ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 498-504
ตอนที่ 498 ราชาอัคคีจิตวิญญาณ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ขณะนี้ อัคคีจิตวิญญาณยักษ์ยังคงถูกเถาวัลย์หมอกสีม่วงควบคุมไว้ จึงไม่อาจขยับตัวได้ ภายใต้สถานการณ์ผลุนผลันเช่นนี้ มันได้แต่อ้าปากพ่นระลอกคลื่นเปลวไฟออกมา และก่อตัวเป็นเกราะป้องกันอยู่เหนือศีรษะ
“ตู๊ม!”
พอเงาเขากระบี่สีฟ้าปะทะกับเกราะเปลวไฟ ปราณกระบี่สีฟ้าจำนวนมากก็ระเบิดออกมา
เกราะป้องกันคุ้มกันได้พริบตาเดียว มันก็ระเบิดออกมาเป็นเสี่ยงๆ สะเก็ดไฟกระเด็นไปทั่วทิศ
พอจั้งเสวียนเห็นเช่นนี้ ดวงตาสีม่วงก็เป็นประกาย จากนั้นก็ตะโกนคำว่า “ระเบิด!” ออกมา
มีเสียงอู้อี้ดังมาจากร่างอัคคีจิตวิญญาณยักษ์อยู่หลายครั้ง เถาวัลย์สีม่วงจำนวนมากระเบิดตัวเป็นหมอกสีม่วงพร้อมกัน
เกิดเสียงดังบนผิวอัคคีจิตวิญญาณยักษ์ “ฟู่ๆ!” แสงไฟสีแดงมืดลงไปไม่น้อย มันรีบโบกสะบัดแขนทั้งสอง และคำรามด้วยความโมโห จากนั้นก็อ้าปากพ่นเปลวไฟสีเลือดเผาไหม้ไอหมอกสีม่วง
แต่ขณะนั้นเอง เขากระบี่สีฟ้าก็ร่วงลงมาด้วยอานุภาพอันรุนแรง
แม้อัคคีจิตวิญญาณยักษ์จะพยายามสลัดไอหมอกสีม่วงจนเหมือนชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย และกระโดดไปออกด้านข้างแล้วก็ตาม แต่มันก็ช้าไปเสียแล้ว เงาเขากระบี่สีฟ้าปกคลุมลงมา พริบตาเดียวก็เป็นแสงกระบี่อันครั่นคร้ามฟาดฟันลงมา
มีเสียงร้องแหลมดังขึ้น!
พริบตาที่แสงกระบี่เข้าใกล้อัคคีจิตวิญญาณยักษ์ มันย่อมไม่อาจหลบเลี่ยงได้ จึงต้องชิงระเบิดตัวกลายเป็นเปลวไฟอันคุโชนออกมาก่อน
แต่ทว่าแสงกระบี่จำนวนมากกลับม้วนตัวประสานกันไปมาท่ามกลางเปลวไฟ ทำให้เปลวไฟกว่าครึ่งหนึ่งดับลง
เมื่อแสงกระบี่สลายไปหมดแล้ว เปลวไฟสีแดงเข้มก็ก่อตัวกัน และอัคคีจิตวิญญาณยักษ์ก็ปรากฏตัวออกมาอีกครั้ง
แต่บนตัวของมันในขณะนี้ล้วนเต็มไปด้วยบาดแผล เปลวไฟที่พุ่งออกมาก็มืดลงกว่าก่อนหน้านั้นมาก เห็นได้ชัดว่ามันได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็หรี่ตาทั้งคู่ลง กระบี่เล็กสีฟ้าในมือส่งเสียงดังกังวาน และเปล่งแสงสีฟ้าเจิดจ้าภายในพริบตา
จั้งเสวียนที่อยู่อีกด้านเห็นอัคคีจิตวิญญาณยักษ์มีสภาพเช่นนี้ เขาก็ทำท่ามือด้วยความดีใจ ดูเหมือนว่าเขาจะเตรียมวิธีการร้ายกาจบางอย่างเอาไว้แล้ว เพื่อที่จะได้สังหารอัคคีจิตวิญญาณยักษ์ตรงหน้าให้สิ้นซากภายในอึดใจเดียว
แต่ขณะนั้นเอง ดวงตาทั้งคู่ของอัคคีจิตวิญญาณยักษ์ก็เผยแววดุร้าย และแหงนหน้าแผดเสียงยาวออกมาในฉับพลัน จากนั้นก็ปล่อยกำปั้นออกไปสองสามลูก แต่เป้าหมายกลับไม่ใช่หลิ่วหมิงกับจั้งเสวียน แต่กลับเป็นชิ้นส่วนเสาผลึกที่อยู่ในหลุมยักษ์
“เพล้ง!” “เพล้ง!” ไม่รู้ว่ามีความลี้ลับมหัศจรรย์อะไรอยู่ในกำปั้นทั้งสอง ชิ้นส่วนเสาผลึกที่แข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แตกละเอียดภายในพริบตา และมีแสงสีแสดงที่ดูคล้ายหมอกเมฆปรากฏออกมาในฉับพลัน จากนั้นก็พุ่งเข้าหาอัคคีจิตวิญญาณยักษ์อย่างบ้าคลั่ง
“แย่แล้ว! รีบลงมือ!”
หลิ่วหมิงเป็นคนระดับไหน แม้จะไม่รู้ว่าอัคคีจิตวิญญาณยักษ์กำลังทำอะไร แต่พอเห็นฉากเช่นนี้ก็รู้ทันทีว่า ไม่อาจปล่อยให้อีกฝ่ายทำสำเร็จได้ หลังจากตะโกนบอกจั้งเสวียนแล้ว กระบี่เล็กสีฟ้าในมือก็กลายเป็นสายรุ้งสีฟ้าแวววาวที่ยาวแปดเก้าจั้ง และม้วนตัวออกไป
จั้งเสวียนเห็นเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา จากนั้นก็ชี้มือไปทางอัคคีจิตวิญญาณยักษ์ในฉับพลัน
“ฟู่!”
มีคลื่นสั่นสะเทือนเหนือศีรษะอัคคีจิตวิญญาณยักษ์ หัวปีศาจสีม่วงปรากฏออกมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันไม่ได้กลายเป็นเถาวัลย์หมอกสีม่วง แต่กลับอ้าปากด้วยสีหน้าดุร้าย จนเผยให้เห็นคมเขี้ยวอันแหลมคมเต็มปาก และงับไปทางไปหัวของอัคคีจิตวิญญาณยักษ์อย่างโหดเหี้ยม
“ฉับ!”
หัวปีศาจงับหัวเกือบครึ่งหนึ่งของอัคคีจิตวิญญาณยักษ์จนหลุดออกมา
จากนั้นสายรุ้งสีฟ้าเจิดจ้าก็ม้วนตัวผ่านไป ทำให้ไหล่เกือบครึ่งหนึ่งของมันหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีของทั้งสอง อัคคีจิตวิญญาณยักษ์กลับไม่คิดจะหลบหลีกเลยแม้แต่น้อย แต่ครู่ต่อมา แสงสีแดงก็พุ่งเข้าใส่บาดแผลบนไหล่อย่างบ้าคลั่ง พริบตาเดียวหัวและไหล่ของมันก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ ขณะเดียวกัน แสงสีแดงอันน่ากลัวก็พุ่งออกจากร่างของมัน
ไม่ว่าจะเป็นใบหน้าปีศาจสีม่วงกลางอากาศ หรือว่าสายรุ้งสีฟ้าแวววาวที่หมุนวนอยู่บริเวณนั้น ต่างก็ถูกแสงสีแดงผลักกระเด็นออกไป
หน้าปีศาจสีม่วงร้องโหยหวนท่ามกลางแสงสีแดง จากนั้นก็สลายตัวไป
ร่างของจั้งเสวียนโงนเงนทีหนึ่ง และกระอักเลือดออกมา ขณะเดียวกัน ใบหน้าของเขาก็ซีดขาวจนถึงขีดสุด
ประจักษ์ชัดว่าความเสียหายของหัวปีศาจสีม่วง ทำให้จิตของเขาที่เชื่อมต่ออยู่ก็ถูกโจมตีไปด้วย
และอัคคีจิตวิญญาณยักษ์ที่ฟื้นฟูอาการบาดเจ็บแล้ว ก็โบกแขนทั้งสอง และอ้าปากออกมาทันที มันดูดเอาแสงสีแดงในหลุมยักษ์เข้าไปจนหมด จากนั้นก็มีเสียงราวกับจุดประทัดดังออกจากร่างของมัน พริบตาเดียว ก็เกาะผลึกขนาดเท่าเม็ดถั่วตามข้อต่อทั่วร่างกายจำนวนแปดเม็ด แต่ละเม็ดต่างก็มีสีแดงราวกับเลือด มีลวดลายจำนวนมากเปล่งประกายอยู่บนพื้นผิว และแผ่กลิ่นไอบริสุทธิ์ออกมา”
“เกาะผลึกพลังเวท?”
พอจั้งเสวียนเห็นสถานการณ์เช่นนี้ กลับหลุดปากออกมา แม้แต่เลือดตรงมุมปากก็ไม่สนใจเช็ด ใบหน้าแสดงความหวาดผวาออกมาเป็นครั้งแรก
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกเย็นสะท้านขึ้นมา
ระดับผลึกที่กล่าวถึง เดิมทีเป็นเขตแดนที่ฝึกฝนจนถึงระดับที่แน่นอน จนทะเลจิตวิญญาณไม่สามารถรองรับพลังต้นกำเนิดที่เป็นของเหลวได้อีก ถึงได้เกาะตัวสู่สถานะของเม็ดผลึก และรูปร่างของเม็ดผลึกที่ปรากฏบนร่างอัคคีจิตวิญญาณยักษ์ เหมือนกับการเกาะผลึกของพลังเวทตามที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ไม่มีผิด
และขณะที่เข้าสู่ระดับผลึก หากเม็ดผลึกพลังเวทที่เกาะตัวมาจากพลังต้นกำเนิดยิ่งมีมาก ก็แสดงว่าพลังเวทยิ่งหนาแน่น และมีศักยภาพสำหรับการฝึกฝนในอนาคตมากขึ้นด้วย
โดยทั่วไปแล้ว ในขณะที่ผู้ฝึกฝนที่มีหกชีพจรจิตวิญญาณเกาะผลึกนั้น จะสามารถเกาะผลึกพลังเวทได้สิบแปดเม็ด เก้าชีพจรจิตวิญญาณเกาะผลึกได้สามสิบหกเม็ด สิบสองชีพจรจิตวิญญาณได้เจ็ดสิบสองเม็ด ส่วนผู้ที่มีชีพจรจิตวิญญาณสวรรค์ในตำนาน ย่อมเกาะผลึกได้หนึ่งร้อยสี่สิบสี่เม็ด
ดังนั้นต่อให้จะเป็นผู้ฝึกฝนระดับผลึกเหมือนกัน พลังการฝึกฝนก็แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
ส่วนผู้มีสามชีพจรจิตวิญญาณที่สามารถเข้าสู่ระดับผลึกได้นั้น ย่อมสามารถเกาะผลึกพลังเวทได้เพียงเก้าเม็ดเท่านั้น แต่ต่อให้ในแผ่นดินจงเทียนที่เป็นดินแดนผู้ฝึกฝนขนาดใหญ่ ก็มีผู้มีชีพจรจิตวิญญาณน้อยเช่นนี้มาถึงระดับนี้ได้น้อยมาก หากไม่ใช่ผู้ที่มีโอกาสเป็นพิเศษ ก็เป็นผู้ที่มีร่างจิตวิญญาณอันเหลือเชื่อ
แต่อัคคีจิตวิญญาณตรงหน้า มีผลึกพลังเวทบนร่างแค่แปดเม็ด ทั้งยังไม่มีปรากฏการณ์ทะลวงระดับผลึก เห็นได้ชัดว่ามันเป็นการกระตุ้นพลังแฝงชนิดหนึ่ง เพื่อยกระดับการฝึกฝนของตนเองให้เข้าสู่ระดับผลึกขั้นต้นชั่วคราว ซึ่งคงจะยืนหยัดได้ไม่นาน
ดูเหมือนพริบตาเดียวหลิ่วหมิงก็เข้าใจในเรื่องนี้ เขาจึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมา
และขณะนั้นเอง อัคคีจิตวิญญาณยักษ์ตรงหน้าก็จ้องมองหลิ่วหมิงกับจั้งเสวียนที่ลอยอยู่กลางอากาศ พอมันแผดเสียงดังก้องฟ้า เม็ดผลึกบนตัวก็กระพริบหายเข้าไปในร่างของมัน ขณะเดียวกัน สีของเปลวไฟก็เปลี่ยนเป็นสีขาว และร่างของมันก็พร่ามัวหายไป
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกตกใจมาก จนไม่ได้คำนึงถึงการกระตุ้นกระบี่บิน พอยกแขนเสื้อข้างหนึ่งขึ้นมา จุดแสงสีทองก็พุ่งออกไป และกลายเป็นหมอกทรายปกคลุมตนเองไว้
ทางด้านจั้งเสวียนก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที พอทำท่ามือด้วยมือเดียว ก็มีโล่ดินสีเหลืองปรากฏอยู่ตรงหน้า
เมื่อคู่ต่อสู้มีพลังระดับผลึกแล้ว ทั้งสองจึงทำท่าทางป้องกันโดยไม่รู้ตัว
พอมีคลื่นสั่นสะเทือนตรงหน้าหลิ่วหมิง เงาร่างที่มีเปลวไฟสีขาวห่อหุ้มอยู่ก็ปรากฏออกมา มันคืออัคคีจิตวิญญาณยักษ์ตนนั้นนั่นเอง พอมันปรากฏตัวแล้วก็พร่ามัวหายไปทันที จากนั้นก็มาปรากฏตัวบริเวณที่จั้งเสวียนอยู่
อัคคีจิตวิญญาณยักษ์ปรากฏหายๆ อยู่ในหลุมยักษ์ และเคลื่อนไหวไปมาราวกับปีศาจ แต่ยังไม่ลงมือกับทั้งสองจริงๆ
“ไม่ถูกต้อง!”
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็คิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นเขาก็ตะโกนออกมา
และขณะนั้นเอง บริเวณอากาศเหนือขอบหลุมยักษ์
มีคลื่นสั่นสะเทือนตรงด้านหลังของศิษย์สายนอกสองคนที่กำลังต่อสู้กับอัคคีจิตวิญญาณอย่างดุเดือด จากนั้นร่างขนาดมหึมาของอัคคีจิตวิญญาณยักษ์ก็ปรากฏออกมา
อัคคีจิตวิญญาณระดับผลึกตัวนี้เพียงแค่คว้ามือข้างหนึ่งไปกลางอากาศ เปลวไฟสีขาวก็หมุนติ้วๆ อยู่ในมือ และกลายเป็นคมดาบสีขาวสองเล่มที่ยาวจั้งกว่าๆ จากนั้นก็กระพริบหายไปจากมือของเขา
มีเสียงร้องออกมาอย่างน่าเวทนา!
ศิษย์สายนอกรูปร่างอวบเตี้ยที่กำลังกระตุ้นอาวุธจิตวิญญาณต่อสู้กับอัคคีจิตวิญญาณสองตัวไม่ทันได้ระวัง จึงถูกคมดาบสีขาวฟันออกเป็นสองส่วน โดยที่ปราณแกร่งป้องกันตัวไม่อาจต้านทานได้เลยแม้แต่น้อย และพริบตาเดียวก็ถูกเปลวไฟลุกไหม้อย่างรุนแรง เพียงแค่ไม่กี่อึดใจก็กลายเป็นเถ้าธุลี
ศิษย์สายนอกอีกคนเห็นเช่นนี้ ก็ร้องด้วยความตกใจ และไม่อาจสนใจอัคคีจิตวิญญาณตรงหน้าได้ เขาขยี้ยันต์สีเขียวผืนหนึ่งจนแหลกละเอียดอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นแสงสีเขียวก็เปล่งประกายออกมา จากนั้นก็กลายเป็นลูกแสงกลุ่มหนึ่งพุ่งไปทางหลิ่วหมิงทั้งสอง
เขารู้ดีว่า การหนีไปอยู่ข้างๆ ผู้แข็งแกร่งทั้งสอง เป็นวิธีการเดียวที่สามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้
แต่ขณะนั้นเอง คมดาบสีขาวเล่มหนึ่งก็พุ่งมาทิศทางที่เขาหลบหนี “ฟิ้ว!” ลูกแสงกลมๆ กับร่างของชายผู้นี้ถูกฟันเป็นสองส่วนอย่างง่ายดาย และระเบิดออกมาเป็นจุดแสงในทันที
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเขียวปัดขึ้นมา
จั้งเสวียนเองก็มีสีหน้าหวาดผวามาก
ราชาอัคคีจิตวิญญาณตัวนี้ สังหารศิษย์ร่วมนิกายสองคนอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ ซึ่งทั้งสองเข้าช่วยไม่ทันเลยแม้แต่น้อย
ทั้งสองสบตากันทันที พวกเขาย่อมรู้ดีว่าไม่อาจหลักเลี่ยงศึกหนักที่จะมาถึงนี้ได้
หลังจากอัคคีจิตวิญญาณยักษ์แผดเสียงยาวออกมา อัคคีจิตวิญญาณหกตัวตรงหน้าก็พากันระเบิดตัวกลายเป็นเมฆอัคคีสีแดงหลายสิบกลุ่ม จากนั้นก็พวยพุ่งหายเข้าไปในร่างของอัคคีจิตวิญญาณยักษ์
ขณะที่เมฆอัคคีแต่ละกลุ่มจมหายเข้าไป เปลวไฟสีขาวบนตัวราชาอัคคีจิตวิญญาณ ก็แข็งแกร่งขึ้นเล็กน้อย พอเมฆอัคคีจมหายเข้าทั้งหมด กลิ่นไอของมันก็แข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านั้นไม่น้อย
หลิ่วหมิงสูดหายใจด้วยความเย็นสะท้าน ทันใดนั้น เขาก็ทำท่ามืออย่างไม่ลังเล เม็ดทรายสีทองตรงหน้าหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง และก่อตัวเป็นม่านทรายจางๆ ปกป้องร่างเขาไว้ทั้งหมด ขณะเดียวกัน กระบี่เล็กสีฟ้าก็หลุดออกจากมือ และขยายใหญ่ตามแรงลมจนกลายเป็นเงากระบี่สีฟ้าที่ยาวหลายจั้ง มีลวดลายเปล่งประกายอยู่บนพื้นผิว และแผ่แสงเย็นสะท้านอันน่าครั่นคร้ามออกมา
แสงเย็นสะท้านเปล่งประกายในดวงตาของเขา มือข้างหนึ่งชี้ไปทางอากาศ กระบี่ยักษ์กลางอากาศค่อยๆ สั่นสะท้าน ลวดลายบนพื้นผิวเปล่งประกายอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นก็กลายเป็นสายรุ้งสีฟ้ายาวสิบกว่าจั้ง พอมีเสียงดังกังวานออกมา มันก็พุ่งไปฟันราชาอัคคีจิตวิญญาณ
จั้งเสวียนก็โบกแขนเสื้อโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ร่มเล็กสีเขียวคันหนึ่งพุ่งยิงออกไป หลังจากหมุนติ้วๆ กลางอากาศแล้ว มันก็กลายเป็นร่มยักษ์ที่มีขนาดจั้งกว่าๆ
แสงสีเขียวจางๆ เปล่งประกายอยู่บนผิวร่มยักษ์ จากนั้นก็กลายเป็นม่านแสงสีเขียวปกคลุมร่างทั้งหมดของเขาไว้
ขณะเดียวกัน เขาก็อ้าปากพ่นมีดบินสีม่วงออกมาหกเล่ม พอขยายใหญ่ตามแรงลม ก็กลายเป็นคมมีดยักษ์ที่ยาวสี่ห้าจั้ง และเรียงตัวอยู่กลางอากาศ ทั้งยังส่งเสียง “หวึ่งๆ!” อยู่ไม่หยุด
“ไป!”
พอจั้งเสวียนตะคอกออกมา คมมีดทั้งหกก็สั่นไหวกลายเป็นแสงสีม่วงเจ็ดลำพุ่งไปหาราชาอัคคีจิตวิญญาณ
ตอนที่ 499 เกาะผลึก
โดย
Ink Stone_Fantasy
ราชาอัคคีจิตวิญญาณเห็นเช่นนี้ ก็คำรามเสียงออกมา เปลวไฟสีขาวสองกลุ่มหมุนติ้วๆ ในมือ และกลายเป็นดาบเพลิงสีขาวสองเล่มที่ยาวฉื่อกว่าๆ อย่างรวดเร็ว พอโบกมือทั้งสอง แสงสีขาวลำหนึ่งก็แผดเสียงเข้าหากระบี่ยักษ์กลางอากาศ ส่วนอีกลำก็พุ่งไปรับมือกับแสงสีม่วงทั้งหก
พอสายรุ้งสีฟ้ากับแสงสีขาวสัมผัสกันเล็กน้อย แสงไฟสีขาวก็พุ่งทะลุผิวกระบี่ไป และสายรุ้งสีฟ้าก็มีขนาดเล็กลงกว่าเดิมหลายเท่า ซึ่งดูเหมือนจะกลับมาเป็นกระบี่เล็กดังเดิม ขณะเดียวกัน ก็มีรอยแตกร้าวปรากฏบนผิวกระบี่
พอราชาอัคคีจิตวิญญาณคว้ามือข้างหนึ่งไปทางอากาศ ดาบเพลิงสีขาวก็ระเบิดตัวออกมา เปลวไฟสีขาวคุโชนปกคลุมกระบี่เล็กสีฟ้าไว้อย่างสมบูรณ์
หลิ่วหมิงรู้สึกหนักอึ้งในใจ จากนั้นก็สูญเสียการเชื่อมต่อกับกระบี่เล็กสีฟ้า
ครู่ต่อมา เศษกระบี่ที่ถูกหลอมเหลวก็ร่วงลงมา
อีกด้านหนึ่ง แสงสีม่วงหกลำพุ่งใส่ดาบเพลิงสีขาวติดต่อกัน จากนั้นก็ระเบิดตัวออกมา และแสงสีม่วงกับแสงสีขาวก็พุ่งขึ้นด้านบนพร้อมกัน
แต่ผ่านไปซักพัก เปลวไฟสีขาวอันคุโชนก็ปกคลุมแสงสีม่วงไว้ได้ทั้งหมด
พอจั้งเสวียนเห็นท่าไม่ดี ก็ทำท่ามือด้วยมือเดียวทันที
“ฟิ้ว!” แสงสีม่วงสามลำที่อ่อนแอลงเล็กน้อยหลุดออกจากเปลวไฟสีขาว และพุ่งเข้าไปในแขนเสื้อ
ขณะนี้ ร่างของราชาอัคคีจิตวิญญาณเริ่มพร่ามัว หลังจากเปลวไฟสีขาวอันคุโชนแยกออกเป็นสองส่วนแล้ว ร่างขนาดมหึมาก็แยกเป็นสองส่วนเช่นกัน เผยให้เห็นอัคคีจิตวิญญาณยักษ์สองตัวที่มีรูปร่างเหมือนกันลอยอยู่กลางอากาศ
อัคคีจิตวิญญาณยักษ์ทั้งสองแหงนหน้าคำรามออกมาพร้อมกัน พอกระพริบแค่ทีเดียว ก็มาอยู่ตรงหน้าหลิ่วหมิงกับจั้งเสวียน และดูเหมือนจะสะบัดแขนทั้งคู่พร้อมกัน จากนั้นดาบสีขาวสี่เล่มก็พุ่งออกจากมือ
หลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งคู่ลง และพยายามปล่อยพลังจิตหาร่างที่แท้จริงของราชาอัคคีจิตวิญญาณ
จั้งเสวียนเองก็เบิกดวงตาสีม่วงจ้องมองราชาอัคคีจิตวิญญาณตาไม่กระพริบ
สุดท้าย สิ่งที่ทำให้ทั้งสองตกใจก็คือ ราชาอัคคีจิตวิญญาณสองตัวที่อยู่ตรงหน้าเป็นร่างจริงทั้งหมด ไม่รู้ว่ามันใช้เคล็ดวิชาอะไร ถึงแยกร่างได้อย่างน่ามหัศจรรย์
หลิ่วหมิงทำเสียงฮึดฮัดโดยไม่ทันได้คิดอะไรมาก หมอกทรายสีทองพวยพุ่งตรงหน้า และกลายเป็นคลื่นทรายสีทองม้วนไปทางราชาอัคคีจิตวิญญาณ
“ฟู่!” คมดาบสีขาวสองเล่มพุ่งทะลุผนังทราย และไขว้เข้าหากันก่อนพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงนำมุกพลังวารีสองเม็ดออกมาด้วยความตกใจ พอประกบมือทั้งคู่ ไอหมอกสีดำก็เกาะตัวบนกำปั้นทั้งสอง และโจมตีออกไป
“ตู๊ม!”
ดาบเพลิงสีขาวสองเล่มระเบิดออกมาพร้อมกัน และประสานเข้ากับไอหมอกดำที่มุกพลังวารีสร้างขึ้นมา พอมีเสียงดัง “ชื่อๆ!” เปลวไฟสีขาวอันคุโชนก็ถูกกลืนกินไปกว่าครึ่งหนึ่ง
และหลิ่วหมิงก็อาศัยจังหวะนี้ ร่นถอยออกไปสิบกว่าจั้ง พอโบกแขนเสื้อ หมอกทรายสีทองก็พวยพุ่งอยู่ตรงหน้า
อีกด้านหนึ่ง ร่มยักษ์สีเขียวที่จั้งเสวียนกระตุ้นอยู่ ก็ไม่อาจต้านทานการพุ่งเข้ามาของคามดาบสีขาวได้ พอมันปะทะกัน ม่านแสงสีเขียวก็แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ
แต่แสงสีม่วงเปล่งประกายในดวงตาของเขาทันที เงาร่างพร่ามัวอยู่บนอากาศในระยะสองสามจั้ง ดาบเพลิงสีขาวทั้งสองเบี่ยงเบนผ่านด้านข้างทั้งสองของเขาไปอย่างน่าประหลาดใจ
“เต๊ง!” “เต๊ง!” มันฟันลงพื้นด้านหลังจนเกิดร่องลึกยาวสองร่อง
พอเห็นว่าการโจมตีอย่างกระทันหันไม่ได้ผล อัคคีจิตวิญญาณยักษ์ทั้งสองก็รู้สึกตะลึงเล็กน้อย แต่ยังไม่ทันที่พวกหลิ่วหมิงทั้งสองจะโจมตีกลับ มันก็กลายเป็นเปลวไฟสีขาวสองกลุ่มพุ่งยิงไปด้านหลัง หลังจากพวยพุ่งรวมตัวกันแล้ว ก็กลับมาเป็นราชาอัคคีจิตวิญญาณตามเดิม
“คนนิกายยอดบริสุทธิ์……ต้องตายทั้งหมด……” ราชาอัคคีจิตวิญญาณจ้องมองทั้งสองด้วยแววตาเยือกเย็น และเปล่งเสียงที่ฟังไม่ชัดออกมา จากนั้นก็กระทืบเท้าในฉับพลัน มือทั้งสองไขว้ไว้ตรงหน้าอก และร่ายคาถาแปลกประหลาดออกมา
เกิดเสียงดังโครมครามไปทั่วทั้งหุบเขา เมฆอัคคีบริเวณหลุมยักษ์พวยพุ่งเข้าไปหามันอย่างบ้าคลั่ง และกลายเป็นคลื่นอัคคีสีขาวอันร้อนแรงม้วนตัวขึ้นมาจากทั้งสองด้าน จากนั้นก็กลายเป็นวงแหวนไฟขนาดยักษ์ พริบตาเดียวก็ขังหลิ่วหมิงกับจั้งเสวียนไว้ในนั้น
คลื่นอัคคีสีขาวม้วนตัวไปตรงกลางระหว่างพวกเขาทั้งสอง
หลิ่วหมิงและจั้งเสวียนรู้สึกตกใจมาก ทำได้เพียงแต่กระตุ้นอาวุธจิตวิญญาณเพิ่มการต้านทานอย่างสุดชีวิต คลื่นอัคคีที่โผเข้ามาติดต่อกันนี้ ทำให้พวกเขาไม่อาจโจมตีกลับไปได้ชั่วขณะหนึ่ง
อัคคีจิตวิญญาณเห็นเช่นนี้ ก็แยกมือทั้งสองออกจากกัน และก่อตัวดาบเพลิงสีขาวแต่ละเล่มออกมา แม้ว่าจะมีขนาดเล็กกว่าก่อนหน้านั้น แต่มีจำนวนมากกว่ามาก ดูเหมือนจะมีราวๆ ร้อยเล่ม และมันก็ตั้งขวางอยู่ตรงหน้า
“ฟู่ๆ!” พอแสงสีขาวเปล่งประกาย ดาบเพลิงสีขาวจำนวนมากก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ครู่ต่อมา มีแสงสีขาวเปล่งประกายท่ามกลางคลื่นอัคคีที่โจมตีพวกหลิ่วหมิงทั้งสองอยู่ และมีดาบเพลิงฟันออกมาอย่างไม่ขาดสาย
หลิ่วหมิงเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็มีสีหน้าดูไม่ได้ขึ้นมา ด้านหนึ่งกระตุ้นค่ายกลทรายทองคำให้หมุนวนข้างกายอย่างรวดเร็ว ด้านหนึ่งก็โยนมุกพลังวารีไปกลางอากาศ ทันใดนั้น มันก็กลายเป็นไอหมอกดำสลัวๆ ม้วนตัวลงมาปกคลุมตนเองไว้อย่างแน่นหนา
“เปรี๊ยะๆ!” เสียงโจมตีดังขึ้นมา เปลวไฟคุโชนถูกม่านทรายสีทองต้านทานไว้ แต่ดาบเพลิงสีขาวกลับพุ่งออกจากคลื่นอัคคี และทะลุม่านทรายก่อนจมเข้าไปในไอหมอกดำ ทำให้ไอหมอกดำกระเพื่อมจนมีไอน้ำพุ่งออกมา
หลิ่วหมิงอาศัยทรายทองคำร่วงกับมุกพลังวารีเป็นเกราะป้องกันสองชั้น ในที่สุดก็พอที่จะต้านทานคลื่นอัคคีกับดาบเพลิงสีขาวที่ทะลักเข้ามาราวกับสายน้ำไว้ได้
และทางด้านจั้งเสวียนก็มีปรากฏการณ์อันตรายเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ร่มยักษ์สีดำในก่อนหน้าได้รับความเสียหายในระดับหนึ่ง
ขณะนี้ เขาได้แต่ใช้โล่ยักษ์สีเหลืองต้านทานคลื่นอัคคี และดวงตาสีม่วงก็กระตุ้นเคล็ดวิชาต้านทานดาบเพลิงสีขาวไว้
แต่เห็นได้ชัดว่าพลังเผ่าเนตรอินทนิลที่เขาใช้ ทำให้สิ้นเปลืองพลังอย่างน่าตกใจ หลังจากต้านได้ซักพัก ใบหน้าก็ซีดขาวขึ้นมา พลังจิตก็ดูเหมือนจะอ่อนล้าลงเล็กน้อย
ขณะที่คลื่นอัคคีผสมปนเปกับดาบเพลิงจำนวนมากโจมตีเข้ามานั้น เคล็ดวิชาที่ดวงตาของจั้งเสวียนกระตุ้นออกมา ก็ทำให้อากาศบิดเบี้ยว และเปลี่ยนทิศทางของดาบเพลิง จนมันกระเด็นไปกลางอากาศ
ทันใดนั้น มีแสงสีขาวเปล่งประกายตรงหน้า จิตของเขาไม่ทันได้จับตำแหน่งของมัน เพียงแค่รู้สึกเย็นตรงแขนซ้าย และดาบเพลิงสีขาวก็ฟันลงมาราวกับสายฟ้าแลบ
จั้งเสวียนเองก็เป็นผู้ที่ได้ชื่อว่าเหี้ยมหาญมาก พอเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ ดวงตาสีม่วงก็ดูเฉียบขาดขึ้นมา จากนั้นก็อ้าปากพ่นลูกธนูโลหิตใส่แขนข้างที่ขาด
“ฟู่!” พริบตาเดียวหมอกโลหิตก็ดับเปลวไฟสีขาวบนแขนที่ขาดได้ จากนั้นก็รัดพันแขนที่ขาดให้ลอยอยู่กลางอากาศ
“พี่หลิ่ว ช่วยข้าถ่วงเวลาหน่อย!” เสียงของจั้งเสวียนดังขึ้นข้างหูหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงตาเป็นประกายขึ้นมาทันที จากนั้นก็ทำท่ามือโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง และเคลื่อนไหวไปอยู่ตรงหน้าจั้งเสวียนพร้อมกับหมอกทรายสีทอง
หมอกทรายกลายเป็นม่านทรายสีทองปิดบังจั้งเสวียนไว้อย่างหนาแน่น
ขณะเดียวกันเขาก็ตะโกนออกมา เกล็ดมังกรสีแดงปรากฏออกมาตามจุดสำคัญต่างๆ พอทำท่ามือด้วยมือเดียว ไอหมอกที่เปลี่ยนแปลงมาจากมุกพลังวารีก็โหมซัดสาด ซึ่งดูหนาแน่นกว่าก่อนหน้านั้นมาก
พริบตานั้น คลื่นอัคคีกับดาบเพลิงทั้งหมดต่างก็ถูกต้านทานไว้ด้านนอก
“ขอบคุณพี่หลิ่ว ให้เวลาข้าอีกสักหน่อย”
จั้งเสวียนที่อยู่ในม่านทรายสีทองส่งเสียงอย่างราบเรียบมาหนึ่งประโยค จากนั้นก็พลิกฝ่ามือหยิบยันต์สีเหลืองออกมา หลังจากขยี้จนแตกกระจายแล้ว ก็แปะไว้บริเวณที่แขนขาด และมันก็หยุดโลหิตที่พุ่งออกมาได้
ต่อมา เขาก็เริ่มร่ายคาถา และแสงสีม่วงก็เปล่งประกายในดวงตาอยู่ไม่หยุด โลหิตที่ซึมออกจากแขนที่ลอยอยู่กลางอากาศ ประสานกันไปมากับไอหมอกสีม่วง หลังจากค่อยๆ เกาะตัวเข้าด้วยกันแล้ว ก็กลายเป็นหอกกระดูกลอยอยู่กลางอากาศ และมีหมอกโลหิตสีม่วงปกคลุมไว้
หอกกระดูกยาวจั้งกว่าๆ ด้ามของมันมีอักขระสีม่วงเปล่งประกายอยู่รำไร ปลายอันแหลมคมเป็นสีม่วงจางๆ มีปราณโลหิตที่ดูคล้ายกับอสรพิษเล็กจำนวนมากอยู่ท่ามกลางหมอกโลหิตสีแดงดำ และหมุนวนรอบหอกกระดูกอยู่ไม่หยุด
ดวงตาทั้งคู่ของจั้งเสวียนเป็นประกายสีม่วง พอคว้ามือข้างหนึ่งไปกลางอากาศ หอกกระดูกสีเลือดก็สั่นสะท้าน และดูเหมือนพร้อมที่จะพุ่งออกไปได้ตลอดเวลา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ทำท่ามือด้วยมือทั้งสองโดยไม่ต้องคิด จุดแสงสีเขียวเปล่งปรากฏขึ้นตรงหน้า หลังจากรวมตัวอย่างรวดเร็วแล้ว คมวายุสิบกว่าสายก็ปรากฏออกมา จากนั้นก็พุ่งไปหาราชาอัคคีจิตวิญญาณพร้อมเสียงแหลมแสบแก้วหู
พอราชาอัคคีจิตวิญญาณเห็นคมวายุพุ่งเข้ามา มันก็อ้าปากพ่นลูกเปลวไฟออกไป
“ตู๊มต๊าม!” คมวายุและลูกไฟระเบิดออกมาเป็นเมฆอัคคีสีเขียวแดง และปิดกั้นการมองเห็นของราชาอัคคีจิตวิญญาณ กับหลิ่วหมิงไว้
หลิ่วหมิงอาศัยโอกาสนี้ขยับตัวออกไปทันที เผยให้เห็นหอกอันน่ากลัวที่ถูกหมอกโลหิตปกคลุมไว้
“ไป!”
ดวงตาของจั้งเสวียนกลายเป็นสีแดงอมม่วง จากนั้นก็กระแทกมือข้างหนึ่งใส่หอกกระดูก ขณะเดียวกันก็ตะโกนออกมา
“ฟู่!” หอกกระดูกราวกับลูกธนูที่หลุดออกจากสาย จากนั้นก็กลายเป็นแสงโลหิตพุ่งเข้าใส่ราชาอัคคีจิตวิญญาณอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ไม่กี่อึดใจก็ทะลุคลื่นอัคคี และมาปรากฏอยู่ตรงหน้าราชาอัคคีจิตวิญญาณ
โล่กระดูกที่มาแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ทำให้ราชอัคคีจิตวิญญาณรู้สึกตกใจมาก เปลวไฟบนตัวม้วนออกไป และกลายเป็นกำแพงอัคคีกว้างจั้งกว่าๆ สูงสามสี่จั้งขวางอยู่ตรงหน้า
แต่หอกกระดูกโลหิตเพียงแค่ชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็เจาะทะลุกำแพงอัคคีไป
ราชาอัคคีจิตวิญญาณแผดเสียงร้องแหลมออกมา จากนั้นร่างของมันก็พร่ามัวหายไปจากที่เดิม
แต่ในขณะเดียวกัน หอกกระดูกโลหิตก็วกกลับมาอย่างรวดเร็ว และพุ่งไปทางด้านซ้ายทันที จากนั้นก็กระพริบหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ครู่ต่อมา เกิดเสียงดังอู้อี้ อากาศที่ดูว่างเปล่าพลันมีเปลวไฟสีขาวพวยพุ่งออกมา หลังจากแสงไฟดับลง ก็เผยให้เห็นร่างของราชาอัคคีจิตวิญญาณ และหอกกระดูกเล่มนั้น ก็ปักอยู่บนท้องน้อยของมัน ทั้งยังเปล่งแสงสีแดงอมม่วงแปลกประหลาดออกมา
ราชาอัคคีจิตวิญญาณก้มมองหอกบนตัวด้วยสีหน้าที่คาดไม่ถึง พอมันคำรามเสียงออกมา ก็ขยับแขนดึงหอกกระดูกในฉับพลัน ขณะเดียวกัน เปลวไฟก็คุโชนบนมือ และเปลวไฟสีขาวก็เผาไหม้จนกลายเป็นเถ้าธุลี
ขณะเดียวกัน เปลวไฟก็พวยพุ่งออกมาจากบาดแผนตรงท้องของมัน ขอบแผลถูกหมอกสีม่วงจางๆ ปิดกั้นไว้ ทำให้ไม่อาจสมานเข้าหากันได้
วงแหวนเพลิงที่ล้อมรอบหลิ่วหมิงกับจั้งเสวียนก็มืดลง หลังจากเปล่งประกายไม่กี่ทีก็สลายไป
ประจักษ์ชัดว่าภายใต้สถานการณ์ที่ราชาอัคคีจิตวิญญาณระดับผลึกตนนี้ได้รับบาดเจ็บสาหัส ทำให้มันไม่อาจแสดงพลังออกมาได้เช่นเดิมอีก
จั้งเสวียนในขณะนี้ มีใบหน้าซีดขาวไร้ซึ่งโลหิต และร่างของเขาก็โงนเงน อาการบาดเจ็บบนตัวกับการแสดงวิชาต่างเผ่าติดต่อกัน ทำให้เขาใช้พลังกายและพลังเวทไปเกือบหมดสิ้น
“พวกเจ้า……จะต้องตายทั้งหมด”
ราชาอัคคีจิตวิญญาณคำรามเสียงที่ฟังไม่ชัดออกมา ดวงตาทั้งคู่จ้องมองจั้งเสวียน มือทั้งคู่เกาะตัวดาบเพลิงสีขาวสองเล่ม หลังจากรวมมันทั้งสองเข้าด้วยกันแล้ว ก็กลายเป็นหอกยาวที่สีเปลวไฟสีขาวพวยพุ่ง และโยนใส่จั้งเสวียนอย่างรุนแรง
จั้งเสวียนรู้สึกเพียงแค่ว่ามีเปลวไฟม้วนตัวตรงหน้า จากนั้นหอกยาวสีขาวก็พุ่งเข้ามาถึง คิดจะหลบหลีกก็ไม่ทันเสียแล้ว จิตใจของเขาจึงจมดิ่งลงไปทันที
ตอนที่ 500 ของล้ำค่าใต้ดิน
โดย
Ink Stone_Fantasy
ขณะนั้นเอง พลันมีเสียงดังก้องฟ้า!
ไอดำกลุ่มหนึ่งม้วนตัวเข้ามา และปะทะกับหอกยาวสีขาวอย่างรุนแรง
“เพล้ง!”
หอกเปลวไฟสีขาวสั่นสะท้าน และกระเด็นออกไป
มันคือกำปั้นที่หลิ่วหมิงชกผ่านอากาศเข้ามา จากนั้นก็กระโจนเข้าหาราชาอัคคีจิตวิญญาณอย่างรวดเร็ว ร่างของเขาพร่ามัวแค่ทีเดียว ก็มาอยู่ห่างจากมันไม่ถึงจั้งกว่าๆ
ราชาอัคคีจิตวิญญาณคำรามด้วยความโมโห และอ้าปากพ่นคลื่นอัคคีสีขาวออกมา
หลิ่วหมิงกระตุ้นเกล็ดสีแดงให้มาปรากฏบนแขนทั้งสองอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันมือทั้งสองต่างก็กำมุกพลังวารีไว้ พริบตาเดียวก็กลายเป็นเงากำปั้นจำนวนมาก
มีเสียงระเบิดดังออกมา!
ดูเหมือนเปลวไฟสีขาวจะถูกโจมตีจนสลายไป เงากำปั้นจำนวนมากทุบลงบนตัวราชาอัคคีจิตวิญญาณอย่างต่อเนื่อง ทำให้บาดแผลตรงท้องฉีกออกมา เผยให้เห็นแก่นบริสุทธิ์สีแดงที่เปล่งสีแดงอ่อนๆ อยู่ด้านใน
หลิ่วหมิงหดเงากำปั้นกลับมาด้วยตาที่เป็นประกาย ฝ่ามืออัปลักษณ์กางนิ้วทั้งห้า และคว้าไปที่ท้องของราชาอัคคีจิตวิญญาณอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ
แต่ขณะนั้นเอง ราชาอัคคีจิตวิญญาณที่หายใจแผ่วๆ พลันระเบิดตัวออกมา “ตู๊ม!” จากนั้นก็กลายเป็นเปลวไฟสีขาวม้วนตัวออกไป
การระเบิดตัวในระยะใกล้เช่นนี้ หลิ่วหมิงคิดจะหลบหลีกก็คงเป็นไปไม่ได้ พอเปลวไฟสีขาวม้วนตัวขึ้นมา หลิ่วหมิงก็ถูกปกคลุมอยู่ในนั้นโดยสมบูรณ์
จั้งเสวียนที่อยู่ด้านหลังเห็นเช่นนี้ ย่อมรู้สึกตกใจจนต้องหลุดเสียงร้องออกมา!
แต่ขณะนั้นเอง พลันมีเสียงดัง “ฟู่!”
กลุ่มแสงสีขาวพุ่งออกจากเปลวไฟสีขาว และพยายามพุ่งหนีไปยังปากทางเข้าหุบเขา
มีเงาร่างสีดำเกรียมอยู่ในม่านแสงสีขาว ซึ่งมันก็คือราชาอัคคีจิตวิญญาณนั่นเอง แต่ว่าร่างของมันเล็กลงกว่าก่อนหน้านั้นหลายเท่า กลิ่นไอก็อ่อนลงกว่าก่อนหน้านั้นมาก พอมันเคลื่อนไหวแค่ไม่กี่ที ก็หนีไปไกลเจ็ดสิบแปดสิบจั้งแล้ว
จั้งเสวียนที่เพิ่งได้สติกลับมา คิดจะไล่ตามก็ไม่ทันแล้ว
แต่ขณะนั้นเอง มีเสียงดังออกมาจากทะเลเพลิงสีขาวที่ยังเหลืออยู่ ไอดำกลุ่มหนึ่งไล่ตามออกไปอย่างรีบร้อน
ท่ามกลางไอดำ หลิ่วหมิงกำลังถือโล่กระดูกสีดำบังอยู่ตรงหน้า พื้นผิวของมันมีเงาหัวกระโหลกเก้าใบส่งเสียงอยู่ไม่หยุด ความเร็วของเขารวดเร็วมาก คิดไม่ถึงว่าจะเร็วกว่าราชาอัคคีจิตวิญญาณในตอนที่ยังไม่ได้รับบาดเจ็บเกือบครึ่งหนึ่ง ครู่เดียวก็ตามหลังของมันทัน
ราชาอัคคีจิตวิญญาณดูเหมือนจะรู้ตัวว่าหนีไม่รอด จึงหยุดชะงักแล้วหันหน้ามาทันที จากนั้นก็พ่นเปลวไฟโลหิตออกมากลุ่มหนึ่ง และกลายเป็นลูกไฟที่มีขนาดใหญ่ราวกับล้อรถ และกลิ้งไปด้านหลังทันที
หลิ่วหมิงรู้สึกใจเย็นสะท้าน แต่ก็ยกโล่เล็กในมือขึ้นมาโบกอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นมันก็ขยายใหญ่จั้งกว่าๆ ขณะเดียวกันหัวกะโหลกเก้าใบที่อยู่บนพื้นผิว ก็ขยายใหญ่จนมีขนาดเท่าอ่างล้างหน้า และอ้าปากออกมาพร้อม
“ฟู่!” “ฟู่!” “ฟู่!”
พริบตาที่ลูกไฟสีแดงสามลูกสัมผัสโดนเงากะโหลกทั้งเก้า มันก็ถูกดูดเข้าไปโดยที่ยังไม่ทันได้ระเบิดออกมา
“ฟู่!”
ร่างหลิ่วหมิงพร่ามัวมาปรากฏอยู่ตรงหน้าราชาอัคคีจิตวิญญาณที่มีสภาพอ่อนแอเป็นอย่างมาก พอแขนของเขาพร่ามัว ฝ่ามือข้างหนึ่งก็เจาะท้องของมัน และคว้าเอาแก่นบริสุทธิ์สีแดงออกมาอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ
ราชาอัคคีจิตวิญญาณร้องออกมาอย่างเวทนา หลังจากแก่นบริสุทธิ์หลุดออกจากตัว ร่างของมันก็ดับสลายไป ทิ้งไว้เพียงผลึกพลังเวทแปดเม็ดลอยอยู่กลางอากาศ
ขณะนี้ หลิ่วหมิงถึงถอนหายใจยาวออกมา และเก็บโล่กระโหลกเข้าไป จากนั้นก็คว้าเอาเม็ดผลึกทั้งแปดมาไว้บนมือ และหันตัวเหาะไปทางจั้งเสวียน และค่อยๆ ลอยลงในหลุมยักษ์
“ในที่สุดก็สังหารราชาอัคคีจิตวิญญาณได้ ครั้งนี้ต้องชื่นชมพี่หลิ่วที่มีพลังเหนือผู้อื่นแล้ว” จั้งเสวียนย่อมมองเห็นฉากที่หลิ่วหมิงสังหารราชาอัคคีจิตวิญญาณจากที่ไกลๆ แม้สีหน้าจะซีดขาวผิดปกติ แต่ก็ยังคงรู้สึกตื่นเต้นมาก
หลิ่วหมิงหัวเราะเหอะๆ! จากนั้นก็ยกมือเก็บทรายทองคำร่วงเข้าไป พอแบมือทั้งสองออก จะเห็นว่ามือข้างหนึ่งมีแก่นบริสุทธิ์วางอยู่หนึ่งเม็ด ส่วนอีกข้างก็มีผลึกพลังเวทวางอยู่แปดเม็ด และค่อยๆ กล่าวออกมา
“การสังหารราชาอัคคีจิตวิญญาณในครั้งนี้ ไม่อาจขาดพี่จั้งไปได้ ผลึกพลังเวททั้งแปดเม็ดนี้ เป็นวัตถุดิบชั้นยอดในการปรุงโอสถ และแก่นบริสุทธิ์ของราชาอัคคีจิตวิญญาณก็ไม่ด้อยไปกว่ากันเลย มันเป็นสิ่งที่ใช้หลอมอาวุธจิตวิญญาณธาตุไฟระดับสุดยอด ทั้งสองมีมูลค่าพอๆ กัน พวกเราแบ่งกันคนละอย่าง พี่จั้งมีความเห็นว่าอย่างไร?”
“ถ้าเป็นอย่างนั้น ข้าเลือกแก่นบริสุทธิ์ราชาอัคคีจิตวิญญาณก็แล้วกัน!” หลังจากคิดไตร่ตรองเล็กน้อยแล้ว จั้งเสวียนก็เลือกแก่นบริสุทธิ์ในมือหลิ่วหมิงอย่างไม่เกรงใจ
หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อย และโยนแก่นบริสุทธิ์ออกไป จากนั้นก็เก็บผลึกพลังเวทเข้าไปในหอยสังข์ย่อส่วน ผลึกพลังเวทเหล่านี้เป็นวัตถุดิบจำเป็นในการปรุงโอสถเพิ่มพลังเวทของผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นกลางกับขั้นปลาย แม้จะมีค่าไม่เท่าแก่นบริสุทธิ์ แต่สำหรับเขาในตอนนี้แล้ว มันเป็นสิ่งที่เขาต้องการมาก
ด้วยเหตุนี้พวกเขาทั้งสองต่างก็ปีติยินดีด้วยกันทั้งสิ้น หลังจากทานโอสถและพักผ่อนเล็กน้อยแล้ว ก็แยกย้ายกันไปยุ่งอยู่ในหลุมยักษ์
จั้งเสวียนเก็บผลึกหินธาตุไฟจำนวนหนึ่งขึ้นมา จากนั้นก็พลิกฝ่ามือหยิบแผ่นค่ายกลรูปขนมเปียกปูนที่เปล่งแสงสีแดงจางๆ ออกมา และหาอะไรบางอย่างในหลุมยักษ์อยู่ไม่หยุด
หลิ่วหมิงก็หยิบยันต์สีฟ้าออกมาผืนหนึ่ง หลังจากโยนออกไปกลางอากาศ มันก็กลายเป็นอักขระแสงสีฟ้าสองสามตัวหมุนวนรอบตัวไม่หยุด และเขาก็ทำท่ามือร่ายคาถาออกมา
ผ่านไปไม่นาน สีหน้าของทั้งสองก็เปลี่ยนไปทันที และมองหน้ากันอย่างอดไม่ได้
“แปลกจริง เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเสาผลึกที่เป็นของล้ำค่าได้ถูกทำลายไปแล้ว แต่ปราณจิตวิญญาณธาตุไฟในนี้ไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย?” จั้งเสวียนกล่าวด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ ทั้งยังดูเหมือนจะหนาแน่นกว่าเมื่อครู่เล็กน้อย มันดูไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย นอกเสียจากว่าเสาผลึกที่พวกเราทำลาย จะไม่ใช่สิ่งที่ทำให้แดนแห่งนี้เกิดการเปลี่ยนแปลง ของล้ำค่าที่แท้จริงคือสิ่งอื่น?” หลิ่วหมิงถอยหายใจและกล่าวออกมา
ครั้งนี้จั้งเสวียนเพียงแค่พยักหน้า และชี้ไปยังแผ่นค่ายกลโดยไม่กล่าวอะไรออกมา
หลิ่วหมิงเองก็ทำท่ามือกระตุ้นเคล็ดวิชาอะไรบางอย่างเงียบๆ
สุดท้ายแผ่นค่ายกลบนมือจั้งเสวียนก็สั่นสะท้าน แสงสีแดงเจิดจ้าพุ่งขึ้นไปบนอากาศเหนือใจกลางหลุมยักษ์ และหมุนติ้วๆ อย่างต่อเนื่อง
และทางด้านหลิ่วหมิง อักขระสีฟ้าสองสามตัวที่อยู่ข้างตัวก็พุ่งออกไป และค่อยๆ ลอยลงไปในตำแหน่งเดียวกับแผ่นค่ายกล ทั้งยังเปล่งประกายแสงสีฟ้าอยู่ไม่หยุด
“ดูท่าจะเป็นที่นี่ไม่ผิด!”
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็หรี่ตาทั้งคู่แล้วกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“อืม! ในกลุ่มอัคคีจิตวิญญาณทั้งหมด ก็มีแต่สถานที่แห่งนี้ที่มีปราณจิตวิญญาณธาตุไฟทะลักออกมาอย่างต่อเนื่อง หากมีของล้ำค่าจริงล่ะก็ คงจะอยู่ด้านล่างแล้ว” จั้งเสวียนก็ตอบกลับโดยไม่เห็นต่างแต่อย่างใด
สถานที่ที่พวกเขาพูดถึง ย่อมเป็นตำแหน่งที่เสาผลึกตั้งอยู่ในก่อนหน้านั้น หลังจากเคลื่อนไหวไม่กี่ที ทั้งสองก็มาถึงบริเวณนั้น
หลิ่วหมิงสังเกตดูพื้นสองสามที จากนั้นก็สูดหายใจลึกๆ ในฉับพลัน พอคว้ามือข้างหนึ่งไปในอากาศ มุกพลังวารีสีดำเม็ดหนึ่งก็โผล่ออกมา ไอดำพุ่งออกมาเป็นสายๆ จากนั้นก็ทุบลงพื้นทันที
พอมีเสียงดังขึ้น หลุมยักษ์ก็สั่นไหว รูขนาดใหญ่ที่มีแสงสลัวๆ ปรากฏออกมา และแสงสีแดงก็พุ่งขึ้นมาจากด้านใน
“ดูท่าพวกเราทั้งสองคงต้องลงไปสำรวจดูข้างล่างแล้ว” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็เก็บกำปั้นขึ้นมา และหันไปกล่าวกับจั้งเสวียนอย่างราบเรียบ
จั้งเสวียนก็พยักหน้าด้วยแววตาประหลาดใจ
……
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป ใต้ดินใจกลางหลุมยักษ์ที่ลึกลงไปร้อยกว่าจั้ง!
ภายใต้การห่อหุ้มของกลุ่มแสงสีเหลืองกับไอสีดำ หลิ่วหมิงก็จ้องมองเตาหลอมยักษ์สีแดงตรงหน้าด้วยความตกตะลึง
เตาหลอมสูงสามสี่จั้ง มีอักขระสีแดง เหลือง ฟ้า ประทับอยู่บนพื้นผิว ฝาเตาหลอมเปิดกว้าง ไอหมอกขาวลอยเป็นเกลียวออกจากปากเตา และพ่นเปลวไฟสามสีออกมาอยู่ตลอดเวลา ทำให้ปราณจิตวิญญาณธาตุไฟบริเวณนั้นควบแน่นเป็นผลึกสีแดงอย่างรวดเร็ว และสลายตัวเป็นแสงสีแดงลอยขึ้นด้านบน
จั้งเสวียนที่ถูกแสงสีม่วงปกคลุมอยู่ ก็จ้องมองเตาหลอมยักษ์ตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ
“ปรานจิตวิญญาณธาตุไฟที่เตาหลอมนี้แผ่ออกมาแข็งแกร่งมาก เป็นอย่างที่ได้ยินมาก่อนหน้านั้นจริงๆ ดูท่าสิ่งที่ทำให้แดนแห่งนี้เกิดการเปลี่ยนแปลง คงเป็นของล้ำค่าชิ้นนี้อย่างไม่ต้องสงสัย” จั้งเสวียนส่งเสียงไปหาหลิ่วหมิง
“ทำไมล่ะ! หรือว่าพี่จั้งจะมองเบื้องหลังของเตาหลอมนี้ออก?” หลิ่วหมิงมองชายหนุ่มดวงตาสีม่วงทีหนึ่งแล้วส่งเสียงออกไปถาม
“พี่หลิ่วล้อข้าเล่นแล้ว ข้าเกิดในขอบแดนแผ่นดินจงเทียน ไหนเลยจะเคยเห็นของล้ำค่าระดับนี้ แต่พลังอัคคีจิตวิญญาณที่แฝงอยู่ในเตาหลอมนี้ไม่อาจคาดเดาได้ จะต้องมีที่มาอันยิ่งใหญ่แน่นอน ใช่สิ! พี่หลิ่วมีความรู้กว้างไกล พอจะรู้อะไรบ้างหรือไม่?” จั้งเสวียนได้ยินก็หัวเราะฮ่าๆ ก่อนกล่าวออกมา
หลังจากผ่านการต่อสู้อย่างดุเดือดในแดนอบอ้าวมาหลายครั้ง และยังเห็นพลังที่ไม่ธรรมดาของหลิ่วหมิง เขาย่อมละทิ้งความหยิ่งยโสของตนเองลง คำพูดคำจาก็ดูนอบน้อมเป็นอย่างมาก
“พี่จั้งถ่อมตัวเกินไปแล้ว ข้าเองก็มีความรู้เพียงเปราะบาง ไม่รู้ว่าเจ้าสิ่งนี้คืออะไร?” หลิ่วหมิงส่ายหน้ากล่าว
“ไม่ว่าของสิ่งนี้จะมีที่มาอย่างไร พวกเราก็ต้องย้ายมันออกไปจากที่นี่ก่อน แล้วค่อยพูดเรื่องอย่างอื่นดีหรือไม่?” ดวงตาของจั้งเสวียนเป็นประกาย และกล่าวออกมา
“ก็ดีเหมือนกัน” หลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญเล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
จั้งเสวียนได้ยินก็รู้สึกดีใจมาก พอเขาทำท่ามือด้วยมือเดียว แสงสีม่วงก็เปล่งประกายมากขึ้นกว่าเดิม……
ครู่ต่อมา มีเสาเพลิงสามสีลำหนึ่ง พุ่งออกจากรูขนาดใหญ่ที่อยู่ใจกลางหลุมียักษ์ จากนั้นพื้นดินก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เตาหลอมยักษ์สีแดงค่อยๆ ถูกดันขึ้นมา จนพื้นดินแตกเป็นเสี่ยงๆ และหลังจากขยับไปด้านหนึ่งแล้ว มันก็ตกลงพื้นเสียงดัง “โครม!”
“ฟู่!” “ฟู่!”
เงาร่างสองเงาพุ่งออกจากรู หลังจากพร่ามัวไปทีหนึ่งแล้ว ก็ค่อยๆ ร่อนลงบนพื้นข้างเตาหลอมยักษ์
ซึ่งก็คือหลิ่วหมิงกับจั้งเสวียนนั่นเอง เพียงแต่ตอนนี้ทั้งสองหายใจหอบแฮ่กๆ! และมีเหงื่อออกเต็มตัว
“คิดไม่ถึงว่ามันจะหนักขนาดนี้ หากพวกเราไม่รวมพลังกัน เกรงว่าคงไม่อาจนำมันขึ้นมาได้” จั้งเสวียนผ่อนคลายลมหายใจเล็กน้อย จากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น
“แต่นี่ก็ยิ่งเป็นสิ่งยืนยันได้ว่า มันมีที่มาไม่ธรรมดา ตอนนี้ข้ากลับกลุ้มใจว่า ทำอย่างไรถึงจะเก็บของล้ำค่านี้ได้ ก่อนหน้านั้นข้ากับเจ้าก็ได้ลองดูแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสมบัติย่อส่วนหรือว่ายันต์เก็บของ ก็ไม่อาจเก็บของสิ่งนี้เข้าไปได้” หลิ่วหมิงขมวดคิ้วกล่าวออกมา
ตอนที่ 501 แมงป่องกระดูกฟื้นตัว
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ของสิ่งนี้เก็บยากจริงๆ แต่ข้ารู้จักเคล็ดวิชาหนึ่ง ไม่แน่อาจจะได้ผลก็ได้ แต่ต้องวางค่ายกลคอยช่วยเสริม” จั้งเสวียนจ้องมองเตาหลอมยักษ์ที่มีอักขระสามสีหมุนวนอยู่ไม่หยุด และกล่าวด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป
“อ้อ! ในเมื่อมีจั้งมีความมั่นใจเช่นนี้ ก็ลองดูกันเถอะ!” หลิ่วหมิงได้ยินก็ครุ่นคิดทีหนึ่งแล้วกล่าวออกมาอย่างไม่ลังเล
ชายหนุ่มดวงตาสีม่วงเองก็พยักหน้าตกลง จากนั้นก็ล้วงแขนเสื้อด้วยความดีใจ และควักเครื่องมือวางค่ายออกมา เพื่อลองเก็บเตาหลอมนี้
แต่ขณะนั้นเอง พลันมีเสียงดังโครมครามบนอากาศที่สูงจากหลุมยักษ์หลายร้อยจั้ง และคลื่นอากาศก็สั่นสะเทือนขึ้นมา แสงสีเขียวเจิดจ้าปรากฎออกมาทันที มีอักขระสีเขียวจำนวนมากลอยออกมา ชั่วเวลาแค่สองอึดใจ มันก็ก่อตัวเป็นค่ายกลอักขระที่มีขนาดหลายจั้ง
หลิ่วหมิงกับจั้งเสวียนเห็นเช่นนี้ ย่อมรู้สึกตกใจมาก และทำท่าระแวดระวังพร้อมกันกันโดยมิได้นัดหมาย
พอจั้งเสวียนคว้ามือข้างหนึ่งไปกลางอากาศ กระบี่ยาวสีเหลืองก็ปรากฏบนมือ
พอหลิ่วหมิงสะบัดแขนเสื้อ จุดแสงสีทองก็ลอยออกไป และกลายเป็นหมอกทรายรายล้อมอยู่รอบตัว
ขณะนั้นเอง ค่ายกลอักขระกลางอากาศก็เปล่งประกายอย่างบ้าคลั่ง เงาร่างมนุษย์หลายเงาที่มีแสงสีเขียวเปล่งประกายปรากฏขึ้นมาตรงกลาง
คนเหล่านี้ล้วนอกกว้างไหล่ผึ่งผายเอวกลม ใบหน้าพร่ามัวไปทั้งแถบ มองเห็นอวัยวะบนใบหน้าลางๆ เท่านั้น ทั้งยังสวมเสื้อเกราะสีเขียว บนนั้นมีรูปมังกร พยัคฆ์ และอสูรประหลาดตัวอื่นๆ สลักอยู่ บริเวณหน้าอกของเสื้อเกราะแวววาว ก็มีอักขระขนาดใหญ่ประทับอยู่ ‘ยันต์’ และยังเปล่งแสงสีเงินจางๆ ออกมา
“นักรบคุมกฎ เป็นคนของหอดำเนินการ!” พอจั้งเสวียนเห็นคนเหล่านี้ชัดเจน ก็หลุดปากส่งเสียงออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ แต่ลดกระบี่ยาวสีเหลืองในมือลงโดยไม่รู้ตัว
“นักรบยันต์?” หลิ่วหมิงได้ยินก็ใจเต้นขึ้นมา แต่หมอกที่ลอยวนอยู่ก็ลดช้าลงเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว
“พวกเจ้าทั้งสองเป็นศิษย์สายนอกของสาขาห่านฟ้าสินะ ชื่ออะไรกัน? ไม่ต้องลนลานไป พวกข้าเป็นทูตหอคุมกฎ เป็นเพราะตอนนี้สถานการณ์ในแดนอบอ้าวค่อนข้างพิเศษมาก จึงต้องอาศัยร่างนักรบยันต์แหวกมิติเข้ามา” นักรบยันต์ที่เป็นหัวหน้ามองหลิ่วหมิงทั้งสองทีหนึ่ง และกล่าวด้วยรอยยิ้ม แต่เมื่อประกอบกับใบหน้าอันพร่ามัวของพวกเขาแล้ว จึงดูแปลกประหลาดเล็กน้อย
และพอน้ำเสียงของนักรบยันต์ผู้นี้สิ้นสุดลง เขาก็พลิกฝ่ามือหยิบป้ายรูปสี่เหลี่ยมออกมา รูปภาพบนนั้นเหมือนกับที่หลิ่วหมิงเคยเห็นในตอนที่เข้านิกาย ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของหอคุมกฎนั่นเอง
“ที่แท้ก็เป็นศิษย์พี่ที่หอคุมกฎ ข้าน้อยจั้งเสวียน ด้านข้างนี้คือพี่หลิ่วหมิง การทดสอบในครั้งนี้ แดนอบอ้าวเปลี่ยนไปไม่น้อย อัคคีจิตวิญญาณกับอสูรเพลิงอยู่ๆ ก็สังหารอย่างบ้าระห่ำ ตราหยกส่งตัวของพวกเราก็ใช้ไม่ได้ผล ทำให้ศิษย์สายนอกเสียชีวิตไม่น้อย ไม่ทราบว่าทางนิกายมีการเตรียมการอื่นๆ สำหรับการทดสอบต่อไปนี้อย่างไร?” จั้งเสวียนกวาดสายตามองแผ่นป้าย และกล่าวอย่างนอบน้อม
แม้หลิ่วหมิงจะไม่พูดอะไรออกมา แต่ก็คุมมือคารวะเช่นกัน
“จั้งเสวียน หลิ่วหมิง……อืม! ในบัญชีรายชื่อมีชื่อของพวกเจ้าอยู่จริงๆ พวกเจ้ารอสักครู่!”
นักรบยันต์ที่เป็นหัวหน้าได้ยินเช่นนี้ ก็เก็บแผ่นป้ายเข้าไป และหยิบสิ่งของอีกอย่างออกมา เขาพลิกไปสองสามหน้าอย่างรวดเร็ว มันดูคล้ายกับเป็นคัมภีร์เล่มหนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้ากล่าว
หลังจากนั้นก็เก็บคัมภีร์เข้าไป พอพลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้น ก็มีสิ่งของอย่างหนึ่งโผล่ออกมา และแสงสีเขียวก็ทำให้ผู้คนมองเห็นรูปร่างของมันไม่ชัดเจน
พอนักรบยันต์ที่เป็นหัวหน้าปล่อยพลังออกมา แสงสีเขียวในมือก็สว่างขึ้นในฉับพลัน
ขณะเดียวกัน บนพื้นที่เตาหลอมตั้งอยู่ก็สั่นสะเทือนโครมคราม อักขระสีเขียวจำนวนมากพุ่งขึ้นจากพื้นบริเวณนั้น และก่อตัวเป็นค่ายกลแสงสีเขียวรุบหรู่ตรงด้านล่างของเตาหลอมยักษ์
นักรบยันต์ที่เหลือก็พากันร่ายคาถา และปล่อยพลังสีต่างๆ เข้าไปในแสงสีเขียวบนมือคนที่เป็นหัวหน้า
“ฟู่!”
ลำแสงสีฟ้าขนาดใหญ่พุ่งขึ้นจากค่ายกลแสง พริบตาเดียวก็ปกคลุมเตาหลอมยักษ์ไว้
ท่ามกลางลำแสง เตาหลอมยักษ์สีแดงค่อยๆ ลอยขึ้นมา และเปลวไฟสามสีที่พ่นออกจากปากเตาหลอมกลับหายไปอย่างน่าประหลาดใจ
ที่แท้นักรบยันต์เหล่านี้ ก็กำลังเก็บของล้ำค่านี้อยู่
หลิ่วหมิงกับจั้งเสวียนเห็นเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที หากก่อนหน้านั้นฝ่ายตรงข้ามไม่นำป้ายหอคุมกฎออกมา เกรงว่าพวกเขาคงจะลงมือขัดขวางอย่างแน่นอน
แต่ขณะนี้ หลังจากทั้งสองสบตากันทีหนึ่งแล้ว ต่างก็ไม่พูดอะไรออกมา
ขณะนี้ นักรบยันต์เกราะเขียวที่เป็นหัวหน้า ก็มีสีหน้าเคร่งขรึมอย่างถึงขีดสุด พอโยนสิ่งของในมือออกไปเบาๆ กลุ่มแสงสีเขียวก็ลอยอยู่กลางอากาศ และนิ้วมือทั้งสิบก็คลื่นไหวอย่างรวดเร็ว และทำท่ามือต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อปล่อยอักขระลึกลับออกไป
ดูเหมือนเตาหลอมสีแดงจะถูกเรียก มันค่อยๆ ลอยไปยังกลุ่มแสงสีเขียวกลางอากาศ หลังจากพร่ามัวครู่หนึ่งแล้ว ก็จมหายไปในนั้นอย่างไร้ร่องรอย
นักรบยันต์ที่เป็นหัวหน้ากวักมืออีกครั้ง จากนั้นแสงสีเขียวก็พุ่งกลับมาในมือของเขา
นักรบยันต์ที่อยู่ข้างๆ เห็นเช่นนี้ ต่างก็สบตากันทีหนึ่ง และดูเหมือนจะรู้สึกโล่งใจไปพร้อมกัน
ขณะนี้ นักรบยันต์เกราะเขียวถึงละสายตามาทางหลิ่วหมิงทั้งสอง และกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“เตาหลอมนี้เป็นสมบัติของนิกายยอดบริสุทธิ์ ที่หล่นอยู่ในแดนอบอ้าวแห่งนี้โดยไม่ตั้งใจ และก็เป็นเพราะปราณอัคคีในเตาหลอมรั่วไหลออกไป ถึงทำให้แดนลึกลับเปลี่ยนแปลงแบบแปลกประหลาด เรื่องนี้เป็นความลับของนิกาย ดังนั้นพวกเจ้าทั้งสองจะต้องรักษาความลับนี้ไว้ ห้ามบอกคนอื่นโดยเด็ดขาด มิเช่นนั้นจะถูกทำโทษตามกฎ!”
หลิ่วหมิงกับซินหยวนได้ยินเช่นนี้ แม้พอจะคาดเดาได้ลางๆ อยู่ก่อนแล้ว แต่จชขณะนี้ย่อมพยักหน้าอย่างไม่ลังเล
“อืม! สถานที่แห่งนี้มีชั้นกำจัดซ่อนเร้นที่ทางหอเราได้วางไว้นานแล้ว ก่อนหน้าที่พวกเจ้าต่อสู้กับราชาอัคคีจิตวิญญาณอย่างดุเดือดนั้น เป็นเพราะเคล็ดวิชา จึงไม่สามารถแหวกมิติส่งนักรบยันต์มาที่นี่ได้ทันที แต่ว่าผู้อาวุโสหอคุมกฎมองเห็นการต่ออย่างดุเดือดของพวกเจ้าผ่านชั้นจำกัดนี้ ด้วยสถานะศิษย์สายนอก แต่สามารถสังหารราชาอัคคีจิตวิญญาณได้ นับว่าพวกเจ้าสร้างผลงานให้นิกายไม่น้อย ออกไปครั้งนี้ หอคุมกฎเราจะตอบแทนอย่างหนักแน่นอน” พอเห็นว่าทั้งสองมีท่าทีนอบน้อมเช่นนี้ นักรบยันต์ยันต์เกราะเขียวก็กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลายลง
หลิ่วหมิงกับจั้งเสวียนย่อมกล่าวขอบคุณออกมา
“เอาล่ะ! เรื่องในแดนอบอ้าวได้สิ้นสุดลงแล้ว และทางด้านหัวหน้าสาขาทั้งแปด ก็คงจะซ่อมแซมค่ายกลเสร็จแล้ว แต่ว่าตราหยกในก่อนหน้านั้นไม่มีผลลัพธ์แล้ว หากพวกเจ้าอยากจะออกจากการทดสอบในตอนนี้ ก็ไปที่พื้นที่ท้องกระทะอัคคีบริสุทธิ์ทางด้านตะวันออกสุดของแดนอบอ้าว ที่นั่นสามารถส่งพวกเจ้าออกไปโดยตรงได้ พวกเจ้าทั้งสองอย่าลืมบอกเรื่องนี้ให้กับคนอื่นๆ เพื่อลดความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้น”
นักรบยันต์เกราะเขียวกล่าวจบ ก็นำยันต์สีเขียวหยกแผ่นหนึ่งออกมาขยี้จนแหลกละเอียด จากนั้นค่ายกลตรงใต้เท้าก็เปล่งแสงสีเขียวออกมา ภายใต้แสงที่เปล่งประกาย นักรบยันต์เกราะเขียวเหล่านี้กับค่ายกลก็หายไปพร้อมกัน
ขณะนี้หลิ่วหมิงทั้งสองถึงได้มองหน้ากันด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น
แม้หอคุมกฎสัญญาว่าจะมอบรางวัลให้กับพวกเขา แต่เมื่อเทียบกับรางวัลจากการนำของล้ำค่าไปแลกแล้ว ย่อมแตกต่างกันมาก
แต่ในเมื่อเตาหลอมนี้เป็นสมบัติของนิกาย พวกเขาทั้งสองก็ไม่อาจพูดอะไรได้มาก ทำได้แต่ยอมรับความโชคร้ายเท่านั้น
“ตอนนี้ของล้ำค่าที่ทำให้สถานแห่งนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ถูกเก็บไปแล้ว ราชาอัคคีจิตวิญญาณก็ถูกสังหารแล้ว คิดว่าความบ้าระห่ำของอัคคีจิตวิญญาณกับฝูงอสูรเพลิงคงสงบลงไปด้วย พวกเรารีบบอกข่าวนี้กับคนอื่นๆ เถอะ!” หลิ่วหมิงค่อยๆ กล่าวออกมา
“อืม! ย่อมเป็นเช่นนั้น แต่ก่อนอื่นพวกเรายังมีอีกเรื่องที่ต้องทำ” ชายหนุ่มเนตรอินทนิลกล่าวออกมา จากนั้นก็เดินไปข้างหลุมใหญ่แล้วมองลงไป
รูขนาดใหญ่ภายในหลุมยักษ์ จุดที่เดิมทีเตาหลอมยักษ์ตั้งอยู่ ในนั้นยังมีผลึกหินธาตุไฟเหลืออยู่ไม่น้อย ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่เตาหลอมยักษ์ควบแน่นขึ้นมาในก่อนหน้านั้น มันมีสีแดงแวววาว และแผ่คลื่นพลังจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งอยู่ ความบริสุทธิ์ของมันพอที่จะเทียบกับผลึกหินธาตุไฟระดับสูงได้ นำออกไปแลกได้กำไรไม่น้อย
และทั้งสองก็เก็บหินจิตวิญญาณเหล่านี้โดยไม่ต้องบอกกล่าว และแบ่งสรรปันส่วนกันทันที
“เกรงว่าอีกไม่นานผู้คนที่อยู่ด้านนอกก็คงจะเข้ามาในนี้ ข้ากับเจ้าแยกย้ายกันเถอะ จะหาสมบัติอื่นเจอหรือไม่นั้น คงต้องอาศัยโชคของตัวเองแล้ว” จั้งเสวียนพูดออกไปหนึ่งประโยค จากนั้นก็หายตัวไปท่ามกลางเมฆอัคคีที่อยู่บริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว
หลิ่วหมิงตาเป็นประกาย และเหาะขึ้นไป แต่กลับเดินไปอีกทิศทางหนึ่ง
ในเมื่อหุบเขาแห่งนี้เป็นที่รวมตัวของอัคคีจิตวิญญาณกลุ่มใหญ่ ปราณจิตวิญญาณธาตุไฟก็หนาแน่น ย่อมมีวัตถุจิตวิญญาณธาตุไฟชนิดต่างๆ ก่อกำเนิดขึ้นมา
ตอนนี้ศิษย์สายนอกคนอื่นๆ ไม่อยู่ด้วย ย่อมเป็นโอกาสอันดีในการเก็บเกี่ยว ดังนั้นจึงแยกย้ายกันไปเก็บให้หมด
แต่หลังจากจั้งเสวียนจมหายไปในเมฆอัคคีได้ไม่นาน ก็มีเงาร่างเปล่งประกาย หลิ่วหมิงกลับออกมาจากเมฆอัคคีอย่างรวดเร็ว
เขามองไปทางที่จั้งเสวียนจากไป และปล่อยจิตรับรู้ออกไปสำรวจดูรอบด้าน หลังจากมั่นใจว่าไม่มีคนอื่นแล้ว ถึงเดินไปยังจุดที่เคยวางเตาหลอมยักษ์ และกระโดดลงไป ขณะเดียวกัน ก็ควักยันต์สีเหลืองแผ่นหนึ่งมาแปะไว้บนตัว
“ฟู่!” แสงสีเหลืองห่อหุ้มร่างของหลิ่วหมิงไว้ และพุ่งลงไปในรูขนาดใหญ่ทันที
“เจ้าแน่ใจหรือว่าใต้หลุมนี้ยังมีของล้ำค่าอย่างอื่น และยังมีกลิ่นไอเหมือนกับเตาหลอมนั้นไม่มีผิด?” หลิ่วหมิงกล่าวออกมาอย่างราบเรียบในฉับพลัน
หลังจากเตาหลอมยักษ์ถูกนำไปแล้ว ภายในถ้ำใต้ดินยังคงมีปราณอัคคีปกคลุมอยู่ ซึ่งหนาแน่นกว่าภายนอกมาก
“นายท่าน ไม่ผิดอย่างแน่นอน! แม้ข้าเพิ่งจะฟื้นขึ้นมา แต่ความสามารถใหม่ที่ได้มาบอกข้าว่า ด้านล่างมีของล้ำค่าอย่างอื่นจริงๆ” มีน้ำเสียงอ่อนนุ่มของเด็กสาวดังขึ้นข้างหูหลิ่วหมิง
คิดไม่ถึงว่าสถานที่แห่งนี้ จะมีบุคคลที่สองอยู่ด้วย
หลิ่วหมิงเงียบไปพักหนึ่ง ทันใดนั้นมือข้างหนึ่งก็ตบถุงหนังที่อยู่บนเอว พอปากถุงเปิดออกมา ไอดำกลุ่มหนึ่งก็พุ่งออกจากในนั้น หลังจากหมุนติ้วๆ แล้ว มันก็กลายเป็นแมงป่องสีขาวเงินที่มีขนาดเท่าฝ่ามือ ซึ่งมันก็คือแมงป่องกระดูกที่เป็นหนึ่งในสองอสูรจิตวิญญาณของหลิ่วหมิงนั่นเอง
แต่ว่าร่างของมันเล็กลงไปมาก บนหลังมีลวดลายสีม่วงแปลกประหลาดประทับอยู่อย่างเนืองแน่น เกล็ดมังกรแดงในก่อนหน้านั้นหายไปจนหมดสิ้น ขณะเดียวกัน หางตะขอหัวอสรพิษด้านหลัง กลับกลายเป็นหัวมังกรที่ดูราวกับมีชีวิต
ตั้งแต่กลืนกินหัวปีศาจยักษ์ในเหลวลึกครั้งนั้น มันก็หลับอยู่ในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณมาจนถึงทุกวันนี้ แต่ขณะที่หลิ่วหมิงสังหารราชาอัคคีจิตวิญญาณในหลุมยักษ์นั้น มันก็ฟื้นขึ้นมาอย่างน่าประหลาดใจ และในตอนที่ค้นพบเตาหลอมสีแดง มันก็ส่งเสียงบอกหลิ่วหมิงว่า รับรู้ได้ถึงของล้ำค่าไม่ทราบชื่ออีกชิ้นอยู่ข้างใต้เตาหลอมยักษ์
ตอนที่ 502 สิ้นสุดการทดสอบ
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกแปลกใจมาก หลังจากแยกทางกับจั้งเสวียนแล้ว ถึงได้กลับมาตรงหลุมใหญ่อีกครั้ง
แมงป่องกระดูกเคลื่อนไหวไปมาอยู่บนไหล่ข้างหนึ่งของเขา
หลิ่วหมิงแสดงวิชาดำดินตามที่แมงป่องกระดูกบอก และมุดลงไปร้อยกว่าจั้งในตำแหน่งที่เคยมีเตาหลอมวางอยู่
สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปในทันที ครู่เดียวร่างของเขาก็เบาลง และมาอยู่ภายในห้องทรงกลมขนาดจั้งกว่าๆ ที่ดูเหมือนถูกคนขุดออกมา ผนังมันวาวเป็นอย่างมาก
และใจกลางห้องมีกลุ่มแสงสีแดงเข้มขนาดเท่ากำปั้นลอยอยู่ มันเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด ดูเหมือนกับว่าจะมีอะไรแฝงอยู่ในนั้น
หลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งคู่ลง และมองไปยังกลุ่มแสง
“นี่……นี่ก็คือ……มัน……” แมงป่องกระดูกบนไหล่ส่งเสียงเด็กสาวที่ฟังดูไม่ชัดเจนออกมา
เขาทำท่ามือในทันที พอปล่อยพลังจิตอันแข็งแกร่งออกไป ก็ถูกกลุ่มแสงกีดกั้นไว้ ทำให้ไม่อาจสำรวจดูสิ่งของที่อยู่ด้านในได้ แต่ดูเหมือนว่าพลังที่แฝงอยู่ในกลุ่มแสงค่อนข้างอบอุ่นมาก มันคงไม่ใช่สิ่งของอันตรายแต่อย่างใด
หลิ่วหมิงขมวดคิ้วและคว้ามือข้างหนึ่งไปในอากาศ ทันใดนั้นกลุ่มแสงก็ถูกดูดเข้ามาในมือ หลังจากเอามือทั้งสองถูกันแล้ว แสงสีแดงก็สลายไปจนหมดสิ้น เผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ด้านใน
“นี่คือ……”
พอเขามองเห็นสิ่งของในนั้นอย่างชัดเจน ก็มีแสงสว่างขึ้นตรงหน้า
ในระหว่างมือทั้งสองของเขา มีเปลวไฟสามสีกลุ่มหนึ่งลอยอยู่ ท่ามกลางเปลวไฟมีโอสถสีเงินอยู่เม็ดหนึ่ง
โอสถค่อยๆ หมุนวนอยู่ท่ามกลางเปลวไฟ การหมุนวนในแต่ละรอบ ทำให้เปลวไฟสามสีหดและกระพริบราวกับหัวใจที่กำลังเต้นอยู่
พอเขามองอย่างละเอียด ก็ค้นพบว่าพื้นผิวของโอสถสีเงินยังมีลวดลายสีทองบิดเบี้ยวอยู่สามเส้น มันเลื้อยขยุกขยิกไปมาราวกับมีชีวิต
หลิ่วหมิงรู้สึกดีใจมาก แม้จะไม่รู้ว่าโอสถนี่คือสิ่งใด แต่มองดูก็รู้ว่ามันไม่ใช่ของธรรมดา ในเมื่อได้มันมาก็ถือว่าโชคดีเป็นอย่างมาก
เขาส่งเสียงชมเชยแมงป่องกระดูกไปสองประโยค จากนั้นก็หยิบกล่องหยกออกมาใบหนึ่ง และเก็บโอสถสีเงินพร้อมกับเปลวไฟสามสีเข้าไปพร้อมกันอย่างระมัดระวัง
โอสถเม็ดนี้สั่นไหวอยู่ในกล่องราวกับมีชีวิต เปลวไฟสามสีบนพื้นผิวเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด ราวกับว่าจะพุ่งออกมาได้ตลอดเวลา
ดวงตาหลิ่วหมิงเปล่งประกายด้วยความประหลาดใจ ทันทีที่ปิดฝากล่องออกมา เขาก็หยิบยันต์สีเหลืองมาแปะไว้บนกล่องหยก จากนั้นถึงเก็บเข้าไปในหอยสังข์ย่อส่วนอย่างวางใจ
หลังจากทำทุกอย่างนี้เสร็จ เขาก็ค้นดูบริเวณนั้นอีกรอบ หลังจากมั่นใจว่าไม่มีอะไรตกหล่นแล้ว เขาก็พุ่งขึ้นไปท่ามกลางแสงสีเหลืองที่เปล่งประกาย และพอเงาร่างของเขาเคลื่อนไหว ก็จมหายไปในเมฆอัคคีบริเวณนั้น
ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป
ภายในถ้ำใต้ดินแห่งหนึ่งที่อยู่ใต้หุบเขา สถานที่แห่งนี้ลึกลงไปมาก รอบด้านเต็มไปด้วยไอหมอกสีแดงจางๆ
ตรงส่วนลึกสุดของถ้ำ มีแม่น้ำหินหนืดสายหนึ่งค่อยๆ ไหลอย่างช้าๆ
พื้นหินสีแดงบริเวณแม่น้ำ มีแสงสีเขียวมรกตเปล่งประกายแวววาว มันคือสถานที่ที่มีพืชจิตวิญญาณจำนวนหนึ่ง
พืชจิตวิญญาณนี้สูงแค่ครึ่งฉื่อ รูปร่างคล้ายกับเห็นหลินจือ แต่ผิวภายนอกกลับเป็นสีเขียวละมุน
สามารถขึ้นในสถานที่แห่งนี้ได้ ย่อมไม่ใช่สิ่งของธรรมดา
“หลินจือทองคำ!” หลิ่วหมิงจำเจ้าสิ่งนี้ได้ในทันที ก่อนออกเดินทาง เขาตั้งใจอ่านคัมภีร์เกี่ยวกับวัตถุดิบโอสถจากในนิกายยอดบริสุทธิ์ ในนั้นมีบันทึกเกี่ยวกับพืชจิตวิญญาณชนิดนี้ มันเป็นวัตถุดิบปรุงโอสถธาตุไฟระดับสูง ซึ่งมีมูลค่าไม่เบา
หลิ่วหมิงเก็บพืชจิตวิญญาณเหล่านี้ด้วยความดีใจ หลังจากเอาใส่ไว้ในกล่องหยกแล้ว ก็ค้นหาภายในถ้ำอีกรอบ แต่น่าเสียดายที่ไม่ค้นพบพืชจิตวิญญาณอื่นๆ อีก
……
ชั่วเวลาหนึ่งเค่อผ่านไป
บนหน้าผาภายในหุบเขาแห่งหนึ่งที่มีไอหมอกสีแดงปกคลุมอยู่ พอแสงสีเขียวเปล่งประกาย ก็เผยให้เห็นร่างของหลิ่วหมิง
ขณะนี้เขากำลังอุ้มหินแร่สีแดงเข้มที่มีขนาดเท่าศีรษะก้อนหนึ่ง มีลวดลายสีม่วงที่ดูคล้ายกับใยแมงมุมอยู่บนพื้นผิว มันเปล่งประกายระยิบระยับ และดูแปลกประหลาดยิ่งนัก
“หินจื่อหยาง คิดไม่ถึงว่าจะพบเจอก้อนใหญ่ขนาดนี้” หลิ่วหมิงพูดพึมพำเบาๆ ความดีใจบนใบหน้ายากที่จะปิดได้มิด
“หินจื่อหยาง เป็นวัสดุหลอมอาวุธที่พบเจอได้น้อยมาก ในนั้นมีพลังของหยินและหยาง เป็นวัสดุชั้นยอดในการหลอมเตาหลอมระดับสูง
และสาเหตุที่ทำให้เขาดีใจเช่นนี้ ก็เป็นเพราะใน ‘คัมภีร์หลอมอัคคี’ บันทึกไว้ว่า หากจะหลอมชั้นจำกัดที่สามสิบหกของโล่เก้ากะโหลก สิ่งนี้จะเป็นหนึ่งในวัสดุเสริม
หลังจากหลิ่วหมิงเก็บของสิ่งนี้เข้าไปอย่างระมัดระวังแล้ว เขาก็เคลื่อนไหวออกไปไกลๆ ทันที
……
ภายในถ้ำใต้ดินเร้นลับแห่งหนึ่ง ท่ามกลางหลุมยักษ์สีแดงที่มีหินแร่สีแดงปกคลุมไปทั่ว
หลิ่วหมิงถูกปกคลุมด้วยเกราะป้องกันธาตุน้ำสีฟ้าจางๆ ในมือถือเสียมสีทองอร่าม และขุดอะไรบางอย่างอย่างตั้งอกตั้งใจ
ผนังภายในหลุมยักษ์ มีแท่งกระบอกกลมๆ นูนออกมา มันมีขนาดราวๆ กำปั้น มีแสงสีเหลืองทองแวววาว มองเห็นลวดลายที่มีลักษณะคล้ายวงปีของต้นไม้อยู่ลางๆ ดูคล้ายกับไม้ผุๆ ท่อนหนึ่ง ปลายด้านหนึ่งโผล่ออกมาด้านนอก อีกด้านหนึ่งฝังอยู่ในผนัง
สิ่งนี้เรียกว่าไม้ตะวันยักษ์ ฟังจากชื่อของมันแล้วดูคล้ายกับไม้จิตวิญญาณชนิดหนึ่ง แต่ความจริงแล้วมันเกิดจากศพของหนอนตะวันยักษ์ชนิดหนึ่ง
หนอนตะวันยักษ์เป็นหนอนจิตวิญญาณที่อาศัยอยู่ในหินหนืด ภายนอกดูคล้ายกับหนอนแมลงวัน หลังจากตายแล้วศพของมันก็ปะปนอยู่ในหินหนืด ผ่านไปหลายร้อยปีถึงค่อยๆ แข็งตัวขึ้นมา และดูดซับปราณของหินหนืดภูเขาเป็นจำนวนมาก ในที่สุดก็กลายเป็นไม้ตะวันยักษ์
ไม้ตะวันยักษ์คือผลผลิตจิตวิญญาณที่ผสมปนเปกับเปลวไฟอันโชติช่วง และเป็นวัสดุจิตวิญญาณที่หาได้ยาก เมื่อก่อตัวขึ้นมาแล้ว มันจะแข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
หลิ่วหมิงขยับเสียมไปมาราวๆ ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าว ในที่สุดก็ขุดไม้ตะวันยักษ์ที่มีขนาดเท่าแขนออกมาได้ทั้งหมด
……
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยามกว่าๆ วัสดุภายในหุบเขา ก็ถูกหลิ่วหมิงกับจั้งเสวียนเก็บไปเกือบหมด
ไม่นานก็มีเสียงดังก้องตรงขอบฟ้า และแสงหลบหลีกสองสามลำก็ปรากฏออกมารำไร
……
หนึ่งเดือนต่อมา ภายในวิหารไร้ชื่อ!
ค่ายกลที่อยู่กลางห้องโถงเปล่งประกายระยิบระยับ มีเงาร่างคนเจ็ดแปดคนปรากฏอยู่ในนั้น ซึ่งก็คือหลิ่วหมิง จั้งเสวียน และศิษย์สายนอกคนอื่นๆ ที่ออกแดนอบอ้าวเป็นกลุ่มสุดท้ายนั่นเอง
“เอาล่ะ! นี่เป็นกลุ่มสุดท้ายแล้วสินะ! การทดสอบในแดนอบอ้าว สิ้นสุดเพียงเท่านี้เถอะ!” ผู้อาวุโสคิ้วเหลืองหัวหน้าสาขาวายุทะยานฟ้าหยิบกระจกทองแดงออกมาตรวจสอบดูอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ กล่าวออกมา
หลิ่วหมิงและจั้งเสวียนเดินออกจากค่ายกลในทันที หลังจากคารวะหัวหน้าสาขาทั้งแปดแล้ว ก็รีบเดินไปยังแท่นสูงที่เจียงจ้งยืนอยู่ และเก็บมืออย่างเรียบร้อย
คนอื่นๆ ก็ทำเช่นนี้เหมือนกัน
“พี่เจียง ตามที่หอคุมกฎบอก ดูเหมือนว่าศิษย์สองคนในสาขาท่านจะร่วมมือกันสังหารราชาอัคคีจิตวิญญาณตัวนั้น พลังระดับนี้ เกรงว่าการประลองใหญ่ในสองปีให้หลัง คงจะไม่ไร้ชื่ออย่างเงียบๆ หรอกนะ?” ชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างอ้วนเตี้ยกวาดสายตามองดูหลิ่วหมิงกับจั้งเสวียนทีหนึ่ง และหัวเราะเบาๆ ก่อนกล่าวออกมา
“สหายชมเกินไปแล้ว สาขาท่านก็มีผู้มากความสามารถไม่น้อย พวกเขาทั้งสองยังเร็วเกินไปที่จะเข้าร่วมการประลองใหญ่ ยังต้องฝึกฝนเล็กน้อย” เจียงจ้งได้ยินก็หาวแล้วกล่าวออกมา
“ด้วยอายุของพวกเขา ต่อให้ครั้งนี้จะเข้าร่วมไม่ได้ แต่สองครั้งถัดไปจะต้องมีโอกาสเป็นอย่างมาก ไม่แน่สาขาของท่านอาจจะมีศิษย์สายในเพิ่มขึ้นมาสองคนก็เป็นไปได้” ชายร่างอ้วนเตี้ยหัวเราะแล้วกล่าวออกมา
ครั้งนี้เจียงจ้งได้แต่ยิ้มและไม่กล่าวอะไร
“จะว่าไปแล้วการทดสอบในครั้งนี้ หลานเฉินเติงก็แสดงความสามารถได้อย่างโดดเด่น ในช่วงวิกฤตยังสามารถเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้องได้ ซึ่งหลักแหลมเหมือนกับพี่เฉินไม่มีผิด” ชายร่างอ้วนเตี้ยเห็นเช่นนี้ ก็หันไปกล่าวกับหัวหน้าสาขาวายุทะยานฟ้า
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในแดนอบอ้าว พวกเขาย่อมรู้จากปากศิษย์คนอื่นๆ ที่ออกมาก่อน และพอจะเข้าใจเรื่องราวบ้างแล้ว
ผู้อาวุโสคิ้วเหลืองได้ยินเช่นนี้ แม้จะเอ่ยปากออกมาอย่างนอบน้อม แต่ใบหน้ายังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ฮึ! การทดสอบในครั้งนี้เป็นแค่การทดสอบเล็กๆ ของศิษย์ใหม่เท่านั้น จะมองเห็นการประลองใหญ่ในอีกสองปีให้หลังได้อย่างไร ยังต้องดูการประลองของศิษย์เก่าเหล่านั้นก่อน” หญิงงดงามชุดสีแดงกลับทำเสียงฮึดฮัดแล้วกล่าวออกมา
“พูดเช่นนี้แสดงว่าศิษย์น้องเสามีความมั่นใจในการประลองใหญ่ครั้งหน้ามาก” ชายอ้วนเตี้ยดวงตาเป็นประกาย และกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ฮึ! พอถึงเวลาพวกท่านก็จะรู้เอง” หญิงใบหน้างดงามขมวดคิ้ว และกล่าวอย่างไม่เกรงใจ
หัวหน้าสาขาทั้งแปดพูดคุยเช่นนี้อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พาศิษย์กลุ่มสุดท้ายออกไปจากห้องโถง
หนึ่งชั่วยามต่อมา เจียงจ้งก็พาหลิ่วหมิงและบรรดาศิษย์กลับไปยังวิหารใหญ่ของสาขาห่านฟ้า
ศิษย์ใหม่ที่เข้าร่วมทดสอบเสร็จต่างก็รออยู่ที่นั่น แต่เทียบกับตอนที่เข้าไปแล้ว ศิษย์เหล่านั้นเหลือเพียงแค่ยี่สิบกว่าคนเท่านั้น ซึ่งเสียชีวิตไปสิบกว่าคน
และเยี่ยนหมิงกับเสวี่ยอวิ๋นก็ยืนอยู่ที่นั่นอย่างปลอดภัย
เจียงจ้งกวาดสายตามองดูบรรดาศิษย์เหล่านี้ และถอนหายใจเบาๆ ก่อนกล่าวออกมา
“เอาล่ะ! การทดสอบในครั้งนี้ได้มีภัยพิบัติเกิดขึ้นไม่น้อย พวกเจ้าเองก็ลำบากกันแล้ว แต่ตามกฎในครั้งนี้ ทุกคนจะต้องมอบแก่นบริสุทธิ์ของอัคคีจิตวิญญาณออกมาสามเม็ด ถึงจะผ่านการทดสอบ นอกจากนี้ เนื่องจากความยากของการทดสอบที่เพิ่มขึ้น ทุกคนจะได้แต้มคุณูปการหนึ่งพันแต้มเป็นรางวัลต่างหาก”
ศิษย์ที่โชคดีรอดชีวิตจากการเปลี่ยนแปลงของแดนอบอ้าวในครั้งนี้ได้ ย่อมไม่ใช่ผู้อ่อนแอแต่อย่างใด แค่แก่นบริสุทธิ์ของอัคคีจิตวิญญาณสามเม็ด พวกเขาย่อมล่ามาได้ หลังจากได้ยินว่ายังมีแต้มคุณูปการมอบให้อีกต่างหาก พวกเขาย่อมรู้สึกดีใจมาก
พวกเขาทยอยกันนำแก่นบริสุทธิ์ของอัคคีจิตวิญญาณไปให้เจียงจ้งสามเม็ด และฟังคำพูดให้กำลังใจของเขา จากนั้นก็แยกย้ายกันออกไปจากวิหาร
หลังจากหลิ่วหมิงกับจั้งเสวียนมอบแก่นบริสุทธิ์เสร็จแล้ว ก็กำลังจะหมุนตัวกลับไป แต่กลับถูกเรียกตัวไว้โดยไม่คาดคิด
……
ห้องโถงข้างวิหารใหญ่ของสาขาห่านฟ้า เจียงจ้งนั่งอยู่บนเก้าอี้หลักอย่างไม่ใส่ใจ ส่วนหลิ่วหมิงทั้งสองก็ยืนอยู่ข้างๆ อย่างนอบน้อม
“ข้าได้ยินทางด้านหอคุมกฎพูดกันว่า พวกเจ้าทั้งสองแสดงความสามารถในแดนอบอ้าวได้โดดเด่นมาก สามารถร่วมมือกันสังหารราชาอัคคีจิตวิญญาณได้ ทำให้สาขาห่านฟ้าเรามีหน้ามีตาไม่น้อย” เจียงจ้งยกชาขึ้นมาจิบทีหนึ่ง และกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ท่านหัวหน้าชมเกินไปแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ศิษย์สมควรทำ” จั้งเสวียนกล่าวอย่างนอบน้อม
“คนหอคุมกฎพูดกันว่า ราชาอัคคีจิตวิญญาณตัวนั้นดูเหมือนจะทะลวงเข้าสู่ระดับผลึกในตอนท้าย พวกเจ้าทั้งสองกลับร่วมมือกันสังหารมันได้ ดูท่าคงจะมีความสามารถอยู่บ้าง พวกเจ้าเล่าเรื่องในระหว่างสังหารราชาอัคคีจิตวิญญาณให้ข้าฟังอย่างละเอียดอีกรอบเถอะ!” เจียงจ้งพูดด้วยความสนใจ
ตอนที่ 503 ผลพวง
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลิ่วหมิงกับจั้งเสวียนสบตากันทีหนึ่ง จากนั้นก็เล่าเรื่องการสังหารราชาอัคคีจิตวิญญาณอย่างคร่าวๆ ส่วนเจียงจ้งก็พยักหน้าและกล่าวชมเชยอย่างอดไม่ได้
“เรื่องการทดสอบเบื้องต้นสิ้นสุดเพียงเท่านี้ ในบรรดาศิษย์ใหม่ พวกเจ้าโดดเด่นที่สุด คิดว่าพวกเจ้าทั้งสองก็คงรู้ดี อีกสองปีก็จะเป็นการประลองใหญ่ที่สิบปีมีครั้ง พลังของพวกเจ้าทั้งสองไม่ธรรมดา หากภายในสองปีนี้ตั้งใจฝึกฝนให้ดีๆ ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถได้อันดับที่ดีในการประลองใหญ่ หากเข้าสิบอันดับแรกได้ ไม่เพียงแต่จะได้รับรางวัลจากนิกายมากมาย ทั้งยังมีโอกาสเตะตาผู้อาวุโสในนิกาย และรับพวกเจ้าเป็นศิษย์สายในได้” เจียงจ้งเผยรอยยิ้มออกมา ขณะเดียวกันก็กล่าวกำชับทั้งสองไปด้วย
หลิ่วหมิงทั้งสองย่อมพยักหน้าตอบรับ
“เอาล่ะ! พวกเจ้าไปพักผ่อนเถอะ!” เจียงจ้งพยักหน้าด้วยความพอใจ จากนั้นก็โบกมือไปทางทั้งสอง เพื่อบ่งบอกให้พวกเขาออกไปได้
หลังจากหลิ่วหมิงกับจั้งเสวียนกล่าวลาหัวหน้าสาขาแล้ว ก็หมุนตัวไปจากวิหารใหญ่ของสาขาห่านฟ้าทันที จากนั้นก็ทักทายปราศรัยกันตรงหน้าประตูสองสามประโยค และแยกย้ายกลับไปยังที่พักของตนเอง
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป หลิ่วหมิงก็กลับถึงถ้ำที่พัก
พอเหยียบเท้าเข้าไปในถ้ำ เขาก็เดินเข้าไปในห้องลับโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง จากนั้นก็ตบถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณ ทันใดนั้น แสงสีม่วงก็ม้วนตัวออกมาพร้อมกับเสียงแผดร้อง พริบตาเดียว ก็กลายเป็นแมงป่องเงินขนาดเท่าฝ่ามือที่มีหมอกสีดำปกคลุมอยู่
หลิ่วหมิงใช้จิตเชื่อมโยงเล็กน้อย และสั่งให้แมงป่องกระดูกปล่อยกลิ่นไอออกมาทั้งหมด
เปลวไฟสีเขียวเป็นประกายในแววตาของแมงป่องกระดูก ไอหมอกดำพวยพุ่งอยู่บนผิว ทันใดนั้น กลิ่นไออันแข็งแกร่งก็ถาโถมเข้ามา ทำให้ปราณพลังฟ้าดินในห้องลับสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจมาก
ดูจากกลิ่นไอบนตัวแมงป่องกระดูก ดูเหมือนมันจะมีพลังระดับของเหลวขั้นปลายแล้ว
แมงป่องกระดูกก็ดูเหมือนอยากจะโอ้อวดนายของมันสักรอบ ทันใดนั้น มันก็เปล่งแสงสีเงินออกมา และขยายใหญ่สิบกว่าจั้ง จนเกือบจะดันห้องลับจนพัง พอแสงสีเงินเปล่งประกายอีกครั้ง มันก็ลดขนาดเหลือไม่กี่ชุ่น และกระโดดขึ้นบนไหล่ของหลิ่วหมิง ทั้งยังใช้ก้ามยักษ์ทั้งสองลูบคออย่างสนิทสนม สุดท้ายก็พุ่งกลับไปที่เดิม และฟื้นคืนขนาดกลับมาเท่าเดิม
แต่พอยกก้ามยักษ์ทั้งคู่ขึ้น มันก็ขยายใหญ่หลายเท่า แสงสีเงินเป็นประกายอยู่บนพื้นผิว และยังดูเหมือนจะมีอักขระสีดำประทับอยู่จำนวนหนึ่ง และพอออกแรงสะบัดก็มีเสียงดัง “ตู๊ม!”
แสงสีดำกระพริบผ่านไป พื้นดินแข็งแกร่งภายในห้องลับมีรอยร้าวยาวๆ ปรากฏออกมา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็เผยแววตาประหลาดใจออกมา และสั่งให้แมงป่องกระดูกอยู่นิ่งๆ ทันที พอเขาสะบัดแขนเสื้อ คมวายุสีเขียวสายหนึ่งก็พุ่งยิงออกไป หลังจากกระพริบผ่านไปแล้ว ก็ฟันลงบนหลังแมงป่องกระดูก
“เพล้ง!” คมวายุกระเด็นออกมา บนหลังแมงป่องกระดูกไม่มีรอยใดๆ เลยแม้แต่น้อย
หลิ่วหมิงรู้สึกดีใจมากกว่าเดิม ประจักษ์ชัดว่าหลังจากแมงป่องตรงหน้าเกิดการวิวัฒนาการแล้ว พลังของมันก็เพิ่มขึ้นเป็นทวี ความแข็งแกร่งของร่างกายก็เพิ่มขึ้นอย่างน้อยหนึ่งเท่าขึ้นไป
แมงป่องกระดูกส่งเสียงหัวเราะ และกระโดดขึ้นบนไหล่หลิ่วหมิงอีกครั้ง
“เจ้ามีความสามารถอะไรใหม่ๆ ก็แสดงออกมาให้หมดเถอะ!” หลิ่วหมิงลูบก้ามยักษ์ของแมงป่องเบาๆ และหัวเราะก่อนกล่าวออกมา
แมงป่องกระดูกในขณะนี้ ดูเหมือนจะมีสติปัญญาระดับเด็กอายุสิบสองขวบ สามารถเข้าใจคำพูดหลิ่วหมิงได้โดยตรง ไม่จำเป็นต้องเชื่อมจิตอีก มันรีบเอาก้ามยักษ์ทั้งสองชนกันสองสามที จากนั้นก็กระโดดมุดลงใต้ดิน
ครู่ต่อมา มีไอดำพวยพุ่งบนพื้นมุมหนึ่งของห้องลับ แมงป่องกระดูกปรากฏตัวอย่างไร้สุ้มเสียง และอ้าปากพ่นหมอกพิษสีดำขนาดเท่าลูกกำปั้นใส่ผนังบริเวณนั้น
ฉากที่ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจก็ได้บังเกิดขึ้น!
พอชั้นจำกัดบนผนังสัมผัสกับไฟแห่งหมอกพิษสีดำ มันก็สลายไปทันที และเกิดรูขนาดเท่ากำปั้นขึ้นหนึ่งรู ทั้งยังขยายใหญ่อย่างรวดเร็ว
หลิ่วหมิงขมวดคิ้วขึ้นมา ร่างของเขาพร่ามัวมาปรากฏบริเวณมุมห้อง และสังเกตดูผนังอย่างละเอียด
หมอกพิษสีดำค่อยๆ เคลื่อนไหวอยู่บริเวณขอบรูอย่างต่อเนื่อง บริเวณที่หมอกพิษสัมผัส เดิมทีเป็นผนังหินสีดำที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แต่ขณะนี้กลับถูกกัดกร่อนจนกลายเป็นควันสีดำแล้วก็สลายไป
ผ่านไปซักพัก ในที่สุดหมอกพิษก็สลายไปจนหมด และผนังหินในห้องลับก็ปรากฏโพรงขนาดครึ่งจั้ง
“ทำได้ไม่เลว!” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ชมแมงป่องกระดูกไปหนึ่งประโยค
หมอกพิษที่แมงป่องกระดูกพ่นออกมาแข็งแกร่งมาก เห็นได้ชัดว่าเมื่อก่อนไม่อาจเทียบได้
พอแมงป่องกระดูกที่หมอบอยู่บนพื้นได้ยินคำพูดของหลิ่วหมิง ก็เห็นได้ชัดว่ามันรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก หางตะขอหัวมังกรตรงหลังแกว่งไปมาเบาๆ ทันใดนั้นกลุ่มแสงทรงกลดสีม่วงก็ประทุออกมา ทำให้มันมีลักษณะกึ่งโปร่งแสง
พอขยับหางตะขอ ก็มีเสียงดังออกมา “ฟิ้วๆ!”
หลิ่วหมิงรู้สึกเพียงแค่ว่ามีเงาจางๆ กระพริบอยู่บนพื้น จากนั้นรูขนาดเท่าเข็มแทงก็ปรากฏไปทั่วทุกแห่ง
ครั้งนี้เขารู้สึกตกใจจริงๆ แล้ว
ด้วยสายตาระดับเขา ยังไม่สามารถมองเห็นร่องรอยการโจมตีของหางตะขอได้อย่างชัดเจน ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะความรวดเร็วในการโจมตีของมัน อีกส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะหางตะขอเป็นผลึกแวววาว ทำให้แทบจะมองไม่เห็นการโจมตีของมัน
“เอาล่ะ! เข้ามาเถอะ!”
ขณะที่แมงป่องกระดูกจะสะบัดหางตะขอใส่ผนังอีกนั้น หลิ่วหมิงก็รีบโบกมือห้ามมันไว้
หลังจากหางตะขอกลายเป็นผลึกสีม่วงแล้ว ดูเหมือนอานุภาพมันจะแข็งแกร่งมาก หากแมงป่องกระดูกยังแสดงอานุภาพเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าห้องลับของเขาคงจะเสี่ยงต่อการถูกทำลาย
แมงป่องกระดูกได้ยิน ก็เคลื่อนตัวมาอยู่บนไหล่ของหลิ่วหมิง และพูดตะกุกตะกักออกมา “นายท่าน”
“ข้าถามเจ้า หลังจากฟื้นขึ้นมาในครั้งนี้ นอกจากความสามารถเหล่านี้แล้ว ยังมีความเชี่ยวชาญอะไรใหม่ๆ หรือไม่?” หลิ่วหมิงฉุกคิดขึ้นมา และถามออกไป
แมงป่องกระดูกได้ยิน ก็ใช้น้ำเสียงอ่อนนุ่มของเด็กสาวตอบอย่างตะกุกตะกัก
ที่แท้ในขณะที่ต่อสู้กับหัวปีศาจยักษ์ในวันนั้น แมงป่องกระดูกก็กลืนกินซากศพจำนวนมากกับผลึกสีม่วงจำนวนหนึ่งที่อยู่ภายในร่างของมัน หลังจากหลับลึกและกลายพันธ์ุไปหนึ่งรอบ ไม่เพียงแต่สติปัญญาจะสูงขึ้นมามาก ทั้งยังได้พลังแปลกประหลาดส่วนหนึ่งของหัวปีศาจยักษ์มาด้วย
ยกตัวอย่างเช่น ในตอนที่อยู่ท่ามกลางหลุมใหญ่ภายในแดนอบอ้าว มันรับรู้พลังของโอสถสีเงินเม็ดนั้นได้อย่างลางๆ และนั่นก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น
ส่วนความสามารถอื่นๆ นั้น แม้แมงป่องกระดูกจะรับรู้ได้ลางๆ ว่ายังมีอีกสองสามอย่าง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะนำออกมาใช้อย่างไร และยังไม่รู้ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม คงได้แต่รอทดลองทำดูในภายหลังแล้ว
“ใช่สิ! นาย……ท่าน ข้า……ดูเหมือนว่าจะยังได้รับ……ความจำส่วนหนึ่งของปีศาจยักษ์ เพียงแต่……มันปลีกย่อยมาก ข้าเพิ่งฟื้นขึ้นมา……ยังไม่สามารถปะติดปะต่อ…..เข้าด้วยกันได้” เสียงตะกุกตะกักของเด็กสาวดังขึ้นมา
ความจำปีศาจยักษ์!
หลิ่วหมิงรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย แม้เขาจะรู้เรื่องเกี่ยวกับปีศาจยักษ์และการกลายร่างเป็นปีศาจจากหลัวโหวมาบ้าง แต่เขาก็ยังรู้สึกแปลกใจอยู่ดี
“เจ้าเพิ่งจะฟื้นได้ไม่นาน ยังจำเป็นต้องพักผ่อนให้มากๆ ส่วนเรื่องเกี่ยวกับความจำปีศาจยักษ์ หากเจ้านึกอะไรขึ้นมาได้ก็บอกข้าแล้วกัน”
“ได้……นาย……ท่าน” แมงป่องกระดูกตอบด้วยน้ำเสียงพร่ามัว
หลิ่วหมิงพยักหน้า พอตบเอว ร่างแมงป่องกระดูกก็พร่ามัวกลายเป็นไอหมอกดำ และมุดเข้าไปในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณราวกับพายุ
หลังจากแมงป่องกระดูกกลายพันธุ์อีกครั้ง พลังของมันก็เพิ่มขึ้นเป็นทวี และมีความต้องการปราณหยินมากขึ้นด้วย ขณะนี้ถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณไม่ค่อยเหมาะสมกับมันแล้ว จำเป็นต้องเพิ่มระดับที่สูงขึ้นถึงจะได้
หลิ่วหมิงใช้จิตกวาดดูหัวบินที่อยู่ในถุงหนังอีกใบ ก็ค้นพบว่าหัวปีศาจตนนี้ยังคงหลับสนิทอยู่
หลังจากเขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ก็หยิบกล่องหยกที่บรรจุโอสถสีเงินเม็ดนั้นออกมาจากหอยสังข์ย่อส่วนที่อยู่บริเวณเอว หลังจากดึงยันต์ออกเบาแล้วๆ เขาก็เปิดฝามันออกมา
แสงสามสีเปล่งประกายขึ้นมาในทันที โอสถสีเงินที่ถูกเปลวไฟสามสีห่อหุ้มอยู่ ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าหลิ่วหมิงอีกครั้ง
ในแดนอบอ้าวในวันนั้น เขาได้แต่ปราดตามองแบบผ่านๆ จากนั้นก็เก็บมันเข้าไป ตอนนี้กลับมาถึงห้องลับแล้ว ย่อมต้องศึกษาอย่างละเอียดอีกรอบ
แต่จะเห็นว่าโอสถสีเงินค่อยๆ หมุนวนอยู่ท่ามกลางเปลวไฟสามสีอย่างต่อเนื่อง ลวดลายสีทองสามเส้นบนพิ้นผิวก็เลื้อยขยุกขยิกราวกับมีชีวิต
หลิ่วหมิงยื่นนิ้วสองนิ้วแตะเปลวไฟเบาๆ ทันใดนั้น ความรู้สึกอบอุ่นอ่อนนุ่มก็แผ่เข้ามา พอออกแรงคีบมันขึ้นมา ก็มีพลังบางอย่างแผ่ออกจากในนั้น
หลิ่วหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย และออกแรงนิ้วที่คีบอีกเล็กน้อย ดูเหมือนว่าแรงต่อต้านที่ส่งออกจากเปลวไฟจะเพิ่มขึ้นเช่นกัน หลังจากลองดูแล้ว ก็ยังไม่สามารถทำอะไรมันได้ ช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก
ดวงตาของเขาเป็นประกายเยือกเย็น และปล่อยพลังจิตอันแข็งแกร่งออกไป แต่กลับถูกเปลวไฟสามสีขัดขวางไว้ ไม่อาจเข้าไปในนั้นได้เลยแม้แต่น้อย
หลังจากหลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญสองสามรอบแล้ว ก็ส่ายหน้าและเก็บมันใส่กล่องอย่างระมัดระวังโดยไม่กล้าทดสอบมันอีก จากนั้นก็นำยันต์มาแปะไว้ และใส่ลงไปในหอยสังข์ย่อส่วน
เปลวไฟสามสีแปลกประหลาดเช่นนี้ ดูท่าโอสถสีเงินที่อยู่ในนั้นจะต้องไม่ธรรมดา และมีความเป็นไปได้มากว่า จะมีความเกี่ยวข้องกับเตาหลอมยักษ์สีแดงใบนั้น รอวันหลังไปหาคัมภีร์โอสถอ่านดูผลลัพธ์ของโอสถนี้ให้ชัดเจนก่อน แล้วค่อยวางแผนกันต่อไป
หลังจากหลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองไปรอบหนึ่ง เขาก็หยิบยันต์เก็บของออกมาจากเอว พอปล่อยพลังเข้าไปแล้ว ก็โยนออกไปด้านหน้า จากนั้นวัสดุจำนวนมากก็กองอยู่บนพื้นท่ามกลางแสงที่เปล่งประกาย
สิ่งของเหล่านี้ก็คือ สิ่งที่เขาเก็บเกี่ยวมาได้จากการทดสอบในแดนอบอ้าว
นอกจากผลึกพลังเวทแปดเม็ดของราชาอัคคีจิตวิญญาณแล้ว ยังมีแก่นบริสุทธิ์อัคคีจิตวิญญาณยี่สิบกว่าเม็ด หลินจือทองคำสามต้น หินจื่อหยางหนึ่งก้อน ไม้ตะวันยักษ์สองท่อน และวัสดุของอสูรเพลิงต่างๆ เป็นจำนวนมาก
หลังจากนับดูคร่าวๆ หลิ่วหมิงก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก วัสดุต่างๆ ตรงหน้าคงแลกหินจิตวิญญาณได้สามแสนกว่าๆ
และนี่ยังไม่รวมแต้มคุณูปการที่หอคุมกฎกับสาขาห่านฟ้าจะมอบให้
“นิกายยอดบริสุทธิ์สมกับเป็นหนึ่งในสี่นิกายใหญ่แห่งแผ่นดินจงเทียนจริงๆ แค่การทดสอบศิษย์ใหม่เบื้องต้น ก็เก็บเกี่ยวได้มากถึงเพียงนี้”
หลิ่วหมิงพูดพึมพำออกมา จากนั้นก็เก็บวัสดุทั้งหมดเข้าไป เขากะจะหาโอกาสที่เหมาะสม นำสิ่งที่ไม่ได้ใช้ไปแลกหินจิตวิญญาณที่ตลาด จากนั้นค่อยเปลี่ยนถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณที่มีคุณสมบัติดีหน่อยให้แมงป่องกระดูกกับหัวบิน และซื้อกระบี่ที่เหมาะสมมาสักเล่ม
กระบี่บินธาตุน้ำเล่มนั้น โดนทำลายไปในตอนที่ต่อสู้กับราชาอัคคีจิตวิญญาณอย่างดุเดือดแล้ว หากเขาไม่สามารถใช้วิชากระบี่ได้ล่ะก็ มันมีผลกระทบกับพลังของเขามาก
หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองเช่นนี้อยู่ในใจ และนั่งขัดสมาธิลงในห้องลับ เพื่อเข้าฌานอย่างเงียบๆ
ตอนที่ 504 สามวิธีการ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ขณะเดียวกัน ภายในห้องลึกลับบางแห่งของนิกายยอดบริสุทธิ์ ที่อยู่ในหอที่มีม่านแสงปกคลุมอยู่
ผู้อาวุโสท่านหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกสีแดง เขากำลังชื่นชมเตาหลอมสีแดงที่ถืออยู่ในมือ มันคือเตาหลอมสามอัคคีที่หอดำเนินการนำกลับมาในก่อนหน้านั้น แต่ขนาดของมันเล็กกว่าเดิมสิบกว่าเท่า
ชุดสีแดงของผู้อาวุโสค่อนข้างเก่า ใบหน้าธรรมดา ผมสีดอกเลายุ่งเหยิงอยู่บนศีรษะ ดวงตาเป็นสีฟ้าอ่อนๆ และเปล่งแสงแปลกประหลาดออกมา
เขาจ้องมองของชิ้นนี้อยู่พักใหญ่ๆ จากนั้นก็ลุกขึ้นมาในฉับพลัน และโยนเตาหลอมเล็กไปกลางอากาศ พอทำท่ามือด้วยมือเดียว และปล่อยพลังออกไป แสงสีแดงก็กระพริบหายไปในเตาหลอมเล็ก
ทันใดนั้น ลวดลายสีแดงก็เปล่งประกายบนผิวเตาหลอม ร่างของมันขยายใหญ่ขึ้นมา และหมุนตัวติ้วๆ กลางอากาศอยู่ไม่หยุด ไม่นานก็กลายเป็นเตาหลอมยักษ์ที่สูงสองสามจั้ง และหล่นลงมาเสียงดังโครม ขณะเดียวกัน คลื่นพลังจิตวิญญาณที่สั่นสะเทือนออกมา ก็หนาแน่นขึ้นเล็กน้อย และม้วนตัวออกไปทั่วทิศ
พอผู้อาวุโสโบกแขนเสื้อ ฝาเตาหลอมยักษ์ก็ค่อยๆ เปิดออกมา หมอกควันสีขาวพุ่งออกมาจากในนั้น
จากนั้นเขาก็พุ่งขึ้นด้านบน ดวงตาทั้งคู่หรี่ลง และจ้องมองเตาหลอมยักษ์ ทันใดนั้นเขาก็ต้องร้องอุทานออกมา
“ข้าจำได้ว่าตอนที่สมบัติชิ้นนี้ถูกขโมยไป คือตอนที่ศิษย์น้องจงใช้อยู่ และในนั้นยังมีโอสถเม็ดหนึ่งที่ยังปรุงไม่เสร็จ ซึ่งบ่มเพาะจิตวิญญาณอยู่ในนั้น ดูเหมือนจะเป็นการทดสอบโอสถบางอย่างตามตำราโอสถ คุณสมบัติของโอสถยังไม่คงที่ ว่าแต่โอสถนี้มีชื่อว่าอะไรนะ โอสถเลี้ยงกระบี่ หรือว่าโอสถต้านกระบี่? เฮ้อ…..อายุมากแล้ว ความจำไม่ค่อยดีเลย แต่ดูเหมือนมันจะมีผลต่อการฝึกฝนสายกระบี่มาก ดูเหมือนว่าพลังของศิษย์ทรยศผู้นั้น ไม่สามารถเปิดเตาหลอมนำโอสถออกมา หากไม่ใช่ว่าจิตวิญญาณที่บ่มเพาะล้มเหลว จึงทำให้โอสถนี้ถูกทำลายไปล่ะก็ คงเป็นเพราะบ่มเพาะจิตวิญญาณสำเร็จแล้ว มันจึงพุ่งออกจากเตาหลอมเอง และคงตกอยู่ในอบอ้าว ช่างเถอะ! เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ รอศิษย์น้องจงกลับถึงนิกายแล้วค่อยบอกเขาก็ได้ แต่ว่าตอนนี้สมบัติชิ้นนี้ว่างแล้ว ในที่สุดข้าก็สามารถใช้หลอมเจ้าสิ่งนั้นได้แล้ว” ผู้อาวุโสลูบผม และหัวเราะก่อนกล่าวออกมา
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็พลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมา ขวดเล็กสีทองอร่ามใบหนึ่งปรากฏอยู่ในมือ บนนั้นยังมียันต์สีเงินแปะอยู่ผืนหนึ่ง
พอฝาขวดเปิดออก กลิ่นไอเหม็นคาวก็โชยออกมาทันที
เขาเทของเหลวสีเขียวลงไปในเตาหลอม และควักพืชสมุนไพรแปลกๆ จำนวนหนึ่งออกจากยันต์เก็บของบนเอว และโยนลงเตาหลอมพร้อมกัน หลังจากโบกแขนเสื้อเบาๆ ฝาเตาหลอมก็ค่อยๆ ปิดลง
ผู้อาวุโสลอยลงมาเบาๆ และเริ่มร่ายคาถาออกมา ขณะที่มือทั้งสองทำท่ามือ นิ้วทั้งสิบก็ดีดออกไปอย่างต่อเนื่อง พลังลึกลับพุ่งทะลักออกไป และค่อยๆ จมลงในเตาหลอมยักษ์
เตาหลอมยักษ์สั่นสะเทือนเบาๆ เปลวไฟสามสีตรงด้านล่างพุ่งขึ้นมาทันที จากนั้นเปลวไฟอันโชติช่วงก็ปกคลุมเตาหลอมยักษ์ไว้ เปลวไฟทั้งสามสีประสานกันไปมาไม่หยุด หลังจากมีแสงสามสีแวววาวหมุนวนอยู่ชั่วขณะหนึ่ง เปลวไฟสามสีก็แบ่งออกไปสามชั้น ซึ่งได้แก่ชั้นนอก ชั้นกลาง และชั้นใน
พอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ผู้อาวุโสถึงพยักหน้าด้วยความพอใจ จากนั้นก็หมุนตัวไปกลับบนเก้าอี้โยก และหลับตาพักผ่อนอีกครั้ง
……
เช้าวันที่สอง หลิ่วหมิงยังคงหลับอย่างเอาเป็นเอาตายในห้องนอน การเดินทางในแดนอบอ้าวทำให้เขาอ่อนล้าไม่น้อย จึงต้องพักผ่อนให้มากๆ
แต่ผู้ที่มีความรอบคอบระมัดระวังอย่างเขา ยังคงใช้พรสวรรค์หนึ่งจิตสองพลังปล่อยพลังจิตครึ่งหนึ่งไปดูสถานการณ์อยู่นอกถ้ำ
ทันใดนั้น แสงหลบหลีกสีเหลืองลำหนึ่งก็พุ่งเข้ามา พอแสงดับลงก็เผยให้เห็นรูปร่างของชายหนุ่มสวมชุดสีฟ้าที่มีอายุราวๆ ยี่สิบกว่าปี
จากนั้นก็มีเสียงราบเรียบดังขึ้นข้างหูหลิ่วหมิง “ข้าเป็นศิษย์หอคุมกฎ ตั้งใจมามอบแต้มคุณูปการ ศิษย์น้องอยู่ในถ้ำหรือไม่?”
หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ก็ออกมาจากห้องนอนทันที ประตูถ้ำค่อยๆ เปิดออกมา หน้าประตูมีชายหนุ่มรูปงามยืนอยู่
“ศิษย์น้องหลิ่ว ข้ามามอบแต้มคุณูปการให้เจ้า นำป้ายของเจ้าออกมาเถอะ!” ชายหนุ่มชุดฟ้ากวาดสายตาสังเกตดูหลิ่วหมิงทีหนึ่ง และเอ่ยปากออกมา
หลิ่วหมิงได้ยินก็หยิบป้ายออกมาจากเอว และยื่นให้อย่างไม่รีบร้อน
เมื่อชายหนุ่มชุดฟ้าโบกแขนเสื้อ พู่กันหยกด้ามหนึ่งก็ปรากฏออกมา พอแตะลงเบาๆ ก็มีแสงสีทองพุ่งออกจากปลายพู่กัน และกระพริบจมหายไปในแผ่นป้าย ทำให้มีแต้มคุณูปการบนป้ายเพิ่มมาอีกสามพันแต้ม
“ขอบคุณศิษย์พี่ผู้นี้มาก” หลิ่วหมิงรู้แต่แรกแล้วว่า การทำลายรังอัคคีจิตวิญญาณในครั้งนี้ จะมีแต้มคุณูปการให้อย่างแน่นอน แต่มันมากกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้ สิ่งนี้ทำให้เขาคุมมือคารวะชายหนุ่มชุดฟ้าด้วยความดีใจ
“ศิษย์น้องหลิ่วไม่ต้องเกรงใจ ข้าเองก็ได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับการแสดงฝีมือของศิษย์น้องหลิ่วในแดนอบอ้าวแล้ว” ดูเหมือนชายหนุ่มชุดฟ้าจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงกล่าวกับเขาด้วยรอยยิ้ม
หลิ่วหมิงรู้สึกตะลึงเล็กน้อย ดูท่าชายหนุ่มชุดฟ้าผู้นี้ คงไม่ใช่ศิษย์ธรรมดาทั่วไป แต่เขาก็รับแผ่นป้ายมาแขวนไว้บนเอวด้วยสีหน้าปกติ
ทั้งสองเพียงแค่พูดคุยไม่กี่ประโยค จากนั้นชายหนุ่มชุดฟ้าก็ประสานมือกล่าวลา พอเขาหมุนตัว ก็กลายเป็นแสงหลบหลีกสีเหลืองพุ่งไปยังเขาอีกลูก
“หอคุมกฎทำงานได้มีประสิทธิภาพสูงจริงๆ” หลิ่วหมิงมองไปยังทิศทางที่ชายหนุ่มชุดฟ้าพุ่งออกไป และพูดพึมพำออกมาหนึ่งประโยค จากนั้นก็หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในถ้ำ และประตูตรงด้านหลังก็ค่อยๆ ปิดลง
หลิ่วหมิงเดินไปเดินมาในห้องโถงใหญ่ภายในถ้ำ หลังจากดวงตาทั้งคู่เป็นประกายขึ้นมา เขาก็รีบเดินไปยังห้องลับทันที
……
สองเดือนต่อมา
มีไอดำลอยวนอยู่ในห้องลับภายในถ้ำที่พักของหลิ่วหมิง
มังกรหมอกดำกับพยัคฆ์หมอกดำที่ดูราวกับมีชีวิต กำลังหมุนวน และปรากฏขาดๆ หายๆ อยู่ท่ามกลางไอหมอกที่พวยพุ่ง
ท่ามกลางของทั้งสอง หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่เงียบๆ มือทั้งสองทำท่ามืออยู่ แสงสีดำจางๆ เปล่งประกายอยู่บนตัว เห็นได้ชัดว่าเขากำลังเข้าฌาน
ทันใดนั้น สีหน้าเขาก็พลันเปลี่ยนไป ดวงตาทั้งคู่เปิดออกมา ภายใต้เสียงมังกรร้องพยัคฆ์คำราม มังกรพยัคฆ์หมอกดำก็กลายเป็นกลุ่มไอสีดำจมเข้าไปในศีรษะของเขา
ต่อมา ไอดำบนตัวก็ค่อยๆ จมเข้าไปในร่างอย่างรวดเร็ว เขาไม่ได้ลุกขึ้นมา แต่กลับขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าดูเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
“ในที่สุดพลังเวทก็ถึงคอขวดแล้ว สามารถทะลวงระดับของเหลวขั้นปลายได้แล้ว” หลิ่วหมิงพูดพึมพำออกมา
หลังจากนั่งเข้าฌานฟื้นฟูมาสองเดือน พลังเวทของเขาก็ฟื้นฟูจนถึงจุดสุดยอดแล้ว และหลังจากฝึกฝนไปหนึ่งรอบ หลายวันก่อน เขาก็รู้สึกว่าพลังเวทในร่างถึงจุดอิ่มตัวแล้ว ไม่ว่าจะฝึกฝนอย่างไรหรือทานโอสถเพิ่มพลังเวทแค่ไหน พลังเวทก็ไม่อาจพัฒนาได้เลยแม้แต่น้อย คิดว่าคงสามารถทะลวงระดับของเหลวขั้นปลายได้แล้ว
และการทะลวงระดับของเหลวขั้นปลาย ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
หลังจากเขาคิดใคร่ครวญแล้ว ก็ตัดสินใจไปหอนานัปการเพื่อหาอ่านคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง ดูสิว่าจะหาวิธีเพิ่มอัตราความสำเร็จในการทะลวงระดับของเหลวขั้นปลายได้หรือไม่ นอกจากนี้ยังสามารถหาที่มาและผลลัพธ์ของโอสถสีเงินเม็ดนั้นด้วย
เขาลุกขึ้นมาทันที หลังจากปัดชุดตัวเองแล้ว ก็ออกไปจากห้องลับ และจัดถ้ำให้เรียบร้อยไปรอบหนึ่ง จากนั้นก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว หมอกดำพวยพุ่งใต้เท้า และพาเขาพุ่งไปทางหอนานัปการทันที
……
เวลาผ่านไปราวๆ หนึ่งถ้วยชา มีเมฆดำลอยผ่านด้านนอกของหอนานัปการ จากนั้นชายหนุ่มชุดคลุมสีเขียวก็ร่อนลงมา ซึ่งก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
เขามองอักขระสีดำบนแผ่นป้ายแล้วเดินเข้าไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
หลังจากสอบถามศิษย์ดำเนินการคนหนึ่งแล้ว เขาก็เดินไปตรงทางเดินด้านหลังหอใหญ่
ห้องโถงใหญ่ของหอนานัปการ ใช้เป็นสถานที่ให้ศิษย์นำแต้มคุณูปการมาแลกโอสถ ยันต์ และอาวุธต่างๆ และคัมภีร์ล้ำค่าที่ต้องใช้แต้มคุณูปการในการเข้าไปอ่าน จะอยู่ในหอด้านหลังห้องโถงใหญ่
หลังจากผ่านระเบียงทางเดินแคบๆ ที่ยาวร้อยกว่าจั้ง ก็จะเป็นพื้นราบเรียบขนาดหมู่กว่าๆ
และใจกลางพื้นราบเรียบก็มีหอที่สูงราวๆ สิบกว่าจั้งตั้งอยู่
หลังจากหลิ่วหมิงสังเกตดูเล็กน้อยแล้ว ก็ก้าวยาวๆ เข้าไปด้านใน
ชั้นแรกของหอมีขนาดไม่ใหญ่มาก ดูเหมือนจะมีขนาดไม่กี่สิบจั้ง พื้นที่สองในสามส่วนมีชั้นคัมภีร์วางอยู่เต็มไปหมด
พอหลิ่วหมิงกวาดสายตามองออกไป จะเห็นว่ามีคนอยู่ในนั้นราวๆ สิบกว่าคน ซึ่งล้วนเป็นศิษย์สายนอกทั้งหมด และดูเหมือนว่าชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง ไม่มีคลื่นพลังเวทบนตัวเลยแม้แต่น้อย สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกตกตะลึงมาก
และตรงประตูหอ มีศิษย์รูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาซื่อๆ สวมชุดศิษย์ดำเนินการ นั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น และพลิกอ่านคัมภีร์เล่มหนึ่งอย่างออกรส พอเห็นหลิ่วหมิงเข้ามา เขาก็แหงนหน้ามอง
“ศิษย์พี่ผู้นี้ ข้าน้อยอยากยืมคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องกับการทะลวงเขตแดนของเหลวขั้นปลาย ไม่ทราบว่าจะหาได้จากตรงไหนบ้าง?” ยังไม่ทันที่ฝ่ายตรงข้ามจะเอ่ยปาก หลิ่วหมิงก็ประสานมือคารวะแล้วกล่าวออกมาก่อน
“ชั้นคัมภีร์ทางด้านตะวันออกบนชั้นสอง คงจะมีคัมภีร์ที่เจ้าต้องการ” ชายรูปร่างสูงใหญ่กล่าวอย่างไม่รีบร้อน
“ข้าน้อยยังอยากจะยืมอ่านคัมภีร์เกี่ยวกับชนิดของโอสถและการแนะนำด้วย”
“แนะนำโอสถ…….คงอยู่ชั้นที่สองเหมือนกัน ข้าจำได้ว่าอยู่ตรงมุมตะวันตก” ศิษย์รูปร่างสูงใหญ่เงียบไปครู่หนึ่ง และลูบศีรษะเบาๆ ก่อนกล่าวออกมา
“ขอบคุณศิษย์พี่มาก” หลิ่วหมิงประสานมือคารวะแล้วกล่าวขอบคุณ จากนั้นก็เดินขึ้นไปบนชั้นสอง
ศิษย์รูปร่างสูงใหญ่สังเกตดูหลิ่วหมิงทีหนึ่ง และไม่ได้พูดอะไรออกมา จากนั้นก็นั่งอ่านคัมภีร์ในมือเล่มนั้นต่อ
ชายวัยกลางคนที่ไม่อาจรับรู้ถึงระดับการฝึกฝนของเขาได้นั้น ก็ชำเลืองมองหลิ่วหมิงทีหนึ่ง จากนั้นก็จมดิ่งอยู่กับคัมภีร์ไม้ไผ่ในมือ
ชั้นคัมภีร์ทางด้านตะวันออกบนชั้นสอง หลิ่วหมิงเจอแผ่นไม้ไผ่ที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มอัตราความสำเร็จในการทะลวงคอขวดได้อันหนึ่ง แต่มีแสงสีขาวปกคลุมอยู่บนพื้นผิว ทั้งยังมีเครื่องหมายบอกจำนวนแต้มคุณูปการที่ต้องใช้ในการอ่านอยู่ด้านข้าง ซึ่งต้องใช้หนึ่งร้อยยี่สิบแต้ม
เขาหยิบแผ่นป้ายออกจากตัว และโบกผ่านแผ่นไม้ไผ่เบาๆ จากนั้นแสงสีเขียวก็ม้วนตัวออกมา และจมหายเข้าไปในชั้นจำกัดบนแผ่นไม้ไผ่อย่างไร้ร่องรอย
หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิลง และนำแผ่นไม้ไผ่ไปแปะไว้บนหน้าผาก และทำการอ่านดูอย่างละเอียด
……
สองสามชั่วยามผ่านไป หลิ่วหมิงก็เดินออกจากหอเล็กๆ ด้วยสีหน้าสงบ ขณะนี้ แต้มคุณูปการบนแผ่นป้ายลดลงไปหลายร้อยแต้ม
และหลังจากอ่านไปหนึ่งรอบ เขาก็ค้นพบวิธีเพิ่มความสำเร็จในการทะลวงระดับของเหลวขั้นปลายอยู่หลายวิธี
วิธีแรกตามที่บันทึกไว้คัมภีร์ มีโอสถหลากหลายชนิดที่มีผลลัพธ์เพิ่มอัตราความสำเร็จในการทะลวงคอขวดระดับชั้นของเหลวขั้นปลาย และตลาดในนิกายก็สามารถหาซื้อได้ แต่ละเม็ดต้องใช้หนึ่งแสนกว่าหินจิตวิญญาณเข้าแลก ทั้งยังขาดแคลนเป็นอย่างมาก และในระหว่างการทะลวงคอขวด สามารถทานได้ชนิดละหนึ่งเม็ดเดียวเท่านั้น
วิธีที่สอง นิกายยอดบริสุทธิ์มียันต์ทะลวงเส้นลมปราณโดยเฉพาะ พอเอาไว้บนตัว ก็สามารถกระตุ้นเส้นลมปราณภายในร่างให้ขยายใหญ่ในระยะเวลาสั้นๆ ได้ เพิ่มแรงทะลวงของพลังเวท ทำให้อัตราความสำเร็จในการทะลวงคอขวดเพิ่มมากขึ้น ผลลัพธ์การเพิ่มพลังของยันต์ชนิดนี้ สูงกว่าการใช้โอสถในก่อนหน้านั้นมาก แต่ยันต์แต่ละผืนต้องใช้แต้มคุณูปการสองหมื่นแต้มในการแลก
วิธีที่สาม นิกายยอดบริสุทธิ์มีสมบัติชิ้นหนึ่ง ชื่อว่ากระจกหยินหยางแยกผสาน สามารถนำปราณพลังฟ้าดินบริเวณใกล้ๆ มาทำให้เป็นปราณหยินหยางผสาน แม้ว่าจะมีพลังเสริมในการทะลวงคอขวดเป็นอย่างมาก แต่สมบัติชิ้นนี้มีแต่ศิษย์สายในขึ้นไปเท่านั้น ถึงจะมีสิทธิ์ใช้แต้มคุณูปการจำนวนมหาศาลในการแลกมันมาใช้ได้
วิธีการสุดท้าย หลิ่วหมิงไม่สามารถใช้ได้ในขณะนี้ คงได้แต่หาวิธีใช้สองวิธีการแรกแล้ว
…………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น