ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 491-492
ตอนที่ 491 สังหารศัตรูพันคนตนเองบาดเจ...
นอกจากนี้ก็ยังมีหินวิญญาณห้าประกายทั้งสิบสีเป็นเครื่องตกแต่ง
แม้กระทั่งจานชามที่ใช้รองอาหารเช้าทุกชิ้น …..ต่างก็เป็นของโบราณล้ำค่าที่ควรค่าแก่การเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ!
แต่เขากลับนำออกมาให้ตู๋กูซิงหลันใช้เป็นภาชนะใส่อาหารเช้าเสียเฉย!
“ตอนอยู่ในโลกโบราณ เจ้าต้องลำบากไม่น้อย สมควรจะต้องบำรุงให้มากหน่อย” ซื่อมั่วพูดพลางก็หยิบอาหารต่างๆออกมา วางลงบนโต๊ะทานอาหาร
แม้จะอยู่ในเรือนพักส่วนตัวของตู๋กูซิงหลัน แต่เขาก็วางตัวสบายๆเหมือนกับเป็นบ้านของตนเอง หยิบนมกล่องหนึ่งออกมาจากตู้เย็นออกมาอย่างคุ้นเคย หยิบยันต์ออกมาสะบัดมือครั้งหนึ่งนมก็ถูกอุ่นร้อนกำลังดี
นมถูกเทลงในแก้ว วางลงตรงอาหารเช้าของเขาอย่างเรียบร้อย
“เด็กน้อย…..คนหนุ่มสาวสมควรดื่มนมให้มาก” เขาโบกมือเรียกตู๋กูซิงหลันเช่นเดียวกับยามที่นางยังเป็นเด็กเล็กๆ
“ศิษย์เอ๋ย มากินอาหารเช้าเถอะ”
ตอนที่นางยังเป็นทารก ซื่อมั่วก็จัดหาแม่นมให้กับนาง แต่ว่าเจ้าตัวร้ายตัวน้อยผู้นี้ไม่ยอมกินนมของแม่นม ทั้งยังเลือกกินอย่างที่สุด
ดังนั้นท่านผู้ยิ่งใหญ่ระดับบรรพชนผู้นี้ จึงต้องจัดเตรียมอาหารให้นางด้วยตนเอง
ทั้งหมดล้วนเป็นสุดยอดของอาหารบำรุงร่างกาย
ก่อนที่จะสามขวบนั้น แค่อาหารเช้ามื้อหนึ่งของตู๋กูซิงหลันก็เทียบเท่าได้กับพลังวิญญาณที่นักพรตทั่วไปสามารถสะสมได้ในหนึ่งปี
ซื่อมั่วเก็บพืชพรรณและสิ่งล้ำค่ามาปรุงอาหารให้นางด้วยตนเอง พอเริ่มทำก็ต่อเนื่องนานถึงสามปี
บำรุงร่างกายสร้างกระดูก หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณ ทำให้นางมีร่างกายและจิตวิญญาณที่เหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไปมาตั้งแต่เล็ก
เพื่อให้ในอานาคตนางกลายเป็นสุดยอดปรมจารย์คุณไสย์ ย่อมต้องวางรากฐานเอาไว้อย่างแข็งแกร่ง
คนอย่างตู๋กูซิงหลัน ความทรงจำดีเยี่ยมเสมอ
ทุกเรื่องที่อาจารย์ทำให้ตั้งแต่ก่อนสามขวบนั้น นางยังจดจำได้หลายส่วน
เพียงแต่นานแล้วที่ไม่ได้สัมผัสถึงความอบอุ่นอ่อนโยนจากการที่อาจารย์ตระเตรียมอาหารให้ ….. นางตื่นตะลึงจนแทบไม่ทันตั้งตัว
เพราะนับตั้งแต่สามขวบเป็นต้นมา….อาจารย์ก็เริ่มฝึกฝนให้นางกำราบปีศาจปราบผี
ไม่ทันได้ทำอะไรก็โยนนางลงในหมู่ภูติผีปีศาจ สุสานร้างกลางป่าเขา หรือไม่ก็รังของสัตว์ประหลาดต่างๆ….
ความสามารถของคนผู้หนึ่ง มิได้มาจากพรสวรรค์ที่ฟ้ามอบให้ง่ายๆ ต่างก็ต้องหลั่งเหงื่อต่างน้ำ พึ่งพาความมุ่งมั่นของตนเองสร้างขึ้นมาด้วยกันทั้งนั้น
……………………
“ศิษย์เอ๋ย มานี่” ในเมื่อเรียกครั้งหนึ่งแล้วนางยังไม่มา ….เช่นนั้นซื่อมั่วก็ได้แต่เรียกอีกครั้ง
เพราะอย่างไรเรียกหลายครั้งหน่อยก็ไม่ได้ทำให้คนตายเสียหน่อย
ตู๋กูซิงหลันยังคงประกบสิบนิ้วจับมือกับจีเฉวียน พอถูกซื่อมั่วเรียกอีกครั้ง นางก็ไม่กล้าปฏิเสธคำสั่งของอาจารย์แล้ว
มือของนางยังคงกุมจีเฉวียนเอาไว้ไม่ปล่อย “อาจารย์….เสี่ยวเฉวียนเฉวียนก็ยังไม่ได้กินอาหารเช้าเหมือนกัน”
แม้แต่ตู๋กูซิงหลันก็ยังรู้สึกว่าตนเองช่างหน้าหนาเหลือเกิน
เสินฟางเองก็เห็นด้วย นางควรจะรู้จักหน้าบางกว่านี้บ้าง
อาจารย์ของเจ้าทนมองพวกเจ้าแสดงความรักหวานชื่นขนาดนี้….ที่จริงก็ใกล้จะระเบิดเต็มทีแล้ว …..เจ้ายังจะกล้านำอาหารที่อาจารย์ตระตรียมให้เจ้า ไปแบ่งกับไอ้หนุ่มที่ไม่ได้เรื่องผู้นั้นอีก?
อืม…..หากว่าเปลี่ยนเป็นเสินฟางละก็ เสินฟางคงจะเอาความรักใคร่นี้ไปทุ่มเทให้กับช้างม้าวัวควาย เลี้ยงดูพวกมันไว้ยังได้กินเนื้อ หรือไม่ก็ใช้ขับขี่
เขาถอยหลังไปอีกหลายก้าว
อุปนิสัยของซื่อมั่ว เขาย่อมรู้จักเป็นอย่างดี
ดูผิวเผินเหมือนคนที่ไร้ความรู้สึก แต่ที่จริงแล้วในใจกลับพลุ่งพล่านอย่างยิ่ง….เพราะเขาเองก็เคยเห็นอยู่ๆซื่อมั่วโยนสุนัขจิ้งจอกน้อยตัวหนึ่งลงไปในกงล้อวัฏสงสารมากับตาแล้ว….ช่างน่าอนาถจริงๆ
คนผู้นี้….ไม่เพียงแต่แข็งแกร่งอย่างที่สุด แต่ว่ายังโหดเ**้ยมร้ายกาจอีกด้วย
ไอ้หนุ่มที่ไม่ได้เรื่องอย่างจีเฉวียนก็มองดูซื่อมั่วอยู่เช่นกัน
ครั้งแรกที่พบกับซื่อมั่ว เนื่องเพราะแรงสะกดข่มจากร่างหลัก ทำให้พระองค์แทบจะกระดูกหักร่างแตกสลายกลายเป็นผุยผง
แต่ครั้งนี้ที่พบกัน ร่างของจีเฉวียนกลับสามารถรักษาสภาพที่มั่งคงเอาไว้ได้
นี่ย่อมเป็นเพราะเพื่อศิษย์รักของตน ซื่อมั่วจึงเก็บงำพลังกดดันของร่างหลักเอาไว้ ยามที่จีเฉวียนเผชิญหน้ากับเขา จึงมิได้ถูกเขาดึงดูดพลังชีวิตกลับไปจนสูญสลาย
ขณะเดียวกัน เขาเองก็มองดูจีเฉวียนอย่างละเอียดลออแวบหนึ่ง
คนผู้นี้ทั้งๆที่เป็นร่างแบ่งภาคของเขาแท้ๆ สามารถบอกได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของเขา แต่พอเห็นไอ้หนุ่มคนนี้มาชักจูงลูกศิษย์ของตนเองไป เขาก็รู้สึกอิจฉาขึ้นมาสุดชีวิต
สีหน้าของท่านผู้ยิ่งใหญ่ยังคงเดิมดุจดังพันปีก่อน คนที่นั่งอิจฉาตนเอง นี่คงจะเป็นครั้งแรกที่เขาได้รับรู้รสชาติแบบนี้
“ซิงซิงรักเรามาก จนเราต้องหวั่นใจ” เพียงแต่ไอ้หนุ่มนี่ก็ไม่รู้จักสนใจสีหน้าผู้อื่น เขากุมมือของตู๋กูซิงหลันเอาไว้แน่น แล้วยังยกมือของนางขึ้นมาจุมพิศที่หลังมือต่อหน้าต่อตาซื่อมั่ว “นี่เป็นของที่อาจารย์ของเจ้าตระเตรียมให้กับเจ้า ย่อมต้องการให้เจ้ากินอย่างว่าง่าย แค่เราได้ดูเจ้ากินก็อิ่มใจแล้ว”
พระองค์ตรัสแล้ว ก็ยื่นพระหัตถ์ออกไปเด็ดดอกกุหลาบมาดอกหนึ่ง
ดอกกุหลาบดอกนี้ยื่นจากในสวนเข้ามาด้านในของหน้าต่าง มีน้ำค้างเกาะพราวจนเปล่งประกาย
ฝ่ามือใหญ่ขยับวูบก็แซมดอกกุหลาบดอกนั้นลงไปบนผมของตู๋กูซิงหลัน ทั้งยังไม่ลืมที่จะหันมาประกาศต่อหน้าซื่อมั่ว” ซิงซิงของเรางดงามที่สุด”
วิญญาณทมิฬที่ซ่อนอยู่ในเงาของซื่อมั่วยังต้องตัวสั่นสะท้าน
มันเคยเห็นคนที่หาเรื่องตายมามาก….แต่ก็ไม่เคยเห็นใครที่หาเรื่องตายอย่างจีเฉวียนมาก่อน
พี่ชาย! ที่ท่านกำลังหาเรื่องอยู่นี้คือระดับตัวพ่อเลยนะ!
ต้องรู้บ้างสิว่า…..หากไม่มีเขาก็จะไม่มีท่านขึ้นมาหรอกนะพี่ชาย!
บรรยากาศแปลกคุกรุ่นไปทั่วทั้งห้องโถง ในอากาศคล้ายจะถูกปกคลุมไปด้วยควันไฟจางๆ
ซื่อมั่ว “ศิษย์ของข้างดงามแค่ไหน ทั่วทั้งใต้หล้าต่างก็รู้ดี ไม่จำเป็นจะต้องให้เจ้าบอกออกมา”
วิญญาณทมิฬ “ ! ! !” เอาละโว้ย ตัวพ่อย่อมเป็นตัวพ่อ! เรียนรู้ได้ไว ในที่สุดท่านผู้เฒ่าก็สามารถพูดจาลดเลี้ยวเป็นกับเขาบ้างแล้ว!”
ตู๋กูซิงหลันที่ถูกหนีบอยู่ตรงกลาง “…..” อยู่ๆนางก็รู้สึกปวดฟันขึ้นมา
สุดท้ายนางก็ไปกินข้าวอย่างว่าง่าย แต่นางเองก็ไม่กล้าให้จีเฉวียนเข้าใกล้อาจารย์มากเกินไป
เพราะเกรงว่าเขาจะเกิดสภาพแบบครั้งนั้นขึ้นมาอีก
ตอนนี้นางไม่อาจเห็นพวกเขาทั้งสองเป็นคนคนเดียวกัน
แต่เมื่อคนทั้งสองยืนอยู่ด้วยกัน พอมองดูอย่างละเอียดก็พบว่าทั้งสองมีหลายสิ่งที่คล้ายคลึงกันมาก
หากให้สวมใส่เสื้อผ้าชุดเดียวกันและยืนอยู่แต่ไกล ก็อาจจะเห็นเป็นคนเดียวกันได้เลย
นางรับประทานอย่างว่าง่าย สายตาก็มองอยู่ระหว่างจีเฉวียนและซื่อมั่วสลับกันไปมา
จากนั้นก็เห็นซื่อมั่วเปิดทีวีในห้องโถงขึ้นมา
ทีวีกำลังฉายละครเรื่อง แมรี่ซูกระบี่เทพสังหารที่ตู๋กูซิงหลันเล่นเป็นเรื่องแรก
เป็นฉากที่นางแสดงเป็นจอมมารหญิงที่กำลังเล่นจ้ำจี้อย่างนั้นอย่างนี้กับพระรอง…..
นางเปิดเผยเรียวขาและหัวไหล่ มีสัมพันธ์รักผ่านภายใต้ผ้าโปรงสีแดงที่ไหวกระเพื่อม
แล้วยังมีเสียงประกอบแบบที่ไม่อาจเขียนเป็นตัวอักษรได้…..
ตู๋กูซิงหลันที่กำลังดื่มน้ำค้างจากภูเขาหิมะ ถึงกับพ่นน้ำคำโตลงไปบนโต๊ะตัวใหญ่
ยามปกตินางไม่ค่อยอยู่บ้าน ในบ้านจึงมีแต่เสินฟาง ภาพในละครเหล่านั้นถูกดาว์นโหลดลงมาเก็บเอาไว้ ไม่ใช่ที่สถานีโทรทัศน์กำลังฉายอยู่
นางหันกลับไปจ้องเสินฟางอย่างโหดเ**้ยม ไอ้ตัวร้ายนั้นแอบหาเรื่องกันใช่หรือไม่?
เสินฟาง “….” ฟ้าเดินโปรดเมตตา เขาไม่ได้ทำสักหน่อย
เขาก็แค่เอาละครที่ตู๋กูซิงหลันเล่นเป็นนางมารสุดชั่วนั่นมาตัดต่อรวมกันเอาไว้ เตรียมจะเปิดให้ฮ่องเต้ชาวมนุษย์นั่นดู
จะได้รู้ว่าแก่นแท้ของสตรีล้วนเป็นสีดำ สมควรหลีกหนีจากนางไปให้ไกล
ส่วนไอ้เสียงที่ไม่สามารถเขียนบรรยายลงไปได้นั่น…เขาก็ตัดออกไม่เป็น
ที่จริงแล้วเป็นซื่อมั่วต่างหากที่เป็นคนเปิด…..
เรื่องอย่างฆ่าศัตรูพันคนตนเองบาดเจ็บแปดร้อย มีแต่เฒ่าตัวร้ายผู้นี้ที่กระทำได้
ตอนที่ 492 ความลับยิ่งใหญ่ที่อาจถูกฆ่...
ยามนี้ ซื่อมั่วกับจีเฉวียนทั้งสองคนต่างก็นั่งอยู่บนโซฟาคนละด้าน
พอภาพเหล่านั้นปรากฏขึ้นมา สีพระพักตร์ของฮ่องเต้ก็เคร่งขรึมลง ท่านอาจารย์ยังคงรักษาสีหน้าเดิมไว้ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ว่าแววตากลับขุ่นข้นขึ้นมา
ทั้งสองลงมือพร้อมกัน ทำเอาทีวีเครื่องใหญ่ของนางเครื่องนั้นพังเป็นชิ้นๆ
“ซืด ซ่า ซ่า ….” เสียงไฟฟ้าช๊อตดังออกมาจากกระจกที่แตกร้าวและหล่นลงไปบนพื้น
ตู๋กูซิงหลันได้แต่ร้องด่าอยู่ในใจ นางมองดูผิวกระจกด้านหน้าที่แตกร้าว ในใจก็คิดว่าน่าจะเสียหายไปสักหนึ่งล้าน
เครื่องเรือนเครื่องใช้ในบ้านของนาง ทุกชิ้นล้วนเป็นของคุณภาพระดับโลกที่ผลิตมาอย่างจำกัด แค่แตกหักเสียหายไปสักชิ้น ก็ทำเอาหัวใจเลือดไหลซิบๆแล้ว
“อาจารย์….” นางรีบดื่มน้ำค้างจากภูเขาหิมะในชามลงกระเพาะไป ในดวงตาเปี่ยมไปด้วยความปวดร้าว
“เสี่ยวเฉวียนเฉวียนไม่รู้เรื่องอะไรถึงได้ลงมือวุ่นวาย แต่ทำไมผู้ใหญ่อย่างท่านถึงได้เป็นไปด้วย…”
ตู๋กูซิงหลันอยากจะย้ำให้เขาฟังอีกสักประโยคว่า ว่าท่านผู้เฒ่าลืมไปแล้วหรือไร ….ว่าตอนนี้นางยากจนขนาดไหน สมบัติใกล้จะถึงขั้นติดลบแล้ว!
เร็วๆนี้ยังต้องจ่ายเงินเดือนให้กับเสินฟางอีกไม่ใช่หรือ
“เขาก็ใกล้จะสามสิบแล้ว ไม่ใช่เด็กๆ” ซื่อมั่วที่นั่งอยู่บนโซฟา ทำท่าเหมือนไม่ได้เห็นจีเฉวียนอยู่ในสายตา “ศิษย์น้อยจะเรียกเขาว่าอย่างไรก็เรียกไปเถอะ แต่อย่าได้เรียกเขาเป็นเด็กเล็กๆ”
วิญญาณทมิฬ ‘ท่านอาจารย์….ท่านกำลังอิจฉาที่หลันหลันเรียกฮ่องเต้สุนัขผู้นั้นอย่างสนิทสนมเกินไปใช่หรือเปล่า’
จะต้องเป็นเช่นนี้แน่นอน!
ทันทีที่ซื่อมั่วพูดจบ ก็ได้ยินจีเฉวียนที่นั่งอยู่บนโซฟาอีกด้านหนึ่งเอ่ยปากขึ้นมาทันที
“ได้ยินมาว่าท่านคงอยู่ในโลกหล้ามานานจนไม่รู้ว่ากี่ปีมาแล้ว หากเปรียบเทียบกับท่านแล้ว เราย่อมเป็นผู้เยาว์ที่อายุน้อยจริงๆ” จากนั้นพระองค์ก็ยังย้ำเตือนซื่อมั่วอย่างไม่กลัวตายไปอีกประโยคว่า “ที่ซิงซิงเรียกเราว่าเสี่ยวเฉวียนเฉวียน ก็ไม่ถือว่าเกินเลย”
ซื่อมั่ว “…..” หากมิใช่เพราะศิษย์รักของร้องเอาไว้ว่าไม่อาจให้เขาตาย เขาจะต้องทุบเจ้าร่างแบ่งภาคผู้นี้ให้แหลกเป็นผุยผงเสียเดี๋ยวนี้
ซื่อมั่วได้แต่รักษาสีหน้าที่เคร่งขรึมเย็นชาเอาไว้ ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็ยังเป็นคนที่เก็บงำอารมณ์อย่างมิดชิดอยู่เสมอ
แม้แต่สถานการณ์ในยามนี้ ก็ยังยากที่จะได้เห็นเขาเปิดเผยอารมณ์ใดๆออกมา
บางที…..ที่จีเฉวียนเป็นคนที่ไม่รู้จักยินดียินร้ายอยู่เสมอก็คงจะเป็นเพราะได้รับอุปนิสัยส่วนนี้มาจากเขาเช่นกัน
ซื่อมั่วไม่สนใจจีเฉวียน ครู่ต่อมาก็ทุ่มความสนใจทั้งหมดมาไว้ที่ตู๋กูซิงหลัน “ได้ยินมาว่าเจ้ารับละครเรื่องใหม่อีกเรื่องหนึ่ง กินอาหารเช้าเสร็จแล้ว อาจารย์จะส่งเจ้าไปที่กองถ่าย”
ซื่อมั่วจงใจยกหัวข้อนี้ขึ้นมา เขาย่อมไม่ต้องการเห็นคนทั้งสองใกล้ชิดสนิทสนมกันต่อหน้าตนเอง
ตู๋กูซิงหลันดื่มน้ำค้างบนยอดภูเขาหิมะลงไปแล้ว สีหน้าที่เดิมก็ซีดขาว ก็ค่อยคืนสู่ความสดใสเยาว์วัยเช่นสาวน้อยอีกครั้ง
ต่อให้ยังไม่ได้ล้างหน้า แต่ว่าผิวพรรณก็เปลี่ยนเป็นกระจ่างขึ้นมา
น้ำค้างยอดเขาหิมะ ถือเป็นสิ่งยอดปรารถนาที่เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงทั้งหลายต้องการเพื่อรักษาความงาม ได้ดื่มลงไปอึกหนึ่ง ผิวพรรณก็จะขาวกระจ่างและนุ่มนวล เปล่งประกายจากภายใน
หากดื่มเข้าไปหลายๆครั้งเข้า ก็จะมีผลชะลอวัย
ทุกสิ่งที่อาจารย์มอบให้นาง ล้วนมอบให้ด้วยความตั้งใจ
“ข้าไปเองได้เจ้าค่ะ” นางวางชามในมือลง สบตากับซื่อมั่วอย่างระมัดระวัง
หากให้ท่านอาจารย์ไปส่งนางละก็ ….จีเฉวียนก็จะต้องยืนยันจะตามไปด้วยให้ได้อย่างแน่นอน มีคนทั้งสองอยู่ข้างกายพร้อมๆกันเช่นนี้ ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าเหมือนนั่งอยู่บนพรมเข็ม
“อาจารย์บอกว่าจะไปส่ง ก็คือจะไปส่ง” อาจารย์มิได้เปิดโอกาสให้นางได้ปฏิเสธแม้แต่น้อย
“ยามนี้โลกปัจจุบันไม่ค่อยสงบ ที่ด้านนอกมีอันตรายมากมาย “ เขาว่าต่อไป “เจ้าเป็นสตรีออกไปข้างนอกเพียงลำพังอาจารย์ไม่อาจวางใจ”
น้ำเสียงนิ่งเรียบเด็ดขาด ไร้อารมณ์ เสมือนผู้ใหญ่ในบ้านที่มีอำนาจสั่งการ
“เราจะคอยคุ้มครองซิงซิงเอง ท่านมิจำเป็นต้องกังวลใจไป” ฮ่องเต้ย่อมไม่ทรงยอมนั่งอยู่เฉยๆ
เนื่องเพราะหากเปรียบเทียบกับโลกโบราณแล้ว โลกปัจจุบันใบนี้ยังสงบสุขกว่ามากนัก ต่อให้มีอันตรายก็ยังเทียบไม่ได้กับอันตรายในโลกโบราณ
ถึงแม้ว่าพระวรกายของพระองค์จะยังไม่ฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์ แต่ว่าแค่คุ้มครองอยู่ข้างกายนาง เท่านี้ก็นับว่าเกินพออยู่แล้ว
เห็นอยู่ว่า ทั้งสองกำลังแย่งชิงกัน ‘ปกป้อง’ อย่างเกินกว่าเหตุจนใกล้จะต่อสู้กันขึ้นมาแล้ว…..
ตู๋กูซิงหลันก็ตัดสินใจวางชามวางตะเกียบลง ให้ทั้งสองคนเดินทางไปด้วย
ถึงอย่างไรไม่ว่าคนไหนก็ทิ้งไม่ได้อยู่แล้ว
ตามที่Sherryได้โทรศัพท์ มาบอก พอรู้สถานที่ที่จะใช้ถ่ายทำ ตู๋กูซิงหลันก็ขับรถQQของนางไปในทันที
เพียงแต่เมื่อเทียบกับครั้งก่อนแล้ว บนรถเพิ่มคนขึ้นมาอีกผู้หนึ่ง
ท่านอาจารย์จะอย่างไรก็เป็นคนรู้จักความเหมาะสม จึงไม่ไปแย่งชิงที่นั่งข้างคนขับกับจีเฉวียน
เขานั่งอยู่ด้านหลังเพียงลำพัง และเพราะแขนขายาว ศีรษะจึงเกือบจะชนกับหลังคารถอยู่แล้ว เขานั่งอยู่เพียงคนเดียวที่แถวหลังของรถQQก็ต้องถือว่าแน่นจนน่าอึดอัดแล้ว
คนสวมใส่ชุดแบบตะวันตกสีม่วง ทั้งยังไว้ทรงผมเสยไปด้านหลังจนหมด แต่ว่าบุคลิกของคนผู้นี้กลับสูงส่งเกินใดเปรียบ ราวกับเชื้อพระวงศ์ที่ถูกส่งไปเรียนหนังสือในต่างแดนอย่างไรอย่างนั้น
ส่วนฮ่องเต้สุนัขก็เปลี่ยนเป็นใส่ชุดแบบตะวันตกที่ตู๋กูซิงหลันซื้อมาจากห้างสือไต้ในวันก่อน เป็นชุดสีน้ำเงินเข้มที่มีลวดลายพิเศษดูทันสมัย
เสื้อผ้าที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ พอสวมใส่ก็ดูเหมาะเจาะกับพระองค์อย่างยิ่ง
จีเฉวียนทรงมีรูปร่างที่ดีเยี่ยม ชุดแบบตะวันตกยิ่งขับเน้นรูปร่างของเขาให้สูงโปร่งดุจพู่กัน ราวกับนักรบสวรรค์ที่หลุดออกมาจากภาพวาด
รอบกายยังกำจายกลิ่นอายของคุณชายที่สูงศักดิ์และลึกลับออกมา
เพียงแต่ว่าเส้นผมที่ยาวมากนั้นออกจะจัดการได้ยากอยู่สักหน่อย แต่ก็ถูกตู๋กูซิงหลันใช้เวทย์บางอย่างปกปิดไว้ คนทั่วไปมองดู ก็จะเห็นเป็นทรงผมที่หนุ่มหน้าใสทั่วๆไปนิยมตัดกันเท่านั้น แต่ก็ยังเท่ห์สุดใจ
…….เหมาะสมกับฮ่องเต้สุนัขอย่างยิ่ง ทำให้คนดูอบอุ่นอ่อนโยนขึ้นมาก
ตลอดทางมานี้ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าแผ่นหลังเย็นวาบอยู่ตลอดเวลา นางรู้สึกว่าถูกอาจารย์จับตาดูอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ตลอดเวลาจนขับรถอย่างยากลำบาก
ส่วนฮ่องเต้สุนัขเพราะพระนาสิกที่ไวเกินไปเป็นเหตุให้….เมารถอย่างแรง
พระองค์ไม่โปรดกลิ่นน้ำมันจากรถยนต์อย่างยิ่ง กลิ่นรุนแรงเสียดแทงจมูก
พระองค์ไม่ตรัสอะไรทั้งสิ้น เอาแต่ฝืนทนต่ออาการคลื่นไส้
ส่วนท่านอาจารย์เองก็ไม่พูดไม่จา ดูๆไปแล้วสีหน้าก็ไม่ค่อยดีเช่นกัน
วิญญาณทมิฬนั่งอยู่ข้างๆท่านอาจารย์ในมุมหนึ่งด้วยอาการตัวสั่นเทา จบกันแล้ว ดูเหมือนว่ามันจะค้นพบความลับบางประการที่อาจจะถูกฆ่าปิดปากได้!
ท่านอาจารย์…..ดูท่าว่าจะเมารถ!
ที่จริงมีหลายครั้งแล้ว ที่มันเห็นลูกกระเดือกของซื่อมั่วขยับขึ้นลง….สุดท้ายก็ค่อยๆสงบนิ่งลงไป
เขายังเสแสร้งปิดบังได้แนบเนียนกว่าฮ่องเต้สุนัขเสียอีก!
ภายใต้ท่าทางภายนอกที่ดูสงบนิ่ง…..ที่จริงข้างในมวนท้องจนพลิกกลับเป็นท้องทะเลไปแล้ว
ปกติแล้วน้อยครั้งมากที่นางจะได้เห็นอาจารย์นั่งรถไปไหนมาไหน …..อาจารย์เคยขึ้นรถนางครั้งเดียวตอนที่นางได้ใบขับขี่ครั้งแรกเท่านั้น…..
ตอนนั้น…..นางขับรถไมบัค (Maybach รถแบรนด์เยอรมัน) วนรอบหุบเขาปีศาจ สีหน้าของอาจารย์ยามลงจากรถ…..ย่ำแย่กว่าที่นางเคยเห็นมาชั่วชีวิตเสียอีก
เขาไม่พูดไม่จาก็กลับไปที่เรือนของตนเองทันที หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็ไม่เคยขึ้นรถที่นางขับอีกเลย
เป็นเช่นนี้มาตลอด……แล้วทำไมจู่ๆถึงได้กระโดดมาขึ้นรถนางอีก
…………………………
สถานที่ถ่ายทำเรื่อง 《พระสนมคลั่ง》ตั้งอยู่บนถนนวงแหวนเส้นที่สองนอกเมือง…..เมืองถ่ายทำภาพยนตร์เสวียนเฉิง
เสวียนเฉิงสร้างขึ้นเพื่อการถ่ายทำภาพยนตร์โดยเฉพาะ มีสิ่งก่อสร้างแบบโบราณมากมาย พอผ่านเข้าไปก็เป็นเหมือนอีกโลกหนึ่ง เมื่อผ่านตึกเล็กๆหลายหลังมองเข้าไปล้วนเป็นบ้านเรือนแบบโบราณ
คนที่เดินผ่านไปผ่านมาบนท้องถนนมีไม่น้อยที่สวมใส่ชุดยาวโบราณฮั่นฝู
เดี๋ยวนี้คนรุ่นใหม่ต่างก็เริ่มนิยมกลับมาใส่ชุดฮั่นฝู …..เมื่ออยู่ในเมืองถ่ายทำภาพยนตร์เสวียนเฉิงการได้เห็นหนุ่มๆสาวๆมากมายใส่ชุดฮั่นฝูในแบบต่างๆจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอีกต่อไป
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น