ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 489-490
ตอนที่ 489 เป็นบุรุษของข้า ข้าจะเลี้ย...
สตรีผู้นั้น มีสิ่งใดดึงดูดเขากัน?
รูปโฉมหรือ? อุปนิสัย? หรือว่าใบหน้าที่รู้จักแสดงนั่น?
เดิมทีนางนึกว่าเขาเพียงแต่ชื่นชอบสตรีที่เป็นราชินีจอเงิน ….. ดังนั้นนางถึงพยายามอย่างยิ่งเพื่อจะกลายเป็นราชินีจอเงิน แต่ปรากฏว่าเขากลับไม่เหลือบแลนางแม้แต่น้อย
ไม่เพียงแต่ไม่มองดูนาง แต่กลับไม่ยอมให้นางเข้าไปในเรือนของเขาเสียด้วยซ้ำ
ในสมองของซ่งชิงไต้ผุดภาพใบหน้าของตู๋กูซิงหลันขึ้นมาเรื่อยๆ สตรีผู้นั้นไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น แต่กลับเป็นเสมือนดวงตาดวงใจของเขา….อุทิศตนทำทุกสิ่งให้กับนางโดยไม่มีข้อแม้
ในขณะที่นางยินยอมมอบตนให้จนหมดสิ้น เขากลับไม่เหลือบแลแม้แต่น้อย
นางยกมือที่มีแต่เลือดขึ้นมากำหมัดจนแนบแน่น
……………………..
หุบเขาปีศาจ ในสวนกุหลาบ
เสินฟางมาเคาะประตูอยู่ที่หน้าห้องของตู๋กูซิงหลันเป็นครั้งที่สามแล้ว
แต่ว่าน่าเสียดายที่ข้างในไม่มีเสียงเคลื่อนไหวใดๆทั้งสิ้น
ขณะที่เยี่ยซิงหลันนำฮ่องเต้ชาวมนุษย์ผู้นั้นกลับมา สีหน้าก็ย่ำแย่อย่างที่สุด
ส่วนฮ่องเต้ผู้นั้นก็ดูใกล้จะขาดใจตายอยู่รอมร่อ
ก็แค่ไปทดสอบบทละครไม่ใช่หรือ ทำไมถึงได้ถึงขั้นเอาชีวิตกัน?
ครั้งนี้ ในห้องก็ยังคงเงียบงัน ไร้การตอบรับ
เสินฟางยืนรอรับใช้อยู่ที่หน้าประตู เมื่อเป็นทาสรับใช้ของตู๋กูซิงหลัน เขาก็ควรจะแสดงออกถึงความห่วงใยและใส่ใจสุขภาพร่างกายของนางอยู่บ้าง
ภายในห้อง จีเฉวียนถูกตู๋กูซิงหลันพามานอนบนเตียง
ร่างกายของเขาเย็นเฉียบราวกับถูกขุดออกมาจากชั้นน้ำแข็ง กระทั่งหัวคิ้วที่ขมวดติดกันก็ยังมีละลองน้ำแข็งจับค้าง
ทั้งๆที่เป็นยามดึกกลางฤดูร้อน ตู๋กูซิงหลันกลับเปิดแอร์ให้อุ่นจนถึงสามสิบองศา เอาผ้าห่มที่อยู่ในตู้ทั้งหมดออกมาห่มให้กับเขา สภาพของจีเฉวียนถึงได้พอจะดีขึ้นมาบ้าง
จนผ่านไปอีกเกือบชั่วโมง ริมฝีปากที่เย็นจัดจนกลายเป็นสีเขียวของเขาค่อยมีสีเลือดขึ้นมาบ้าง
ตู๋กูซิงหลันนั่งลงที่ข้างเตียง จับมือของเขาเอาไว้อย่างแนบแน่น
จีเฉวียนเหมือนกับประติมากรรมน้ำแข็ง นางเฝ้ารอให้เขามีไออุ่นขึ้นมาบ้างสักเล็กน้อย แต่ขณะเดียวกันก็กังวลว่าพออุ่นขึ้นมาเขาก็จะละลายหายไป
นางกลัว…..กลัวว่าเขาจะตาย
ในที่สุดก็รอคอยจนละอองน้ำแข็งบนขนคิ้วและขนตาของเขาละลายออกไป สองมือที่ถูกนางกอบกุมเอาไว้จนแนบแน่นคู่นั้นก็มิได้เย็นจัดจนแข็งค้างแล้ว
แววตาในดวงตาหงส์คู่นั้น มีประกายสว่างขึ้นมาบ้าง
ในแววตาสะท้อนภาพใบหน้าของนาง
และอารมณ์ความรู้สึกเช่นเดียวกันกับนาง
เขานอนอยู่ นางนั่งอยู่ข้างๆ ดวงตาทั้งสี่ของคนทั้งสองสบกัน
ก็ไม่รู้เพราะเหตุใด แต่ในชั่วขณะนั้น…..ดวงตาของตู๋กูซิงหลันพลันมีหมอกหนาขึ้นมาปิดบัง ดวงตาดอกท้อของนางเปล่งประกายจากหยาดน้ำตา
“ซิงซิง” จีเฉวียนเอ่ยพระโอษฐ์ขึ้น ด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง เขายกแขนขึ้นอย่างลำบากกินแรง ฝ่ามือใหญ่ข้างนั้นสัมผัสกับข้างแก้มของนาง ดวงเนตรหงส์มองลึกลงไปในดวงตาของนาง
“อย่าได้ร้องไห้” ปลายดัชนีของพระองค์สัมผัสเบาๆที่หางตาของนาง
พระเนตรของพระองค์เงยขึ้น สายพระเนตรจับจ้องไปยังภาพที่แขวนอยู่บนกำแพง
ซื่อมั่วสวมใส่เสื้อผ้าสีม่วงแบบตะวันตก ในอ้อมอกอุ้มทารกตัวน้อยผู้หนึ่ง ทารกเองก็ยิ้มอย่างอ่อนหวาน
เมื่ออยู่ในอ้อมแขนของซื่อมั่ว ย่อมให้ความรู้สึกที่อบอุ่นปลอดภัย
คนผู้นี้เอง….ที่เลี้ยงดูนางมากับมือตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ คนที่ให้ทุกสิ่งแก่นาง
คนที่ผ่านประสบการณ์ทั้งหลายที่พระองค์ไม่เคยล่วงรู้…..มากับนาง
พระองค์อิจฉา และริษยา ขณะเดียวกันก็ปลาบปลื้มยินดี
ยินดีที่ซิงซิงได้เติบโตขึ้นมาท่ามกล่างความรักใคร่ทะนุถนอม ….ยินดีที่ท่ามกลางความมืดมิด นางยังได้รับแสงสว่างในชีวิต
………………….
จากนั้นพระองค์ก็หันสายพระเนตรกลับมา ปิดดวงเนตรลง
สิ่งที่สมควรได้ฟัง…..ไม่สมควรได้ฟัง พระองค์ล้วนได้ทรงสดับฟังอย่างชัดเจนหมดแล้ว
พระองค์มาจากซื่อมั่วผู้นั้น
พระองค์ที่เป็นโอรสสวรรค์แห่งต้าโจว ผู้สูญเสียพระมารดาแต่งเยาว์วัย ถูกพระบิดาชิงชังจนส่งไปเป็นตัวประกันที่แคว้นเหยียนนานถึงแปดปี ต้องรับรู้รสชาติของการพลัดพรากจากผู้เป็นที่รักตั้งแต่เยาว์วัย ตกอยู่ในความทุกข์ทรมานท่ามกลางความสิ้นหวังที่มืดมิด
ตั้งแต่ยามพระเยาว์พระองค์ก็ต้องเติบโตท่ามกลางแผนการปองร้ายและการเข่นฆ่าของผู้อื่น หล่อหลอมพระอุปนิสัยให้พระองค์กลายเป็นผู้ที่เคร่งขรึม ไม่รู้จักยินดียินร้ายใดๆ
แม้ว่าสถานการณ์แวดล้อมจะทำให้พระองค์ตกอยู่ในความมืดมิด แต่ว่าพระทัยก็ยังตั้งมั่นสู่แสงสว่าง
พระองค์ตั้งพระทัยจะเป็นผู้ปกครองใต้หล้า จึงทรงคิดว่าทุกสิ่งที่พระองค์ต้องประสบพบพานนั้น ล้วนเป็นการทดสอบจากสรวงสวรรค์
แต่ว่าสุดท้ายแล้ว พระองค์กลับเป็นเพียงส่วนหนึ่งของผู้อื่น
ร่างแบ่งของเทพผู้ครอบครองจิตใจส่วนลึกของนาง….ผู้ที่ส่งพระองค์มารับความทนทุกข์ทรมานในโลกมนุษย์
จีเฉวียนทรงรู้สึกไม่ยินยอม……
พระองค์คือโอรสสวรรค์แห่งแคว้นโจว คือจีเฉวียน พระองค์เชื่อมั่นในพระทัยว่าพระองค์คือมนุษย์ที่สมบูรณ์ผู้หนึ่ง
พระองค์กับซื่อมั่วนั้น….แตกต่างกัน
แต่พอได้ยินคำพูดของซิงซิงที่บอกกับซื่อมั่ว……
พระทัยของจีเฉวียนก็ต้องว้าวุ่นอย่างที่สุด
นางบอกว่า นางชอบพระองค์ ชอบอย่างที่สุด
นางยินยอมให้ตนเองต้องตาย แต่ไม่ต้องการให้พระองค์สาบสูญไป
พระองค์วาดหวังให้ในใจของนางมีที่ว่างให้พระองค์มานับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ทรงคาดไม่ถึงว่านางจะห่วงใยในพระองค์มากกว่าที่ทรงคิดเอาไว้มากมายนัก
จีเฉวียนยากจะอธิบายความรู้สึก ยินดี ซาบซึ้ง สับสนและขัดแย้งในพระทัย
อารมณ์ทุกอย่างประดังประเดเข้ามา แต่พอได้สบพระเนตรเข้ากับสองตาที่มีน้ำตาเอ่อล้นของนาง ความรู้สึกที่เอ่อล้นทั้งหมดก็สงบลง
“อย่าได้ร้องไห้ เราปวดใจนัก” พระองค์ปาดเช็ดดวงหน้าของนาง “เรา…..”
เราไม่เคยหวาดกลัวความตายมาก่อน เพียงแต่ไม่อาจปล่อยวางเจ้า
เดิมทีในแผ่นดินโบราณนั้น พระองค์ก็ทรงถ่ายทอดราชสมบัติทั้งหมดให้กับนางแล้ว
ก่อนหน้านั้น พระองค์ยังได้กำราบแคว้นฉินลง……ให้แคว้นฉินศิโรราบต่อนาง
เดิมทีพระองค์ทรงคิดว่าทุกสิ่งที่ได้ทำลงไปคงจะเพียงพอให้นางสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุข
ไปได้ตลอดกาลแล้ว คิดไม่ถึงว่า พระองค์จะต้องติดตามนางมาถึงโลกปัจจุบันใบนี้
ที่นี่ พระองค์ไม่มีสิ่งใดทั้งสิ้น
ทั้งยังต้องให้นางกลายเป็นฝ่ายปกป้อง
จีเฉวียนขยับพระโอษฐ์ ในพระทัยมีถ้อยคำเป็นพันเป็นหมื่นที่อยากจะบอกกับนาง
สิ่งที่พระองค์อยากจะบอกมากที่สุดก็คือ….
“ซิงซิง….” ทันทีที่ชื่อของนางออกจากพระโอษฐ์ ริมฝีปากก็สัมผัสได้กับความอบอุ่น
ทั้งยังมีกลิ่นหอมของดอกฮว๋ายจากตัวนางที่ไม่เหมือนกับที่ใดทั้งสิ้น
นางยันตัวเอาไว้ ริมฝีปากแดงประกบเข้ากับพระโอษฐ์ที่เย็นยะเยือกดุจน้ำแข็ง ยามที่ถอนออกไป ยังขบพระองค์เบาๆครั้งหนึ่ง
ความเจ็บปวดเล็กๆที่ริมพระโอษฐ์ทำให้จีเฉวียนทรงได้พระสติขึ้นมา
นาง…..เป็นฝ่ายจูบพระองค์ก่อน?
จีเฉวียนตกตะลึงไปแล้ว ทรงรู้สึกว่าพระองค์กำลังฝันไป
แต่ในตอนนั้นเอง สองมือของตู๋กูซิงหลันก็กอบอยู่ที่ข้างพระกรรณ ดวงตาดอกท้อคู่นั้นจับจ้องพระองค์อย่างจริงจัง
“จีเฉวียน ข้าประทับตราของข้าแล้ว อยู่ก็เป็นคนของข้า ตายก็ต้องเป็นคนของข้า”
ตู๋กูซิงหลันไม่ใช่คนพิรี้พิไร แต่เพราะก่อนหน้านี้นางถูกใครบางคนสาปให้ไม่อาจมีความรัก จึงได้พยายามผลักไสจีเฉวียนออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า
แต่ก่อนที่จะมายังโลกปัจจุบันนี้ นางกระอักเลือดออกมามากมาย จึงทำให้คำสาปนั้นถูกทำลายลงไป
ในเมื่อนางชอบจีเฉวียน
จากนี้ไปจะไม่ปฏิเสธอีก
ในเมื่อชอบ ก็จะยอมรับอย่างเปิดเผย และอยู่ด้วยกัน
“เป็นแฟนของข้า ข้าจะเลี้ยงดูท่านเอง” ตู๋กูซิงหลันมองดูเขา ดวงตาดอกท้อเปล่งประกายสดใส
น้ำเสียงที่นางบอกว่าจะ ‘เลี้ยงดู’ หนักแน่นเกินธรรมดา
จีเฉวียนทอดพระเนตรมองดูนาง ดวงพระทัยแทบจะระเบิดออกมาจากทรวงอก ความหมายของนางก็คือ…..ในที่สุดจากนี้ไปนางก็ยอมรับพระองค์แล้ว?
นางจะ…อยู่กับพระองค์?
ความฝันที่ทรงใฝ่ฝันมานับครั้งไม่ถ้วนในที่สุดก็เป็นจริง จีเฉวียนดีพระทัยอย่างที่สุด ถึงแม้ว่าตอนนี้สีพระพักตร์จะย่ำแย่จนน่าตกใจก็ตาม
จีเฉวียนทรงแน่พระทัยเลยว่า….พระองค์ในตอนนี้อาจจะตายได้ทุกเมื่อ
แต่หากพระองค์ทรงสิ้นไปในตอนนี้ ซิงซิงก็จะต้องกลายเป็นม่ายที่โดดเดี่ยว
ดังนั้น…..พระองค์ไม่อาจตาย!
ต่อให้พระองค์จะต้องเห็นแก่ตัวเพียงไร….พระองค์ก็ไม่อาจตาย!
ตอนที่ 490 ใส่เสื้อผ้าเข้านอน
ฝ่าพระหัตถ์ที่ใหญ่โตโอบลงไปบนท้ายทอยของนาง ดึงตัวนางทั้งร่างเข้ามาในอ้อมพระอุระ
กอดเอาไว้อย่างแนบแน่น ราวกับเกรงว่าหากคลายพระหัตถ์ออก คำพูดของนางเมื่อครู่ก็จะกลายเป็นเพียงลมปาก
“ซิงซิง เราจะจดจำคำพูดนี้ของเจ้าไปชั่วชีวิต อยู่ก็เป็นคนของเจ้า ตายก็เป็นคนของเจ้า” พระองค์กระซิบที่ข้างหูของนาง ลมเย็นๆจากน้ำเสียงอบอุ่นปนสากน้อยๆแผ่วเบาผ่านริมหูของนาง จักจี้นิดๆ
“เราจะเป็นแฟนที่ดีที่สุดในใต้หล้า”
แฟน….คำนี้ในความเข้าใจของฝ่าบาท ก็คือว่าที่สามี
เพราะในแผ่นดินโบราณที่ยังคงรักษาเอาไว้ซึ่งขนมธรรมเนียมตามประเพณีนั้น เมื่อชายและหญิงตกลงใจให้คำหมั้นว่าจะเป็นคนรักกัน ส่วนใหญ่แล้วเก้าในสิบส่วนก็ลงเอยด้วยการแต่งงาน
อย่าว่าแต่….พระองค์เองชาตินี้ทั้งชาติก็จะขอมีแต่นางเพียงผู้เดียว
คำว่าสามีนี้ (夫ฟู่) ขยับเพียงขีดเดียวก็กลายเป็นคำว่า ฟ้าแล้ว (天 เทียน)
ตู๋กูซิงหลันพิงลงไปบนพระอุระ นี่เป็นครั้งแรกที่นางสามารถฟังเสียงหัวใจของเขาเต้นได้อย่างผ่อนคลายเช่นนี้
ร่างกายของเขาไม่ได้แข็งทื่อเหมือนเมื่อครู่แล้ว นับตั้งแต่เขาตื่นขึ้นมาก็มิได้ไต่ถามอะไรวุ่นวาย ตู๋กูซิงหลันเดาว่าเขาคงจะได้ยินคำพูดระหว่างนางและอาจารย์ทั้งหมดแล้ว
เจ้าตัวร้ายผู้นี้ช่างอดทนอดกลั้นได้เก่งนัก อดทนเสียจนคนต้องสงสาร
“ต่อไป พวกเราจะต้องสนับสนุนกันและกัน สู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่” มือของตู๋กูซิงหลันวางอยู่บนทรวงอกของเขา “นี่เป็นกฎของการเป็นคนรัก”
“อืม” จีเฉวียนประทับนั่งพิงอยู่บนเตียงสีแดงหลังใหญ่ อ้อมพระกรด้านหนึ่งโอบนางเอาไว้ พระหัตถ์อีกข้างก็กุมมือของนาง ในพระทัยมีแผนการต่างๆมากมาย
พระองค์ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าจะได้มีวันที่ได้ครอบครองนางเช่นนี้
ความอบอุ่นนี้ อยากจะทรงทะนุถนอมเอาไว้เป็นพิเศษ
จนไม่อาจจะวางพระหัตถ์ได้
ตู๋กูซิงหลันพิงอยู่กับเขา นางกำลังคิดหาหนทางว่า
สมควรทำอย่างไรจึงจะสามารถทำให้จีเฉวียนและอาจารย์ต่างก็สามารถคงอยู่ได้
นางไม่ต้องการให้คนใดคนหนึ่งในพวกเขาตายจากไป
ปัญหาชีวิตที่ขัดแย้งนี้จะต้องมีทางออกอย่างแน่นอน
ตลอดเวลาที่เฝ้าอยู่ข้างกายจีเฉวียน นางถ่ายทอดพลังให้กับเขาไปไม่น้อย ตอนนี้ร่างกายจึงอ่อนล้าไปหมด
ตอนนี้พอได้พิงอยู่กับเขา จึงเกิดความง่วงขึ้นมาจนอดที่จะคล้อยหลับไปไม่ได้
จีเฉวียนทอดพระเนตรมองดูสาวน้อยในอ้อมพระอุระ ก็ยื่นปลายดัชนีออกไป ลูบไล้เครื่องหน้าของนางอย่างแผ่วเบา
ราวกับว่าต้องการจะจารึกทุกสิ่งทุกอย่างในตัวนางเอาไว้ในส่วนลึกที่สุดของพระทัย
…………………….
ที่นอกประตู เสินฟางได้แต่ใช้สีหน้าของคนโสดยามเห็นคู่รัก
เขาค่อยๆถอยออกมา พาตัวเองออกไปชมดาวในสวน
บุพเพวาสนาในโลกนั้น เป็นเรื่องของพรหมลิขิต สิ่งที่เป็นของท่านจะอย่างไรก็เป็นของท่าน สิ่งที่ไม่ได้เป็นของท่าน แย่งชิงไปก็ไร้ประโยชน์
เช่นเดียวกับซื่อมั่วและเยี่ยซิงหลัน
คนหนึ่งทุ่มเทออกไปตั้งมากมาย แต่สุดท้ายแล้วศิษย์น้อยที่เลี้ยงดูมาแต่แบเบาะกลับกลายเป็นน้ำปุ๋ยที่ไหลสู่นาของผู้อื่น
เรื่องของความรู้สึกนี้ ไม่อาจกำหนดออกไปได้อย่างชัดเจนจริงๆ
เช่นเดียวกับตัวเขา ที่ตอนนั้นเพียงเพราะสายตาแวบเดียวเท่านั้น ในใจพลันบังเกิดความหลงใหล ทำให้คนบังเกิดคะนึงหาไปอีกนับร้อยๆปี…..
ทุกชาติภพ เขาล้วนไม่ยอมปล่อยมือโดยง่าย ทำร้ายนางให้ต้องมีชะตากรรมพัวพัน….. ติดอยู่ในบ่วงรักที่ยากจะไถ่ถอน
เสินฟางมองดูท้องฟ้ายามค่ำที่ว่างเปล่าเนิ่นนาน ค่อยก้มลงเหลือบดูโซ่หินบนข้อเท้าแวบหนึ่ง แววตาลึกๆมีแต่ความเจ็บช้ำ
…………………………..
วันรุ่งขึ้น อากาศแจ่มใส
แสงแรกของยามเช้าสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ให้ความอบอุ่นมากเป็นพิเศษ
ตู๋กูซิงหลันที่อยู่ในอ้อมแขนของจีเฉวียนก็ตื่นขึ้นมา
พอเขาพึ่งจะกลายเป็นแฟนของตนเอง….ทั้งสองคนก็ ‘นอนเตียงเดียวกัน’ เรียบร้อยแล้ว
ยามที่อยู่ในต้าโจว ถึงแม้ว่าจีเฉวียนจะเคยบังคับให้นางนอนบนเตียงบรรทมหลังเดียวกันมาหลายครั้ง …..แต่ก็ไม่เคยทำให้นางเกิดความรู้สึกใดๆ
วันนี้ความรู้สึกกลับไม่เหมือนเดิม
แสงแดดส่องลงมากระทบดวงพักตร์ของจีเฉวียน สะท้อนผิวพรรณของเขา เพิ่มพูนความอบอุ่นราวหยกเนื้อดีอีกหลายส่วน
ขนตาที่ทั้งยาวและหนาเป็นแพแต่ละเส้นคมชัด ขนคิ้วที่คมเข้มและโค้งสูงนั่นถูกย้อมด้วยแสงสว่าง ทำให้ฮ่องเต้ตัวร้ายดูอบอุ่นอ่อนโยนขึ้นอย่างหาได้ยากนัก
ศีรษะของตู๋กูซิงหลันยังคงซุกอยู่ตรงบ่าของเขา จับจ้องดูเขาอย่างไม่วางตา
พอชอบคนๆหนึ่งขึ้นมา ยิ่งได้เห็นก็ยิ่งรู้สึกว่าอะไรๆก็ดูสบายตาไปหมด
ตอนนี้ตู๋กูซิงหลันค่อยเข้าใจคำที่ว่า ถามหาคนงามให้ถามคนรัก ก็เหมือนกับนางในยามนี้พอมองดูฮ่องเต้ตัวร้าย ก็รู้สึกว่าได้พบกับกำไลหยกแกะสลักที่เป็นยอดงานศิลปะชิ้นหนึ่ง
นางยื่นนิ้วมือออกไป ลูบไล้ริมฝีปากของเขา
หากมองดูอย่างละเอียดละก็ ริมฝีปากของจีเฉวียนก็ไม่ได้บางมากสักเท่าไหร่ ริมฝีปากบนบาง ริมฝีปากล่างอูม เป็นรูปทรงที่น่าดูอย่างยิ่ง จนทำให้คนอดใจไม่ไหวอยากจะจูบสักครั้ง
ตู๋กูซิงหลันพึ่งจะมองดูได้ครู่เดียว ก็เห็นดวงเนตรหงส์คู่นั้นพลันลืมตาขึ้นมา
แววตาของเขาราวกับแสงดาวในท้องทะเลลึก ดึงดูดให้นางจมลงไปในชั่วพริบตา
จีเฉวียนพลิกพระหัตถ์ คิดจะจุมพิศลงไปบนหน้าผากของนาง พลันรู้สึกได้ว่าพลังหยินกลุ่มหนึ่งพุ่งผ่านบานประตูเข้ามา
ประตูหน้าต่างทุกบานภายในห้องถูกเปิดออกในทันที
นอกห้องนอน มีเสินฟางยืนอยู่
“คุณหนู ใต้เท้าซื่อมั่วมาหาท่านแล้ว” เสินฟางยืนอยู่ที่หน้าประตู แอบเหลือบตามองบนอยู่ในใจ เรื่องจำพวกขัดจังหวะรบกวนความฝันของผู้อื่น ซื่อมั่วย่อมไม่ทำด้วยตนเอง แต่กลับส่งเขามาจัดการ……เวรกรรมจริง
“ท่านอาจารย์” ตู๋กูซิงหลันลุกขึ้นมานั่ง มองออกไปด้านนอกแวบหนึ่ง ตอนนี้พึ่งจะหกโมงเช้าเอง
ยามเช้าในเมืองหลวงฟ้าสว่างอย่างรวดเร็ว ปกติท่านอาจารย์ไม่มีงานอดิเรกใดๆ หากแต่ชมชอบนอนตื่นสาย
ที่ผ่านมาล้วนเคลื่อนไหวยามค่ำคืน ยามกลางวันแทบจะไม่เคยเห็นเงาของเขา
วันนี้กลับมาแต่เช้า?
ตู๋กูซิงหลันไม่คิดอะไรให้มากความก็ก้าวเท้าลงจากเตียง
นางกับจีเฉวียนต่างก็ใส่เสื้อผ้าเข้านอน ทั้งยังไม่ได้กระทำเรื่องอื่นใด ดังนั้นจึงไม่มีอะไรต้องร้อนรน
นางพึ่งจะก้าวลงจากเตียง จีเฉวียนก็คว้าข้อมือของนางเอาไว้ “ซิงซิง เราจะออกไปพร้อมกับเจ้า”
จีเฉวียนตรัสแล้วก็พลิกพระหัตถ์มาจับมือของนางไว้สิบนิ้วกุมเข้าหากัน
พระองค์เห็นพวกคนรักในโลกปัจจุบัน ต่างก็จับมือกันเช่นนี้ รักใคร่ใกล้ชิด แนบแน่นสนิทสนม
ทั้งสองคนลุกขึ้นมา ดวงตายังสะลึมสะลือ เส้นผมก็ยุ่งเหยิง
พอพึ่งจะออกไป ก็เห็นซื่อมั่วสวมใส่เสื้อผ้าเรียบหรูกำลังนั่งอยู่บนโซฟาที่กลางห้องโถง
ฟ้าสว่างจ้า เขาสวมใส่ชุดแบบตะวันตกสีม่วงสดทั่วตัว ผมทรงSlicked backถูกเซตมาอย่างปราณีต ตลอดร่างเปล่งประกายของผู้ทรงฌานระดับสูง
ผู้ทรงฌานที่มีบารมีแก่กล้า ลึกล้ำ และไม่ควรไปแหย่ง่ายๆ
เสินฟางนำน้ำชามาให้เขา ถ้วยกระเบื้องเคลือบสีขาวลายครามวางอยู่ในมือของเขา มิว่าสิ่งใดที่มาถึงมือของเขาล้วนกลายเป็นงานศิลปะระดับโลก
ซื่อมั่วใช้ฝาถ้วยโบกไอร้อนของน้ำชาออกไป จิบน้อยๆคำหนึ่ง พอเงยหน้าขึ้นเหลือบเห็นคนทั้งคู่บนชั้นสอง สีหน้าก็ยังคงสงบนิ่งไม่มีเปลี่ยน
เพียงแต่ว่าฝาถ้วยชากลับแตกละเอียด
เขาพิงร่างกับโซฟา นั่งลงไปอย่างสง่างาม ขนตายาวงอนกระพริบ บดบังสีแววตาสีฟ้าเข้มที่ถูกจุดขึ้นมาในส่วนลึกของแววตา
รอจนคนทั้งสองลงมาข้างล่าง ซื่อมั่วค่อยวางถ้วยชาลง เอ่ยปากกับตู๋กูซิงหลันว่า “อาจารย์มาหาเจ้า…..”
พูดพลาง เขาก็ยกกล่องอาหารกล่องหนึ่งขึ้นมา วางกล่องอาหารนั้นลงบนโต๊ะน้ำชาเบาๆ “เอาอาหารเช้ามาส่งให้เจ้า”
ตู๋กูซิงหลันตกตะลึงไปครู่หนึ่ง
ก่อนที่นางสามจะขวบนั้น การกินดื่มขับถ่ายทั้งหมดของนางล้วนมีอาจารย์ดูแล แต่ว่าหลังจากนั้นแล้วก็ปล่อยให้นางเอาตัวรอดเองมาโดยตลอด ท่านอาจารย์ไม่เคยสนใจว่าวันๆนางจะกินอะไรบ้าง โดยเฉพาะอาหารเช้า?
ตั้งแต่แรกจนถึงบัดนี้ ซื่อมั่วล้วนไม่ได้เหลือบแลจีเฉวียนแม้แต่แวบเดียว เขาเปิดกล่องอาหารด้วยตนเอง ภายในก็เต็มไปด้วยสิ่งที่ทำให้ตาเป็นประกาย
แม้แต่เสินฟางที่ยืนอยู่ด้านข้างก็ยังอดที่จะตื่นตะลึงไม่ได้
ไยจึงมีแต่สิ่งสุดยอดในสุดยอดขนาดนี้?
น้ำค้างบนภูเขาหิมะ…
ยอดโสมพันปีบนภูเขาฉางซาน……
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น