่าเขาไม่เป็นอะไร


 


 


แต่ว่าเจ้าวิญญาณทมิฬกลับรีบขยับก้นลุกขึ้นมากระซิบเสียงเบาที่ข้างหูว่า “อาจารย์ ต้องอ่อนแอ ป้อแป้ ท่านยิ่งบาดเจ็บอ่อนแอ หลันหลันก็จะยิ่งห่วงใยท่าน”


 


 


ท่านอาจารย์จึงได้แต่กล้ำกลืนคำพูดที่มาถึงริมฝีปากนั่นลงไป เปลี่ยนเป็นปรือตามองดูนาง “ศิษย์เอ๋ย เจ้ามีแผนการเช่นไร?”


 


 


ตู๋กูซิงหลันถูกเขาถามเช่นนี้ ก็ชะงักไปครู่หนึ่งท่านอาจารย์แข็งแกร่งกว่านางมากมาย นางแทบจะช่วยอะไรไม่ได้ด้วยซ้ำ


 


 


นางมองดูดาบยักษ์ข้างกายแวบหนึ่ง จากนั้นก็พูดว่า “ข้าจะปกป้องท่านสุดชีวิต”


 


 


“ศิษย์โง่เอ๋ย” สายตาของซื่อมั่ว มีแต่ยามที่มองดูนางเท่านั้นจึงจะแสดงความอบอุ่นอ่อนโยนจางๆออกมา


 


 


เขาไหนเลยจะต้องการให้นางเอาชีวิตมาปกป้องตนเอง….มีแต่จะปกป้องนางด้วยชีวิตทั้งหมดของเขาต่างหาก


 


 


จากนั้นเขาก็เอ่ยว่า “ช่วงนี้ ขอเพียงเจ้ามาคอยดูแลอาจารย์บ่อยๆ อาจารย์ก็พอใจมากแล้ว”


 


 


วิญญาณทมิฬที่อยู่ข้างๆต้องหงุดหงิดมากแล้ว ท่านอาจารย์ทำไมถึงได้ไม่พัฒนาเลย?


 


 


ท่านควรจะพูดว่า….มาอยู่ข้างกายอาจารย์ คอยดูแลอาหารการกินให้อาจารย์ต่างหาก!


 


 


นี่เรียกว่าอะไร หอสูงริมน้ำได้รับแสงจันทร์ก่อน อย่าได้เปิดโอกาสให้หลันหลันกับฮ่องเต้สุนัขอยู่ด้วยกันตามลำพัง เก็บคนเอาไว้ที่ข้างกายตนเอง เช่นนี้ไม่ดีกว่าหรือ?

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)