ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 489-490

ตอนที่ 489 เป็นบุรุษของข้า ข้าจะเลี้ย...

 

สตรีผู้นั้น มีสิ่งใดดึงดูดเขากัน?


 


 


รูปโฉมหรือ? อุปนิสัย? หรือว่าใบหน้าที่รู้จักแสดงนั่น?


 


 


เดิมทีนางนึกว่าเขาเพียงแต่ชื่นชอบสตรีที่เป็นราชินีจอเงิน ….. ดังนั้นนางถึงพยายามอย่างยิ่งเพื่อจะกลายเป็นราชินีจอเงิน แต่ปรากฏว่าเขากลับไม่เหลือบแลนางแม้แต่น้อย


 


 


ไม่เพียงแต่ไม่มองดูนาง แต่กลับไม่ยอมให้นางเข้าไปในเรือนของเขาเสียด้วยซ้ำ


 


 


ในสมองของซ่งชิงไต้ผุดภาพใบหน้าของตู๋กูซิงหลันขึ้นมาเรื่อยๆ สตรีผู้นั้นไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น แต่กลับเป็นเสมือนดวงตาดวงใจของเขา….อุทิศตนทำทุกสิ่งให้กับนางโดยไม่มีข้อแม้


 


 


ในขณะที่นางยินยอมมอบตนให้จนหมดสิ้น เขากลับไม่เหลือบแลแม้แต่น้อย


 


 


นางยกมือที่มีแต่เลือดขึ้นมากำหมัดจนแนบแน่น


 


 


……………………..


 


 


หุบเขาปีศาจ ในสวนกุหลาบ


 


 


เสินฟางมาเคาะประตูอยู่ที่หน้าห้องของตู๋กูซิงหลันเป็นครั้งที่สามแล้ว


 


 


แต่ว่าน่าเสียดายที่ข้างในไม่มีเสียงเคลื่อนไหวใดๆทั้งสิ้น


 


 


ขณะที่เยี่ยซิงหลันนำฮ่องเต้ชาวมนุษย์ผู้นั้นกลับมา สีหน้าก็ย่ำแย่อย่างที่สุด


 


 


ส่วนฮ่องเต้ผู้นั้นก็ดูใกล้จะขาดใจตายอยู่รอมร่อ


 


 


ก็แค่ไปทดสอบบทละครไม่ใช่หรือ ทำไมถึงได้ถึงขั้นเอาชีวิตกัน?


 


 


ครั้งนี้ ในห้องก็ยังคงเงียบงัน ไร้การตอบรับ


 


 


เสินฟางยืนรอรับใช้อยู่ที่หน้าประตู เมื่อเป็นทาสรับใช้ของตู๋กูซิงหลัน เขาก็ควรจะแสดงออกถึงความห่วงใยและใส่ใจสุขภาพร่างกายของนางอยู่บ้าง


 


 


ภายในห้อง จีเฉวียนถูกตู๋กูซิงหลันพามานอนบนเตียง


 


 


ร่างกายของเขาเย็นเฉียบราวกับถูกขุดออกมาจากชั้นน้ำแข็ง กระทั่งหัวคิ้วที่ขมวดติดกันก็ยังมีละลองน้ำแข็งจับค้าง


 


 


ทั้งๆที่เป็นยามดึกกลางฤดูร้อน ตู๋กูซิงหลันกลับเปิดแอร์ให้อุ่นจนถึงสามสิบองศา เอาผ้าห่มที่อยู่ในตู้ทั้งหมดออกมาห่มให้กับเขา สภาพของจีเฉวียนถึงได้พอจะดีขึ้นมาบ้าง


 


 


จนผ่านไปอีกเกือบชั่วโมง ริมฝีปากที่เย็นจัดจนกลายเป็นสีเขียวของเขาค่อยมีสีเลือดขึ้นมาบ้าง


 


 


ตู๋กูซิงหลันนั่งลงที่ข้างเตียง จับมือของเขาเอาไว้อย่างแนบแน่น


 


 


จีเฉวียนเหมือนกับประติมากรรมน้ำแข็ง นางเฝ้ารอให้เขามีไออุ่นขึ้นมาบ้างสักเล็กน้อย แต่ขณะเดียวกันก็กังวลว่าพออุ่นขึ้นมาเขาก็จะละลายหายไป


 


 


นางกลัว…..กลัวว่าเขาจะตาย


 


 


ในที่สุดก็รอคอยจนละอองน้ำแข็งบนขนคิ้วและขนตาของเขาละลายออกไป สองมือที่ถูกนางกอบกุมเอาไว้จนแนบแน่นคู่นั้นก็มิได้เย็นจัดจนแข็งค้างแล้ว


 


 


แววตาในดวงตาหงส์คู่นั้น มีประกายสว่างขึ้นมาบ้าง


 


 


ในแววตาสะท้อนภาพใบหน้าของนาง


 


 


และอารมณ์ความรู้สึกเช่นเดียวกันกับนาง


 


 


เขานอนอยู่ นางนั่งอยู่ข้างๆ ดวงตาทั้งสี่ของคนทั้งสองสบกัน


 


 


ก็ไม่รู้เพราะเหตุใด แต่ในชั่วขณะนั้น…..ดวงตาของตู๋กูซิงหลันพลันมีหมอกหนาขึ้นมาปิดบัง ดวงตาดอกท้อของนางเปล่งประกายจากหยาดน้ำตา


 


 


“ซิงซิง” จีเฉวียนเอ่ยพระโอษฐ์ขึ้น ด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง เขายกแขนขึ้นอย่างลำบากกินแรง ฝ่ามือใหญ่ข้างนั้นสัมผัสกับข้างแก้มของนาง ดวงเนตรหงส์มองลึกลงไปในดวงตาของนาง


 


 


“อย่าได้ร้องไห้” ปลายดัชนีของพระองค์สัมผัสเบาๆที่หางตาของนาง


 


 


พระเนตรของพระองค์เงยขึ้น สายพระเนตรจับจ้องไปยังภาพที่แขวนอยู่บนกำแพง


 


 


ซื่อมั่วสวมใส่เสื้อผ้าสีม่วงแบบตะวันตก ในอ้อมอกอุ้มทารกตัวน้อยผู้หนึ่ง ทารกเองก็ยิ้มอย่างอ่อนหวาน


 


 


เมื่ออยู่ในอ้อมแขนของซื่อมั่ว ย่อมให้ความรู้สึกที่อบอุ่นปลอดภัย


 


 


คนผู้นี้เอง….ที่เลี้ยงดูนางมากับมือตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ คนที่ให้ทุกสิ่งแก่นาง


 


 


คนที่ผ่านประสบการณ์ทั้งหลายที่พระองค์ไม่เคยล่วงรู้…..มากับนาง


 


 


พระองค์อิจฉา และริษยา ขณะเดียวกันก็ปลาบปลื้มยินดี


 


 


ยินดีที่ซิงซิงได้เติบโตขึ้นมาท่ามกล่างความรักใคร่ทะนุถนอม ….ยินดีที่ท่ามกลางความมืดมิด นางยังได้รับแสงสว่างในชีวิต


 


 


………………….


 


 


 


 


จากนั้นพระองค์ก็หันสายพระเนตรกลับมา ปิดดวงเนตรลง


 


 


สิ่งที่สมควรได้ฟัง…..ไม่สมควรได้ฟัง พระองค์ล้วนได้ทรงสดับฟังอย่างชัดเจนหมดแล้ว


 


 


พระองค์มาจากซื่อมั่วผู้นั้น


 


 


พระองค์ที่เป็นโอรสสวรรค์แห่งต้าโจว ผู้สูญเสียพระมารดาแต่งเยาว์วัย ถูกพระบิดาชิงชังจนส่งไปเป็นตัวประกันที่แคว้นเหยียนนานถึงแปดปี ต้องรับรู้รสชาติของการพลัดพรากจากผู้เป็นที่รักตั้งแต่เยาว์วัย ตกอยู่ในความทุกข์ทรมานท่ามกลางความสิ้นหวังที่มืดมิด


 


 


ตั้งแต่ยามพระเยาว์พระองค์ก็ต้องเติบโตท่ามกลางแผนการปองร้ายและการเข่นฆ่าของผู้อื่น หล่อหลอมพระอุปนิสัยให้พระองค์กลายเป็นผู้ที่เคร่งขรึม ไม่รู้จักยินดียินร้ายใดๆ


 


 


แม้ว่าสถานการณ์แวดล้อมจะทำให้พระองค์ตกอยู่ในความมืดมิด แต่ว่าพระทัยก็ยังตั้งมั่นสู่แสงสว่าง


 


 


พระองค์ตั้งพระทัยจะเป็นผู้ปกครองใต้หล้า จึงทรงคิดว่าทุกสิ่งที่พระองค์ต้องประสบพบพานนั้น ล้วนเป็นการทดสอบจากสรวงสวรรค์


 


 


แต่ว่าสุดท้ายแล้ว พระองค์กลับเป็นเพียงส่วนหนึ่งของผู้อื่น


 


 


ร่างแบ่งของเทพผู้ครอบครองจิตใจส่วนลึกของนาง….ผู้ที่ส่งพระองค์มารับความทนทุกข์ทรมานในโลกมนุษย์


 


 


จีเฉวียนทรงรู้สึกไม่ยินยอม……


 


 


พระองค์คือโอรสสวรรค์แห่งแคว้นโจว คือจีเฉวียน พระองค์เชื่อมั่นในพระทัยว่าพระองค์คือมนุษย์ที่สมบูรณ์ผู้หนึ่ง


 


 


พระองค์กับซื่อมั่วนั้น….แตกต่างกัน


 


 


แต่พอได้ยินคำพูดของซิงซิงที่บอกกับซื่อมั่ว……


 


 


พระทัยของจีเฉวียนก็ต้องว้าวุ่นอย่างที่สุด


 


 


นางบอกว่า นางชอบพระองค์ ชอบอย่างที่สุด


 


 


นางยินยอมให้ตนเองต้องตาย แต่ไม่ต้องการให้พระองค์สาบสูญไป


 


 


พระองค์วาดหวังให้ในใจของนางมีที่ว่างให้พระองค์มานับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ทรงคาดไม่ถึงว่านางจะห่วงใยในพระองค์มากกว่าที่ทรงคิดเอาไว้มากมายนัก


 


 


จีเฉวียนยากจะอธิบายความรู้สึก ยินดี ซาบซึ้ง สับสนและขัดแย้งในพระทัย


 


 


อารมณ์ทุกอย่างประดังประเดเข้ามา แต่พอได้สบพระเนตรเข้ากับสองตาที่มีน้ำตาเอ่อล้นของนาง ความรู้สึกที่เอ่อล้นทั้งหมดก็สงบลง


 


 


“อย่าได้ร้องไห้ เราปวดใจนัก” พระองค์ปาดเช็ดดวงหน้าของนาง “เรา…..”


 


 


เราไม่เคยหวาดกลัวความตายมาก่อน เพียงแต่ไม่อาจปล่อยวางเจ้า


 


 


เดิมทีในแผ่นดินโบราณนั้น พระองค์ก็ทรงถ่ายทอดราชสมบัติทั้งหมดให้กับนางแล้ว


 


 


ก่อนหน้านั้น พระองค์ยังได้กำราบแคว้นฉินลง……ให้แคว้นฉินศิโรราบต่อนาง


 


 


เดิมทีพระองค์ทรงคิดว่าทุกสิ่งที่ได้ทำลงไปคงจะเพียงพอให้นางสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุข


 


 


ไปได้ตลอดกาลแล้ว คิดไม่ถึงว่า พระองค์จะต้องติดตามนางมาถึงโลกปัจจุบันใบนี้


 


 


ที่นี่ พระองค์ไม่มีสิ่งใดทั้งสิ้น


 


 


ทั้งยังต้องให้นางกลายเป็นฝ่ายปกป้อง


 


 


จีเฉวียนขยับพระโอษฐ์ ในพระทัยมีถ้อยคำเป็นพันเป็นหมื่นที่อยากจะบอกกับนาง


 


 


สิ่งที่พระองค์อยากจะบอกมากที่สุดก็คือ….


 


 


“ซิงซิง….” ทันทีที่ชื่อของนางออกจากพระโอษฐ์ ริมฝีปากก็สัมผัสได้กับความอบอุ่น


 


 


ทั้งยังมีกลิ่นหอมของดอกฮว๋ายจากตัวนางที่ไม่เหมือนกับที่ใดทั้งสิ้น


 


 


นางยันตัวเอาไว้ ริมฝีปากแดงประกบเข้ากับพระโอษฐ์ที่เย็นยะเยือกดุจน้ำแข็ง ยามที่ถอนออกไป ยังขบพระองค์เบาๆครั้งหนึ่ง


 


 


ความเจ็บปวดเล็กๆที่ริมพระโอษฐ์ทำให้จีเฉวียนทรงได้พระสติขึ้นมา


 


 


นาง…..เป็นฝ่ายจูบพระองค์ก่อน?


 


 


จีเฉวียนตกตะลึงไปแล้ว ทรงรู้สึกว่าพระองค์กำลังฝันไป


 


 


แต่ในตอนนั้นเอง สองมือของตู๋กูซิงหลันก็กอบอยู่ที่ข้างพระกรรณ ดวงตาดอกท้อคู่นั้นจับจ้องพระองค์อย่างจริงจัง


 


 


“จีเฉวียน ข้าประทับตราของข้าแล้ว อยู่ก็เป็นคนของข้า ตายก็ต้องเป็นคนของข้า”


 


 


ตู๋กูซิงหลันไม่ใช่คนพิรี้พิไร แต่เพราะก่อนหน้านี้นางถูกใครบางคนสาปให้ไม่อาจมีความรัก จึงได้พยายามผลักไสจีเฉวียนออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า


 


 


แต่ก่อนที่จะมายังโลกปัจจุบันนี้ นางกระอักเลือดออกมามากมาย จึงทำให้คำสาปนั้นถูกทำลายลงไป


 


 


ในเมื่อนางชอบจีเฉวียน


 


 


จากนี้ไปจะไม่ปฏิเสธอีก


 


 


ในเมื่อชอบ ก็จะยอมรับอย่างเปิดเผย และอยู่ด้วยกัน


 


 


“เป็นแฟนของข้า ข้าจะเลี้ยงดูท่านเอง” ตู๋กูซิงหลันมองดูเขา ดวงตาดอกท้อเปล่งประกายสดใส


 


 


น้ำเสียงที่นางบอกว่าจะ ‘เลี้ยงดู’ หนักแน่นเกินธรรมดา


 


 


จีเฉวียนทอดพระเนตรมองดูนาง ดวงพระทัยแทบจะระเบิดออกมาจากทรวงอก ความหมายของนางก็คือ…..ในที่สุดจากนี้ไปนางก็ยอมรับพระองค์แล้ว?


 


 


นางจะ…อยู่กับพระองค์?


 


 


ความฝันที่ทรงใฝ่ฝันมานับครั้งไม่ถ้วนในที่สุดก็เป็นจริง จีเฉวียนดีพระทัยอย่างที่สุด ถึงแม้ว่าตอนนี้สีพระพักตร์จะย่ำแย่จนน่าตกใจก็ตาม


 


 


จีเฉวียนทรงแน่พระทัยเลยว่า….พระองค์ในตอนนี้อาจจะตายได้ทุกเมื่อ


 


 


แต่หากพระองค์ทรงสิ้นไปในตอนนี้ ซิงซิงก็จะต้องกลายเป็นม่ายที่โดดเดี่ยว


 


 


ดังนั้น…..พระองค์ไม่อาจตาย!


 


 


ต่อให้พระองค์จะต้องเห็นแก่ตัวเพียงไร….พระองค์ก็ไม่อาจตาย!

 

 

 


ตอนที่ 490 ใส่เสื้อผ้าเข้านอน

 

ฝ่าพระหัตถ์ที่ใหญ่โตโอบลงไปบนท้ายทอยของนาง ดึงตัวนางทั้งร่างเข้ามาในอ้อมพระอุระ 


 


 


กอดเอาไว้อย่างแนบแน่น ราวกับเกรงว่าหากคลายพระหัตถ์ออก คำพูดของนางเมื่อครู่ก็จะกลายเป็นเพียงลมปาก 


 


 


“ซิงซิง เราจะจดจำคำพูดนี้ของเจ้าไปชั่วชีวิต อยู่ก็เป็นคนของเจ้า ตายก็เป็นคนของเจ้า” พระองค์กระซิบที่ข้างหูของนาง ลมเย็นๆจากน้ำเสียงอบอุ่นปนสากน้อยๆแผ่วเบาผ่านริมหูของนาง จักจี้นิดๆ 


 


 


“เราจะเป็นแฟนที่ดีที่สุดในใต้หล้า” 


 


 


แฟน….คำนี้ในความเข้าใจของฝ่าบาท ก็คือว่าที่สามี 


 


 


เพราะในแผ่นดินโบราณที่ยังคงรักษาเอาไว้ซึ่งขนมธรรมเนียมตามประเพณีนั้น เมื่อชายและหญิงตกลงใจให้คำหมั้นว่าจะเป็นคนรักกัน ส่วนใหญ่แล้วเก้าในสิบส่วนก็ลงเอยด้วยการแต่งงาน 


 


 


อย่าว่าแต่….พระองค์เองชาตินี้ทั้งชาติก็จะขอมีแต่นางเพียงผู้เดียว 


 


 


คำว่าสามีนี้ (夫ฟู่) ขยับเพียงขีดเดียวก็กลายเป็นคำว่า ฟ้าแล้ว (天 เทียน) 


 


 


ตู๋กูซิงหลันพิงลงไปบนพระอุระ นี่เป็นครั้งแรกที่นางสามารถฟังเสียงหัวใจของเขาเต้นได้อย่างผ่อนคลายเช่นนี้ 


 


 


ร่างกายของเขาไม่ได้แข็งทื่อเหมือนเมื่อครู่แล้ว นับตั้งแต่เขาตื่นขึ้นมาก็มิได้ไต่ถามอะไรวุ่นวาย ตู๋กูซิงหลันเดาว่าเขาคงจะได้ยินคำพูดระหว่างนางและอาจารย์ทั้งหมดแล้ว 


 


 


เจ้าตัวร้ายผู้นี้ช่างอดทนอดกลั้นได้เก่งนัก อดทนเสียจนคนต้องสงสาร 


 


 


“ต่อไป พวกเราจะต้องสนับสนุนกันและกัน สู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่” มือของตู๋กูซิงหลันวางอยู่บนทรวงอกของเขา “นี่เป็นกฎของการเป็นคนรัก” 


 


 


“อืม” จีเฉวียนประทับนั่งพิงอยู่บนเตียงสีแดงหลังใหญ่ อ้อมพระกรด้านหนึ่งโอบนางเอาไว้ พระหัตถ์อีกข้างก็กุมมือของนาง ในพระทัยมีแผนการต่างๆมากมาย 


 


 


พระองค์ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าจะได้มีวันที่ได้ครอบครองนางเช่นนี้ 


 


 


ความอบอุ่นนี้ อยากจะทรงทะนุถนอมเอาไว้เป็นพิเศษ 


 


 


จนไม่อาจจะวางพระหัตถ์ได้ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันพิงอยู่กับเขา นางกำลังคิดหาหนทางว่า 


 


 


สมควรทำอย่างไรจึงจะสามารถทำให้จีเฉวียนและอาจารย์ต่างก็สามารถคงอยู่ได้ 


 


 


นางไม่ต้องการให้คนใดคนหนึ่งในพวกเขาตายจากไป 


 


 


ปัญหาชีวิตที่ขัดแย้งนี้จะต้องมีทางออกอย่างแน่นอน 


 


 


ตลอดเวลาที่เฝ้าอยู่ข้างกายจีเฉวียน นางถ่ายทอดพลังให้กับเขาไปไม่น้อย ตอนนี้ร่างกายจึงอ่อนล้าไปหมด 


 


 


ตอนนี้พอได้พิงอยู่กับเขา จึงเกิดความง่วงขึ้นมาจนอดที่จะคล้อยหลับไปไม่ได้ 


 


 


จีเฉวียนทอดพระเนตรมองดูสาวน้อยในอ้อมพระอุระ ก็ยื่นปลายดัชนีออกไป ลูบไล้เครื่องหน้าของนางอย่างแผ่วเบา 


 


 


ราวกับว่าต้องการจะจารึกทุกสิ่งทุกอย่างในตัวนางเอาไว้ในส่วนลึกที่สุดของพระทัย 


 


 


……………………. 


 


 


 


 


 


ที่นอกประตู เสินฟางได้แต่ใช้สีหน้าของคนโสดยามเห็นคู่รัก 


 


 


เขาค่อยๆถอยออกมา พาตัวเองออกไปชมดาวในสวน 


 


 


บุพเพวาสนาในโลกนั้น เป็นเรื่องของพรหมลิขิต สิ่งที่เป็นของท่านจะอย่างไรก็เป็นของท่าน สิ่งที่ไม่ได้เป็นของท่าน แย่งชิงไปก็ไร้ประโยชน์ 


 


 


เช่นเดียวกับซื่อมั่วและเยี่ยซิงหลัน 


 


 


คนหนึ่งทุ่มเทออกไปตั้งมากมาย แต่สุดท้ายแล้วศิษย์น้อยที่เลี้ยงดูมาแต่แบเบาะกลับกลายเป็นน้ำปุ๋ยที่ไหลสู่นาของผู้อื่น 


 


 


เรื่องของความรู้สึกนี้ ไม่อาจกำหนดออกไปได้อย่างชัดเจนจริงๆ 


 


 


เช่นเดียวกับตัวเขา ที่ตอนนั้นเพียงเพราะสายตาแวบเดียวเท่านั้น ในใจพลันบังเกิดความหลงใหล ทำให้คนบังเกิดคะนึงหาไปอีกนับร้อยๆปี….. 


 


 


ทุกชาติภพ เขาล้วนไม่ยอมปล่อยมือโดยง่าย ทำร้ายนางให้ต้องมีชะตากรรมพัวพัน….. ติดอยู่ในบ่วงรักที่ยากจะไถ่ถอน 


 


 


เสินฟางมองดูท้องฟ้ายามค่ำที่ว่างเปล่าเนิ่นนาน ค่อยก้มลงเหลือบดูโซ่หินบนข้อเท้าแวบหนึ่ง แววตาลึกๆมีแต่ความเจ็บช้ำ 


 


 


………………………….. 


 


 


วันรุ่งขึ้น อากาศแจ่มใส 


 


 


แสงแรกของยามเช้าสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ให้ความอบอุ่นมากเป็นพิเศษ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันที่อยู่ในอ้อมแขนของจีเฉวียนก็ตื่นขึ้นมา 


 


 


พอเขาพึ่งจะกลายเป็นแฟนของตนเอง….ทั้งสองคนก็ ‘นอนเตียงเดียวกัน’ เรียบร้อยแล้ว 


 


 


ยามที่อยู่ในต้าโจว ถึงแม้ว่าจีเฉวียนจะเคยบังคับให้นางนอนบนเตียงบรรทมหลังเดียวกันมาหลายครั้ง …..แต่ก็ไม่เคยทำให้นางเกิดความรู้สึกใดๆ 


 


 


วันนี้ความรู้สึกกลับไม่เหมือนเดิม 


 


 


แสงแดดส่องลงมากระทบดวงพักตร์ของจีเฉวียน สะท้อนผิวพรรณของเขา เพิ่มพูนความอบอุ่นราวหยกเนื้อดีอีกหลายส่วน 


 


 


ขนตาที่ทั้งยาวและหนาเป็นแพแต่ละเส้นคมชัด ขนคิ้วที่คมเข้มและโค้งสูงนั่นถูกย้อมด้วยแสงสว่าง ทำให้ฮ่องเต้ตัวร้ายดูอบอุ่นอ่อนโยนขึ้นอย่างหาได้ยากนัก 


 


 


ศีรษะของตู๋กูซิงหลันยังคงซุกอยู่ตรงบ่าของเขา จับจ้องดูเขาอย่างไม่วางตา 


 


 


พอชอบคนๆหนึ่งขึ้นมา ยิ่งได้เห็นก็ยิ่งรู้สึกว่าอะไรๆก็ดูสบายตาไปหมด 


 


 


ตอนนี้ตู๋กูซิงหลันค่อยเข้าใจคำที่ว่า ถามหาคนงามให้ถามคนรัก ก็เหมือนกับนางในยามนี้พอมองดูฮ่องเต้ตัวร้าย ก็รู้สึกว่าได้พบกับกำไลหยกแกะสลักที่เป็นยอดงานศิลปะชิ้นหนึ่ง 


 


 


นางยื่นนิ้วมือออกไป ลูบไล้ริมฝีปากของเขา 


 


 


หากมองดูอย่างละเอียดละก็ ริมฝีปากของจีเฉวียนก็ไม่ได้บางมากสักเท่าไหร่ ริมฝีปากบนบาง ริมฝีปากล่างอูม เป็นรูปทรงที่น่าดูอย่างยิ่ง จนทำให้คนอดใจไม่ไหวอยากจะจูบสักครั้ง 


 


 


ตู๋กูซิงหลันพึ่งจะมองดูได้ครู่เดียว ก็เห็นดวงเนตรหงส์คู่นั้นพลันลืมตาขึ้นมา 


 


 


แววตาของเขาราวกับแสงดาวในท้องทะเลลึก ดึงดูดให้นางจมลงไปในชั่วพริบตา 


 


 


จีเฉวียนพลิกพระหัตถ์ คิดจะจุมพิศลงไปบนหน้าผากของนาง พลันรู้สึกได้ว่าพลังหยินกลุ่มหนึ่งพุ่งผ่านบานประตูเข้ามา 


 


 


ประตูหน้าต่างทุกบานภายในห้องถูกเปิดออกในทันที 


 


 


นอกห้องนอน มีเสินฟางยืนอยู่ 


 


 


“คุณหนู ใต้เท้าซื่อมั่วมาหาท่านแล้ว” เสินฟางยืนอยู่ที่หน้าประตู แอบเหลือบตามองบนอยู่ในใจ เรื่องจำพวกขัดจังหวะรบกวนความฝันของผู้อื่น ซื่อมั่วย่อมไม่ทำด้วยตนเอง แต่กลับส่งเขามาจัดการ……เวรกรรมจริง 


 


 


“ท่านอาจารย์” ตู๋กูซิงหลันลุกขึ้นมานั่ง มองออกไปด้านนอกแวบหนึ่ง ตอนนี้พึ่งจะหกโมงเช้าเอง 


 


 


ยามเช้าในเมืองหลวงฟ้าสว่างอย่างรวดเร็ว ปกติท่านอาจารย์ไม่มีงานอดิเรกใดๆ หากแต่ชมชอบนอนตื่นสาย 


 


 


ที่ผ่านมาล้วนเคลื่อนไหวยามค่ำคืน ยามกลางวันแทบจะไม่เคยเห็นเงาของเขา 


 


 


วันนี้กลับมาแต่เช้า? 


 


 


ตู๋กูซิงหลันไม่คิดอะไรให้มากความก็ก้าวเท้าลงจากเตียง 


 


 


นางกับจีเฉวียนต่างก็ใส่เสื้อผ้าเข้านอน ทั้งยังไม่ได้กระทำเรื่องอื่นใด ดังนั้นจึงไม่มีอะไรต้องร้อนรน 


 


 


นางพึ่งจะก้าวลงจากเตียง จีเฉวียนก็คว้าข้อมือของนางเอาไว้ “ซิงซิง เราจะออกไปพร้อมกับเจ้า” 


 


 


จีเฉวียนตรัสแล้วก็พลิกพระหัตถ์มาจับมือของนางไว้สิบนิ้วกุมเข้าหากัน 


 


 


พระองค์เห็นพวกคนรักในโลกปัจจุบัน ต่างก็จับมือกันเช่นนี้ รักใคร่ใกล้ชิด แนบแน่นสนิทสนม 


 


 


ทั้งสองคนลุกขึ้นมา ดวงตายังสะลึมสะลือ เส้นผมก็ยุ่งเหยิง 


 


 


พอพึ่งจะออกไป ก็เห็นซื่อมั่วสวมใส่เสื้อผ้าเรียบหรูกำลังนั่งอยู่บนโซฟาที่กลางห้องโถง  


 


 


ฟ้าสว่างจ้า เขาสวมใส่ชุดแบบตะวันตกสีม่วงสดทั่วตัว ผมทรงSlicked backถูกเซตมาอย่างปราณีต ตลอดร่างเปล่งประกายของผู้ทรงฌานระดับสูง 


 


 


ผู้ทรงฌานที่มีบารมีแก่กล้า ลึกล้ำ และไม่ควรไปแหย่ง่ายๆ 


 


 


เสินฟางนำน้ำชามาให้เขา ถ้วยกระเบื้องเคลือบสีขาวลายครามวางอยู่ในมือของเขา มิว่าสิ่งใดที่มาถึงมือของเขาล้วนกลายเป็นงานศิลปะระดับโลก 


 


 


ซื่อมั่วใช้ฝาถ้วยโบกไอร้อนของน้ำชาออกไป จิบน้อยๆคำหนึ่ง พอเงยหน้าขึ้นเหลือบเห็นคนทั้งคู่บนชั้นสอง สีหน้าก็ยังคงสงบนิ่งไม่มีเปลี่ยน 


 


 


เพียงแต่ว่าฝาถ้วยชากลับแตกละเอียด 


 


 


เขาพิงร่างกับโซฟา นั่งลงไปอย่างสง่างาม ขนตายาวงอนกระพริบ บดบังสีแววตาสีฟ้าเข้มที่ถูกจุดขึ้นมาในส่วนลึกของแววตา 


 


 


รอจนคนทั้งสองลงมาข้างล่าง ซื่อมั่วค่อยวางถ้วยชาลง เอ่ยปากกับตู๋กูซิงหลันว่า “อาจารย์มาหาเจ้า…..” 


 


 


พูดพลาง เขาก็ยกกล่องอาหารกล่องหนึ่งขึ้นมา วางกล่องอาหารนั้นลงบนโต๊ะน้ำชาเบาๆ “เอาอาหารเช้ามาส่งให้เจ้า” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันตกตะลึงไปครู่หนึ่ง 


 


 


ก่อนที่นางสามจะขวบนั้น การกินดื่มขับถ่ายทั้งหมดของนางล้วนมีอาจารย์ดูแล แต่ว่าหลังจากนั้นแล้วก็ปล่อยให้นางเอาตัวรอดเองมาโดยตลอด ท่านอาจารย์ไม่เคยสนใจว่าวันๆนางจะกินอะไรบ้าง โดยเฉพาะอาหารเช้า? 


 


 


ตั้งแต่แรกจนถึงบัดนี้ ซื่อมั่วล้วนไม่ได้เหลือบแลจีเฉวียนแม้แต่แวบเดียว เขาเปิดกล่องอาหารด้วยตนเอง ภายในก็เต็มไปด้วยสิ่งที่ทำให้ตาเป็นประกาย 


 


 


แม้แต่เสินฟางที่ยืนอยู่ด้านข้างก็ยังอดที่จะตื่นตะลึงไม่ได้ 


 


 


ไยจึงมีแต่สิ่งสุดยอดในสุดยอดขนาดนี้? 


 


 


น้ำค้างบนภูเขาหิมะ… 


 


 


ยอดโสมพันปีบนภูเขาฉางซาน…… 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)