หมอดูยอดอัจฉริยะ 498-502

 ตอนที่ 498 นกขมิ้นอยู่ข้างหลัง (2)

โดย

Ink Stone_Fantasy

คิตะมิยะ ฮิเดโอะเหลือไว้เพียงแค่สามสิบกว่าคน นอกจากศพที่อยู่ในป่านี้แล้ว มีศพอีกแปดศพถูกโยนทิ้งไว้ในพุ่มไม้ไปในป่ารอบหมู่บ้านบนภูเขา ตอนที่มาราไกย์และคนอื่นลอบสังหารพวกคนเหล่านี้ ใช้เพียงอาวุธเย็นตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ก่อให้เกิดร่องรอยของการเคลื่อนไหว


วิธีการแบบนี้ก็ทำให้เยี่ยเทียนรู้ว่าเขาไม่สามารถสู้กับศัตรูได้ และถ้าพูดถึงการโจมตีอย่างรวดเร็วและแข็งแกร่งของทหาร ตัวของเยี่ยเทียนก็ไม่ด้อยไปกว่าใคร แต่การลอบสังหารในเขตพื้นที่กว้างโลงแบบนี้ เขาสู้พวกมาราไกย์ไม่ได้ อย่างน้อยห้าร้อยเมตรจากที่นี่ไปยังตำแหน่งที่ยามยืนรักษาการณ์อยู่ เยี่ยเทียนก็ยากที่จะคลานเคลื่อนไหวอย่างลับๆ


“บอส หรือพวกเราจะพาคนฝ่าเข้าไปฆ่าดีไหมครับ?”


เพียงแค่มาราไกย์คนเดียว เมื่อครู่ก็จัดการคนญี่ปุ่นไปสิบกว่าคนแล้ว เวลานี้พลังพิฆาตได้แพร่ไปทั่วทั้งตัวของเขา ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำดุจสายเลือด มีความกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก เขาอยากจะใช้ดาบจริงปืนจริงไปสู้อีกครั้งอย่างอดใจไม่ไหว ถือว่าเป็นการอำลาการและปิดฉากชีวิตการเป็นทหารรับจ้างของตัวเองที่ผ่านเผชิญมาอย่างโชกโชน


มาราไกย์เป็นทหารรับจ้างอาชีพ เขาเคยนำทีมทหารรับจ้างเล็กๆ ของเขาไปสู้สงครามอิรัก และฆ่าทหารอิรักด้วยมือตัวเองมากกว่าสิบนาย แต่ครั้งนั้นไม่ได้ทำสำเร็จในภารกิจเดียว เหมือนกับการสังหารในวันนี้ จึงทำให้ปีศาจในหัวใจของเขาลุกขึ้นมากะทันหัน


เมื่อจ้องมองทางขึ้นภูเขารูปตัวเอสที่อยู่ไม่ไกล เยี่ยเทียนจึงส่ายหัวไปมา พูดว่า “เหล่ามา อีกฝั่งมีร้อยกว่าคน พวกเราแค่สิบกว่าคน ไม่จำเป็นต้องต่อสู้กับพวกเขา และสุภาษิตจีนเคยกล่าวไว้ว่า ตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลัง เอาแต่มองผลประโยชน์ที่อยู่ข้างหน้าโดยรู้ว่ามีภัยอยู่ข้างหลัง รอให้พวกเขาออกมาจากเขาก่อน นั่นถึงจะเป็นโอกาสและจังหวะที่ดีในการลงมือ!”


ในฝั่งของตัวเอง มีเพียงแค่เยี่ยเทียน หูหงเต๋อและมาราไกย์กับพรรคพวกที่มีประสบการณ์การเข่นฆ่าโรมรันในสนามรบ อู่เฉินที่และคนอื่นพอที่จะต่อสู้ชกต่อยได้ แต่ถ้าจะให้ใช้ดาบจริงปืนจริงขึ้นมา พวกเขาก็คงดูไม่ได้เลยทีเดียว ต่อให้เยี่ยเทียนมีความมั่นใจมากว่านี้ ก็ไม่กล้าที่จะให้คนเพียงห้าหกคนไปสู้กับอีกฝ่ายที่มีร้อยกว่าคน


อีกอย่างตอนที่อยู่ที่ไต้หวัน สภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยต้นไม้สูง สามารถหลบซ่อนตัวการเดินทางได้ เพราะเยี่ยเทียนไม่ได้กลัวอีกฝ่ายที่มีจำนวนเยอะ แต่ในภูเขาปีศาจมีพุ่มไม้เตี้ยเป็นส่วนใหญ่ ถ้าเกิดว่าอีกฝ่ายใช้ปืนยิงกราดเข้ามา ต่อให้เยี่ยเทียนคือเทพเซียนก็คงถูกยิงเป็นเหมือนรังตัวต่อเช่นกัน


ตอนนี้ขอเพียงเยี่ยเทียนเฝ้าตรงทางเข้าของภูเขาปีศาจ ก็เท่ากับตัวเองยืนอยู่จุดที่ไม่มีทางแพ้แล้ว เขาไม่จำเป็นต้องทำอะไรเพื่อละทิ้งข้อได้เปรียบของตัวเองไปกับคิตะมิยะ ฮิเดโอะอย่างสุดชีวิต


ขณะที่กำลังพูดอยู่ เยี่ยเทียนก็ตบไหล่ของมาราไกย์หนึ่งที พลังชีวิตกลุ่มหนึ่งได้ล้นออกมาจากฝ่ามือของเขา แล้วซึมเข้าไปในกล้ามเนื้อของมาราไกย์เพียงชั่วพริบตาเดียว มาราไกย์ที่มีเลือดสูบฉีดอย่างรุนแรงในตอนแรกจึงสะดุ้งตกใจอย่างรุนแรง ทำให้เขากระปรี้กระเปร่าไปทั้งตัว


เมื่อนึกถึงกิริยาท่าทางของตัวเองเมื่อครู่ เหงื่อเย็นบนหน้าผากของมาราไกย์ก็ไหลออกมาไม่หยุด พยักหน้าพลางพูด “บอสพูดถูกแล้วครับ พวกเราไม่จำเป็นต้องสู้กับพวกมันจริงๆ”


“ท่านเยี่ย ฉันมีเรื่องอยากคุยกับคุณ”


ขณะที่เยี่ยเทียนกับมาราไกย์กำลังปรึกษาหารือหาวิธีการปิดล็อคทางเข้าภูเขาปีศาจนั้น จู่ๆ เสียงของอู่เฉินก็ตะโกนออกมาจากป่าด้านนอก


“เรื่องอะไร? เข้ามาพูดตรงนี้สิ”


เมื่อเยี่ยเทียนได้ยินก็ตกตะลึง เมื่อครู่เขาสั่งให้อู่เฉินดักซุ่มอยู่นอกภูเขาปีศาจ ทำจุดตาข่ายกันไฟเพื่อป้องกันไม่ให้คนญี่ปุ่นหนีออกไป เขาคงไม่ได้ฝ่าฝืนคำสั่งตัวเองหนีออกมาโดยพลการใช่ไหม?


“ท่านเยี่ย คือ… คือเฮ่าจึอยากคุยกับท่านครับ!” หลังจากเข้าไปในป่าแล้ว อู่เฉินกับเด็กหนุ่มที่เดินตามหลังเขามองเห็นศพที่นอนกองกันอยู่บนพื้น สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นซีดขาวโดยไม่รู้ตัว


แม้ว่าหอศิลปะการต่อสู้อันเต๋อจะมีชื่อเสียงมากในวงการยุทธจักรของปักกิ่ง แต่ว่าในวันธรรมดาก็แค่ประลองฝีมือกันแบบชาวยุทธภพ มีการออกมืออย่างมีขีดจำกัด อย่าว่าแต่เอาชีวิตคนเลย แม้แต่เรื่องบาดเจ็บก็มีน้อยมาก


สามารถพูดได้ว่า คนพวกนี้ที่ติดตามเยี่ยเทียนมาที่พม่า ถึงแม้ว่าจะเป็นนักสู้คนหนึ่ง แต่ว่าตำแหน่งและฐานะของแต่ละคนนั้นสะอาดบริสุทธิ์อย่างมาก ไม่เคยมีประวัติก่ออาญชญากรรมอยู่ในสถานีตำรวจเลย หลังจากที่ได้เปิดหูเปิดตากับวิธีการของชาวต่างชาติ อู่เฉินจึงนิ่งและสุขุมมาตลอดแม้แต่การพูดจาของเขาก็ไม่ค่อยคล่องแคล่วเลย


“ไปกันเถอะ พวกเราออกไปคุยกันข้างนอก”


เยี่ยเทียนพูดกับอู่เฉินหนึ่งที แล้วจึงหันกลับไปมองมาราไกย์แล้วพูดว่า “เหล่ามา อีกสักพักผมจะเรียกเหล่าหูกละคนอื่นมาช่วย พวกคุณสองสามคนคงต้องลำบากหน่อย ต้องขุดหลุมเพื่อฝังคนเหล่านี้ และอากาศก็ร้อนขนาดนี้ อย่าเพิ่งป่วยก็แล้วกัน”


ความจริงถ้าอยากจะทำลายศพ วิธีที่ดีที่สุดก็คือการจุดเผา ใช้น้ำมันราดลงไปหนึ่งถัง ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงแม้แต่โครงกระดูกก็ถูกเผาจนหมดเกลี้ยง เพียงแต่เยี่ยเทียนไม่อยากให้ควันไฟพุ่งขึ้นท้องฟ้าดึงดูดความสนใจคนที่อยู่ในภูเขาปีศาจ เขาจึงคิดวิธีการฝังศพเพื่ออำพรางออกมา


เมื่อเดินออกมานอกป่าแล้ว เยี่ยเทียนสั่งงานให้กับหูหงเต๋อและโจวเซี่ยวเทียนที่เฝ้ารักษาอยู่ข้างนอก และพูดกับเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างอู่เฉินว่า “เฮ่าจึ เกิดอะไรขึ้น?”


 เฮ่าจึที่เยี่ยเทียนที่กำลังเรียก ชื่อเต็มของเขามีชื่อว่าหลีเสี่ยวเฮ่า คือคนยูนนานกุ้ยโจว ฐานะทางบ้านถือว่าไม่เลว หลังจากดูภาพยนตร์กังฟูที่สร้างขึ้นบนเกาะฮ่องกงเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา เขาจึงเดินทางไปที่เมืองปักกิ่งเพื่อเรียนรู้วิชาจากอาจารย์ และจับพลัดจับผลูก็ไปเจอหอศิลปะการต่อสู้อันเต๋อ แล้วจึงกลายเป็นหนึ่งในสมาชิก


“ท่านเยี่ย นี่มัน…นี่มันเกิดอะไรขึ้น…”


หลีเสี่ยวเฮ่ามองเข้าไปในป่าด้วยความรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย แล้วจึงพูดติดอ่างว่า “ผม…ผมเพิ่งไปคุยกับคนแก่ในหมู่บ้านสองสามประโยค ได้ยินพวกเขาพูดว่า ภูเขาปีศาจไม่ได้มีทางเข้าแค่ทางเดียว ตรงทางเหนือของภูเขาอีกยี่สิบลี้ แล้วก็ยังมีอีกที่ที่สามารถเข้าออกได้เหมือนกัน ผม…ผมรู้สึกว่าข้อมูลน่าจะมีประโยชน์กับท่านครับ?


บนโลกนี้จะมีเพียงแค่คนที่โง่โดยกำเนิด ไม่มีใครเพิ่งกลายเป็นคนโง่ในภายหลัง และเป็นใครก็มองออกว่าคำสั่งของเยี่ยเทียน ก็คือต้องการที่จะสกัดกั้นคนญี่ปุ่นเหล่านั้นไว้ข้างใน แต่เรื่องที่บอกว่ามีทางเข้าอีกทาง จึงกลายเป็นประเด็นสำคัญ


เดิมทีหลีเสี่ยวเฮ่าก็อาศัยอยู่ที่มณฑลยูนนานกุ้ยโจวที่อยู่ติดกับพม่า ประเพณีภาษาและวัฒนธรรมของทั้งสองฝั่งจึงพอมีพื้นฐานอยู่บ้าง หลังจากที่เขาได้ข้อมูลนี้ เขาจึงรีบมาหาอู่เฉินและรีบร้อนที่จะไปหาเยี่ยเทียน


“อะไรนะ? ยังมีทางออกอีกทาง?” เยี่ยเทียนพอได้ยินก็ตกใจ แล้วจึงรีบถาม “เฮ่าจึ ข่าวนี้เชื่อถือได้แน่นอน? คนแก่พวกนั้นไม่ได้โกหกอยู่ใช่ไหม?”


ถ้าหากในภูเขายังมีทางออกอื่นอยู่อีก ก็เท่ากับว่าความพยายามของเยี่ยเทียนก็เปล่าประโยชน์ และหลังจากที่อีกฝ่ายออกมาจากภูเขาอีกทาง ก็จะเป็นฝ่ายล้อมพวกเขาแทน ถึงตอนนั้นใครเป็นตั๊กแตน จักจั่นแลนกขมิ้นก็ยังพูดยากมาก


หลีเสี่ยวเฮ่าส่ายหัวไปมา พูดว่า” ท่านเยี่ย ผมถามอย่างละเอียดแล้ว คนแก่คนนั้นเขาเคยเลี้ยงแกะ แล้วเผลอเข้าไปในป่าภูเขาปีศาจ ก็คือห่างจากจุดนั้นเข้าไปประมาณยี่สิบลี้ แต่เนื่องจากลักษณะพื้นภูมิที่แปลกมากของภูเขา หลังจากที่เดินเข้าไปและออกจากทางเข้านี้ มีระยะห่างกันเพียงแค่สามหรือห้ากิโลเมตรเท่านั้น”


เรื่องนี้สำคัญมาก หลังจากที่หลีเสี่ยวเฮ่าถามครั้งแล้วครั้งเล่าจนแน่ใจ แล้วจึงรีบมาหาเยี่ยเทียน เพราะหลังจากที่ชายชราคนนั้นออกมาจากทางเข้าภูเขาปีศาจที่อยู่ตรงหน้าของหมู่บ้าน แล้วจึงรู้ว่าตัวเองเดินผิดเผลอเข้าไปในภูเขาปีศาจ ตอนนั้นเขารู้สึกตกใจไปสองสามวันไม่กล้าเอาแกะไปปล่อยเลี้ยงขข้างนอกอีก


“อู่เฉิน พวกคุณตามผมมา”


สีหน้าของเยี่ยเทียนเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก เท้าขวาหยุดบนพื้นกะทันหัน แล้วจึงหมุนตัวเดินเข้าไปในป่า พลางตะโกนพูดกับหูหงเต๋อที่กำลังใช้พลั่วขุดดินว่า “เหล่าหู คุณมากับผม เซี่ยวเทียนนายพาพวกเขาให้ขุดต่อไป”


และไม่ทันได้สนใจสีหน้าที่ดูไม่ได้ของอู่เฉินและหลีเสี่ยวเฮ่า เยี่ยเทียนก็ลากหูหงเต๋อออกมาจากป่า อธิบายเรื่องที่ภูเขาปีศาจยังมีทางออกอีกทางให้เขาฟัง


หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว หูหงเต๋อก็พึมพำเล็กน้อยและพูดว่า “สามถึงห้ากิโลเมตรไม่ถือว่าไกลมาก ถ้าหากคิตะมิยะ ฮิเดโอะถูกสกัดกั้นอยู่ในหุบเขา เขาก็ต้องส่งคนหาทางออกอีกทางได้อย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นจะสู้หรือจะถอย ก็อยู่ในกุมมือของอีกฝ่ายแล้ว”


“เฮ้อ เกรงว่าศิษย์พี่ก็ไม่น่าจะรู้เรื่องนี้”


ในใจของเยี่ยเทียนก็รู้สึกสับสนยุ่งกันอุตลุต แต่เขารู้ดีว่าเรื่องนี้จะโทษโก่วซินเจียก็ไม่ได้ เพราะภูเขาปีศาจเป็นเขตหวงห้ามไม่ให้คนเข้าไปอยู่แล้ว ที่โก่วซินเจียสามารถพาคนเข้าออกก็ถือว่าน่าชื่นชมยินดีเป็นอย่างยิ่ง และเขาจะกล้าหาเรื่องให้ตัวเองวิ่งเพ่นพ่านอยู่ในเขาปีศาจหรือ?


เมื่อเห็นเยี่ยเทียนจ้องมองตัวเอง หูหงเต๋อจึงแบมือทั้งสอง ฝืนยิ้มเจื่อนๆ แล้วพูด “เยี่ยเทียน นายอย่ามองฉันแบบนี้นะ เรื่องนี้ฉันก็ไม่มีวิธีที่ดีเหมือนกัน”


ถ้าจะพูดถึงระดับในการล่าสัตว์ของหูหงเต๋อ เยี่ยเทียนคงยากที่จะประจบสอพลอ แต่ในภูเขาที่มีคนมีชีวิตอยู่นับร้อยกว่าคน คงไม่มีใครจะยืนอยู่กับที่แล้วให้หูหงเต๋อจัดการทีละรายหรอก เขาจึงหมดหนทางที่จะเชิญสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า


“แม่งเอ้ย ถึงคนแก่อย่างฉันจะต้องตาย แต่ก็ไม่สามารถให้พวกญี่ปุ่นมาเอาทองคำไปได้!”


เมื่อเห็นท่าทางลำบากใจของหูหงเต๋อ เยี่ยเทียนจึงด่าอย่างอดใจไม่ไหว ตอนนั้นโก่วซินเจียแย่งอาหารจากปากเสือของพวกญี่ปุ่น แล้วเริ่มซ่อนทรัพย์สมบัติเหล่านี้ไว้ หรือตัวเองจะเทียบศิษย์พี่ใหญ่ไม่ได้ แล้วจึงมองตาปริบๆ ให้พวกญี่ปุ่นทำแผนสำเร็จ?


“เยี่ยเทียน เธอล้อเล่นอะไรอยู่?” หูหงเต๋อได้ยินจึงตกตะลึง จากนั้นจึงดึงเยี่ยเทียนที่กำลังถอดเสื้อคลุมออกแล้วพูด “ข้างในมีคนอยู่ร้อยกว่าคน นายเข้าไปคนเดียวจะมีประโยชน์อะไร?”


ตอนนี้ไม่ใช่นายพลทั้งสองคนประจันหน้ากัน หลังจากฝ่ายหนึ่งชนะก็สามารถวางรากฐานให้มั่งคงสถานการณ์ในสนามรบได้ และในยุคปัจจุบัน ความองอาจห้าวหาญของแต่ละคน ก็จะมองจากมือเท้าทั้งสี่ที่เจริญเติบโตและมันสมองอย่างง่ายเท่านั้น ก็เหมือนกับหูหงเต๋อผู้มีชื่อเสียงในวงการยุทธจักร จึงไม่คิดว่าเยี่ยเทียนฉายเดี่ยวจะสามารถทำเรื่องแบบนี้ได้ด้วยตัวเอง


“ไม่เป็นไร เหล่ามา คุณถอดชุดของคุณมาให้ผมแล้วผมจะแอบเข้าไปโดยไม่ให้พวกมันรู้”


ตั้งแต่เด็กเยี่ยเทียนตรงไปตรงมาเป็นพิเศษ เรื่องที่เขาตัดสินใจนั้น ไม่มีใครกล้าที่จะคัดค้านหรือเปลี่ยนแปลงได้ และตอนนี้ตัดสินใจแล้วว่าจะต้องเดินเข้าไปในภูเขาปีศาจให้จงได้


ขณะที่พูดเยี่ยเทียนก็ถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกจนหมด เหลือเพียงกางเกงในตัวเดียว จากนั้นก็หยิบขวดที่ปิดผนึกขนาดเท่ากำปั้นออกมาจากกระเป๋าเป้ของเขา


ออกแรงบิดฝาขวด จากนั้นเยี่ยเทียนจึงค่อยๆ เอียงปากขวดเทลงกลางฝ่ามืออย่างระมัดระวัง ทันใดนั้นก็มีกลิ่นเหม็นฉุนไหลออกมา แต่ว่าเยี่ยเทียนก็กลั้นหายใจไว้ก่อนหน้านี้แล้ว และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เขาจึงใช้น้ำยาของเหลวสีโปร่งใสทาไปบนตัว


ใช้มือหยิบชุดลายพรางขึ้นมาที่มีสัญลักษณ์ของตระกูลคิตะมิยะ หูหงเต๋อทนไม่ไหวจึงใช้เสื้อผ้าที่อยู่ในมือมาปิดจมูก และพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “แม่ง นี่มันกลิ่นอะไรกันวะ? แถมนายยังทามันไว้บนตัว ไม่รู้สึกขยะแขยงบ้างหรือไง?”


“เหล่าหู กลิ่นนี้จะจางหายไปหลังจากสิบนาที ถ้าไม่มีของสิ่งนี้ ผมก็จะไม่กล้าเข้าไปในภูเขาปีศาจ”


เยี่ยเทียนได้ยินแล้วจึงหัวเราะขึ้นมา ปิดฝาขวดนั้นอย่างระมัดระวังแล้วยัดใส่กลับไป พลางพูดว่า “ศิษย์พี่เป็นคนปรุงเจ้าสิ่งนี้ขึ้นมา ตอนนั้นเขาสามารถพาคนเข้าไปในภูเขาปีศาจได้ ต่างก็อาศัยเจ้าสิ่งนี้เนี่ยแหละ ไม่อย่างนั้นคุณคิดว่างูพิษยุงและแมลงที่อยู่ในเขานั้นคือพระที่ทานมังสวิรัติหรือ?”


ตอนที่ 499 นกขมิ้นอยู่ข้างหลัง (3)

โดย

Ink Stone_Fantasy

“เหรอ? มีของดีแบบนี้ด้วยหรือ?”


หูหงเต๋อเมื่อได้ยินดวงตาก็เป็นประกายขึ้นมา กลิ่นที่เหม็นเน่ามากดูเหมือนจะไม่ได้เหม็นอะไรขนาด ทันใดนั้นจึงพูดว่า “เยี่ยเทียน ของสิ่งนี้นายต้องเหลือไว้ให้ฉันหน่อยนะ สัตว์มีพิษในภูเขาฉางไป๋ซานก็มีอยู่ไม่น้อย ถ้าเกิดว่าพกสิ่งนี้ไปด้วยก็คงไม่มีอะไรมากวนใจ”


“ฝันไปเถอะ ปริมาณที่ผมมีใช้ได้แค่คนเดียว แต่รอให้จัดการเรื่องที่นี่เสร็จก่อน ก็สามารถกลั่นยาใหม่ได้อีกครั้ง”


เยี่ยเทียนเมื่อได้ยินแล้วก็เบะปาก ขวดยาที่อยู่ในมือเขา มีเงินก็ซื้อไม่ได้ เมื่อมีของแบบนี้อยู่ในมือ ก็เหมือนกับเป็นกุญแจที่จะพาเข้าไปหาสมบัติล้ำค่าในภูเขาปีศาจได้


ตอนนั้นโก่วซินเจียเลือกให้ภูเขาปีศาจเป็นที่เก็บซ่อนทองคำ อีกทั้งไม่การทำอย่างไร้จุดประสงค์ แต่ได้ผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียดรอบคอบแล้วจึงตัดสินใจทำแบบนี้


พื้นที่ของภูเขาปีศาจอยู่ลึกเข้าไปในรัฐฉาน ข้างหลังคือภูเขาที่ยาวเหยียดอย่างไม่ขาดสาย และทางเข้าของภูเขายังรูปร่างเหมือนตัวเอส ส่วนที่เหลือถูกล้อมรอบด้วยภูเขาทั้งสามด้าน ฮวงจุ้ยของสถานที่นี้ถือว่าเป็นดินแดนที่น่ากลัว ซึ่งความหมายว่าพลังแห่งความชั่วร้ายสามารถเข้าไปแต่ออกมาไม่ได้ จึงกลายเป็นสถานที่อันตรายที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติแห่งหนึ่ง


ก่อนที่จะนำคนเข้าไปในภูเขาปีศาจ โก่วซินเจียก็เคยเข้ามาในภูเขาปีศาจนี้ และเคยเห็นและรู้จักดอกไม้กินคนกับงูพิษชนิดต่างๆ แต่ว่าพวกมันก็ทำอะไรเขาไม่ได้ สรรพสิ่งในโลกนี้ต่างมีความสามารถของตัวเอง หลังจากที่รวบรวมวัตถุดิบยาในภูเขาแล้ว เขาก็จัดการปรุงยาแล้วจึงสกัดใส่ขวดที่อยู่ในมือของเยี่ยเทียน


ถึงตอนที่เขาเพิ่งจะทาลงไป กลิ่นของยามีความเหม็นเน่ายากที่จะสูดดม แต่หลังจากผ่านไปปสิบนาทีกว่า กลิ่นเหม็นเน่าเหล่านั้นก็จะหายไปและไม่มีใครได้กลิ่น แต่ฤทธ์ของยากลับไม่ได้ลดลง ในภูเขาปีศาจนี้ไม่ว่าจะเป็นงูพิษยุงหรือแมลง หรือว่าดอกไม้กินคน เมื่อได้กลิ่นก็จะอ่อนข้อให้และถอยออกไปเก้าสิบลี้


ตอนนั้นหลังจากถูกคนของตระกูลคิตะมิยะลอบโจมตี อาวุธและอุปกรณ์ที่โก่วซินเจียพกมาสูญสิ้นไปทั้งหมด เหลือเพียงยาขวดนี้ขวดเดียวที่เขาซ่อนไว้ในตัว


หลังจากผ่านไปครึ่งศตวรรษ เดิมทียาปรุงที่เหลืออยู่เต็มขวด ตอนนี้กลับเหลือเพียงแค่ครึ่งขวดแล้ว เยี่ยเทียนจึงพยายามทามันบนตัวอย่างระมัดระวัง และนี่คือสาเหตุที่เยี่ยเทียนเตรียมจะเข้าไปในภูเขาปีศาจเพียงลำพัง


เวลาผ่านไปประมาณสิบนาที หูหงเต๋อจึงลองดมกลิ่นอีกที แล้วจึงพูดด้วยสีหน้าแปลกใจ “เฮ้ย กลิ่นนี้มันไม่มีแล้วจริงๆ?”


“ฮิๆ เหล่าหู คุณดมจนติดใจแล้วใช่ไหม? ตอนนี้ไม่รังเกียจกลิ่นเหม็นแบบนี้แล้วหรือ?” เยี่ยเทียนมองหูหงเต๋อด้วยความแปลกใจเล็กน้อย ขณะเดียวกันเขาก็สูดลมหายใจยาว ๆ


หูหงเต๋อยืดอกตรงแล้วพูดว่า “เยี่ยเทียนถ้านายดมได้กลิ่นอยู่ แล้วฉันเหล่าหูจะดมไม่ได้เหรอ? เหม็นนิดหน่อยจะกลัวอะไรไป?”


“แต่…เมื่อครู่ผมเพิ่งก็ลองปรับลมหายใจเข้าไปด้านใน จึงไม่ได้กลิ่นอะไร ฮ่า ฮ่า ฮ่า…” เยี่ยเทียนกลั้นไม่อยู่จริงๆ แล้วจึงขำก๊าก ทำให้หูหงเต๋อหน้าแดงก่ำ อยากจะให้เต้าหู้ปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้วเอาหัวชนให้ตายไปเลย


“พอแล้ว เหล่าหู ผมจะเข้าไปแล้ว คุณให้พวกเขาเฝ้าตรงนี้ไว้ให้ดี ก่อนที่ผมจะออกมาผมจะให้สัญญาณลับ ถ้าหากไม่ใช่ผม พวกคุณก็เอาปืนยิงไปที่หัวของมันได้เลย”


สงครามใกล้เข้ามาแล้ว ผ่อนคลายแบบนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก แม้ว่าเยี่ยเทียนจะมีผลงานการรบเอาชนะด้วยจำนวนที่น้อยกว่าก็ตาม แต่อีกฝ่ายเป็นลูกหลานที่เก่งกาจของตระกูลคิตะมิยะ ในใจของเขาจึงมีความกระวนกระวายใจอยู่บ้าง การล้อเล่นเมื่อครู่ กลับทำให้อารมณ์ที่ตื่นเต้นของเยี่ยเทียนค่อยๆ กลับมาสงบอีกครั้ง


“วางใจเถอะ นี้ฝืมือในการยิงปืนของเหล่าหูอย่างฉันไม่ด้อยไปกว่าพวกฝรั่งตาน้ำข้าวพวกนั้นหรอก” หูหงเต๋อพูดอย่างหยิ่งยโส ระหว่างทางทารีบมาภูเขาปีศาจนี้ หูหงเต๋อไม่ได้เสียลูกกระสูนเลยสักนิด จึงอยากหาความรู้สึกบางอย่างในตอนนั้นกลับมา และหารใช้ปืนของในกองทัพแบบนี้เขาก็ใช้จนมีความชำนาญเป็นอย่างมาก


“โอเค อย่างนั้นผมไปแล้วนะ”


เยี่ยเทียนพยักหน้า พลางคิดว่ามีหูหงเต๋อคนเก่าแก่ของยุทธภพอยู่ด้วย บวกกับและพรรคพวกมาราไกย์ที่มีประสบการณ์มากมายในการทำสงครามยุคปัจจุบัน ถึงแม้ทางออกของภูเขาปีศาจนี้จะไม่ใช่กำแพงเมืองแข็งแกร่งมั่นคงยากที่ภายนอกจะตีเข้ามาได้ แต่ใช่ว่าเขาจะบุกฆ่าคนทั้งหนึ่งร้อยคนได้เด็ดขาด


หลังจากที่เปลี่ยนเป็นชุดอำพรางเรียบร้อย ร่างกายของเยี่ยเทียนก็เลือนรางขึ้นมาทันที หูหงเต๋อขยี้ตามองอย่างละเอียดอีกที จึงเห็นว่าเยี่ยเทียนที่ยืนอยู่ตรงหน้า กลับหายไปกลางอากาศไม่เหลือแม้แต่เงา


“เฮ้ย เยี่ยเทียน นายไปฝึกวิชานินจาของเจ้าพวกผีน้อยมาตั้งแต่เมื่อไรกัน?”


หูหงเต๋อไม่เชื่ออยู่แล้วว่าเยี่ยเทียนจะมีพลังวิเศษ ทำให้นึกถึงความสามารถที่มีชื่อเสียงโด่งดังของนินจาญี่ปุ่นเป็นอย่างแรก นั้นก็คือการอำพรางตัว จึงอดตะโกนพูดใส่กลางอากาศอย่างช่วยไม่ได้


“วิชานินจาบ้าบออะไร วิชานินจาของพวกญี่ปุ่นก็คือดัดแปลงมาจากวิชาฉีเหมินตุ้นเจี่ยของจีน หลักพื้นฐานทางทฤษฎีก็มาจาก “ตำราพิชัยสงครามของซุนจื่อ”ของประเทศของเรา และทฤษฎีของหยินหยางก็คือหัวใจของลัทธิเต๋า ผมถึงจะเป็นวิชาอำพรางตัวดั้งเดิมอย่างแท้จริงต่างหาก…”


ยังไม่ทันสิ้นเสียงของหูหงเต๋อ เสียงของเยี่ยเทียนก็ดังขึ้นมา จากแนวคิวด้านวัฒนธรรมของญี่ปุ่นตั้งแต่ยุคสงครามจนถึงปัจจุบัน นอกจากการร่วมประเวณีที่มั่วซั่วระหว่างพ่อแม่ลูกและอุตสาหกรรมหนังโป๊ที่ได้รับการพัฒนาแล้ว มีอะไรบ้างที่ไม่ได้เรียนรู้ไปจากประเทศจีน? หากจะพูดว่ากลุ่มการละเมิดลิขสิทธิ์ครั้งแรกของโลก ประชากรที่อาศัยอยู่บนเกาะไร้ยางอายนี้สมควรได้รับฮายาเป็นอย่างยิ่ง


แต่วิชาอาคมที่เยี่ยเทียนใช้นั้น คือหนึ่งในวิชาของฉีเหมินตุ้นเจี่ยของจีน เขาเขียนยันต์กลางอากาศทำค่ายกลออกมา ทำให้ชี่ก่อนกำเนิดรอบร่างกายเกิดความผิดปดติ ทำให้ดวงตาของมนุษย์เกิดภาพลวงตา แล้วจึงบรรลุผลของการอำพราง


“ยังมีวิชาแบบนี้ด้วยหรือ? ถ้าใช้วิชานี้ก็ไร้คู่ต่อสู้แล้วน่ะสิ? พอเจอญี่ปุ่นหนึ่งคนก็ลงมือฆ่าคนหนึ่ง?” หูหงเต๋อได้ยินดวงตาก็เป็นประกาย และอยากให้วิชาของเยี่ยเทียนย้ายมาอยู่บนตัวของตัวเองจริงๆ จากนั้นก็เข้าไปในภูเขาปีศาจตามหาพวกคนญี่ปุ่นเพื่อสร้างความหายนะให้กับพวกมัน


เยี่ยเทียนถลึงตามองหูหงเต๋ออย่างไม่พอใจ พลางหัวเราะและพูดเหน็บแนมว่า “ฝันไปเถอะ ถ้าวิชานี้สามารถเคลื่อนย้ายได้ ผมยังต้องเสียแรงเปล่าให้พวกคุณเฝ้าทางเข้าภูเขาอยู่ทำไม?”


ถึงแม้วิชาแบบนี้จะสามารถหลบการมองเห็นของสายตาได้ชั่วคราว แต่ทันทีที่คนแสดงวิชานี้เคลื่อนไหวตัว ค่ายกลที่อยู่รอบตัวก็จะพังโดยที่ไม่มีการโจมตีใดๆ ถึงแม้จะเป็นเยี่ยเทียนแต่ก็ไม่มีวิธีปรับปรุงให้ดีขึ้น เพราะมันไกลเกินความสามารถของมนุษย์ที่จะทำได้


แน่นอนว่า วิชาแบบนี้ไม่สามารถใช้ต่อสู้กับศัตรูได้ แต่ว่าเยี่ยเทียนก็ยังคงมีฝีมือวิธีอื่น หลังจากอธิบายให้หูหงเต๋อฟังแล้ว ร่างกายของเขาก็ค่อยๆ จางหายไป เหลือเพียงร่างเงาที่อยู่ในท้องฟ้ายามเย็น ล่องหนเข้าไปในภูเขาปีศาจที่เป็นดั่งปากเสือ



“ท่านฟูจิโอะ ท่านสามารถทำลายค่ายกลนี้ได้ไหมครับ?”


ขณะที่เยี่ยเทียนเข้าไปในภูเขาปีศาจ คิตะมิยะ ฟูจิโอะที่เดินไปเดินมาอยู่ตรงถ้ำประมาณสามสี่ชั่วโมง ในที่สุดก็หยุดเดินและยืนตัวตรง บนใบหน้าที่แก่หง่อมจึงดูไม่ออกถึงสีหน้าทางอารมณ์ใดๆ ของเขา ทำให้คิตะมิยะ ฮิเดโอะที่ยืนอยู่ข้างๆ รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา


อาการช้ำในของคิตะมิยะ ฮิเดโอะค่อยๆ กำเริบขึ้นเรื่อยๆ เขารู้ว่าถึงแม้ตัวเองจะออกจากของตระกูลและเข้าสู่คริสตจักรเพรสไบทีเรียนยามแก่ตัวและก็จะตายในไม่ช้า แต่ก่อนจะจากไปนั้น เขาก็อยากหาสมบัติของตระกูลกลับมาให้ได้ก่อน เพื่อพิสูจน์พฤติการณ์ที่ตัวเองกระทำปิตุฆาต แก่งแย่งความเป็นเจ้าบ้านของตระกูล ทั้งหมดก็เพื่ออนาคตของตระกูลทั้งนั้น


คิตะมิยะ ฟูจิโอะส่ายหน้าและพูดว่า “ฉันไม่สามารถทำลายค่ายกลนี้ได้ แม้ว่าภูมิประเทศของภูเขาปีศาจจะไม่สูง แต่ก็อันตรายและน่ากลัว อีกทั้งมันไม่ใช่สถานที่ดีในการเก็บซ่อนหรือรวบรวมพลังของฮวงจุ้ย โก่วซินเจียทำให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นสนามฮวงจุ้ยที่ยิ่งใหญ่ เมื่อผ่านการสะสมพลังพิฆาตมากว่าสิบปี เกรงว่าถ้าเขามาด้วยตัวเองก็ไม่มีวิธีที่จะทำลายค่ายกลนี้ได้เช่นกัน”


ถึงแม้คิตะมิยะ ฟูจิโอะจะไม่เชียวชาญเกี่ยวกับค่ายกล แต่เขาก็พอเข้าใจหลักทฤษฎีของหยินหยาง และสถานที่แห่งนี้คือหยินเข้มแข็งหยางอ่อนแอ บวกกับความตั้งใจโน้มนำของโก่วซินเจีย จึงฉุดดึงพลังหยินพิฆาตที่อยู่ในภูเขาปีศาจนี้ ทำให้พลังหยินเกือบจะอยู่ในจุดสูงสุด จึงไม่ใช่พลังของมนุษย์ที่จะสามารถทำลายได้


“อย่างนั้น…อย่างนั้นจะทำยังไงดีครับ? หรือตระกูลคิตะมิยะของเรา ยังคงต้องตกต่ำต่อไปเช่นนั้นหรือครับ?”


หลังจากที่ได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสฟูจิโอะ ใบหน้าของคิตะมิยะ ฮิเดโอะก็เผยสีหน้าของความสิ้นหวังออกมา คิตะมิยะ ฟูจิโอะคือหนึ่งเดียวในตระกูลที่มีความรู้อย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับค่ายกลวิชาฉีเหมินของจีน ถ้าเขาไม่สามารถทำลายได้ เกรงว่าคนในญี่ปุ่นทั้งหมดก็ไม่มีใครสามารถทำลายมันได้เช่นกัน


ได้เห็นท่าทางเสียใจของคิตะมิยะ ฮิเดโอะ ผู้อาวุโสฟูจิโอะก็พูดขึ้นมาทันที “ฮิเดโอะ ถึงฉันจะไม่สามารทำลายมันได้ แต่ยังมีวิธีอื่นสามารถบุกทะลวงเข้าไปได้”


“จริงหรือครับ? ผู้อาวุโสฟูจิโอะ ต้องทำยังไง ท่านพูดมาเลยครับ…” เมื่อคิตะมิยะ ฮิเดโอะได้ยินก็ตกตะลึงเป็นอย่างแรก จากนั้นก็แสดงสีหน้าความตื่นเต้นดีใจออกมา แล้วจึงจับมือที่แห้งเหี่ยวของคิตะมิยะ ฟูจิโอะ เหมือนกับลูบคลำมือของรักกัน


“แค่กๆ…”


ถึงแม้คิตะมิยะ ฟูจิโอะจะอายุมากแล้ว แต่ก็ไม่ได้ชอบหรือสนใจอะไรพวกนั้น หลังจากสะบัดมือออกจากของคิตะมิยะฮิเดโอะด้วยสีหน้าที่นิ่งเฉยแล้วจึงพูดว่า “วิธีนี้ง่ายมาก รวบรวมปืนไฟทั้งหมดของตระกูล เพราะพลังหยางสามารถเอาชนะพลังหยินได้ หลังจากยิงปืนไฟเข้าไป ก็สามารถกำจัดพลังหยินพิฆาตที่อยู่ตรงหน้าได้แล้ว…


หลังจากรอให้พลังหยินพิฆาตหายไปแล้ว จากนั้นพวกเราพวกเราก็ทยอยเข้าไป ขอเพียงมีการเคลื่อนไหวที่ว่องไว ก่อนที่แสงไฟจากปืนไฟจะหมดลง ก็น่าจะนำสมบัติล่ำค่าเหล่านั้นออกมาได้แล้ว”


วิธีนี้ของคิตะมิยะ ฟูจิโอะ คือใช้ทฤษฎีปัญจธาตุ (อู่สิงเซียงเค่อ) เดิมทีหยินหยางคือพลังที่อยู่ตรงข้ามกัน พลังชั่วร้ายก็เป็นเหมือนกับพลังหยิน และเปลวไฟที่มีอุณหภูมิสูง จึงเกิดพลังหยางเป็นธรรมดา ถึงแม้จะยังไม่เคยทดลองทำมาก่อน แต่ว่าคิตะมิยะ ฮิเดโอะก็เผยสีหน้าที่ตื่นเต้นดีใจออกมาแล้ว


เวลานี้ท้องฟ้าใกล้มืดแล้ว คิตะมิยะ ฮิเดโอะรอไม่ไหวแล้ว หลังจากออกคำสั่งนำเปิดหลอดไฟนับสิบดวง ส่องไฟสว่างเข้าไปในถ้ำ ถึงแม้แสงนี้จะสว่างจ้าไม่เหมือนเปลวไฟ แต่มันก็สามารถเพิ่มหยางได้อยู่บ้าง


ถึงแม้ในถ้ำจะมีพื้นที่กว้างมาก แต่ก็ไม่สามารถจุคนจำนวนมากให้เดินเข้าไปพร้อมกันได้ คนที่ถือปืนไฟสิบสองคนยืนเป็นสองแถว ทุกแถวจะแบ่งเป็นหกคน


หลังจากที่ออกคำสั่งเรียบร้อยแล้ว แถวหน้าทั้งหกคนเหนี่ยวไกปืน จากนั้นลำแสงทั้งหกทางของเปลวเพลิงรูปเสาก็เหมือนมังกรกำลังพ่นไฟเกิดเสียงดังจิ๊ดจิ๊ด พุ่งเข้าไปในพื้นที่ตรงหน้าหน้าสิบกว่าเมตรอย่างกำเริบเสิบสาน ที่สถานที่ที่เปลวเพลิงรูปเสาผ่านไป ทำให้อากาศดูเหมือนจะบิดเบี้ยวเปลี่ยนไป


หลังจากรอให้เปลวเพลิงรูปเสาค่อยๆ สลายหาย เดิมทีผนังถ้ำสีเขียวจึงกลายเป็นสีดำ มีคราบน้ำมันที่กำลังไหม้หลงเหลือเป็นบางจุด กลิ่นของเชื้อเพลิงคละคลุ้งอยู่ในอากาศ


แต่สิ่งที่ทำให้คิตะมิยะ ฮิเดโอะรู้สึกดีใจระคนความตื่นเต้นก็คือ หลังจากที่เขาก้าวเข้าไปในพื้นที่ที่มีการเผาไหม้ กลิ่นอายที่เย็นชาและมืดครึ้มนั้นได้หายไปทันที ซึ่งหมายความว่าแผนการของผู้อาวุโสฟูจิโอะนี้ใช้ได้ผลจริงๆ


คิตะมิยะ ฮิเดโอะทอดมองไปด้วยความดีใจเป็นอย่างมาก แล้วจึงรีบออกคำสั่งให้สมาชิกทั้งสองหน่วยฉีดพ่นไฟสลับกัน และขบวนที่เดินทางอย่างยากลำบากที่ติดอยู่ที่นี่เกือบทั้งวัน ในที่สุดก็ค่อยๆ ก้าวเดินไปข้างหน้า


ตอนที่ 500 งูอนาคอนดายักษ์ถูกเผา

โดย

Ink Stone_Fantasy

ในตอนเริ่มต้น ตระกูลคิตะมิยะทุกคนบุกรุกไปข้าวหน้าอย่างรวดเร็ว  ปืนเปลวไฟสิบสองกระบอกพ่นปะทุออกมา ทำให้เกิดทะเลเพลิงภายในถ้ำ ความมืดครึ้มและหนาวเย็นของพลังชั่วร้ายที่ผนึกตัวมากว่าครึ่งศตวรรษ ถูกขับไล่ออกไปทั้งหมดอย่างกะทันหัน


แต่หลังจากที่เดินลึกเข้าไปอีกสามสิบสี่สิบเมตร คิตะมิยะ ฮิเดโอะและคนอื่นก็รู้สึกถึงบางอย่างที่ผิดปกติ พลังชั่วร้ายที่คละคลุ้งอยู่ภายในถ้ำเหมือนกับสสารที่เป็นหมอกควันสีดำติดต่อกันอย่างไม่ขาดสายเหมือนของจริง เกลื่อนกลาดอยู่ทุกซอกทุกมุมภายในถ้ำ


บนกำแพงของถ้ำ เต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ น้ำท่วมขังที่อยู่บนพื้นที่เป็นหลุมไม่ราบเรียบ ราวกับสีดำของหมึกก็ไม่ปาน หลังจากมีบางคนเดินเหยียบอย่างไม่ระวัง ทำให้เท้าทั้งสองเหมือนตกอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง สั่นสะท้านด้วยความหนาวเย็นไปทั้งตัว


ถุงแม้ปืนไฟจะยังคงมีประโยชน์มาก กระทั่งสามารถทำให้แอ่งน้ำบนพื้นดินระเหยน้ำกลายเป็นไอได้ แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนรู้สึกหวาดกลัวก็คือ เพียงไม่กี่นาทีหลังจากที่หยุดพ่นปืนไฟ พลังชั่วร้ายที่อยู่ไปทุกที่นั้น กลับมารวมตัวกันอีกครั้งหลังจากที่เพิ่งจัดการไปเมื่อครู่


“เพิ่มความเร็วอีก เร็วเข้า เร็วเข้า!”


เมื่อสัมผัสถึงพลังหยินพิฆาตที่มาไม่ขาดสายทำให้ขนลุกซู่ คิตะมิยะ ใบหน้าของฮิเดโอะจึงเต็มไปด้วยร้อนใจ เขาไม่สามารถโทษผู้อาวุโสคิตะมิยะ ฟูจิโอะได้ เพราะถ้าไมใช่ความคิดของเขา บางทีพวกเขาก็อาจจะมาไม่ถึงที่นี่


เพียงแต่หลังจากที่พ่นปืนไฟออกไปทุกครั้ง อากาศที่อยู่ตามพื้นที่ว่างเปล่าก็จะถูกเผาไหม้จนหมดสิ้น และกองกำลังทหารจำเป็นต้องรอสักพักหนึ่งถึงจะเข้าไปได้ ต่อให้อยากจะทำการอย่างรวดเร็วก็ไม่สามารถทำได้


หลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง คิตะมิยะ ฮิเดโอะจึงเปลี่ยนให้หน่วยสังหารไร้เงาสองสามคนสลับเข้าไป เพราะพวกเขาสามารถกลั้นลมหายใจผ่านพื้นที่การเผาไหม้ได้ในระยะเวลาสั้น ทำให้ความเร็วของกองกำลังทหารก็เพิ่มขึ้นไม่น้อย


จากคำพูดของตะขิ่น บา เตง ติน ที่บอกถึงที่ซ่อนทองคำที่อยู่ในถ้ำนั้น มีระยะทางห่างจากทางเข้าของถ้ำไม่ไกลมาก ก็คือระยะทางประมาณหนึ่งร้อยกว่าเมตร แต่ในระยะทางร้อยกว่าเมตรนี้ ก็มากพอที่จะทำให้ตระกูลคิตะมิยะใช้เวลาเดินนานเกือบหนึ่งชั่วโมง


“คือ…คือตรงนั้น ตรงนั้นคือที่ซ่อนขุมทรัพย์ของตระกูล!”


หลังจากที่เลี้ยวตรงทางแยก พื้นที่เปิดโล่งที่มีขนาดกว้างโล่งได้ปรากฏต่อหน้าทุกคน ถ้ำนี้มีความสูงประมาณสามสิบกว่าเมตร ด้านบนเป็นหินผาที่แตกละเอียด มีรอยแตกร้าวเป็นวงกลมใหญ่เจ็ดแปดเมตร


แสงจันทร์ที่สุกสกาวสีขาวที่เพิ่งลอยขึ้นมาส่องทะลุผ่านช่องรูถ้ำ เหมือนกับเปิดหน้าต่างก็ไม่ปาน แม้จะไม่มีแสงสว่างจากไฟสปอร์ตไลท์ ก็สามารถมองเห็นลักษณะภายในถ้ำได้อย่างเลือนราง


แต่แทนที่จะพูดว่านี่คือถ้ำ ควรจะพูดว่ามันเหมือนพระราชวังใต้ดินมากกว่า ครอบคลุมสัดส่วนของพื้นที่กว้างมาก และยังมีหินเสาที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเจ็ดแปดเสาที่ตั้งอยู่ภายในถ้ำ หินงอกหินย้อยห้อยลงมาจากด้านบนของถ้ำอีกด้วย


บางทีอาจเป็นเพราะรอยแตกที่ด้านบนของถ้ำ จึงมีน้ำขังเต็มพื้นอยู่ด้านหน้าของคิตะมิยะ ฮิเดโอะ ก่อตัวเป็นสระน้ำรูปวงกลม เพียงแต่สระน้ำที่ใสจนเห็นก้นสระตามที่ตะขิ่น บา เตง ตินพูดนั้น เวลานี้กลับเป็นสีดำเหมือนหมึก และยื่นขยายออกไปด้านหลังถ้ำ โดยไม่มีใครรู้ว่าสระน้ำแห่งนี้มันไหลไปที่ไหน


และตรงกลางที่ถูกโอบพิทักษ์ด้วยสระน้ำที่แปลกประหลาดนี้ มีแท่นที่สูงจากพื้นหนึ่งเมตรกว่า บนแท่นนั้นก็มีทองคำแท่งขนาดเท่าฝ่ามือเด็กทารกกองรวมกัน และเนื่องจากวันเวลาผ่านไปหลายปี หีบไม้ที่ใส่ทองคำก็เน่าผุมานานแล้ว ทำให้ทองคำที่อยู่ข้างในกองเต็มอยู่บนแท่น


แสงไฟสปอร์ตไลท์ทยอยส่องไปทนแท่นนั้น ทองคำที่ถูกฝุ่นจับเต็มไปนานนับสิบปี ได้สะท้อนแสงสีทองเจิดจ้าออกมา ทำให้ทุกคนต้องหรี่ตาด้วยความแสบตา พร้อมกับใบหน้าของทุกคนที่เปี่ยมไปด้วยตื่นเต้นระคนความดีใจ


ตอนที่เดินทางเข้ามาในพม่า ทุกคนยังไม่รู้เป้าหมายในการเดินทางครั้งนี้ แต่ทว่าตอนนี้ได้เห็นทองคำที่กองเหมือนภูเขาก้อนเล็ก อยู่ตรงหน้า มีหรือที่พวกเขายังยังไม่เข้าใจอีก?


พวกลูกหลายในตระกูลที่ยังหนุ่ม ไม่สามารถระงับความตื่นเต้นภายในใจไว้ได้ และลงไปในสระน้ำอย่างอดใจรอไม่ไหว ตอนที่เพิ่งสังเกตว่าสระน้ำนี้มีความลึกประมาณช่วงเอว คนพวกนั้นต่างส่งเสียงร้องและมุ่งหน้าไปยังแท่นที่มีทองคำกองทับกันอยู่


“กลับมา ไอ้พวกโง่ กลับมาเดี๋ยวนี้นะ!”


การปรากฏตัวของทองคำ ทำให้กองทัพที่รักษาความสงบมาตลอดกลับวุ่นวายทันที จึงทำให้คิตะมิยะ ฮิเดโอะคาดไม่ถึง ถึงแม้เขาจะตวาดเสียงดังขึ้นมา แต่ก็ยังมีลูกหลานของตระกูลอีกสิบกว่าคน ที่อยู่ตรงกลางของสระน้ำแล้ว


ขณะที่หลายกำลังรู้สึกไม่เข้าใจกับหัวหน้าที่กำลังโกรธพวกเขาอยู่นั้น เดิมทีสระน้ำที่เงียบสงบ ทันใดนั้นก็เป็นคลื่นน้ำม้วนขึ้นมาสายน้ำกระเซ็นซ่านสีดำราวกับน้ำหมึก มีร่างขนาดใหญ่แต่ละตัวโผล่พรวดออกมาจากสระน้ำ แล้วเสียงกรีดร้องอย่างน่าอนาถก็ดังขึ้นมา


“นี่…นี่คือสัตว์ประหลาดอะไรกัน?”


ภายใต้การสาดส่องของไฟสปอร์ตไลท์จำนวนมาก พื้นที่ขนาดใหญ่นี้จึงสว่างไสวเหมือนตอนกลางวัน ทุกคนยืนอยู่ข้างสระน้ำ สามารถมองเห็นได้ชัดเจน ลำตัวที่ยาวเหมือนเกล็ดปลาทั่วทั้งตัวงูอนาคอนดายักษ์ตัวดำเมี่ยมโผล่พรวดออกมาจากสระน้ำ บ้างก็กัดบ้างก็รัด แล้วจึงลากคนสิบกว่าคนที่อยู่ในสระลงไปใต้น้ำ


ไม่มีใครรู้เลยว่าในสระน้ำแห่งนี้มีงูอนาคอนดายักษ์ซ่อนอยู่กี่ตัวกันแน่ แต่ในสระน้ำเวลานี้เกิดบรรยากาศคึกคักผิดปกติเกินไปเหมือนกับน้ำต้มเดือดปุดๆ กำลังม้วนตัวออกมาภายนอกอย่างต่อเนื่อง แขนขาทั้งสี่ที่ถูกฉีกขาดก็ถูกโยนออกมาบนผิวน้ำ จากนั้นก็เผยปากขนาดใหญ่ที่กำลังจะกลืนกินเข้าไป


ฉากที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ไม่เพียงแต่ทำให้ลูกหลานธรรมดาของตระกูลที่ไม่ได้เตรียมตัวอะไรต้องหวาดกลัวและสงสัยแล้ว แม้แต่คิตะมิยะ ฮิเดโอะและคนอื่นที่รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่ามีงูอนาคอนดายักษ์อยู่ในสระน้ำนี้ ก็ต้องตกตะลึงจนตาค้าง และมีเพียงแต่การสัมผัสด้วยตัวเองเท่านั้น พวกเขาถึงจะรับรู้ถึงความรู้สึกตกใจกลัวของตะขิ่น บา เตง ตินในตอนนั้นได้


เหตุการณ์ที่ไม่คาคคิดเกิดขึ้นเร็วมาก หลังจากระยะเวลาเพียงหนึ่งหรือสองนาที น้ำในสระที่กระเพื่อมก็กลับคืนสู่ความเงียบสงบเหมือนเดิม


ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด งูอนาคอนดายักษ์เหล่านั้นถึงไม่ขึ้นมาบนฝั่ง แต่มันก็ได้ทำให้ความกล้าหาญของทุกคนนั้นแตกตื่นหายไป โดยไม่ต้องรอให้คิตะมิยะ ฮิเดโอะออกคำสั่งอีก พร้อมถอยหลังไปพร้อมๆ กัน หลังจากถอยออกไปสิบกว่าเมตร แล้วจึงค่อยๆ เอาปืนเล็งไปที่สระน้ำ พร้อมกับร่างกายที่ยืนนิ่งด้วยความอกสั่นขวัญหาย


“ฆ่าพวกมันให้ตาย ฆ่าพวกมันให้ตาย!!!”


ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอาวุธที่อยู่ในมือหรือเปล่าที่เสริมความกล้าขึ้นมา หรือเมื่อครู่ได้รับแรงกระตุ้นมากเกินไป จึงทำให้บางคนระงับอารมณ์ไว้ไม่อยู่เหนียวไกปืนไปที่สระน้ำดำมืดนั้น ทันใดนั้นเสียงปืนก็ดังขึ้นมาภายในถ้ำ ควันปืนคละคลุ้งไปทั่ว พร้อมกับเสียงสะท้อนที่สะท้อนทำให้แก้วหูของทุกคนดัง “หึ่งๆ”


“ไอ้โง่ พวกสารเลว!”


เมื่อได้เห็นพวกคนเหล่านี้ที่เรียกว่ากองกำลังทหารของตระกูล เหมือนกับแมลงวันไร้หัววิ่งหนีเพ่นพ่านไปมา คิตะมิยะ ฮิเดโอะโกรธจนระงับอารมณ์ไม่อยู่ ยืนมือออกไปจับคนที่กำลังใช้ปืนเหนี่ยวไกไปที่สระน้ำ ตบหน้าซ้ายขวาของเขาครั้งแล้วครั้งติดต่อกันสิบกว่าครั้ง


ถึงแม้จะไม่รู้ว่าทำไมงูอนาคอนดายักษ์ถึงไม่ขึ้นมาบนฝั่งเพื่อโจมตีทุกคน แต่คิตะมิยะ ฮิเดโอะก็เข้าใจแล้ว ถ้าหากงูอนาคอนดายักษ์เหล่านี้พุ่งขึ้นมาอยู่บน พวกเขาร้อยกว่าคนก็ไม่สามารถทำอะไรได้ และคนโง่ที่อยู่ตรงหน้าพวกนี้ ก็แค่ยั่วสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวให้เกิดโทสะเท่านั้นเอง


แต่สิ่งที่ทำให้คิตะมิยะ ฮิเดโอะปิติยินดีก็คือ กระสุนเหล่านั้นที่ยิงเข้าไปในสระน้ำ เหมือนกับหินที่จมเข้าไปในทะเลลึกก็ไม่ปาน ไม่มีคลื่นลูกใหญ่กระเพื่อมออกมาอีก และก็ไม่ได้ยั่วให้งูอนาคอนดายักษ์โกรธ นอกจากกลิ่นดินปืนแล้ว ภายในถ้ำก็กลับคืนสู่ความเงียบสงัดเหมือนเดิม


ดูเหมือนว่าถ้าการเข้าใกล้แท่นนั้นจะเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ คิตะมิยะ ฮิโคโตชิจึงขมวดคิ้วพลางพูด “หัวหน้าครับ สร้างสะพานลอยน้ำได้ไหมครับ?” ก่อนหน้านี้เขาก็เคยพิจารณาถึงความซับซ้อนของลักษณะพื้นภูมิในพม่า และลูกหลานของตระกูลที่มาจากญี่ปุ่นพวกนี้ ก็มีบางคนเป็นสถาปนิก และสระน้ำแห่งนี้ที่มีความกว้างไม่เกินสิบกว่าเมตร ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงก็น่าจะสร้างสะพานลอยน้ำแบบง่ายได้สำเร็จ


“ไม่ได้ ขอเพียงเข้าไปบริเวณรอบสระน้ำ ก็จะถูกพวกงูอนาคอนดายักษ์เหล่านั้นโจมตี”


คิตะมิยะ ฮิเดโอะยังไม่ทันตอบ ผู้อาวุโสฟูจิโอะก็ส่ายหน้า “ตอนที่ฉันยังเป็นวัยรุ่นก็เคยเห็นงูอนาคอนดา แต่รูปร่างที่ใหญ่มหึมาขนาดนี้ บางทีอาจจะมีอยู่ลุ่มน้ำอเมซอน ฉันสงสัยว่างูอนาคอนดายักษ์ที่เป็นพวกกลายพันธุ์ ถ้าหากไม่จัดการพวกมันให้สิ้นซาก ทางที่ดีที่สุดอย่าไปยุแหย่มัน”


ผู้อาวุโสฟูจิโอะพูดถึงงูอนาคอนดายักษ์ในป่าลุ่มน้ำอเมซอน เป็นชนิดของงูที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและมีความแข็งแรงที่สุดในโลกนี้ เมื่อโตเต็มที่จะมีความยาวถึงสามสิบฟุต น้ำหนักเกือบหนึ่งร้อยห้าสิบกิโลกรัม ต่การปรากฏตัวของงูอนาคอนดาเหล่านั้นเมื่อครู่รูปร่างและขนาดของมันมีความใหญ่และยาวมากกว่างูอนาคอนดาในป่าอเมซอนถึงสามเท่า


งูอนาคอนดาชอบอาศัยอยู่ในน้ำ มักจะเกาะหรืออาศัยอยู่บนโคลนหรือน้ำตื้น จับเหยื่อพวกนกน้ำ เต่า แคพิบารา สมเสร็จ กวางเป็นต้น บางครั้งมันก็จะกลืนกินจระเข้ที่มีความยาวถึงสองเมตรครึ่งเป็นอาหาร แสดงว่าเป็นห่วงโซ่ของสิ่งมีชิวิตในป่าที่สูงที่สุด ไม่มีสัตว์ตัวไหนที่สามารถคุกคามชีวิตของพวกมันได้


อีกทั้งงูประเภทนี้จะมีอายุที่ยืนยาว มีเพียงตัดหัวของงูทิ้ง พวกมันถึงจะตายจริงๆ ดังนั้นที่ผู้อาวุโสฟูจิโอะพูดออกมาแบบนี้นั้น ในมุมมองของเขา การใช้อาวุธเหล่านี้มารับมือกับงูอนาคอนดายักษ์ จึงเป็นการกระทำที่โง่เขลาที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย


“อย่างนั้นต้องทำยังไงครับ? ถึงจะสามารถฆ่าพวกมันให้ตายได้?”


เมื่อมองดูทองคำเหล่านั้นภายใต้แสงไฟ คิตะมิยะ ฮิเดโอะจึงไม่อาจรอได้อีกต่อไป เพื่อสมบัติที่สามารถกอบกู้ชีวิตศักดิ์ศรีของตระกูล เขาได้รับคำซักถามและคำตำหนิมากมายตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา ขอเพียงแค่สามารถเอาสมบัติล้ำค่าเหล่านี้กลับไปได้สำเร็จ เขาก็จะกลายเป็นหัวหน้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของตระกูล


“ใช้ไฟเผา ใช้ไฟเผาพวกมันให้ตายไปให้หมด!”


หลังจากที่ได้ยินคำถามของคิตะมิยะ ฮิเดโอะ ผู้อาวุโสฟูจิโอะจึงเผนสีหน้าที่ดุร้ายออกมา “งูประเภทนี้ชอบสถานที่มืดและเย็น พลังชั่วร้ายที่หนาแน่นของที่นี่เป็นสาเหตุสำคัญที่พวกมันไม่ยอมออกไปจากที่นี่ อย่างไรก็ตามถ้าพวกเราจุดไฟเผาสระน้ำแห่งนี้ ถ้าพวกมันไม่อยากตาย พวกมันก็จะต้องหนีออกไป!”


คิตะมิยะ ฟูจิโอะเป็นมือฉมังที่เคยเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สอง และก็ไม่รู้ว่ามือของเขาเปื้อนเลือดของคนมาเท่าไรแล้ว ชีวิตของคนไม่มีความหมายในสายตาของเขาเลยแม้แต่น้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกับงูอนาคอนดายักษ์ที่เป็นสัตว์เลือดเย็นเหล่านี้เลย เพียงแค่กรอกลูกตา ก็นึกแผนการชั่วร้ายออกมาทันที


“ครับ งั้นก็ทำตามวิธีที่ผู้อาวุโสฟูจิโอะบอกนะครับ!”


เมื่อคิตะมิยะ ฮิเดโอะได้ยินก็ดีใจมีความสุข รีบออกคำสั่งให้ลูกน้องหน่วยหนึ่ง ออกไปนอกถ้ำย้ายถังน้ำมันสำรองที่เตรียมไว้บนรถแหล่านั้นเข้ามาข้างใน หลังจากครึ่งชั่วโมงผ่านไป ถังน้ำมันกว่ายี่สิบถังเป็นน้ำมันรถเกือบหนึ่งตัน ก็วางเรียงเป็นระเบียบอยู่ข้างสระน้ำ


คิตะมิยะ ฮิเดโอะออกคำสั่ง ให้สมาชิกในตระกูลสิบกว่าคนที่มีความกล้าหาญ เปิดฝาถังน้ำมันออกแล้วเทลงไปในสระน้ำ กลิ่น้ำมันรถที่ฉุนหนักกระจายไปทั่วภายในถ้ำทันที


หลังจากให้ทุกคนถอยหลังไปสิบกว่าเมตร หน่วยทหารกล้าตายกลุ่มหนึ่งถือปืนพ่นไฟ ยืนห่างจากสระน้ำประมาณสิบกว่าเมตร ลำแสงห้าหกอันที่เหมือนกับมังกรพ่นไฟ ได้มุ่งตรงเข้าไปในสระน้ำ


ตอนที่ 501 งูประหลาดสองหัว

โดย

Ink Stone_Fantasy

เมื่อเปลวไฟถูกยิงออกจากปืนพ่นไฟ พื้นผิวน้ำจึงมีน้ำมันรถไหลวนอยู่มากมาย หลังจากเกิดเสียงดัง “ตูม” เปลวไฟสว่างจ้าตาได้พุ่งทะยานขึ้นท้องฟ้าทำให้ทุกคนตาพร่ามัว และคลื่นขนาดใหญ่ก็ซัดกระแทกกลุ่มคนที่ยืนห่างออกไปหลายสิบเมตรให้ถอยครูดติดต่อกัน


“สำเร็จแล้ว!”


ถึงแม้จะถูกคลื่นซัดหกคะเมนตีลังกา แต่คิตะมิยะ ฮิเดโอะที่ยืนอยู่หน้าสุด หลังจากปีนขึ้นมาแล้วใบหน้าของเขาก็เผยความดีใจออกมาไม่หยุด ต้องรู้ว่า แม้จะยืนอยู่ในระยะที่ไกลขนาดนี้ แต่ขนคิ้วและเส้นผมของเขาก็ถูกเผาจนขดม้วนขึ้นมา เชื่อว่างูอนาคอนดายักษ์ที่อยู่ในสระน้ำก็คงไม่สามารรถทนต่ออุณภูมิที่สูงขนาดนี้ได้แน่นอน


และก็เป็นเหมือนที่คิตะมิยะ ฮิเดโอะคิดไว้จริงๆ ตอนที่แสงไฟกำลังปะทุขึ้นมา เสียงหวีดร้องเหมือนกับเด็กร้องไห้ก็ดังออกมาจากในสระน้ำ จากนั้นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่มหึมาแต่ละตัวก็ลอยขึ้นมาเหนือผิวน้ำ พยายามต่อสู้ดิ้นรนอยู่ในทะเลเพลิง


แต่ตอนนี้สระน้ำแห่งนี้ได้ถูกไฟเผาจนกลายเป็นทะเลเพลิงไปแล้ว การดิ้นรนของงูอนาคอนดายักษ์เหล่านั้นจึงก็ไร้ประโยชน์อย่างเห็นได้ชัด จึงได้แต่ปล่อยให้ร่างกายขนาดใหญ่ยักษ์บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดทรมาน และร่างกายขนาดใหญ่มหึมาแต่ละตัวก็ตัวชักดิ้นชักงออยู่บนกำแพงหินโดยรอบ ทำให้ใต้เท้าของคิตะมิยะ ฮิเดโอะและคนอื่นๆ สั่นสะเทือนอยู่พักหนึ่ง


 “บ้าเอ้ย ทองคำของฉันละ?”


ภายใต้สถานการณ์ตอนนี้พวกงูอนาคอนดายักษ์ที่อยู่ในเปลวไฟลุกโชน ยังจะสนอะไรอีก? แม้แต่ทองคำที่อยู่บนแท่นนั้น ได้ถูกปัดให้ลอยขึ้นมาไม่น้อย มีทองคำสองสามแท่งที่หล่นอยู่ตรงหน้าของคิตะมิยะ ฮิเดโอะและคนอื่น แน่นอนว่า ทองคำอันล้ำค่าที่มากกว่านี้จะตกลงไปในสระน้ำเป็นส่วนใหญ่


ถึงแม้คิตะมิยะ ฮิเดโอะจะรู้สึกโมโหมาก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้แม้แต่น้อย จึงได้แต่มองทองคำที่บนแท่นนั้นลดลงไปทีละนิดตาปริบๆ โชคดีที่สระน้ำแห่งนี้ไม่ใหญ่มาก หลังจากงูอนาคอนดายักษ์ถูกเผาตายหมดแล้ว ก็ยังสามารถขึ้นไปเก็บรวบรวมทองคำได้


“ที่นี่…ที่นี่มีงูอนาคอนดายักษ์เกือบร้อยตัวเป็นอย่างน้อย?!”


เมื่อมองดูงูอนาคอนดายักษ์ที่กำลังถูกเผาไหม้ไปทั้งตัว ทุกคนที่ยืนดูอยู่ไกลๆ ต่างก็มีสีหน้าซีดเผือด พลางคิดว่าโชคดีที่ตัวเองไม่ใจร้อนวู่วาม ไม่อย่างนั้นพวกเขาแค่หนึ่งร้อยกว่าคน ก็คงต้องซวยเพราะเจอเจ้าพวกนี้


“ทุกคนต้องระวังตัวหน่อย หน่วยลอบสังหารไร้เงาเดินนำหน้า ระวังงูอนาคอนดายักษ์ขึ้นมาบนฝั่งด้วยนะ!”


คิตะมิยะ ฮิเดโอะไม่กล้าประมาท เพราะใครจะรู้ว่าหลังจากที่งูอนาคอนดาเหล่านี้สูญเสียสติสัมปชัญญะแล้ว จะขึ้นมาบนฝั่งเพื่อต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายกับพวกเขาไหม? ดังนั้นจึงออกคำสั่งให้หน่วยลอบสังหารไร้เงาคนรวบรวมอาวุธปืนที่ทรงอานุภาพทั้งหมดไว้ตรงกลาง แล้วก่อตัวเป็นแนวกั้นทางเพลิงต่อหน้าทุกคน



“หืม? ใช้ไฟบุกโจมตี แม่งเอ้ยเป็นพวกป่าเถื่อนไร้วัฒนธรรมจริง ๆ”


ขณะที่ภายในถ้ำซ่อนสมบัติมีแสงไฟที่พุ่งสูงทะยานสู่ท้องฟ้านั้น เยี่ยเทียนก็เพิ่งจะข้ามาในภูเขาปีศาจได้พักหนึ่ง เนื่อง


จากบนตัวของเขาทายาไว้ทำให้พวกงูพิษ ยุงและแมลงต่างหลักหนีไปจนหมด ดังนั้นการเดินทางของเยี่ยเทียนจึงเร็วขึ้นมาก และอีกประมาณสองสามร้อยเมตรก็จะมาถึงปากทางเข้าของถ้ำนั้นแล้ว


เพียงแต่การเผชิญหน้ากับกองกำลังญี่ปุ่นที่ติดอาวุธครบครันร้อยกว่าคนนี้ เยี่ยเทียนจึงไม่กล้าประมาทแม้แต่นิดเดียว เขาอำพรางตัวและรอให้พลังชั่วร้ายบุกรุกเข้าไปภายในร่างกายของพวกเขาจนเกิดความคลุ้มคลั่ง จากนั้นก็ฉวยโอกาสปล้น แต่ใครจะรู้ว่าอีกฝ่ายกลับใช้วิธีนี้ทำลายค่ายกลของศิษย์พี่


พลังหยินและพลังหยางเป็นพลังที่ส่งผลกระทบต่อกันและกัน ตอนที่พลังหยินถึงจุดสูงสุด ก็จะทำให้สติของคนไม่ชัดเจน ความคิดสับสนยุ่งเหยิง และผู้ป่วยเป็นโรคประสาทจำนวนมากที่อยู่บนโลกใบนี้ ทั้งหมดก็เป็นเพราะพลังหยินและพลังหยางเกิดความไม่สมดุลอย่างรุนแรง


มีนักวิจัยทางด้านอภิปรัชญาออกมาอธิบายปรากฏการณ์แบบนี้ หยินเป็นพลังงานด้านลบในจักรวาล และหยางเป็นพลังด้านบวก ถ้าหากพลังด้านลบมีมากกว่าพลังด้านบวก ร่างกายของคนนั้นก็จะเกิดโรคภัยไข้เจ็บ นี้ยังเป็นทฤษฎีที่มักจะอธิบายโดยแพทย์แผนจีน


และพลังค่ายกลพิฆาตจิ๋วกุ่ยสั่วที่อยู่รอบสระน้ำแห่งนี้ ก็คือการรวบรวมพลังชั่วร้ายของภูเขาของปีศาจเพื่อใช้ในการป้องกัน และวันที่เวลาที่ผ่านไปเนิ่นนานก็จะทำให้มีอานุภาพมากขึ้น ตลอดทางเยี่ยเทียนก็กำลังครุ่นคิดว่าจะทำลายมันอย่างไร ขณะที่เขากำลังขัดเกลาเส้นสนกลในของเรื่องราวที่สลับซับซ้อนนั้น เขากลับคิดไม่ถึงว่าพวกคนญี่ปุ่นจะใช้ไฟในการบุกโจมตี เพื่อทำลายค่ายกลทั้งหมดนี้


เดิมทีเยี่ยเทียนอยากจะเข้าไปโดยอาศัยความโกลาหลเพื่อทำการสังหาร แต่ตอนนี้กลับยืนไม่อยู่แล้ว ถ้าไม่ฉวยโอกาสในการปล้นตอนนี้ เกรงว่าจะต้องรู้สึกเสียใจกับการเคลื่อนไหวที่ยิ่งใหญ่ภายในถ้ำแห่งนี้เสียแล้ว


เยี่ยเทียนดึงผ้าคลุมสีดำที่อยู่บนศีรษะลงมา และใบหน้าของเขาก็เผยเพียงดวงตาทั้งสองข้างออกมาด้านนอก ซึ่งท่าทางไม่แตกต่างกับคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ที่อยู่ในถ้ำ เขาขยับตัว กำมีดสั้นอู๋เหินไว้กลางฝ่ามืออย่างแน่น จากนั้นก็เดินเข้าไปในถ้ำอย่างเงียบๆ


น้ำมันรถพวกนั้นยังคงเผาไหม้อยู่ในสระน้ำ เนื้องูที่ถูกน้ำมันเผาจนไหม้เกรียมส่งกลิ่นหอมอวบอวลอยู่ภายในถ้ำ และหน้าต่างหลังคาเหนือถ้ำ ก็เหมือนเครื่องดูดควันที่คอยดูดควันน้ำมันออกไป ทว่าคนในตระกูลคิตะมิยะเหล่านี้ก็ยังพอทนกับกลิ่นเหม็นเหล่านี้ได้


สระน้ำที่เหมือนกับไฟวงกลมขนาดใหญ่ ดึงดูดสายตาของทุกคนเป็นอย่างมาก เวลานี้ไม่มีใครรู้ว่า มีคนที่แต่งตัวเหมือนพวกเขาได้ปะปนเข้ามาอยู่ในนี้แล้ว และกำลังมองดูแสงไฟที่พุ่งสู่ขึ้นท้องฟ้าอย่างประหลาดใจ


“หยางเพิ่มหยินลด ใช้วิธีนี้ทำลายค่ายกลของศิษย์พี่ที่อุตส่าห์สร้างค่ายกลนี้อย่างทุ่มเท ถือว่าเป็นวิธีที่สะดวกและรวดเร็วอย่างหนึ่ง”


ถึงแม้เยี่ยเทียนจะรู้สึกไม่คุ้มค่าแทนศิษย์พี่ แต่ก็ต้องยอมรับว่า ต้องรับมือกับพลังชั่วร้ายที่มองไม่เห็นและสัมผัสไม่ได้นี้ การรับมือของตระกูลคิตะมิยะ คือวิธีที่ดีที่สุดและง่ายที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย อย่างน้อยสถานที่ที่เยี่ยเทียนกำลังยืนอยู่ ก็ไม่รู้สึกถึงพลังงานชั่วร้ายอีกแล้ว


ไฟที่ลุกโชนเผาไหม้กว่าครึ่งชั่วโมงแล้วจึงค่อยๆ กลายเป็นเปลวไฟขนาดเล็ก เมื่อใช้ไฟส่องไปบนผิวน้ำ เดิมทีสระน้ำที่มีสีดำเหมือนน้ำหมึก กลับกลายเป็นความใสสะอาดชัดเจนขึ้นมา


ซากของงูนาคอนดาแต่ละตัวที่ถูกเผาเหมือนถ่านโค้กลอยอยู่เหนือสระน้ำ เพียงแต่บนตัวของพวกมัน ได้สูญเสียลมหายใจของชีวิตไปนานแล้ว


บนโลกใบนี้ นอกจากสวรรค์ที่ยากจะคาดเดาแล้ว ก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดที่สามารถต่อสู้กับมนุษย์ได้จริงๆ และงูอนาคอนดายักษ์เหลือที่อยู่สูงสุดของห่วงโซ่อาหารในภูเขาปีศาจแห่งนี้ ท้ายที่สุดก็ถูกฆ่ากวาดล้างจนหมดสิ้น


แต่ในใจของเยี่ยเทียนยังรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เพราะพลังชั่วร้ายของค่ายกลแบบนี้ที่ปกคลุมสถานที่แห่งนี้มานานนับสิบปี ภัยคุกคามของมันไม่น่าจะมีเพียงเท่านี้ ดังนั้นเขาจึงก้าวถอยหลังสองสามก้าวอย่างเงียบๆ และยังไม่ได้ลงมืออย่างวู่วาม


“ผู้อาวุโสฟูจิโอะ ไม่เสียแรงที่ท่านเป็นโจนินของญี่ปุ่นจริงๆ ต่อไปความเจริญรุ่งเรืองของตระกูลคิตะมิยะ ก็ต้องเป็นความดีความชอบของท่านอย่างแน่นอนครับ!” เมื่อได้การคุมคามและข่มขู่ของงูอนาคอนดาถูกจำกัดเป้นส่วนมากแล้ว คิตะมิยะ ฮิเดโอะจึงพูดกับคิตะมิยะ ฟูจิโอะที่ยืนอยู่ข้างๆ พร้อมกับโค้งคำนับให้อย่าซึ้งใจ


ในญี่ปุ่น นินจาแบ่งเป็นสามระดับ โดยแบ่งเป็นระดับสูง ระดับกลาง และระดับล่างสามประเภท


โจนินเป็นนินจาสูง หรือเรียกอีกอย่างว่า “นินจามันสมองหรือถังความคิด” เป็นผู้นำด้านรูปแบบการวางกลยุทธ์ทั้งหมด จูนินเป็นนินจากลาง เป็นผู้นำจิตวิญญาณของการต่อสู้ที่แท้จริง และต้องมีวิชานินจาในระดับหนึ่ง เกะนินเป็นนินจาล่าง เรียกว่า นินจาร่างกาย เป็นคนที่อยู่แถวหน้าในการเผชิญหน้ากับศัตรูโดยตรง


จากประวัติศาสตร์นินจาของญี่ปุ่น นินจาล่างและนินจากลางมีมากจนนับไม่ถ้วน สามารถฝึกฝนจากทุกตระกูลได้ทั้งหมด แต่ว่าโจนินกลับมีน้อยมาก โจนินที่สามารถเป็นที่ยอมรับของวงการนินจาในญี่ปุ่นนั้น มักจะเป็นบุคคที่มีชื่อเสียงโด่งดังในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น


สาเหตุที่คิตะมิยะ ฟูจิโอะสามารถเป็นผู้นำแก๊งมังกรดำในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองได้ ก็เพราะเขาอาศัยนามของโจนิน แน่นอนว่า ในฐานะผู้อาวุโสของตระกูลสำนักดาบคิตะมิยะ ฝีมือของวิชาดาบเค็นโดของเขาก็อยู่ในระดับความรู้ที่ลึกซึ้ง จึงได้ถูกขนานนามเป็นปรมาจารย์ของนินจาที่มีชื่อเสียงในยุคปัจจุบันของญี่ปุ่น


สำหรับการสรรเสริญเยินยอของเจ้าบ้านสมัยปัจจุบัน คิตะมิยะ ฟูจิโอะก็ไม่มีความถ่อมตัวแม้แต่น้อย เดินไปข้างสระน้ำหลังจากดูที่เปลวไฟที่ยังคงเหลืออยู่บนผิวน้ำแล้ว จึงหมุนตัวกลับมาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ฮิเดโอะ การคุกคามถูกทำลายหมดแล้ว รีบให้คนขึ้นไปเก็บทองคำที่กระจัดกระจายขึ้นมาเร็วเข้า และที่สำคัญที่สุดก็คือ ต้องหาหลักฐานการฝากเงินของธนาคารแห่งชาติสวิสให้เจอให้ได้!”


คิตะมิยะ ฟูจิโอะรู้ว่า สิ่งที่เป็นเอกสารลับที่สุดของตระกูล จะเป็นหีบที่มีรหัสลับขนาดเล็กที่ได้มาจากธนาคารแห่งชาติสวิสโดยเฉพาะ และหีบรหัสพกพาแบบนี้น้ำหรือไฟก็เข้าไม่ได้ มีดหรือขวานก็ยากที่จะเปิดออก ต่อให้เป็นไฟที่ลุกไหมเมื่อครู่ ก็ไม่สามารถทำลายเอกสารของหีบรหัสลับได้


“ครับ ผู้อาวุโสฟูจิโอะ จะต้องหาให้เจอแน่นอนครับ”


สองเท้าของคิตะมิยะ ฮิเดโอะพลันหยุดชะงัก ตอนที่เขากำลังเงยหน้าออกคำสั่งให้ทุกคนลงไปค้นหาในสระน้ำนั้น ทำให้เขาต้องตกตะลึงงันไปทั้งตัว เผยสีหน้าของความประหลาดใจอย่างที่สุด


“ฮิเดโอะ เป็นอะไร?” คิตะมิยะ ฟูจิโอะที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา เห็นสีหน้าที่แปลกประหลาดของเขา


“ผู้อาวุโส รีบถอยออกมาครับ!” ถือว่าคิตะมิยะ ฮิเดโอะมีการการตอบสนองค่อนข้างไว เพียงแค่ตื่นตะลึงหนึ่งถึงสองวินาที เขาก็รีบแผดเสียงออกมาทันที พร้อมกับดีดตัวถอยออกมาอย่างรวดเร็ว


แต่คิตะมิยะ ฟูจิโอะก็อายุแปดสิบเก้าสิบปีแล้ว หลังจากได้ยินคำพูดของคิตะมิยะ ฮิเดโอะ ในใจก็หนักอึ้งทันที รีบยกสองเท้ากระโดดจากพื้น เพื่อเตรียมหนีออกมาจากสระน้ำ


เพียงแต่การตอบสนองของคิตะมิยะ ฟูจิโอเมื่อเทียบกับความเร็วในการวิ่งเหมือนกระต่ายของคิตะมิยะ ฮิเดโอะแล้ว ถือว่าเขายังช้ากว่านิดหน่อย ตอนที่ร่างกายกำลังพุ่งตัวไปข้างหน้า ขาทั้งสองข้างเหมือนตะปูที่ติดอยู่กับพื้น แรงกระโดดของขาทั้งสองข้างเมื่อครู่ ไม่สามารถทำให้ขากระโดดออกมาได้เลยสักนิด


เมื่อหันกลับไปมอง ทำให้คิตะมิยะ ฟูจิโอะที่ยังไม่เคยเผยสีหน้าตกใจตออดที่อยู่ในพม่า ก็ต้องตกตะลึงงันเช่นกัน พร้อมกับบ่นพึมพำขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว “ยา…ยามาตะ โนะ โอโรจิ?”


ด้านหลังของคิตะมิยะ ฟูจิโอะ มีงูอนาคอนดาขนาดยักษ์ตัวหนึ่งโผล่พรวดออกมาอย่างฉับพลันยืนเหมือนคน มันมีขนาดใหญ่กว่างูอนาคอนดาที่อยู่ในสระน้ำก่อนหน้านี้หลายเท่า มีความหนาเท่ากับร่างกายผู้ใหญ่ และสิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดก็คือ จากคอของมันที่ยาวขึ้นไปเจ็ดนิ้วยังมีหัวที่งอดออกมาอีกหัวหนึ่ง


ในตำนานเทพปกรณัมของญี่ปุ่นโบราณ ยามาตะ โนะ โอโรจิมีทั้งหมดแปดหัวแปดหางเป็นงูที่มีขนาดใหญ่มหึมา มีบางคนบอกว่ามันคือภัยของอุทกภัย แต่ก็มีบางคนนับถือว่ามันคือสัตว์ประหลาดที่ปกป้องรักษาญี่ปุ่น สัตว์ประหลาดสองหัวที่อยู่ตรงหน้านี้ ทำให้คิตะมิยะ ฟูจิโอะคิดเชื่อมโยงไปยังยามาตะ โนะ โอโรจิเป็นอย่างแรก


บนหัวทั้งคู่ของมันเต็มไปด้วยเกล็ดขึ้นแน่นขนัด ดวงตาทั้งสี่มีขนาดใหญ่เท่าหลอดไฟ ส่องแสงสีเขียวเข้มออกมา จ้องมองคิตะมิยะ ฟูจิโอะ และหางของมันก็ไม่รู้ว่าเลื้อยขึ้นบนฝั่งตั้งแต่เมื่อไร พันครึ่งตัวด้านล่างของคิตะมิยะ ฟูจิโอะอย่างแน่น


และคิตะมิยะ ฟูจิโอะได้ใช้ชีวิตมาเจ็ดสิบแปดสิบปีแล้ว อีกทั้งยังเป็นโจนิน นินจาระดับสูงเพียงหนึ่งเดียวของญี่ปุ่นในปัจจุบัน ตอนที่ต้องเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดที่เกินธรรมชาติแบบนี้ ทำให้สติและจิตใจยังอยู่ในความงุนงง ไม่สามารถกระทำการใดๆ ได้เลย


“ยิงปืน ยิงปืน ยิงไปที่ตัวของมันสิ!”


ทุกคนที่อยู่ในถ้ำ ล้วนตกตะลึงพรึงเพริดกับสัตว์ประหลาดที่โผล่ขึ้นมากะทันหัน มีเพียงคิตะมิยะ ฮิเดโอะตั้งสติกลับมาได้ทัน จากนั้นจึงแย่งปืนกลออกมากระบอกหนึ่ง ยิงกระสุนหนึ่งแหนบไปที่ตัวของสัตว์ประหลาดที่ตั้งตัวสูงตระหง่านทันที


……..


ตอนที่ 502 บาดเจ็บล้มตายกันระนาว

โดย

Ink Stone_Fantasy

การยิงปืนของคิตะมิยะ ฮิเดโอะนั้นแม่นยำมาก กระสุนทั้งรางที่ยิงออกไป ทั้งผ่านร่างของฟูจิโอะไปถูกเข้าที่ลำตัวงูประหลาด โดยไม่ได้ทำอันตรายฟูจิโอะเลยแม้แต่น้อย


สิ่งที่ทำให้ทุกคนตื่นตระหนกคือลูกกระสุนเมื่อกระทบถูกตัวงูแล้ว กลับส่งเสียง”แก้ง แก้ง” เกิดประกายไฟจากโลหะที่เสียดสีกัน บนพื้นมีเกล็ดของงูแผ่นขนาดเท่าฝีมือเด็กทารกตกลงหลายแผ่น


“แว้ก!”


ถึงกระสุนยิงไม่เข้าแต่กระสุนที่โจมตีตัวมันทำให้งูร้ายบาดเจ็บ ดวงตาลุกวาวดั่งโคมไฟอันใหญ่คู่นั้นจ้องเขม็งที่คิตะมิยะ ฮิเดโอะ กับหางที่พันรัดแน่นรอบร่างกายท่อนล่างของคิตะมิยะ ฟูจิโอะอยู่สะบัดไปมา


“อ๊า!”


การดิ้นทุรนทุรายของงูยักษ์เกิดจากความเจ็บปวดที่ได้รับ แต่การเคลื่อนไหวด้วยกำลังมหาศาล ทำให้ฟูจิโอะที่กำลังคิดหาทางเอาตัวรอดอยู่นั้น กระดูกตั้งแต่เอวลงไปจนถึงตาตุ่มเจ็บปวดราวกับถูกรถบรรทุกทับ กล้ามเนื้อถูกบดขยี้กลายเป็นเศษเนื้อ


คิตะมิยะ ฟูจิโอะแต่เดิมเคยฝึกความอดทนแบบนักรบขั้นสูง แต่หลายสิบปีนี้ไม่ได้รื้อฟื้นวิชาเอาแต่อยู่เบื้องหลังกินอยู่อย่างสบาย ความเจ็บปวดที่ท่วมท้นแบบเฉียบพลันทำให้เขาร้องขึ้นมาใจจะขาด มือทั้งสองปัดป่ายไขว่คว้าอย่างไร้จุดหมาย


“นี่มันตัวอะไรกันแน่?”


ฉากตรงหน้าไม่เพียงแต่คนตระกูลคิตะมิยะที่ตกตะลึงตาค้าง เยี่ยเทียนที่ยืนอยู่กลางวงยังตื่นตระหนกตามไปด้วย เขาสามารถสัมผัสได้ถึงพลังลมปราณมหาศาลของเจ้างูสองหัว คล้ายกับพลังของเจ้ามังกรดำที่ภูเขาฉางไป๋ซานก็ไม่ปาน


“แว้ก แว้ก!” งูประหลาดส่งเสียงร้องที่คล้ายกับเสียงเด็กทารกร้องไห้ ปลายหางสะบัดเอาคิตะมิยะ ฟูจิโอะที่ท่อนล่างแหลกเหลวโยนไปด้านหลัง ร่างกายมหึมาดีดตัวขึ้นจากพื้น พุ่งเข้าใส่คิตะมิยะ ฮิเดโอะรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ


สัตว์ประหลาดจำพวกนี้มักมีสติปัญญาเหนือกว่าสัตว์ทั่วไป แม้จะไม่เท่าเทียมมนุษย์แต่สามารถรับรู้ได้ถึงการปองร้ายจากศัตรู เมื่อครู่การเคลื่อนไหวของคิดตะมิยะ ฮิเดโอะทำให้เจ้าป่าแห่งหุบเขาปีศาจพิโรธแล้ว


มันเลื้อยขึ้นมาที่ผืนน้ำแล้ว ทั้งร่างของมันปรากฏขึ้นภายใต้แสงไฟ ขนาดลำตัวยาวประมาณสิบห้าเมตร รอบลำตัวช่วงที่หนาที่สุดหนาถึงสามคืบ หัวงูอยู่ซ้ายขวานั้นมีขนาดใหญ่แต่ก็ไม่ได้ทำให้การเคลื่อนไหวช้าลงเลย


“ยิง ยิงที่ตามัน”


นอกจากเยี่ยเทียนและคิตะมิยะ ฮิเดโอะแล้ว  คิตะมิยะ ฮิโคโตชิ ตะโกนเรียกสติคนอื่นในที่มัวแต่ตะลึงตัวแข็ง ตอนที่งูใหญ่พุ่งตัวเข้ามาก็ร้องเสียงหลง


มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ทำอะไรก็มักจะทำตามๆ กัน ตอนที่คิตะมิยะ ฮิโคโตชิส่งเสียงร้องออกมา ทุกคนต่างหันปลายกระบอกปืนยิงไปที่งูที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศ


ตอนนั้นเองเสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหว ลูกกระสุนนับร้อยถูกยิงรัวใส่ลำตัวงูยักษ์


แค่สิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น งูบิดตัวกลางอากาศ ซุกหัวหลบหลังลำตัวอันอวบหนาที่หันเข้ารับกระสุน


“ปัง ปัง ปัง!”


เสียงโลหะกระทบกันสนั่นหู ลูกกระสุนเกือบทุกนัดถูกยิงเข้ากลางลำตัวของมัน แต่ไม่มีนัดไหนที่เจาะทะลุผ่านเกล็ดสีดำทมิฬของมันเข้าไปได้เลย


ระยะห่างของทั้งสองฝ่ายตอนแรกห่างกันเพียงสามสี่สิบเมตร ลำตัวงูยาวถึงสิบห้าเมตร รวมกับที่มันดีดตัวพุ่งมาด้านหน้า ทุกคนได้เพียงแต่ยิงปืนป้องกันตัว งูใหญ่ได้เข้าใกล้มากกว่าเดิมอีก


“แว้ก!” เสียงร้องคำรามน่าขนลุกของมัน หัวทั้งสองชูมาทางด้านหน้า ปากใหญ่อ้ากว้าง ลิ้นสองแฉกของมันตวัดเข้าใส่กลุ่มคน คนตระกูลคิตะมิยะสองคนที่ไม่ทันระวังตัวถูกลิ้นตวัดใส่อย่างหนักหน่วง


ผู้โชคร้ายทั้งสองยังไม่ทันตั้งตัว พองูยักษ์ชักลิ้นกลับ เสียงร้องของคนทั้งสองก็ดังขึ้นตามมา สุดท้ายร่างของทั้งสองก็หายเข้าไปในปากของงูยักษ์ เหลือเพียงปืนไรเฟิลที่ตกอยู่


เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้คนอื่นขนหัวลุก ทั้งหมดต่างถอยหลังไปหลายก้าว ในถ้ำถึงจะกว้างใหญ่แต่ก็ไม่มีที่ให้วิ่งหนีเหมือนนอกถ้ำ


ขณะเดียวกับที่งูยักษ์เขมือบผู้โชคร้ายทั้งสองเข้าไป หางของมันก็แกว่งกวาดไปทั่ว ปัดเอาคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าเจ็ดแปดคนลอยขึ้นจากพื้น ร่างกายลอยอยู่กลางอากาศแต่ปากพ่นเลือดสดออกมาเป็นสาย ตัวปลิวกระเด็นไปกระแทกกับผนังถ้ำที่อยู่เหนือขึ้นไปสิบกว่าเมตร เมื่อตกลงมาร่างกายอ่อนปวกเปียกราวกับไม่มีกระดูก ดูท่าจะหมดลมหายใจไปแล้ว


งูประหลาดตัวนี้อยู่ชั้นบนสุดในห่วงโซอาหารแห่งหุบเขาปีศาจ มันไม่เคยได้รับอันตรายใดมาก่อน แต่ตอนนี้มนุษย์ตัวเล็กราวกับมด กลับมารุกรานมันถึงที่ มันจึงลงมือแบบไม่ยั้ง หัวยักษ์ทั้งสองอ้าปากสำรอกกรดพิษออกมา


จากที่ถอยหลังทิ้งระยะห่างไปสิบกว่าเมตร  คนในตระกูลคิตะมิยะพอถอยห่างออกจากงูยักษ์แล้วก็เห็นแต่สารน้ำเหนียวเหนอะพุ่งเข้าใส่ ไม่ทันตั้งตัวหลบ ก็ถูกสารเหนียวนั้นราดลงบนหัว


“หา หน้า…หน้าของฉัน?”


“มือ…มือของฉัน ทำไม…ทำไมเป็นแบบนี้?”


คนหลายสิบคนที่ถูกสารเหลวเหนียวหนืดนั่น เนื้อหนังบนร่างกายที่โดนเริ่มเกิดเสียงฉี่ฉี่ พร้อมกับควันสีขาวลอยขึ้นมาจากผิวหนัง ราวกับโดนสารกรดรุนแรงรดใส่ แม้แต่เสื้อผ้าก็ถูกกัดกร่อนให้หายไปในพริบตา


ไม่เพียงเท่านี้ ความเร็วในการกัดกร่อนของมันรวดเร็วมาก บางคนผิวหนังหลุดร่อนกินเข้าไปถึงเนื้อจนเห็นเป็นกระดูกขาวโพลน กรีดร้องทุรนทุรายอย่างอย่างสมเพช


บางคนฉลาดหน่อย รีบวิ่งไปทางสระน้ำโดยหวังว่าจะอาศัยน้ำสะอาดล้างสารกรดออกไป แต่ออกเดินได้เพียงไม่กี่เมตรฤทธิ์กัดกร่อนเกิดขึ้นรวดเร็วจนเหลือแต่โครงกระดูกขาวโพลนเดินได้ น่ากลัวพิกล


การโจมตีติดต่อกันหลายครั้งของเจ้างูยักษ์ ทำให้เบื้องหน้าของมันค่อยๆ ว่างเปล่าลง คนที่เหลือถอยหลังห่างจากตัวงูไปสิบกว่าเมตร พวกผู้กล้าคิตะมิยะในตอนความวุ่นวายช่วงสุดท้ายใช้ปืนในมือกราดยิงไปที่งูยักษ์อย่างไม่รอช้า


แต่สิ่งที่ทุกคนคิดไม่ถึงก็คือ ตอนที่เสียงปืนในมือพวกเขาดังขึ้น ร่างของงูยักษ์กลับหดตัวลง หัวทั้งสองมุดหลบอยู่ตรงกลางลำตัว ทำให้กระสุนโดนเกล็ดของมันและกระเด็นออกไป


แต่การสาดกระสุนแบบนี้ยังพอจะทำให้มันบาดเจ็บได้บ้าง ตามช่องโหว่ของเกล็ดที่หลุดออก กระสุนเจาะฝังเข้าไปในตัวของมันได้ ร่างกายขนาดใหญ่โตดังขุนเขาของมันสั่นสะดุ้งหลายครั้ง แสดงว่าได้ลิ้มรสกระสุนเข้าไปแล้ว


นักรบที่ถือปืนกลไฟอยู่เปิดสลักปืนยิง ไฟพวยพุ่งออกมาเป็นลำยาวพ่นตรงไปที่งูยักษ์ ทำให้ตำแหน่งที่มันอยู่ล้อมรอบไปด้วยทะเลไฟ มีกลิ่นไหม้เหมือนเนื้อย่างตลบอบอวลไปทั่วทั้งถ้ำ


ผู้รอดชีวิตเพียงไม่กี่คนเห็นกองไฟถูกจุดขึ้นบนตัวงูจึงถอนใจด้วยความโล่งอก บางคนร้องอุทานออกมา บอกคนรีบบรรจุกระสุนลงในรางกระสุนที่ว่างเปล่าของตัวเอง แต่ดวงตาทุกคู่ยังจดจ้องไปที่กองไฟกองใหญ่นั้น


ทุกคนคิดว่าสามารถจัดการงูยักษ์ได้แล้ว แต่ขณะนั้นเอง มีไฟลำใหญ่พวยพุ่งขึ้นออกมา เจ้างูยักษ์เริ่มรู้ทันมนุษย์แล้ว มันไม่ได้ดีดตัวขึ้นเหมือนครั้งแรก แต่เลื้อยตรงเข้าใส่กลุ่มมนุษย์ตรงหน้าแทน


“บ้าเอ๊ย มันดูดซึมพลังพิฆาตมากเกินไป เลยป้องกันไฟได้”


เยี่ยเทียนผู้ที่ยืนอยู่ห่างที่สุดมองเห็นอย่างเต็มตา ตอนที่กองไฟกองใหญ่ดังทะเลเพลิง เขามองเห็นว่างูประหลาดตัวนี้ไม้ได้บาดเจ็บมากนัก เพราะหลังจากพ่นลูกไฟโดนเกล็ดงูแล้วก็ร่วงหล่นลงบนพื้นอย่างไร้เสียงใดๆ


กลิ่นเนื้อนั้นเกิดจากไฟที่เผาถูกเนื้อของงูในบริเวณที่เกล็ดหลุดออกไป ในเมื่อเป็นอย่างนี้ กองไฟสามารถทำร้ายงูได้เพียงแต่ภายนอก แต่ไม่อาจทำให้งูถึงแก่ความตาย


การต่อสู้แบบนี้ทำให้งูยักษ์ที่เป็นดั่งเจ้าครองหุบเขาปีศาจเกิดคลุ้มคลั่งอาละวาด การลงมือฆ่าครั้งนี้ มันไม่ได้สนใจลูกกระสุนที่สาดซัดใส่ตัวมันอีกครั้ง หรือแม้แต่ดวงตาของมันเองก็ไม่อาจปกป้องได้ ร่างกายอันใหญ่โตดุจมังกรไฟ กลิ้งเกลือกไปมาบนพื้นไม่หยุด


หัวอันน่าเกลียดทั้งสองก็กระตุกสั่นเหมือนถูกดึงรั้ง ทุกครั้งที่มันกลืนคนลงไปในท้อง อาจแค่เพราะต้องการสังหารมนุษย์ที่มาทำร้ายมัน พอกลืนลงไปไม่กี่นาทีก็สำรอกเอาร่างที่มันกลืนเข้าไปออกมา แต่ด้วยความรุนแรงของกรดในกระเพาะงู ทำให้ร่างที่ถูกสำรอกออกมาเน่าเปื่อยไม่มีชิ้นดี


ผนังถ้ำที่แข็งแรงถูกงูยักษ์ปัดป่ายจนหินกระเด็นหลุดออกมาหล่นใส่ศีรษะของทุกคน เป็นภาพที่ไม่น่าดูนัก อีกทั้งการเคลื่อนไหวดิ้นรนของมันทำให้การป้องกันของตระกูลคิตะมิยะแตกขบวนโกลาหล


ภายในเวลาไม่กี่นาที นักรบผู้กล้าในตระกูลถูกฆ่าตายไปเจ็ดแปดสิบคน คิตะมิยะ ฮิเดโอะกำลังเจ็บปวดใจ การเดินมาทางมาเยือนพม่าคราวนี้ของเขา ทำให้พี่น้องต้องบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก แม้ได้ขุมทรัพย์กลับไป ก็ไม่อาจชดเชยชีวิตที่ต้องเสียไปที่นี่


ต้องรู้ว่า เงินทองทรัพย์สมบัตินั้นหาง่าย แต่ชีวิตของเหล่าผู้กล้าในตระกูลนั้นต้องผ่านการฝึกสะสมวิชามาคนละสิบยี่สิบปี อีกทั้งผู้ที่มาล้วนแต่เป็นลูกหลานสายตรง เมื่อตายกันไปมากขนาดนี้ ตระกูลคิตะมิยะคงจะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง


“เจ้าโง่เอ๊ย ผู้กล้าทั้งหลาย ฆ่ามันให้ตาย!”


คิตะมิยะ ฮิเดโอะที่สูญเสียการควบคุมร่างกายท่อนล่างไป ทำให้เสียงที่ตะโกนออกมานั้นแหลมผิดปกติ คำสั่งเสียงดังจนได้ยินชัดทุกคน เหล่าผู้กล้าลุกฮือขึ้นอีกครั้งเข้าโจมตีงูร้ายอย่างไม่เกรงกลัวความตาย


“แว้ก!” งูยักษ์อาละวาดเต็มที่แล้ว มันไม่สนว่าใครเป็นใคร ตวัดลิ้นทีหนึ่งก็กลืนเอาคนสองคนที่ยืนขวางหน้ามันอยู่เข้าปากไปทีหนึ่ง พร้อมกับพ่นกรดพิษออกมาจากกระเพาะหมายจะกัดกร่อนคนทั้งสองให้หายสาบสูญ


สติปัญญาของสัตว์เดรัจฉานมีหรือจะเทียบเท่ามนุษย์ได้ มันมองไม่เห็นว่าคนทั้งสองที่มันกลืนเข้าไปนั้นถือแท่งระเบิดไว้ในมืออยู่


…………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)