หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 488-501
บทที่ 488 หวังเป่าเล่อผู้เหนื่อยหน่าย
โดย
Ink Stone_Fantasy
สีหน้าของหวังเป่าเล่อเรียบเฉยแม้จะได้ยินสิ่งที่ผู้อาวุโสสูงสุดพูดเต็มสองหู แต่หัวใจของเขาร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม ความไม่แน่ใจเริ่มปรากฏขึ้นในหัวใจของชายหนุ่ม ราวกับว่า…คำพูดของหลี่ซิงเหวินนั้นมีความหมายแฝงซ่อนอยู่
แม้จะคล้ายเมฆหมอกที่ขุ่นมัว แต่เมื่อมาคิดประกอบกับสมมติฐาน ความหมายแฝงนั้นก็ชัดเจนขึ้นมา สมมติฐานที่ว่านั้นก็คือ…หลี่ซิงเหวินรู้ตัวเจ้าของวัตถุเวทแห่งความมืดแล้ว!
เป็นไปไม่ได้…หวังเป่าเล่ออดขนลุกไม่ได้ ชายหนุ่มอดคิดถึงคำพูดของหลี่ซิงเหวินโดยที่มีสมมติฐานนั้นอยู่ในใจไม่ได้ หากคิดเช่นนั้น…ก็ชัดเจนแล้วว่าหลี่ซิงเหวินหมายความว่าเจ้าของวัตถุเวทแห่งความมืดนี้จะต้องแสดงพลังอำนาจอันล้นเหลือที่จะทำให้ทั้งสหพันธรัฐยอมศิโรราบ โดยที่ไม่แสดงเจตนาร้ายออกมา เพื่อให้สหพันธรัฐวางใจและล้มเลิกความคิดที่จะยึดเอาวัตถุเวทแห่งความมืดไป…อย่างน้อยๆ ก็ในตอนนี้
แต่หากเขาทำไม่ได้ หรือหากมีความเข้าใจผิดใดๆ เกิดขึ้นระหว่างเจ้าของวัตถุเวทแห่งความมืดและสหพันธรัฐ ผู้นั้นจะต้องถูกจู่โจมด้วยระเบิดต้านทานวิญญาณและวงแหวนปราณระบบสุริยะ
หวังเป่าเล่อใจเต้นโครมคราม ชายหนุ่มรีบยกมือขึ้นทุบอก แสร้งทำสีหน้าท่าทางภักดีต่อสหพันธรัฐอย่างล้นเหลือ ก่อนจะมองไปทางหลี่ซิงเหวินและพูดว่า
“ท่านปู่ผู้อาวุโสสูงสุด เป่าเล่อเข้าใจแล้วขอรับ สหพันธรัฐได้ตัดสินใจจะยึดสมบัติใต้ดินไว้ ก่อนหน้านี้ข้าตั้งใจว่าจะไม่ลงไปด้วย แต่บัดนี้เมื่อข้าเข้าใจทุกสิ่งแล้ว ข้าก็เปลี่ยนใจขอลงไปกับทุกคน เพื่อแสดงความจงรักภักดีและเพื่อมอบทุกสิ่งที่ข้ามีให้สหพันธรัฐแห่งนี้!”
หลี่ซิงเหวินกลอกตาใส่คำประกาศของหวังเป่าเล่อ ชายชราจ้องมองหวังเป่าเล่ออีกครั้ง ก่อนจะหลุบศีรษะลงและเริ่มทบทวนแผนของสหพันธรัฐต่อไป ก่อนจะเปิดปากกล่าวขึ้นอย่างเนิบๆ
“หากเราทำแผนสำคัญครั้งนี้ผิดพลาด ครั้งหน้าคนที่จะมาคุมงานนี้ก็จะไม่ใช่ข้าอีกแล้ว” หลังจากที่พูดจบ หลี่ซิงเหวินก็ยกมือขึ้นโบกโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามอง เป็นสัญญาณว่าการสนทนาครั้งนี้จบลงแล้ว
หวังเป่าเล่อรีบรุดออกมา หลังจากออกมาพ้นเขตที่พักของหลี่ซิงเหวิน ชายหนุ่มก็มองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครมองอยู่จึงยกมือปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก ในดวงตาเขาปรากฏแววมุ่งมั่น
ข้าไม่มีทางเลือก ต่อให้ผู้อาวุโสสูงสุดเดาถูกว่าจะเกิดอะไรขึ้นมันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ข้าจะต้องดำเนินการตามแผนที่ได้วางไว้และทำแผนใหญ่ของข้าให้สำเร็จ! หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึก ชายหนุ่มตัดสินใจแน่วแน่แล้ว
ไม่มีสิ่งใดสำคัญอีกต่อไป ตอนนี้วัตถุเวทแห่งความมืดอยู่ในกำมือเขาแล้ว และเขาไม่มีทางจะยอมเสียมันไปเป็นอันขาด แต่แม้กระนั้น ชายหนุ่มก็ไม่อาจให้ใครล่วงรู้ได้ว่าแท้จริงแล้วตนเป็นเจ้าของวัตถุเวทแห่งความมืด หลังจากกลับถึงที่พัก หวังเป่าเล่อก็นั่งลงทำสมาธิ ชายหนุ่มทบทวนแผนอยู่ในศีรษะเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีปัญหาใดๆ ในทุกขั้นตอน ตอนนี้ในนครมีคนมากมายเกินไป และคนส่วนมากก็กำลังจับตามองสุสานใต้ดินอยู่ เพื่อป้องกันไม่ให้มีอุบัติเหตุใดๆ เกิดขึ้น หวังเป่าเล่อจึงไม่ได้สื่อสารกับวิญญาณวุธ เขาทำเพียงเฝ้ารอวันที่สหพันธรัฐจะดำเนินตามแผนอย่างอดทน
ไม่นานเกินรอ หลี่ซิงเหวินก็นำผู้คนลงไปในสุสานใต้ดินเพื่อสำรวจตรวจตรากำแพงอีกครั้ง หลังจากที่ศึกษา ยืนยัน และส่งข้อมูลไปยังสหพันธรัฐแล้ว พวกเขาก็ได้รับการรับรองจากผู้บริหารระดับสูงของสหพันธรัฐรวมถึงกลุ่มอำนาจการเมืองอื่นๆ คำร้องของหลี่ซิงเหวินผ่านแล้ว!
พวกเขาจะเริ่มดำเนินแผนการ…สามวันหลังจากนี้ เริ่มต้นโดยการระเบิดกำแพงและทุกๆ อย่างก็จะพร้อมใช้งานในเวลาเดียวกัน ทั้งระเบิดต้านทานวิญญาณ วงแหวนปราณระบบสุริยะ และกองทัพผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในจากกลุ่มอำนาจการเมืองต่างๆ จำนวนของผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในที่รวบรวมได้ในเขตนครพิเศษนั้นมากถึงเจ็ดสิบชีวิตเลยทีเดียว!
ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในทั่วทั้งสหพันธรัฐมีอยู่ไม่ถึงสองร้อยคน นั่นแปลว่าบัดนี้หนึ่งในสามของคนเหล่านั้นมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณ หลี่ซิงเหวิน จะเป็นผู้นำกลุ่มด้วยตนเอง พลังที่มารวมตัวกัน ณ ที่นี้นั้นแข็งแกร่งพอจะกวาดล้างทุกสิ่งที่ขวางหน้าให้หายไปในพริบตา
เห็นได้ชัดแล้วว่าสหพันธรัฐมุ่งมั่นเพียงใดกับการยึดอาวุธเทพแห่งดาวอังคารไปเป็นของตน!
ฝ่ายสนับสนุนที่ประกอบไปด้วยผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นและลมหายใจเที่ยงแท้ก็มาถึงในเวลาไล่เลี่ยกัน พวกเขามีหน้าที่ให้การสนับสนุนและทำหน้าที่ขุดอาวุธเทพแห่งดาวอังคารออกมาในเบื้องต้น ดังนั้นเขตนครพิเศษจึงคึกคักผิดธรรมดา
สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อวันที่ต้องทำลายกำแพงมาถึง กองกำลังผู้ฝึกต้นขั้นรากฐานตั้งมั่นและขั้นลมหายใจเที่ยงแท้ก็มารวมตัวกันอยู่ด้านนอกสุสานใต้ดิน พวกเขาพร้อมที่จะพุ่งเข้าไปทันทีที่กำแพงถูกระเบิดให้เปิดออกมา!
ภายในสุสานใต้ดินนั้น ภายใต้การนำของหลี่ซิงเหวิน เจ้านครอาณานิคมดาวอังคารและผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในคนอื่นๆ ต่างก็มารวมตัวกันตรงหน้ากำแพง พร้อมที่จะทำตามแผน
หลี่ซิงเหวินรับหน้าที่หลักในการระเบิด ชายชรายืนอยู่ตรงหน้ากำแพง มือเขากวัดแกว่งไปมาเป็นผนึกฝ่ามือจำนวนมาก พลังปราณระดับจุติวิญญาณไหลล้นออกมาจากกาย พลังปราณเหล่านั้นดูเหมือนกำลังก่อตัวกันเป็นใบมีดแหลมคมที่พุ่งเข้าปักกำแพงอย่างไม่ลดละ กำแพงสั่นไหวรุนแรงเพราะถูกโจมตีอย่างต่อเนื่อง
คนอื่นๆ รวมถึงเจ้านครดาวอังคารต่างก็เริ่มโจมตีเช่นกัน ตอนนั้นเอง สุสานใต้ดินก็ปกคลุมไปด้วยเสียงกัมปนาทดังสนั่นหวั่นไหว
คนที่เหลือก็พากันโจมตีเช่นกัน แสงสีสันสดใสส่องประกายวาบขึ้นมาจากภายในกำแพง พลังวิญญาณจากบรรดาอาวุธเวทปกคลุมไปทั่ว ให้ความรู้สึกราวกับว่าทั้งสวรรค์และพื้นพิภพสั่นคลอนไปพร้อมๆ กัน
ในกลุ่มที่กำลังโจมตีนั้นมีหวังเป่าเล่อรวมอยู่ด้วย…ตอนนี้ชายหนุ่มยังคงโจมตีไม่หยุดพลางจับจ้องไปยังกำแพงที่ค่อยๆ บางลงอย่างเห็นได้ชัด เขาทอดถอนใจอยู่ภายใน แม้หวังเป่าเล่อจะรู้ดีว่าแผนของเขาไม่มีทางล้มเหลว แต่ก็ยังอดรู้สึกไม่มั่นใจและวิตกกังวลไม่ได้
น่าหงุดหงิดอะไรเช่นนี้…
ขณะที่ถอนใจอยู่เงียบๆ นั้น หวังเป่าเล่อก็ยังคงต้องร้องตะโกนและโจมตีต่อไป เขาร่ายคาถาโจมตีใส่กำแพงไม่หยุดหย่อน ชายหนุ่มอาจจะเป็นเจ้าเมืองนี้ แต่เมื่ออยู่ท่ามกลางผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในแล้ว พลังปราณของเขานั้นอยู่ในระดับมาตรฐานและไม่ได้เด่นสะดุดตาแต่อย่างใด เรื่องนี้ก็เป็นไปตามที่หวังเป่าเล่อตั้งใจไว้ ขณะที่โจมตีอยู่ ชายหนุ่มถึงกับหันไปตะโกนใส่ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในอีกคนที่อยู่ข้างๆ
“ทุกคน โจมตีเข้าไปไม่ต้องยั้งมือ เรามาจัดการอาวุธเทพชิ้นนี้ให้ได้โดยเร็ว และเอาอาวุธทรงพลังชิ้นใหม่ไปมอบให้สหพันธรัฐกันเถิด!”
ผู้ฝึกตนคนนั้นเป็นศิษย์รุ่นพี่จากตระกูลนภาห้าสมัย แม้ว่าเขาจะไม่ชอบหวังเป่าเล่อเอาเลย แต่ก็ไม่เหมาะหากจะแสดงความรังเกียจออกไปต่อหน้าธารกำนัล เขาจึงได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะเลิกสนใจหวังเป่าเล่อไปโดยปริยาย
หากว่าเป็นครั้งอื่นๆ หวังเป่าเล่อต้องหันกลับไปจ้องชายผู้นั้นแน่นอน แต่ ณ ตอนนี้ ใจของชายหนุ่มสั่นระรัวขณะที่พยายามแสดงออกว่าตื่นเต้น เขารู้สึกราวกับว่าตนเป็นผู้นำกองทัพโจรที่กำลังยืนอยู่ตรงธรณีประตูบ้านตนเอง เป็นความรู้สึกที่ไม่อาจสลัดหลุดได้
การพากองโจรมาที่บ้านตนเองนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง แต่นี่ข้ากำลังช่วยพวกเขาพังประตูบ้านด้วยซ้ำ! หวังเป่าเล่อทำหน้าบึ้งตึง แต่เมื่อนึกถึงระเบิดต้านทานวิญญาณจำนวนมากที่เล็งมาทางนี้ก็ต้องรีบข่มใจตนเอง ก่อนจะเริ่มโจมตีไปพลางส่งเสียงร้องให้กำลังใจคนอื่นดังสนั่น
ผู้ฝึกตนจำนวนไม่น้อยได้ยินเสียงร้องให้กำลังใจของหวังเป่าเล่อ แต่ก็ไม่มีใครใส่ใจ ขณะนี้ทุกคนต่างก็ตื่นเต้นกันอย่างมาก บางคนถึงกับเริ่มส่งเสียงตาม กำลังใจของผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐพุ่งทะยานขึ้นพร้อมๆ กับเสียงระเบิดดังสนั่น
ทว่า…หลี่ซิงเหวินกลับแอบยิ้มเยาะเมื่อได้ยินเสียงของหวังเป่าเล่อ ชายชรากำลังจะส่งการโจมตีอีกระลอกหนึ่งเข้าไปใส่กำแพงพลางขยายจิตสัมผัสวิญญาณออกไป และมองเห็นใบหน้าที่ดูตื่นเต้นของหวังเป่าเล่อ
“เจ้าตัวแสบนี่มันเล่นละครเก่งดีเหมือนกัน!” หลี่ซิงเหวินพึมพำอยู่เงียบๆ ชายชราคาดเดาเรื่องนี้ได้เพราะลางสังหรณ์บวกกับการได้พบหวังเป่าเล่อก่อนหน้านี้ แม้จะไม่รู้ว่าหวังเป่าเล่อทำได้อย่างไร แต่หลี่ซิงเหวินก็รู้ว่าจะต้องมีความเชื่อมโยงกันระหว่างชายหนุ่มกับวัตถุเวทแห่งความมืดอย่างแน่นอน
ข้าได้ทำทุกสิ่งที่ทำได้และบอกทุกสิ่งที่บอกได้กับเขาแล้ว เจ้าเด็กนี่ไม่ใช่คนโง่ หากเขาจัดการปัญหานี้ไม่ได้…ข้าก็คงช่วยเหลืออะไรไม่ได้อีก หลี่ซิงเหวินหรี่ตาลง ชายชรานั้นหากต้องการก็สามารถทำลายกำแพงนี้ได้ตั้งแต่หลายวันก่อน แต่เขากลับใช้การวิจัยและการตรวจสอบเป็นข้ออ้างเพื่อจะเลื่อนวันดำเนินการออกไป เพื่อจะซื้อเวลาให้หวังเป่าเล่อได้เตรียมตัว หลี่ซิงเหวินทำทุกอย่างที่เขาทำได้ ทั้งคำนวณและบันทึกเวลา ชายชรารวมพลังวิญญาณมาไว้ด้วยกัน มีแววเด็ดเดี่ยวฉาบเคลือบอยู่ในดวงตาขณะที่นิ้วมือเคลื่อนที่สลับไปมาเพื่อสร้างผนึกฝ่ามือจำนวนมาก
ชายชราร้องตะโกน “สหายเต๋าเอ๋ย จงรวมคาถาของพวกเจ้าไว้รอบๆ ตัวข้า!” หลังจากที่พูดจบ หลี่ซิงเหวินก็เหวี่ยงมือของเขาออกไปอย่างฉับพลัน คลื่นแสงหลายชั้นระเบิดออกมาจากกายเขา ดูราวกับว่าผู้อาวุโสได้แปลงกายเป็นดวงไฟสว่างจ้าไปแล้วก็ไม่ปาน
คนอื่นๆ พากันส่งคาถาเข้าไปในคลื่นแสงนั้น ทำให้ดวงไฟเจิดจรัสขึ้นไปอีก แถมยังมีพลังรุนแรงขึ้นด้วย ทุกคนถึงกับตัวสั่นอยู่ภายใน ก่อนจะรีบส่งคาถาเข้าไปเพิ่มเติม คลื่นพลังวิญญาณที่ถาโถมออกมาจากดวงไฟเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนที่รัศมีการทำลายล้างจะปกคลุมไปทั่ว
หวังเป่าเล่อตกใจยิ่ง หัวใจเขาเต้นโครมคราม ชายหนุ่มกัดฟันก่อนจะร่ายคาถาออกไปที่ดวงไฟ หลังจากที่ดวงไฟกลืนกินพลังของทุกคนเข้าไป มันก็ปล่อยแสงสว่างเจิดจ้าออกมา ดูราวกับเป็นดวงอาทิตย์ดวงย่อมๆ ก็ไม่ปาน ในที่สุด หลี่ซิงเหวินก็ส่งเสียงคำราม เขาโบกมือครั้งหนึ่ง แสงสว่างนั้นก็กลายสภาพเป็นกระบี่แสง ชายชราเอื้อมมือไปจับมัน ก่อนจะยกกระบี่นั้นชี้ไปยังกำแพงตรงหน้าแล้วฟันลงไป!
เสียงสนั่นหวั่นไหวปะทุขึ้นอย่างรุนแรง เสียงแตกร้าวก้องไปทั่วทั้งสุสานใต้ดิน กำแพง…ไม่อาจต้านทานแรงโจมตีได้ มันระเบิดก่อนจะแหลกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย…
ทันใดนั้นเอง ก็มีแสงสีม่วงส่องเรืองรองออกมาจากภายในกำแพงที่แตกไป แสงนั้นสาดส่องสว่างจ้าไปทั่วสุสานใต้ดิน ภายใต้กำแพงมีกำแพงอยู่อีกชั้นหนึ่ง!
บทที่ 489 ข้าคือเทียนไสว่จื่อ!
โดย
Ink Stone_Fantasy
กำแพงชั้นที่สองนั้น…เห็นได้ชัดว่าแข็งแกร่งกว่าชั้นแรง พลังวิญญาณที่มันแผ่ออกมาทำให้ทุกคนในสุสานใต้ดินถึงกับผงะไป!
กำแพงสีม่วงขยายตัวออกทันทีที่ปรากฏ ดูคล้ายผ้าม่านสีม่วงผืนบางที่ขยายออกมาเป็นระลอกคลื่น และเข้าปะทะกับหลี่ซิงเหวินผู้ซึ่งยืนอยู่ด้านหน้าของกลุ่มคนเข้าอย่างจัง
ชายชรามีสีหน้าตื่นตกใจ เขาไม่อาจโต้กลับได้จึงถูกแสงนั้นผลักกระเด็นออกมา เจ้านครและผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในคนอื่นๆ ก็ยิ่งไม่อาจป้องกันแสงนั้นได้ ต่างก็ถูกแสงผลักกระเด็นไปคนละทิศละทาง
เจ้านครถึงกับลมหายใจขาดช่วง นางหงายหลังล้มลงไปด้วยสีหน้าตื่นตกใจ เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้คาดการณ์ถึงสถานการณ์นี้มาก่อน นางไม่คิดว่าจะมีกำแพงสีม่วงอีกชั้นหนึ่งซ่อนอยู่ภายใต้กำแพงชั้นแรก เจ้านครรู้สึกได้ว่ามีใครบางคนกำลังควบคุมการปรากฏตัวของกำแพงชั้นที่สองนี้
หรือว่า…อาวุธเทพชิ้นนี้ วัตถุเวทแห่งความมืดนี้จะมีเจ้าของแล้ว คำถามมากมายผุดขึ้นในใจของเจ้านคร นางปรายตามองไปทางหลี่ซิงเหวินขณะที่กำลังล่าถอย และเห็นแววตาเคลือบแคลงใจปรากฏอยู่บนในหน้าของผู้อาวุโสสูงสุดเช่นกัน
เห็นได้ชัดว่ากำแพงแสงนี้ไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อเหล่าผู้ฝึกตนแต่อย่างใด มันเพียงผลักพวกเขาออกไปโดยไม่ได้ทำให้ใครบาดเจ็บ ถึงอย่างนั้นพลังของมันก็ยังส่งทุกคนให้หมุนคว้างไปด้วยความตื่นตกใจ
หวังเป่าเล่อเองก็ถูกอัดกระเด็นมาเช่นกัน ความตกตะลึงฉาบเคลือบอยู่บนใบหน้า ชายหนุ่มถึงกับส่งเสียงร้องออกมา
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า…ความแข็งแกร่งของกำแพงนั้นสูงเกินกว่าที่พวกเขาคาดการณ์เอาไว้มาก ขณะที่ทุกคนล่าถอยออกมานั้น นัยน์ตาของหลี่ซิงเหวินก็หดเล็กลง พลันมีแผ่นหยกปรากฏขึ้นในมือเขา หากเขาหักมันเมื่อใด ระเบิดต้านทานวิญญาณและวงแหวนปราณระบบสุริยะก็จะเปิดใช้งานในทันที ชายชรายังคงรีรอ แววตาสงสัยและไม่แน่ใจฉาบเคลือบอยู่ในดวงตาขณะที่ชำเลืองมองไปยังหวังเป่าเล่อ
ในวินาทีนั้นเอง พลังวิญญาณอันมหาศาลที่รุนแรงจนอาจสั่นคลอนสวรรค์ได้ก็ปะทุออกมาจากภายในเกราะกำแพงสีม่วงราวกับเป็นพายุขนาดใหญ่!
พลังวิญญาณนั้นรุนแรงจนเกินกว่าขั้นกำเนิดแก่นใน และแรงพอที่จะกดดันพลังของขั้นจุติวิญญาณเอาไว้ได้ พลังนั้นแผ่ไปทั่วสุสานใต้ดินก่อนจะแปรสภาพกลายเป็นดวงจิตที่พุ่งผ่านทุกคนไม่เว้นกระทั่งหวังเป่าเล่อ ทุกในนั้นเริ่มเวียนศีรษะ ราวกับว่าจิตใจของพวกเขาถูกดวงจิตนั้นสัมผัสโดยตรง
มีเสียงที่ดุดัน ทรงอำนาจ และแฝงไว้ด้วยความไม่พอใจดังขึ้นในใจของทุกคนพร้อมๆ กัน!
“หนวกหูอะไรอย่างนี้!”
เสียงนั้นคำรามก้องราวฟ้าผ่า มันระเบิดดังขึ้นในสุสานใต้ดิน และสะท้อนก้องอยู่ในหูของทุกคน ผู้ฝึกตนทุกคนต่างก็ตกตะลึง พวกเขาสัมผัสได้ถึงความมีอายุในน้ำเสียงนั้น เจ้าของเสียงต้องมีชีวิตอยู่มาเป็นเวลานานมากๆ แล้ว น้ำเสียงของเขาฟังดูเก่าแก่ราววันเวลาและแผ่ไพศาลราวห้วงอากาศ
สายตาของทุกชีวิตในถ้ำต่างตื่นตกใจเมื่อได้ยินเสียงนั้น หลายคนคาดเดาเรื่องอาวุธเทพไปต่างๆ นานา แถมยังรู้สึกได้ว่าเจ้าของอาวุธเทพชิ้นนี้อาจอาศัยอยู่ภายในตัวอาวุธเทพนั่นเอง แต่สหพันธรัฐคิดว่าโอกาสที่จะเป็นไปได้นั้นน้อยนิดเหลือเกิน
มาบัดนี้ น้ำเสียงดุดันที่สะท้อนก้องไปทั่วสุสานใต้ดินได้พิสูจน์แล้วว่าโอกาสน้อยนิดที่ว่านั้นกลายมาเป็นความจริงเสียแล้ว เจ้าของอาวุธเทพแห่งดาวอังคารอาศัยอยู่ด้านในอาวุธเทพจริงๆ เสียด้วย!
เห็นได้ชัดว่าบุคคลผู้นี้มีบุคลิกลึกลับยากหยั่งถึง ภาษาที่เขาใช้ไม่เหมือนภาษาในอารยธรรมใดๆ แต่เป็นเหมือนเจตจำนงจากดวงจิตที่เข้าไปดังก้องอยู่ในใจของผู้ฟัง เป็นการแลกเปลี่ยนผ่านจิตใจที่ก้าวผ่านกำแพงของภาษาไปอย่างสิ้นเชิง เป็นวิธีที่ทำให้ทุกคนถึงกับผงะด้วยความตกใจกลัว
มีคนอยู่ด้านในจริงๆ ด้วย! เจ้านครอาณานิคมดาวอังคารหรี่ตาลง สิ่งนี้เป็นอาวุธเทพบนดาวของนาง แต่นางเพิ่งจะได้รู้วันนี้เองว่ามีผู้ฝึกตนจากต่างดาวกบดานอยู่ด้านในตลอดมา เจ้านครพลุ่งพล่านไปด้วยอารมณ์และรีบระวังตัวขึ้นมาทันที โศกนาฏกรรมบนดาวพุธยังคงฉายชัดอยู่ในใจนาง!
หวังเป่าเล่อเองก็ตาเบิกโพลง แสดงสีหน้าตกใจสุดขีด กระทั่งหยุดลมหายใจไปชั่วขณะเลยทีเดียว ก่อนจะแสร้งทำเป็นถอยหนีตามสัญชาติญาณ หลี่ซิงเหวินแม้จะสงสัยว่าหวังเป่าเล่อมีความเกี่ยวข้องกับวัตถุเวทแห่งความมืด ทว่าตอนนี้เขากลับเคลือบแคลงขึ้นมา ชายชราสูดลมหายใจเข้าลึก ก้าวถอยหลังไประยะหนึ่ง ก่อนจะยกมือประสานและหันไปทางกำแพงสีม่วงพลางกล่าวว่า
“ศิษย์พี่ใหญ่ พวกเรามาจากอารยธรรมบนโลกมนุษย์ เป็นส่วนหนึ่งในระบบสุริยะ ดาวดวงนี้…เป็นถิ่นอาศัยของอารยธรรมเรา เราไม่รู้ว่าท่านพักผ่อนอยู่ที่นี่จึงได้ทำการล่วงเกิน ข้าขอให้ท่านโปรดเมตตาด้วย”
หลี่ซิงเหวินพยายามอย่างเต็มที่ที่จะใช้จิตสัมผัสวิญญาณพร้อมๆ ไปกับการพูด และพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะส่งความปรารถนาดีออกไปพร้อมจิตสัมผัสวิญญาณนั้น เพราะในความเป็นจริงแล้ว แม้แต่ตัวเขาเองก็ตกใจและหวั่นเกรงพลังของกำแพงสีม่วงอยู่ไม่น้อย
จิตใจของทุกคนสั่นไหวเมื่อได้ยินหลี่ซิงเหวินพูด ในวินาทีเดียวกันนั้นเอง น้ำเสียงเคลือบแคลงใจก็ดังออกมาจากกำแพงสีม่วงอีกคำรบ
“อารยธรรมของเจ้าเช่นนั้นหรือ ตอนที่ข้าเริ่มต้นถือสันโดษ ข้าจำได้ว่าจักรวาลแถบนี้เป็นของสำนักแห่งความมืด…” เสียงนั้นหยุดพูดไปชั่วขณะ และดวงจิตของมันก็ดูเหมือนจะปะทุขึ้นมาอีกครั้งก่อนหลั่งไหลออกมาภายนอก มันขยายตัวขึ้นอึดใจหนึ่งและอึดใจถัดมาก็หายวับไป หลังจากความเงียบงันอันยาวนาน ก็มีเสียงถอนหายใจดังมา
“เมื่อได้มาคิดว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานถึงเพียงนี้…”
ทั้งหลี่ซิงเหวินและเจ้านครต่างก็ตกตะลึงอีกครั้งเพราะการปรากฏตัวและจางหายไปอย่างฉับพลันของดวงจิตนั้น ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในคนอื่นๆ ก็พากันหายใจไม่ทั่วท้อง ทุกคนล้วนตัวสั่นเทา หลี่ซิงเหวินยังคงกำแผ่นหยกเอาไว้ในมือแน่น ชายชรายังชั่งใจอยู่ จากนั้นเขาก็หันกลับไปหากำแพงสีม่วงก่อนจะโค้งคำนับอีกครั้งหนึ่ง
“ศิษย์พี่ ตอนนี้…ที่นี่เป็นอารยธรรมที่โลกได้สร้างขึ้น!”
ทันทีที่หลี่ซิงเหวินพูดจบ เสียงถอนหายใจก็ดังออกมาจากกำแพงสีม่วงอีกครั้ง
“ข้า เทียนไสว่จื่อ ได้ติดตามเต๋าสวรรค์มานับร้อยนับพันปีจนมาถึงที่นี่ แม้ว่าเต๋าในหัวใจของคนนั้นจะคงอยู่เป็นนิรันดร์ ทว่าเวลาในจักรวาลที่เหลือก็ยังคงไหลผ่านไป ใครจะไปรู้ได้ว่าดวงดาวได้เคลื่อนคล้อยจนยุคสมัยหนึ่งได้ผ่านพ้นไปแล้ว…”
เสียงที่แก่ชราดังออกมาจากกำแพงสีม่วงอีกครั้งและสะท้อนก้องอยู่ในใจของทุกคน ชื่อเทียนไสว่จื่อฝังลึกลงในใจทุกคนขณะที่พวกเขาพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่แตกตื่น ผู้ฝึกตนทุกต่างพากันโค้งคำนับเพื่อทักทาย
หวังเป่าเล่อเองก็โค้งคำนับทั้งที่ตัวสั่นอย่างเก้ๆ กังๆ แต่ภายในใจของชายหนุ่มนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขสมหวัง สิ่งที่ทุกคนเข้าใจกันว่าเป็นเจ้าของอาวุธเทพแท้จริงนั้นคือราชครูชรา วิญญาณวุธของเขานั่นเอง
ที่สำคัญที่สุดก็คือ บทพูดของราชครูก่อนหน้านี้หวังเป่าเล่อก็เป็นคนคิดขึ้นมา ชื่อเทียนไสว่จื่อก็เป็นความคิดอันชาญฉลาดของเขา แม้ว่าราชครูชราจะแทบออกเสียงชื่อนี้ไม่ได้ตอนที่หวังเป่าเล่อบอกเขาครั้งแรก แต่วิญญาณวุธชราก็ต้องยอมทำตามคำสั่งของชายหนุ่มและฝึกจนพูดได้
มาบัดนี้ ราชครูชราไม่ได้ทำให้หวังเป่าเล่อผิดหวังแม้แต่น้อย กระทั่งชายหนุ่มเองยังเชื่อที่อีกฝ่ายพูดเลย
ส่วนกำแพงสีม่วงนั้นเป็นเกราะป้องกันที่เรือสำปั้นวัตถุเวทแห่งความมืดสร้างขึ้นหลังจากที่ฟื้นพลังมาได้ร้อยละสิบ ระดับพลังเทียบได้กับผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสูง ฉากที่น่าเกรงขามนี้เป็นเพียงขั้นแรกในแผนของหวังเป่าเล่อเท่านั้น!
ท่านปู่ผู้อาวุโสสูงสุดบอกใบ้ว่าข้าต้องทำให้สหพันธรัฐรู้สึกเกรงขามเพื่อไม่ให้พวกเขายึดอาวุธไป เท่านี้น่าจะพออยู่นะ ข้าไม่อาจทำเกินเลยมากกว่านี้ แผนข้าคงจบสิ้นแน่หากผู้อาวุโสสูงสุดยิงระเบิดต้านทานวิญญาณใส่! หวังเป่าเล่อกะพริบตา สิ่งที่เขาต้องทำในตอนนี้ก็เพียงรอให้ราชครูชราพูดขึ้นมาอีกครั้งเพื่อที่จะจบขั้นที่สองของแผนการ
แผนของเขาขั้นแรกคือการสร้างความตกใจและตื่นตะลึง ขั้นที่สองคือสร้างความหวาดกลัวที่จะป้องกันไม่ให้ผู้นำสหพันธรัฐหรือกลุ่มอำนาจการเมืองใดๆ กล้ามายุ่งกับวัตถุเวทแห่งความมืดอีก แต่กระนั้น ชายหนุ่มก็รู้ดีว่าสหพันธรัฐได้เตรียมการและเสียสละไปอย่างมากเพื่อจะได้อาวุธเวทแห่งดาวอังคารไปครอบครอง หากชายหนุ่มไล่พวกกลับไปมือเปล่า พวกเขาอาจไปคิดแผนการใหม่และกลับมาอีกครั้งก็เป็นได้
นี่เป็นเหตุผลว่าเหตุใดหวังเป่าเล่อจึงวางแผนจะให้อะไรพวกเขาติดมือกลับไปบ้าง ขณะที่สมองของชายหนุ่มกำลังทำงานอย่างหนัก ราชครูในกำแพงสีม่วงก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง น้ำเสียงที่แก่ชรานั้นดังออกมาอีกคราหนึ่ง
“ในเมื่อดวงดาวได้คลาดเคลื่อนไป และสถานที่แห่งนี้ก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นของอารยธรรมของพวกเจ้า ข้าเองก็คงไม่อาจจะบรรลุข้อตกลงที่มีต่อสำนักแห่งความมืดตั้งแต่เมื่อครั้งก่อนนั้นได้…ดีละ ในฐานะสิ่งมีชีวิตชั้นสูง ข้าก็ไม่อาจอยู่บนดาวของพวกเจ้าโดยไม่ให้สิ่งใดตอบแทนได้ จากนี้ไป ผู้ที่มาฝึกตนอยู่นอกถ้ำของข้าจะมีโอกาสได้รับของขวัญแห่งชีวิตอันยิ่งใหญ่!”
ทันทีที่คำพูดเหล่านั้นดังออกมา พลังวิญญาณอันแข็งแกร่งก็ปะทุขึ้นจากภายในกำแพงสีม่วงอีกครั้ง เป็นพลังที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต พวยพุ่งออกมาจากเขตนครพิเศษและเข้าไปหมุนวนอยู่ในพื้นพิภพและสรวงสวรรค์ พื้นดินภายใต้เมืองสั่นไหวและส่งเสียงคำรามลั่น ผู้ฝึกตนจำนวนมากที่อยู่ด้านนอกพากันผงะถอยหลังด้วยความตกใจเมื่อพลังชีวิตเข้มข้นปริมาณมหาศาลไหลบ่าท่วมนคร พืชพรรณงอกงามและดอกไม้ก็ผลิบานในชั่วอึดใจ ในเวลาเดียวกัน ทั้งผู้ฝึกตนและคนทั่วไปต่างพากันหายใจไม่ทั่วท้อง พวกเขาล้วนรู้สึกว่าร่างกายเบาลง รู้สึกถึงกระแสแห่งพลังที่พวยพุ่งออกมาช่วยให้จิตใจผ่อนคลายและร่าเริงขณะที่ยืนอยู่บนผืนแผ่นดินนี้!
ฉากนั้นทำให้ทุกคนในสุสานใต้ดินตกตะลึงอีกครั้ง พวกเขาทั้งพูดไม่ออกและไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป ต่างคนต่างก็หันไปมองที่หลี่ซิงเหวินเป็นตาเดียว
บทที่ 490 อาณาเขตยอดนิยมสำหรับการรักษา
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลี่ซิงเหวินลังเลใจจนไม่อาจตัดสินใจสิ่งใดลงไปได้ หลังจากคิดอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ชายชราก็สูดลมหายใจและหันไปยกมือคารวะก้มหัวต่ำคำนับกำแพงสีม่วง ก่อนจะพาทุกคนออกมาด้านนอกสุสานใต้ดิน
ทันทีที่ออกมาจากสุสานใต้ดิน หลี่ซิงเหวินก็ออกคำสั่งไม่ให้ใครเข้าไปอีก จากนั้นทั้งตัวเขาและเจ้านครก็จากไปอย่างเร่งรีบ เป็นที่ชัดเจนว่าปัญหาเรื่องนี้ใหญ่เกินกว่าเขาจะตัดสินและจัดการได้ แม้ว่าชายชราจะอยู่ในขั้นจุติวิญญาณแล้วก็ตาม แต่เขาก็ยังต้องเรียกประชุมและขอความคิดเห็นว่าจะอาศัยอยู่ร่วมกับสุสานใต้ดินนี้ต่อไปได้อย่างไร
แต่ก่อนจะจากไป หลี่ซิงเหวินก็ก้มศีรษะและจ้องมองหวังเป่าเล่อ ผู้ซึ่งตอนนี้หน้าซีดเผือดตัวสั่นเทา ดูราวกับว่าตกใจกับสิ่งที่ได้เห็นเสียเต็มประดา ชายชราหรี่ตาลง ความคิดมากมายไหลวนอยู่ในใจ เขาจ้องมองอยู่ระยะหนึ่งก่อนจะถอนสายตาและออกตัวจากไปอย่างรวดเร็วราวสายรุ้งที่ทอดยาว
ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในคนอื่นๆ ต่างก็ทั้งงุนงงทั้งสงสัยเช่นกัน พวกเขารีบติดต่อกลุ่มอำนาจการเมืองของตนไม่มีใครกล้าอ้อยอิ่งอยู่ในเขตนครพิเศษ ส่วนมากพากันรีบรุดเดินทางกลับไปยังนครหลวงแห่งดาวอังคาร เพื่อไปรอรับคำสั่งจากกลุ่มอำนาจการเมืองและสหพันธรัฐจากที่นั่นแทน!
หวังเป่าเล่อเฝ้ามองดูพวกเขาจากไป ก่อนจะแอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ตามความเข้าใจของเขาที่มีต่อสหพันธรัฐ ชายหนุ่มคาดการณไว้ว่า…ทุกอย่างต้องเป็นไปตามแผน สหพันธรัฐคงไม่กล้าสร้างปัญหาโดยการหาเรื่องสิ่งมีชีวิตทรงพลัง “เทียนไสว่จื่อ” ที่ไม่ทราบที่มาที่ไปในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้เป็นแน่!
มีโอกาสสูงที่พวกเขาจะยอมผ่อนปรนและรามือจากอาวุธเทพแห่งดาวอังคาร!
ข้า หวังเป่าเล่อ เป็นบุรุษผู้มีเหตุมีผล ข้าได้รับของบางอย่างที่ควรจะเป็นของสหพันธรัฐ…ข้า เทียนไสว่จื่อ จะชดใช้หนี้ให้พวกท่านเป็นเท่าทวีคูณในภายภาคหน้า! หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอ ชายหนุ่มค่อยๆ ยกมือขึ้นไพล่หลังขณะที่มองดูเรือบินซึ่งกำลังเดินทางออกไปบินขึ้นปกคลุมท้องฟ้า เขายิ่งรู้สึกว่าชื่อเทียนไสว่จื่อนั้นเหมาะกับตนยิ่งนัก
“เทียนไสว่จื่อเช่นนั้นหรือ” หลี่ซิงเหวิน ผู้ซึ่งขณะนี้เดินทางกลับมาถึงนครหลวงดาวอังคารแล้ว ได้เรียกประชุมด่วน โดยมีกลุ่มอำนาจการเมืองต่างๆ ในสหพันธรัฐเข้าร่วมอย่างพร้อมหน้า ชายชราอธิบายรายละเอียดเรื่องที่เกิดขึ้นภายในสุสานใต้ดินอย่างรวดเร็ว
เขาไม่ได้ปกปิดรายละเอียดใดๆ เอาไว้เลย เพราะอย่างไรเสีย เจ้านครดาวอังคารและผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในอีกนับไม่ถ้วนก็อยู่ที่นั่นและได้เห็นสถานการณ์นั้นด้วยตาตนเอง เมื่อหลี่ซิงเหวินเอ่ยชื่อเทียนไสว่จื่อขึ้นมา ทุกๆ คนในที่ประชุมก็นิ่งเงียบไปทันที
เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก กระทั่งต้วนมู่ฉีก็ยังต้องผละออกจากการถือสันโดษเพื่อมาร่วมประชุมด้วย หลังจากที่หลี่ซิงเหวินเอ่ยชื่อเทียนไสว่จื่อออกมาเบาๆ ทุกคนในที่ประชุมก็มีสีหน้ากระอักกระอ่วนเป็นอย่างยิ่ง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า การปรากฏตัวของเทียนไสว่จื่อในครั้งนี้ทั้งฉับพลับและเกินคาด ที่สำคัญกว่านั้นคือ…หลี่ซิงเหวินก็ยังไม่อาจต่อกรกับอีกฝ่ายได้ แปลว่าสิ่งมีชีวิตลึกลับเทียนไสว่จื่อนี้จะต้องทรงพลังจนสามารถทำลายสหพันธรัฐได้ด้วยตัวคนเดียว
ที่ประชุมตกอยู่ในความเงียบงัน ตอนนั้นเองเจ้านครก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“อาวุธเทพแห่งดาวอังคารคงอยู่มาเป็นเวลานาน และไม่เคยมีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้น…ข้าขอให้เรารับมือกับสถานการณ์นี้อย่างรอบคอบด้วย!”
“เราจะยอมให้มีคนแปลกหน้ามานอนหลับสบายอยู่ข้างๆ ที่นอนของเราได้อย่างไรกัน การที่เขายอมให้ของดีเรามาอย่างง่ายดายก็เห็นได้ชัดว่าเขาต้องซ่อนความลับบางอย่างเอาไว้!” ประมุขตระกูลเฉินแห่งตระกูลนภาห้าสมัยกล่าว แววตาของเขามีประกายเย็นยะเยือกฉายอยู่ เขากล่าวต่อไป แม้ว่าจะเป็นการขัดจังหวะเจ้านครก็ตาม
“สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพราะเจ้าเมืองเขตนครพิเศษประมาทเลินเล่อ สหพันธรัฐได้ทุ่มเททรัพยากรให้นครนี้มาเป็นเวลาหลายปี แต่เขากลับไม่รู้เลยว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับอาวุธเทพ!”
“นี่ไม่ใช่เวลามากล่าวโทษกันเอง สิ่งที่พวกเราต้องทำตอนนี้คือคิดให้ออกว่าสิ่งมีชีวิตนี้กำลังซ่อนอะไรจากการรับรู้ของพวกเราหรือไม่!”
ทุกคนเริ่มทุ่มเถียงกันอย่างจริงจัง เจ้านครอาณานิคมดาวอังคารไม่ได้พูดต่อและหัวหน้าคณะเสนาบดีเองก็นิ่งเงียบอยู่เช่นกัน พวกเขาทั้งคู่ดูราวกับว่ากำลังใคร่ครวญบางอย่างอยู่ ส่วนหลี่ซิงเหวินเริ่มหมดความอดทน
“พวกเจ้าอวดดีกันมากเกินไปหน่อยกระมัง พวกเจ้าลืมไปแล้วหรือว่าสมรรถภาพของสหพันธรัฐนั้นมีเท่าใด ปิดบังสิ่งใดจากพวกเราเช่นนั้นหรือ หรือพวกเจ้าอยากจะลองเสี่ยงดู ข้าจะบอกให้ฟังนะ ตามการคาดคะเนของข้า เทียนไสว่จื่อผู้ที่อาศัยอยู่ในวัตถุเวทแห่งความมืดนั้นเป็นเจ้าของอาวุธเทพอย่างแน่นอน และเป็นไปได้มากว่าเขาได้สำเร็จการฝึกปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะแล้ว หาไม่แล้ว เขาคงไม่อาจปล่อยพลังมากมายถึงเพียงนี้โดยใช้แค่พลังวิญญาณหรอก”
“สำหรับวิธีการรับมือเรื่องนี้…หากว่าเจ้าไม่อยากจะตายวันตายพรุ่ง พวกเราก็ไม่ควรลบหลู่…สิ่งมีชีวิตที่เราไม่อาจจะต่อกรด้วยได้ ข้าขอเสนอให้เรารับมือเรื่องนี้ด้วยวิธีเดียวกับตอนที่เรารับมือตัวตนที่อยู่บนดาวพลูโต” ทันทีที่หลี่ซิงเหวินพูดจบ ผู้ฝึกตนจากกลุ่มอำนาจการเมืองต่างๆ ที่กำลังทุ่มเถียงกันอยู่ก็เงียบงันกันไปหมด พวกเขาตกใจที่หลี่ซิงเหวินพูดเรื่องดาวพลูโตขึ้นมา ถึงแม้พวกเขาจะมีความคิดและข้อเสนอแนะมากมาย แต่ทุกคนต่างก็รู้ดีว่า หากหลี่ซิงเหวินยังไม่อาจรับมือตัวตนผู้นั้นได้ บางทีหนทางที่ดีที่สุดก็คือทำตามข้อตกลงที่ได้ให้ไว้กับฝ่ายนั้นตั้งแต่แรก
ต้วนมู่ฉีถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่อเห็นว่าที่ประชุมเงียบงันไปอีกครั้ง ชายชรารู้สึกเหนื่อยอ่อนขึ้นมาเล็กน้อย เขารู้สึกได้ว่ามีบางอย่างแปลกๆ กำลังจะเกิดขึ้น แต่ขณะนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาคือการบรรลุขั้นการฝึกปราณ แถมยังมีปฏิบัติการพันธุ์กล้าสหพันธรัฐที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น ไหนจะการไปสำรวจกระบี่สำริดเขียวโบราณด้วย ชายชราไม่ต้องการปัญหาเพิ่มในตอนนี้
หลังจากที่ครุ่นคิดอย่างเงียบงันอยู่ระยะหนึ่ง ดวงตาของต้วนมู่ฉีก็ส่องประกายเด็ดเดี่ยวออกมา
“เช่นนั้นก็ทำตามคำแนะนำของศิษย์พี่หลี่ก็แล้วกัน เราจะชะลอการเก็บกู้อาวุธเทพแห่งดาวอังคารออกไปก่อน และเรื่องนี้จะต้องถือเป็นความลับระดับขุนนางระดับสอง ขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบขณะที่พำนักอยู่ที่เขตนครพิเศษและอย่าสร้างปัญหาให้แก่กัน!”
เมื่อทั้งต้วนมู่ฉีและหลี่ซิงเหวินเห็นตรงกันในเรื่องนี้ จึงเป็นอันว่าเรื่องอาวุธเทพแห่งดาวอังคารก็สิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ พวกเขาจะชะลอการเก็บกู้อาวุธเทพลง และประกาศเรื่องกำแพงชั้นที่สองในสุสานใต้ดินให้ประชาชนได้รับรู้ จะได้ใช้เป็นหลักฐานให้สหพันธรัฐได้ศึกษาและทดลองเพิ่มเติม และขณะเดียวกันก็ไม่ทำให้สาธารณชนเกิดความสงสัย
พลังชีวิตอันเข้มข้นที่บังเกิดขึ้นในบริเวณเขตนครพิเศษไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด ข่าวเรื่องนี้แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว ผู้ฝึกตนจำนวนมากในนครหลวงดาวอังคารเมื่อได้ทราบเรื่องนี้ก็พากันมาตรวจสอบ แต่เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตในอากาศก็ล้วนตื่นตะลึง หลายคนถึงกับลงหลักปักฐานฝึกปราณอยู่ที่เขตนครพิเศษเลยทีเดียว
การฝึกปราณในสถานที่ที่มีพลังชีวิตเข้มข้นนั้นมีคุณมากมาย สื่อมวลชนเองก็ให้ความสนใจกับเรื่องนี้ไม่น้อย และในพริบตาเดียว ทั้งสหพันธรัฐก็รู้ข่าวเรื่องพลังชีวิตอันเข้มข้นที่ไหลบ่าอยู่ในบริเวณเขตนครพิเศษ
ผู้ฝึกตนที่มีอาการบาดเจ็บจากในอดีตได้ยินเรื่องนี้ก็เลือกที่จะมาพักฟื้นที่นี่เช่นกัน ภายในสองสัปดาห์ เขตนครพิเศษของดาวอังคารก็กลายมาเป็นอาณาเขตยอดนิยมที่มีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นเรื่อยๆ!
จินตั้วหมิงมีบทบาทสำคัญกับสถานการณ์ปัจจุบัน ชายหนุ่มเป็นคนแรกที่มองเห็นโอกาสทางธุรกิจจึงรีบติดต่อกงเต๋าและคนอื่นๆ ทันที เขายังเป็นคนแรกที่นำเสนอเรื่องการแปลงโฉมเขตนครพิเศษให้เป็นเขตบำรุงรักษาเพื่อฟื้นฟูและฝึกปราณแห่งดาวอังคาร และยังเป็นคนแรกที่เอาเรื่องนี้ไปปรึกษาหวังเป่าเล่ออีกด้วย
หวังเป่าเล่อเจ็บปวดหัวใจอย่างยิ่งแต่ก็รู้ดีว่าไม่อาจบอกปัดความคิดนี้ได้ ชายหนุ่มรู้ดีว่าการตัดสินใจของสหพันธรัฐที่จะชะลอการเก็บกู้อาวุธเทพ แปลว่า ในแง่หนึ่งนั้นพวกเขายอมปล่อยเขตนครพิเศษนี้ไป และมูลค่าที่ดินในเขตนครก็จะตกลงมาอย่างต่อเนื่อง แถมตัวเขาเองยังจะเสียโอกาสในการได้รับทรัพยากรเพื่อบำรุงนครอีกด้วย เวลานี้เหมาะอย่างยิ่งในการนำเสนอคุณค่าใหม่ๆ ให้เขตนครพิเศษ เพื่อยืดอายุและเพิ่มมูลค่าของนครไปในตัว
ชายหนุ่มกัดฟันก่อนจะยอมรับแผนของจินตั้วหมิง เป็นผลให้เกิดการเติบโตอย่างแพร่หลาย อสังหาริมทรัพย์ก็มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นเสียจนแทบจะแพงเท่าทองคำ
“แค่มูลค่าที่ดินเพิ่มขึ้นนั้นไม่พอหรอก มันจะกลายเป็นว่า คนส่วนมากจะซื้อที่ดินไม่ได้ สิ่งที่เราต้องทำคือการสร้างโรงแรม สร้างโรงแรมเพิ่มให้เยอะๆ ไปเลย!” หวังเป่าเล่อนำเสนอความคิดของตนเองและช่วยต่อเติมแผนของจินตั้วหมิงให้สมบูรณ์ พวกเขาจะสร้างชื่อเขตนครพิเศษแห่งดาวอังคารให้กลายเป็นสวรรค์ของผู้ที่เสาะหาการฟื้นฟูรักษาและการฝึกปราณ รวมไปถึงเป็นสวรรค์แห่งการท่องเที่ยวอีกด้วย!
จินตั้วหมิงตื่นเต้นเป็นอย่างมากและเริ่มกุลีกุจอวาดแผงผังขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะเจ็บปวดกับการสูญเสียพลังชีวิตไปมหาศาล ซึ่งจริงๆ แล้วมาจากการปลดปล่อยพลังของวัตถุเวทแห่งความมืด แต่ก็ยังถือว่าเป็นความเสียหายที่น้อยและควบคุมได้อยู่
ชายหนุ่มยังรู้อีกว่าเมื่อใดก็ตามที่เขตนครพิเศษกลายมาเป็นอาณาเขตยอดนิยมสำหรับการฟื้นฟูรักษาและการฝึกปราณแล้ว พวกเขาก็จะมีรายได้มหาศาลจากการเก็บภาษี กำไรที่ได้รับนั้นแม้จะหักค่าใช้จ่ายแล้วก็ยังมากมายทีเดียว
แต่สิ่งนี้เป็นรายได้ระยะยาว สิ่งที่หวังเป่าเล่อต้องการมากที่สุดในตอนนี้คือการให้วัตถุเวทแห่งความมืดฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว หัวใจเขาร้อนรนอยู่กับความตื่นเต้นเมื่อคิดไปถึงพลังของวัตถุเวทแห่งความมืดตอนที่มันฟื้นฟูจนสมบูรณ์
ข้าต้องการทรัพยากรจำนวนมาก! หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจลึก ถึงแม้สหพันธรัฐจะบรรลุฉันทามติว่าจะชะลอการเก็บกู้อาวุธเทพแห่งดาวอังคาร หวังเป่าเล่อก็ยังกังวลใจอยู่ ชายหนุ่มรู้จักนิสัยของผู้คนในสหพันธรัฐดี หากความน่าสะพรึงและพลังของอาวุธเทพไม่เพิ่มพูนขึ้น…พวกเขาอาจเปลี่ยนใจมาเก็บกู้อาวุธเทพอีกครั้งอย่างแน่นอน!
แต่ก็น่าจะปลอดภัยไปได้อีกระยะหนึ่ง เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกได้บ้าง ชายหนุ่มรู้ดีว่าเหตุใดตนถึงต้องการทรัพยากรเพื่อมาซ่อมแซมวัตถุเวทแห่งความมืดอย่างเร่งด่วน รากเหง้าของปัญหาอยู่ที่ว่าตัวเขานั้นอ่อนแอเกินไป
หากเขาเป็นผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณเช่นหลี่ซิงเหวิน คงไม่มีใครกล้าสร้างปัญญาหาให้กับเขา ต่อให้เขาประกาศตัวว่าเป็นเจ้าของวัตถุเวทแห่งความมืดชิ้นนี้ก็ตาม
ข้าต้องฝึกปราณให้มากขึ้นอีก! หวังเป่าเล่อกัดฟันแน่นและเริ่มถือสันโดษต่อไป ชายหนุ่มมุ่งมั่นจะบรรลุขั้นกำเนิดแก่นในชั้นกลางให้เร็วที่สุด ขณะที่เขาถือสันโดษอยู่นั้น จินตั้วหมิงก็ใช้ประโยชน์จากความหัวไวด้านธุรกิจของตนเองและวาดแผนผังขึ้นมาจนเสร็จสมบูรณ์ไร้ที่ติ
เขตนครพิเศษบนดาวอังคารกลายมาเป็นหัวข้อยอดนิยมในสหพันธรัฐ สื่อทุกสำนักในสหพันธรัฐลงโฆษณาที่มีผู้ฝึกตนหรือดาราชื่อดัง ทุกชิ้นต่างเต็มเปี่ยมด้วยเนื้อหาที่ชื่นชมความงดงามของเขตนครพิเศษบนดาวอังคาร
จินตั้วหมิงกระทั่งร่วมมือกับกลุ่มไตรจันทราและออกแบบแผนการท่องเที่ยวบนดาวอังคารที่มอบส่วนลดให้ลูกค้าต้องการมาเที่ยว ส่งผลให้จำนวนเรือบินที่เดินทางจากโลกและดาวอื่นๆ ไปยังดาวอังคารเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว
หลินเทียนหาวเองก็ร่วมมือกับจินตั้วหมิงอย่างแข็งขัน โดยทำหน้าที่ของเขาอย่างดีในการต้อนรับผู้มาเยือน ฝ่ายกงเต๋านั้นทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยและสอดส่องดูแลภายในเขตนคร จากความพยายามของทุกคน ความนิยมของเขตนครพิเศษแห่งดาวอังคารก็พุ่งสูงขึ้นทั่วทั้งสหพันธรัฐ ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงสองเดือน ชื่อเสียงของเขตนครพิเศษก็แพร่ไปไกลราวไฟลามทุ่ง
ความนิยมและชื่อเสียงของเขตนครพิเศษนั้นควรจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จากความพยายามของจินตั้วหมิง หากว่าไม่ได้มีเหตุการณ์ใหญ่อื่นใดมาแทรกแซงเสียก่อน ผลกระทบของเหตุการณ์ใหม่นี้ยิ่งใหญ่เป็นอย่างมาก ใหญ่เสียจนกระทั่งบดบังชื่อเสียงที่เพิ่งเริ่มเติบโตขึ้นของเขตนครพิเศษเสียจนมิด…
เดือนกรกฎาคมปีที่สี่สิบห้าในยุคกำเนิดวิญญาณ…ผู้นำแห่งสหพันธรัฐ ต้วนมู่ฉีบรรลุขั้นจุติวิญญาณเป็นที่เรียบร้อย!
บทที่ 491 การเคลื่อนย้ายในสหพันธรัฐ!
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อเทียบจำนวนผู้สังเกตการณ์จากหลายกลุ่มอำนาจการเมืองที่ไปเฝ้าชมหลี่ซิงเหวินบรรลุขั้นปราณ ต้วนมู่ฉีเรียกได้ว่าเก็บตัวเงียบกว่ามาก แต่ไม่ว่าจะพยายามบรรลุปราณอย่างเงียบเชียบเพียงไร ก็ไม่อาจปิดบังกระแสปราณวิญญาณที่ถูกดูดมายังโลกได้ ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงจับกระแสปราณวิญญาณที่แปรผันได้ ไม่นานนักก็มีประกาศอย่างเป็นทางการจากสำนักผู้นำว่าประธานสหพันธรัฐได้ก้าวข้ามปราณขั้นกำเนิดแก่นในไปแล้ว ทุกคนทั่วอาณาจักรล้วนตื่นเต้นดีใจเป็นล้นพ้นกับข่าวอันน่ายินดีนี้!
การที่หลี่ซิงเหวินและต้วนมู่ฉีบรรลุขั้นปราณติดๆ กัน แปลว่ายุคฝึกปราณอมตะของสหพันธรัฐได้ก้าวเข้าสู่ระดับจุติวิญญาณอย่างเป็นทางการแล้ว!
ทุกคนทั่วอาณาจักรต่างเต็มไปด้วยความคาดหวังถึงพลังอำนาจที่มาพร้อมปราณระดับจุติวิญญาณ และต่างพากันสงสัยว่าผู้ใดกันแน่ที่จะประสบความสำเร็จในการก้าวข้ามขีดจำกัดนี้ได้เป็นคนต่อไป!
ขณะที่ผู้คนกำลังเปี่ยมด้วยความหวังเพราะต้วนมู่ฉีบรรลุขั้นปราณ หวังเป่าเล่อก็ถูกกดดันจากเจ้านครเรื่องการหลอมชิ้นส่วนในการสร้างวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย!
หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ถึงความรีบเร่งที่จะสร้างวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายให้แล้วเสร็จโดยเร็ว อีกทั้งชายหนุ่มยังรู้ดีว่าปฏิบัติการพันธุ์กล้าสหพันธรัฐนั้นใกล้เข้ามาทุกที!
ก่อนหน้านี้ความคืบหน้าของการก่อสร้างเป็นไปได้ช้ามาก แต่ตอนนี้ทุกอย่างเดินหน้าเร็วขึ้นแล้ว หวังเป่าเล่อที่ถือสันโดษอยู่เพิ่งวางสายจากท่านเจ้านครดาวอังคาร เขานั่งครุ่นคิดอยู่ตรงนั้นสักพัก ก่อนหยิบแหวนสื่อสารของตนขึ้นมาส่งข้อความไปให้ผู้อาวุโสสูงสุดเพื่อถามคำถามที่คาใจ และยังสอบถามอีกด้วยว่าปฏิบัติการพันธุ์กล้าสหพันธรัฐจะเกิดขึ้นเมื่อใด
หลี่ซิงเหวินที่กลับจากดาวอังคารมายังโลกเรียบร้อยแล้ว รับสายจากหวังเป่าเล่อขณะอยู่ที่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาไม่ได้พยายามบ่ายเบี่ยงหัวข้อนี้อีกต่อไป แต่ตอบหลังจากเงียบอยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง
“เป่าเล่อ เหลือเวลาอีกไม่มากแล้วก่อนที่ปฏิบัติการพันธุ์กล้าสหพันธรัฐจะเริ่มต้นขึ้น เจ้าต้องรีบเตรียมตัวให้พร้อม ส่วนก่อนหน้านี้ที่การก่อสร้างเป็นไปได้ช้านั้น… เป็นเพราะสหพันธรัฐยังไม่แน่ใจว่าจะเดินหน้าต่อดีหรือไม่!
“เหตุผลก็คือ แม้ว่าการสร้างวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายจะมอบประโยชน์ให้สหพันธรัฐมากมาย แต่ก็มีข้อเสียอยู่หลายอย่าง กระนั้นเมื่อทั้งต้วนมู่ฉีและข้าบรรลุขั้นจุติวิญญาณ เราจึงมีโอกาสในการจัดการปัญหาได้มากขึ้น ก็เหมือนมีไพ่ตายอีกใบนอกจากระเบิดต้านทานวิญญาณอย่างไรเล่า… เพราะเหตุนี้เราจึงตัดสินใจเร่งความเร็วในการสร้างวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย!
“เจ้าไม่ต้องใส่ใจเรื่องอื่น ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเจ้าคือเตรียมตัวให้พร้อม อย่างช้าที่สุด การเคลื่อนย้ายรอบแรกจะเกิดขึ้นในสามเดือนต่อจากนี้!”
หวังเป่าเล่อหายใจรัวเร็วเมื่อได้ยินคำแถลงไขของผู้อาวุโสสูงสุด หลังพูดคุยต่ออีกสักพักเขาก็วางสายลง แววประหลาดวาบผ่านดวงตาของชายหนุ่ม เขารู้สึกมุ่งมั่นตั้งใจมากขึ้นที่จะเดินทางไปยังกระบี่สำริดเขียวโบราณ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หวังเป่าเล่อรู้ดีว่าจะต้องพาตนเองไปที่นั่นให้ได้ เนื่องจากเขาต้องหาทั้งเคล็ดเวทและทรัพยากรมาเพิ่มให้ตนเอง
ชายหนุ่มต้องการทรัพยากรจำนวนมากในการซ่อมแซมวัตถุเวทแห่งความมืด เพื่อที่วันหนึ่งเขาจะได้นำมันติดตัวออกมานอกดาวอังคาร… และเมื่อวันนั้นมาถึง เขาคงจะทรงพลังมากเสียจนทำลายดาวเคราะห์ได้ทั้งดวงเลยทีเดียว!
ชายหนุ่มต้องการก้าวไปสู่จุดที่ตนเองวาดฝันไว้ จึงตื่นเต้นเป็นอันมากเมื่อรู้ว่าจะได้เดินทางไปยังดวงอาทิตย์ ความคาดหวังทวีความรุนแรงขึ้นในจิตใจ
ข้าต้องซ่อมวัตถุเวทแห่งความมืดให้สมบูรณ์ให้จงได้! หวังเป่าเล่อสูดหายใจเข้าลึก เขารู้ว่าตอนนี้เป็นเรื่องยากมากที่เขาจะหาทรัพยากรบนดาวอังคารมาซ่อมวัทถุเวทแห่งความมืด ทางเดียวที่พอเป็นไปได้คือการไปเหยียบกระบี่สำริดโบราณบนดวงอาทิตย์เท่านั้น!
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่สำคัญมากล้น นั่นคือ… หน้าที่และความรับผิดชอบที่ค้ำคอ!
ชายหนุ่มรู้ดีว่า ในฐานะขุนนางระดับสองชั้นรอง เขาย่อมไม่ได้รับอนุญาตให้ไปเหยียบที่นั่น แต่ด้วยความที่เขาเป็นหนึ่งในพันธุ์กล้าสหพันธรัฐ เขาจึงมีหน้าที่ที่ต้องทำ และชายหนุ่มก็เข้าใจดีว่า สำหรับพันธุ์กล้าสหพันธรัฐทั้งหลายปฏิบัติการนี้ถือเป็นโอกาสที่อาจมาเพียงครั้งเดียวในชีวิต
นอกจากนี้ ปฏิบัติการนี้ยังจะช่วยแสดงความสามารถของพวกเขาให้เป็นที่ประจักษ์ จึงเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการเลื่อนยศของเขาในอนาคต วันหนึ่งเขาอาจได้เป็นประธานแห่งสหพันธรัฐที่มีประวัติเคยไปประจำการกระบี่สำริดเขียวโบราณก็เป็นได้ ยิ่งคิดหัวใจของหวังเป่าเล่อก็ยิ่งเต้นเร็วขึ้นด้วยความตื่นเต้น
ยิ่งไปกว่านั้น ในฐานะผู้ฝึกตนยุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อเปี่ยมล้นไปด้วยความรู้สึกสงสัยใคร่รู้ที่มี่ต่อกระบี่ยักษ์โบราณเล่มนี้ รวมถึงแผ่นดินต้นกำเนิดกระบี่อันทำให้เกิดยุคกำเนิดวิญญาณบนโลกมนุษย์ด้วย
ชายหนุ่มลูบหน้ากากนิลที่ถืออยู่ในมือเงียบๆ แม้แม่นางน้อยจะไม่ปรากฏตัวมาเป็นเวลานาน แต่หวังเป่าเล่อก็ยังจำรูปปั้นที่มีรูปลักษณ์เหมือนนางอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ซึ่งตั้งอยู่ในเศษซากหมู่บ้านลมปราณวิญญาณได้ดี!
แต่… ในเมื่อข้าจะไปแล้ว ก็ควรเตรียมตัวให้พร้อม เพราะกระบี่สำริดเขียวโบราณนั้นถือเป็นสถานที่ที่แทบไม่มีใครรู้เลยว่าเป็นอย่างไร และมันย่อมเต็มไปด้วยอันตรายยิ่งยวดแน่นอน! หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงเมื่อนึกถึงคำถามที่ผู้อาวุโสสูงสุดเคยถามเขาว่ากลัวความตายหรือไม่!
ชายหนุ่มหัวเราะขณะนึกถึงคำถามนั้น ประกายวาบขึ้นในแววตา แม้เขาจะใช้เวลาฝึกปราณมาไม่นานเท่าใดนัก แต่ก็ผ่านประสบการณ์เฉียดตายมามากมายนับครั้งไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นในเขตจันทราเวท หรือเมื่อตอนที่โดนผู้ฝึกตนจากต่างดาวสามตนตามล่า เขาหลีกหนีความตายมาได้ชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด หากไม่ได้ระวังตัว เขาคงจะจากโลกนี้ไปนานแล้ว!
หวังเป่าเล่อไม่ใช่ผู้ฝึกตนที่โตมาโดยถูกประคบประหงม แต่เติบโตขึ้นด้วยเลือดและสงคราม ผ่านการคร่าชีวิตจนมือเปื้อนโลหิตมากมาย แม้จะไม่มากเท่าผู้ฝึกตนอำมหิตคนอื่นๆ แต่ก็ดุดันไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
เป็นไปไม่ได้เลยที่ข้าจะบรรลุขั้นปราณภายในสามเดือน ข้ายังไม่มีแม้กระบวนเวทให้ฝึกด้วยซ้ำ สามเดือนนี้อย่างมากข้าก็ทำได้แค่… หลอมอาวุธเวทเท่านั้น! หลังจากที่คิดอยู่สักพัก หวังเป่าเล่อก็ตัดสินใจหยุดฝึกปราณชั่วคราว เขาหยิบสมบัติเวทออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บ
ชายหนุ่มครอบครองสมบัติเวทมากมาย มีหลายชิ้นที่เขามีอยู่แล้ว แต่หลายชิ้นก็ชิงมาได้จากผู้ฝึกตนต่างดาวทั้งสาม
ข้าต้องใช้เวลาสามเดือนที่เหลืออยู่ในการเสริมพลังสมบัติเวทเหล่านี้ให้กลายเป็นอาวุธเวท! หลังจากที่สูดหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง หวังเป่าเล่อก็โบกมือเพื่อเรียกยุงออกมา กองทัพยุงขนาดย่อมๆ จึงปรากฏขึ้นและบินวนรอบตัวเขา
แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการดูว่าข้าจะเสริมพลังสมบัติเวทภายในกายให้กลายเป็นอาวุธเวทได้หรือไม่! ชายหนุ่มคาดหวังเรื่องฝักกระบี่ภายในกายเอาไว้สูงมาก ตอนนี้เขารู้สึกมุ่งมั่นเป็นอย่างมากจึงเริ่มลงมือเสริมพลังสมบัติเวทในทันที
หวังเป่าเล่อไม่มีปัญหากับการหาทรัพยากรมาเสริมพลังสมบัติเวท เขาเพียงแค่ต้องติดต่อจินตั้วหมิง ผู้ที่สามารถปัดเป่าทุกปัญหาของเขาได้
เขตนครพิเศษนี้กลายมาเป็นสถานที่ชื่อดัง เพราะความสับสนจากโฆษณาที่ถูกปล่อยออกไป รวมถึงจุดเด่นที่แท้จริงด้านการฝึกปราณและการฟื้นฟูรักษา ด้วยเหตุนี้จึงมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมเยียนเขตนครพิเศษนี้ไม่ขาดสายทุกวัน กลุ่มอำนาจการเมืองทั้งหลายเริ่มเล็งเห็นศักยภาพของเขตนครพิเศษแห่งนี้ จึงเพิ่มเงินลงทุนในพื้นที่ขึ้นไปอีก
ด้วยเหตุนี้เขตนครพิเศษแห่งดาวอังคารจึงเนืองแน่นไปด้วยผู้คน นอกจากนี้การที่หวังเป่าเล่อมอบหน้าที่ดูแลเศรษฐกิจของนครให้จินตั้วหมิงและพรรคพวก จึงทำให้ผลตอบแทนที่ได้รับนั้นมากล้น อีกทั้งกลุ่มไตรจันทรายังได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้อีกด้วย ด้วยเหตุนี้หวังเป่าเล่อจึงเพียงต้องเอ่ยปากเท่านั้น ว่าตนเองต้องการวัตถุดิบมาเสริมพลังสมบัติเวท จินตั้วหมิงก็จะจัดการติดต่อกลุ่มไตรจันทราทันที จากนั้นภายในสามวันทรัพยากรทั้งหมดก็ส่งมาถึงมือเขา!
เมื่อสิ่งที่สั่งไปมาถึง หวังเป่าเล่อก็ถือสันโดษเพื่อเริ่มกระบวนการเสริมพลังสมบัติเวททันที เมื่อหวังเป่าเล่อมีแก่นในแห่งความมืดอยู่ในกาย การตามหาดวงจิตของเทพเจ้าก็ยิ่งง่ายขึ้นไปอีก เขาถอดจิตเข้าฌานแทบทุกวัน และทันทีที่เจอดวงจิตของเทพเจ้า เขาก็จะใช้เปลวไฟสีดำจัดการจับเอาไว้ในทันที
และวิชาหัตถ์สื่อวิญญาณก็ยิ่งทำให้การจับดวงจิตของเทพเจ้าง่ายขึ้นไปอีก
เวลาเดินหน้าผ่านไปเรื่อยๆ จนไม่นานก็ผ่านไปสองเดือน ในสองเดือนนี้ จินตั้วหมิงได้ส่งทรัพยากรมาให้อีกครั้งเพื่อช่วยเหลือหวังเป่าเล่อ หากเป็นคราวอื่น หวังเป่าเล่อคงรู้สึกเกรงใจบ้าง แต่ในตอนนี้ จุดมุ่งหมายเดียวของเขาคือการไปเหยียบกระบี่สำริดเขียวโบราณ เขาจึงรับทรัพยากรเหล่านั้นไว้ทั้งหมด และเดินหน้าเสริมพลังสมบัติเวทของตนต่อไป
เหลือเวลาอีกครึ่งเดือนเท่านั้นจึงจะครบสามเดือนที่ตั้งไว้ ตอนนี้วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายบนดาวพุธสร้างสำเร็จแล้ว สหพันธรัฐไม่ได้ประกาศเรื่องนี้ออกสู่สาธารณะ หากแต่ส่งข้อความแจ้งพันธุ์กล้าสหพันธรัฐเองทีละคน!
สหพันธรัฐไม่ได้บอกข้อมูลละเอียดนัก บอกเพียงว่าให้ทุกคนไปรวมตัวกันที่ดาวพุธในอีกครึ่งเดือนให้หลัง และปฏิบัติการพันธุ์กล้าสหพันธรัฐจะเริ่มในตอนนั้น!
เรื่องนี้สร้างความโกลาหลในหมู่พันธุ์กล้าสหพันธรัฐเป็นอย่างมาก แม้จะได้ยินมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ประกาศอย่างเป็นทางการก็ทำให้ทุกคนเริ่มนั่งไม่ติด นอกจากนี้ยังเป็นการยากที่จะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ ไม่นานนักข่าวก็ลอยไปเข้าหูสื่อหลายแขนง ทางสหพันธรัฐเองก็ไม่ได้ออกมาปฏิเสธอะไร ดังนั้นข่าวเกี่ยวกับปฏิบัติการพันธุ์กล้าจึงแพร่สะพัดไปทั่วอาณาจักร
หลายคนเริ่มสืบหาต้นตอ จนไปเจอเอกสารที่สหพันธรัฐเคยตีพิมพ์เรื่องปฏิบัติการดังกล่าว ปฏิบัติการนี้เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของแผนการทั้งหมด ทั้งหมดมีจุดหมายปลายทางเดียวกันคือ… การขึ้นไปยังกระบี่สำริดเขียวโบราณ!
ทั่วอาณาจักรตกอยู่ในความโกลาหลทันที ทุกคนในสหพันธรัฐต่างพากันถกเถียงเรื่องนี้อย่างหน้าดำหน้าแดง!
ตอนนั้นเองสหพันธรัฐก็แถลงข่าวอย่างเป็นทางการ!
“พันธุ์กล้าสหพันธรัฐทุกคนที่ไปรวมตัวกันบนดาวพุธ จะเป็นผู้ฝึกตนกลุ่มแรก ที่จะไปปฏิบัติภารกิจบนกระบี่สำริดเขียวโบราณ หลังจากนั้นเราจะมีการคัดเลือกและส่งพันธุ์กล้ากลุ่มที่สองตามขึ้นไป การคัดเลือกพันธุ์กล้าที่จะถูกส่งไปบนดวงอาทิตย์จะมีขึ้นปีละครั้ง สหพันธรัฐตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะส่งหนุ่มสาวมากความสามารถไปทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายบนกระบี่สำริดเขียวโบราณสามพันคนภายในสามสิบปี!”
บทที่ 492 เป้าหมายก็คือ ดาวพุธ!
โดย
Ink Stone_Fantasy
ทันทีที่สหพันธรัฐออกแถลงการณ์ ทั้งอาณาจักรก็ตกอยู่ในความวุ่นวายอีกครั้ง หนึ่งปีที่ผ่านมานี้เต็มไปด้วยเหตุการณ์มากมาย ทีแรกก็โศกนาฏกรรมบนดาวพุธ ต่อด้วยการปรากฏตัวของผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณคนแรกในสหพันธรัฐ แถลงการณ์เรื่องระเบิดต้านทานวิญญาณ การบรรลุขั้นปราณของหลี่ซิงเหวินและต้วนมู่ฉี และสุดท้ายก็คือ ปฏิบัติการพันธุ์กล้าสหพันธรัฐ ที่มาพร้อมแผนการไปเหยียบกระบี่สำริดเขียวโบราณ!
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นติดๆ กันทั้งหมดนี้ ทำให้แม้แต่คนที่เขลาที่สุดยังรู้ว่ากำลังจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น โดยอนุมานได้จากการร้อยเรียงเหตุการณ์ต่างๆ เข้าด้วยกัน
แต่มีอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ความจริงเบื้องลึก
หวังเป่าเล่อเป็นหนึ่งในนั้น ชายหนุ่มไม่ได้แปลกใจอะไรเมื่อทราบข่าว เพียงแค่คิดว่ามีเวลาเหลือไม่มากในการเตรียมตัวให้พร้อมเท่านั้น
อีกครึ่งเดือนเท่านั้น! ชายหนุ่มที่กำลังนั่งทำสมาธิอยู่ในห้องลับดูสงบนิ่ง ก่อนก้มลงมองผลลัพธ์ของความเพียรพยายามในสองเดือนที่ผ่านมา เบื้องหน้าเขามีสมบัติเวทเรียงอยู่มากมาย แต่ละชิ้นแผ่พลังกดดันรุนแรงเฉพาะตัวออกมา เรียงรายอยู่เบื้องหน้า หากคนอื่นมาเห็นสมบัติเวทที่มากมายก่ายเหล่านี้ คงตื่นตกใจเป็นแน่
นั่นเพราะสมบัติเวททุกชิ้นเบื้องหน้าหวังเป่าเล่อล้วนเป็นอาวุธเวท!
โดยมีอยู่สามชิ้นที่โดดเด่นกว่าใครเพื่อน พลังที่สมบัติเวททั้งสามชิ้นนั้นแผ่ออกมา ไม่ใช่พลังงานของอาวุธเวททั่วไปในสหพันธรัฐแต่ก็เทียบเท่ากับอาวุธเวท ทั้งสามชิ้นนั้นก็คือ กระบี่บินสามเล่มสามสี แถบผ้าสีชมพู และเกล็ดทั้งสาม!
พวกมันคือสมบัติเวทที่เขาได้มาจากผู้ฝึกตนต่างดาวทั้งสามคนนั่นเอง!
แถบผ้าและเกล็ดนั้นมีพลังเทียบเท่าอาวุธเวทระดับแปด ส่วนกระบี่บินสามเล่มสามสีของหัวหน้าผู้ฝึกตนจากนอกโลก… หวังเป่าเล่อคะเนว่า เมื่อนำกระบี่ทั้งสามมาประกอบเข้าด้วยกัน แม้กลิ่นไอของพลังจะไม่เหมือนอาวุธเวทระดับเก้า แต่ก็ถือเรียกได้ว่าเกินระดับแปดไปมากจนเทียบเท่าระดับเก้าเลยทีเดียว!
นอกจากนี้ยังมีโทรโข่งที่ยังเป็นอาวุธเวทระดับเจ็ด แต่หวังเป่าเล่อก็เสริมพลังมันอย่างต่อเนื่อง จนบัดนี้โทรโข่งได้กลายเป็นอาวุธเวทระดับเจ็ดที่แข็งแกร่งเหลือเชื่อ โทรโข่งนั้นส่องแสงสว่างวาบพร้อมอักขระลับที่แต่งแต้มอยู่บนพื้นผิว ทำให้ดูยอดเยี่ยมทรงพลังเหมือนขุมทรัพย์ก็ไม่ปาน
เชือกและผนึกยักษ์ก็ได้รับการเสริมพลังเช่นกัน หลังจากคิดอยู่เป็นเวลานาน หวังเป่าเล่อก็เลือกสองชิ้นนี้จากกองสมบัติเวททั้งหมดมาดัดแปลง
เชือกนี้เมื่อปาออกไป จะบินขึ้นท้องฟ้าหายไปในทันที ส่วนผนึกยักษ์ก็มีคุณสมบัติแปลกประหลาดไม่แพ้กัน เมื่อใช้ ผนึกยักษ์จะหายวับไปทันที ก่อนจะพุ่งลงมาด้วยแรงมหาศาล เมื่อพบว่าคู่ต่อสู้อยู่ในสภาพอ่อนแอ
แม้ทั้งสองสิ่งนี้จะเอาแน่เอานอนไม่ค่อยได้ แต่หวังเป่าเล่อก็รู้สึกว่าพวกมันอาจกลายเป็นสมบัติเวทที่ทรงพลังได้ เพราะแม้แต่เขาที่เป็นเจ้าของยังไม่เข้าใจว่ามันทำงานอย่างไร แล้วคู่ต่อสู้ของเขาจะไปล่วงรู้ได้อย่างไรเล่า
ไม่แน่ว่าเมื่อเวลามาถึง เจ้าสองอย่างนี้อาจมีประโยชน์มากก็เป็นได้… หวังเป่าเล่อถอนใจ หากเลือกได้เขาคงไม่เสริมพลังสมบัติเวททั้งสองชิ้นนี้ แต่ก่อนหน้านี้ขณะพยายามหลอม มีเพียงสองชิ้นนี้เท่านั้นที่เสริมพลังได้ง่ายกว่าใครเพื่อน ไม่เหมือนชิ้นอื่นที่ค่อนข้างยุ่งยากและใช้เวลานาน
โชคดีที่เมื่อสมบัติเวททั้งสองกลายเป็นอาวุธเวทแล้ว ลักษณะการใช้งานใหม่ก็ปรากฏขึ้น ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเหยื่อถูกมัดด้วยเชือกนี้ ไม่ใช่เพียงร่างกายเท่านั้นที่ขยับไม่ได้ แต่จะถูกกดพลังปราณเอาไว้ให้ใช้งานไม่ได้ด้วย พลังปราณของผู้ถูกมัดจะหายไปโดยสิ้นเชิง ทำให้กลายเป็นเพียงปุถุชนคนธรรมดา
ส่วนผนึกยักษ์นั้นก็เจ้าเล่ห์ขึ้นไปอีก หวังเป่าเล่อลองวิเคราะห์ดู และพบว่าผนึกนี้ทำงานตามกฎชุดหนึ่ง ที่แม้แต่เขาเองยังไม่เข้าใจ ดูเหมือนว่าใครก็ตามที่โดนผนึกยักษ์นี้โจมตี จะบาดเจ็บแสนสาหัสจนฟื้นตัวได้ยากยิ่ง
ชายหนุ่มถอนหายใจขณะมองเชือกและผนึกยักษ์ ความจริงแล้วเขาอยากเสริมพลังฝักกระบี่มากที่สุด แต่การจะทำเช่นนั้นได้ต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมหาศาล แม้หวังเป่าเล่อจะได้วัตถุดิบจากจินตั้วหมิงมาเป็นจำนวนมาก แต่ก็ยังไม่เพียงพอจึงทำไปได้เพียงร้อยละ 30 เท่านั้น
หวังเป่าเล่อคำนวณดูแล้วและพบว่า แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะหาวัตถุดิบจำนวนมากมายขนาดนั้นบนดาวอังคารมาเสริมพลังฝักกระบี่นี้ให้กลายเป็นอาวุธเวทได้
เห็นทีข้าต้องไปหาเอาบนกระบี่สำริดเขียวโบราณเสียแล้ว! หวังเป่าเล่อคำนวณเวลาที่ต้องใช้ในการสานต่อภารกิจ จากนั้นความมุ่งมั่นก็ฉายชัดขึ้นบนแววตา
เหลือเวลาอีกครึ่งเดือน… มาดูกันว่าข้าจะหลอมอาวุธเวทระดับแปดชิ้นใหม่ขึ้นภายในเวลาครึ่งเดือนที่เหลือได้หรือไม่! จากนั้นชายหนุ่มก็ถือสันโดษอีกครั้ง เขาสลับไปมาระหว่างการเข้าฌานเพื่อหาดวงจิตของเทพเจ้า และการหลอมอาวุธเวทระดับแปด
เวลาผ่านไปเช่นนี้ จนเหลืออีกเพียงสามวันก่อนที่พันธุ์กล้าทั้งหมดจะต้องไปรวมตัวกันบนดาวพุธ!
ระยะเวลาเดินทางจากดาวอังคารไปดาวพุธใช้เวลาสามวัน ซึ่งถือเป็นเวลาที่เร็วที่สุด โดยใช้เรือบินซึ่งทันสมัยสุดที่สหพันธรัฐมีในขณะนี้ ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงไม่มีทางเลือกนอกจากออกจากการถือสันโดษในที่สุด แต่เขาก็ยังพอใจกับผลงานที่ตนเองทำได้ในครึ่งเดือนที่ผ่านมา
ชายหนุ่มรู้ดีว่าเป็นการยากมากจนแทบเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะหลอมอาวุธเวทระดับแปดที่แท้จริงขึ้นมาได้ภายในเวลาครึ่งเดือน ดังนั้นภายในครึ่งเดือนนี้ เขาจึงไม่ได้พยายามหลอมอาวุธเวทระดับแปดที่สมบูรณ์แบบขึ้นมา แต่มุ่งมั่นสร้างอาวุธเวทระดับแปดชนิดที่ใช้ได้ครั้งเดียวต่างหาก
การหลอมอาวุธเวทชนิดใช้ได้ครั้งเดียวนั้นง่ายกว่าการหลอมอาวุธเวทที่แท้จริงมาก อุปสรรคเดียวคือการนำดวงจิตแห่งเทพเจ้ามาใส่ในอาวุธเวทนี้เท่านั้น ปัญหาของผู้เชี่ยวชาญคนอื่นคงเป็นเรื่องของดวงว่าจะเจอดวงจิตเทพเจ้าหรือไม่ แต่สำหรับหวังเป่าเล่อ การตามหาดวงจิตกลับเป็นเรื่องง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก ตอนนี้ชายหนุ่มจับดวงจิตที่มีอยู่บนดาวอังคารไปเกินครึ่งแล้ว
ด้วยเหตุนี้เขาจึงหลอมอาวุธเวทชนิดใช้ได้ครั้งเดียวสำเร็จ นอกจากนี้ยังสร้างวัตถุเวทประหลาด เช่น ระฆังยักษ์สูงสามเมตรได้ด้วย!
ระฆังนี้แข็งแรงมาก แม้จะใช้ได้เพียงครั้งเดียว แต่อำนาจของมันจะช่วยป้องกันตัวเขา โดยส่งพลังต้านรุนแรงออกไปให้คู่ต่อสู้เสียสมดุล และยังกดพลังปราณของคู่ต่อสู้ได้ด้วย
นอกจากนี้ยังมีสมบัติเวทที่หน้าตาเหมือนผลึกแก้ว ตอนแรกหวังเป่าเล่อตั้งใจจะหลอมผลึกแก้วที่ระเบิดตัวเองได้เหมือนกระบี่บินระเบิดตัวเอง แต่มันกลับยากเกินไป ชายหนุ่มทำพลาดอยู่หลายครั้ง ถึงกระนั้นสิ่งนี้ก็ยังมีดวงจิตของเทพเจ้าอยู่ด้านใน ทำให้ยังพอมีฤทธิ์เดชอยู่บ้าง
แต่ฤทธิ์ของมันไม่ใช่การระเบิดตัวเองแต่อย่างใด ผลึกแก้วนี้เมื่อใช้งานจะกลายเป็นของเหลวที่มีฤทธิ์ติดแน่นเหมือนกาวตราช้าง ชายหนุ่มยังไม่ได้ลองใช้ แต่จากการคะเนดูแล้ว น่าจะเป็นกาวที่ทรงพลังมากโขเลยทีเดียว!
ที่กล่าวมานี้ยังเป็นส่วนน้อยของสมบัติเวททั้งหมดที่หวังเป่าเล่อมี มีหลายชิ้นที่ดูแปลกประหลาดไม่เหมือนใคร แต่น่าเสียดายที่พวกมันเป็นสมบัติเวทซึ่งใช้ได้เพียงครั้งเดียว แต่กระนั้นก็น่าจะทำให้คู่ต่อสู้ตกใจกลัวได้อยู่ดี ส่วนความทรงพลังของสมบัติเวทแต่ละชิ้นนั้นก็ขึ้นอยู่กับวิธีใช้ในสถานการณ์จริง
ช่างมันเถิด ก็เอาตามนี้ละ… หวังเป่าเล่อไม่ได้รู้สึกพอใจหรือผิดหวังกับผลงานของตน เขาเก็บอาวุธเวทกลับเข้าที่ แต่ก่อนจะออกจากการถือสันโดษ เขาก็ถอดจิตเข้าฌานเป็นครั้งสุดท้าย โดยใช้แก่นในแห่งความมืดและศาสตร์แห่งความมืดเพื่อพลิกแผ่นดินดาวอังคารหาดวงจิต และใช้เปลวไฟสีดำในกายจับดวงจิตที่พบเจอ
เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการ เขาก็รู้สึกเสียดายเล็กน้อย ชายหนุ่มเข้าฌานหลายต่อหลายครั้งตลอดสามเดือนที่ผ่านมา ด้วยหวังว่าจะเจอดวงจิตที่หน้าตาเหมือนดวงอาทิตย์ ซึ่งเคยเจอบนดาวอังคารก่อนหน้านี้
แต่ดูเหมือนว่าดวงจิตนั้นจะรู้สึกได้ถึงอันตรายที่คืบเข้ามาใกล้และหนีไปซ่อน เขามีเวลาจำกัด จึงหามันไม่เจอแม้จะพยายามอยู่หลายครั้ง บัดนี้หมดเวลาเสียแล้ว เขาจำต้องจากไปโดยยังไม่ทันได้หาเจอ ชายหนุ่มนึกเย้ยอยู่ในใจ
ช่างหัวมันปะไร ถือว่าเจ้าโชคร้ายเองที่ไม่ได้มาเป็นดวงจิตของชายหนุ่มรูปงามอย่างข้า เจ้าต่างหากที่ขาดทุน หวังเป่าเล่อส่ายหน้า ก่อนจะออกจากฌานพร้อมดวงจิตแห่งเทพเจ้าอีกเป็นกระบุง เขาออกจากการถือสันโดษในที่สุด
หวังเป่าเล่อไม่รีรอให้เสียเวลาอีกต่อไป เขารีบเรียกจินตั้วหมิงและคนอื่นๆ เข้าพบเพื่ออธิบายสถานการณ์ ก่อนจะสั่งการบางเรื่อง และทำสิ่งที่ตนเองแทบทำใจรับไม่ไหว คือการยกมือคารวะบอกลาทุกคน
“ข้าขอฝากเขตนครพิเศษดาวอังคารไว้ในมือพวกเจ้าทุกคนด้วย!” หวังเป่าเล่อมองใบหน้าของผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคน เขารู้สึกเสียดายที่หลี่หว่านเอ๋อร์ยังถือสันโดษอยู่จึงไม่ได้บอกลานาง แต่ชายหนุ่มไม่ได้เป็นหน้าใหม่ เหมือนครั้งที่เพิ่งเดินทางจากโลกมายังดาวอังคารอีกแล้ว แม้จะถูกอารมณ์มากมายถาโถมเข้าใส่ แต่เขาก็รู้ดีว่าสำหรับผู้ฝึกตนทุกคนในยุคกำเนิดวิญญาณแล้ว การจากลาเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้
ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงรีบเรียกสติตนเองกลับมา เขาสูดหายใจเข้าลึก ก่อนหันหลังกลับเพื่อเดินเข้ายานที่จะมุ่งหน้าไปยังดาวพุธ
กงเต๋าก็ไปกับหวังเป่าเล่อด้วยเช่นกัน ส่วนจินตั้วหมิง หลินเทียนหาว และคนอื่นๆ นั้นไม่ได้เป็นพันธุ์กล้าสหพันธรัฐ จึงไม่ได้เข้าร่วมปฏิบัติการในครั้งนี้ ทุกคนส่งหวังเป่าเล่อและกงเต๋าจากไปในเรือบิน ที่พุ่งทะยานขึ้นไปบนฟากฟ้า ก่อนค่อยๆ หายลับไปในความมืดอันไกลโพ้น
ทุกคนมีความคิดมากมายอยู่ในใจขณะมองภาพนั้น ไม่มีใครรู้ว่าจะได้เจอหวังเป่าเล่ออีกครั้งเมื่อใด
หลินเทียนหาวและจินตั้วหมิงรู้สึกอาลัยอาวรณ์มากล้น แต่โชคดีที่หวังเป่าเล่อวางรากฐานในเขตนครพิเศษไว้อย่างดีเยี่ยม และยังมีกำลังเสริมจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังทรงอำนาจขึ้น แม้หวังเป่าเล่อจะไม่อยู่ประจำการ ทุกอย่างก็คงเป็นไปอย่างราบรื่นดี ตราบใดที่เขาไม่หายตัวไปนานเกินไป
เรือบินของหวังเป่าเล่อและกงเต๋าหลุดออกจากแรงดึงดูดของดาวอังคาร พุ่งตรงไปสู่ดาวพุธ ท่ามกลางความเวิ้งว้างอันไกลโพ้น!
บทที่ 493 เปิดฉาก!
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในเวลาเดียวกันนั้น เรือบินอีกหลายลำก็กำลังท่องอวกาศด้วยความเร็วสูง พุ่งผ่านระบบสุริยะเพื่อมุ่งหน้าไปยังดาวพุธเช่นกัน!
เรือบินเหล่านั้นมีผู้ฝึกตนหัวกะทิจากหลายภาคส่วนของสหพันธรัฐที่ผ่านการคัดเลือกเป็นพันธุ์กล้าเมื่อหลายปีก่อน คนที่ปราณต่ำที่สุดอยู่ที่ขั้นรากฐานตั้งมั่น หากไม่นับหวังเป่าเล่อ ขั้นปราณที่สูงที่สุดคือขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นสมบูรณ์
หวังเป่าเล่อเป็นคนเดียวที่มีปราณขั้นกำเนิดแก่นใน!
อาจพูดได้ว่าหวังเป่าเล่อเป็นผู้นำของกลุ่มพันธุ์กล้า ทั้งในด้านขั้นปราณและยศถาบรรดาศักดิ์ ความก้าวหน้าที่ไปไกลเกินเพื่อนของหวังเป่าเล่อ ทำให้พันธุ์กล้าทุกคนแปลกใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายแต่อย่างใด จากสิ่งที่พวกเขาจำได้ขณะฝึกวิชาเพื่อรับตำแหน่งพันธุ์กล้า พฤติกรรมของหวังเป่าเล่อนั้นทั้งน่ารำคาญและน่ารังเกียจ แต่ความสามารถของชายผู้นี้ก็เป็นที่ประจักษ์ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาก้าวมาอยู่จุดนี้ได้
แม้ไม่อยากยอมรับ แต่พวกเขาทุกคนก็รู้ดีว่าหวังเป่าเล่อแข็งแกร่งเพียงใด โดยเฉพาะหลี่อี้ที่หัวเสียเป็นอย่างมาก จนปฏิญาณกับตนเองเอาไว้ว่าจะแซงหน้าหวังเป่าเล่อให้ได้ขณะอยู่บนกระบี่สำริดเขียวโบราณ
สามวันต่อมา หวังเป่าเล่อและกงเต๋าก็เดินทางมาถึงดาวพุธในที่สุด ทั้งสองมองพื้นดินกว้างใหญ่แห้งแล้ง และวงแหวนปราณขนาดมหึมาที่อยู่ไกลๆ
วงแหวนปราณนั้นกว้างสามร้อยกิโลเมตร และมีหน้าตาเหมือนภูเขาผลึกแก้วที่ผุดออกจากผืนดิน ภายในวงแหวนปราณมีเสาค้ำยันต้นหนาหลายร้อยต้น เสาแต่ละต้นมีอักขระโบราณจำนวนมากสลักอยู่ มันส่งแรงกดดันมหาศาลออกจากวงแหวนปราณ แผ่ไปทั่วชั้นบรรยากาศของดาวพุธ
งานก่อสร้างอีกงานหนึ่งเริ่มขึ้นเค้าโครงให้เห็นบนพื้นผิวของดาวพุธเช่นกัน โครงสร้างหลากหลายรูปแบบที่ดูพิเศษล้อมรอบวงแหวนปราณไว้ โครงสร้างเหล่านี้ไม่ได้มีไว้ให้ผู้คนพักอาศัย แต่เหมือนโครงสร้างของวงแหวนปราณอีกชิ้นหนึ่งมากกว่า!
เมื่อหวังเป่าเล่อออกจากยานและเหยียบเท้าลงบนพื้นผิวของดาวพุธ ชายหนุ่มก็รู้สึกได้รางๆ ว่ามีบางสิ่งเคลื่อนที่อยู่ใต้ดิน…
ภาพโครงสร้างแปลกประหลาดที่เห็นทำให้ชายหนุ่มและกงเต๋าหันมามองหน้ากัน ก่อนที่กงเต๋าจะพูดเสียงเบา
“นี่เป็นสัญญาณว่ากองทัพล้อมที่แห่งนี้เอาไว้แล้ว อีกทั้งโครงสร้างนอกวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายก็ดูคุ้นอย่างประหลาด น่าจะเป็นวงแหวนปราณที่กองทัพสร้างขึ้นกระมัง…”
หวังเป่าเล่อดูเหมือนจะคิดบางสิ่งอยู่ เขาก้มศีรษะลงมองพื้นและพูดเสียงเบาเช่นกัน
“ข้าเคยไปเยี่ยมศูนย์วิจัยระเบิดต้านทานวิญญาณมาครั้งหนึ่ง ความเคลื่อนไหวใต้ผืนดินนี้เหมือนที่นั่นไม่มีผิด หากข้าคาดการณ์ไม่ผิด คงมีศูนย์วิจัยแห่งใหม่อยู่ใต้ดินนี้แน่ ไม่ใช่สิ อาจไม่ถูกนักหากจะเรียกว่าศูนย์วิจัย… น่าจะเป็นระเบิดต้านทานวิญญาณจำนวนไม่น่อยที่ฝังอยู่ใต้ดินมากกว่า!”
กงเต๋าสูดหายใจเข้าลึกเมื่อได้ฟัง ทั้งสองรู้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นผลมาจากความระมัดระวังและการเตรียมการของสหพันธรัฐ พวกเขาเตรียมตัวเพื่อป้องกันเหตุหายนะที่อาจเกิดขึ้นจากการเคลื่อนย้ายผู้คนทั้งสองทาง หลังจากที่วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายเปิดใช้งานแล้ว
หากมีอะไรเกิดขึ้น วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายทั้งหมดจะถูกทำลายลงราบเป็นหน้ากองด้วยระเบิดในทันที!
สิ่งที่พวกเขาเห็นน่าจะเป็นเพียงส่วนเดียวของการเตรียมการทั้งหมดด้วยซ้ำ สหพันธรัฐคงมีสิ่งอื่นที่เตรียมพร้อมไว้รับมือเหตุร้ายอีก หากเกิดอะไรขึ้นบนกระบี่สำริดเขียวโบราณ ก็มีความเป็นไปได้ว่าดาวพุธจะแหลกสลายกลายเป็นธุลีอวกาศ
อย่างไรเสียชิ้นส่วนต้นกำเนิดดวงดาวที่ถูกปล้นไปก็ทำให้สภาพของดาวพุธย่ำแย่ลงมาก!
ทั้งหวังเป่าเล่อและกงเต๋ามีสีหน้าเคร่งขรึมในทันที จากนั้นทั้งสองก็เดินตามเจ้าพนักงานที่นำทางไปยังที่พักอย่างรวดเร็ว และได้รับทราบว่ายังมีหลายคนที่เดินทางมาไม่ถึง ช่วงเวลาที่วงแหวนปราณจะเปิดใช้งานคือย่ำรุ่งของสองวันถัดจากนี้!
พันธุ์กล้าที่มาถึงแล้วนั้นสามารถเดินชมบริเวณได้ตามอัธยาศัย ตราบใดที่ไม่ออกไปนอกอาณาเขต อย่างไรเสียความสามารถและสถานะของพวกเขาก็ไม่ธรรมดา นอกจากนี้ภารกิจนี้ก็อันตรายกว่าปกติ ดังนั้นสหพันธรัฐจึงไม่ได้เข้มงวดกับพวกเขามากนัก
ดังนั้นเมื่อไปถึง สิ่งแรกที่หวังเป่าเล่อทำคือการตามหาจั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิง พร้อมกันกับกงเต๋า เนื่องจากทั้งสองมาถึงก่อนหวังเป่าเล่อ ทันทีที่พบกันหวังเป่าเล่อก็เข้าไปกอดจั่วอี้ฟานเสียแน่น ก่อนตบหลังสหายรักอย่างหนักหน่วง ดวงตาของชายหนุ่มเป็นประกายขึ้นเมื่อเห็นเจ้าเยี่ยเหมิง
เจ้าเยี่ยเหมิงอยู่ในชุดเครื่องแบบรัดรูป ทำให้นางดูมาดดีและมีเสน่ห์ยิ่งขึ้นกว่าเดิมเสียอีก หากพูดถึงเรื่องของรูปลักษณ์แล้ว ทั้งหลี่หว่านเอ๋อร์และโจวเสี่ยวหยาสู้เจ้าเยี่ยเหมิงไม่ได้อย่างแน่นอน เจ้าเยี่ยเหมิงคือคนที่มีรูปร่างหน้าตาสมบูรณ์แบบที่สุดในบรรดาผู้คนที่หวังเป่าเล่อเคยพบเจอมาในชีวิตนี้
ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงกระแอมกระไอก่อนอ้าแขนออกกว้าง
“ไม่ได้เจอกันเสียนานเลยนะเยี่ยเหมิง ข้าคิดถึงเจ้านะ!” หวังเป่าเล่อเดินเข้าไปเพื่อจะกอดเจ้าเยี่ยเหมิง เหมือนหมียักษ์ตะครุบเหยื่อ
เจ้าเยี่ยเหมิงเลิกคิ้วขึ้น นางไม่ยอมให้หวังเป่าเล่อกอดเหมือนสมัยก่อน แต่กลับถอยหลังไปสองสามก้าวเพื่อหลบเลี่ยง ก่อนมองหวังเป่าเล่อและหัวเราะออกมา
ชายหนุ่มที่กำลังทำท่าหมียักษ์ ตกใจที่เจ้าเยี่ยเหมิงไม่ยอมให้ตนเองกอดเหมือนเดิมอีกต่อไป เขากำลังจะเอ่ยปากถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อเห็นสีหน้าบอกบุญไม่รับของเจ้าเยี่ยเหมิง ก็รู้สึกได้ว่าตัวเองไม่ควรเอ่ยปากอะไร เขาจึงลากกงเต๋ามาข้างกายแทน
“ในฐานะประธานของสมาคมคนหน้าตาดีขั้นเทพ ข้าขอประกาศว่าเราจะมีสมาชิกใหม่มาเพิ่มเติมในทำเนียบรุ่นแรกของพวกเรา ทุกคนโปรดให้การตอนรับเขาด้วย!” หวังเป่าเล่อตบบ่ากงเต๋าและยิ้มขณะเอื้อนเอ่ย
จั่วอี้ฟานรู้จักกงเต๋าอยู่แล้ว เนื่องจากกงเต๋าเคยมาช่วยเขาเมื่อครั้งโดนจองจำอยู่ในบ้านตระกูลจั่ว ชายหนุ่มจึงยิ้มให้สหายใหม่ ส่วนเจ้าเยี่ยเหมิงก็ยังคงสง่างามเสมอต้นเสมอปลาย นางพยักหน้าให้กงเต๋าเพื่อแสดงความยินดี
กงเต๋างงที่จู่ๆ ตนก็กลายเป็นหนึ่งในสมาคมคนหน้าตาดีขั้นเทพ กระนั้นเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธข้อเสนอนี้แต่อย่างใด อย่างไรเสียชายหนุ่มก็รู้จักหวังเป่าเล่อมานาน จนคุ้นเคยและยอมรับนิสัยของอีกฝ่ายได้แล้ว แรงอาฆาตที่เคยมีให้กันก่อนหน้านี้หายไปจากความทรงจำจนหมดสิ้น
ทั้งสี่พูดคุยกันเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ตนเองรู้เกี่ยวกับปฏิบัติการพันธุ์กล้าสหพันธรัฐ ไม่นานนักรัตติกาลก็มาเยือน ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าจะนั่งสมาธิด้วยกันอยู่ในห้องของจั่วอี้ฟาน
ขณะทำสมาธิ หวังเป่าเล่อคิดถึงท่าทีที่เปลี่ยนไปของเจ้าเยี่ยเหมิง เขาคิดเหตุผลที่น่าจะเป็นไปได้ออกสองสามเรื่อง แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องไหนกันแน่ สุดท้ายจึงถอนหายใจและล้มเลิกความคิดที่จะหาเหตุผลด้วยตนเอง
คืนนั้นผ่านไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นเป็นพิเศษ ย่ำรุ่งของเช้าวันที่สองมาถึงในที่สุด เสียงของต้วนมู่ฉีดังก้องไปทั่วดาว ทุกคนรีบรุดออกจากที่พักเพื่อรวมตัวกันอยู่ข้างวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย!
นอกจากเจ้าพนักงานมากมายแล้ว ยังมีผู้ฝึกตนสามคนที่ปล่อยพลังปราณแรงกล้าออกมา พลังนั้นเข้าปกคลุมทั่วบริเวณ สร้างแรงกดดันมหาศาลให้ทุกคนในที่แห่งนั้น!
หวังเป่าเล่อคุ้นเคยกับสองในสามคนนั้น คนหนึ่งคือประธานสหพันธรัฐ ต้วนมู่ฉี ส่วนอีกคนคือผู้อาวุโสสูงสุด หลี่ซิงเหวิน!
ส่วนคนที่สามคือผู้เฒ่าในชุดคลุมเต๋าแบบโบราณ ชายผู้นี้มีนามว่าโมเกาจื่อ ผู้ที่มาจากกระบี่สำริดเขียวโบราณ!
พลังปราณขั้นสูงที่ทั้งสามปล่อยออกมานั้น ทำให้หวังเป่าเล่อและคนอื่นๆ หายใจรัวเร็ว นอกจากนี้ชายหนุ่มยังรู้สึกได้ถึงพลังปราณขั้นกำเนิดแก่นในที่โอบล้อมพวกเขาไว้ อันเป็นสัญญาณว่าผู้ฝึกตนระดับสูงของสหพันธรัฐหลายคนมาประจำการในภารกิจนี้ เพื่อป้องกันเหตุร้ายที่อาจเกิดขึ้นจากการเปิดวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย
สถานการณ์จริงจังเคร่งเครียดนี้ทำให้ไม่มีใครกล้าพูดคุยเล่นกัน ทุกคนตกอยู่ในความเงียบทันทีที่มาถึง
“พวกเจ้าจงขึ้นไปยืนบนเสาในวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย!” ต้วนมู่ฉีออกคำสั่งท่ามกลางความเงียบงัน เสียงของเขาทรงอำนาจเหมือนสายฟ้าดังก้องไปทั่วบริเวณ หวังเป่าเล่อหรี่ตา ก่อนขึ้นไปยืนบนเสาเป็นคนแรก
เหล่าพันธุ์กล้าคนอื่นๆ ก้าวตามเขาไปทีละคนด้วยท่าทีกระวนกระวาย เมื่อทุกคนยืนอยู่บนเสาเรียบร้อย ก็ต่างใช้โอกาสนี้มองหน้ากัน ทุกคนรู้จักกันดีเพราะเคยเจอกันมาแล้วเมื่อหลายปีก่อน
เมื่อพันธุ์กล้าทุกคนยืนอยู่บนเสาอย่างมั่นคงแล้ว แววตาของต้วนมู่ฉีก็เป็นประกายวาบ เขากวาดตามองทุกคนก่อนจะหยุดที่หวังเป่าเล่อชั่วขณะหนึ่ง ประธานสหพันธรัฐประกาศอีกครั้ง
“พวกเจ้าทุกคนคงได้รับข้อมูลเกี่ยวกับปฏิบัติการนี้มาบ้าง ข้าจะไม่ขอพูดซ้ำ แต่จะบอกพวกเจ้าถึงสิ่งที่สหพันธรัฐรู้เกี่ยวกับอารยธรรมบนกระบี่โบราณแทน พวกเจ้าจงตั้งใจฟังให้ดี เนื่องจากข้อมูลเหล่านี้อาจชี้เป็นชี้ตายชีวิตของพวกเจ้าบนดวงอาทิตย์ก็เป็นได้!” ต้วนมู่ฉีคารวะโมเกาจื่อที่ยืนอยู่ข้างกาย ชายชรายิ้มก่อนจะพยักหน้าตอบรับ เพื่อเป็นการอนุญาตให้ต้วนมู่ฉีเปิดเผยข้อมูลนั้นได้
“กระบี่สำริดเขียวโบราณมีสามชิ้นส่วนด้วยกัน ชิ้นแรกคือบริเวณด้ามจับซึ่งได้รับความเสียหายมากที่สุด ชิ้นส่วนที่กระจายไปทั่วระบบสุริยะส่วนใหญ่มาจากด้ามจับนั้น!
“ส่วนที่สองคือตัวกระบี่ที่ปักเข้าไปในดวงอาทิตย์ ถือเป็นชิ้นส่วนที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และถูกกัดกร่อนโดยความร้อนจากดวงอาทิตย์ ส่วนที่เป็นตัวกระบี่นี้อันตรายที่สุด!
“ส่วนชิ้นที่สาม… คือปลายกระบี่!
“ปลายกระบี่โผล่พ้นดวงอาทิตย์ออกมา และดูเหมือนว่าจะแตกกระจายออกมาเช่นกัน จึงเข้าไปใกล้ส่วนนี้ได้ยาก นอกจากนี้ตัวกระบี่เองก็ปักเข้าไปในดวงอาทิตย์ ทำให้ยากที่จะเข้าไปได้ ดังนั้น ส่วนที่พวกเจ้าจะไปประจำการคือส่วนด้ามจับ!
“แม้ส่วนนี้จะได้รับความเสียหายหนัก แต่กระบี่สำริดโบราณก็มีขนาดใหญ่มหาศาล จึงมีหลายส่วนที่อยู่อาศัยได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังถือเป็นส่วนที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับอยู่อาศัยด้วย!”
บทที่ 494 อ่อนแอถึงเพียงนั้น
โดย
Ink Stone_Fantasy
หวังเป่าเล่อและคนอื่นๆ ตั้งใจฟังต้วนมู่ฉีอย่างเคร่งเครียด ทุกคนรู้ดีว่าข้อมูลที่กำลังจะได้รับ จะทำให้ชีวิตของพวกเขาบนกระบี่สำริดเขียวโบราณสะดวกสบายยิ่งขึ้น
เมื่อเห็นว่าเหล่าพันธุ์กล้าตั้งใจฟังเป็นอย่างมาก ต้วนมู่ฉีก็เงียบลงหลังจากที่อธิบายโครงสร้างของกระบี่สำริดเขียวโบราณเรียบร้อย เขามองหลี่ซิงเหวินที่พยักหน้าตอบรับ เพื่อทำหน้าที่แนะนำสำนักที่อาศัยอยู่บนกระบี่สำริดโบราณต่อ
“บนกระบี่สำริดเขียวโบราณนั้น มีสำนักที่มีพลังปราณก้าวล้ำหน้าสหพันธรัฐไปมาก นามของสำนักนั้นคือ… สำนักวังเต๋าไพศาล!
“สำนักวังเต๋าไพศาลมีผู้ปกครองอยู่สามคนด้วยกัน ขั้นปราณของทั้งสามแซงหน้าขั้นจุติวิญญาณไปแล้ว โดยอยู่ที่ขั้นเชื่อมวิญญาณ นอกจากนี้ยังมีผู้ฝึกตนที่มีปราณขั้นจุติวิญญาณอยู่หลายสิบคน และผู้ฝึกตนที่มีปราณขั้นกำเนิดแก่นในอยู่มากมายนับไม่ถ้วน!”
เมื่อได้ยินที่หลี่ซิงเหวินพูด จั่วอี้ฟาน เจ้าเยี่ยเหมิง กงเต๋า และคนอื่นๆ ก็ตกใจเป็นอันมาก หลี่อี้และผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ในกลุ่มพันธุ์กล้าสหพันธรัฐต่างตกใจไม่แพ้กันจนเบิกตากว้าง ความรู้สึกมากมายถาโถมเข้าใส่พวกเขา ด้านหนึ่งชื่อของปราณขั้นเชื่อมวิญญาณทำให้พวกเขารู้ว่ามีขั้นที่สูงไปกว่าขั้นจุติวิญญาณ และอีกด้านหนึ่ง จำนวนผู้ที่มีปราณขั้นจุติวิญญาณในสำนักวังเต๋าไพศาลนั้นทำให้พวกเขาตื่นตกใจมาก
สำหรับพันธุ์กล้าเหล่านี้ สำนักวังเต๋าไพศาลฟังดูยิ่งใหญ่แข็งแกร่งเหลือกัน จนสามารถบดขยี้สหพันธรัฐให้แหลกเป็นผุยผงได้อย่างง่ายดาย และความจริงที่ว่าสถานที่แห่งนี้คือที่ที่พวกเขากำลังจะไปเยือน ก็ทำให้ทุกคนตระหนกเป็นอันมาก
มีเพียงหวังเป่าเล่อคนเดียวที่ไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น เขากระพริบตาปริบๆ หลายครั้ง ก่อนจะเบ้ปากลงด้วยความประหลาดใจในทางตรงกันข้าม เขาไม่ได้มองสำนักวังเต๋าไพศาลว่าแข็งแกร่ง หากแต่คิดว่าเป็นสำนักที่อ่อนแอมากต่างหาก…
มีผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณอยู่เพียงสามคนเองหรือ ถ้าเช่นนั้นก็ยังถือว่าเป็นสำนักขนาดเล็ก แต่หากเป็นสำนักเล็ก เหตุใดจึงยึดครองกระบี่โบราณ และนำพาระบบสุริยะให้เข้าสู่ยุคกำเนิดวิญญาณได้เล่า หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน เขาทนรอไม่ไหวจึงกระซิบถามแม่นางน้อยในใจถึงเรื่องดังกล่าว
“แม่นางน้อย เจ้ามาจากสำนักวังเต๋าไพศาลใช่หรือไม่ สำนักของเจ้ามีฤทธิ์เพียงเท่านี้เองหรือ”
แม่นางน้อยที่ไม่ยอมพูดคุยกับหวังเป่าเล่อตั้งแต่ที่เขาได้วัตถุเวทแห่งความมืดมาครอบครอง ก็กลับมาพุดคุยกับเขาในที่สุด เสียงของนางดูสับสนงุนงง นางตอบคำถามอยู่ในใจของหวังเป่าเล่อ
“มีบางสิ่งไม่ชอบมาพากล จากที่ข้าจำได้สำนักของข้านั้นมีผู้นำผู้ฝึกตนระดับดาราจักรอยู่หลายคน นอกจากนี้ยังมีผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์และระดับดาวนพเคราะห์อยู่มากมายนับไม่ถ้วน… นอกจากนี้ผู้ที่จะเข้าเป็นศิษย์สืบทอดของสำนักวังเต๋าไพศาลได้ ต้องบรรลุขั้นจิตวิญญาณอมตะเป็นอย่างต่ำ!
“ส่วนผู้มีปราณขั้นเชื่อมวิญญาณนั้น… จากที่ข้าจำได้ เป็นเพียงศิษย์สำนักในธรรมดาทั่วไปเท่านั้น…”
แม่นางน้อยดูเคลือบแคลงใจเป็นอันมาก หลังจากเงียบอยู่เป็นเวลานาน เสียงของนางก็ดังก้องในใจหวังเป่าเล่ออีกครั้ง
“ข้าจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อได้สัมผัสด้วยตนเอง เมื่อไปถึงที่…”
หวังเป่าเล่อประหลาดใจเมื่อได้ยินคำตอบของแม่นางน้อย ก่อนหน้านี้เขาเข้าใจว่าสำนักวังเต๋าไพศาลเป็นสำนักที่อ่อนแอ แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่แม่นางน้อยอธิบาย เขาก็อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึก ในความเป็นจริง หลังจากที่ไปเยือนดวงดาวแห่งความมืด เขาก็เข้าใจลำดับขั้นของปราณทั้งหมดอย่างถ่องแท้ เขารู้ดีว่าผู้นำที่มีปราณขั้นดาราจักรนั้นแข็งแกร่งเพียงใด
จากบันทึกของสำนักแห่งความมืด ผู้ฝึกตนชั้นสูงถึงเพียงนั้นมีพลังอำนาจมากพอจะทำลายดาราจักรให้ราบเป็นหน้ากลองได้ ดาราจักรนั้นกว้างใหญ่ไพศาลจนบรรจุดาวเคราะห์นับไม่ถ้วนไว้ภายใน เพียงเท่านี้ก็คงเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าผู้นำที่มีปราณขั้นดาราจักรนั้นทรงพลังจนน่าหวั่นกลัวเพียงใด
หากมีผู้นำชั้นสูงถึงเพียงนั้นอยู่บนกระบี่สำริดเขียวโบราณ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีผู้ฝึกตนที่มีปราณขั้นดารานิรันดร์และดาวนพเคราะห์ หวังเป่าเล่อตกใจกับคำอธิบายนี้มาก เขารู้สึกยำเกรงความยิ่งใหญ่ทรงอำนาจของกระบี่สำริดโบราณขึ้นมาทันที
ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังตกใจอยู่นั้น หลี่ซิงเหวินก็อธิบายข้อมูลที่สหพันธรัฐทราบให้พันธุ์กล้าฟังต่อไป
“ที่ตั้งของสำนักวังเต๋าไพศาลอยู่ที่เขตแรกของกระบี่ อันเป็นส่วนที่อยู่ใกล้ด้ามจับมากที่สุด จากที่เราทราบ ผู้นำทั้งสามของสำนักวังเต๋าไพศาลนั้นคือ ศิษย์พี่เฟิ่งชิวหรัน ศิษย์พี่เมี่ยเลี่ยจื่อ และศิษย์พี่โยวหรัน จากทั้งสามท่านนี้ ศิษย์พี่เฟิ่งชิวหรันคือผู้ที่ต้องการร่วมมือกับสหพันธรัฐเพื่อพัฒนาไปด้วยกันในฐานะบ้านพี่เมืองน้อง!”
“ส่วนศิษย์พี่เมี่ยเลี่ยจื่อนั้นไม่เห็นด้วยกับภารกิจนี้ และศิษย์พี่โยวหรันไม่ได้มีความสนใจเรื่องทางโลก เพียงแต่มุ่งมั่นกับการบรรลุธรรมแห่งเต๋าเท่านั้น” หลี่ซิงเหวินพูดอย่างตรงไปตรงมา แม้โมเกาจื่อจะยืนอยู่ตรงนั้นด้วยก็ตาม ตัวโมเกาจื่อเองก็ดูเห็นด้วยกับสิ่งที่หลี่ซิงเหวินพูด
ดวงตาของพันธุ์กล้าสหพันธรัฐทุกคนเป็นประกาย ทุกคนกำลังตกอยู่ในห้วงความคิด ตอนที่พวกเขามาเหยียบยังดาวพุธแห่งนี้ ทุกคนรู้มาบ้างว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นบนกระบี่สำริดเขียวโบราณ ตอนนี้เมื่อได้รับข้อมูลเพิ่มเติมจากหลี่ซิงเหวิน พวกเขาก็อนุมานได้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่
หวังเป่าเล่อเองก็เข้าใจเช่นกัน เขารู้ในทันทีว่าเฟิ่งชิวหรันมีอุปนิสัยอ่อนโยน และโมเกาเจื่อที่ยืนอยู่ข้างๆ ต้วนมู่ฉีคือคนที่เฟิ่งชิวหรันส่งมา ส่วนเมี่ยเลี่ยจื่อชมชอบความคิดที่จะยึดครองและกดขี่สหพันธรัฐให้เป็นทาสอาณานิคมมากว่า
นี่แปลว่าการไปเยือนครั้งนี้ คือการเชื่อมสัมพันธภาพครั้งแรกกับฝ่ายที่เป็นมิตร… หวังเป่าเล่อหรี่ตาให้กับความคิดนี้ ส่วนต้วนมู่ฉีกระแอมกระไอเบาๆ ก่อนเริ่มบรรยายต่อจากหลี่ซิงเหวิน
“พวกเจ้ารู้สิ่งที่ควรรู้แล้ว ส่วนรายละเอียดต่อจากนี้นั้นพวกเจ้าต้องไปหากันเอาเองเมื่อเดินทางไปถึงสำนักวังเต๋าไพศาล พูดง่ายๆ ก็คือ พวกเจ้าคือคนที่สหพันธรัฐส่งไปประจำที่สำนักวังเต๋าไพศาลเพื่อฝึกวิชา ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะมีอนาคตที่สดใสที่นั่น!”
ต้วนมู่ฉีพูดต่อ สีหน้าเคร่งขรึมจริงจังขึ้น เสียงทุ้มต่ำของเขากระจายไปทั่วบริเวณ
“ทว่า… พวกเจ้าอย่าลืมภารกิจตน แม้ศิษย์พี่โมเกาจื่อจะอยู่ตรงนี้ แต่ข้าขอกำชับอีกครั้งว่าพวกเจ้ามีสองภารกิจที่ต้องทำ!”
“ภารกิจแรกคือ พวกเจ้าต้องเข้าไปในสำนักวังเต๋าไพศาลตามการจัดการของศิษย์พี่เฟิ่งชิวหรัน และช่วยเหลือท่านให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้… ประการที่สอง พวกเจ้าจะต้องรวบรวมกระบวนเวทมาให้ได้มากที่สุด และส่งกระบวนเวทนั้นกลับมาให้สหพันธรัฐโดยใช้วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายนี้!” เมื่อพูดจบ ต้วนมู่ฉีก็หันไปทำมือคารวะโมเกาจื่อ
โมเกาจื่อที่มีสีหน้าเรียบเฉยมาตลอดกลับหัวเราะออกมา และหันกลับไปทำมือคารวะต้วนมู่ฉีคืน เพื่อแสดงว่าตนเข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อ เขาไม่ได้พูดอะไร แต่ก็มีหลายความคิดที่แวบเข้ามาในหัวเช่นกัน เขาติดต่อพูดคุยกับสหพันธรัฐอยู่บ่อยครั้ง จนอาจพูดได้ว่าอารยธรรมการฝึกตนบนโลกนั้นขับเคลื่อนโดยโมเกาจื่อคนนี้
หลายสิบปีที่ผ่านมานี้ ชายชราเฝ้ามองความก้าวหน้าด้านการฝึกปราณที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วบนโลก จนมีผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณเช่นเดียวกับเขากำเนิดขึ้น โมเกาจื่อประหลาดใจกับพัฒนาการนี้มาก ก่อนหน้านี้เขามาถึงโลกเพราะมีภารกิจที่ต้องปฏิบัติ แต่ไม่ได้คาดคิดเลยว่าภายในเวลาไม่กี่สิบปี การฝึกปราณของโลกจะเดินหน้ามาถึงระดับนี้ได้
นี่เป็นเรื่องหายากยิ่งในประวัติศาสตร์ และอาจแปลได้ว่าโลกเป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การฝึกตน มากกว่าสถานที่ที่เผ่าไพศาลอาศัยอยู่!
โดยเฉพาะถ้าดูในแง่ของขนาดสติปัญญา หลังจากที่ค้นคว้าหาข้อมูลมาหลายปี โมเกาจื่อก็พบว่ามนุษย์บนโลกส่วนมากมีระดับสติปัญญาสูงกว่าค่าเฉลี่ย เพียงเท่านี้ก็ถือเป็นเรื่องน่ากลัวแล้ว เขาอดคิดไม่ได้ว่าระบบสุริยะคือสถานที่เช่นใดเมื่อหลายสิบปีก่อนหน้า ถึงทำให้เผ่าพันธุ์เช่นนี้ถือกำเนิดขึ้นมาได้
ผลการค้นคว้านี้ทำให้เขาเสนอโครงการการร่วมมือกันพัฒนาอารยธรรมต่อเฟิ่งชิวหรัน ด้วยความมั่นใจและเสียงสนับสนุน นอกจากนี้โมเกาจื่อยังรู้สึกผูกพันกับโลก เขาต้องการเห็นโลกสร้างรากฐานที่แข็งแรงในอารยธรรมการฝึกปราณ อันถูกถ่ายทอดให้เห็นทั้งจากความพยายามและความกังวลมากมายของสหพันธรัฐ
ต้วนมู่ฉีและหลี่ซิงเหวินมองหน้ากันหลังจากที่ได้รับการอนุมัติจากโมเกาจื่อ ทั้งสองถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณชายชราอย่างมากล้น แต่ความรู้สึกส่วนตัวจะเข้ามาเกี่ยวพันกับการบ้านการเมืองไม่ได้ ดังนั้นต้วนมู่ฉีจึงยังต้องพูดในสิ่งที่ควรพูดอยู่ดี
“สหพันธรัฐเพิ่งเริ่มฝึกปราณระดับจิตวิญญาณอมตะมาได้ไม่กี่สิบปีเท่านั้น แม้ปราณวิญญาณจะดูเหมือนไร้ขีดจำกัด แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ ปริมาณปราณวิญยาณที่มีจำกัดนี้ คือจุดชี้เป็นชี้ตายว่าเราจะก้าวหน้าไปได้มากกว่านี้หรือไม่ กระบวนเวทที่มีก็สำคัญมากเช่นกัน พวกเจ้าต้องระลึกถึงความจริงข้อนี้เอาไว้ให้ดี!
“สหพันธรัฐจะตอบแทนพวกเจ้าอย่างงามกับสิ่งที่พวกเจ้าทำให้อาณาจักรของเรา ข้าขอสัญญาว่าผู้ใดที่ส่งกระบวนเวทกลับมาได้ครบทุกสิบกระบวนเวท จะได้รับการปรับตำแหน่งขุนนางหนึ่งขั้น!”
“นอกจากนั้น เมื่อพวกเจ้าทำภารกิจสำเร็จและกลับมาเรียบร้อย จะได้รับทรัพยากรเพิ่มเติมตามผลงานที่พวกเจ้าทำได้!” คำพูดของต้วนมู่ฉีเด็ดขาดตรงไปตรงมา การที่มีหลี่ซิงเหวินและกลุ่มอำนาจการเมืองอื่นๆ อยู่ ณ ที่นี้เพื่อเป็นสักขีพยานด้วย แสดงให้เห็นว่าสหพันธรัฐจริงจังเรื่องการเพิ่มคลังวิชากระบวนเวทมากเพียงใด
เหล่าพันธุ์กล้าสหพันธรัฐที่ยืนอยู่บนเสารู้สึกถึงอารมณ์ที่ปั่นป่วนขึ้นภายในใจ ทุกคนเข้าใจถึงความสำคัญอันยิ่งยวดของภารกิจนี้เป็นอย่างดี และจดจำข้อมูลที่ได้รับทราบเมื่อครู่นี้ได้ขึ้นใจ มีหลายคนเช่น หลี่อี้ ที่กำลังหายใจถี่ด้วยความตื่นเต้น แววความทะเยอทะยานส่องประกายแรงกล้าออกจากดวงตา
แน่นอนว่า ผู้ที่ฉายความทะเยอทะยานและความกระตือรือร้นมากที่สุด จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากหวังเป่าเล่อ เมื่อได้ยินถ้อยคำของต้วนมู่ฉี ความคิดมากมายก็ตีกันอุตลุดอยู่ในหัวของชายหนุ่ม ดวงตาของเขาเบิกกว้าง และสุดท้ายก็เหลือเพียงความคิดเดียวที่แล่นพล่านไปมาภายในหัวของเขาไม่ต่างอะไรกับสายฟ้าคลั่ง
“ปรับตำแหน่งขุนนาง! ปรับตำแหน่งขุนนาง!”
บทที่ 495 เหยียบกระบี่สำริดเขียวโบราณ!
โดย
Ink Stone_Fantasy
หากส่งกระบวนเวทกลับมาครบสิบกระบวนเวท ข้าจะได้เลื่อนยศ ตอนนี้ข้าเป็นขุนนางระดับสองชั้นรอง แปลว่าข้าต้องหากระบวนเวทมาให้ได้สามสิบกระบวนเวท ก็จะได้เป็นขุนนางระดับหนึ่งชั้นสูง! ไม่ใช่สิ ต้องสี่สิบต่างหาก สิบกระบวนเวทสุดท้ายก็เพื่อที่ข้าจะผ่านขั้นขุนนางระดับหนึ่งชั้นสูง ไปเป็นประธานสหพันธรัฐ!
สี่สิบกระบวนเวทใหม่!
หวังเป่าเล่อรู้สึกเหมือนตนเองจะระเบิด เขาหน้าร้อนตัวร้อน ดวงตาแทบเปลี่ยนเป็นสีเขียว เลือดภายในกายไหลเวียนสูบฉีดซาบซ่าน การไปเยือนกระบี่สำริดเขียวโบราณครั้งนี้ อาจเป็นก้าวสุดท้ายที่จะทำให้เขาได้เป็นประธานสหพันธรัฐ!
ความรู้สึกที่ฝันเข้ามาใกล้เพียงเอื้อมมือนี้ ทำให้หวังเป่าเล่อเกือบระเบิดหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น แต่ก็ปรามตัวเองเอาไว้ทัน รอบกายเขามีคนอยู่มากมาย และหากกระบวนเวทที่แต่ละคนส่งกลับมาซ้ำกัน ใครจะเป็นผู้ตัดสินเล่า ถ้าเป็นเช่นนั้นจะมีผลต่อการเลื่อนตำแหน่งหรือไม่
ขณะที่หวังเป่าเล่อคิดถึงปัญหานี้อยู่ ต้วนมู่ฉีก็พูดต่อพอดี
“พวกเจ้าทุกคนจะได้รับแผ่นหยกสื่อสารพิเศษ แผ่นหยกนี้ใช้ติดต่อสื่อสารกันได้และยังใช้บันทึกเสียงได้ด้วย นอกจากนี้ศิษย์พี่โมเกาจื่อยังดัดแปลงให้พวกเจ้าสามารถเข้าเครือข่ายวิญญาณของสหพันธรัฐได้ แม้จะอยู่บนดวงอาทิตย์”
“เครือข่ายวิญญาณคือช่องทางที่ดีที่สุดสำหรับให้พวกเจ้าพูดคุยกันภายใน กระบวนเวทแต่ละวิชาที่ส่งมาจะบันทึกอยู่ในนี้ ซึ่งจะทำให้ไม่มีการส่งกระบวนเวทมาซ้ำกัน สหพันธรัฐจะนับเฉพาะกระบวนเวทที่บันทึกไว้เป็นครั้งแรกเท่านั้น!” ต้วนมู่ฉีหันไปมองหลี่ซิงเหวินอีกครั้ง
ผู้อาวุโสสูงสุดนิ่งเงียบ ซึ่งหมายความว่าเขาไม่มีสิ่งใดจะกล่าวเพิ่มเติม ประธานสหพันธรัฐหายใจเข้าลึก ก่อนจะยกมือขวาขึ้นโบกสะบัด
“บัดนี้การเคลื่อนย้ายจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว ข้าขอให้พวกเจ้าเดินทางโดยสวัสดิภาพ และกลับมาอย่างปลอดภัย!”
เมื่อสิ้นสุดคำพูด วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายก็ส่งเสียงดังออกมา เสาทุกต้นสั่นสะเทือน ผลึกแก้วที่รายล้อมกะพริบแสงอย่างรวดเร็ว แสงจากผลึกแก้วสว่างขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นทะเลแห่งแสงที่เข้ามาโอบล้อมทุกคนบนเสาเอาไว้ รวมถึงพื้นที่ทั่วบริเวณนั้นด้วย
ในตอนนั้นเอง ต้วนมู่ฉี หลี่ซิงเหวิน และโมเกาจื่อก็เหินขึ้นบนท้องฟ้า ทั้งสามนั่งขัดสมาธิล้อมกันเป็นมุมสามเหลี่ยม ก่อนสร้างผนึกฝ่ามือเพื่อปล่อยพลังปราณของตนออกมา ส่งให้วงแหวนปราณทำงานอย่างเต็มรูปแบบ!
ณ เวลานั้น ทุกสายตาจับจ้องอยู่ที่พวกเขาทั้งสาม!
ณ เวลานั้น ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของยุคกำเนิดวิญญาณแห่งสหพันธรัฐได้ถือกำเนิดขึ้น!
และ ณ เวลานั้นเองที่การเคลื่อนย้ายเริ่มดำเนินการ!
ลำแสงขนาดมหึมาพุ่งจากพื้นดาวพุธขึ้นไปบนห้วงอวกาศ ดาวทั้งดวงสั่นสะเทือน ลำแสงนั้นปล่อยคลื่นพลังกระจายออกเป็นวงกว้างไปทั่วดาว
ภาพนี้ดูยิ่งใหญ่น่าประทับใจมากเมื่อมองจากระยะไกล เรือบินของกองทัพลอยอยู่ทั่วท้องฟ้าของดาวพุธ เรือบินเหล่านี้สหพันธรัฐเป็นผู้สั่งการมา เพื่อป้องกันเหตุร้ายที่อาจเกิดขึ้น
วินาทีที่การเคลื่อนย้ายเริ่มต้นขึ้น วงแหวนปราณระบบสุริยะและการเตรียมการทั้งหมดที่สหพันธรัฐเตรียมพร้อมไว้ก็เดินหน้าเต็มสูบไปพร้อมๆ กัน
ทั้งหมดนี้ก็เพื่อที่สหพันธรัฐจะได้ทำลายวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายได้ทันท่วงทีหากมีเหตุร้ายเกิดขึ้น เพื่อไม่ให้มีสิ่งใดเคลื่อนย้ายเข้าหรือออกจากอาณาเขตที่โลกปกครองได้อีก!
หวังเป่าเล่อและพันธุ์กล้าคนอื่นๆ รู้เรื่องนี้ดี พวกเขารู้ว่าอันตรายจากภารกิจนี้ไม่ได้อยู่แค่บนกระบี่ หากแต่เริ่มขึ้นตั้งแต่ตอนที่พวกเขาเริ่มกระบวนการเคลื่อนย้าย หากใช้เหตุผลวิเคราะห์จะเห็นได้ว่า สำนักวังเต๋าไพศาลนั้นอาจจริงใจในการร่วมมือกับสหพันธรัฐจริง แต่อารมณ์ของมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ที่สุด
ด้วยเหตุนี้ แม้จะได้รับการยืนยันซ้ำหลายครั้ง สหพันธรัฐก็ยังเตรียมการมาเต็มรูปแบบเพื่อรับมือเหตุการณ์ไม่คาดคิดอยู่ดี ทันทีที่เริ่มการเคลื่อนย้าย ระเบิดต้านทานวิญญาณจำนวนมากใต้วงแหวนปราณก็เริ่มประจำที่ และจะทำงานทันทีที่ต้วนมู่ฉี หลี่ซิงเหวิน หรือคนอื่นๆ บัญชาการ
ผู้ฝึกตนทั้งที่อยู่บนพื้นผิวดาวพุธและที่ล้อมดาวเอาไว้ตื่นตัวเป็นอันมาก แม้แต่หลี่ซิงเหวินและต้วนมู่ฉียังระวังตัวถึงขีดสุด ทั้งสองมองลำแสงที่พุ่งขึ้นไปบนอวกาศ คนหนึ่งขยับตัวเข้าใกล้โมเกาจื่อ ส่วนอีกคนก้าวไปข้างหลังเพื่อเตรียมตัวรับสถานการณ์ไม่คาดฝัน
โชคดีที่กระบวนการเคลื่อนย้ายซึ่งกินเวลาสิบห้านาที ไม่ได้มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกับโมเกาจื่อหรือวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย นอกจากนั้น โมเกาจื่อกับสหพันธรัฐยังตกลงกันไว้แต่แรกว่าการเคลื่อนย้ายครั้งแรกจะเป็นทางฝ่ายสหพันธรัฐเท่านั้นที่เดินทางไป ดังนั้นเมื่อลำแสงค่อยๆ จางหายจนดับสนิทไปในที่สุด หลี่ซิงเหวินและต้วนมู่ฉีจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก เมื่อเห็นว่าทุกอย่างปกติดี
วงแหวนปราณระบบสุริยะยังคงตรวจหาความผิดปกติทั่วดาราจักรเพื่อให้แน่ใจเต็มร้อย เมื่อมั่นใจแล้วว่าไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้นแน่ๆ เรือบินกองทัพที่ล้อมดาวพุธเอาไว้ก็ลดระดับความเข้มงวดลง ผู้ฝึกตนระดับสูงทั้งหลายต่างถอนหายใจอย่างโล่งอก กระนั้นระเบิดต้านทานวิญญาณก็ยังทำงานอยู่เพื่อป้องกันไว้ก่อน ระเบิดจะยังอยู่บนนี้ต่อไป พร้อมหลี่ซิงเหวินที่รับหน้าที่เฝ้าระวังภัยบนดาวพุธ
ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของสหพันธรัฐเริ่มต้นขึ้นแล้ว… เมื่อสถานการณ์ลดระดับความตึงเครียดลง ต้วนมู่ฉีและโมเกาจื่อก็เตรียมตัวลาจาก ตอนนั้นเองหลี่ซิงเหวินที่นั่งขัดสมาธิอยู่นอกวงแหวนปราณก็เงยหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์ ดาวฤกษ์หนึ่งเดียวตรงหน้า พร้อมกระบี่เล่มยักษ์ที่ปักอยู่ตรงกลางกลาง ดวงตาของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง
เจ้าอ้วน อย่าทำให้ข้าผิดหวังเล่า จงกลับมาบ้านของเรา… อย่างปลอดภัย!
ขณะเดียวกันนั้นเอง หลี่หว่านเอ๋อร์ก็ออกจากการถือสันโดษ นางบรรลุปราณขั้นกำเนิดแก่นในเป็นที่เรียบร้อย ทว่าก็พลาดโอกาสที่จะได้พบหวังเป่าเล่อ หญิงสาวทำได้เพียงมองไปทางทิศที่ดาวพุธอยู่เท่านั้น นางตกอยู่ในความเงียบงันเป็นเวลานาน
หลิวต้าวปินและหลินเทียนหาว รวมถึงสหายและครอบครัวของพันธุ์กล้าคนอื่นๆ ต่างก็กำลังมองไปที่ดวงอาทิตย์จากทุกสถานที่ที่พวกเขาอยู่ พวกเขามองกระบี่ที่ปักกลางดวงอาทิตย์ เฝ้ารอวันเวลาที่คนสำคัญของตนจะกลับมา และอวยพรให้คนเหล่านั้นประสบความสำเร็จ
บิดามารดาของหวังเป่าเล่อก็เป็นหนึ่งในนั้น ก่อนที่หวังเป่าเล่อจะเดินทางไปดาวพุธ เขาบอกคนทั้งคู่เรียบร้อยว่าตนเองจะไปปฏิบัติภารกิจที่กระบี่สำริดเขียวโบราณ แม้ทั้งสองจะเป็นห่วงจับใจ แต่ก็เข้าใจว่าตนเองทำสิ่งใดไม่ได้ ดังนั้นพวกท่านจึงทำได้เพียงอวยพรให้บุตรชายประสบความสำเร็จ แม้จะมีความกังวลอันแสนหนักอึ้งที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ยอยู่ในใจ
ขณะที่บรรดาสหายและครอบครัวของพันธุ์กล้ากำลังจับจ้องดวงอาทิตย์ที่กำลังเผาไหม้ด้วยความร้อนบรรลัยกัลป์ เสียงกึกก้องก็ดังออกจากกระบี่ที่ปักดวงอาทิตย์อยู่ เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นนั้นไม่ได้อุบัติมานานหลายปีดีดักแล้ว!
เสียงดังสนั่นนั้นดังขึ้นตรงบริเวณด้ามจับ บรรยากาศรอบด้ามจับบิดเบี้ยวด้วยความร้อนรุนแรงที่เผาไหม้ แสงสว่างจ้าโอบล้อมกระบี่เอาไว้ แม้จะมองไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นภายในกันแน่ แต่แสงนั้นก็ทรงพลังมากเสียจนป้องกันความร้อนจากดวงอาทิตย์ ทำให้กระบี่สำริดเขียวโบราณยังคงสภาพอยู่ภายในดาวฤกษ์สว่างจ้าต่อไปได้โดยไม่แหลกสลาย
หากเดินทางทะลุผ่านแสงจ้านั้นไปได้ จะเห็นว่ากระบี่ที่อยู่ภายใต้แสงนั้นก็เหมือนโลกอีกใบหนึ่งที่ดำเนินไปตามครรลองของมัน โลกนั้นกว้างใหญ่ไพศาล ไร้ซึ่งผืนดิน หากแต่เป็นมหาสมุทรกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา!
มหาสมุทรนั้นไม่ได้เต็มไปด้วยน้ำ หากแต่เป็นทะเลเพลิงและลาวา!
มหาสมุทรเพลิงนั้นเหมือนไฟอเวจีที่ไม่มีวันดับ บนทะเลเพลิงนั้นมีหมู่เกาะมากมายกระจัดกระจายอยู่ เกาะส่วนมากมีรูปร่างแหลมเหมือนขุนเขา!
มีตำหนักมากมายกระจายตัวอยู่บนเกาะ รวมถึงร่างของผู้คนที่บินขวักไขว่อยู่ในอากาศ เดินทางจากเกาะน้อยใหญ่ ไปยังเกาะที่ขนาดกว้างที่สุดซึ่งอยู่ตรงกลาง!
เมื่อเทียบกับเกาะที่อยู่ตรงกลาง เกาะอื่นๆ ดูเหมือนเด็กเล็กกำลังหัดเดิน เป็นเพราะเกาะกลางนั้นใหญ่โตมโหฬารจนเทียบไม่ติด และตั้งอยู่ตรงนั้นเหมือนยักษ์ปักหลั่นที่ใครก็ไม่อาจมองข้ามได้
บนเกาะใหญ่นี้มีลานจัตุรัสสาธารณะขนาดยักษ์ พร้อมด้วยวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายโบราณตั้งอยู่บนนั้น ขณะนี้วงแหวนปราณกำลังส่องแสงสว่างไสว ผู้คนมากมายจากทุกทิศทางต่างพากันมายืนล้อมวงแหวนปราณไว้ มีทั้งหญิงและชาย เด็กและคนชรา ทุกคนล้วนแต่งกายในชุดคลุมยาวโบราณที่มีหน้าตาแตกต่างจากชุดคลุมที่ใส่กันบนโลก และต่างมีสีหน้าแตกต่างกันไป บ้างก็สงสัยใคร่รู้ บ้างก็ตื่นเต้นคาดหวัง บ้างก็ยโสเย้ยหยัน บ้างก็ป่าเถื่อนดุร้าย
ทุกสายตาจับจ้องไปที่วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายขนาดยักษ์กลางลานสาธารณะ แสงสว่างจากวงแหวนปราณทวีความเข้มขึ้นก่อนค่อยๆ จางหายไป และร่างของผู้คนมากมายเริ่มปรากฏขึ้นท่ามกลางแสงสว่างนั้น
ตอนแรกร่างเหล่านั้นยังคงพร่าเลือนอยู่ แต่เมื่อแสงสว่างค่อยๆ จางหายไปเรื่อยๆ ผู้คนจากต่างโลกก็เริ่มมีเค้าโครงชัดเจนขึ้นตามลำดับ สุดท้ายแล้วเมื่อแสงหายไปจนหมดสิ้น พันธุ์กล้าสหพันธรัฐก็ปรากฏให้เห็นเต็มตัว
ทุกคนค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นขณะที่กระบวนการเคลื่อนย้ายปิดฉากลง เหตุการณ์ทั้งหมดเหมือนเป็นความฝันสำหรับพวกเขา ก่อนหน้านั้นพวกเขายังอยู่ที่สหพันธรัฐบ้านเกิด แต่บัดนี้กลับมาอยู่ที่กระบี่สำริดเขียวโบราณเรียบร้อยแล้ว ผลข้างเคียงจากการเคลื่อนย้ายมาเป็นระยะทางไกลถาโถมเข้าใส่ร่างกาย ทั้งความวิงเวียน คลื่นไส้ และความรู้สึกไม่สบายตัวปะทุขึ้นพร้อมกันในกาย
หลายคนแทบล้มลงกับพื้น พวกเขามองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าซีดเผือด หายใจไม่เป็นจังหวะ หัวใจเต้นระส่ำเหมือนจะระเบิดออกจากอก ทว่าหวังเป่าเล่อกลับยืนนิ่งมั่นคงอยู่กับที่ เขาไม่ได้รับผลกระทบจากการเคลื่อนย้ายแม้แต่น้อย ดังนั้นจึงเป็นคนแรกที่ลืมตาตื่นมองดูฝูงชนที่รายล้อม และเป็นคนแรกที่เห็นสีหน้าของคนเหล่านั้น
พวกนี้คงจะเป็นผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาล ข้าไม่ชอบสายตาของคนพวกนี้เอาเสียเลย! ชายหนุ่มหรี่ตาลงอย่างช่วยไม่ได้ ร่างกายตื่นตัวระแวดระวัง เขาปลุกกำไลคลังเก็บที่มือขวาของตนขึ้นช้าๆ เพื่อเตรียมตัวงัดอาวุธเวทมาสู้ หากมีภัยอันตรายเกิดขึ้น
บทที่ 496 ก้าวเข้าสู่วังแห่งเต๋าเป็นครั้งแรก!
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อพันธุ์กล้าลืมตาตื่นขึ้นทีละคน พวกเขาก็รู้สึกได้ถึงสายตาของผู้ฝึกตนที่อยู่รายล้อม ทุกคนตื่นตัวและขยับเข้ารวมตัวกันโดยสัญชาตญาณที่ด้านหลังหวังเป่าเล่อ ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ตาม
ทุกคนจากบ้านมาเยือนต่างถิ่นแดนไกลที่เรียกว่ากระบี่สำริดเขียวโบราณ ดังนั้นจึงต้องกลมเกลียวกันเอาไว้ แม้จะไม่อยากยอมรับ แต่หวังเป่าเล่อก็เป็นผู้ที่พึ่งพาได้มากที่สุดในบรรดาพวกเขาทั้งหมด ทุกคนรับรู้ได้โดยไม่ต้องตกลงกัน ว่าชายร่างอ้วนที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาคือผู้นำของพันธุ์กล้าทั้งหนึ่งร้อยคน
โดยเฉพาะกงเต๋า จั่วอี้ฟาน และเจ้าเยี่ยเหมิง ทั้งสามเป็นผู้ฝึกตนระดับหัวกะทิ แต่ก็ยังขยับตัวมาติดหวังเป่าเล่อ ขณะมองไปยังผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลที่รายล้อมอย่างระแวดระวัง
ความเงียบเข้าปกคลุมวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายในทันที
ทว่าความเงียบในหมู่ผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลที่มีความรู้สึกแตกต่างกันไปนั้นไม่ได้คงอยู่นาน ไม่นานนักสายรุ้งก็สว่างวาบขึ้นอย่างรวดเร็วจากยอดเขาไกล และเดินทางมาถึงในพริบตาด้วยความเร็วสูงจนทำให้เกิดสายลมและสายฟ้า หากมองจากระยะไกลจะเห็นผู้ฝึกตนในชุดคลุมเต๋าสีน้ำเงิน ถูกโอบล้อมด้วยสายฟ้าและเคลื่อนที่รวดเร็วราวฟ้าแลบ
เมื่อเสียงสั่นสะเทือนของสายฟ้าดังก้องขึ้นเรื่อยๆ คนผู้นั้นก็มาหยุดอยู่กลางอากาศเหนือวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย เขาเป็นชายวัยกลางคนสีหน้าไร้อารมณ์ พลังปราณระดับจุติวิญญาณพวยพุ่งอย่างไม่หยุดยั้ง ทำให้บรรยากาศรอบกายบิดเบี้ยว
ศิษย์ผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลทำความเคารพชายผู้นี้โดยไร้ซึ่งสรรพเสียง เมื่อดูจากระดับปราณของเขาและกริยาของผู้คนที่รายล้อม ก็บอกได้ไม่ยากว่าชายในชุดคลุมสีน้ำเงินมียศถาบรรดาศักดิ์สูงส่งในสถานที่แห่งนี้
หวังเป่าเล่อและพันธุ์กล้าคนอื่นๆ ก็เงยหน้าขึ้นมองชายที่เพิ่งมาถึงเช่นกัน เมื่อสบสายตากัน ชายหนุ่มร่างอ้วนก็กลั้นหายใจ เขารู้สึกว่าสายตาของชายชุดคลุมสีน้ำเงินผู้นี้คมกริบเหมือนคมกระบี่ ทำให้จิตใจและสมองของเขาปั่นป่วนร้อนรน
ขณะที่หวังเป่าเล่อตัวสั่นและผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐคนอื่นกำลังหายใจหอบด้วยแรงกดดันอยู่นั้น ชายวัยกลางคนที่ลอยอยู่กลางอากาศก็หันสายตาไปทางอื่น และเริ่มพูดด้วยท่าทีสงบนิ่ง
“ผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐ ท่านผู้อาวุโสเฟิ่งรอพวกเจ้าทุกคนอยู่ที่ตำหนักปรัศนีสวรรค์ จงตามข้ามาเดี๋ยวนี้!” ชายในชุดคลุมสีน้ำเงินหันหลังกลับ ก่อนก้าวเท้าเหยียบอากาศเพื่อมุ่งหน้าไปยังยอดเขา เมื่อมองจากไกลๆ ผมของเขาปลิวไสวไปตามสายลม ประกอบกับชุดคลุมแบบโบราณ ทำให้เขาดูเหมือนเทพเจ้าในนิยายปรัมปราที่ดูสง่างามจนสุดพรรณนา
หวังเป่าเล่อหรี่ตาและทำมือคารวะ พันธุ์กล้าคนอื่นๆ ก็ทำตามทันที จากนั้นจึงเหาะตามหวังเป่าเล่อและชายในชุดคลุมสีน้ำเงินไป ท่ามกลางสายตาไม่เป็นมิตรของเหล่าศิษย์จากสำนักวังเต๋าไพศาล
เมื่อเหาะอยู่กลางอากาศ ทุกคนก็มองเห็นทัศนียภาพของสถานที่แห่งนี้ได้อย่างเต็มตา ท้องฟ้าเป็นสีเพลิงโชติช่วง แม้จะสว่างไสวแต่ก็พร่าเลือน ราวกับมีม่านบังตาปิดกั้นไว้ หากมองใกล้ๆ จะเห็นว่าภายนอกม่านบังตาที่ปกคลุมนั้น เปลวเพลิงประลัยกัลป์กำลังหมุนวนพัดโหมอย่างบ้าคลั่ง
พื้นประกอบด้วยมหาสมุทรเพลิงและลาวาที่ปล่อยรังสีความร้อนออกไปทุกทิศทาง โลกทั้งใบดูเหมือนเตาอบขนาดยักษ์ที่เต็มไปด้วยไอความร้อน ทำให้หายใจลำบาก กระนั้นพวกเขาก็รู้สึกได้ว่าปราณวิญญาณในที่แห่งนี้เข้มข้นกว่าบนโลกหลายเท่านัก
แม้ปราณวิญญาณจะไม่ได้เข้มข้นจนแปรสภาพเป็นของเหลว แต่ก็หนาแน่นกว่าบนโลกมากจนรับรู้ได้ถึงคุณภาพที่ต่างกันอย่างชัดเจน หวังเป่าเล่อสูดหายใจเข้าสองสามทีแล้วก็ต้องตกใจ ปริมาณพลังปราณที่ร่างกายดูดซับเข้าไป รวมถึงความต้องการที่ปรากฏในใจ ทำให้เหล่าพันธุ์กล้าต่างทั้งรู้สึกปรารถนาและประหลาดใจ ดวงตาของพวกเขาเป็นประกายโชติช่วง
ดูเหมือนว่ากระบวนเวทที่ทุกคนร่ำเรียนมารวมถึงพลังปราณของพวกเขา จะเหมาะกับสภาพแวดล้อมที่สำนักวังเต๋าไพศาลบนกระบี่สำริดเขียวโบราณเป็นอย่างมาก ดังนั้นแม้ที่นี่อุณหภูมิจะสูงทะลุปรอท แต่ก็ยังจัดว่าเป็นสวรรค์สำหรับการฝึกปราณที่ดียิ่งกว่าบนโลกเสียอีก!
ยิ่งไปกว่านั้น หมู่เกาะมากมายบนทะเลเพลิงยังทำให้หวังเป่าเล่อและคนอื่นๆ ตัวสั่น ไม่ว่าจะดูอย่างไร เกาะพวกนั้นก็เหมือนยอดเขามากกว่า เทือกเขาที่แท้จริงนั้นจมอยู่ใต้ทะเลเพลิง ส่วนที่โผล่พ้นมาเท่านั้นที่กลายเป็นหมู่เกาะน้อยใหญ่อย่างที่เห็นกัน
เกาะที่พวกเขาจากมานั้น คือเกาะที่ใหญ่ที่สุดจากบริเวณทั้งหมด บริเวณนี้คงเคยเป็นเทือกเขาขนาดมหึมามาก่อน และมีตำหนักมากมายก่อสร้างอย่างแน่นหนาอยู่บนยอด จุดที่ตำหนักแต่ละแห่งตั้งอยู่นั้นดูเหมือนเลือกโดยการสุ่ม แต่ขณะเดียวกันก็ดูเหมือนตั้งใจ
มีตำหนักสามแห่งบนยอดเขาที่ดูเตะตาเป็นพิเศษ ตำหนักทั้งสามมีหน้าตาเหมือนกันอย่างไม่ผิดเพี้ยน และตั้งอยู่บนจุดสูงสุดของยอดเขา เมื่อยืนอยู่บนที่แห่งนั้นคงจะมองเห็นทัศนียภาพของเกาะเล็กเกาะน้อยได้หมดเลยทีเดียว
เบื้องหลังตำหนักทั้งสามมีก้อนศิลาขนาดมหึมา ที่มีต้นไม้เหี่ยวเฉาหน้าตาโบราณพันเกี่ยวอยู่ ต้นไม้โบราณนั้นไร้ซึ่งใบไม้ มีเพียงกิ่งหนาชุกชุมที่แผ่ออกทั่วบริเวณเท่านั้น แรงกดดันมหาศาลพวยพุ่งออกจากต้นไม้ พลังนั้นรุนแรงแซงหน้าตำหนักทั้งสามไปไกล ทำให้ต้นไม้โบราณนี้เปรียบเสมือนเทพเจ้าของยอดเขาใหญ่!
แม้ต้นไม้โบราณจะเหี่ยวเฉาไปแล้ว แต่เพียงมองกิ่งก้านที่เหลืออยู่ ก็พอจินตนาการได้ว่าหน้าตาขณะยังมีชีวิตอยู่เป็นอย่างไร ต้นไม้ยักษ์นั้นคงจะปกคลุมด้วยใบหนา ทำให้ดูทั้งยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามเป็นอันแน่
ภาพเหล่านี้คือสิ่งที่หวังเป่าเล่อและพรรคพวกเห็นขณะเหาะอยู่บนท้องฟ้า แม้สำนักวังเต๋าไพศาลจะไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ แต่ก็ยังทำให้หลายคนตื่นตกใจเมื่อได้เห็น
การเดินทางจากตีนเขามายังยอดเขานี้ ยังทำให้พวกเขาตรวจจับพลังปราณที่แผ่ออกจากแต่ละตำหนักได้ด้วย พลังปราณที่อ่อนแอที่สุดอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นใน บางครั้งก็สัมผัสได้ถึงพลังปราณขั้นจุติวิญญาณ โดยเฉพาะในตำหนักที่อยู่บนยอดเขาสูงสุด มีพลังกดดันรุนแรงสามสายซึ่งเปรียบได้กับพลังแห่งสรวงสรรค์แผ่ออกมา พลังนั้นรุนแรงเสียจนทำให้ผู้ที่สัมผัสได้ต่างตกใจตัวแข็ง
ราวกับว่ามีเทพเจ้าสามองค์สถิตอยู่บนยอดเขาแห่งนั้น หวังเป่าเล่อกลั้นหายใจ ส่วนพันธ์กล้าคนอื่นๆ รวมถึงเจ้าเยี่ยเหมิงหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ พวกเขาเขยิบเข้าใกล้หวังเป่าเล่อขึ้นอีก
หากเทียบกับสำนักวังเต๋าไพศาลแล้ว สหพันธรัฐนั้นอ่อนแอนัก… ดังนั้นการร่วมมือกันในครั้งนี้จึงไม่ได้เกิดขึ้นระหว่างสองฝ่ายที่มีศักดิ์ศรีเสมอกัน ดังนั้นสหพันธรัฐคงตั้งใจเดิมพันว่าฝ่ายแสงสว่างนั้นจะจริงใจสร้างสัมพันธไมตรีกับเราจริงๆ! หวังเป่าเล่อหรี่ตาก่อนจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากการวิเคราะห์ของเขา หากอีกฝ่ายมีท่าทียินดีต้อนรับพวกเขาซึ่งมีศักดิ์ต่ำกว่าอย่างมีไมตรีจิต สถานการณ์คงจะดูน่าสงสัยกว่านี้มาก
ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนที่มีศักดิ์ต่ำกว่า แต่หากไม่ปฏิบัติตนตามมารยาทและทำตัวตีเสมอ หวังเป่าเล่อก็ก็คงระแวดระวังตัวเช่นกัน ดังนั้นความไม่ใส่ใจและความรู้สึกไม่เป็นมิตรที่ได้รับเมื่อครู่ จึงทำให้ชายหนุ่มรู้สึกว่าสถานการณ์ของที่นี่ปกติพอวางใจได้
เห็นทีคงต้องลองหาโอกาสหยั่งเชิงดู… หวังเป่าเล่อคิด ทุกคนตามชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีน้ำเงินไปเงียบๆ จนกระทั่งถึงตำหนักปรัศนีสวรรค์ที่ตั้งอยู่กลางยอดเขาในที่สุด
ตำหนักนั้นกว้างใหญ่และอัดแน่นด้วยพลังที่ดุดันเหมือนอสูรยักษ์ซุ่มพิฆาตเหยื่อ พลังนั้นรุนแรงเสียจนทำให้สวรรค์และพื้นพิภพสั่นไหวจนทำให้พันธ์กล้าสหพันธรัฐกระวนกระวายใจ ไม่ต้องรอนานประตูตำหนักก็เปิดออก พร้อมด้วยเสียงทรงอำนาจที่ดังก้องมาจากด้านใน
“ผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐ จงเข้ามาในโถงเพื่อทำความเคารพ!”
เสียงนั้นดังสะท้อนในหูทุกคน หวังเป่าเล่อหายใจเข้าลึกก่อนก้าวเท้าเข้าไปในโถงเป็นคนแรก ทันทีที่เข้าไปข้างใน เขาก็เห็นบัลลังก์สามหลังตั้งเรียงกันอยู่ด้านบนสุดของโถง ผู้ฝึกตนสามคนนั่งอยู่บนบัลลังก์ ผู้ที่อยู่ตรงกลางเป็นสตรีวัยกลางคน นางมีใบหน้าสะสวยงดงามแม้ด้วยวัยล่วงเลย อยู่ในชุดสีสันสดใสและมีท่วงท่าสง่างาม ดวงตาของนางอ่อนโยนขณะมองหวังเป่าเล่อและพันธุ์กล้าคนอื่นๆ ที่เดินตามหลังมา
เบื้องซ้ายของนางมีชายวัยกลางคนรูปร่างผอมบางในชุดคลุมสีดำ สีหน้าของเขาไร้ความรู้สึก ร่างกายของเขาดูเหมือนโครงกระดูกไม่มีปิด ดวงตาของชายผู้นี้ว่างเปล่าเสียจนใครก็ตามที่ได้มองต้องรู้สึกเย็นสันหลังวาบและตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
ด้านขวาของนางเป็นชายชราผู้หลับตานิ่งเหมือนกำลังทำสมาธิ ชายชราผู้นี้ดูไม่สนใจพันธุ์กล้าจากสหพันธรัฐที่เพิ่งมาถึงโดยสิ้นเชิง
นอกจากทั้งสามแล้ว ยังมีผู้ฝึกตนอีกแปดคนนั่งอยู่ในที่แห่งนั้น ผู้ฝึกตนเหล่านั้นมีทั้งเยาว์วัยและแก่ชรา ทั้งชายและหญิง ทุกคนมองหวังเป่าเล่อและพรรคพวก ชายวัยกลางคนที่นำพวกเขามาที่นี่ก็อยู่ในหมู่คนเหล่านั้นด้วย
นอกจากนั้นยังมีเหล่าชายหนุ่มและหญิงสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกับหวังเป่าเล่อยืนอยู่ข้างๆ ผู้นำทั้งสาม แม้พลังปราณของพวกเขาอยู่เพียงขั้นกำเนิดแก่นในชั้นปลาย แต่ความจริงที่ว่าทุกคนสามารถยืนอยู่ข้างกายผู้นำทั้งสามได้ ก็แปลว่าพวกเขาต้องมียศศักดิ์ที่สูงส่งเช่นกัน หวังเป่าเล่อมองปราดเดียวก็สรุปได้ว่ากลุ่มคนหนุ่มสาวเหล่านั้นคือศิษย์ของผู้นำแห่งสำนักวังเต๋าไพศาล
บทที่ 497 มารดาของเจ้าคือ…
โดย
Ink Stone_Fantasy
หวังเป่าเล่อเดาได้ทันทีว่าใครเป็นใครจากข้อมูลที่ได้รับมาทั้งหมด ผู้ที่นั่งบนบัลลังก์ทั้งสามคือเฟิ่งชิวหรัน เมี่ยเลี่ยจื่อ และโยวหรัน และสตรีผู้นั้นก็คือเฟิ่งชิวหรันนั่นเอง
ศิษย์ที่ยืนอยู่เบื้องหลังคนทั้งสามล้วนมีสีหน้าเช่นเดียวกับผู้เป็นอาจารย์ ศิษย์สองคนเบื้องหลังโยวหรันหลับตาตกอยู่ในห้วงคิดของตน ขณะที่สองคนเบื้องหลังเฟิ่งชิวหรันแม้สีหน้าจะไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ แต่ก็มีแววตาใจดี
เบื้องหลังเมี่ยเลี่ยจื่อมีศิษย์อยู่เพียงคนเดียว เขาดูอายุยังไม่ถึงสามสิบปี และมีสีหน้าเย็นชาเข้าถึงยาก ขณะมองหวังเป่าเล่อและคนอื่นๆ
แม้จะเข้าใจสถานการณ์ภายในสำนักวังเต๋าไพศาลมาบ้าง แต่หวังเป่าเล่อก็ยังลอบถอนใจอยู่ภายในเมื่อมาอยู่ในสถานที่จริง เขารู้สึกตกที่นั่งลำบาก การได้ยินเรื่องราวผ่านคนอื่นกับการมายืนอยู่ตรงที่เกิดเหตุจริงนั้นไม่มีอะไรเหมือนกันแม้แต่น้อย ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกหัวเสียกับภารกิจที่ตนเองได้รับมอบหมาย
เจ้าเยี่ยเหมิง จั่วอี้ฟาน และพันธุ์กล้าคนอื่นๆ ก็คิดเช่นเดียวกัน ทุกคนต่างก้มหน้างุด หัวใจถาโถมด้วยความรู้สึกหลากหลาย บางคนก็เริ่มรู้สึกอย่างเสียมิได้ว่าตนเองตัดสินใจผิดที่เข้าร่วม บางทีการอยู่ที่เดิมอาจจะดีเสียกว่า
“ผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐไม่มีมารยาทกันหรอกหรือ มีผู้ทรงอำนาจอยู่เบื้องหน้า แต่กลับไม่แม้แต่จะทำความเคารพ ช่างต่ำช้าไร้อารยะอะไรเช่นนี้” ขณะที่เหล่าพันธุ์กล้าสหพันธรัฐกำลังก้มหน้าอย่างกระวนกระวายอยู่นั้น ผู้อาวุโสที่มีปราณระดับจุติวิญญาณซึ่งนั่งอยู่ตรงที่นั่งชั้นล่าง ก็หัวเราะออกมาและพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ผู้อาวุโสผู้นั้นมีผมยาวสีแดงเพลิงเตะตาเป็นอย่างยิ่ง เขาดูไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย ทั้งน้ำเสียงยังเย้ยหยันเด่นชัด
ทันทีที่ผู้อาวุโสผมแดงพูด เฟิ่งชิวหรันก็มุ่นคิ้ว สีหน้าดูไม่พอใจพอตัว แต่ก็ไม่ได้ติเตียนอันใด คำพูดนั้นรวมถึงบรรยากาศอันตึงเครียด ทำให้บรรดาพันธุ์กล้าที่ได้ยินได้เห็นเริ่มกระสับกระส่าย พวกเขารู้สึกโดนดูแคลน ต่างพากันหายใจหอบด้วยความกดดัน
คำปรามาสที่ว่าพวกเขาต่ำช้าไร้อารยะนั้น คงไม่มีใครทำใจปล่อยผ่านไปได้อย่างแน่นอน
เจ้าเยี่ยเหมิงกำหมัดแน่น จั่วอี้ฟานหรี่ตามอง ส่วนกงเต๋าชักสีหน้าไม่พอใจชัดเจนที่สุด รังสีดุร้ายแผ่ออกจากกายของเขาอย่างปิดไม่มิด แม้พลังปราณของเขาจะด้อยกว่า แต่กงเต๋าก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความใจสู้ออกมาให้เห็น ขณะที่พันธุ์กล้าบางคนยังคงก้มหน้าต่ำนั้น ส่วนใหญ่กลับเชิดคางขึ้นชักสีหน้าเพื่อแสดงว่าพวกเขาไม่ใช่ใครที่จะยอมทนคำเหยียดหยาม
หวังเป่าเล่อไม่ได้แสดงออกถึงอารมณ์ใดๆ ให้เห็นทั้งสิ้น เขาไม่ได้ค้อมศีรษะลงต่ำตั้งแต่แรก แต่เชิดหน้าเอาไว้ตลอดเหตุการณ์ เมื่อได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสผู้นั้น ชายหนุ่มก็หันไปมอง ก่อนจะก่นด่าในใจว่าไอ้ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณหัวแดงคนนี้ก็เป็นเพียงปลาซิวปลาสร้อยเท่านั้น ไม่ใช่คนที่เขาต้องเกรงกลัวแต่อย่างใด ในเมื่อตัวเขานั้นเคยสังหารผู้ที่มีปราณขั้นจุติวิญญาณมาแล้ว
เมื่อคิดได้ดังนั้น หวังเป่าเล่อก็สูดหายใจเข้าลึก ก้าวออกมาข้างหน้าท่ามกลางโถงที่เงียบงัน ก่อนจะยกมือทำความเคารพผู้นำที่มีปราณระดับเชื่อมวิญญาณทั้งสามซึ่งนั่งสูงอยู่บนบัลลังก์
“ข้ามีนามว่าหวังเป่าเล่อ เป็นอุปทูตจากสหพันธรัฐ ข้าได้รับการแต่งตั้งจากท่านประธานสหพันธรัฐให้เป็นผู้นำของเหล่าผู้ฝึกตนจากอาณาจักร ให้มาประจำการที่สำนักวังเต๋าไพศาล และมาเข้าพบท่านผู้อาวุโสทั้งสาม!” หวังเป่าเล่อพูดด้วยเสียงดังฟังชัด โดยเน้นคำว่า ‘อุปทูตจากสหพันธรัฐ’ เป็นพิเศษ
ขณะที่เสียงของชายหนุ่มก้องกังวานไปทั่งโถง เหล่าพันธุ์กล้าเบื้องหลังชายหนุ่มก็พากันสูดหายใจเข้าลึก ทำมือคารวะเฟิ่งชิวหรันและผู้นำอีกสองคน
“ผู้ฝึกตนกระนั้นหรือ” เสียงเหยียดหยันดังมาจากที่นั่งยกสูงอีกครั้งเมื่อได้ยินคำของหวังเป่าเล่อ ผู้ที่เอ่ยนั้นไม่ใช่ศิษย์ในอาณัติของเฟิ่งชิวหรัน หากแต่เป็นศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของเมี่ยเลี่ยจื่อที่มีสีหน้าดูถูกอย่างชัดเจน
“เหลียงหลง ช่างไร้มารยาทเสียจริง!” แววเย็นวาบสะท้อนผ่านดวงตาของเฟิ่งชิวหรัน แม้สีหน้าของนางจะยังนิ่งไร้อารมณ์ก็ตาม ชายหนุ่มนามว่าเหลียงหลงตอบรับด้วยการทำมือคารวะเฟิ่งชิวหรัน รวมถึงเมี่ยเลี่ยจื่ออาจารย์ของเขาในทันที
“ข้าขอน้อมรับผิด เพียงแต่หลังจากที่ได้ยินสิ่งมีชีวิตด้อยปัญญาพวกนี้เรียกตนเองว่าผู้ฝึกตนแล้ว ข้าก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่สบายใจ จนลืมสิ้นซึ่งการควบคุมตน โปรดลงโทษข้าด้วยเถิด ท่านผู้อาวุโส ท่านอาจารย์!”
คราวนี้เมี่ยเลี่ยจื่อที่นั่งอยู่ข้างเฟิ่งชิวหรัน ชิงพูดขึ้นก่อนโดยไม่รีรอ
“ท่านผู้อาวุโสเฟิ่ง ข้าจะกำราบศิษย์ของข้าเอง! เหลียงหลง เจ้าจงถือสันโดษเป็นเวลาหนึ่งเดือนเพื่อให้หลาบจำ!”
“ขอรับท่านอาจารย์!” เหลียงหลงยกมือคารวะเมี่ยเลี่ยจื่อ เมื่อชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น สายตาของเขาที่มองหวังเป่าเล่อนั้นกลับดูเย้ยหยันยิ่งกว่าเดิม เฟิ่งชิวหรันที่นั่งอยู่ข้างๆ มองเมี่ยเลี่ยจื่อด้วยแววตาประหลาด บรรยากาศในห้องโถงปกคลุมด้วยความเครียดขึงมากยิ่งกว่าเดิม
หวังเป่าเล่อและเหล่าพันธุ์กล้าที่ถูกดูหมิ่นถึงสองครั้งสองคราตั้งแต่มาถึง ต่างพากันนิ่งเงียบและกดความไม่พอใจเอาไว้ในใจ หลายคนกำหมัดแน่น แต่ก็ปล่อยอารมณ์ออกมาไม่ได้ จึงทำได้เพียงกดมันลงไปเท่านั้น
แววตาของหวังเป่าเล่อเย็นเยียบราวน้ำแข็ง เขาเป็นชายอารมณ์ร้อนที่มีผู้ทรงอำนาจหนุนหลัง อีกทั้งแม่นางน้อยก็ตื่นจากการหลับไหลแล้วด้วย นอกจากนั้นจากการคาดการณ์ของชายหนุ่ม การที่ต้วนมู่ฉีกล้าส่งพวกเขามาประจำที่นี่ แปลว่าต้องมั่นใจพอสมควรว่าจะไม่เกิดอันตรายร้ายแรงถึงชีวิตขึ้น แม้จะมีภัยอยู่บ้างประปราย
แม้ชายหนุ่มจะไม่มั่นใจเต็มร้อย แต่เขารู้สึกว่าหากพันธุ์กล้ายอมก้มหน้ารับคำปรามาส ในอนาคตพวกเขาย่อมต้องคอยทนกับการโดนดูถูกเช่นนี้อยู่เป็นอาจิณแน่นอน แทนที่จะทำเป็นอดทนไม่รู้ร้อนรู้หนาว อาจดีกว่าถ้าพูดความไม่พอใจนี้ออกมา และใช้โอกาสนี้แสดงให้สำนักวังเต๋าไพศาลเห็น ว่าสหพันธรัฐคิดอย่างไรกับการกระชับสัมพันธ์ในครั้งนี้
ด้วยเหตุนี้ หวังเป่าเล่อจึงทวีความโกรธขึ้นอีก ประกายสว่างวาบในดวงตาของชายหนุ่ม เขาพุ่งเป้าโจมตีไปที่เหลียงหลง ผู้ซึ่งยืนอยู่ข้างหลังเมี่ยเลี่ยจื่อ ชายหนุ่มยกเท้าขึ้นก้าวยาวไปข้างหน้า
“เมื่อสมัยที่ยังอยู่ที่สหพันธรัฐ ศิษย์น้องคนนี้ได้ศึกษาตำราอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงมา อัตชีวประวัตินั้นกล่าวไว้ว่า ทุกคนมักใช้สองมาตรฐานกับทั้งตนเองและคนรอบกาย
“ข้าเคยคิดว่าความคิดเช่นนี้จะมีอยู่แค่ในสหพันธรัฐเสียอีก แต่วันนี้ ศิษย์น้องคนนี้ได้เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่า ทัศนคติเช่นนั้นก็มีอยู่ที่นี่เฉกเช่นเดียวกัน!”
“เหล่าสหายผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐและตัวข้าเพิ่งมาถึงที่นี่ และยังไม่ทันได้ปรับร่างกายให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่แห่งนี้ จึงทำให้พวกเรารู้สึกกระวนกระวายใจเป็นปกติ ทว่ากลับมีคนใช้เหตุนี้ตำหนิติเตียนว่าเราไม่มีมารยาท นอกจากนี้สหายเต๋าเหลียงหลงยังพูดแทรกข้า ขณะที่ข้ากำลังทำความเคารพท่านผู้อาวุโสทั้งสามด้วย กิริยาเช่นนี้น่ะหรือที่พวกท่านเรียกกันว่ามีมารยาท มีอารยะ ข้าอยากถามเหตุผลจากสหายเต๋าเหลียงหลง ว่าเหตุใดจึงพูดแทรกข้าอย่างไร้มารยาทเช่นนี้!” ขณะที่หวังเป่าเล่อเอ่ยโต้ เหล่าพันธุ์กล้าเบื้องหลังเขาต่างพากันตกใจ ความรู้สึกมากมายถาโถมเข้ามาในใจพวกเขา กระนั้นก็ยังมีบางคน เช่น หลี่อี้ ที่รู้สึกโกรธกับการกระทำของหวังเป่าเล่อ เพราะคิดว่าชายหนุ่มเดินหมากผิด
สำหรับพวกเขา เรื่องนี้ย่อมผ่านพ้นไปหากทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เสีย ไม่มีความจำเป็นอันใดเลยที่จะต้องทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่โต
แต่หวังเป่าเล่อยังพูดไม่จบ หลังจากที่ได้แสดงความไม่พอใจออกไปแล้ว ชายหนุ่มก็หายใจเข้าลึก ก่อนจะคารวะเฟิ่งชิวหรันที่อยู่บนที่นั่งยกสูงอีกครั้ง
“ศิษย์พี่ชิวหรัน ศิษย์น้องคนนี้ไม่อาจสะกดโทสะเอาไว้ในใจ หลังจากที่ได้ยินคำปรามาสว่าพวกเราด้อยสติปัญญา ได้โปรดให้อภัยข้าด้วยขอรับ”
ทันทีที่ชายหนุ่มพูดจบ ทุกคนในสำนักวังเต๋าไพศาลต่างก็มองหวังเป่าเล่อเป็นตาเดียว ประกายวาบขึ้นในดวงตาขณะที่พวกเขาจ้องมองชายหนุ่ม ส่วนมากไม่มีใครคาดคิดว่าผู้ที่มาจากสหพันธรัฐจะกล้าพูดจาไม่สุภาพทันทีที่เพิ่งมาถึง โดยเฉพาะเฟิ่งชิวหรันที่ตอนนี้กำลังมองหวังเป่าเล่อด้วยแววตาประหลาด
“ช่างบังอาจนัก!” ขณะที่ทุกสายตาจับจ้องไปที่หวังเป่าเล่อ ผู้ฝึกตนผมแดงที่มีปราณขั้นจุติวิญญาณซึ่งนั่งอยู่ในที่ที่ต่ำกว่า ก็พ่นลมออกจมูกอย่างขุ่นเคือง เสียงของเขาไม่ต่างจากอัสนีสวรรค์ที่ทำให้โถงทั้งโถงสั่นสะเทือน เหลียงหลงที่ยืนอยู่ข้างหลังเมี่ยเลี่ยจื่อหัวเราะด้วยน้ำเสียงดูถูก เมื่อได้ยินหวังเป่าเล่อพูดถึงตนเอง เขาอ้าปากเพื่อโต้กลับ
“เจ้า…” แต่ก่อนที่จะได้พูด หวังเป่าเล่อก็ระเบิดพลังปราณของตนออกมาเสียก่อน เสียงระเบิดดังก้องไปทั่วโถง ร่างของชายหนุ่มเหมือนจะกลายเป็นพายุหมุนขนาดย่อมที่พัดโหมไปทั่วทิศ เขาหันไปมองผู้ฝึกตนผมแดงในทันใด
“ศิษย์พี่ เป็นท่านต่างหากที่ไร้มารยาท พูดจาดูถูกผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐโดยไม่มีเหตุผล!
“ส่วนเจ้า เหลียงหลง หุบปาก! ในฐานะอุปทูตจากสหพันธรัฐ ข้า หวังเป่าเล่อ เป็นตัวแทนของอาณาจักรที่มาทำความเคารพท่านผู้อาวุโสทั้งสาม นี่คือการสร้างสัมพันธไมตรีระหว่างอารยธรรมทั้งสอง เจ้าไม่มีสิทธิ์พูดขัดและดูถูกพวกข้าเป็นครั้งที่สอง!”
“หากเจ้าอ้าปากอีกครั้ง ข้าจะฆ่าเจ้าเสีย!” รังสีสังหารวาบผ่านแววตาหวังเป่าเล่อ หลังจากนั้นเขาก็หันไปหาเฟิ่งชิวหรันเพื่อทำมือคารวะอีกครั้ง
“ศิษย์พี่ชิวหรันขอรับ สหพันธรัฐจริงใจเป็นอย่างมากกับการเชื่อมสัมพันธไมตรีครั้งนี้ ความจริงใจของพวกเรานั้นชัดเจนมาตั้งแต่แรก กงเต๋าและพวกเจ้าทุกคน จงแนะนำตัวให้ศิษย์พี่ชิวหรันรู้จักเถิด!” เมื่อหวังเป่าเล่อพูดจบ กงเต๋าที่อยู่เบื้องหลังเขา ก็ยกมือคารวะเฟิ่งชิวหรันในทันที
“ข้าคือศิษย์น้องกงเต๋า บิดาของข้าคือต้วนมู่ฉี ประธานสหพันธรัฐคนปัจจุบันขอรับ!”
“ข้าคือศิษย์น้องโจวหลิน เป็นศิษย์สืบทอดของสำนักสหชุมนุมสกุณาขอรับ!”
“ข้าคือศิษย์น้องฟ่างมู่ บิดาของข้าเป็นเสนาบดีแห่งสหพันธรัฐขอรับ!”
“ข้าคือศิษย์น้อง …”
ถ้อยคำแนะนำตัวเช่นนี้ดังออกจากปากของพันธุ์กล้าสหพันธรัฐอย่างไม่ขาดสาย และก้องไปทั่วโถงใหญ่ เสียงของเจ้าเยี่ยเหมิงก็ดังมาจากเบื้องหลังของหวังเป่าเล่อเช่นกัน
“ข้าคือศิษย์น้องเจ้าเยี่ยเหมิง มารดาของข้าคือเจ้านครอาณานิคมดาวอังคารเจ้าค่ะ!”
หวังเป่าเล่อไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบรับในทันทีเมื่อได้ยิน เขากำลังจะอ้าปากแนะนำตนเองอย่างมั่นใจ แต่เมื่อคำพูดนั้นซึมลึกเข้าไปในสมอง เขาก็หันขวับไปมองเจ้าเยี่ยเหมิงที่อยู่เบื้องหลังด้วยดวงตาเบิกโพลง เจ้าเยี่ยเหมิงยังคงมีสีหน้าไร้อารมณ์ สมองของหวังเป่าเล่อปั่นป่วนเหมือนมีฝูงผึ้งบินวนอยู่ภายใน
“มารดาของเจ้าคือ…”
บทที่ 498 ขอโทษข้าเสีย!
โดย
Ink Stone_Fantasy
“มารดาของข้าคือเจ้านครอาณานิคมดาวอังคาร!” เจ้าเยี่ยเหมิงมองหวังเป่าเล่อ ก่อนตอบซ้ำอีกครั้งอย่างสงบนิ่ง
หากตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ที่สำนักวังเต๋าไพศาล หวังเป่าเล่อคงกระโดดโหยงด้วยความตกใจ แต่เขาทำเช่นนั้นไม่ได้ในสถานการณ์เช่นนี้ ชายหนุ่มจึงพยายามควบคุมอารมณ์และท่าทีตนเอง ก่อนหันกลับมาหายใจเข้าลึกเพื่อพูดเสียงดังฟังชัดอีกครั้ง
“ข้าคือศิษย์น้องหวังเป่าเล่อ เพิ่งเริ่มฝึกปราณได้ไม่ถึงสิบปี ตอนนี้ปราณของข้าอยู่ที่ขั้นกำเนิดแก่นชั้นต้นระดับสูง ข้าคือศิษย์เอกเพียงหนึ่งเดียวของสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าแห่งสหพันธรัฐ เป็นผู้นำของศิษย์หลายหมื่นหลายแสนคนจากสำนักทั้งสี่ และรับราชการเป็นเจ้าเมืองเขตนครพิเศษแห่งอาณานิคมดาวอังคาร ข้ามีผู้ฝึกตนผู้ใต้บังคับบัญชาหลายล้านคน ส่วนมากมักมีปราณอยู่ที่ขั้นลมหายใจเที่ยงแท้และรากฐานตั้งมั่น ข้าเพียงแค่ออกคำสั่งเท่านั้น และทุกคนก็จะทำตามในทันที!
“ศิษย์พี่ชิวหรัน พวกเราส่วนมากเพิ่งเริ่มฝึกปราณได้ไม่ถึงสิบปีเท่านั้น และพัฒนามาถึงจุดนี้ได้จากการฝึกฝนที่สหพันธรัฐ ซึ่งมีปริมาณปราณวิญญาณเบาบาง นอกจากนั้นผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐในที่แห่งนี้ทุกคนล้วนเป็นคนสำคัญของอาณาจักร มีทั้งบุตรชายของประธานสหพันธรัฐ บุตรสาวของเจ้านครอาณานิคมดาวอังคาร และศิษย์เอกมากมายจากหลายกลุ่มอำนาจการเมือง บัดนี้ พวกเราได้รับคำสั่งจากผู้นำของพวกเราให้มาประจำการที่นี่ตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ทุกสิ่งล้วนแสดงให้เห็นถึงความจริงใจของเราเป็นอย่างดี และแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริงของสหพันธรัฐที่จะเชื่อมสัมพันธไมตรีกับสำนักวังเต๋าไพศาล!”
“ทว่าวันนี้เรากลับโดนดูถูก ในเรื่องนี้นั้นข้าต้องการให้ศิษย์พี่ชิวหรันเป็นผู้ตัดสินขอรับ!” หวังเป่าเล่อทำมือคารวะ พร้อมก้มลงโค้งคำนับต่ำให้เฟิ่งชิวหรัน
แม้จะตื่นตัว แต่พันธุ์กล้าเบื้องหลังชายหนุ่มก็รู้สึกไม่สบายใจไปพร้อมๆ กัน พวกเขาสบถด่าหวังเป่าเล่อในใจ แต่ในเมื่อชายหนุ่มกล่าวเปิดไปแล้ว พันธุ์กล้าหลายคน เช่น หลี่อี้ก็ได้แต่ยกมือคารวะในแบบเดียวกัน แม้ในใจจะต่อต้านเพียงใดก็ตาม
“โปรดตัดสินด้วย ศิษย์พี่ชิวหรัน!”
เสียงของพันธุ์กล้าทั้งหนึ่งร้อยคนกังวานทั่วโถง ทุกคนจากสำนักวังเต๋าไพศาลเงียบกริบ แม้แต่ผู้ฝึกตนผมแดงก็เริ่มหายใจเร็วขึ้น เขายังคงดูแคลนพันธุ์กล้าจากสหพันธรัฐอยู่ในใจ แต่ก็รับรู้ได้ถึงความต้องการผูกสัมพันธ์อย่างจริงใจจากสหพันธรัฐเช่นกัน แม้ชายผมแดงผู้นี้จะไม่พอใจโครงการการทูตของเฟิ่งชิวหรัน แต่เขาก็รู้ตัวดีว่าตนเองไม่ได้มีสิทธิ์พูดในตอนนี้
คนอื่นๆ ที่ไม่พอใจเช่นกันก็เลือกที่จะไม่พูดอะไร เห็นได้ชัดว่าคำพูดของหวังเป่าเล่อหลักแหลมและมีผลเป็นอันมาก มันทั้งมีเหตุผล อีกทั้งไม่ได้ฟังดูหยิ่งยโสหรือโอนอ่อนยอมจำนน จึงทำให้ทุกคนอับจนซึ่งคำพูด และยังทำให้ทุกคนจำหวังเป่าเล่อได้ขึ้นใจ
เมี่ยเลี่ยจื่อไม่ได้พูดหรือมีปฏิกิริยาตอบรับใดๆ ทั้งสิ้น ส่วนโยวหรันยังคงหลับตาอยู่ แต่รอยยิ้มกลับปรากฏบนใบหน้าของเฟิ่งชิวหรัน ดวงตาของนางเป็นประกายด้วยแววชื่นชมหวังเป่าเล่อ เมื่อหลายสิบปีก่อน นางเอาชนะผู้กระด่างกระเดื่องภายในสำนักของตนในสถานการณ์ที่คล้ายกันนี้ แต่บัดนี้ แม้กระทั่งผู้ใต้บังคับบัญชาของนางยังรู้สึกได้ว่า อำนาจในการควบคุมทั้งสำนักเริ่มตกไปอยู่ในมือของเมี่ยเลี่ยจื่อ
ด้วยเหตุนี้นางจึงเริ่มปล่อยวาง ทว่าคำพูดของหวังเป่าเล่อทำให้ไฟแห่งความหวังในใจของนางกลับมาโชติช่วงอีกครั้ง อีกทั้งนางก็ยังรู้สึกได้ถึงความจริงใจของสหพันธรัฐด้วย เป็นไปไม่ได้เลยที่พันธุ์กล้าเหล่านี้จะโกหกเรื่องประวัติของตน เพราะการตามหาความจริงนั้นง่ายมาก เพียงแค่ต้องจ่ายเงินเล็กน้อยให้โมเกาจื่อเป็นค่าข้อมูลเท่านั้น
นอกจากนี้เฟิ่งชิวหรันยังเชื่อว่าหวังเป่าเล่อไม่ได้โกหก และหากเขาโกหกจริงนางย่อมหาทางเปลี่ยนคำโกหกนั้นให้กลายเป็นความจริงได้ และหากทุกอย่างเป็นเรื่องจริง ความมั่นใจของนางต่อโครงการการทูตจะพุ่งสูงขึ้นอีก
“ชื่อหลินและเหลียงหลง พวกเจ้าทั้งสอง… ขอโทษเดี๋ยวนี้!” เฟิ่งชิวหรันออกคำสั่งในทันที แม้จะเป็นหญิง แต่น้ำเสียงของนางก็เด็ดขาดเอาจริง ผู้ฝึกตนผมแดงที่นั่งอยู่เบื้องล่างเงียบไปสักพัก เขาสะกดความไม่พอใจเอาไว้ข้างใน ตั้งใจว่าจะขอโทษพอเป็นพิธี แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไร หวังเป่าเล่าก็ก้าวออกมาข้างหน้าและทำมือคารวะเขาเสียก่อน
“ศิษย์พี่ไม่จำเป็นต้องทำถึงเพียงนั้น ศิษย์น้องคนนี้คิดมากเกินไป หวังว่าศิษย์พี่จะไม่ถือโทษโกรธกันนะขอรับ” คำพูดของหวังเป่าเล่อทำให้เฟิ่งชิวหรันดวงตาเป็นประกายอีกครั้ง คราวนี้แววนั้นวาบขึ้นมาในดวงตาของเมี่ยเลี่ยจื่อเช่นกัน เขาหันมามองหวังเป่าเล่อเป็นครั้งแรกตั้งแต่มาถึง
ความรู้สึกอันแสนซับซ้อนปรากฏขึ้นในดวงตาของผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณคนอื่นๆ ผู้ฝึกตนผมแดงจ้องหวังเป่าเล่อ ก่อนจะหัวเราะออกมา
“ช่างเป็นชายหนุ่มที่คล่องแคล่วฉลาดเฉลียวอะไรเช่นนี้ ข้าหวังว่าพวกเจ้าทุกคนจะได้รับโอกาสอันดีในสำนักวังเต๋าไพศาลแห่งนี้ และเก็บเกี่ยวประโยชน์ไปได้มหาศาล!”
“ขอบพระคุณศิษย์พี่ขอรับ!” หวังเป่าเล่อคารวะผู้ฝึกตนผมแดงอีกครั้ง การกระทำของเขาทำให้ความตึงเครียดในโถงลดลงไปได้มาก การกระทำของเขาแสดงให้เห็นว่าหวังเป่าเล่อเป็นคนรู้จักแบ่งรับแบ่งสู้ และทำให้ทัศนคติของคนอื่นที่มีต่อเขาก่อนหน้านี้เปลี่ยนไป
ความเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ทุกคนจำหวังเป่าเล่อได้ขึ้นใจ แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ยอมอ่อนข้อให้เหลียงหลง ความจริงแล้ว หากขั้นปราณของเขาสูงพอ เขาก็จะไม่อ่อนข้อให้ผู้ฝึกตนผมแดงเช่นกัน ดังนั้นหลังจากที่ปรับท่ายืนให้อกผายไหล่ผึ่งแล้ว แววยั่วยุก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของชายหนุ่ม ขณะมองไปยังเหลียงหลงผู้ซึ่งยืนอยู่ข้างเมี่ยเลี่ยจื่อ
เหลียงหลงมีสีหน้าเคร่งขรึม เนื่องจากทำใจขอโทษผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐไม่ลง เขาหันไปหาเมี่ยเลี่ยจื่อ ผู้เป็นอาจารย์ออกคำสั่งหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง
“ขอโทษเสีย”
คำพูดนี้ทำให้เหลียงหลงโกรธเกรี้ยวยิ่งนักเมื่อหันมามองหวังเป่าเล่อ ดวงตาของเขาฉายชัดด้วยความไม่พอใจ แต่ก็ทำได้เพียงแค่ทนให้ผ่านๆ ไปเท่านั้น ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึกก่อนพูดอย่างไม่เต็มใจ
“ผิด!” กล่าวจบเหลียงหลงก็เบือนหน้าหนี จิตใจเต็มไปด้วยความไม่เป็นมิตร ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนโดนปรามาสต่อหน้าสาธารณชน
ทว่าหวังเป่าเล่อหมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องเอาคืนให้ได้ จึงไม่ยอมปล่อยโอกาสให้หลุดมือไปโดยเด็ดขาด ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นและถามย้ำอีกครั้ง
“ใครผิด ข้าหรือ”
“เจ้า!” เหลียงหลงหันมอบขวับทันทีที่ได้ยิน ความรู้สึกอาฆาตหวังเป่าเล่อทวีความรุนแรงขึ้นในใจ
“อะไรเล่า หากเจ้าไม่พอใจก็มาสู้กันเดี๋ยวนี้เลยดีหรือไม่ เดี๋ยวจะได้รู้กันว่าคนอย่างข้าทำอะไรได้บ้าง!” หวังเป่าเล่อจ้องเหลียงหลงเขม็งและพ่นลมเยาะเย้ย
เหลียงหลงกัดฟันกรอด ความต้องการสังหารในดวงตารุนแรงขึ้นอีก เขากำลังจะโต้กลับอีกครั้ง แต่เมี่ยเลี่ยจื่อกลับพ่นลมเยาะออกมา ก่อนลุกขึ้นยืนและเดินออกจากโถงไป เหลียงหลงรู้สึกเย็นวาบไปทั่วร่างจนถึงขั้วหัวใจ เมื่อรู้สึกได้ว่าอาจารย์ไม่พอใจในตัวเขา ชายหนุ่มจึงทำมือคารวะหวังเป่าเล่ออย่างขมขื่นจำใจ
“ข้า… ข้าผิดเอง!” จากนั้นเขาก็ค้อมหัวเดินตามอาจารย์ของตนไป ความต้องการสังหารหวังเป่าเล่อพุ่งถึงขีดสุดในวินาทีนั้นเอง
หวังเป่าเล่อหรี่ตามองเหลียงหลงที่กำลังเดินจากไป รังสีสังหารแบบเดียวกันวาบออกจากดวงตาชายหนุ่ม
ต้องหาทางฆ่าไอ้สวะนี่ให้ได้ มิเช่นนั้นมันจะหาเหามาใส่หัวข้าอย่างแน่นอน!
มีผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณสองคนออกไปพร้อมเมี่ยเลี่ยจื่อ โยวหรันเองก็ลืมตาขึ้นและพยักหน้าให้เฟิ่งชิวหรัน ก่อนจะจากไปพร้อมศิษย์ของตนและผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณอีกสองคน ไม่นานนักก็เหลือเพียงเฟิ่งชิวหรันและผู้ใต้บังคับบัญชาของนางเท่านั้นที่ยังอยู่ในโถง
เหลือผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณอยู่เพียงสี่คน และชื่อหลินผมแดงก็เป็นหนึ่งในนั้น!
ม่านตาหวังเป่าเล่อหดแคบ เขาหันไปสบสายตากับจั่วอี้ฟาน เจ้าเยี่ยเหมิง และกงเต๋า แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
เมื่อทุกคนออกไปแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าของเฟิ่งชิวหรันก็กว้างขึ้นอีก ขณะมองพันธุ์กล้าคนอื่นๆ และหวังเป่าเล่อ
“หวังเป่าเล่อ โปรดอย่าถือสาสิ่งที่เกิดขึ้นเลย ไม่ใช่ทุกคนในสำนักวังเต๋าไพศาลจะยอมรับสหพันธรัฐ และนั่นคือสิ่งที่เราต้องร่วมมือกันเปลี่ยนแปลง
“พวกเจ้าทุกคนจะอยู่ในสำนักของเราได้อย่างสงบสุขแน่นอน ข้าเตรียมการเอาไว้หมดแล้ว จากนี้พวกเจ้าก็ถือเป็นศิษย์แห่งสำนักวังเต๋าไพศาลเช่นกัน แต่มีสามสิ่งที่พวกเจ้าต้องเข้าใจเสียก่อน
“อย่างแรกก็คือ สำนักวังเต๋าไพศาลและสหพันธรัฐนั้นมีเรื่องที่คล้ายกันอยู่บ้าง แต่ก็มีข้อแตกต่างเช่นกัน ทุกสิ่งที่นี่แลกเปลี่ยนกันได้โดยใช้แต้มการรบ หลักการก็คือ หากพวกเจ้ามีแต้มการรบพอ พวกเจ้าก็จะใช้แลกเปลี่ยนกับอะไรก็ได้ในสำนักวังเต๋าไพศาลเพื่อเพิ่มพูนพลังปราณของตนเอง!
“อย่างที่สองคือ พวกเจ้าส่งกระบวนเวทที่ได้มากลับไปยังสหพันธรัฐได้ตามที่ตกลงกันไว้ เราจะไม่ห้าม แต่… ตอนนี้สถานการณ์ในสำนักวังเต๋าไพศาลเปลี่ยนไปเล็กน้อย ดังนั้นทางเราจึงต้องขอเก็บค่าธรรมเนียมจากพวกเจ้า ในราคาหนึ่งพันแต้มการรบ สำหรับทุกกระบวนเวทที่เจ้าส่งกลับไป!
“นอกจากนี้ การเรียนรู้กระบวนเวทก็ต้องใช้แต้มการรบเช่นกัน สำนักวังเต๋าไพศาลของเรามีกระบวนเวทอยู่มากมาย ซึ่งมีราคาตั้งแต่หนึ่งพันแต้มไปจนถึงหลายล้านแต้ม”
“ดังนั้นสิ่งที่พวกเจ้าควรสนใจมากที่สุด คือการสะสมแต้มการรบ… แต้มนั้นได้มาจากการทำภารกิจที่ทางสำนักประกาศเอาไว้ หรือโดยการทำประโยชน์บางอย่างให้สำนัก” เฟิ่งชิวหรันหยุดชั่วขณะ เพื่อมองใบหน้าของหวังเป่าเล่อและคนอื่นๆ
“พวกเจ้าเพิ่งมาถึงสำนักนี้เป็นครั้งแรก และถือเป็นศิษย์รุ่นบุกเบิกจากสหพันธรัฐ ทุกคนจะได้เรียนกระบวนเวทที่ชื่อว่ากระบวนเวทไพศาล อันเป็นกระบวนเวทพื้นฐานสำหรับศิษย์แห่งสำนักผู้มีปราณระดับรากฐานตั้งมั่น ซึ่งเหมาะสมกับสถานการณ์ของพวกเจ้า
“ทางเราจัดเตรียมทุกสิ่งเอาไว้เรียบร้อยแล้ว พวกเจ้าจะแยกกันไปประจำการที่เกาะต่างๆ นอกสำนัก ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพวกเจ้าจะตั้งใจฝึกพลังปราณอย่างเต็มความสามารถ และรวมเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับสำนักวังเต๋าไพศาลได้อย่างสามัคคี!”
จากนั้น เฟิ่งชิวหรันก็หันมามองหวังเป่าเล่อด้วยแววตาชื่นชมที่ไม่ได้พยายามจะปกปิด
“สำหรับเจ้า หวังเป่าเล่อ ในฐานะที่เป็นผู้มีปราณขั้นกำเนิดแก่นในเพียงคนเดียวจากผู้ฝึกตนของสหพันธรัฐทั้งหมด ข้าจะไม่มอบกระบวนเวทไพศาลให้เจ้า แต่เจ้าจะได้รับแต้มการรบหนึ่งพันแต้ม เพื่อใช้เลือกกระบวนเวทอะไรก็ได้ที่เจ้าต้องการ จากหอตำรากระบวนเวทไพศาล!”
บทที่ 499 กระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลง!
โดย
Ink Stone_Fantasy
ด้วยแผนการที่เฟิ่งชิวหรันวางไว้ให้ เหล่าพันธุ์กล้ายังไม่ทันได้มีเวลาพูดคุยกัน ก็ต้องตามผู้ใต้บังคับบัญชาของนางไปเสียก่อน ทุกคนได้รับชุดคลุมของสำนักวังเต๋าไพศาล รวมถึงข้อมูลและแผนที่ของสำนัก พวกเขาถูกพาตัวไปทีละคน จนเหลือเพียงหวังเป่าเล่อที่ยังอยู่ในตำหนักวังเต๋าไพศาลบนยอดเขา ดูเหมือนเฟิ่งชิวหรันจะเตรียมการอย่างอื่นไว้ให้เขา จึงไม่ได้ส่งหวังเป่าเล่อไปประจำการที่ใดในทันทีเหมือนคนอื่น แต่กลับให้ศิษย์ในอาณัตินำหวังเป่าเล่อไปที่ห้องพักภายในตำหนักแทน
สำนักวังเต๋าไพศาลนั้นกว้างใหญ่ไพศาลสมชื่อ และเต็มไปด้วยห้องหับมากมาย แต่ห้องส่วนมากไม่มีเจ้าของ เนื่องจากศิษย์ที่กลับจากการปฏิบัติภารกิจที่เกาะรอบนอก จะพักในห้องเหล่านี้เพียงไม่กี่วัน ก่อนออกไปประจำการต่อ
ดังนั้นทุกสิ่งจึงเงียบสงัด ขณะที่หวังเป่าเล่อเดินตามคนของสำนักไปยังบริเวณห้องพัก มีศิษย์เดินไปเดินมาให้เห็นอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ที่เดินนำเขาไปที่พัก หรือคนอื่นๆ ที่เขาพบเจอในบริเวณห้องพักของตำหนัก ทุกคนต่างมองเขาผู้เป็นผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐด้วยความรังเกียจ แม้จะไม่แสดงออกให้เห็นทางสีหน้าก็ตาม หากเทียบกับศิษย์เหล่านี้ที่ใช้ชีวิตเหมือนไข่ในหินอยู่แต่เพียงในโลกกระบี่สำริดเขียวโบราณ ประสบการณ์ของหวังเป่าเล่อแซงหน้าพวกเขาไปมาก จนอาจเรียกได้ว่าชายหนุ่มเป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ก็ไม่ผิดนัก
ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงสัมผัสถึงความจงเกลียดจงชังในใจพวกเขาได้อย่างชัดเจน
ไอ้พวกไร้น้ำยาพวกนี้ หากสู้กันจริงข้าคงฆ่าพวกมันตายได้สิบคนชนิดที่ไม่ต้องกระดิกนิ้ว! หวังเป่าเล่อเย้ยอยู่ในใจ และไม่ได้สนใจปลาซิวปลาสร้อยเหล่านี้อีกต่อไป หลังจากที่ไปถึงห้องพัก ชายหนุ่มก็หยิบแผ่นหยกเครือข่ายวิญญาณของสหพันธรัฐออกมา เพื่อติดต่อจั่วอี้ฟานและคนอื่นๆ ในทันที
แผ่นหยกเครือข่ายวิญญาณนี้ยอดเยี่ยมเหมือนที่ต้วนมู่ฉีกล่าวไว้ แผ่นหยกนี้ทำให้พวกเขาติดต่อกันได้บนกระบี่สำริดเขียวโบราณ และมีสองระบบการใช้งานด้วยกัน ระบบแรกทำงานเหมือนระบบโทรสื่อสารที่ใช้กันในสหพันธรัฐ ส่วนอีกระบบคือการสร้างห้องสนทนากลุ่มที่มีทุกคนอยู่ในนั้น เมื่อหวังเป่าเล่อเปิดแผ่นหยกขึ้น หลายคนก็กำลังคุยกันอยู่ในห้องรวมนั้นแล้ว
พันธุ์กล้าหลายคนเดินทางถึงที่หมายเรียบร้อย และกำลังพูดถึงเกาะที่ตนเองถูกส่งไปประจำอยู่ ส่วนหลายคนก็กำลังเดินทางเนื่องจากเกาะอยู่ไกลกว่าเพื่อน ส่วนใหญ่รู้สึกประหม่ากระวนกระวายในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย จึงทำให้ห้องรวมนั้นเต็มไปด้วยข้อความมากมายที่ไหลเข้ามาไม่ขาดสาย
ในขณะเดียวกันก็มีหลายคนที่หาข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนเวทไพศาล และกำลังแบ่งปันข้อมูลให้คนอื่นๆ ทราบด้วยความประหลาดใจ ไม่นานนักหลายคนก็เริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนเวทไพศาลเช่นกัน จนหัวข้อนี้กลายมาเป็นหัวข้อหลักของการสนทนา
เมื่อเห็นทุกคนคุยเรื่องกระบวนเวทใหม่ที่ได้รับมา หวังเป่าเล่อก็เริ่มกระวนกระวายใจ
ทุกคนมีกระบวนเวทไว้ในครอบครองแล้ว หากใครรีบส่งกลับไปก่อน ข้าจะไม่ตามหลังเขาหรอกหรือนี่
แต่การจะส่งกลับไปได้ก็ต้องใช้แต้มการรบถึงหนึ่งพันแต้ม แถมตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าไอ้แต้มนี่มันหายากหรือหาง่ายขนาดไหน… คงไม่ง่ายหรอกกระมัง… ชายหนุ่มรู้สึกมั่นใจขึ้นเมื่อคิดได้ดังนั้น เขาวางแผนว่าจะไปที่หอตำรากระบวนเวทไพศาล เพื่อหากระบวนเวทที่เหมาะกับตน
แต่ก่อนจะไปเขามีเรื่องสำคัญกว่าให้ตอนทำ หวังเป่าเล่อหายใจเข้าลึกด้วยความมุ่งมั่น และหลังจากที่คิดกลับไปกลับมาด้วยความลังเลใจอยู่สักพัก ชายหนุ่มก็หยิบแผ่นหยกในมือขึ้นมาโทรหาเจ้าเยี่ยเหมิง
“เยี่ยเหมิง ได้ยินข้าหรือไม่”
“มีธุระอันใด!” ไม่นานนัก เสียงราบเรียบของเจ้าเยี่ยเหมิงก็ตอบกลับมา
“ฮ่าๆ วันนี้อากาศดีนะเจ้าว่าไหม แล้ว… มารดาของเจ้าคือท่านเจ้านครดาวอังคารเช่นนั้นหรือ” แม้หวังเป่าเล่อจะเคยถามไปแล้วก่อนหน้านี้ แต่เขาก็ยังตกใจกับข้อมูลใหม่นี้อยู่มาก จนต้องถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
“แล้วจะทำไมเล่า เจ้ามีปัญหาเช่นนั้นหรือ” น้ำเสียงราบเรียบของเจ้าเยี่ยเหมิงเจือความเฉียบขาดอยู่
เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่ไม่ใคร่เป็นมิตรจากปลายสาย หวังเป่าเล่อก็รู้สึกทันทีว่าปัญหากำลังจะมาเยือน ความจริงแล้วตอนอยู่บนดาวพุธ เขาก็เริ่มรู้สึกแล้วว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล ตอนนี้เมื่อได้รู้ประวัติของเจ้าเยี่ยเหมิง เขาก็ยิ่งรู้สึกผิด ดังนั้นชายหนุ่มจึงสูดหายใจเข้าอีกครั้ง และตอบกลับไปอย่างอ่อนโยน
“เยี่ยเหมิง ข้าขอขอบคุณเจ้าจริงๆ นะ สำหรับเวลาหลายปีที่ข้าอาศัยอยู่บนดาวอังคาร…”
เมื่อได้ยินดังนั้น เจ้าเยี่ยเหมิงก็เงียบไปชั่วครู่ ดูเหมือนนางจะใจเย็นลงแล้ว แต่สิ่งที่นางพูดต่อไปกลับทำให้หวังเป่าเล่อหัวใจเต้นผิดจังหวะ
“นอกจากข้าแล้ว เจ้าก็ต้องขอบคุณหลี่หว่านเอ๋อร์ด้วยมิใช่หรือ” แล้วเจ้าเยี่ยเหมิงก็ตัดสายไป
“หา?” หวังเป่าเล่อเบิกตากว้าง ก่อนจะตบหน้าผากตัวเองดังลั่นหลังจากผ่านไปพักใหญ่ และถอนหายใจออกมา ตอนที่รู้ว่าเจ้าเยี่ยเหมิงเป็นบุตรสาวของเจ้านครดาวอังคาร เขาก็รู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่าความสัมพันธ์ของเขากับหลี่หว่านเอ๋อร์ที่ควรจะเป็นความลับนั้น คงไม่เล็ดรอดการรู้เห็นของเจ้านครไปได้
ดูเหมือนว่าเจ้าเยี่ยเหมิงก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน
แต่ว่า… ข้ากับเจ้าเยี่ยเหมิงเป็นดั่งพี่น้องกัน หรือว่า… นางจะชอบพอหลี่หว่านเอ๋อร์ หวังเป่าเล่อหัวเราะอย่างขมขื่น ก่อนจะส่ายหน้าและถอนใจอีกครั้ง ไม่นานนักเขาก็นึกถึงจินตั้วหมิง และกัดฟันกรอดในทันทีด้วยแววตาเบิกโพลง
“ไอ้เจ้าจินตั้วหมิง หมอนั่นรู้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่กลับพยายามหลอกข้าตอนที่อยู่ที่ศูนย์วิจัยด้วยกัน ไอ้เลวนี่ รอก่อนเถิด!” หวังเป่าเล่อพึมพำด่า ก่อนนวดหน้าผากตนเองคลายเครียด เขารู้สึกเหนื่อยกับเรื่องนี้เหลือเกิน จึงตัดสินใจว่าจะไม่คิดต่อ หลังจากทำให้ตนเองใจเย็นลง ชายหนุ่มสังเกตเห็นว่าท้องฟ้ายังสว่างอยู่ จึงเปลี่ยนชุดคลุมแบบเต๋าไปเป็นชุดคลุมโบราณของสำนักวังเต๋าไพศาล และออกไปเดินเล่นข้างนอกพร้อมมุ่งหน้าไปยังหอตำรากระบวนเวทไพศาล โดยถือแผนที่สำนักไว้ในมือ
หอตำรากระบวนเวทไพศาลตั้งอยู่หลังขุนเขา ไม่ไกลจากพื้นที่ต้องห้ามของสำนักวังเต๋าไพศาลนัก ชายหนุ่มเดินลัดเลาะตัดผ่านตรอกซอกซอยแคบๆ ไปตามแผนที่ ลมร้อนระอุพัดเข้าปะทะใบหน้า ไม่นานนักเขาก็มาถึงหอตำราในที่สุด
หอตำราเป็นตึกทรงห้าเหลี่ยม มีทั้งหมดสี่ชั้นด้วยกัน ทุกชั้นมีกระดิ่งแขวนอยู่ภายนอกส่งเสียงดังเสนาะหูเมื่อลมพัดมา เสียงกระดิ่งเหมือนมีพลังวิเศษที่ทำให้หวังเป่าเล่อใจเย็นลงมากเมื่อได้ยิน เมื่อเดินมาถึงหอตำรา เสียงกระดิ่งที่ดังอย่างต่อเนื่องก็ทำให้อารมณ์ของเขากลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
น่าทึ่งเสียจริง หวังเป่าเล่อกะพริบตาปริบ ชายหนุ่มเห็นว่าประตูหอตำรานั้นปิดอยู่โดยไม่มีใครเฝ้ายาม เขาจึงก้าวต่อไปข้างหน้าสองสามก้าว ทันใดนั้นพลังจิตสัมผัสวิญญาณก็พวยพุ่งออกมาจากหอตำรา พัดเข้าใส่เขาเหมือนต้องการยืนยันตัวตน ก่อนประตูจะเปิดออกโดยอัตโนมัติ
เรื่องนี้ทำให้หวังเป่าเล่อทึ่งเป็นอย่างมาก เมื่อเข้าไปในหอตำราเรียบร้อย ชายหนุ่มก็รีบทำมือคารวะและโค้งคำนับทุกทิศทาง
“ศิษย์หวังเป่าเล่อขอคารวะศิษย์พี่”
แต่รออยู่นานสองนานก็ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา ด้วยเหตุนี้หวังเป่าเล่อจึงหรี่ตาลง พลางคิดสงสัยอยู่ในใจว่าหอตำรากระบวนเวทไพศาลนี้ใช่วัตถุเวทหรือไม่ และการตรวจสอบยืนยันตัวตนเมื่อครู่ใช่พลังของวิญญาณวุธหรือเปล่า
ชายหนุ่มเก็บความสงสัยไว้ในใจ ก่อนจะพลิกผ่านแผ่นหยกมากมายบนชั้นหนังสือเบื้องหน้าที่ชั้นแรกของหอตำรา ส่วนใหญ่เป็นกระบวนเวทที่มีคำอธิบายสั้นๆ พร้อมจำนวนแต้มการรบที่ต้องใช้แลกเขียนกำกับอยู่ แผ่นหยกเหล่านั้นส่วนมากมีราคาหนึ่งพันแต้ม แต่ก็มีบางแผ่นที่ราคาสูงกว่านั้น
“เคล็ดเวทผสานปฐมบทแห่งหายนะ!”
“วิชากายาทองคำแห่งเต๋า!”
“เคล็ดเวทมังกรเมฆาหนึ่งลมหายใจ!”
หวังเป่าเล่อพลิกหยิบแผ่นหยกแต่ละแผ่นขึ้นมาดูอย่างรวดเร็ว ยิ่งอ่านก็ยิ่งตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ สำหรับเขาแล้ว วิชาที่ต้องใช้แต้มหนึ่งพันแต้มส่วนใหญ่เทียบเท่ากับวิชาชั้นสูงที่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ และนี่เพิ่งชั้นแรกของหอตำราเท่านั้น
หวังเป่าเล่อหายใจเข้าลึกอีกครั้งก่อนจะขึ้นไปยังชั้นสอง ที่มีชั้นวางหนังสือซึ่งเรียงรายไปด้วยแผ่นหยกแน่นขนัดเหมือนชั้นแรกไม่มีผิด นอกจากหวังเป่าเล่อแล้วยังมีศิษย์จากสำนักวังเต๋าไพศาลอีกสามคนที่อยู่ที่นั่นเช่นเดียวกัน แต่ละคนกำลังสาละวนอยู่กับการเลือกเคล็ดวิชาให้ตนเอง และทำเพียงแค่ปรายตามองหวังเป่าเล่อไวๆ โดยไม่ได้สนใจเขาแต่อย่างใด
กระบวนเวทของชั้นนี้ยิ่งทำให้หวังเป่าเล่อตื่นเต้นขึ้นไปอีก เขาสังเกตว่ากระบวนเวทที่ชั้นสองนั้นทรงพลังกว่ากระบวนเวทที่ดีที่สุดของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์มากนัก สิ่งที่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์มีเป็นเพียงกระบวนเวทที่มีอยู่ทั่วไปเป็นร้อยเป็นพันในที่แห่งนี้เท่านั้น
แล้วยังมีชั้นสามกับชั้นสี่อีกนะนี่… ชายหนุ่มตัดสินใจว่าจะขึ้นไปดูชั้นสาม แต่ทันทีที่เหยียบบันได ก็โดนกำแพงแสงสว่างเรืองรองสกัดไว้เสียก่อน ชายหนุ่มเข้าใจว่าอาจเป็นเพราะสิทธิ์ของเขายังไม่ถึง หรือไม่ก็ต้องมีปราณสูงถึงระดับหนึ่งก่อนจึงจะขึ้นไปได้
น่าเสียดายจริง ข้าสงสัยนักว่าตนเองจะมีโอกาสได้ขึ้นไปดูข้างบนบ้างไหม ชายหนุ่มส่ายศีรษะก่อนจะตัดสินใจเดินสำรวจชั้นสองต่อไป เขาเริ่มคัดเลือกวิชาที่เหมาะกับตนอย่างจริงจัง โดยอ่านแผ่นหยกทุกแผ่นอย่างละเอียดและคิดวิเคราะห์ให้รอบด้าน ก่อนจะหยิบอีกแผ่นขึ้นมาดู
ไม่นานนักเวลาก็ผ่านไปอีกครึ่งชั่วโมง เขาเลือกวิชาที่ตนชอบมาได้สามวิชา แต่ก็ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเอาวิชาใด หวังเป่าเล่อหยิบแผ่นหยกแผ่นใหม่ขึ้นมาอ่านเรื่อยๆ และขณะที่เขากำลังหยิบแผ่นหนึ่งขึ้นมานั้น เสียงของแม่นางน้อยก็ดังก้องอยู่ในหัว
“เหตุใดวิชานี้จึงมาอยู่ที่นี่กัน… เป่าเล่อ เลือกอันนี้เลย!”
หวังเป่าเล่อก้มลงมองวิชาที่ตนเองถืออยู่ในมือ ชื่อกระบวนเวทเด่นหราอยู่บนแผ่นหยกเบื้องหน้าเขา
กระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลง!
บทที่ 500 แต้มการรบสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด!
โดย
Ink Stone_Fantasy
กระบวนเวทนี้มีคำอธิบายอยู่ประโยคเดียว
สวรรค์และผืนดินเปลี่ยนผันด้วยปลายดรรชนีอัสนีนิรันดร์!
แม้จะฟังดูยิ่งใหญ่ตระการตา แต่ในความเป็นจริง คำอธิบายอีกหลายวิชาที่หวังเป่าเล่อได้อ่านมา บรรยายไว้อลังการกว่านี้มาก หนำซ้ำคำบรรยายของกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงนั้นดูแห้งๆ อย่างไรชอบกล
หวังเป่าเล่อรู้สึกลังเลเมื่ออ่านจบ แต่เมื่อคิดว่าตลอดมาแม่นางน้อยพึ่งพาได้มากเพียงใด เขาก็ตัดสินใจแลกแต้มการรบเพื่อวิชานี้ แม้แม่นางน้อยจะดูไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอยเรื่องวัตถุเวทแห่งความมืด แต่หวังเป่าเล่อก็รู้สึกว่าตนไม่ควรทำให้นางไม่พอใจ โดยเฉพาะตอนที่อยู่บนกระบี่สำริดเขียวโบราณอันเป็นบ้านเกิดของนาง
เมื่อตัดสินใจได้ หวังเป่าเล่อก็ตรวจสอบจำนวนแต้มการรบที่ต้องใช้แลกเปลี่ยน ก่อนจะใช้แต้มเพื่อเปิดดูวิชานั้นในทันที และเมื่อแผ่นหยกเปิดออก จิตใจของชายหนุ่มก็ปั่นป่วนบ้าคลั่ง รังสีพลังแผ่กระจายออกจากแผ่นหยกและพุ่งเข้าใส่จิตของเขาทันที วิชากระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงฉบับเต็มประทับตราลงในสมองของเขาโดยพลัน
กระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงมีทั้งหมดสี่ขั้นและหนึ่งกระบวนท่าพิเศษ
ทั้งสี่ขั้นนั้นคล้ายคลึงกับขั้นต้น ขั้นกลาง ขั้นปลาย และขั้นสมบูรณ์ของปราณกำเนิดแก่นในทั่วไป ส่วนกระบวนท่าพิเศษนั้น เป็นเคล็ดเสริมหนึ่งเดียวที่จะทำให้ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในบรรลุปราณขั้นจุติวิญญาณได้!
กระบวนเวทขั้นต้น มีนามว่ากระบวนเวทเสริมอัสนี!
กระบวนเวทขั้นต้นนี้ค่อนข้างตรงไปตรงมา เมื่อฝึกฝนขั้นนี้สำเร็จ ผู้ฝึกกระบวนเวทจะสามารถเรียกสายฟ้าเข้าไปในร่างกายของตน รวมถึงสมบัติเวทที่ตนครอบครอง เพื่อเพิ่มพลังการโจมตี และทำให้คู่ต่อสู้สูญเสียความรู้สึกชั่วขณะ หากได้ใช้จะต้องเป็นกระบวนเวทที่ทรงพลังมากอย่างแน่นอน
ตั้งแต่ขั้นที่สองเป็นต้นไป กระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงก็เริ่มทวีความลึกลับขึ้นเรื่อยๆ ขั้นที่สองนี้มีนามว่าอัสนีอวตาร คือการสร้างร่างอวตารจากสายฟ้า โดยมีพลังส่วนหนึ่งของผู้ใช้กระบวนเวทอยู่ในกายด้วย เมื่อร่างอวตารระเบิดตัวเอง พลังทำลายล้างจะมหาศาลมากจนอาจถึงชีวิต
ขั้นที่สามมีนามว่าอัสนีตีจาก วิชานี้ตรงตามชื่อ เพราะเป็นการใช้ศาสตร์เวทอสนีบาตเพิ่มความเร็วในการเคลื่อนไหว จากที่เร็วอยู่แล้วเป็นเร็วมากขึ้นอีกจนยากหาผู้ใดทัดเทียม นอกจากนี้กระบวนเวทอัสนีตีจากยังมีเคล็ดลับอยู่อีก คือการใช้กระบวนเวทนี้สลับกับอัสนีอวตารซึ่งเป็นขั้นที่สอง เพื่อเคลื่อนย้ายและเปลี่ยนถ่ายร่างของตนตามใจชอบ จากร่างอวตารหนึ่งไปสู่อีกร่างหนึ่ง!
หากบรรลุขั้นที่สามของกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงแล้ว เป็นเรื่องยากมากที่ผู้ใช้วิชานี้จะถูกสังหาร การเพิ่มความเร็วอย่างไร้ผู้ใดเทียบเทียม และการเปลี่ยนถ่ายจากร่างหนึ่งไปสู่อีกร่างหนึ่งได้ในทันที ทำให้แทบไม่อาจคาดเดาผู้ใช้วิชานี้ได้เลย!
ขั้นที่สี่นั้นมีนามว่า… พิกัดอัสนีนิรันดร์!
ผู้ที่สามารถฝึกขั้นที่สี่ของกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงได้ต้องมีปราณขั้นกำเนิดแก่นในชั้นสมบูรณ์ขึ้นไปเท่านั้น พลังการต่อสู้ของขั้นที่สี่รุนแรงแซงหน้าสามขั้นก่อนหน้าไปมาก จนอาจเรียกได้ว่าเป็นไพ่ตายของกระบวนเวทนี้เลยก็ว่าได้!
วิชาที่ทรงพลังถึงเพียงนี้ ในความเป็นจริงแล้วควรจะมีผู้ใช้มากมาย แต่ผู้ที่ฝึกวิชานี้กลับมีไม่มากนัก เนื่องจากมีข้อจำกัดอยู่สองข้อ ข้อแรกคือ ผู้ฝึกตนผู้นั้นจะต้องเลือกกระบวนท่าเต๋าสายฟ้าเมื่อครั้งยังมีปราณขั้นรากฐานตั้งมั่น จึงจะสามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่วิชาอัสนีนิรันดร์จำแลงได้หลังจากที่บรรลุปราณขั้นกำเนิดแก่นในแล้ว
ข้อจำกัดข้อที่สองคือ วิชานี้ยังไม่สมบูรณ์ เนื่องจากไม่มีวิธีบรรลุเขียนกำกับไว้ จึงเป็นเรื่องยากอย่างยิ่งยวดที่จะก้าวข้ามขั้นกำเนิดแก่นในไปยังขั้นจุติวิญญาณได้ ทำให้ท้าทายกว่าวิชาอื่นๆ มากนัก
ข้อจำกัดทั้งสองนี้ทำให้ทั้งราคาแต้มการรบและผู้ที่ฝึกวิชานี้มีน้อยนัก อย่างไรเสียที่ชั้นสองนี้ก็มีกระบวนเวทที่ทรงพลังพอๆ กับกระบวนท่าเต๋าสายฟ้าอยู่ถึงเจ็ดหรือแปดวิชาด้วยกัน และมีอยู่หลายวิชาที่ทรงพลังยิ่งกว่ากระบวนท่าเต๋าสายฟ้าไปหลายขุม แต่ก็มีราคาแพงหูฉี่จนต้องจ่ายถึงหลายหมื่นหลายแสนแต้มการรบ
กระบวนเวทที่ล่อตาล่อใจหวังเป่าเล่อที่สุด มีนามว่ากระบวนเวทเทพเจ้าอัสนีประพาส แต่กระบวนเวทนี้เป็นหนึ่งในวิชาที่แพงที่สุดในชั้นสอง โดยมีราคาสูงถึงหลายแสนแต้มเลยทีเดียว
ทุกอย่างต้องใช้แต้มการรบไปเสียหมด… กว่าเขาจะออกจากหอตำรากระบวนเวทไพศาลฟ้าก็มืดแล้ว ท้องฟ้านี้เปลี่ยนสภาพไปตามกลไกของวงแหวนปราณขนาดยักษ์จากกระบี่โบราณ ยามกลางวันเคลื่อนคล้อยเป็นเวลากลางคืน
แม้สีของท้องฟ้าจะเปลี่ยนไป แต่ลมร้อนระอุแห้งผากก็ยังคงพัดโหม ลมร้อนนั้นทำให้หวังเป่าเล่อหลับตาลง หลังจากมองยอดแต้มการรบของตนเองที่เปลี่ยนเป็นเลขศูนย์
หากจะฝึกปราณก็ต้องใช้แต้มการรบแลกโอสถ!
หากจะหลอมอาวุธเวทก็ต้องใช้แต้มการรบแลกวัตถุดิบ!
หากจะเรียนกระบวนเวทใหม่ก็ต้องใช้แต้มการรบปลดแผ่นหยก!
สรุปแล้วก็คือหากอยากเป็นประธานสหพันธรัฐ ก็ต้องใช้แต้มการรบแลกมา!
ไอ้เวรเอ๊ย… หากจะหาคู่รักในสำนักวังเต๋าไพศาล ก็มิต้องใช้แต้มการรบแลกมาด้วยหรือนี่! หวังเป่าเล่อส่ายหน้า เขาตั้งมั่นว่าตนจะต้องหาแต้มการรบมาให้ได้ เนื่องจากแต้มนั้นสำคัญกว่าทุกสิ่ง แต่ก่อนอื่นเขาต้องเข้าใจสำนักแห่งนี้ให้มากขึ้นก่อน รวมถึงหาเวลาฝึกกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงด้วย
ส่วนเรื่องวิชาที่ไม่สมบูรณ์นั้น หวังเป่าเล่อไม่ได้สนใจมากนัก เขามั่นใจว่าตนเองจะต้องหาทางได้ในที่สุด เนื่องจากตลอดชีวิตที่ผ่านมา เขาก็สู้ด้วยลำแข้งของตนมาตลอด
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ เมื่อคิดว่าเขามาถึงจุดนี้ได้ด้วยความสามารถของตนเอง แม้จะไม่ได้มาจากตระกูลสูงส่งหรือมีผู้ทรงอำนาจหนุนหลังก็ตาม
“แม่นางน้อย ข้าคงต้องพึ่งเจ้าเพื่อบรรลุปราณจากวิชาที่ไม่สมบูรณ์แล้วนะ” หวังเป่าเล่อส่งเสียงให้แม่นางน้อยทราบ ขณะเดินทางกลับไปยังห้องพักของตน แต่ก่อนจะนั่งขัดสมาธิเพื่อเริ่มฝึกปราณ ชายหนุ่มก็หยิบถุงขนมออกมาจากกระเป๋า เขาเลียขนมไปหลายรอบ ก่อนจะเก็บกลับเข้าที่เดิมเนื่องจากทำใจกินไม่ลง
ปัญหาใหญ่อีกปัญหาหนึ่ง… ข้าต้องหาให้ได้ว่าบนกระบี่สำริดโบราณนี่มีขนมขายหรือไม่…
เวลาเดินหน้าผ่านไป หวังเป่าเล่อจดจ่ออยู่กับการฝึกปราณจนผ่านไปครึ่งเดือน ระหว่างนั้น ชายหนุ่มฝึกกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงไปด้วย และหาข้อมูลเกี่ยวกับสำนักวังเต๋าไพศาลและกระบี่สำริดเขียวโบราณไปด้วย ห้องสนทนากลุ่มกลายเป็นช่องทางการติดต่อสื่อสารหลักและเป็นที่แลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างพันธุ์กล้าสหพันธรัฐด้วยกันเอง
แม้ทุกคนจะสงวนท่าทีปิดบังข้อมูลกันบ้าง และบางครั้งก็มีเรื่องที่ไม่ลงรอยกัน แต่ทุกคนก็เข้าใจดีว่าพวกเขามีแค่กันและกันเท่านั้นในยามที่จากบ้านมาไกลเช่นนี้
ดังนั้นทุกคนจึงแบ่งปันข้อมูลกันในห้องสนทนากลุ่ม ด้วยความร่วมมือของคนทั้งหนึ่งร้อยคน ไม่นานนักพวกเขาก็เข้าใจเรื่องราวของกระบี่สำริดเขียวโบราณและสำนักวังเต๋าไพศาลมากขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น สำนักวังเต๋าไพศาลประกอบไปด้วยหมู่เกาะประมาณสี่ร้อยเกาะ และมีประชากรอยู่หลายล้านคน แต่ละเกาะยกเว้นเกาะใหญ่สุดที่มีตำหนักหลักตั้งอยู่ ได้รับการแบ่งลำดับชั้นตามขั้นปราณแต่ละขั้น เกาะที่แข็งแกร่งและพรั่งพร้อมที่สุดปกครองโดยผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณ และผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในบางคน ส่วนที่เหลือนั้นแบ่งสันปันส่วนกันไประหว่างผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่น และผู้ฝึกตนขั้นลมหายใจเที่ยงแท้
คุณภาพของแต่ละเกาะขึ้นอยู่กับปริมาณปราณวิญญาณที่แต่ละเกาะผลิตและไหลเวียนอยู่ภายใน เหล่าพันธุ์กล้าแต่ละคนถูกกระจายไปตามเกาะต่างๆ บางคนก็โดนแยกออกไปเสียจนโดดเดี่ยว แต่ก็ยังสรรหาทรัพยากรมาได้โดยง่าย บางคนได้ไปประจำการภายใต้การบัญชาของผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นใน และไม่มีปัญหาเรื่องการหาสิ่งของจำเป็นมาช่วยในการฝึกปราณเช่นกัน
ดูเหมือนว่าเฟิ่งชิวหรันตั้งใจเป็นอย่างมากที่จะทำให้โครงการการทูตนี้ประสบความสำเร็จ เหล่าพันธุ์กล้าได้รับการปกป้องจากฝ่ายแสงสว่างของสำนัก และแต่ละคนก็ได้รับทรัพยากรในปริมาณที่ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก มีเพียงคนที่มีภูมิหลังดีเยี่ยมอย่างกงเต๋าและเจ้าเยี่ยเหมิงเท่านั้น ที่ได้รับสิ่งต่างๆ มากกว่าคนอื่นเล็กน้อยเพื่อช่วยในการฝึกปราณ
ก่อนหน้านี้หวังเป่าเล่อไม่ได้รู้สึกกังวลใดๆ ทว่าเมื่อเวลาเดินหน้าผ่านไปครึ่งเดือน และทุกคนได้รับหน้าที่บนเกาะที่ตนไปประจำเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็เริ่มกระวนกระวายใจขึ้นมา เพราะจนถึงบัดนี้เขายังคงอาศัยอยู่ในห้องพักเดิม และยังไม่รู้ชะตากรรมของตนว่าสำนักจะส่งเขาไปประจำที่ใด
เกิดสิ่งใดขึ้นกันนะ… หวังเป่าเล่อเริ่มรู้สึกยุ่งยากใจ ชายหนุ่มต้องการรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาเพิ่งมาถึงได้ไม่นาน จึงยังไม่มีสหายแม้แต่คนเดียวในสำนักแห่งนี้ นอกจากนี้เขายังใช้เวลาส่วนมากไปกับการฝึกพลังปราณอยู่คนเดียว และรับข้อมูลทั้งหมดจากการอ่านข้อความในห้องสนทนากลุ่ม จึงไม่ค่อยได้ออกไปเตร็ดเตร่ข้างนอกมากนัก
จะมามัวรีรออยู่อย่างนี้คงไม่ได้การ… สามวันผ่านไป เมื่อหวังเป่าเล่อรู้แน่แล้วว่าเขายังไม่ได้รับมอบหมายงานใด ชายหนุ่มก็เริ่มคิดว่าตนเองควรหาแต้มการรบเพิ่ม
ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงเลิกฝึกปราณและออกไปดูโลกภายนอก เขาตามหาจุดที่สำนักประกาศภารกิจจนเจอจากบนแผนที่ จุดประกาศนั้นเป็นแผ่นหินขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางหุบเขาภายในสำนักวังเต๋าไพศาล
พลังกดดันที่แผ่นหินปล่อยออกมานั้นรุนแรง บนพื้นผิวมีอักษรโบราณส่องสว่างอยู่เต็มไปหมด พลังประหลาดที่แผ่นหินปล่อยออกมาทำให้เกิดคลื่นพลังงานกระจายออกไปทั่วบริเวณอยู่ตลอดเวลา
ตอนที่หวังเป่าเล่อมาถึง เขาพบศิษย์มากมายจากสำนักวังเต๋าไพศาลอยู่ที่นั่น ศิษย์เหล่านั้นกำลังดูภารกิจบนแผ่นหิน หรือไม่ก็กำลังเลือกภารกิจที่ตนเองต้องการ ทั่วทั้งบริเวณอื้ออึงด้วยเสียงพูดคุยเจื้อยแจ้ว
การจะดูภารกิจนั้นไม่จำเป็นต้องเข้าไปแตะแผ่นหินแต่อย่างใด ตราบใดที่อยู่ในรัศมีก็สามารถจับพลังที่แผ่นหินปล่อยออกมาเพื่อเลือกดูภารกิจได้ ดังนั้นทันทีที่หวังเป่าเล่อเข้าไปใกล้ สมองของเขาก็เต็มไปด้วยข้อมูลมากมายที่แผ่นหินส่งมาให้เลือก
ภารกิจนั้นมีมากมายหลายประเภท บางงานก็ให้ไปเก็บสมุนไพร บางงานก็ให้ไปหาวัตถุดิบบางประเภท ส่วนบางงานก็ให้หลอมสมบัติเวทขึ้นมา ทุกภารกิจมีมูลค่าต่างกัน หวังเป่าเล่อเลือกดูอยู่สักพักก็สังเกตได้ว่าภารกิจส่วนใหญ่ไม่ได้ให้แต้มการรบมากมายอะไร มีอยู่เพียงไม่กี่ภารกิจเท่านั้นที่ให้แต้มเกินหลักสิบ
น้อยขนาดนี้เชียว หวังเป่าเล่อตระหนักแล้วว่าการได้แต้มมานั้นแสนยากลำบาก ดังนั้นเขาจึงหันไปเลือกดูภารกิจที่มีระดับสูงกว่าแทน
ภารกิจที่ให้แต้มการรบมากที่สุดนั้นเกี่ยวกับการเก็บตราประจำตัว บนแผ่นหินไม่ได้บอกข้อมูลอื่นใดอีก บอกเพียงให้ไปตามหาได้ที่ตัวกระบี่สำริดเขียวโบราณซึ่งฝังอยู่ในดวงอาทิตย์เท่านั้น หน้าที่ของผู้รับภารกิจคือ การไปตามหาตราประจำตัวของศิษย์จากสำนักวังเต๋าไพศาลที่เสียชีวิตแล้ว เพื่อนำมาแลกแต้มการรบ
ภารกิจนี้สำนักเป็นผู้ประกาศเอง และเลือกรับภารกิจได้ตลอดทั้งปี
บทที่ 501 เจ้าเกาะเพลิงเขียว
โดย
Ink Stone_Fantasy
แต้มการรบที่ได้จากภารกิจรวบรวมตราประจำตัวนั้นจะแตกต่างไปตามตราประจำตัวแต่ละแบบซึ่งมีการระบุไว้ชัดเจนในรายละเอียดภารกิจ ยกตัวอย่างเช่น หากส่งมอบตราประจำตัวศิษย์สำนักนอกหนึ่งตรา จะได้รับแต้มการรบหนึ่งร้อยแต้มเป็นการตอบแทน!
หวังเป่าเล่อประหลาดใจมาก หากไม่มีตัวเปรียบเทียบอื่นๆ เขาคงไม่รู้สึกเช่นนี้ เพราะเมื่อเทียบกับภารกิจส่วนใหญ่ก่อนหน้าที่ได้แต้มเพียงหลักหน่วยหรือหลักสิบแล้ว ตราประจำตัวศิษย์นอกสำนักเพียงตราเดียวมีค่าเท่ากับหนึ่งร้อยแต้ม ถือว่าเป็นค่าตอบแทนที่สูงพอสมควร
แล้วข้าเป็นศิษย์แบบใดกัน ไม่เห็นจะได้ตราประจำตัวบ้างเลยตอนที่มาถึงสำนักวังเต๋าไพศาล… หวังเป่าเล่อตกอยู่ในห้วงความคิด จำได้ว่าแม่นางน้อยเคยพูดถึงความแกร่งกล้าสามารถของสำนักวังเต๋าไพศาล หลังจากพิจารณาสภาพปัจจุบันของสำนักวังเต๋าไพศาล ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัว
หรือว่านี่จะไม่ใช่สำนักวังเต๋าไพศาลที่แท้จริง สำนักวังเต๋าไพศาลของจริงน่าจะตั้งอยู่ในตัวกระบี่ซึ่งปักอยู่ในดวงอาทิตย์…และตราประจำตัวที่ภารกิจต้องการก็น่าจะเป็นตราประจำตัวของศิษย์จากสำนักวังเต๋าไพศาลในอดีต!
หวังเป่าเล่อไตร่ตรองขณะอ่านรายละเอียดภารกิจเพิ่มเติม เขาพบว่าตราประจำตัวของศิษย์สำนักในมีมูลค่าสูงถึงหนึ่งพันแต้ม!
ชายหนุ่มใจเต้นระส่ำ ดวงตาของเขาแทบจะถลนออกจากเบ้าเมื่อเห็นรางวัลที่สูงขั้นขึ้นไปอีก
ศิษย์สืบทอดได้สองหมื่นแต้ม!
ตราประจำตัวผู้อาวุโส…ได้สองหมื่นห้าพันแต้ม!
สวรรค์…ตราประจำตัวผู้อาวุโสสูงสุดมีค่าถึง…ห้าล้านแต้ม! หวังเป่าเล่อยังพอข่มความตื่นตะลึงในใจได้เมื่อเห็นรางวัลช่วงแรก แต่พอได้เห็นรางวัลท้ายสุดของตราประจำตัวผู้อาวุโสสูงสุด เขาก็ได้แต่ส่งเสียงตื่นตะลึงออกมา
ผู้ฝึกตนของสำนักวังเต๋าไพศาลคนหนึ่งที่กำลังรับภารกิจอยู่ได้ยินเสียงของหวังเป่าเล่อ เขากลอกตามองชายหนุ่ม สีหน้าฉายแววดูแคลน แต่พอเห็นรูปร่างอีกฝ่ายได้ถนัดตาก็พลันเปลี่ยนสีหน้าไป แม้จะรู้ว่าหวังเป่าเล่อไม่ใช่ผู้ฝึกตนของสำนักวังเต๋าไพศาลและเคยได้ยินข่าวลือเรื่องผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐบนโลก ทว่ารูปร่างของหวังเป่าเล่อก็ทำให้เขามองชายหนุ่มตรงหน้าเปลี่ยนไป ผู้ฝึกตนคนนั้นยิ้มและพูดขึ้น
“ถ้าข้าได้ตราประจำตัวผู้อาวุโสสูงสุดมา ข้าคงไม่โง่เอาไปแลกกับแต้มการรบห้าล้านแต้มหรอก…ตรานั่น…ถ้าเจ้าได้มา มันจะพ่วงมาด้วยอำนาจขนาดสั่งการทั้งสำนักได้เลยด้วยซ้ำ!”
ประโยคดังกล่าวทำให้หวังเป่าเล่อหันไปกะพริบตามอง ผู้ฝึกตนที่ยืนอยู่ข้างๆ มีใบหน้าอ่อนเยาว์ราวเด็กหนุ่มจนเดาอายุจริงไม่ถูก ระดับฝึกตนอยู่ขั้นกำเนิดแก่นในชั้นต้นเหมือนกัน ด้านสถานะนั้น ดูเหมือนว่าศิษย์ที่อยู่รอบๆ จะสุภาพกับเขามากทีเดียว
แต่เรื่องเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งสำคัญ ที่สำคัญที่สุดคือ…รูปร่างของเขาล้ำหน้ากว่าศิษย์ผอมบางคนอื่นๆ ที่อยู่รอบกาย
ขณะที่หวังเป่าเล่อยืนมองรูปร่างชายตรงหน้า อีกฝ่ายก็จ้องพุงของชายหนุ่มกลับมาเช่นกัน ดวงตาพลันฉายแววยอมรับ เขายิ้มและพูดขึ้น
“สหายเต๋า เจ้าหุ่นดีไม่เบา”
ดวงตาหวังเป่าเล่อฉายแสง เขากระแอมกระไอและกล่าวตอบ
“ในเมื่อพวกเราทั้งคู่รูปร่างดีเหมือนกัน เรามาสนิทกันให้มากกว่านี้ดีหรือไม่” หวังเป่าเล่อหยิบถุงขนมที่เปิดแล้วออกมาจากกำไลคลังเวทและยื่นให้อีกฝ่าย
ผู้ฝึกตนอ้วนกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่พอเห็นขนมก็ลืมสิ่งที่ตนจะพูดไปหมด เขาหยิบถุงขนมมาดมกลิ่นดู จากนั้นก็หยิบใส่ปาก พอได้ลิ้มรส ดวงตาของชายอ้วนก็เป็นประกาย
“รสชาติแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้แย่” ขณะพูด ชายอ้วนก็หยิบผลไม้หลายชนิดออกมาจากกระเป๋าคลังเวทและโยนให้หวังเป่าเล่อ
ทั้งสองสานสัมพันธ์ผ่านการแลกเปลี่ยนของกิน พวกเขาไม่ได้พูดอะไรกันต่อ แต่ก็แลกเปลี่ยนช่องทางการติดต่อกันไว้ก่อนจะแยกทางกันไป
หวังเป่าเล่อไม่มีแผนจะทำอะไรเป็นพิเศษในสองสัปดาห์นี้ นอกจากฝึกวิชา ชายหนุ่มก็ใช้เวลานึกถึงผู้ฝึกตนอ้วนที่ชื่อ อวิ๋นเพียวจื่อ เขาแบ่งขนมให้อีกฝ่าย คู่หูสุดผอมเพรียวสานสัมพันธ์กันด้วยของกิน
แม้จะเป็นความสัมพันธ์ที่ตื้นเขิน ยังไม่ได้สนิทชิดเชื้ออะไรกันมาก แต่ชายผู้นี้ก็เป็นผู้ฝึกตนของสำนักวังเต๋าไพศาลคนแรกที่หวังเป่าเล่อได้รู้จักตั้งแต่มาถึงที่นี่
อีกทั้งชายหนุ่มไม่ได้อยู่ฝ่ายเฟิ่งชิวหรันหรือฝ่ายเมี่ยเลี่ยจื่อ แต่เป็นศิษย์ของโยวหรัน ความรู้สึกของชายผู้นี้ที่มีต่อสหพันธรัฐนั้นเป็นกลาง
ทั้งสองดูจะมีความสนใจหลายอย่างเหมือนกันจึงพูดคุยกันได้หลายเรื่อง หวังเป่าเล่อใช้โอกาสนี้สืบหาสาเหตุว่าเหตุใดตนจึงยังไม่ได้รับคำสั่งอะไรเลย ส่วนอวิ๋นเพียวจื่อนั้นมีเส้นสายพอสมควร ไม่นานเขาก็ทราบเหตุผลเรื่องนี้
ที่หวังเป่าเล่อต้องรอมาเป็นเดือนๆ โดยไม่ได้ถูกย้ายให้ไปประจำเกาะด้านนอกเหมือนพันธุ์กล้าสหพันธรัฐคนอื่นๆ ไม่ได้เป็นเพราะสำนักวังเต๋าไพศาลต้องการกักตัวเขาไว้ในเกาะหลัก แต่เป็นเพราะชายหนุ่มเป็นผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในเพียงคนเดียวในกลุ่มพันธุ์กล้า อีกทั้งยังเป็นผู้นำของคนเหล่านั้น เฟิ่งชิวหรันจึงตั้งใจจะส่งเขาไปยังเกาะที่มีปราณวิญญาณหนาแน่น ซึ่งมีระดับเป็นรองเกาะของผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณเพียงเล็กน้อย เพื่อจะได้ให้หวังเป่าเล่อใช้ปราณวิญญาณและทรัพยากรต่างๆ บนเกาะให้เกิดประโยชน์สูงสุด
เกาะที่ว่านั้นถูกกำหนดไว้แล้ว ซึ่งเป็นหนึ่งในยี่สิบเกาะล้ำค่าในหมู่เกาะมากมายของสำนักวังเต๋าไพศาล มีเส้นปราณวิญญาณอยู่ในเกาะ นอกจากนี้เกาะดังกล่าวยังมีพืชที่ชื่อว่าหญ้าเพลิงเขียว พืชชนิดนี้ไม่ได้มีราคาแพง แต่เมื่อปลูกบนเกาะนี้แล้วกลับขึ้นดี กินพื้นที่กว้างขวางในเกาะ
ด้วยเหตุนี้เกาะเพลิงเขียวจึงมีมูลค่าสูง และเป็นเหตุให้ฝ่ายเมี่ยเลี่ยจื่อออกมาค้านเสียงแข็ง เพราะเมี่ยเลี่ยจื่อนั้นมีชื่อคนที่อยากจะให้เป็นเจ้าเกาะอยู่ในใจอยู่แล้ว ข้อพิพาทระหว่างสองฝ่ายทำให้คำสั่งย้ายของหวังเป่าเล่อล่าช้าไป
“แต่ศิษย์น้องเป่าเล่อไม่ต้องเป็นกังวลไป ข้าได้ยินมาว่าผู้อาวุโสทั้งสองได้ประนีประนอมกันแล้ว เจ้าน่าจะได้รับคำสั่งเร็วๆ นี้”
อวิ๋นเพียวจื่อคิดว่าหวังเป่าเล่อเป็นคนคุยง่าย แต่ก็ไม่ได้คิดจะสนิทด้วยมาก เขารู้วิธีจัดการกับผู้คนและชอบลงทุนกับคนมาก ชายอ้วนเองก็ชอบหวังเป่าเล่อด้วยเช่นกัน เขามองว่าการพูดคุยทำความรู้จักและการแบ่งปันข้อมูลเป็นการลงทุนอย่างหนึ่ง
คงจะดีถ้าเขาได้ประโยชน์จากการลงทุนครั้งนี้ในภายภาคหน้า แต่ถ้าไม่ได้ก็ถือว่าไม่ได้เสียหายอะไร หลังจากแบ่งปันข้อมูลกับหวังเป่าเล่อเสร็จ อวิ๋นเพียวจื่อก็ลูบท้องก่อนจะกลับออกจากที่พักของอีกฝ่าย
หวังเป่าเล่อเดินออกไปส่งอวิ๋นเพียวจื่อ จากนั้นก็เดินกลับเข้าที่พัก เขาหรี่ตา ครุ่นคิดถึงสิ่งที่อีกฝ่ายบอกมา ก่อนจะเริ่มตั้งหน้าตั้งตาคอยสิ่งที่สำนักวังเต๋าไพศาลเตรียมไว้ให้
อย่างไรเสียชายหนุ่มก็ไม่อยากอยู่ในที่พำนักสำหรับแขกและต้องทนรับสายตาเย็นชา ไม่มีการทักทายใดๆ ราวกับว่าเขาไม่มีตัวตนทุกๆ ครั้งที่ออกไปข้างนอกอีก
ข้อมูลของอวิ๋นเพียวจื่อนั้นถูกต้องทุกประการ สามวันต่อมา หวังเป่าเล่อก็ได้รับคำสั่งประจำการ เขาต้องไปรายงานตัวที่ตำหนักความสัมพันธ์ระหว่างดวงดาวตอนเช้าวันรุ่งขึ้น โดยทางตำหนักความสัมพันธ์ระหว่างดวงดาวจะเรียกตัวหวังเป่าเล่อและเหลียงหลง ศิษย์ของเมี่ยเลี่ยจื่อ มาเพื่อเจรจาร่วมจัดการเกาะและแบ่งทรัพยากร!
เหลียงหลงหรือ พอได้รับคำสั่ง หวังเป่าเล่อก็เลิกคิ้วสูง ภาพผู้ฝึกตนหนุ่มที่กวนประสาทเขาตอนอยู่ที่ตำหนักปรัศนีสวรรค์ปรากฏขึ้นในหัว
พวกเขาอยากให้เราต่อสู้ให้เห็นดำเห็นแดงกันหรือ หวังเป่าเล่อหัวเราะ ดวงตาฉายแววเย็นยะเยือก เขานั่งขัดสมาธิ เข้าสู่ห้วงสมาธิเพื่อพักผ่อน ชายหนุ่มลืมตาขึ้นเมื่อรุ่งเช้ามาถึง จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินออกจากที่พัก มุ่งหน้าไปยังตำหนักความสัมพันธ์ระหว่างดวงดาว
หวังเป่าเล่อไม่ได้มาเร็วจนเกินไป เหลียงหลงมารออยู่ก่อนแล้ว ข้างๆ เขาเป็นชายสูงวัยขั้นกำเนิดแก่นในชั้นปลาย ชายสูงวัยแต่งกายในชุดคลุมเต๋า ตัวผอมบางจนเห็นเป็นหนังหุ้มกระดูก ดวงตาฉายแสงเฉียบคม ชายผู้นี้เป็นหัวหน้าตำหนักความสัมพันธ์ระหว่างดวงดาวที่จะมาทำหน้าที่เป็นผู้นำทางในวันนี้
เขาไม่สนใจหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย และแทบไม่ใส่ใจเหลียงหลงเช่นกัน ชายสูงวัยไม่อยากมีส่วนร่วมในข้อพิพาทระหว่างสองผู้อาวุโสเนื่องจากอยู่ฝ่ายที่เป็นกลาง หลังจากหวังเป่าเล่อมาถึง เขาก็พูดคุยกับชายหนุ่มเล็กน้อย ก่อนจะสะบัดชายเสื้อนำหน้าทะยานออกไป
“ทั้งสองคน ตามข้ามา!”
เหลียงหลงจ้องหวังเป่าเล่อตาแข็งก่อนจะเหยียดยิ้มขึ้น เขาพุ่งตามผู้อาวุโสไปไม่ห่าง หวังเป่าเล่อยังคงมีสีหน้าราบเรียบ แต่ก็สัมผัสได้ถึงพลังปราณที่แผ่ออกมาจากร่างกายอีกฝ่าย มันดูแกร่งกล้ายิ่งกว่าเดิม เห็นได้ชัดว่าเพิ่งจะบรรลุขั้นการฝึกตนมาหมาดๆ ดวงตาของหวังเป่าเล่อฉายแสงลุ่มลึก ชายหนุ่มออกทะยานตามไปข้างๆ ผู้อาวุโส ทั้งสามมองดูคล้ายเส้นสายรุ้งสามสาย ออกตัวจากสำนักวังเต๋าไพศาลทะยานสู่ฟากฟ้ากว้างไกล โดยมีทะเลลาวาเป็นฉากหลัง!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น