ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 487-497

 ตอนที่ 487 อัคคีจิตวิญญาณ

โดย

Ink Stone_Fantasy

สีหน้าหลิ่วหมิงไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย เขากระตุ้นปราณกระบี่ให้ฟันออกไปอย่างต่อเนื่อง


หลังจากหลอมตัวอ่อนกระบี่เขาพระสุเมรุแล้ว วิชาขี่กระบี่ของเขาย่อมฟื้นฟูอานุภาพกลับมาจนถึงขีดสุด ภายใต้การกระตุ้นด้วยพลังทั้งหมด เกรงว่าผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขึ้นปลายก็ไม่กล้ารับมือโดยตรง แล้วนับประสาอะไรกับอีกาเพลิงตัวนี้ล่ะ


สุดท้ายภายใต้แสงกระบี่สีฟ้าที่เปล่งประกาย มันก็ฝ่าเปลวเพลิงไปอย่างง่ายดาย และฟันอีกาเพลิงตัวนี้จนกลายเป็นสองส่วน


พลังของกระบี่บินยังไม่หมดเพียงแค่นี้ มันยังพุ่งเข้าใส่ยังฝูงอีกาเพลิงที่เหลือ หลังจากแสงกระบี่สีฟ้าเปล่งประกายอย่างเนืองแน่น ก็มีเสียง “ฉับๆ!” ดังออกมา อีกาเพลิงสองสามตัวที่อยู่หน้าฝูงถูกสังหารในทีเดียว


หลังจากสังหารอีกาเพลิงไปหลายตัวแล้ว แสงกระบี่สีฟ้าครามก็มืดลงเล็กน้อย อีกาเพลิงตัวที่เหลือหลบหลีกด้วยความตกใจ


และกระบี่เล่มนี้หลิ่วหมิวเพิ่งได้มา ยังไม่ทันได้ทำการปรับแต่ง จึงไม่อาจกระตุ้นชั้นจำกัดทั้งหมดได้ และอานุภาพของมันก็ไม่อาจยืนหยัดได้นาน


หลิ่วหมิงโบกมือเรียกกระบี่สีฟ้ากลับมา และปล่อยพลังเวทเข้าไปเล็กน้อย เพื่อคิดที่จะสังหารอีกาเพลิงเหล่านี้ให้สิ้นซากในทีเดียว


แต่ขณะนั้นเอง พลันมีเสียงแหลมแสบแก้วหูที่ไม่รู้ว่าดังมาจากที่ใด!


อีกาเพลิงที่เหลือจึงถือโอกาสหนีหลบหนีไปไกลๆ ไม่นานก็กลายเป็นจุดแสงสีแดงก่อนที่จะหายลับไปตรงขอบฟ้า


และไอดำที่ปกคลุมร่างหลิ่วหมิงในขณะนี้ ก็ประทุขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง และยังมีจุดแสงสีทองเปล่งประกายอยู่ในแขนเสื้อ เม็ดทรายมีทองแต่ละเม็ดเปล่งประกายอยู่รำไร


ขณะเดียวกัน หลิ่วหมิงก็ปล่อยพลังจิตออกไปสำรวจพื้นที่บริเวณนั้นอีกรอบ แต่กลับไม่ค้นพบสิ่งใดเลย


ดูเหมือนว่าสิ่งที่ส่งเสียงแหลมแสบแก้วหูนั้น มันได้หายไปแล้ว


แม้ใบหน้าหลิ่วหมิงจะดูเหมือนไร้ความรู้สึก แต่ในใจกลับระแวดระวังเป็นอย่างมาก


เสียงร้องแหลมขนาดนี้ ก่อนหน้านั้นเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน และไม่เคยได้ยินเยี่ยนหมิงกับเสวี่ยอวิ๋นเอ่ยถึง แต่มันกลับส่งผลกระทบต่อจิตรับรู้ของเขา ดูท่าอย่างน้อยคงมีการฝึกฝนอยู่ที่ระดับของเหลว


เขาคิดใคร่ครวญไปมาสองสามรอบ จากนั้นก็เก็บกระบี่สีฟ้าเข้าไป และถือโอกาสเก็บศพของอีกาเพลิงเหล่านี้ขึ้นมา หลังจากพักผ่อนเล็กน้อย และฟื้นฟูพลังเวทจำนวนหนึ่งแล้ว ก็เดินทางไปทางทิศเหนือตามที่แผนที่บอก


หลังจากเดินไปได้ราวๆ ครึ่งชั่วยาม หลิ่วหมิงก็เผชิญกับอสูรจิตวิญญาณธาตุไฟอีกครั้ง จิ้งจอกเพลิงสิบกว่าตัวที่ลำตัวเปล่งแสงสีแดงยืนขวางอยู่ตรงหน้าเขา


ครั้งนี้เขากลับไม่ใช้วิชาขี่กระบี่ แต่กลับพุ่งเข้าไปในกลุ่มจิ้งจอกเพลิงจนกลายเป็นเงา ไอดำพุ่งออกจากมือขนาดใหญ่ และก่อตัวเป็นฝ่ามือยักษ์สีดำ


มือใหญ่คว้าออกไปติดต่อกัน พริบตาเดียวก็คว้าจิ้งจอกเพลิงตัวหนึ่งไว้ และกดหัวของมันจนระเบิด


จิ้งจอกเพลิงเหล่านี้ก็เหมือนกับอีกาเพลิงที่มีพลังอยู่ที่ระดับศิษย์จิตวิญญาณเท่านั้น มันไม่มีพลังตอบโต้เลยแม้แต่น้อย ไม่นานจิ้งจอกเพลิงเจ็ดแปดตัวก็เสียชีวิตในมือหลิ่วหมิง


ขณะนั้นเองก็มีเสียงร้องแหลมดังขึ้นมาอีกครั้ง พอจิ้งจอกเพลิงที่ล้อมโจมตีหลิ่วหมิงอยู่ได้ยินเสียงนี้ ก็รีบหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว


แต่ว่าครั้งนี้เขาได้ปล่อยพลังจิตป้องกันไว้ก่อนแล้ว จึงไม่ถูกเสียงนี้รบกวนแต่อย่างใด และยังตามไปสังหารจิ้งจอกเพลิงเหล่านี้จนหมดสิ้น


แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขายังคงไม่สามารถจับตัวการที่เปล่งเสียงนี้ออกมาได้ จิตรับรู้ของเขาก็จับได้แค่คลื่นพลังจิตวิญญาณธาตุไฟบางๆ เท่านั้น


แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ หลิ่วหมิงก็ถูกอสูรธาตุไฟลอบโจมตีตลอดการเดินทาง


และหนูเพลิง มดเพลิง อสรพิษเพลิง และอสูรธาตุไฟชนิดอื่นๆ ก็ทำให้เขาได้เปิดโลกทัศน์มาก ดีที่ว่าพลังของอสูรเหล่านี้ไม่แข็งแกร่งมากนัก ส่วนมากอยู่ที่ระดับศิษย์จิตวิญญาณ และมีระดับของเหลวแค่ตัวสองตัวเท่านั้น ย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอย่างแน่นอน


และทุกครั้งที่เขาใกล้จะกวาดล้างฝูงอสูรได้ทั้งหมด ก็จะถูกเสียงร้องแหลมแปลกประหลาดนี้คอยรบกวน


หากไม่ใช่ว่าพลังจิตของเขาแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไป เกรงว่าอสูรเพลิงที่เหลือคงหนีลอยนวลไปแล้ว


ที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือ ทุกครั้งที่เสียงนี้ดังออกมา มันก็อำพรางตัวอย่างรวดเร็ว และยากที่จะจับตำแหน่งของมันได้


หลิ่วหมิงรับรู้ถึงความไม่ชอบมาพากลได้อย่างลางๆ หลังจากคิดไตร่ตรองไปรอบหนึ่งแล้ว ก็รีบลดความเร็วในการเดินทางลง


หลังผ่านไปครึ่งชั่วยามกว่าๆ หลิ่วหมิงก็เผชิญกับการโจมตีของอสูรเพลิงกลุ่มหนึ่ง ครั้งนี้เป็นลิงทโมนเพลิงสามสิบกว่าตัว


อสูรชนิดนี้เป็นอสูรที่มีรูปร่างภายนอกคล้ายคนเล็กน้อย มีขนาดครึ่งหนึ่งของผู้ใหญ่ แขนขาทั้งสี่สั้นและอวบ ดูไม่เข้ากับหัวขนาดใหญ่เลยแม้แต่น้อย ผิวหนังเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น มองเห็นร่องรอยอวัยวะทั้งห้าบนใบหน้าได้อย่างลางๆ


พอลิงทโมนเพลิงกลุ่มนี้ค้นพบหลิ่วหมิงจากที่ไกลๆ มันก็กระโจนเข้ามาพร้อมกับส่งเสียงร้องเจี๊ยกๆ


ดูจากคลื่นพลังจิตวิญญาณที่แผ่ออกจากตัวของลิงทโมนเพลิงตัวหน้าสุดที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวอื่นๆ เท่าตัว ทำให้รู้ว่ามันเข้าสู่ระดับของเหลวแล้ว


หลิ่วหมิวครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว จิตรับรู้แผ่ขยายออกไปในพริบตา ขณะเดียวกัน เท้าของเขาก็หยุดไปพักหนึ่ง จากนั้นก็พุ่งขึ้นฟ้าไปอยู่เหนือฝูงลิงทโมนเพลิงเหล่านั้น


มีคลื่นสั่นสะเทือนในแขนเสื้อข้างหนึ่งเบาๆ ราวกับว่ากำลังจะมีอะไรไร้รูปบางอย่างดีดออกมา


การเคลื่อนไหวอย่างกระทันทันหันของหลิ่วหมิง ทำให้ลิงทโมนเพลิงตะลึงงันไปชั่วขณะ จากนั้นมันก็อ้าปากพ่นดาบเพลิงขนาดเล็กๆ ออกมา ลิงทโมนพลิงที่อยู่ด้านหลังก็พากันพ่นลูกเปลวไฟออกมา พริบตาเดียว ก็หายไปในดาบเพลิงอย่างไร้ร่องรอย


ดาบเพลิงขยายใหญ่ขึ้นมา พริบตาเดียวก็มีขนาดหลายจั้ง และฟันไปทางหลิ่วหมิงด้วยเสียงดังก้องฟ้า


หลิ่วหมิงหมิ่งสะบัดแขนเสื้อลงด้านล่างโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง จากนั้นจุดแสงสีทองก็พุ่งออกจากแขนเสื้อ


ครู่ต่อมา หมอกทรายสีเหลืองก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และกลายเป็นกำแพงทรายสีทองบังอยู่ตรงหน้าหลิ่วหมิง


“ตู๊ม!”


ดาบเพลิงโจมตีใส่กำแพงทรายอย่างรุนแรง แต่มันเพียงแค่ทำให้แสงสีเหลืองหมุนวนชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น จากนั้นก็ระเบิดตัวกลายเป็นสะเก็ดไฟและหายไปกลางอากาศ


หลิ่วหมิงยกแขนข้างหนึ่งขึ้นมาอีกครั้ง และปล่อยพลังใส่กำแพงทรายสีทอง จนทำให้แสงสีทองสว่างขึ้นมา พริบตาเดียวมันก็กลายเป็นดาบยักษ์สีทองเล่มหนึ่ง และฟันใส่จ่าฝูงลิงทโมนเพลิง


ดูเหมือนจ่าฝูงจะรับรู้ถึงอันตรายได้ มันจึงอ้าปากพ่นผลึกกลมๆ สีแดงออกมาหนึ่งก้อน


ผลึกกลมๆ ขยายใหญ่หลายฉื่อ มีเปลวไฟหมุนวนอยู่บนพื้นผิว จากนั้นมันก็พุ่งไปรับมือกับดาบสีทอง


“เพล้ง!” ดาบแสงกับผลึกกลมๆ ปะทะเข้าด้วยกัน


หลังจากเกิดเสียงดัง “เปรี๊ยะๆ!” ผลึกกลมๆ ก็เกิดรอยร้าวและกระเด็นออกไป


และในขณะเดียวกัน จ่าฝูงลิงทโมนเพลิงก็พ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมา


ภายใต้การเปลี่ยนท่ามือของหลิ่วหมิง ดาบยักษ์สีทองก็พร่ามัวไปชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย


ครู่ต่อมา ดาบยักษ์สีทองก็กระพริบไปปรากฏอยู่ตรงหน้าจ่าฝูง ซึ่งอยู่ห่างกันแค่ลัดมือเดียวเท่านั้น และฟันลงไปอย่างไร้สุ้มเสียง


จ่าฝูงลิงทโมนเพลิงส่งเสียงคำรามออกมา ตอนนี้มันเรียกแก่นผลึกกลับมาไม่ทันแล้ว  เปลวไฟสีแดงดำพุ่งออกจากตัวเพื่อพยายามต้านทานการโจมตีนี้


ความจริงแล้วการป้องกันนี้สามารถต้านทานอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดได้ แต่พอแสงสีทองเปล่งประกาย ร่างของจ่าฝูงลิงทโมนก็ถูกตัดออกเป็นสองส่วนจนลือดสาดกระเซ็นไปทั่วทิศ และลิงทโมนเพลิงธรรมดาอีกสองตัวที่อยู่บริเวณใกล้ๆ ก็ไม่ทันได้ระวัง หลังจากแสงดาบระเบิดตัวในฉับพลัน มันก็ถูกฟันไปพร้อมกัน


หลิ่วหมิงโบกมือเรียกผลึกกลมๆ เข้ามาในมือ แต่เนื่องจากการปะทะในก่อนหน้านั้น จึงมีรอยร้าวจางๆ อยู่บนพื้นผิว


เขาเก็บมันเข้าไปด้วยความเสียดาย แต่พอโบกมือข้างหนึ่ง แสงดาบสีทองก็กลายเป็นหมอกทรายปิดล้อมฝูงลิงทโมนเพลิงไว้ในทันที


ในขณะที่หลิ่วหมิงกำลังจะแสดงวิธีการอันร้ายกาจ เพื่อสังหารลิงทโมนเพลิงเหล่านี้ให้สิ้นซากนั้น  เสียงร้องแหลมแปลกประหลาดก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง


หลิ่วหมิงหยุดการกระทำในฉับพลัน และยืนนิ่งๆ อยู่กลางอากาศ


ลิงทโมนเพลิงที่ถูกปิดล้อมอยู่ก็พ่นเปลวไฟออกมา แขนของมันเคลื่อนไหวอย่างบ้าคลั่ง และโจมตีม่านทรายทองคำอย่างต่อเนื่อง


ในขณะนั้นเอง พลันมีเสียง “ฟู่!” ดังมาจากอากาศบางแห่งที่อยู่ห่างจากหลิ่วหมิงไปสามสิบกว่าจั้ง เงาร่างมนุษย์สีทองจางๆ เปล่งประกายออกมา กำปั้นสีทองอร่ามข้างหนึ่งชกออกไปอย่างรุนแรง


เกิดเสียงดังขึ้นมา


คลื่นอากาศสีทองม้วนตัวออกไป เงามนุษย์สีแดงสองเงาโซซัดโซเซออกมาจากอากาศบริเวณนั้น


หลังจากดวงตาทั้งคู่ของหลิ่วหมิงเป็นประกาย ก็มองเห็นเงาร่างมนุษย์ทั้งสองอย่างชัดเจน ซึ่งก็คืออัคคีจิตวิญญาณสองตัวที่มีเปลวไฟห่อหุ้มอยู่


แต่ตัวประหลาดทั้งสองมีขนาดตัวเท่ามนุษย์ ร่างสีดำถูกปกคลุมไปด้วยเปลวไฟ มีแขนขาครบครัน แต่อวัยวะบนใบหน้าพร่ามัวไปหมด ซึ่งเหมือนกับอัคคีจิตวิญญาณกับที่เว่ยจ้งเรียกออกมาไม่มีผิด เพียงแต่ดูเหมือนว่ากลิ่นไอของมันจะแข็งแกร่งกว่าเล็กน้อย


เงามนุษย์สีทองจางๆ ที่ลงมือโจมตีในเมื่อครู่ กลับเป็นนักรบเกราะทองคำที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกับหลิ่วหมิง ซึ่งมันกลายร่างมาจากยันต์ลึกลับพลังผ้าเหลืองนั่นเอง


“ที่แท้ก็เป็นอัคคีจิตวิญญาณอย่างพวกเจ้าที่แอบชักใยอยู่เบื้องหลัง! ไม่ว่าวิชาอัคคีหลบหลีกจะยอดเยี่ยมแค่ไหนในแดนอบอ้าว จนข้าไม่อาจจับตัวพวกเจ้าได้ในครั้งสองครั้ง แต่ติดตามข้ามานานขนาดนี้ หากข้ายังไม่สามารถรับรู้ได้ล่ะก็ คงหัวสมองทึ่มแล้ว” หลิ่วหมิงมองดูอัคคีจิตวิญญาณทั้งสองด้วยสีหน้าปกติ แต่กลับพูดพึมพำออกมาเบาๆ


ที่แท้ในขณะที่หลิ่วหมิงพุ่งขึ้นฟ้านั้น ก็ได้ปล่อยยันลึกลับออกไปแล้ว และมันก็ได้กลายเป็นนักรบเกราะทองคำแฝงด้วยอยู่ด้านข้าง


เมื่ออัคคีจิตวิญญาณสองตัวส่งเสียงโจมตีจิตรับรู้หลิ่วหมิงอีกครั้ง ก็ถูกเขาจับตำแหน่งที่แม่นยำได้ และควบคุมให้นักเกราะทองคำทำการโจมตีทันที สุดท้ายก็ทำลายการซ่อนตัวและวิชาอัคคีหลบหลีกของมันได้


ทั้งหมดนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าการจู่โจมอย่างฉับพลันในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามเผลอ และอีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าหลิ่วหมิงได้จับตำแหน่งของพวกมันจากการโจมตีหลายครั้งในก่อนหน้าได้แล้ว แต่กลับทำเป็นไม่รู้เฉยๆ


เมื่อหลิ่วหมิงพูดพึมพำจบ แสงสีฟ้าก็เปล่งประกายในมือ จากนั้นกระบี่บินสีฟ้าครามก็ฟันออกไปอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ


เกิดเสียงดังฟิ้วๆ!


ทันทีที่แสงสีฟ้าเปล่งประกายกลางอากาศ ตัวประหลาดสองตัวที่ถูกเปลวไฟห่อหุ้ม ก็ถูกแสงกระบี่ยักษ์สีน้ำเงินฟาดเข้าใส่


“เต๊ง!” “เต๊ง!” อัคคีจิตวิญญาณสองตัวกระเด็นออกไปพร้อมกัน และยังส่งเสียงร้องแหลมออกมาโดยมิได้นัดหมาย ขณะเดียวกัน แสงไฟบนตัวก็ลุกพรึ่บขึ้นมา จากนั้นมันทั้งสองรวมตัวเป็นหนึ่ง และพุ่งหนีไป


ตอนที่ 488 กลายพันธุ์

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลิ่วหมิงรู้สึกตะลึงงัน อัคคีจิตวิญญาณนี้ไม่เพียงแต่จะซ่อนตัวควบคุมอสูรเพลิงให้ทำการโจมตีเท่านั้น ทั้งยังรู้จักหลบหนีด้วย เห็นได้ชัดว่ามีสติปัญญาไม่ธรรมดา สิ่งนี้แตกต่างจากข้อมูลที่เขาหามาเล็กน้อย


แม้ว่าเสียงแหลมที่พวกมันเปล่งออกมา จะทำให้จิตสับสน แต่ภายใต้สถานการณ์ที่เขาคิดหาวิธีการเตรียมพร้อมไว้แล้ว ย่อมไม่ได้รับผลกระทบมากนัก


หลิ่วหมิงตวัดกระบี่เล็กสีฟ้าออกไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง จากนั้นแสงกระบี่สีฟ้าก็พุ่งยิงออกไป และโจมตีลงบนแสงหลบหลีกสีแดง


“ตู๊ม!”


มีเสียงร้องอย่างน่าเวทนาดังออกมาจากแสงไฟ เปลวไฟที่ลุกโชติช่วงระเบิดออกมาทันที มันผลักแสงกระบี่จนเบี่ยงเบนไปเล็กน้อย


จากนั้นก็มีแสงเปล่งประกายท่ามกลางเปลวไฟ อัคคีจิตวิญญาณที่รวมตัวกันแล้วได้กลายร่างเป็นวิหคเพลิงแปลกประหลาดตัวหนึ่ง พอมันแหงนคอส่งเสียงร้องยาวและกระพือปีกทั้งคู่ มันก็กลายเป็นลูกเปลวไฟที่มีความเร็วมากกว่าก่อนหน้านั้นหลายเท่า พอกระพริบแค่ทีเดียว ก็พุ่งออกไปไกลถึงขีดสุด และกลายเป็นจุดแสงก่อนที่จะหายไปอย่างไร้ร่องรอย


“คิดไม่ถึงว่าจะรู้วิชาแปลกประหลาดเช่นนี้ด้วย หากจะตามพวกมันให้ทันคงต้องใช้ลูกไม้ไม่น้อย” หลิ่วหมิงโบกมือเรียกกระบี่บินกลับมาด้วยสีหน้าอึมครึม ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่


และขณะที่อัคคีจิตวิญญาณหนีไป ฝูงลิงทโมนเพลิงที่ถูกปิดล้อมอยู่ก็โจมตีทรายทองคำอยู่ไม่หยุด


หลิ่วหมิงปล่อยพลังเวทใส่ทันที ม่านทรายบีบรัดแน่นอีกครั้ง และมีแท่งแหลมๆ ยื่นออกมาด้านใน พอมันหมุนวนเล็กน้อย ลิงทโมนเพลิงทั้งหมดก็ถูกตัดออกเป็นชิ้นๆ


จากนั้นทรายทองคำร่วงก็กลายเป็นแสงสีทอง พุ่งกลับเข้าไปในแขนเสื้อ


หลิ่วหมิงปล่อยพลังจิตออกไป พอมั่นใจว่าไม่มีศัตรูอยู่บริเวณใกล้ๆ แล้ว เขาก็เก็บชิ้นส่วนที่มีประโยชน์ของซากศพเหล่านี้ไปจำนวนหนึ่ง และหยิบแผนที่ออกมาสำรวจดูอีกครั้ง


ตลอดทางที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ เขาใกล้จะออกไปจากเขตเขาลูกเล็กๆ ที่ทอดติดต่อกันยาวเหยียดแล้ว และหลังจากเหาะไปทางเหนืออีกชั่วระยะหนึ่ง ก็คงจะถึงเขตภูเขาไฟที่มีอัคคีจิตวิญญาณปรากฏตัวถี่ๆ แล้ว


สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปมาอยู่ชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นก็เก็บแผนที่เข้าไปในฉับพลัน


เขาทำท่ามือด้วยมือเดียวแล้วพุ่งขึ้นฟ้า และหมุนตัวเหาะไปยังทิศทางที่จากมา


……


ห่างออกไปหลายสิบลี้ มีแสงไฟเปล่งประกายเหนือป่าเปลี่ยวแห่งหนึ่ง อัคคีจิตวิญญาณสองตัวที่หนีหลิ่วหมิงมาในก่อนหน้านั้นได้ปรากฏตัวออกมาอีกครั้ง และค่อยๆ ร่อนลงไปยังพื้นดินสีแดงด้านล่าง


ดูเหมือนว่าอัคคีจิตวิญญาณหนึ่งในนั้น จะมีขนาดแค่ครึ่งหนึ่งของอีกตัวเท่านั้น เปลวไฟบนตัวก็มืดลงจนถึงขีดสุด ประจักษ์ชัดว่าถูกแสงกระบี่ในก่อนหน้านั้นทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ


ส่วนอีกตัวที่ไม่ได้รีบบาดเจ็บกลับสังเกตดูรอบด้านทีหนึ่ง จากนั้นก็แผดเสียงยาวออกมา


ผ่านไปไม่นาน แสงไฟจำนวนมากก็พุ่งเข้ามารวมตัวกันจากทั่วสารทิศ พวกมันก็คืออัคคีจิตวิญญาณแปดตัวที่มีรูปร่างคล้ายกับสองตัวในก่อนหน้านั้นไม่มีผิด


อัคคีจิตวิญญาณตัวที่แผดเสียงออกมานั้น โบกแขนและส่งเสียงแปลกๆ อยู่ชั่วขณะหนึ่ง ส่วนอัคคีจิตวิญญาณที่เพิ่งมาถึง ก็แสดงออกถึงการฟังอย่างตั้งใจ และส่งเสียงแปลกๆ เช่นนี้เป็นครั้งคราว


ผ่านไปซักพัก อัคคีจิตวิญญาณเหล่านี้ก็กลายเป็นแสงไฟพุ่งขึ้นฟ้าอีกครั้ง ทิศทางที่ไปก็คือตำแหน่งที่หลิ่วหมิงอยู่นั่นเอง


……


เขตพื้นที่อีกแห่งหนึ่งของแดนอบอ้าว


ที่นี่เป็นทะเลทรายสีแดงที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด ลมแรงพัดคลื่นความร้อนเป็นครั้งคราว ทำให้ทุกสิ่งที่อยู่ไกลๆ ดูบิดเบี้ยวขึ้นมาเล็กน้อย


ข้างเนินทรายลูกหนึ่งที่อยู่ท่ามกลางทะเลทราย ชายหนุ่มกับหญิงสาวนางหนึ่งกำลังยืนหันหลังพิงกัน ใบหน้าของทั้งสองเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ พวกเขากำลังโบกสะบัดอาวุธในมืออย่างสุดชีวิต


และรอบๆ ตัวของทั้งสอง มีมดสีแดงขนาดเท่าฝ่ามือจำนวนมาก กำลังทะลักเข้าใส่ราวกับกระแสน้ำอันบ้าคลั่ง และดูเหมือนจะไม่มีวันหมดสิ้น


ชายหนุ่มกำลังถือธงค่ายกลสีแดงขนาดใหญ่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ภายใต้การโบกสะบัดอย่างสุดชีวิต คลื่นอัคคีที่สูงจั้งกว่าๆ ก็ม้วนตัวออกไป จากนั้นก็ร่วงลงท่ามกลางฝูงหมดและทำการเผาไหม้ในทันที และพายุร้อนที่ม้วนตัวขึ้นมา ก็พัดฝูงมดบริเวณนั้นจนกระเด็นออกไป


แต่ทว่าใบหน้าของชายหนุ่มกลับไม่มีรอยยิ้มเลยแม้แต่น้อย จะเห็นว่าพอมดที่อยู่ท่ามกลางคลื่นอัคคีกระเด็นออกไปแล้ว  มันก็พลิกตัวพุ่งเข้ามาใหม่ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น


และหญิงสาวที่อยู่ข้างหลัง ก็กำลังโบกสะบัดแถบผ้าสีเหลืองเส้นหนึ่งอยู่ พอมันม้วนตัวออกไป ก็ก่อเกิดคมวายุตัดเอวของมดสิบกว่าตัวจนขาด


แต่เมื่อเผชิญหน้ากับมดตรงหน้าที่เหมือนจะไม่มีวันหมดนี้ มดแค่สิบกว่าตัวกลับไม่มีค่าพอที่จะกล่าวถึง นางยิ่งดูหน้าเสียมากขึ้นเรื่อยๆ และพยายามกระตุ้นพลังเวททั้งหมดใส่เข้าไปในแถบผ้า จนก่อตัวเป็นพายุบ้าระห่ำกีดขวางอยู่ตรงหน้า จึงพอที่จะต้านทานการโจมตีของมดฝูงนี้ไว้ได้


“ศิษย์พี่จิน มดสีแดงเหล่านี้มีจำนวนมากเกินไป พวกเราใกล้จะต้านทานไม่ไหวแล้ว ทำอย่างไรดี?” หญิงสาวถามอย่างร้อนรน


ชายหนุ่มเองก็มีสีหน้าดูไม่ได้อย่างถึงขีดสุด และเขาก็ไม่ได้ตอบคำถามของหญิงสาวแต่อย่างใด เพียงแค่พยายามโบกสะบัดธงของตนเอง เพื่อทำให้มดที่อยู่บริเวณใกล้ๆ กระเด็นออกไปเท่านั้น


พอเห็นชายหนุ่มไม่พูดอะไรออกมา นางก็ดูหน้าเสียยิ่งกว่าเดิม


“หากไม่ไหวจริงๆ พวกเราเหาะขึ้นฟ้ากันเถอะ! แม้มดเหล่านี้จะบินได้ แต่คงไม่สามารถบินได้สูงมากนัก!” หญิงสาวกัดฟันกล่าวออกมาอีกครั้ง


“ไม่ได้! บนอากาศยังมี……” ชายหนุ่มส่ายศีรษะ แต่เขายังกล่าวไม่จบก็มีแสงไฟเปล่งประกายบนอากาศ อัคคีจิตวิญญาณสูงจั้งกว่าๆ สี่ตัวปรากฏเหนือศีรษะของทั้งสอง และมันก็อ้าปากเปล่งเสียงแหลมแสบแก้วหูออกมา


เสียงแหลมดังเข้าหูทั้งสองติดต่อกัน ภายใต้สถานการณ์ที่หญิงสาวไม่ทันได้ป้องกัน นางก็แสดงสีหน้าตื่นตะลึงออกมา ร่างกายก็แข็งทื่อราวกับหยุดการเคลื่อนไหว พายุบ้าระห่ำที่ก่อตัวขึ้นจากการม้วนตัวของแถบผ้า เผยช่องโหว่ขนาดใหญ่ออกมาทันที


ทันใดนั้น มดสีแดงก็กรูเข้ามาจนทำให้หญิงสาวจมอยู่ข้างในนั้น


“ไม่……” ชายหนุ่มเห็นเช่นนี้ ก็เผยสีหน้าสิ้นหวังออกมา เขาพยายามโบกสะบัดธงยักษ์ด้วยดวงตาที่แดงก่ำ ทันใดนั้นคลื่นอัคคีสิบสายก็ม้วนตัวไปทั่วทิศ และระเบิดตัวออกมา มดสีแดงจำนวนมากกระเด็นออกไป แต่ไม่นานก็กรูเข้ามามากกว่าเดิม ภายใต้การถูกขนาบโจมตี ไม่นานชายหนุ่มผู้นี้ก็จมอยู่ในฝูงมดสีแดงเช่นกัน


……


ภายในหุบเขาขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ชายชุดดำเหาะผ่านอากาศในระยะต่ำๆ อย่างรวดเร็ว ด้านหลังของเขา มีหมาป่าสีแดงเข้มสองตัวตามเข้ามาพร้อมส่งเสียงคำรามอย่างไม่ขาดสาย


ร่างกายของชายหนุ่มปราดเปรียวเป็นอย่างมาก เขาเคลื่อนไหวไปซ้ายไปขวาอยู่ตลอดเวลา ความเร็วของสิ่งที่อยู่ใต้เท้าก็เร็วขึ้นเรื่อยๆ หลังจากข้ามหินยักษ์แห่งหนึ่งที่มีความสูงเท่าคนหนึ่งคนแล้ว เขาก็หายไปจากสายตาของอสูรหมาป่าทั้งสอง


หมาป่าเพลิงพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว และกระโดดข้ามก้อนหินยักษ์ติดต่อกัน ทันใดนั้นแสงสีดำสองลำก็พุ่งเข้ามาถึง และแยกตัวไปฟันหัวหมาป่าเพลิงอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ


ขณะที่หมาป่าเพลิงตัวที่อยู่ด้านหน้าค้นพบว่ามีอันตรายนั้น มันก็สายไปเสียแล้ว ดวงตาของมันเปล่งประกายอันโหดเหี้ยมออกมา และบิดหัวไปด้านข้างในฉับพลันจนพอที่จะหลบแสงสีดำไปได้ จากนั้นก็มีเสียงดัง “ตู๊ม!” ร่างสีแดงเข้มถูกโจมตีจนกระเด็นออกไป


และพอหมาป่าเพลิงตัวที่อยู่ด้านหลังเห็นถึงความผิดปกติ ร่างของมันที่ยังอยู่กลางอากาศ ก็แผ่ลำแสงสีแดงออกมา ทันทีที่มันไหวตัว ร่างที่ถูกห่อหุ้มด้วยแสงสีแดงก็พุ่งถอยออกไปสิบกว่าจั้ง จนหลบการโจมตีของลำแสงสีดำไปได้


หมาป่าเพลิงตัวที่อยู่หน้าสุดกลิ้งอยู่กลางอากาศหลายตลบ และร่วงลงไปในพื้นที่ที่อยู่ห่างออกไปหลายจั้ง บนหลังของมันมีบาดแผลขนาดใหญ่ที่ยาวหลายฉื่อ เลือดสีแดงไฟไหลทะลักออกมา ครู่เดียวก็เปื้อนเต็มร่างครึ่งหนึ่งของมัน


ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หมาป่าเพลิงตัวนี้ก็ยังไม่เสียชีวิต พอมันพลิกตัวปีนขึ้นมา ดวงตาแดงก่ำทั้งคู่ก็จ้องมองหญิงสาวชุดเขียวที่ลอยอยู่กลางอากาศ


“อสูรเพลิงระดับของเหลว ช่างไม่ธรรมดาจริงๆ ขนาดถูกลำแสงมืดของศิษย์พี่โจมตี ก็ยังไม่ตาย” ชายหนุ่มชุดดำในก่อนหน้าก็ปรากฏตัวกลางอากาศที่อยู่ไม่ไกล และอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ


“พูดจาไร้สาระให้น้อยๆ หน่อย จัดการพวกมันก่อนเถอะ!” หญิงชุดเขียวตะคอกด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็น ดาบยาวสีดำในมือกลายเป็นริ้วยาวๆ พุ่งไปโจมตีหมาป่าเพลิงที่ได้รับบาดเจ็บ


ชายชุดดำหัวเราะเหอะๆ! และปล่อยตาข่ายสีเขียวขนาดใหญ่ออกไป มันแผ่ขยายไปตรงหน้าหมาป่าเพลิงตัวที่กำลังจะกระโจนเข้ามาอีกครั้ง


ดวงตาของหมาป่าเพลิงเป็นประกายแวววาว จากนั้นมันก็อ้าปากพ่นลูกแสงกลมๆ สีแดงที่มีขนาดเท่าศีรษะโจมตีใส่ตาข่ายสีเขียวของชายหนุ่ม


“ตู๊มต๊าม!”


พอลูกแสงสัมผัสกับตาข่ายยักษ์ มันก็ระเบิดออกมาทันที และก่อเกิดแสงสีแดงผสมปนเปกับพลังมหาศาล จนดีดตาข่ายยักษ์กระเด็นออกไป


และร่างของหมาป่าเพลิงก็กระโดดออกจากแสงสีแดงพุ่งเข้าหาชายชุดดำ หลังจากวิ่งออกไปได้สองจั้ง ก็มีแสงสีเขียวเปล่งประกายตรงหน้า ตาข่ายยักษ์สีเขียวหลังหนึ่งปกคลุมลงมา


ชายชุดดำเห็นเช่นนี้ ก็เผยรอยยิ้มออกมา และกระตุ้นท่ามืออย่างต่อเนื่อง ตาข่ายยักษ์สีเขียวทั้งสอง หมุนเวียนกันสกัดหมาป่าเพลิง


แต่ขณะนี้ หมาป่าเพลิงตัวที่ได้รับบาดเจ็บในก่อนหน้านั้น ถูกดาบยาวของหญิงสาวชุดเขียวฟันหัวจนเลือดสาดกระเซ็น ร่างไร้หัวกระตุกสองสามที จากนั้นก็ไม่สามารกระดิกตัวได้อีก


หญิงชุดเขียวจับดาบยาวไว้แน่น และกำลังจะร่วมมือกับชายหนุ่มสังหารหมาป่าเพลิงอีกตัว


แต่ขณะนั้นเอง มีแสงไฟเปล่งประกายกลางอากาศ อัคคีจิตวิญญาณร่างมนุษย์ปรากฏออกมาในฉับพลัน และพริบตาเดียวก็กระโจนมาตรงหน้าชายหนุ่มชุดดำ


“ระวัง!” หญิงสาวรู้ตัวไวมาก พอตะโกนออกไป แสงดาบสีดำก็พุ่งออกจากมือไปฟันหลังของอัคคีจิตวิญญาณ


อัคคีจิตวิญญาณเปล่งประกายอยู่กลางอากาศครู่หนึ่ง ก็หลบแสงดาบได้อย่างง่ายดาย จากนั้นก็โน้มตัวพุ่งไปอยู่ด้านข้างหมาป่าเพลิง


แสงสีแดงม้วนออกจากปากอัคคีจิตวิญญาณ ภายใต้การเปล่งประกาย มันก็ม้วนหมาป่าเพลิงเข้าไปในนั้น และหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว


ชายชุดดำเห็นเช่นนี้ก็มีสีหน้าดูไม่ได้เล็กน้อย แต่ขณะที่กำลังจะเหาะตามไปนั้นพลันมีเสียงร้องแหลมดังมาจากที่ไกลๆ จนเขารู้สึกวิงเวียนศีรษะไปชั่วขณะหนึ่ง หลังจากนั้นจิตใจถึงเริ่มสงบขึ้นมา


ขณะนั้นเอง พลันมีเสียงฮึดฮัดดังมาจากด้านข้าง


ชายหนุ่มได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกถึงความเย็นชุ่มชื้นที่โจมตีเข้ามา ดวงตาดูแจ่มชัดขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็รีบรวบรวมสติขึ้นมา


และในช่วงระหว่างเวลานี้ อัคคีจิตวิญญาณก็หายไปตรงขอบฟ้าจนตามไม่ทันแล้ว


“ขอบคุณศิษย์พี่ที่ช่วยเหลือ การโจมตีจิตรับรู้ของอัคคีจิตวิญญาณนี้ ช่างสร้างปัญหาให้มากจริงๆ” ชายชุดดำถอนหายใจยาวออกมา และกล่าวขอบคุณหญิงสาว


“ตามที่บรรดาศิษย์พี่ที่เข้าแดนอบอ้าวในก่อนหน้ากล่าวไว้ อัคคีจิตวิญญาณไม่สามารถโจมตีจิตรับรู้ได้ และสติปัญญาก็ไม่สูงเช่นนี้ หรือว่าครั้งนี้พวกเราจะเผชิญกับอัคคีจิตวิญญาณที่กลายพันธุ์แล้ว?” หญิงชุดเขียวจ้องมองทิศทางที่อัคคีจิตวิญญาณหลบหนีไป และขมวดคิ้วกล่าวออกมา


เหตุการณ์เดียวกันนี้ เกิดขึ้นในสถานที่อื่นๆ ของแดนอบอ้าวเช่นกัน


ครึ่งวันต่อมา หลิ่วหมิงกลับถึงจุดที่ถูกส่งตัวมาในครั้งแรกได้อย่างปลอดภัย


สิ่งที่ทำให้เขาค่อนข้างประหลาดใจก็คือ สถานที่แห่งนี้ได้มีคนอื่นๆ ยืนอยู่ก่อนแล้ว


จะเห็นว่าจั้งเสวียนที่มีรูปร่างสูงใหญ่กำลังยืนอยู่ใต้ต้นไม้ยักษ์ด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก ตรงหน้าของเขายังมีชายหนุ่มชุดขาวกำลังนั่งขัดสมาธิด้วยสีหน้าซีดขาวอย่างสุดขีด ชุดบนตัวยังมีรอยเลือดปรากฏอยู่รำไร ราวกับว่าได้รับบาดเจ็บสาหัส


ตอนที่ 489 ร่วมมือ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ชายหนุ่มชุดขาวผู้นี้ก็คือคนที่เสนอให้ผู้คนเดินทางด้วยกันในก่อนหน้านั้น แม้จะไม่รู้ว่าในตอนท้ายจะมีกี่คนที่เข้าร่วมกับเขา แต่ดูจากการที่เขาอยู่ตัวคนเดียวในตอนนี้ เกรงว่าผู้ร่วมเดินทางคงเผชิญกับเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงแล้ว


พอหลิ่วหมิงปรากฏอยู่ไกลๆ จั้งเสวียนก็มองเข้ามาด้วยสายตาที่เยือกเย็น หลังจากเห็นว่าเป็นหลิ่วหมิง เขาถึงละสายตากลับมา


แต่ชายหนุ่มชุดขาวกลับลืมตาในฉับพลัน หลังจากมองหลิ่วหมิงทีหนึ่งแล้ว ก็กล่าวด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น


“ศิษย์น้องก็กลับมาที่นี่ด้วย คงถูกอสูรเพลิงกลุ่มใหญ่ที่อัคคีจิตวิญญาณควบคุมลอบโจมตีใช่หรือไม่?”


“ไม่ผิด! ศิษย์พี่ทั้งสองก็เป็นเช่นนี้ล่ะสิ?” หลิ่วหมิงค่อยๆ ก้าวเข้ามา และพยักหน้าตอบรับ


จั้งเสวียนได้ยินหลิ่วหมิงกล่าวเช่นนี้ เขาก็ค่อยๆ ขมวดคิ้วและไม่กล่าวอะไรออกมา


ชายหนุ่มชุดขาวถอนหายใจยาวๆ และค่อยๆ เล่าเหตุการณ์ที่เผชิญในครึ่งวันมานี้ออกมา


ที่แท้เขาออกเดินทางร่วมกับคนอีกสองคน ตอนแรกก็เริ่มสังหารอสูรเพลิงระดับต่ำจำนวนหนึ่งติดต่อกัน ด้วยเหตุนี้จึงมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นมามาก จึงคิดที่จะเข้าไปในส่วนที่อยู่ลึกเข้าไป


แต่ขณะที่ผ่านพื้นที่รกร้างว่างเปล่าแห่งหนึ่ง ทั้งสามก็ถูกอสูรเพลิงปิดล้อมอย่างกระทันหัน แต่เนื่องจากอสูรเพลิงเหล่านี้มีระดับการฝึกฝนไม่สูง ทั้งสามจึงไม่คิดจะหนีไปในทันที แต่กลับอยากจะเก็บวัสดุของอสูรเพลิงให้มาก จึงเริ่มต่อสู้กับมันอย่างดุเดือด


สุดท้าย ในขณะที่ทั้งสามเห็นว่าสังหารฝูงอสูรไปได้พอประมาณ และร่างกายก็อ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปมากนั้น พลันมีอัคคีจิตวิญญาณปรากฏออกมาพร้อมกันหลายตัว และลอบโจมตีเพื่อนร่วมทางอีกสองคนจนเสียชีวิต หากไม่ใช่ว่าจั้งเสวียนผ่านมาบริเวณนั้นพอดี และแสดงฝีมือจนอัคคีจิตวิญญาณหนีไปด้วยความตกใจล่ะก็ เกรงว่าครั้งนี้คงไม่อาจโชคดีรอดพ้นมาได้


“ตลอดทางข้าก็เจอเหตุการณ์เช่นนี้เหมือนกัน มักจะถูกอัคคีจิตวิญญาณจำนวนหนึ่งลอบโจมตีติดๆ กัน อัคคีจิตวิญญาณที่เดิมทีไม่ปรากฏในเขตพื้นที่แห่งนี้ ก็ปรากฏตัวอยู่บ่อยครั้ง ระดับความอันตรายของมันก็ไม่เหมือนกับข้อมูลที่ได้รับมา คิดว่าแดนอบอ้าวคงมีเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ข้าว่าพวกเราควรออกไปจากการทดสอบ และรายงานเรื่องนี้ให้ทางนิกายทราบถึงจะเป็นแผนการที่ดีที่สุด” หลิ่วหมิงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วค่อยๆ กล่าวออกมา


“ข้าเองก็คิดเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าอัคคีจิตวิญญาณเหล่าเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง แดนอบอ้าวอันตรายขึ้นมาเป็นอย่างมาก ตามระเบียบของนิกาย พวกเราสามารถออกไปจากการทดสอบนี้ได้” ชายชุดขาวได้ยินหลิ่วหมิงเสนอเช่นนี้ เขาก็เห็นด้วย


“ในเมื่อทั้งสองกล่าวเช่นนี้ ข้าก็ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ” เสวียนจั้งฟังแล้วก็ค่อยๆ พยักหน้าเห็นด้วย


“ถ้าเช่นนั้นพวกเรารีบไปจากที่นี่เถอะ ยิ่งยืดเวลานานอุปสรรคก็ยิ่งมาก ข้ายังมีบาดแผลตามตัว ต้องขอไปก่อนแล้ว” ชายหนุ่มชุดขาวเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็พลิกฝ่ามือหยิบตราหยกออกมาทันที และปล่อยพลังเข้าไปในนั้น


“ฟู่!”


แสงเปล่งประกายบนผิวตราหยก ทันใดนั้นก็มีแสงสีขาวก็พุ่งขึ้นฟ้า แต่พอมันจมหายไปบนฟ้าไม่นาน ก็ระเบิดออกมาเป็นจุดแสง


และในขณะเดียวกัน ตราหยกในมือชายหนุ่มก็แตกละเอียดเป็นผุยผง


ทั้งสามเห็นเช่นนี้ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที พวกเขาต่างก็จ้องมองด้านบนตาไม่กระพริบ


แต่พอเวลาผ่านไปราวๆ ครึ่งถ้วยชา กลับยังคงไม่มีอะไรเกิดขึ้น


“เกิดอะไรขึ้น? ไม่ใช่บอกว่าบีบตราหยกจนแตกละเอียดแล้ว ก็จะถูกส่งออกไปหรอกหรือ ?” น้ำเสียงของชายหนุ่มชุดขาวสั่นสะท้านเล็กน้อย


หลิ่วหมิงกับจั้งเสวียนสบตากันทีหนึ่ง ซึ่งสีหน้าของทั้งสองต่างดูไม่ได้เป็นอย่างมาก


จากนั้นพวกเขาก็ทยอยกันบีบตราหยกในมือจนแตกละเอียด แต่ผลลัพธ์กลับเป็นดังที่คาดไว้ ไม่มีเหตุการณ์ใดๆ เกิดขึ้นเลย


สำหรับภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในก่อนหน้านั้น ทำให้หลิ่วหมิงคาดเดาอย่างลางๆ ว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงในแดนอบอ้าวหรือไม่ ตอนนี้ตราหยกยังสูญเสียผลลัพธ์ไป มันจึงเป็นการยืนยันว่าการคาดเดาของเขาเป็นจริงอย่างแน่นอน


“ตอนนี้ตราหยกไร้ซึ่งผลลัพธ์ ถ้าอย่างนั้นคงไม่สามารถไปจากสถานที่แห่งนี้ภายในระยะเวลาสั้นๆ ได้ ไม่รู้ว่าหัวหน้าสาขาทั้งแปดที่อยู่ด้านนอกจะรับรู้สถานการณ์ในนี้หรือไม่ แต่ภาระอันเร่งด่วนเช่นนี้ พวกเราคงได้แต่พยายามรักษาชีวิต และหาวิธีหลุดพ้นไปเอง นอกเสียจากว่าสหายทั้งสองจะมีวิธีการอื่นในการออกไปจากที่นี่” หลิ่วหมิงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมา


“พวกเราเข้ามาที่นี่ได้ ล้วนถูกหัวหน้าสาขาทั้งแปดรวมพลังส่งเข้ามา ไหนเลยจะมีวิธีการอื่นในการออกไป” ชายหนุ่มชุดขาวกล่าวด้วยใบหน้าซีดขาว


“ข้าก็ไม่มีวิธีการอื่น” จั้งเสวียนตาเป็นประกายสองสามทีแล้วกล่าวออกมา


“ดูท่าตอนนี้คงต้องไปรวมตัวกับคนอื่นๆ แล้วหารือวิธีการรับมือก่อน ในเมื่ออัคคีจิตวิญญาณเหล่านั้นไม่ถูกจำกัดพื้นที่แล้ว หากพวกเราอยู่ที่นี่ต่อล่ะก็ เกรงว่าคงจะอันตรายเป็นอย่างมาก” ชายชุดขาวคิดไตร่ตรองไปรอบหนึ่งแล้วกล่าวออกมา


“พวกเราย่อมต้องไปจากที่นี่อย่างแน่นอน ศิษย์คนอื่นๆ คงไปตามส่วนต่างๆ ของแดนอบอ้าวที่มีอัคคีจิตวิญญาณ และศิษย์ส่วนมากก็เลือกไปหากลุ่มอัคคีจิตวิญญาณที่อยู่ใจกลางแดนอบอ้าว บริเวณนั้นคงมีศิษย์นิกายเรารวมตัวกันอยู่มากที่สุด แต่ในเมื่อตอนนี้อัคคีจิตวิญญาณต่างก็ปรากฏตัวในเขตพื้นที่อื่นๆ คิดว่าในเขตพื้นที่นั้นคงมีอัคคีจิตวิญญาณรวมตัวอยู่ไม่ค่อยมาก พวกเราควรไปรวมตัวกับพวกเขาที่นั่น แต่ในเมื่ออัคคีจิตวิญญาณสามารถพาอสูรธาตุไฟเหล่านี้มาลอบโจมตีพวกเราได้ คิดว่าคนอื่นๆ ก็คงไม่อาจโชคดีรอดพ้นไปได้ ไม่รู้ว่าจะมีสักกี่คนที่สามารถรอดไปถึงที่นั่นอย่างปลอดภัย อีกอย่าง เห็นได้ชัดว่าเส้นทางบนแผนที่เหล่านั้นใช้ไม่ได้อีกแล้ว พวกเราจำต้องบุกเบิกเส้นทางอื่น” จั้งเสวียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม


“อันนี้ง่ายมาก พวกเราเพียงแค่เลือกเส้นทางที่ไม่ได้ทำเครื่องหมายไว้บนแผนที่ก็พอแล้ว แม้อาจจะพบจะดับอันตรายอย่างอื่น แต่ก็ยังดีกว่าถูกอัคคีจิตวิญญาณเหล่านั้นจับตามอง” เดิมทีหลิ่วหมิงก็คิดเช่นนี้ พอได้ยินคำพูดนี้ออกมาจากปากจั้งเสวียน แม้จะรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ยังคงกล่าวเห็นด้วย


ชายหนุ่มชุดขาวไม่มีข้อโต้แย้งในเรื่องนี้


หลังจากหารือกันไปรอบหนึ่งแล้ว ทั้งสามก็ตัดสินใจรอจนพลังเวทของชายหนุ่มชุดขาวฟื้นคืนเล็กน้อย จากนั้นก็จะออกเดินทางไปยังใจกลางแดนอบอ้าวที่มีอัคคีจิตวิญญาณกลุ่มใหญ่รวมตัวกันทันที


ชายหนุ่มชุดขาวหยิบขวดหยกสีเขียวออกจากแขนเสื้อข้างหนึ่ง และเทโอสถสีแดงออกมาทานสองเม็ด จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิหลับตาทำสมาธิต่อ


ผ่านไปไม่นาน ใบหน้าที่ซีดขาวของชายหนุ่มก็ค่อยๆ มีเลือดฝาดขึ้นมา


หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิลงบนก้อนหินสีแดงก้อนหนึ่ง และปล่อยพลังจิตไปสังเกตดูรอบด้านอยู่ตลอดเวลา ขณะเดียวกันก็ครุ่นคิดอะไรบางอย่างเงียบๆ


จั้งเสวียนก็ยืนกอดอกอยู่ที่เดิม และมองออกไปไกลๆ ราวกับกำลังคิดอะไรอยู่


สองชั่วยามผ่านไป ชายหนุ่มชุดขาวก็ถอนหายใจยาวออกมา และยืนขึ้นทันที


จากนั้นทั้งสามก็เหาะต่ำๆ ไปยังทิศทางบางแห่งที่ตั้งไว้


……


ผ่านไปไม่กี่ชั่วยาม


พวกหลิ่วหมิงทั้งสามก็เดินอยู่บนทางเส้นเล็กๆ ที่กว้างสามสี่จั้ง ด้านหนึ่งเป็นเขาลูกเล็กๆ ที่ทอดยาวไม่มีที่สิ้นสุด อีกด้านหนึ่งเป็นป่าสีแดงที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด


ทันใดนั้น จั้งเสวียนที่เดินอยู่หน้าสุดก็หยุดฝีเท้าลง มีซากศพสามศพนอนอยู่บนพื้นที่อยู่ไม่ไกล ดูจากชุดที่สวมใส่พอจะมองออกได้ลางๆ ว่าเป็นศิษยสายนอกของสาขาอื่นๆ และบริเวณรอบๆ มีศพหมาป่าเพลิงนอนเรี่ยราดอยู่สิบกว่าศพ


ซากศพของศิษย์สายนอกทั้งสาม ต่างก็ถูกเผาจนไหม้เกรียม แขนขาก็ถูกฉีกทึ้งจนไม่เป็นชิ้นดี แม้กระทั่งหน้าอกของหนึ่งในนั้น ก็ถูกควักออกมา


ดูท่าก่อนตายศิษย์ทั้งสามคงจะต่อสู้กับหมาป่าเพลิงอย่างดุเดือด


“อัคคีจิตวิญญาณเหล่านั้นคงจะไปแล้ว” ตาสีม่วงของจั้งเสวียนเป็นประกาย หลังจากกวาดดูรอบด้านแล้ว ก็กล่าวออกมาอย่างราบเรียบ


หลิ่วหมิงขยับตัวแค่ทีเดียว ก็มาถึงตรงหน้าซากศพเหล่านี้ และก้มลงตรวจสอบอย่างละเอียด สุดท้ายก็ไม่ค้นพบอาวุธจิตวิญญาณกับโอสถใดๆ เลย


หลิ่วหมิงถอนหายใจเบาๆ จากนั้นก็ส่ายหน้าและลุกขึ้นมา หลังจากนั้นก็ปล่อยลูกเปลวไฟสามลูกเผาศพเหล่านี้จนกลายเป็นขี้เถ้า


ระหว่างทาง ทั้งสามก็ไม่เผชิญกับการโจมตีแบบเดิมอีกเลย พบเพียงแค่อสูรเพลิงธรรมดาไม่กี่ตัวเท่านั้น และย่อมถูกพวกเขาสังหารอย่างไม่ใส่ใจ


ผ่านไปอีกครึ่งวัน ทั้งสามก็มาถึงทะเลสาบกลมๆ แห่งหนึ่ง


พอมองออกไป ก็ดูเหมือนว่าทะเลสาบทั้งผืนจะนิ่งสงบราวกับไม่มีชีวิตชีวา พื้นผิวของมันถูกหมอกควันสีแดงปกคลุมไว้ ทำให้มองเห็นได้จำกัด


“เดี๋ยวก่อน!” จั้งเสวียนที่อยู่ด้านหน้าเอ่ยปากออกมาในฉับพลัน มือขนาดใหญ่ราวกับใบพัดยื่นออกมาขวางไว้ เพื่อบ่งบอกให้หลิ่วหมิงและชายหนุ่มชุดขาวหยุดลง


“พี่จั้งค้นพบอะไรหรือ?” ชายหนุ่มชุดขาวเอ่ยปากถามด้วยสีหน้าฉงน


“มีอัคคีจิตวิญญาณซ่อนอยู่แถวนี้ ดูเหมือนจะมีราวๆ สี่ห้าตัว” ดวงตาสีม่วงของจั้งเสวียนกวาดดูอากาศตรงหน้า และกล่าวออกมา


พอคำพูดนี้ดังออกมา ทั้งสองย่อมรู้สึกตกใจเป็นธรรมดา


หลิ่วหมิงรีบปล่อยพลังจิตออกไปค้นดูอยู่รอบหนึ่ง แต่กลับไม่รับรู้ถึงร่องรอยของอัคคีจิตวิญญาณเลย จึงอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้


แต่ทว่าเมื่อเขาส่งพลังจิตไปยังส่วนที่อยู่ไกลออกไป กลับค้นพบว่าตรงหน้ามีคลื่นพลังจิตวิญญาณผสมปนเปกันอยู่


พอหลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งคู่มองผ่านไอหมอกสลัวๆ ก็ค้นพบว่าดวงดาวดารดาษที่อยู่ไม่ไกล แท้จริงแล้วคือฝูงอสูรเพลิงที่กำลังกระโจนเข้ามา


“ทั้งสอง เกรงว่าพวกเราคงถูกซุ่มโจมตีแล้ว” สีหน้าหลิ่วหมิงเคร่งขรึมลง พอสะบัดแขนเสื้อ กระบี่เล็กสีฟ้าก็ปรากฏในมือ


ชายหนุ่มชุดขาวก็รีบควักพัดจิตวิญญาณสีดำออกมาตั้งขวางไว้ตรงหน้า


จั้งเสวียนอ้าปากพ่นกระบี่เล็กสีเหลืองออกมา และทำท่ามือชี้ไปทางอากาศบนหินผาก้อนหนึ่ง


สายรุ้งสีเหลืองสายหนึ่งพุ่งยิงออกไป!


“เพล้ง!”


ภายใต้แสงสีเหลืองที่เปล่งประกาย หินผาก้อนนั้นก็ถูกผ่าออกเป็นสองส่วน ขณะเดียวกัน กลุ่มอัคคีสีแดงก็พวยพุ่งออกมา มันคืออัคคีจิตวิญญาณร่างมนุษย์นั่นเอง


จั้งเสวียนกำมืออีกข้างไว้แน่น และทุบลงพื้นด้านล่างอย่างรุนแรง


ทันใดนั้น พื้นดินบริเวณนี้ก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เสาดินจำนวนมากพุ่งขึ้นจากพื้นว่างเปล่าตรงหน้า ภายใต้แสงไฟที่เปล่งประกาย ก็มีร่างอัคคีจิตวิญญาณปรากฏตรงหน้าอีกสี่ตัว


อัคคีจิตวิญญาณเหล่านี้ถูกเปลวไฟสีแดงห่อหุ้มไว้ พอเห็นว่าร่องรอยของตนเองถูกเปิดเผย มันก็ส่งเสียงร้องแหลมออกมาพร้อมกัน


ชายหนุ่มชุดขาวได้ยินเช่นนี้ ก็มีสีหน้าซีดขาวขึ้นมา แต่ดูเหมือนหลิ่วหมิงกับจั้งเสวียนจะไม่เป็นอะไร


“พี่หลิ่ว ท่านไปรับมือกับอสูรเพลิงเหล่านั้น อัคคีจิตวิญญาณเหล่านี้มอบให้ข้าจัดการเถอะ!” จั้งเสวียนเห็นเช่นนี้ ก็กวาดสายตามองดูหลิ่วหมิงด้วยความแปลกใจก่อนที่จะกล่าวออกมา


จากนั้นเขาก็โยนยันต์ออกไปผืนหนึ่ง และมันก็กลายเป็นแสงสีเหลืองปกป้องตนเองไว้ ส่วนมืออีกข้างก็ท่ามืออย่างต่อเนื่อง เพื่อควบคุมแสงสีเหลืองที่กลายร่างมาจากกระบี่บินสีเหลืองให้ไปปิดล้อมอัคคีจิตวิญญาณสามตัวไว้ ภายใต้แสงเย็นสะท้านอันน่าครั่นคร้าม ทำให้อัคคีจิตวิญญาณสามตัวนี้ต้องร่นถอยเป็นระยะๆ และหยุดกรีดร้องในฉับพลัน


หลังจากเสียงร้องแหลมลดลงไป ชายหนุ่มชุดขาวก็มีสีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย พอพัดจิตวิญญาณสีดำในมือถูกยกขึ้นมา พายุบ้าระห่ำจำนวนมากก็ม้วนตัวขึ้น และพุ่งไปตอบโต้อัคคีจิตวิญญาณอีกสองตัวทันที


ตอนที่ 490 เสียชีวิต

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลิ่วหมิงกระโดดขึ้นมา และขี่เมฆไปยังรับมือกับอสูรเพลิงที่อยู่ด้านหน้า


พอเขาเหาะเข้าไปใกล้ถึงค้นพบว่า อสูรเพลิงเหล่านี้ต่างก็เป็นวานรเพลิงกับโคเพลิงสามสิบกว่าตัวที่มีขนาดจั้งกว่าๆ และมันก็พุ่งเข้ามาราวกับสายน้ำที่ไหลทะลัก แต่ดีที่มีพลังแค่ระดับศิษย์จิตวิญญาณเท่านั้น


พอหลิ่วหมิงสะบัดแขนเสื้อ แสงสีทองเป็นจุดๆ ก็โปรยออกมา จากนั้นก็กลายเป็นค่ายกลทรายปกคลุมเต็มฟ้า และปิดล้อมอสูรจิตวิญญาณธาตุไฟสิบกว่าตัวไว้ ส่วนมืออีกข้างก็ทำท่ามือ จากนั้นกระบี่เล็กสีฟ้าก็หลุดออกจากมือ และกลายเป็นเงากระบี่สีฟ้าฟาดฟันไปทางอสูรเพลิง


อสูรเพลิงเหล่านั้นค่อยๆ พ่นลูกเปลวไฟขนาดต่างๆ ออกมา แต่เนื่องจากมันเป็นธาตุที่ไม่ถูกกัน พอปะทะกับเงากระบี่จึงค่อยๆ ระเบิดออกมา


“ฟู่ๆ!”


หลังจากแสงกระบี่สีฟ้ากระพริบผ่านไป วานรเพลิงก็ถูกฟันเป็นสองส่วนแล้วค่อยๆ ร่วงลงมา


หลังจากหลิ่วหมิงชี้มือข้างหนึ่งไปกลางอากาศ ทรายทองคำที่แผ่คลุมเต็มฟ้าอีกด้านหนึ่ง ก็กลายเป็นคมดาบสีทองหมุนวนเข้าด้านในอย่างบ้าคลั่ง


อสูรเพลิงที่ถูกปิดล้อมอยู่ในค่ายกลทรายทองคำร่วง ถูกปั่นจนเป็นเนื้อเหลวในพริบตา


ภายใต้สถานการณ์ที่ทรายทองคำกลายเป็นหมอกทรายม้วนตัวเข้ามา และเงากระบี่จำนวนมากฟาดฟันอย่างบ้าคลั่ง ทำให้วานรเพลิงกับโคเพลิงที่เหลือ ได้แต่วิ่งหนีท่ามกลางไฟที่พุ่งออกมาจากตัว และไม่กล้าเข้าใกล้เลยแม้แต่น้อย


ด้วยพลังของหลิ่วหมิงในตอนนี้ ย่อมเหลือเฟือที่จะจัดการกับอสูรระดับศิษย์จิตวิญญาณแล้ว แต่การสังหารอย่างราบคาบได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นกลางทั่วไปไม่อาจทำได้


ทางด้านชายหนุ่มชุดขาว พัดจิตวิญญาณสีดำในมือก็โบกสะบัดอยู่ไม่หยุด จนก่อเกิดพายุบ้าระห่ำเพื่อสลายการโจมตีของลูกเปลวไฟของอัคคีจิตวิญญาณ


ร่างของอัคคีจิตวิญญาณสองตัวปรากฏขาดๆ หายๆ แม้ว่ายังไม่ส่งเสียงแหลมโจมตีจิตรับรู้ แต่สำหรับชายหนุ่มชุดขาวที่เผชิญกับอัคคีจิตวิญญาณสองตัวในตอนนี้แล้ว นับว่ากินแรงเป็นอย่างมาก


ขณะที่พายุบ้าระห่ำจำนวนมากสลายลูกเปลวไฟที่ม้วนตัวเข้ามาแล้ว อัคคีจิตวิญญาณตัวหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าเขา ก็ระเบิดตัวกลายเป็นเมฆอัคคีม้วนตัวเข้ามา


พอชายหนุ่มชุดขาวเห็นว่ามีแสงสีแดงสว่างขึ้นตรงหน้า เขาก็รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลทันที และพัดสีดำก็ถูกสะบัดออกไปอย่างบ้าคลั่ง คมวายุแต่ละสายพุ่งยิงออกไป แต่กลับพอที่จะต้านทานเมฆอัคคีได้เท่านั้น


ขณะนั้นเอง มีเสียงดัง “ฟู่!” ตรงด้านหลังของเขา ปราณแกร่งคุ้มร่างถูกอะไรบางอย่างโจมตีจนแตกกระจายในพริบตา จากนั้นความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนบริเวณไหล่ก็ประดังประเดเข้ามา ฝ่ามือไหม้เกรียมสีดำข้างหนึ่งเจาะทะลุหัวไหล่ของเขา และดึงกลับไปอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ


มันคืออัคคีจิตวิญญาณอีกตัวที่ถือโอกาสไปอยู่ด้านหลังของเขาในตอนที่คู่หูกลายเป็นเมฆอัคคี และทำการโจมตีอย่างไร้สุ้มเสียง


แม้ชายหนุ่มชุดขาวจะหลบพ้นจุดอันตรายไปได้ แต่แขนซ้ายยังคงมีเลือดไหลริน บริเวณที่เป็นสีเทาเกรียม เห็นได้ชัดว่าเป็นรอยจากการถูกเผาไหม้


ชายหนุ่มชุดขาวหยิบยันต์มาแปะบาดแผลด้วยความตกใจ และมันก็สามารถหยุดเลือดได้ชั่วคราว จากนั้นก็อ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์ใส่พัดสีดำ ทำให้อักขระบนพื้นผิวเปล่งประกายอย่างบ้าคลั่ง หลังจากพัดไปทางเมฆอัคคีสองทีแล้ว ก็พัดไปด้านหลังหนึ่งทีอย่างรวดเร็ว


เสียงร้องแหลมแสบแก้วหูดังออกมา!


พายุบ้าระห่ำสีดำลูกหนึ่งม้วนตัวไปด้านหลัง และโจมตีไปยังอัคคีจิตวิญญาณที่ลอบโจมตีเขา


ท่ามกลางพายุบ้าระห่ำมีคมวายุสีแดงดำผสมปนเปอยู่เป็นจำนวนมาก และปกคลุมอัคคีจิตวิญญาณที่กำลังคิดจะหนีไว้


อัคคีจิตวิญญาณตัวนี้รีบยกแขนทั้งสองขึ้นมาต้านทานไว้ และพอมีเสียงดัง “ฟิ้วๆ!” อยู่ชั่วขณะหนึ่ง เปลวไฟสีแดงรอบตัวของมันก็ถูกพัดกระจาย เผยให้เห็นร่างที่ดูคล้ายกับถ่านที่ไหม้เกรียม และมีบาดแผลลึกๆ ปรากฏออกมาเป็นจำนวนมาก


ดูเหมือนอัคคีจิตวิญญาณตัวนี้จะรับรู้ได้ถึงอันตราย จึงส่งเสียงร้องแปลกประหลาดออกมากลางอากาศ จากนั้นก็พุ่งออกไปด้านหลัง ราวกับว่ากำลังขอให้อัคคีจิตวิญญาณตัวอื่นๆ เข้ามาช่วย


ขณะนั้นเอง พลันมีเสียงดังก้องฟ้า!


สายรุ้งสีฟ้าแวววาวพุ่งเข้ามาจากที่ไกลๆ มันหมุนวนรอบคออัคคีจิตวิญญาณตัวนี้อย่างรวดเร็ว ทันใดนั้น หัวของมันก็กลิ้งลงมาอย่างไร้สุ้มเสียง


หลังจากหลิ่วหมิงสังหารอสูรเพลิงเหล่านั้นไปพอประมาณแล้ว ก็ฟันกระบี่มาทางด้านนี้


ชายหนุ่มชุดขาวเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจมาก ขณะที่คิดจะกล่าวขอบคุณนั้น เมฆอัคคีที่ถูกเขาพัดจนถอยออกไป ก็กลายเป็นคลื่นอัคคีที่สูงหลายจั้ง และม้วนตัวเข้ามาตรงหน้าอย่างคาดไม่ถึง


ชายหนุ่มรู้สึกตกใจจนดูเหมือนว่าจะโบกพัดในมือออกไปโดยไม่ต้องคิด ขณะเดียวกันก็ร่ายคาถาออกมา หมอกสีขาวพวยพุ่งออกจากร่าง และห่อหุ้มร่างของเขาไว้


แต่พลันมีเสียงแหลมแสบแก้วหูดังมาจากคลื่นอัคคี!


ภายใต้ระยะห่างใกล้เช่นนี้ ชายหนุ่มรู้สึกวิงเวียนศรีษะในทันที และการกระทำก็ค่อยๆ หยุดชะงักลง


“ฟู่!”


เงาดำเปล่งประกายในคลื่นอัคคี จากนั้นอัคคีจิตวิญญาณก็พุ่งออกมาจากในนั้น มันพร่ามัวแค่ทีเดียว ก็กอดชายหนุ่มชุดขาวไว้แน่น ขณะเดียวกัน แสงสีแดงบนตัวก็เปล่งประกายอย่างบ้าคลั่ง


“ไม่!”


ชายหนุ่มชุดขาวร้องออกมา และคิดที่จะแสดงวิชาผลักอัคคีจิตวิญญาณให้หลุดออกไป แต่กลับไม่ทันการเสียแล้ว


พอมีเสียงดังขึ้นมา!


อัคคีจิตวิญญาณที่กอดชายหนุ่มแน่น ก็ระเบิดตัวเองออกมา เมฆอัคคีรูปดอกเห็ดพุ่งขึ้นฟ้า พริบตาเดียวก็ทำให้ชายหนุ่มชุดขาวกลายเป็นเถ้าธุลี


หลิ่วหมิงคิดจะมาช่วย แต่พอเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกอึ้งไปเล็กน้อย


และอัคคีจิตวิญญาณสามตัวที่ต่อสู้กับจั้งเสวียนอยู่กลับดูฮึกเหิมผิดปกติ พวกมันส่งเสียงแหลมแสบแก้วหูออกมา ดูเหมือนว่าจะร้องเรียกพวกพ้องให้มาช่วย และต่อมาก็เคลื่อนตัวหลบหลีกกระบี่บินสีเหลือง และไม่ทำการโจมตีอีก


และขณะนั้นเอง มีเสียงแหลมแสบแก้วหูดังมาจากขอบฟ้าที่อยู่ไกลๆ และเมฆอัคคีกลุ่มใหญ่ก็ปรากฏออกมา


“พี่จั้ง ที่นี่อยู่นานไม่ได้ ต้องรีบเผด็จศึกให้ไวที่สุด” หลิ่วหมิงเพิ่งจะเรียกกระบี่เล็กสีฟ้ากลับมา พอเห็นฉากเช่นนี้ก็กล่าวด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันที พอกระตุ้นทรายทองคำร่วง อสูรเพลิงตัวที่เหลือก็ถูกปั่นจนกลายเป็นเนื้อเหลว


“ได้! ดูท่าหากไม่ใช้ความสามารถที่แท้จริงคงจะไม่ได้แล้ว!” จั้งเสวียนได้ยินก็ตะโกนตอบกลับไปทันที


เขากระตุ้นกระบี่บินสีเหลืองให้พุ่งไปมาท่ามกลางอัคคีจิตวิญญาณ ขณะเดียวกัน ก็ตบมืออีกข้างลงไปด้านล่าง


“ฟู่!” แสงสีเหลืองเปล่งประกายบนพื้น จากนั้นก็มีอะไรบางอย่างนูนขึ้นมา และมีหัวกับแขนขางอกออกมาอย่างรวดเร็ว มันดูคล้ายกับมนุษย์ดินเหลืองตัวหนึ่ง


จั้งเสวียนอ้าปากพ่นไอบริสุทธิ์สีเหลืองรุบรู่ออกมา และมันก็จมเข้าไปในร่างของมนุษย์ดิน


ดวงตาทั้งคู่ของมนุษย์ดินเปล่งประกาย จากนั้นก็จมหายไปในดินราวกับว่ามีชีวิต


ครู่ต่อมา มีเสียงดัง “ตู๊ม!” เสาหินสีเหลืองอันหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากพื้น และพุ่งใส่อัคคีจิตวิญญาณตัวที่อยู่ด้านบนพอดี


อัคคีจิตวิญญาณตัวนี้โบกมือทั้งสองด้วยความตกใจ จากนั้นเปลวไฟสีทองก็ก่อตัวเป็นกำแพงไฟอยู่ตรงหน้า


และพอเสาหินปะทะเข้ามา กำแพงไฟก็ลุกไหม้อย่างรุนแรง ในขณะที่มันพุ่งเจาะกำแพงไฟนั้น ขนาดของมันก็แหลมเล็กลงเรื่อยๆ แต่ทว่าพอปลายเสาหินด้านหนึ่งเจาะทะลุกำแพงไฟไปแล้ว ก็มีเสียงระเบิดดังออกมาในฉับพลัน


กลุ่มแสงสีเหลืองพุ่งออกมาท่ามกลางเศษหินที่สาดกระเด็น และโจมตีหัวของอัคคีจิตวิญญาณจนระเบิดออกมาเป็นเสี่ยงๆ


พอแสงสีเหลืองดับลง ก็เผยให้เห็นว่ามันคือมนุษย์ดินในก่อนหน้านั้น


อัคคีจิตวิญญาณอีกสองตัวเห็นเช่นนี้ ก็สบตากันครู่หนึ่ง จากนั้นก็รวมเป็นหนึ่งและกลายเป็นแสงสีแดงกระพริบหายไปกลางอากาศ


จั้งเสวียนเห็นเช่นนี้ก็หัวเราะอย่างเยือกเย็น ดวงตาสีม่วงทั้งคู่ยิงแสงสีม่วงออกมา และกวาดไปทางฝ่ายตรงข้ามที่หลบหนีอยู่


บริเวณที่แสงสีม่วงกวาดผ่าน จะเห็นร่างของวิหคเพลิงแปลกประหลาดปรากฏออก


“ฟู่!” แสงสีเหลืองที่กลายร่างมาจากมนุษย์ดินพุ่งเข้ามา วิหคเพลิงแปลกประหลาดร้องเสียงแหลม และแยกเป็นเปลวไฟสองกลุ่ม จากนั้นก็พุ่งไปคนละทิศทาง


ขณะนั้นเอง สายรุ้งสีฟ้าแวววาวก็พุ่งเข้ามา และทะลุผ่านเปลวไฟกลุ่มหนึ่งไป


พอแสงไฟดับลง อัคคีเพลิงที่ดำราวกับถ่านก็ร่วงลงมา บนหัวมีรูสีดำขนาดเท่ากำปั้นอยู่รูหนึ่ง


อีกด้านหนึ่ง แสงสีเหลืองที่กลายร่างมาจากมนุษย์ดินก็ตามเปลวไฟอีกกลุ่มทันอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ไม่กี่อึดใจก็โจมตีใส่เปลวไฟ


“ตุ๊บ!” ศพสีดำที่ทีสภาพบุบสลายร่วงมาจากอากาศ


“ไปกันเถอะ!”


หลิ่วหมิงเก็บทรายทองคำร่วงกับกระบี่บินกลับมาพร้อมกัน จากนั้นก็ตะโกนออกมา


จั้งเสวียนย่อมไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ


ต่อมา ทั้งสองก็รีบเก็บแก่นบริสุทธิ์จากศพอัคคีจิตวิญญาณ และทะยานขึ้นฟ้าเหาะจากไป


ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวต่อมา ทั้งสองก็มาปรากฏตัวนอกถ้ำที่ค่อนข้างเร้นลับแห่งหนึ่ง


หลังจากมั่นใจว่าไม่มีคนตามมาแล้ว ทั้งสองก็เข้าไปนั่งขัดสมาธิทำสมาธิอยู่ในถ้ำ


ศึกในก่อนหน้านั้นทำให้ชายหนุ่มชุดขาวเสียชีวิต และทั้งสองก็สูญเสียพลังเวทไปไม่น้อย ต้องรีบฟื้นฟูเป็นการเร่งด่วน


หลังจากนั่งสมาธิไปได้ครึ่งไว้แล้ว พลังเวทของทั้งสองก็ฟื้นฟูแปดถึงเก้าในสิบส่วน จากนั้นก็เดินทางไปตามเส้นทางที่วางแผนไว้ในก่อนหน้า เพื่อเดินทางไปยังใจกลางแดนอบอ้าว


แน่นอนว่าทั้งสองย่อมรู้สึกหดหู่ใจกับการเสียชีวิตของชายหนุ่มชุดขาว และรู้สึกระมัดระวังอัคคีจิตวิญญาณเหล่านั้นมากขึ้นกว่าเดิม


ต่อมา นอกจากทั้งสองจะถูกอสูรเพลิงหลายตัวโจมตีแล้ว ก็ไม่พบกับอัคคีจิตวิญญาณอีก


และอสูรเพลิงที่ไม่มีอัคคีจิตวิญญาณควบคุม พลังของมันก็ลดลงไปมาก ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่ากลัวแต่อย่างใด ทั้งสองเพียงแค่กระตุ้นอาวุธจิตวิญญาณเล็กน้อย ก็สังหารพวกมันได้อย่างง่ายดาย


หลังจากเดินทางเช่นนี้ไปได้ครึ่งวัน ทั้งสองก็เข้าไปถึงใจกลางแดนอบอ้าว


ขณะที่ออกมาจากป่าเล็กๆ แห่งหนึ่ง ก็ค้นพบว่ามีเสียงต่อสู้ดังมาจากตีนเขาเล็กๆ ลูกหนึ่ง


ทั้งสองดักซุ่มดูเงียบๆ ถึงค้นพบว่า มีศิษย์สายนอกที่ไม่รู้จักสามคนกำลังต่อสู้กับหมาป่าเพลิงสิบกว่าตัวอย่างดุเดือด


ภายในสามคนนั้น ชายหนุ่มผมแดงกำลังยืนถือธงสีฟ้าอยู่บนก้อนหินยักษ์ แสงสีฟ้าม้วนตัวออกจากธง และกลายเป็นคลื่นวารีกลิ้งไปรับมือกับลูกเปลวไฟที่หมาป่าเพลิงพ่นออกมา


อีกสองคน คนหนึ่งถือกระบี่จิตวิญญาณอยู่ในมือ ส่วนหญิงสาวอีกคนก็กำลังโบกสะบัดผ้าดิ้นสีทองต่อสู้กับอัคคีเพลิงเพียงหนึ่งเดียวที่คอยก่อกวนอยู่


อัคคีจิตวิญญาณตัวนี้มีการฝึกฝนอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นปลาย ดูเหมือนจะมีพลังแข็งแกร่งกว่าที่หลิ่วหมิงพบเจอในก่อนหน้านั้น


หลิ่วหมิงและจั้งเสวียนเห็นเช่นนี้ ก็สบตากันทีหนึ่ง และพุ่งออกไปช่วยพร้อมกัน


ตอนที่ 491 หารือ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ขณะนั้นเอง พลันมีคลื่นสั่นสะเทือนบนอากาศเหนือกลุ่มการต่อสู้ ชายหนุ่มหน้าขาวสวมชุดสีดำผู้หนึ่งปรากฏตัวออกมา และโบกมือข้างหนึ่งโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง จากนั้นแสงสีม่วงจำนวนมากก็พุ่งออกจากมือ และพุ่งใส่ฝูงหมาป่าที่ล้อมรอบหินยักษ์อยู่


“ฟิ้วๆ!” หมาป่าเพลิงสีแดงเจ็ดแปดตัวถูกแสงสีม่วงเจาะทะลุตัว หลังจากส่งเสียงร้องออกมาอย่างน่าเวทนา มันก็ค่อยๆ ล้มลงพื้น


ชายหน้าขาวทำท่ามือด้วยมือเดียว พอเปลี่ยนเคล็ดวิชา แสงสีม่วงก็พุ่งจากทั่วทิศมารวมตัวกลางอากาศ และก่อตัวเป็นกลุ่มแสงสีม่วงขนาดเท่าศีรษะ ทั้งยังหมุนติ้วๆ อย่างบ้าคลั่ง


ดูเหมือนอัคคีจิตวิญญาณที่ต่อสู้กับศิษย์สายนอกทั้งสองจะรับรู้ถึงความผิดปกติได้ หลังจากส่งเสียงร้องแหลมออกมาแล้ว แสงไฟบนตัวก็สว่างขึ้นมา และกลายเป็นเปลวไฟสีแดงพุ่งหนีไปข้างหลัง


ในขณะเดียวกัน ลูกแสงสีม่วงก็ระเบิดเสียงดังออกมา แสงสีม่วงจำนวนมากพุ่งยิงออกไปปกคลุมเปลวไฟกลุ่มนี้ไว้ และเจาะทะลุจนกลายเป็นบาดแผลหลายร้อยรู


ศพอัคคีจิตวิญญาณร่วงลงมาทันที


พอชายหนุ่มชุดดำโบกมือ แสงสีม่วงเต็มฟ้าก็พุ่งกลับมาทันที และจมหายเข้าไปในแขนเสื้อ จากนั้นถึงหันมาถามหลิ่วหมิงกับจั้งเสวียนด้วยสีหน้าสงบ


“ข้าน้อยเฉินเติง สาขาวายุทะยานฟ้า ไม่ทราบทั้งสองมีนามว่าอย่างไร?”


“ที่แท้ก็เป็นศิษย์พี่เฉิน ข้าน้อยหลิ่วหมิงจากสาขาห่านฟ้า ท่านนี้คือพี่จั้งเสวียน ขอถามหน่อยว่าตอนนี้คนอื่นๆ อยู่ที่ใดกัน” พอหลิ่วหมิงเห็นอัคคีจิตวิญญาณถูกฆ่าไปหมดแล้ว เขากับจั้งเสวียนก็หยุดอยู่ห่างออกไปสิบกว่าจั้ง  และถามด้วยตาที่เป็นประกาย


“เฮ่อๆ! ในเมื่อทั้งสองมาถึงที่นี่ได้ คิดว่าคงจะค้นพบความผิดปกติของแดนอบอ้าวเช่นกัน ตอนนี้ศิษย์นิกายเราได้รวมตัวกันในบริเวณนี้หลายสิบคนแล้ว ซึ่งอยู่นอกหุบเขาที่ห่างออกไปไม่ไกล ข้ากับคนไม่กี่คนออกมาลาดตระเวนกวาดล้างอัคคีจิตวิญญาณจำนวนหนึ่ง และพาคนที่มาภายหลังไปยังจุดรวมตัว” ชายหน้าขาวพลิกฝ่ามือเก็บเข็มเล็กๆ สีม่วงเข้าไป และกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นต้องรบกวนพี่เฉินแล้ว” หลิ่วหมิงกุมมือคารวะ


“ศิษย์น้องซ่ง พวกเจ้าพาพวกพี่หลิ่วไปพักผ่อนที่จุดรวมตัวก่อน ไม่ต้องกลับมาแล้ว ข้าจะอยู่ที่นี่อีกซักพัก ดูว่ายังมีคนมาทางด้านนี้หรือไม่ หากไม่มีล่ะก็ อีกไม่นานข้าจะตามกลับไป” ชายหนุ่มหน้าขาวบอกกับชายหนุ่มผมแดง


“ทราบ! ศิษย์พี่เฉินรักษาตัวด้วย” ชายหนุ่มผมแดงกับพวกอีกสองคนกุมมือคารวะชายหนุ่มหน้าขาว และตอบรับอย่างเต็มปากเต็มคำ


จากนั้นหลิ่วหมิงกับจั้งเสวียน ก็ตามคนทั้งสามพุ่งไปยังทิศทางบางแห่ง


ชั่วเวลาราวๆ หนึ่งมื้อข้าวผ่านไป ขณะที่หลิ่วหมิงมองเห็นหุบเขาขนาดใหญ่ที่อยู่ไกลออกไปหลายสิบลี้ถูกเมฆสีแดงปกคลุมไว้นั้น พวกเขาก็ร่อนลงบนตีนยอดเขาลูกหนึ่ง


บนพื้นราบเรียบที่ค่อนข้างเร้นลับแห่งหนึ่ง มีศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์รวมตัวอยู่ราวๆ ห้าสิบหกสิบคนแล้ว


พอเขากวาดสายตามองลงไป จะเห็นว่าคนเหล่านี้บ้างก็ยืน บ้างก็นั่งรวมตัวกัน และกระซิบกระซาบเบาๆ บ้างก็นั่งหลับตาทำสมาธิเพื่อฟื้นฟูพลังเวท


ชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่งที่อยู่ตรงมุมบางแห่ง ดึงดูดความสนใจของหลิ่วหมิงทันที ซึ่งนั่นก็คือเยี่ยนหมิงกับเสวี่ยอวิ๋นนั่นเอง


เสื้อผ้าของพวกเขาขาดรุ่งริ่งเล็กน้อย ใบหน้าซีดขาวอย่างเห็นได้ชัด ประจักษ์ชัดว่าได้ผ่านการต่อสู้อย่างดุเดือดก่อนมาถึงที่นี่


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ไม่ได้เดินเข้าไป เพียงแค่พยักหน้าให้จากที่ไกลๆ จากนั้นเขากับจั้งเสวียนก็หาสถานที่นั่งขัดสมาธิฟื้นฟูพลังเวท


เยี่ยนหมิงและเสวี่ยอวิ๋นย่อมมองเห็นหลิ่วหมิง จึงเผยสีหน้าดีใจออกมา


สำหรับพวกเขาที่เคยเห็นความแข็งแกร่งของหลิ่วหมิงแล้ว เมื่อเห็นเขามาปรากฏตัวย่อมหมายความว่าความปลอดภัยของพวกเขาก็จะมีมากขึ้น


จั้งเสวียนก็หาที่ราบสูงนั่งหลับตาพักผ่อน


ผ่านไปราวๆ ครึ่งวัน เฉินเติงกับศิษย์คนอื่นก็กลับมายังจุดรวมตัว


หลังผ่านไปสักพัก ชายหน้าดำที่สวมชุดคลุมยาวสีเขียว ก็ยืนขึ้นท่ามกลางฝูงชนในฉับพลัน และก้าวเข้ามาใจกลางจุดรวมตัว


พอเขาสะบัดแขนเสื้อ แผ่นกลมๆ สีขาวหยกก็ปรากฏบนมือ เมื่อโยนมันขึ้นเหนือศีรษะ ก็ปล่อยพลังใส่เข้าไปในนั้นอย่างต่อเนื่อง


ครู่ต่อมา แผ่นกลมๆ ก็หมุนติ้วๆ กลางอากาศ และส่งเสียงดังเบาๆ


แสงไฟเป็นจุดๆ ปรากฏออกมารอบด้าน และลอยไปหาแผ่นกลมๆ อย่างรวดเร็ว


ผ่านไปไม่กี่อึดใจ แผ่นกลมๆ ก็สว่างขึ้นมาราวกับลูกเปลวไฟที่ร้อนระอุ และลอยอยู่เหนือศีรษะของฝูงชน


ชายหน้าดำเห็นเช่นนี้ก็ชี้มือขึ้นฟ้า


“ตู๊ม!”


ลูกเปลวไฟเปล่งแสงสีแดงออกมา และยิงลำแสงเจิดจ้าออกไปสิบกว่าลำ


ผ่านไปไม่กี่อึดใจ เปลวไฟกลางอากาศก็กระพริบหายไป แผ่นกลมๆ หมุนตัวสองสามรอบ และร่วงลงบนมือชายหนุ่มอีกครั้ง


ศิษย์ที่อยู่รอบๆ ก็ถูกทำให้ตกใจตื่นด้วยการกระทำของชายหนุ่มผู้นี้ และจ้องมองคนผู้นี้ด้วยความแปลกใจ


หลังจากหลิ่วหมิงเห็นฉากเช่นนี้ ดวงตาของเขาก็เป็นประกายราวกับกำลังคิดอะไรอยู่


“ศิษย์พี่ศิษย์น้องทุกท่าน เมื่อครู่ข้าเพียงแค่ทดสอบปราณพลังฟ้าดินของแดนอบอ้าว และค้นพบว่ามันไม่สอดคล้องกับที่เล่าลือ เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ปราณจิตวิญญาณธาตุไฟในสถานที่แห่งนี้ หนาแน่นกว่าที่บันทึกไว้ในคัมภีร์หลายเท่า” คนผู้นี้มองดูแผ่นกลมๆ ในมือ และอธิบายให้กับผู้คนที่อยู่รอบด้าน


“ธาตุไฟหนาแน่นกว่าหลายเท่า? มิน่าล่ะ! อัคคีจิตวิญญาณเหล่านั้นถึงได้บ้าระห่ำขนาดนี้!”


“ด้วยเหตุนี้ อัคคีจิตวิญญาณที่พบเจอระหว่างทางถึงได้กลายพันธุ์สินะ!”


“ตอนนี้พวกเราไม่สามารถติดต่อกับโลกภายนอกได้ หรือว่ามันจะเกี่ยวข้องกับสิ่งนี้?”


พอชายหน้าดำกล่าวออกมาเช่นนี้ ผู้คนที่อยู่รอบๆ ก็ฮือฮาขึ้นมา


“หลายวันก่อน ข้าเคยจับอัคคีจิตวิญญาณเป็นๆ มาได้ตัวหนึ่ง และใช้วิชาค้นจิตของมันจนได้มูลมาลางๆ ดูเหมือนว่าการเปลี่ยนแปลงในสถานที่แห่งนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และเพิ่งมาเริ่มเปลี่ยนแปลงในช่วงนี้” ชายหนุ่มร่างเตี้ยเล็กที่มีสีหน้าเหลืองซีดกล่าวออกมา


“ข้าเองก็เคยได้ยินหัวหน้าสาขาพูดถึงอยู่ โดยทั่วไปแล้ว แดนลึกลับที่ดำรงอยู่หลายพันหลายหมื่นปี เมื่อปราณพลังฟ้าดินในนั้นถึงจุดสมดุลแล้ว หากไม่มีภัยพิบัติร้ายแรงอะไรเกิดขึ้น ก็จะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ภายในระยะเวลาสั้นๆ นอกเสียจาก……จะมีของล้ำค่าบางอย่าปรากฏออกมา หรือผู้มีพลังระดับดาราพยากรณ์ขึ้นไปต่อสู้กับผู้คน ถึงทำให้ปราณพลังฟ้าดินของแดนลึกลับเกิดความวุ่นวายขึ้นมา” ชายหน้าดำเงียบไปครู่หนึ่งแล้วสรุปออกมา


พอคำว่า ‘ของล้ำค่ากับระดับดาราพยากรณ์’ ออกมาจากปาก ผู้คนที่อยู่บริเวณรอบๆ ต่างก็สูดหายใจด้วยความรู้สึกเย็นสะท้าน ขณะเดียวกัน ก็ทำให้ฝูงชนเกิดการกระซิบกระซาบขึ้นมา


ระดับดาราพยากรณ์นี้ เกรงว่าทั่วทั้งนิกายยอดบริสุทธิ์ก็คงมีไม่กี่คน และย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะมาปรากฏในแดนลึกลับเล็กๆ อย่างแดนอบอ้าว


และของล้ำค่าที่มาปรากฏตัวกลับมีโอกาสเป็นไปได้กว่ามาก!


หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก


ไม่ว่าของล้ำค่าที่ทำให้ปราณพลังฟ้าดินในแดนอบอ้าวเปลี่ยนไปคือสิ่งใดก็ตาม แต่มูลค่าของมันก็ยากที่จะประมาณการได้ ซึ่งเพียงพอที่จะทำให้ผู้ฝึกฝนจำนวนมากแย่งชิงมัน


“หากเป็นของล้ำค่าปรากฏออกมาจริงๆ ก็อธิบายได้ชัดเจนแล้ว แต่ของล้ำค่าฟ้าดินทั้งหมดที่ปรากฏในโลก จะต้องมีสัญญาณบ่งบอก ดูท่าของล้ำค่านี้จะต้องเป็นธาตุไฟอย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ปราณจิตวิญญาณธาตุไฟเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก และทำให้อสูรเพลิงบ้าระห่ำเช่นนี้” คนที่พูดคำพูดนี้ก็คือเฉินเติง ชายหนุ่มที่รอรับหลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ในก่อนหน้านั้น


“หากมีของล้ำค่าปรากฏในแดนลึกลับจริงๆ อย่างมากก็อยู่ในพื้นที่ที่มีปราณจิตวิญญาณธาตุไฟหนาแน่นที่สุดในแดนอบอ้าว ซึ่งก็คือสถานที่ที่อัคคีจิตวิญญาณส่วนใหญ่อาศัยอยู่ เห็นได้ชัดว่าที่อสูรเพลิงโจมตีพวกเราที่มาจากภายนอก ก็เพื่อปกป้องของล้ำค่าชิ้นนี้ จึงขัดขวางการเข้ามาใจกลางแดนอบอ้าวของพวกเรา” ชายหน้าดำได้ยินเช่นนี้ ก็ค่อยๆ กล่าวออกมา


ศิษย์ที่อยู่รอบๆ ได้ยินทั้งสองกล่าวเช่นนี้ ก็ดูเหมือนจะเข้าใจสาเหตุนี้ และต่างก็ค่อยๆ พยักหน้า


“แต่ตามกฎของนิกาย ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากได้ของล้ำค่าระดับนี้ในแดนลึกลับของนิกาย จะต้องมอบให้กับนิกาย แต่ทางนิกายเองก็ปูนบำเหน็จรางวัลเป็นแต้มคุณูปการจำนวนมาก พอๆ กัน” เฉินเติงกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย


พอได้ยินว่าของล้ำค่าต้องมอบให้กับนิกาย ย่อมทำให้ศิษย์จำนวนมากรู้สึกผิดหวังไม่น้อย แต่พอได้ยินว่าจะมีแต้มคุณูปการให้จำนวนมาก หลายคนก็ใจเต้นขึ้นมา


หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกแตกต่างออกไป และมักจะรู้สึกว่าสติปัญญาของอัคคีจิตวิญญาณสูงขึ้นอย่างกระทันหัน จึงดูเหมือนจะยังรู้สึกประหลาดใจอยู่


แต่พอเห็นคนอื่นๆ ต่างก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมา เขาก็ไม่กล่าวอะไรออกมา ยังคงนั่งขัดสมาธิค่อยๆ ฟื้นฟูพลังเวท


“หุบเขาตรงหน้าก็คืออัคคีจิตวิญญาณกลุ่มที่มีขนาดใหญ่ที่สุด แต่ตามที่ศิษย์พี่ที่เคยเข้ามาทดสอบในครั้งก่อนๆ เล่ามา คงจะมีแค่สองร้อยกว่าตัว และส่วนมากก็ระเหเร่ร่อนอยู่ด้านนอก ตอนนี้พวกเรามีเจ็ดสิบกว่าคน หากพักผ่อนให้พลังเวทฟื้นฟูจนถึงจุดสูงสุด ภายในสถานการณ์ปกติก็ใช่ว่าจะไม่สามารถจัดการอัคคีจิตวิญญาณได้ทั้งหมดภายในอึดใจเดียว แต่มีเรื่องยุ่งยากเล็กน้อยก็คือ เหนือหุบเขาถูกปกคลุมไปด้วยเมฆอัคคี พลังธาตุไฟของอัคคีจิตวิญญาณจึงแข็งแกร่งกว่าภายนอกเป็นทวี” ชายหน้าดำจ้องมองกลุ่มเมฆสีแดงที่ลอยอยู่เหนือหุบเขาตรงหน้า และขมวดคิ้วกล่าว


พวกเขาได้ทำการตรวจสอบตั้งแต่แรกแล้ว อัคคีจิตวิญญาณกลุ่มที่อยู่ในหุบเขาล้วนถูกเมฆอัคคีพวยพุ่งปกคลุมอยู่


นอกจากอัคคีจิตวิญญาณกับอสูรเพลิงแล้ว หากสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เข้าไป ไม่เพียงแต่จะถูกบั่นทอนพลังเท่านั้น อัคคีจิตวิญญาณกับอสูรเพลิงเหล่านั้น ก็จะยิ่งดีใจเหมือนปลาได้น้ำ


“ศิษย์พี่หลิน จุดนี้วางใจได้! ข้ามีวิธีขับไล่เมฆอัคคีได้ชั่วคราว” เฉินเติงได้ยินเช่นนี้กลับกล่าวด้วยรอยยิ้มพราย


“อ้อ? ไม่ทราบว่าศิษย์น้องเฉินมีวิธีการอะไรในการขับไล่เมฆอัคคี?” ชายหน้าดำฟังมาถึงจุดนี้ ก็เหมือนจะมีสีหน้าดีใจ แต่ดวงตากลับเป็นประกายเยือกเย็น


โดยทั่วไปแล้ว ศิษย์ระดับของเหลวที่ถูกเลือกมาเป็นศิษย์สายนอกได้ ส่วนมากจะอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นกลาง แต่ระดับของเหลวขั้นปลายกลับมีน้อยมาก ทั้งยังส่วนใหญ่จะมีเหตุผลพิเศษบางอย่าง ถึงได้เข้านิกายช้าเช่นนี้


และศิษย์ระดับของเหลวขั้นปลายในที่นี้ ก็มีแค่เขากับเฉินเติงเท่านั้น ศิษย์ส่วนมากย่อมคิดว่าพวกเขาทั้งสองเป็นหัวหน้าไปโดยปริยาย


ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีศิษย์คนอื่นๆ เห็นต่างไปจากทั้งสอง


“บอกทุกท่านอย่างไม่ปิดบัง ข้าศึกษาค่ายกลมาตั้งแต่เด็ก เชื่อว่าตนเองค่อนข้างประสบความสำเร็จอยู่บ้าง และยังรู้ค่ายกลชุดหนึ่งที่สามารถขับไล่เมฆหมอกหลายรูปแบบได้ แน่นอนว่าเมฆอัคคีก็เป็นหนึ่งในนั้น แม้ข้าจะรู้วิธีการวางค่ายกลชุดนี้ แต่เนื่องจากอาณาเขตของหุบเขาในครั้งนี้กว้างไปหน่อย ต้องใช้คนยี่สิบคนมายืนตามจุดต่างๆ ของตาค่ายกล คอยรักษาค่ายกลถึงจะได้” เฉินเติงกระแอมไอเบาๆ แล้วกล่าวออกมา


ตอนที่ 492 เตาสามอัคคี

โดย

Ink Stone_Fantasy

พอได้ยินว่าสามารถจัดการเรื่องเมฆอัคคี และทำให้พลังของอัคคีจิตวิญญาณลดลงได้ ฝูงชนย่อมรู้สึกดีใจมาก


หลังจากคนกลุ่มนี้หารือกันรอบหนึ่งแล้ว ในที่สุดก็เห็นด้วยกับแผนทำลายรังอัคคีจิตวิญญาณ


ต่อให้อัคคีจิตวิญญาณกลายพันธุ์เหล่านี้จะมีพลังแข็งแกร่ง แต่ในขณะที่ยังมีพลังอยู่ในระดับของเหลว และศิษย์สายนอกที่มาถึงที่นี่ได้ก็ไม่ใช่คนอ่อนแอ ย่อมไม่มีใครหวาดกลัวอย่างแน่นอน


เพราะเทียบกับแต้มคุณูปการที่จะได้รับเป็นจำนวนมากแล้ว อันตรายแค่นี้นับว่าคุ้มค่ามาก


“ในเมื่อทุกท่านไม่มีข้อคิดเห็นใดๆ แล้ว ก็เหลือคนยี่สิบคนไว้ช่วยศิษย์น้องเฉินเติงวางค่ายกลขับไล่เมฆอัคคี คนที่เหลือตามข้าบุกเข้าไปในหุบเขา ชิงของล้ำค่ามา” ชายหน้าดำแบ่งงานเช่นนี้


“มีเรื่องหนึ่งที่ต้องพูดให้ชัดเจนก่อน เมื่อได้ของล้ำค่าชิ้นนี้มา แม้ทุกคนในที่นี้จะได้ส่วนแบ่งแต้มคุณูปการ แต่ก็ต้องแบ่งตามผลงานที่ทำ ผู้ที่รับผิดชอบค่ายกลกับข้ามีอันตรายค่อนข้างน้อย จึงได้แค่หนึ่งในสามของผู้ที่บุกเข้าไปในหุบเขา ส่วนผู้ที่บุกเข้าไปในหุบเขาเพื่อชิงของล้ำค่านั้น มีอันตรายกว่ามาก ดังนั้นจึงได้รับแต้มคุณูปการมากกว่า” เฉินเติงกล่าวเสริมด้วยสีหน้าหนักแน่น


สำหรับการแบ่งแต้มคุณูปการเช่นนี้ ผู้คนกลับมีความเห็นไม่มาก


ศิษย์ที่คิดว่าตนเองมีพลังแข็งแกร่ง ย่อมยินยอมเข้าไปในหุบเขา ซึ่งไม่เพียงแต่จะได้รับแต้มคุณูปการจำนวนมาก แต่ยังได้แก่นบริสุทธิ์จากการสังหารอัคคีจิตวิญญาณด้วย


ส่วนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บในก่อนหน้านั้นกับผู้ที่ระมัดวังตัวหน่อย ต่างก็เต็มใจไปรักษาค่ายกลกับเฉินเติง


ขณะนี้ เฉินเติงก็หยิบธงค่ายกลห้าสีปึกหนึ่งกับแผ่นค่ายกลออกจากแขนเสื้อ และแบ่งให้กับศิษย์สายนอก


หลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็วแล้วลุกขึ้นมาทันที จากนั้นก็เดินไปรับธงค่ายกลที่เฉินเติงมาชุดหนึ่ง และไปยืนรออยู่ข้างๆ


จั้งเสวียนรู้สึกประหลาดใจกับการกระทำของหลิ่วหมิงเล็กน้อย แต่ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ จากนั้นก็เดินไปรับธงค่ายกลจากเฉินเติงเช่นกัน


เยี่ยนหมิงกับเสวี่ยอวิ๋นเห็นเช่นนี้ ก็ส่งเสียงคุยกันสองสามประโยค และเข้าอยู่ไปในกลุ่มเดียวกับศิษย์ที่วางค่ายกล


หลังจากเฉินเติงแจกธงค่ายกลเสร็จแล้ว ก็เริ่มบอกตำแหน่งของตาค่ายกลและวิธีการกระตุ้น ขณะที่พูดก็ถือแผ่นสีเขียวหยกทำการคำนวณอะไรบางอย่างอยู่


แม้ว่าค่ายกลเมฆาชุดนี้จะไม่ซับซ้อนมากนัก แต่เพื่อขับไล่เมฆอัคคีเหนือหุบเขาทั้งหมด ย่อมกินพื้นที่ไม่น้อย ด้วยเหตุนี้จึงต้องขยายออกไปหลายครั้ง เพื่อป้องกันเหตุที่ไม่คาดคิด


สิ่งที่ไม่มีใครสังเกตเห็นเลยก็คือ ใต้ที่ดินที่ลึกลงไปจากที่พวกเขาอยู่หลายร้อยจั้ง อสูรน้อยสีแดงที่ดูคล้ายกับหนูนาพลันระเบิดตัวออกมา จากนั้นเลือดเนื้อของมันก็กลายเป็นหมอกโลหิตจมหายไปใต้ดิน


……


ขณะที่ศิษย์สายนอกนิกายยอดบริสุทธิ์เตรียมดำเนินการตามแผนนั้น


ภายในส่วนลึกของหุบเขาใหญ่ที่อยู่ห่างจากจุดรวมตัวของฝูงชนไปสิบกว่าลี้ ภายในหลุมยักษ์ที่มีขนาดหมู่กว่าๆ ถูกปกคลุมไปด้วยหินจิตวิญญาณธาตุไฟสีแดง


ใจกลางหลุมมีเสาผลึกขนาดเท่าอ่างล้างหน้า สูงราวๆ สามสิบกว่าจั้งตั้งตระหง่านอยู่  มันมีลักษณะกึ่งโปร่งแสง และเปล่งแสงสีแดงแปลกประหลาดออกมาไม่หยุด


ปลายผลึกมีอัคคีจิตวิญญาณร่างมนุษย์ยักษ์นั่งขัดสมาธิอยู่ อัคคีจิตวิญญาณมีรูปร่างแตกต่างจากตัวอื่นมาก มีขนาดใหญ่สองจั้ง สีของเปลวไฟที่ลอยวนรอบตัวก็เข้มกว่าตัวอื่นมาก และแผ่กลิ่นไอเข้าใกล้ระดับผลึกออกมาลางๆ


และบริเวณเสาผลึกก็มีอัคคีจิตวิญญาณกว่าร้อยตัวนั่งขัดสมาธิอยู่เนืองแน่น แต่ละตัวต่างก็อ้าปากดูดซับแสงสีแดงแปลกประหลาดที่แผ่ออกจากเสาผลึกอย่างสุดชีวิต


และพอดูซับเข้าไปส่วนหนึ่ง เปลวไฟบนตัวก็สว่างขึ้นเล็กน้อย กลิ่นไอบนตัวก็ค่อยๆ แข็งแกร่งมากขึ้น


แสงสีแดงจำนวนมากที่เสาผลึกแผ่ออกมา กลับถูกอัคคีจิตวิญญาณยักษ์ดูดซับภายในอึดใจเดียว ทำให้กลิ่นไอบนตัวมันน่ากลัวมากขึ้นกว่าเดิม


ทันใดนั้น พออัคคีจิตวิญญาณยักษ์ขยับตัว เปลวไฟรอบตัวก็ลุกพรึ่บขึ้นมา จากนั้นก็ลืมตาทั้งสองขึ้น เผยให้เห็นลูกตาสีขาวเทาที่ไม่เหมือนกับอัคคีจิตวิญญาณตัวอื่นๆ ทั้งยังเต็มไปด้วยความกระหายเลือด


“นิกายยอดบริสุทธิ์ ฆ่า ฆ่า ฆ่า……”


ร่างของอัคคีจิตวิญญาณยักษ์ล้วนเต็มไปด้วยเปลวไฟ ใบหน้าที่พร่ามัวเผยให้เห็นถึงปากสีเลือดขนาดใหญ่ที่อ้าออกมา มันเปล่งเสียงแหบแห้งไม่ชัดเจน แม้ว่าน้ำเสียงจะแหลมแปลกประหลาด แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นภาษามนุษย์


อัคคีจิตวิญญาณธรรมดาที่อยู่บริเวณรอบๆ ฮือฮาขึ้นมาตามเสียงนี้ในทันที ราวกับว่าได้รับกระตุ้นอย่างรุนแรง ไม่นานดวงตาของพวกมันก็ดูบ้าคลั่งขึ้นมา เสียงแผดร้องแหลมขานรับกันชั่วขณะหนึ่ง ทันใดนั้น ก็มีเสียงดังสะท้อนไปทั่วทิศ


และเมฆอัคคีที่อยู่บริเวณหลุมยักษ์อย่างหนาแน่น ก็พลันมีเสียงอสูรชนิดต่างๆ คำรามออกมา จากนั้นก็มีเงาดำเคลื่อนไหว หนึ่งตัว สองตัว สิบตัว ร้อยตัว พริบตาเดียว อสูรเพลิงจำนวนมากก็ทะลักออกมา


ไม่รู้ว่าฝูงอสูรจำนวนนับพันปรากฏออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ในนั้นมีอสูรเพลิงระดับของเหลวหลายสิบตัว และศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ที่อยู่ด้านนอก ไม่รับรู้เรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย มิเช่นนั้นคงวิ่งหนีไปให้ไกลเท่าที่จะไกลได้แล้ว ไหนเลยจะกล้าบุกรังของอัคคีจิตวิญญาณกลุ่มนี้


จิ้งจอกเพลิง อสรพิษเพลิง อีกาเพลิง และอสูรเพลิงชนิดอื่นๆ ต่างก็รวมตัวอยู่รอบๆ หลุมยักษ์ ทันนั้นใดนั้นพวกมันก็เงียบเป็นเป่าสาก ราวกับว่ากำลังรอคอยอะไรอยู่


……


บนยอดเขาบางแห่งในเทือกเขาหมื่นวิญญาณ ภายในห้องโถงใหญ่ที่เป็นทางเข้าแดนลึกลับ ขณะนี้เจียงจ้งและหัวหน้าสาขาทั้งเจ็ด ต่างก็มีสีหน้าเคร่งเครียดผิดปกติ และจ้องมองค่ายกลส่งตัวอยู่ตลอดเวลา


แผ่นป้ายยังคงลอยอยู่ตรงหน้าคนทั้งแปด แต่ทว่ามันได้เกิดรอยแตกร้าวแล้ว


ค่ายกลขนาดใหญ่ที่อยู่ใจกลางห้องโถง ก็มีรอยร้าวลึกๆ เส้นหนึ่ง อักขระบนนั้นก็มืดลงราวกับไม่มีพลังจิตวิญญาณอยู่ ผู้เชี่ยวชาญค่ายกลที่สวมชุดขาวเจ็ดแปดคน กำลังยุ่งอยู่กับการซ่อมแซมอะไรบางอย่างในค่ายกล


“ผู้เชี่ยวชาญไต้ ต้องใช้เวลาอีกนานเท่าใดถึงสามารถฟื้นฟูค่ายกลส่งตัวได้” เจียงจ้งเอ่ยปากถามในฉับพลัน


“พี่เจียง ค่ายกลเชื่อมทะลุแดนอบอ้าวนี้ ใช้วัสดุและลวดลายที่พิเศษ หากเพียงแค่ซ่อมแซมล่ะก็ ใช้เวลาไม่นานมากนัก แต่หากต้องการเพิ่มพลังการส่งตัวเป็นทวีล่ะก็ อย่างน้อยต้องใช้เวลายี่สิบชั่วยามถึงจะได้” ผู้เชี่ยวชาญค่ายกลที่มีผมสีขาวเงยหน้าตอบด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก จากนั้นก็ก้มหน้าทำงานต่ออย่างไม่สนใจ


“ต้องใช้เวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนหรือ? เช่นนี้ล่ะก็ศิษย์ในแดนอบอ้าวคงไม่อาจยืนหยัดได้นานขนาดนั้น เกรงว่าจะต้องเสียชีวิตเป็นจำนวนไม่น้อย” ผู้อาวุโสคิ้วเหลืองที่เป็นหัวหน้าสาขาวายุทะยานฟ้า ก็มีสีหน้าเคร่งขรึมมาก จากนั้นก็พลิกฝ่ามือขึ้นมา เผยให้เห็นแผ่นหยกสีขาวแผ่นหนึ่ง และมีอักขระสีเงินจางๆ ลอยขึ้นมาแถวหนึ่ง


“พลังปราณเปลี่ยนแปลงไปมาก ไม่สามารถส่งตัวได้ อัคคีจิตวิญญาณกลายพันธุ์ ฝูงอสูรลอบโจมตี……”


“พี่เฉินไม่ต้องกังวลจนเกินไป หลานเฉินเติงมีระดับการฝึกฝนที่ลึกซึ้ง ทั้งยังเชี่ยวชาญสายค่ายกล บวกกับมีของล้ำค่าที่ท่านมอบให้คอยป้องกันตัว คิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไรมาก ยิ่งไปกว่านั้น หากครั้งนี้ไม่มีหลานเฉินเติงอยู่ เกรงว่าจนถึงตอนนี้พวกเราก็คงยังไม่สามารถยืนยันได้ว่า การเปลี่ยนแปลงในแดนอบอ้าวทำให้ค่ายกลกับกระจกเหล่านี้ถูกทำทำลาย” หญิงทำลาย” หญิงชุดแดงกล่าวออกมา


“เจ้าเด็กนี่เพียงแค่ส่งข่าวมาอย่างรีบร้อน จากนั้นก็ไม่มีข้อมูลใดๆ อีกเลย แต่ที่ข้ากังวลที่สุดกลับไม่ใช่เรื่องนี้ ทุกท่านยังจำการทดสอบในแดนอบอ้าวเมื่อครั้งก่อนได้หรือไม่ ศิษย์ทรยศนิกายที่แฝงตัวเข้ามาในบรรดาศิษย์สายนอก แล้วถือโอกาสขโมยเตาสามอัคคีไปผู้นั้น แอบซ่อนตัวเข้าไปในแดนอบอ้าว แต่กลับถูกศิษย์ของหอคุมกฎร่วมมือกันโจมตีจนเสียชีวิต” หัวหน้าสาขาวายุทะยานฟ้าส่ายหน้าและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม


“ทำไมล่ะ? ความหมายของพี่เฉินคือ การเปลี่ยนแปลงของแดนอบอ้าวในครั้งนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือ?” หญิงชุดแดงได้ยินเช่นนี้ ก็ถามด้วยความประหลาดใจ


คนอื่นๆ ฟังแล้วก็มีสีหน้าแตกต่างกันออกไป


“จะว่าไปแล้วมันก็มีโอกาสเป็นไปได้ ข้าจำได้ว่า แม้ศิษย์ผู้นั้นจะระเบิดตัวจนเสียชีวิตก่อนถูกจับ แม้กระทั่งดวงจิตก็ไม่เหลือไว้ แต่เตาสามอัคคีที่ควรจะอยู่บนตัวเขา กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย และยังหาไม่พบมาโดยตลอด” เจียงจ้งกระแอมไอเบาๆ และมองหญิงชุดแดงทีหนึ่งก่อนกล่าวออกมา


พอนางรับรู้ถึงสายตาของเว่ยจ้ง ก็ทำเสียงฮึดฮัด แต่กลับไม่กล่าวอะไรออกมา


“แน่นอน! ว่ากันว่าเพื่อเรื่องนี้ ตอนนั้นคนของหอคุมกฎก็เคยไปค้นแดนอบอ้าวเงียบๆ ไปหนึ่งรอบ แต่ก็ไม่พบอะไร ดีที่ว่าต่อมาท่านประมุขได้เชิญแขกระดับสูงในนิกายผู้นั้นมาทำนาย และรู้ว่าของล้ำค่าชิ้นนี้ยังไม่ได้ตกอยู่ในมือของคนนอก ถึงได้หยุดเรื่องนี้ไปชั่วคราว” ผู้อาวุโสคิ้วเหลืองหรี่ตาทั้งคู่และค่อยๆ กล่าวออกมา


“ความหมายของพี่เฉินก็คือ ความจริงแล้วเตาสามอัคคียังถูกซ่อนอยู่ในแดนอบอ้าว ถึงทำให้แดนแห่งนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมา?” หญิงชุดแดงดวงตาเป็นประกาย และกล่าวด้วยความตกใจ


“เฮ่อๆ! นี่เป็นวิธีเดียวที่สามารถอธิบายได้ เตาสามอัคคีเป็นของล้ำค่าระดับไหน! บวกกับที่มันเป็นธาตุไฟแล้ว เมื่อไปอยู่ในแดนอบอ้าวก็เหมือนกับปลาที่ได้น้ำ ทำให้ปราณพลังฟ้าดินเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ได้อย่างง่ายดาย ตอนนี้ได้แต่หวังว่าศิษย์ที่เข้าไปในแดนอบอ้าวเหล่านี้ จะสามารถปกป้องตนเองได้ชั่วคราว และยืนหยัดได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง” หัวหน้าสาขาวายุทะยานฟ้ามองดูค่ายกลที่ยังซ่อมไม่เสร็จทีหนึ่ง และถอนหายใจก่อนกล่าวออกมา


“ในเมื่อเรื่องนี้พัวพันไปถึงเตาสามอัคคี พวกเราควรจะแจ้งเบื้องบนหรือไม่?” หญิงสาวชุดเขียวที่เงียบมาโดยตลอดพลันกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม


“จมูกของเจ้าพวกหอคุมกฎไวยังกับอะไรยังต้องให้พวกเราไปแจ้งอีกหรือ มีความเป็นไปได้ว่าตอนนี้คงรู้เรื่องการเปลี่ยนแปลงของแดนอบอ้าวแล้ว” เจียงจ้งกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ


พอคำพูดนี้ออกมาจากปาก หัวหน้าสาขาคนอื่นๆ รวมถึงหญิงชุดแดงกับผู้อาวุโสคิ้วเหลือง ก็เผยสีหน้าราวกับกำลังคิดอะไรอยู่


……


ภายในแดนอบอ้าว ขณะนี้หลิ่วหมิงและศิษย์ยี่สิบกว่าคนกำลังทำตามที่เฉินเติงบอก พวกเขายุ่งอยู่ในสถานที่ที่ห่างจากปากทางเข้าหุบเขาลี้กว่าๆ โดยปักธงค่ายกลลงดิน เพื่อวางค่ายกลยักษ์ที่มีขนาดหมู่กว่าๆ


จากการคำนวณของเฉินเติง หากจะขับไล่เมฆอัคคีเหนือหุบเขาจำนวนมาก ต้องให้คนยี่สิบกว่าคนกระตุ้นค่ายกลพร้อมกัน มันถึงจะสำเร็จได้


ผ่านไปหนึ่งชั่วยามกว่าๆ ค่ายกลทั้งหลังก็ถูกวางจนเสร็จสมบูรณ์ ศิษย์ยี่สิบกว่าคนเข้าไปในค่ายกลพร้อมกัน และยืนตามตำแหน่งต่างๆ จากนั้นก็ค่อยๆ กระตุ้นอาวุธวางค่ายกลในมือ เพื่อกระตุ้นค่ายกลทั้งหลัง


ตอนที่ 493 หลบหนีการไล่ฆ่า

โดย

Ink Stone_Fantasy

ในมือหลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ต่างก็ถือแผ่นค่ายกลหลากสีอยู่ หลังจากใส่พลังเวทเข้าไปแล้ว มันก็สั่นสะเทือนเบาๆ


ขณะนี้เฉินเติงลอยอยู่กลางอากาศเหนือใจกลางค่ายกล และโยนแผ่นค่ายกลหยกเขียวในมือให้ลอยอยู่ตรงหน้า


เขาเริ่มร่ายคาถาออกมา นิ้วทั้งสิบดีดออกไปอยู่ไม่หยุด พลังแต่ละสายกระพริบเข้าไปในแผ่นค่ายกล


แสงสีเขียวลอยวนขึ้นมาจากแผ่นค่ายกลหยกเขียว จากนั้นแสงสีเขียวเล็กๆ ก็พุ่งออกมา และพุ่งไปยังแผ่นค่ายกลบนมือศิษย์ที่อยู่ใกล้เขาที่สุด จากนั้นก็พุ่งไปยังศิษย์คนอื่นที่อยู่ข้างๆ


พริบตาเดียว แสงสีเขียวก็พุ่งออกไปสิบกว่าครั้ง แค่ละครั้งแสงสีเขียวที่เชื่อมกับแผ่นค่ายกลอื่นๆ จะขยายใหญ่ขึ้นเล็กน้อย เมื่อมันพุ่งออกจากแผ่นค่ายกลที่อยู่บนมือของศิษย์คนสุดท้าย มันก็มีขนาดเท่าแขนของผู้ใหญ่


แต่ขณะที่แสงสีเขียวพุ่งกลับไปยังแผ่นค่ายกลตรงหน้าเฉินเติงนั้น ตาค่ายกลยี่สิบกว่าแห่งที่อยู่รอบด้าน ก็เชื่อมโยงกันทั้งหมด


“เปิด!”


ภายใต้การตะคอกเสียงของเฉินเติง ไม่รู้ว่ามีธงยักษ์สีเขียวปรากฏอยู่ในมือเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ และต่อมาเขาก็ทุ่มกำลังโบกสะบัดมัน


และในขณะเดียวกัน แสงสีเขียวตามจุดต่างๆ ก็เปล่งประกายออกมาพร้อมกัน หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ทำท่ามือ และค่อยๆ ปล่อยพลังใส่แผ่นค่ายกลในมือ


พื้นดินบริเวณที่ค่ายกลตั้งอยู่สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง อักขระจำนวนมากลอยขึ้นมารวมตัวเหนือค่ายกล และประสานกันไปมาจนกลายเป็นแผนภาพลึกลับ


มีเสียงแผดร้องดังขึ้นมา!


แผนภาพกลายเป็นพายุหมุนสีเขียวพุ่งขึ้นฟ้า และปะทะใส่เมฆอัคคีเหนือหุบเขาที่อยู่ไม่ไกล


ครู่ต่อมา เมฆอัคคีขนาดใหญ่ก็พวยพุ่งอย่างรุนแรงราวกับน้ำเดือด และเริ่มสลายไปอย่างรวดเร็ว


ขณะที่ธงยักษ์สีเขียวในมือเฉินเติงโบกสะบัดไม่หยุด พายุสีเขียวก็พุ่งออกไปอย่างต่อเนื่อง พริบตาเดียวเมฆอัคคีที่หนาแน่นก็ถูกพัดออกไปกว่าครึ่งหนึ่ง


ปราณอัคคีจิตวิญญาณในหุบเขาถูกลดไปมาก


พอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ศิษย์รอบด้านที่มีอาการคันไม้คันมือก็เผยสีหน้าดีใจออกมา แม้ว่าเมฆอัคคีที่เหลือจะยังนับว่ามีความหนาแน่นอยู่บ้าง แต่พวกเขาก็ไม่ต้องไปใส่ใจมันแล้ว


“ไป! พวกเราบุกเข้าไป! ศิษย์น้องเฉิน พวกเจ้ากระตุ้นค่ายกลต่อไป อย่าให้เมฆอัคคีกลับมารวมตัวกันได้” ชายหน้าดำตะโกนบอก พอทำท่ามือด้วยมือเดียว แสงสีฟ้าก็เปล่งประกายออกจากตัว จากนั้นเขาก็ทะยานขึ้นฟ้า และพุ่งไปตรงทางเข้าหุบเขา


ศิษย์หลายสิบคนที่อยู่ด้านหลังเห็นเช่นนี้ ก็ตามติดไปอย่างไม่รอรี


พอคนกลุ่มนี้เข้าไปในหุบเขา ก็พากันปล่อยอาวุธจิตวิญญาณ ขับไล่คลื่นความร้อนที่ปะทะเข้ามา ไม่นานก็หายลับไปท่ามกลางเมฆอัคคีที่เหลือ


ไม่นานก็มีเสียงระเบิดอย่างรุนแรงดังมาจากส่วนลึกของหุบเขา ดูท่าพวกชายหนุ่มแซ่หลินคงจะปะทะกับอัคคีจิตวิญญาณกับอสูรเพลิงที่อยู่ด้านในแล้ว


ขณะที่มีเสียงดังจนหูจะหนวกดังออกมาไม่ขาดสายนั้น ก็มีเสียงคำรามของอสูรเพลิงและเสียงปะทะกับอัคคีจิตวิญญาณผสมปนเปมาด้วย


ฟังจากเสียงที่ดังออกมาจากด้านใน ศิษย์ที่ควบคุมค่ายกลอยู่ด้านนอกก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา ในเมื่อมีอสูรเพลิงอยู่ด้านในจำนวนมาก ก็มีโอกาสเป็นได้มากว่าจะมีสมบัติซ่อนอยู่ด้านใน


ศิษย์บางคนที่เลือกอยู่ด้านนอก รู้สึกเสียใจในภายหลังเล็กน้อยที่ไม่ได้เข้าไป


พอถึงเวลาแบ่งแต้มคุณูปการ พวกเขาที่อยู่ได้นอกจะได้ส่วนแบ่งน้อยกว่าผู้ที่บุกเข้าไปมาก


หลิ่วหมิงมองไปทางหุบเขาด้วนสีหน้าสงบ ส่วนมือของเขาก็เปลี่ยนผลึกหินธาตุลมที่หมดพลังแล้วอยู่ไม่หยุด


ขณะนี้ ค่ายกลแต่ละจุดยังคงกระตุ้นพายุสีเขียวแดงออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อขับไล่เมฆอัคคีที่อยู่ตามจุดต่างๆ ของหุบเขา แต่ดูเหมือนว่าเมฆอัคคีเหล่านี้ จะถูกพลังบางอย่างลากเอาไว้ พอมันถูกโจมตีจนกระจายออกไป ก็กลับมารวมตัวใหม่อย่างรวดเร็ว


ขณะที่ผู้คนจำนวนมากเข้าไปทำศึกใหญ่ด้านในนั้น ค่ายกลขับไล่เมฆก็ดูเหมือนจะสิ้นเปลืองพลังจิตวิญญาณเป็นอย่างมาก ซึ่งห่างจากที่หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ คาดคิดยิ่งนัก


พอส่งจิตกวาดดูยันต์เก็บของในมือ ก็ค้นพบว่ามีผลึกหินเหลืออยู่ในนั้นแค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น


ผลึกหินธาตุลมที่ทำให้ค่ายกลดำรงอยู่เหล่านี้ รวบรวมมาจากศิษย์สายนอกที่รวมตัวกันอยู่ที่นี่ จากนั้นก็แบ่งคนให้ที่รักษาค่ายกลคนละเท่าๆ กัน แต่ดูจากการสิ้นเปลืองของมันในตอนนี้แล้ว พลังของค่ายกลคงยืนหยัดได้ไม่นานมากนัก พอไม่สามารถขับไล่เมฆอัคคีได้อย่างต่อเนื่อง ย่อมเกิดปัญหากับผู้คนที่บุกเข้าไปเป็นแน่


“พี่หลิ่ว ผลึกหินธาตุลมเหลือไม่มากแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าค่ายกลคงยืนหยัดได้ราวๆ ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาเท่านั้น” ขณะนี้ จั้งเสวียนก็ส่งเสียงมาข้างหูหลิ่วหมิง


“ตอนนี้ไม่อาจคิดอะไรได้มาก ยืนหยัดได้เท่าไหนก็เท่านั้น” หลิ่วหมิงส่งเสียงกลับไปอย่างราบเรียบ


“ตามแนวโน้มนี้ หากไม่มีค่ายกลคอยประคับประคองไว้ เมฆอัคคีเหล่านี้จะต้องกลับมารวมตัวกันอย่างแน่นอน เมื่อมีเมฆอัคคีคอยช่วยเสริม เกรงว่าผู้คนที่เข้าไปในด้านใน คงตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากแล้ว……” จั้งเสวียนแหงนหน้ามองฟ้าและกล่าวอย่างสงบ


“ตอนนี้ทำได้แค่ลงมือตามโอกาส ข้ามักจะรู้สึกว่าต่อให้ไม่มีเมฆอัคคี อัคคีจิตวิญญาณเหล่านี้ก็ไม่สามารถจัดการได้โดยง่าย” หลิ่วหมิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง


“อ้อ! หรือว่าพี่หลิ่วจะค้นพบอะไรเข้า?” จั้งเสวียนส่งเสียงกลับมาด้วยความแปลกใจ


“ไม่หรอก ข้าแค่รู้สึกไปเองเท่านั้น” หลิ่วหมิงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วถึงตอบกลับไป


สิ่งนี้ทำให้จั้งเสวียนหมดคำพูดไปชั่วขณะหนึ่ง


ขณะที่ทั้งสองส่งเสียงคุยกันนั้น พลันมีเสียงแผดร้องดังมาจากหุบเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็มีแสงสีฟ้าเปล่งประกาย และสายรุ้งสีฟ้าก็พุ่งมาทางหลิ่วหมิงและคนอื่นๆ


พอแสงหลบหลีกสีฟ้ากลางอากาศดับลง ก็มีเงาร่างคนปรากฏออกมา ซึ่งก็คือชายหน้าดำแซ่หลินนั่นเอง!


ขณะนี้ เขามีท่าทีกระเซอะกระเซิง เสื้อผ้าบนตัวขนาดรุ่งริ่งไปกว่าครึ่งหนึ่ง เส้นผมและเสื้อผ้ามีรอยไหม้ปรากฏอยู่


“ทุกท่านรีบหนี! ในหุบเขามีอสูรเพลิงจำนวนมาก ไม่เพียงแต่จะมีอสูรระดับของเหลวมากมาย แต่ยังบ้าระห่ำผิดปกติ พวกเราไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน!” พอชายแซ่หลินมาปรากฏตัว เขาก็รีบตะโกนออกมา


และด้านหลังของเขา ก็มีศิษย์ที่เข้าไปในก่อนหน้านั้นพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนจะมีบาดแผลตามตัว โลหิตไหลอาบครึ่งตัว ท่าทีดูลนลานเป็นอย่างมาก


คนสี่สิบกว่าคนที่เข้าหุบเขาในก่อนหน้านั้น ตอนนี้เหลือไม่ถึงสามสิบคน!


ที่น่าตกใจยิ่งกว่าก็คือ ขณะที่แสงสีแดงเปล่งประกายบนอากาศเหนือหุบเขา เมฆอัคคีจำนวนมากก็พวยพุ่งออกมา มีจุดแสงสีแดงจำนวนมากเปล่งประกายอยู่ในเมฆอัคคี เสียงอสูรคำรามดังออกมาเป็นระยะๆ เห็นได้อย่างลางๆ ว่า อสูรเพลิงจำนวนมากตามหลังผู้คนที่หนีออกมาติดๆ


พอผู้คนที่อยู่ด้านนอกเห็นเช่นนี้ ก็ตกใจจนโยนแผ่นค่ายกลในมือทิ้งไป และหยิบอาวุธกับยันต์ออกมาโดยไม่สนใจค่ายกลอีก


แม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในหุบเขากันแน่ ทำไมถึงมีอสูรเพลิงจำนวนมากเช่นนี้ แต่สถานการณ์ตรงหน้าย่อมไม่สามารถคิดอะไรได้มากนัก เอาชีวิตรอดไว้ก่อนเป็นเรื่องสำคัญ


แสงหลบหลีกหลากสีพุ่งขึ้นมา ผู้คนที่มีท่าทีตอบสนองไวก็พุ่งหนีไปนานแล้ว


พอจั้งเสวียนเห็นว่าสถานการณ์ไม่ดี แสงสีเหลืองก็เปล่งประกายบนตัว ทันใดนั้นร่างของเขาก็มุดลงใต้ดิน พริบตาเดียวก็หนีไปไกลหลายสิบจั้ง


และเยี่ยนหมิงกับเสวี่ยอวิ๋นก็รีบนำอาวุธจิตวิญญาณที่ดูคล้ายเรือใบออกมา เมื่อกระโดดขึ้นไป มันก็กลายเป็นสายรุ้งสีขาวพุ่งออกไปอีกด้านหนึ่ง ความเร็วของมันไม่ได้ด้อยไปกว่าชายหนุ่มดวงตาสีม่วงเลย


แต่ว่าหากพูดถึงผู้ที่ลงมือไวที่สุด ยังคงเป็นหลิ่วหมิงที่จ้องมองไปทางหุบเขาอยู่ตลอดเวลา


เขาทิ้งแผ่นค่ายกล และขี่เมฆดำพุ่งหนีไปนานแล้ว


เขาไม่ตามชายหนุ่มแซ่หลินไปเหมือนกับคนจำนวนมาก แต่กลับเลี้ยวไปยังทิศทางที่จากมา


เฉินเติงที่ลอยอยู่กลางอากาศ ก็ถอนหายใจเบาๆ และเก็บธงค่ายกลยักษ์อย่างรวดเร็ว และนำรถเหาะออกมาโดยไม่ทันได้สนใจธงค่ายกลอันอื่นอีก จากนั้นก็กระโดดขึ้นไปรถเหาะ และพุ่งออกไป


ฉากเช่นเดียวกันนี้ เกิดขึ้นในบริเวณอื่นๆที่มีกลุ่มอัคคีจิตวิญญาณเช่นกัน


บริเวณเหล่านี้ต่างก็มีศิษย์สายนอกรวมตัวกันอยู่ไม่น้อย และอัคคีจิตวิญญาณแต่ละกลุ่มก็มีอสูรเพลิงรวมตัวอยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งยังกระหน่ำโจมตีศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ที่พวกมันพบเจอ


ชั่วขณะนั้น ทั่วทั้งแดนอบอ้าวถูกเงาเลือดปกคลุมไว้


……


ครึ่งชั่วยามต่อมา บนพื้นราบเรียบในป่าสีแดงเพลิงที่อยู่ห่างจากหุบเขาไปไม่ไกล หลิ่วหมิงถูกหมาป่าเพลิงเจ็ดแปดตัวปิดล้อมอยู่


ดวงตาของหมาป่าเพลิงเหล่านี้เต็มไปเส้นเลือด มันกระโจนเข้าหาหลิ่วหมิงพร้อมกับเสียงคำราม


หลิ่วหมิงขยับตัวแค่เล็กน้อย ก็หลบหลีกการโจมตีหลากหลายครั้งได้อย่างง่ายดาย พอสำรวจดูคร่าวๆ เขาก็ค้นพบความผิดแผกของหมาป่าเพลิงเหล่านี้


ระหว่างทางไปหุบเขาในก่อนหน้านั้น เขาก็เคยเผชิญกับอสูรเพลิงชนิดนี้ แม้ว่าอสูรเพลิงเหล่านั้นจะดุร้าย แต่ก็ยังพอจะมองเห็นสติสัมปชัญญะของมันได้บ้าง


แต่ดวงตาแดงก่ำของหมาป่าเพลิงในขณะนี้ ไม่สติสัมปชัญญะใดๆ หลงเหลืออยู่เลย มันได้แต่โจมตีผู้คนที่พบเห็นอย่างบ้าคลั่ง ตอนนี้มันได้กลายเป็นตัวประหลาดที่กระหายเลือดโดยสมบูรณ์แล้ว


หลิ่วหมิงยกแขนด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก กระบี่บินสีฟ้าครามในมือพุ่งออกไปด้วยเสียงที่ดึงหวึ่งๆ และม้วนออกไปเป็นสายรุ้งแวววาว


ในขณะที่หมาป่าเพลิงตัวหน้าจะทำเสียงฮึดฮัดแต่ยังไม่ได้ทำนั้น มันก็ถูกฟันเป็นสองส่วน จนฝนโลหิตและเครื่องในร่วงลงมาราวกับใบไม้แห้ง


แต่ว่าหมาป่าเพลิงตัวที่เหลือตรงด้านหลัง ดูเหมือนจะไม่สนใจฉากนี้ ยังคงกระโจนเข้ามาพร้อมเสียงเห่าหอน


สายรุ้งสีฟ้าพร่ามัวกลายเป็นเงากระบี่จำนวนมาก ขณะที่มันส่งเสียงดัง “ฟู่ๆ!” กลางอากาศ ก็ได้ปกคลุมหมาป่าเพลิงทั้งหมดไว้


เมื่อมีเสียงราวกับผ้าฉีกขาดดังออกมา หมาป่าเพลิงในนั้นก็ถูกฟันออกเป็นหลายสิบชิ้น เศษซากศพกระจายตามพื้นพร้อมกับเลือดที่เปียกโชก


หลังจากปราณกระบี่สีฟ้าดับไป เงากระบี่กลางอากาศก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย และกลับมาเป็นกระบี่เล็กสีฟ้าอีกครั้ง พอหลิ่วหมิงกวักมือ มันก็บินกลับมาหา


ต่อมา เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วไม่กี่ที ก็เข้าไปในป่าสีแดงเพลิงบริเวณนั้น


พอหลิ่วหมิงหายตัวไปไม่นาน ก็มีเสียงอสูรคำรามมาจากที่ไกลๆ จากนั้นฝูงอสูรเพลิงขนาดใหญ่ก็ทะลักเข้ามาจากทั่วทิศ และตามติดเข้าไปในป่า


……


หนึ่งชั่วยามต่อมา ท่ามกลามกองหินระเกะระกะ


หลิ่วหมิงยืนอยู่ในนั้นท่ามกลางไอดำที่พวยพุ่ง ตรงหน้าของเขาคือโคป่าที่เป็นอสูรจิตวิญญาณธาตุไฟตัวหนึ่ง มันมีขนาดสองสามจั้ง และแผ่กลิ่นไอระดับของเหลวออกมาลางๆ


บนหัวของมันมีเงาโค้งๆ อยู่คู่หนึ่ง หัวขนาดใหญ่ถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีแดง ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ เต็มไปด้วยความโหดร้าย บนตัวมีลายพาดกลอนสีดำแดงปกคลุมเต็มไปหมด


ทันใดนั้น อสูรเพลิงตัวนี้ก็กระทืบเท้าหลังลงพื้น และพุ่งเข้ามาราวกับเขาลูกเล็กๆ


ตอนที่ 494 ความวุ่นวาย

โดย

Ink Stone_Fantasy

มีเสียงแผดร้องของมังกรพยัคฆ์ดังออกมา!


ไอดำที่พวยพุ่งรอบตัวหลิ่วหมิงหยุดชะงักลง มังกรหมอกกับพยัคฆ์หมอกหมุนวนขึ้นมา แขนทั้งสองข้างขยายใหญ่อย่างรวดเร็ว เส้นเอ็นนูนขึ้นมาราวกับไส้เดือนที่เลื้อยขยุกขยิก พริบตาเดียวร่างของเขาก็สูงกว่าเดิมสามส่วน


เขารอจนโคเพลิงพุ่งใกล้จั้งกว่าๆ ถึงได้ขยับตัวไปอยู่ด้านขวาของมันอย่างรวดเร็วราวกับปีศาจ พอสะบัดแขนขนาดใหญ่ กำปั้นยักษ์ที่มีไอดำลอยวนก็ทุบลงบนตัวอสูรเพลิงอย่างรวดเร็ว


“ตู๊ม!”


ร่างขนาดมหึมาของโคเพลิงถูกโจมตีจนกระเด็นขึ้นไป มีเสียงแตกหักดังติดต่อกันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเลือดสีดำก็พุ่งออกจากปากและจมูกของอสูรเพลิงตัวนี้


ร่างของโคเพลิงตกลงพื้นอย่างรุนแรง จนทำให้เกิดหลุมขนาดใหญ่หลายจั้ง


แต่อสูรตัวนี้พลิกตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และคำรามออกด้วยความโมโห จากนั้นลายพาดกลอนสีดำแดงบนตัว ก็เริ่มเปล่งแสงสีแดงออกมา พริบตาเดียวก็กลายเป็นม่านแสงสีแดงเพลิง


มันพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงอย่างโหดเหี้ยมอีกครั้ง เขาบนหัวแหลมคมเป็นพิเศษ อานุภาพน่ากลัวอย่างถึงขีดสุด


ดวงตาหลิ่วหมิงดูเฉียบขาดขึ้นมา เขาขยับตัวหลบการโจมตีนี้ไปได้ และมาปรากฏตัวด้านข้างอสูรเพลิงอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่ามีเกล็ดสีแดงปกคลุมอยู่บนแขนทั้งสองตั้งเมื่อไหร่ และพอแขนของเขาพร่ามัว มันก็กลายเป็นเงากำปั้นจำนวนมาก


“ตุ๊บๆ!” เงากำปั้นแต่ละลูกล้วนโจมตีลงบนม่านแสงอย่างแม่นยำ และพลังอันเหลือเชื่อก็ทะลักออกมา


ม่านแสงรอบตัวโคเพลิงเปล่งประกายอย่างบ้าคลั่งไม่กี่ครั้ง ก็แตกกระจายออกมาในพริบตา


จากนั้นก็มีเสียงดัง “ฟู่!”


นิ้วมือทั้งห้าบนฝ่ามืออัปลักษณ์ข้างหนึ่งกางออกมา และเจาะลงบนผิวหนังอันแข็งแกร่งของโคเพลิง หลังจากหดกลับมาอย่างรวดเร็ว ก็มีหัวใจสีแดงปรากฏอยู่ในมือดวงหนึ่ง


อสูรเพลิงตัวนี้แผดเสียงร้องโหยหวน ทันใดนั้น เท้าทั้งสี่ก็อ่อนแรงและล้มลงพื้น ร่างของมันกระตุกอย่างรุนแรง


ผ่านไปไม่กี่อึดใจ ร่างขนาดมหึมาของอสูรเพลิงตัวนี้ก็นอนนิ่งอยู่ท่ามกลางกองเลือด


และบนมือขวาของหลิ่วหมิงในขณะนี้ ก็จับแก่นผลึกสีแดงเพลิงที่มีขนาดเท่ากำปั้นไว้ มันแผ่แสงสีแดงที่ดูคล้ายกับเปลวเพลิงออกมา


เมื่อเก็บแก่นผลึกเข้าไปแล้ว หลิ่วหมิงก็กวาดสายตามองดูรอบด้านด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก จากนั้นก็ขี่เมฆทะยานขึ้นฟ้า เหาะจากไปอย่างรวดเร็ว


……


สองชั่วยามต่อมา


มีการต่อสู้ตะลุมบอนอย่างดุเดือดบนเขาเตี้ยๆ ลูกหนึ่ง แสงหลากสี และแสงกระบี่ต่างๆ ประสานกันไปมา มีเสียงคำรามของอสูรเพลิง และเสียงระเบิดดังออกมาอย่างต่อเนื่อง


หลิ่วหมิงกับศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์สามคน ถูกอสูรเพลิงนับร้อยและอัคคีจิตวิญญาณหลายตัวปิดล้อมอยู่บนเนินเขาแห่งหนึ่ง พวกเขาพยายามต่อต้านอย่างสุดชีวิต


ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์สองในสามคนนั้น คือชายหนุ่มผมแดงกับเฉินเติงที่หลิ่วหมิงเจอในก่อนหน้านั้น


เฉินเติงถืออาวุธจิตวิญญาณสีม่วงที่มีลักษณะคล้ายเข็ม พอสะบัดแขน ก็มีแสงสีม่วงพุ่งออกไปจำนวนมาก และปรากฏตัวขาดๆ หายๆ ท่ามกลางฝูงอสูร และมีเลือดติดออกมาตลอดเวลา


ภายใต้การควบคุมแสงสีม่วงของเขา มันสามารถแยกและรวมตัวเข้าด้วยกันได้ดั่งใจนึก ช่างมหัศจรรย์ยิ่งนัก


ชายหนุ่มผมแดงก็ถือธงยักษ์สีฟ้าอันหนึ่ง และโบกสะบัดอย่างต่อเนื่อง คลื่นน้ำสีฟ้าพวยพุ่งอยู่ตรงหน้าไม่หยุด และกลายเป็นคลื่นกำแพงวารีขนาดใหญ่ ปกป้องคนอื่นๆ ไว้ด้านใน และต้านทานการโจมตีจากภายนอกของอสูรเพลิง


ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์คนสุดท้ายก็ถือม้วนรูปภาพไว้ เขากำลังปล่อยนกนางแอ่นจิตวิญญาณสีดำหลายตัวออกมาต่อสู้กับคางคกสีแดงขนาดสองสามจั้ง ที่อยู่ระดับของเหลวขั้นต้นสองตัว ดูจากสถานการณ์แล้ว เหมือนเขาจะถือไพ่เหนือกว่า


อีกด้านหนึ่ง หลิ่วหมิงทำท่ามือกระตุ้นเคล็ดกระบี่อย่างเงียบๆ กระบี่เล็กสีฟ้าโบกสะบัดอยู่ตรงหน้า และกลายเป็นเงากระบี่จำนวนมาก ทำให้แพะเพลิงสามสิบกว่าตัวต้องร่นถอยออกไป


เกิดเสียงดังก้องฟ้า!


แสงกระบี่สีฟ้าหกลำเกิดขึ้นจากเงากระบี่ และมันก็สังหารแพะเพลิงหกตัวโดยไม่คาดคิด


จากนั้นหลิ่วหมิงก็ทำท่ามืออีกครั้ง


แสงกระบี่หกลำรวมตัวเป็นสายรุ้งสีฟ้าที่ยาวจั้งกว่าๆ พอมันกระพริบแค่ทีเดียว ก็ปล่อยแสงสีฟ้าอันน่าตกใจ และฟันอัคคีจิตวิญญาณตัวหนึ่งที่แอบปล่อยลูกเปลวไฟอยู่ด้านหลังอสูรเพลิงออกเป็นสองส่วน


อสูรเพลิงที่อยู่บริเวณนั้นต่างก็ตกใจ จนต้องถอยหลบไปชั่วขณะหนึ่ง


หลิ่วหมิงเรียกกระบี่เล็กสีฟ้ากลับมา และถือโอกาสมองดูบริเวณรอบๆ สุดท้ายสายตาของเขาก็ตกอยู่บนตัวอัคคีจิตวิญญาณสามสี่ตัวที่ไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้ พวกมันเพียงแค่จ้องมองอย่างเงียบๆ เท่านั้น


หลิ่วหมิงรู้สึกหนักใจขึ้นมา เขารับรู้ถึงความผิดปกติได้อย่างลางๆ


ขณะนั้นเอง เนินดินที่หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ยืนอยู่นั้น กลับพังทลายลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ และตะขาบสีแดงที่ยาวจั้งกว่าๆ จำนวนมากก็พุ่งขึ้นมา พริบตาเดียวก็กระโจนใส่ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ทั้งสี่


หลิ่วหมิงเป็นผู้ที่มีความรู้สึกไวระดับไหน ดูเหมือนว่าในขณะที่มีหลุมใหญ่ปรากฏตรงใต้เท้า เขาก็สะบัดข้อมือทันที จากนั้นแสงกระบี่ขนาดใหญ่ก็ฟันออกไปก่อน


“ตู๊ม!” ตะขาบสีแดงเข้มตัวหนึ่งที่กระโจนเข้ามาถูกฟันจนกระเด็นกลับไป


ชายหนุ่มผมแดงกับเฉินเติงต่างก็รู้สึกตกใจมาก พอหนึ่งในนั้นโบกสะบัดธงยักษ์ในมือ คลื่นน้ำสีฟ้าก็ม้วนตัวออกไป


ส่วนอีกคนก็มียันต์สีเงินพุ่งออกจากแขนเสื้อ หลังจากพร่ามัวไปหนึ่งที มันก็กลายเป็นแสงสีเงินม้วนตัวออกไป


ตะขาบสีแดงเข้มสองตัวที่ลอบโจมตีพวกเขา ต่างก็ถูกปะทะจนกระเด็นกลับไป


แต่ทว่าศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ที่ถือม้วนรูปภาพนั้น มีประสบการณ์ต่อสู้กับศัตรูไม่มากนัก จึงไม่ทันได้ระวัง พอโซเซไปทีหนึ่งแล้ว ก็ถูกตะขาบสีแดงเข้มตัวหนึ่งกัดขาจนขาด ทันใดเขาก็ส่งเสียงร้องออกมา โลหิตทะลักออกมาจำนวนมาก


แต่เขายังไม่ทันได้กระตุ้นม้วนรูปภาพในมือเพื่อป้องกันตัว ก็มีเสียงดังก้องฟ้า ลิ้นยาวสีแดงเข้มโจมตีปรานแกร่งคุ้มร่างของเขาจนแตกกระจาย และเจาะทะลุคอหอยเขาไป


มันคือคางคกยักษ์ที่ถูกเขาหลบหลีกไปได้ในก่อนหน้านั้น ซึ่งมันได้อ้าปากแลบลิ้นยาวออกมา


มือข้างหนึ่งของชายหนุ่มจับคอหอยไว้แน่น สีหน้าดูเหลือเชื่อเป็นอย่างมาก พริบตาเดียว ร่างของเขาก็อ่อนยวบยาบและล้มลงพื้น


ขณะนี้ ฝูงอสูรที่ร่นถอยออกไปในก่อนหน้านั้นก็กรูเข้ามาอีกครั้ง ขณะเดียวกัน อัคคีจิตวิญญาณสี่ตัวที่อยู่ไกลๆ ก็ขยับตัวพุ่งมาทางหลิ่วหมิงและคนอื่นๆ


“แย่แล้ว! พวกเราหนี!” เฉินเติงเห็นเช่นนี้ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก หลังจากตะโกนออกมาแล้ว ก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาโดยฉับพลัน “ฟิ้ว!” เงาแสงสีม่วงจำนวนมากปกคลุมพื้นที่ตรงหน้าในระยะสิบกว่าจั้งไว้


วานรเพลิงสี่ห้าตัวที่พุ่งเข้ามา ต่างก็มีเลือดพุ่งออกจากตัว และล้มลงพื้นทันที


แผ่นแสงกลมๆ สีขาวปรากฏอยู่ใต้เท้าของเฉินเติง และยกตัวเขาขึ้นมา จากนั้นก็ถือโอกาสทะยานฟ้าหลบหนีไป


และชายผมแดงก็โยนธงยักษ์สีฟ้าในมือออกไป จากนั้นก็ทะยานฟ้าหลบหนีตามเฉินเติงไปท่ามกลางแสงสีฟ้าที่ห่อหุ้มร่างของเขาไว้


ทางด้านหลิ่วหมิงก็คำรามเสียงออกมา พอสะบัดข้อมือ แสงกระบี่ยักษ์จำนวนมากก็ฟาดฟันออกไปอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ฝูงแพะเพลิงตรงหน้าล้มระเนระนาด เขาพลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมา และแปะยันต์สีเขียวไว้บนตัว


“ฟู่!” อักขระปรากฏขึ้นบนตัวของเขา จากนั้นก็กลายเป็นกลุ่มแสงสีเขียวพุ่งขึ้นฟ้า และหลังจากหมุนวนหนึ่งที มันก็พุ่งไปยังทิศทางที่ตรงกันข้ามกับเฉินเติง


อัคคีจิตวิญญาณเหล่านั้น ก็คิดไม่ถึงว่าพวกหลิ่วหมิงทั้งสามจะหนีไปอย่างเด็ดขาดเช่นนี้ ขณะที่คิดจะตามไปนั้นก็ไม่ทันแล้ว


แม้ว่าวิหคเพลิงเจ็ดแปดตัวจะบินตามไปในทันที แต่ก็ถูกทั้งสามสังหารจนหมดสิ้น


……


หลิ่วหมิงพุ่งออกไปทางอากาศได้ครึ่งชั่วยาม เมื่อเห็นว่าไม่มีอสูรเพลิงตามด้านหลังแล้ว ก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย ขณะที่กำลังหยิบแผนที่ออกมาดูทิศทางนั้น สีหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนไป จากนั้นร่างของเขาก็พร่ามัวและร่วงลงพื้น


เขาก็ควักยันต์สีเขียวมาแปะไว้บนตัวผืนหนึ่ง พอเขาขยับตัว ก็จมหายไปในต้นไม้ใหญ่บริเวณนั้นอย่างไร้ร่องรอย


ไม่นาน มีเสียงร้องอย่างเวทนาดังมาจากส่วนลึกของเมฆอัคคีที่อยู่ไกลๆ และสถานที่แห่งนั้น เขารับรู้ได้ถึงคลื่นพลังจิตวิญญาณที่ไม่เหมือนปกติ


หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว พอเขาส่งพลังจิตอันแข็งแกร่งออกไปตรวจสอบ ก็ต้องสูดหายใจด้วยความเย็นสะท้าน


ผ่านชั้นเมฆอัคคีหลากหลายชั้นไป บนพื้นราบที่ห่างออกไปลี้กว่าๆ มีอสูรเพลิงขนาดต่างๆ รวมตัวอยู่จำนวนมาก ซึ่งดูเหมือนจะมีมากกว่าสามสี่ร้อยตัวขึ้นไป และด้านหลังของอสูรเพลิง ยังมีอัคคีจิตวิญญาณยี่สิบกว่าตัว กำลังห้อมล้อมอัคคีจิตวิญญาณยักษ์ที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติสองสามเท่า


พลังจิตวิญญาณแปลกประหลาดที่เขารับรู้ได้ในเมื่อครู่ มันแผ่มาจากร่างของอัคคีจิตวิญญาณยักษ์นี่เอง


และขอบฟ้าที่ห่างออกไปจากจุดที่อัคคีจิตวิญญาณเหล่านี้รวมตัวกันอยู่ มีแสงหลบหลีกจำนวนมากพุ่งหนีออกไปอย่างลุกลี้ลุกลน


แต่จะเห็นว่าในมือของอัคคีจิตวิญญาณยักษ์ตัวนี้ กำลังจับศพที่มีสภาพไม่สมบูรณ์ของศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์อยู่ และโยนทิ้งด้านข้างอย่างไม่ใส่ใจ ขณะเดียวกันก็ส่งเสียงต่ำๆ ออกมา


พออัคคีจิตวิญญาณเหล่านั้นได้ยินเสียงนี้ ครึ่งหนึ่งในนั้นก็แบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มจะมีอัคคีจิตวิญญาณสองสามตัว และไล่ตามศิษย์สายนอกที่หลบหนีไปเหล่านั้น


ฝูงอสูรเพลิงหลายร้อยตัวก็แยกตัวออกมา ร้อยกว่าตัวในนั้นพากันตามอัคคีจิตวิญญาณเหล่านั้นไป ทำให้เมฆอัคคีบริเวณรอบๆ พวยพุ่งขึ้นมา


“อัคคีจิตวิญญาณยักษ์ตัวนั้นมีกลิ่นไอแข็งแกร่งเช่นนี้ ดูเหมือนจะเข้าใกล้ระดับผลึกแล้ว ทั้งยังสามารถสั่งอัคคีจิตวิญญาณตัวอื่นๆ ได้อย่างเป็นระเบียบ ควบคุมฝูงอสูรเพลิงได้จำนวนมาก สติปัญญาสูงส่งไม่ด้อยไปกว่ามนุษย์เลย เกรงว่าการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในแดนอบอ้าว คงเกี่ยวพันกับอัคคีจิตวิญญาณยักษ์อย่างแน่นอน แต่มันไม่เพียงแต่มีพลังน่าตกใจเท่านั้น ทั้งยังมีผู้คุ้มกันจำนวนมากเช่นนี้ ย่อมไม่ใช่สิ่งที่เราสามารถเสี่ยงอันตรายไปสังหารมันโดยลำพังได้” หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองอย่างรวดเร็ว


เขาลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็พลิกฝ่ามือหยิบยันต์ดำดินผืนหนึ่งมาแปะไว้บนตัว ทันใดนั้น ร่างของเขาก็กลายเป็นแสงสีเหลืองและมุดหลบหนีไปตามใต้ดิน


ครึ่งวันต่อมา หลิ่วหมิงหลบหนีอยู่กลางอากาศอย่างรวดเร็วท่ามกลางแสงสีเขียวที่เปล่งประกาย ห่างออกไปทางด้านหลังลี้กว่าๆ มีอัคคีจิตวิญญาณสองตัวพาอสูรเพลิงหลายสิบตัวตามไล่เขาอย่างไม่ลดละ


“ช่างตายยากจริงๆ!” หลิ่วหมิงแอบด่าออกมา


หลังจากพบเจออัคคีจิตวิญญาณยักษ์ เขาก็ใช้วิธีการหลบซ่อนต่างๆ เพื่อพยายามซ่อนร่องรอยของตัวเองไว้ จะได้ไม่ต้องเสี่ยงต่อสู้อย่างดุเดือดกับอัคคีจิตวิญญาณเหล่านี้ และถ่วงเวลารอกำลังเสริมจากโลกภายนอก


แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ หลังจากเขาทดลองไปหลายครั้ง ไม่ว่าจะใช้วิธีการใดหรือซ่อนตัวตามสถานที่เร้นลับเพียงใดก็ตาม ล้วนถูกอัคคีจิตวิญญาณบริเวณนั้นค้นพบอย่างรวดเร็ว และทำการปิดล้อมโจมตีเขา


ขณะที่เขารู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมากนั้น สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไปทันที เขาค้นพบว่าห่างออกไปหลายลี้ มีแม่น้ำสีแดงอยู่สายหนึ่ง


“หรือว่าจะลองไปที่นั่นดู……”


หลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว แสงหลบหลีกเพิ่มความเร็วขึ้นมามาก พริบตาเดียว ก็ทิ้งห่างอัคคีจิตวิญญาณตรงด้านหลังไปไกลๆ


ตอนที่ 495 อัคคีจิตวิญญาณยักษ์

โดย

Ink Stone_Fantasy

ไม่นาน หลิ่วหมิงก็มาปรากฏตัวเหนือแม่น้ำ และก้มมองอย่างรวดเร็ว


จะเห็นว่าน้ำในที่นี้เป็นสีแดงราวกับเป็นหินหนืด


หลิ่วหมิงทำท่ามือด้วยมือเดียวอย่างไม่ลังเล ทันใดนั้นไอดำก็พวยพุ่งออกจากร่าง ขณะเดียวกัน แสงสีทองเป็นจุดๆ ก็ออกมาจากแขนเสื้อ และกลายเป็นทรายสีเหลืองปกคลุมเขาไว้


“ตู๊ม!”


เขาร่วงลงไปในแม่น้ำราวกับก้อนหิน


แม้ว่าน้ำด้านล่างจะร้อนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ และภายใต้สถานการณ์ที่มีปราณแกร่งไว้ห่อหุ้มไว้ และยังมีเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์คอยช่วย เขาย่อมผ่านไปอย่างปลอดภัย


อึดใจเดียวเขาก็ดำลึกลงไปก้นแม่น้ำสิบกว่าจั้ง ขณะเดียวกันก็ระงับกลิ่นไอบนตัวไว้ แม้กระทั่งคลื่นพลังของทรายทองคำร่วงก็ถูกระงับจนถึงขีดสุด


ผ่านไปไม่นาน มีเสียงดังโครมครามมาจากด้านบน ทั้งยังเข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ


“หวังว่าจะสามารถปิดบังได้……” หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้ในใจ


และขณะที่เขาคิดเช่นนี้ น้ำในแม่น้ำก็พวยพุ่งอย่างรุนแรง จระเข้เพลิงหลายตัวกำลังก่อกวนน้ำอยู่ และว่ายมาทางเขา


หลิ่วหมิงแอบกร่นด่าอยู่ในใจ จากนั้นก็กลายเป็นแสงสีทองพุ่งออกจากผิวน้ำ


และดูเหมือนจะมีอัคคีจิตวิญญาณยืนรออยู่ริมแม่น้ำนานแล้ว พอเห็นหลิ่วหมิง พวกมันก็แผดเสียงแหลมออกมา จากนั้นอสูรเพลิงจำนวนมากที่อยู่ข้างหลังก็กระโจนเข้ามาทันที


หลิ่วหมิงได้แต่ปล่อยกระบี่บินออกไป พอสังหารอสูรเพลิงไปหลายตัวแล้ว ถึงหาจังหวะหลบหนี


ไม่นาน หลิ่วหมิงก็มาถึงใต้ดินที่ลึกลงจากเนินเขาบางแห่งไปพันกว่าจั้ง โดยที่มีแสงสีเหลืองห่อหุ้มตัวไว้


“ซ่อนอยู่ลึกขนาดนี้ ต่อให้เป็นพลังจิตของระดับผลึก ก็คงไม่อาจรับรู้ได้” พอพูดพึมพำจบ เขาก็นั่งขัดสมาธิลงไป และหยิบหินจิตวิญญาณระดับสูงออกมาสองก้อน เพื่อฟื้นฟูพลังเวท


หลังจากผ่านศึกใหญ่มาหลายครั้งและวิ่งหนีมาตลอดทาง ต่อให้หลิ่วหมิงจะมีพลังเวทหนาแน่นกว่าผู้ฝึกฝนระดับเดียวกันมาก แต่ก็ไม่สามารถแบกรับได้ไหว


แต่ทว่าเขายังไม่ทันได้เข้าฌาน ก็มีเสียงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงมาจากด้านบน


หลิ่วหมิงรีบปล่อยจิตรับรู้ออกไปดูด้วยความตกใจ ครู่ต่อมาเขาก็ต้องยิ้มอย่างขมขื่น


ด้านบนที่สูงขึ้นไปร้อยกว่าจั้ง ตะขาบยักษ์สองตัวที่มีเปลือกแข็งแกร่งกำลังเคลื่อนไหวขายาวๆ ของมันอยู่ และขุดดินมาทางเขาอย่างรวดเร็ว


ชั่วเวลาครึ่งถ้วยชาต่อมา หลิ่วหมิงที่ถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีเหลือง ก็พุ่งขึ้นจากใต้ดินตรงเนินเขา และคิดจะหนีลอยนวลไปให้ไกลๆ


แต่พลันมีแสงไฟเปล่งประกายตรงหน้า อัคคีจิตวิญญาณที่ไม่รู้ว่าซ่อนตัวอยู่ที่ใดในก่อนหน้านั้นได้ปรากฏออกมา และมาขวางอยู่ตรงหน้าหลิ่วหมิงอย่างรวดเร็ว


“รนหาที่ตาย!”


หลิ่วหมิงมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา กะอีแค่อัคคีจิตวิญญาณระดับของเหลวขั้นต้นตัวหนึ่ง เขาย่อมไม่รู้สึกหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย จุดแสงสีทองเปล่งประกายในแขนเสื้อทันที หมอกทรายสีทองขนาดใหญ่ม้วนตัวออกไป พริบตาเดียวก็กลายเป็นมือยักษ์สีทองอร่ามคว้าอัคคีจิตวิญญาณเอาไว้แน่น


จากนั้นเขาก็สะบัดแขนเสื้ออีกข้าง


แสงกระบี่สีฟ้าเปล่งประกายออกมา!


อัคคีจิตวิญญาณที่ถูกเขาจับตัวไว้ ถูกกระบี่ตัดคอโดยที่ไม่มีโอกาสแม้จะส่งเสียงร้อง


“เอ๊ะ! กลิ่นไอเมื่อครู่นี้……” หลิ่วหมิงนำแก่นบริสุทธิ์ออกมา ขณะที่กำลังจะหมุนตัวพุ่งหนีไปนั้น พลันหันไปมองศพไร้หัวของอัคคีจิตวิญญาณด้วยสีหน้าประหลาดใจ


ก่อนหน้านั้น เขาได้กลิ่นไออันคุ้นเคยจากซากศพอัคคีจิตวิญญาณตัวอื่น มันคลับคล้ายคลับคลากับอัคคีจิตวิญญาณยักษ์ที่เขาพบเจอ


ขณะนั้นเอง พลันมีเสียงดัง “ตู๊ม!” ศพอัคคีจิตวิญญาณไร้หัวระเบิดออกมาทันที จากนั้นมันก็กลายเป็นเถ้าธุลีท่ามกลางเปลวไฟที่พวยพุ่ง และแสงสีแดงก็พุ่งออกไปเพื่อคิดจะหลบหนี


แต่หลิ่วหมิงเป็นคนระดับใด? พอเขาขยับตัวโดยไม่ต้องคิด ก็มาปรากฏอยู่ข้างแสงสีแดง และคว้ามันเอาไว้


เขาปล่อยพลังจิตอันแข็งแกร่งกวาดไปบนมือ


“ที่แท้กลิ่นไอนี้ก็เป็นของอัคคีจิตวิญญาณยักษ์จริงๆ มันนำจิตรับรู้ส่วนหนึ่งแฝงไว้ในตัวอัคคีจิตวิญญาณทั่วไป มิน่าล่ะ! ไม่ว่าจะหลบอย่างไร ก็ไม่อาจหนีการตามล่าของอัคคีจิตวิญญาณกับอสูรเพลิงได้ ด้วยพลังอันแข็งแกร่งของอัคคีจิตวิญญาณยักษ์ ในขณะที่อยู่ในแดนอบอ้าวที่มีปราณจิตวิญญาณธาตุไฟเต็มเปี่ยม เพียงแค่อยู่ในระห่างที่แน่นอน ก็หาศัตรูที่หลบซ่อนด้วยวิธีการต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย”


หลังจากหลิ่วหมิงเข้าใจเรื่องราวเหล่านี้แล้ว ก็เอามือทั้งสองมาถูกันทันที และพอบีบอัดจนแสงสีแดงดับลง เขาก็พุ่งไปยังทิศทางบางแห่งทันที


……


ผ่านไปไม่นาน ระหว่างหุบเขาคับแคบแห่งหนึ่ง มีแสงสีเขียว สีม่วงกระพริบผ่านไป และมีเมฆอัคคีสีแดงตามหลังไปติดๆ


บริเวณที่เมฆอัคคีเคลื่อนตัวผ่าน มีคลื่นความร้อนพวยพุ่งโจมตีเข้ามาเป็นระลอกๆ มีสะเก็ดไฟสีแดงปะปนอยู่ท่ามกลางแสงไฟ


ผ่านไปซักพัก แสงหลบหลีกหลายลำก็สลายตัวตรงปลายสุดของหุบเขา เผยให้เห็นร่างของคนที่อยู่ในนั้น ซึ่งก็คือจั้งเสวียนกับเฉินเติงและคนอื่นๆ นั่นเอง


“แย่แล้ว! หุบเขานี้ไม่สอดคล้องกับเครื่องหมายบนแผนที่ คิดไม่ถึงว่ามันจะเป็นหุบเขาทางตัน” ศิษย์ชุดเขียวคนหนึ่งจ้องมองเมฆอัคคีที่พวยพุ่งเข้ามา และกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด


“เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว คงได้แต่หันหลังชนฝาเผด็จศึกแล้ว” เฉินเติงกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


หลังจากคนเหล่านี้พบเจอกัน ก็ต่อสู้เป็นพัลวันจนมาถึงที่นี่ และพลังเวทก็หมดไปกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว


ด้วยเหตุนี้ พอเผชิญกับฝูงอสูรเพลิงที่ถูกอัคคีจิตวิญญาณควบคุม จึงได้แต่ต่อสู้ไปพลางหนีไปพลางเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะหนีเข้าไปในหุบเขาที่เป็นทางตัน


พอเฉินเติงสะบัดแขนเสื้อ ธงค่ายกลสีฟ้าแปดอันก็ปรากฏอยู่ในมือ พอโบกด้วยมือข้างหนึ่ง มันก็หลุดออกจากมือ หลังจากปล่อยพลังใส่ติดต่อกันแล้ว ธงทั้งแปดก็กระจายไปรอบๆ ตัวพวกเขา พริบตาเดียวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย


“ข้าได้วางค่ายกลปกป้องวารีสวรรค์ไว้แล้ว แม้ค่ายกลจะมีพลังป้องกันธรรมดา แต่มันเป็นค่ายกลธาตุน้ำ คงพอจะต้านทานได้ชั่วระยะหนึ่ง” หลังจากเฉินเติงวางค่ายกลชุดนี้อย่างรวดเร็วแล้ว ก็รู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง


พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง เมฆอัคคีสีแดงกลุ่มนั้นก็มาปรากฏอยู่เหนือศีรษะของพวกเขา


หลังจากมีแสงไฟสว่างขึ้นมา เมฆอัคคีก็ค่อยๆ สลายไป อัคคีจิตวิญญาณสองตัวที่มีเปลวไฟห่อหุ้มก็ปรากฏออกมา และข้างตัวของพวกมันก็มีวิหคเพลิงสีแดงเจ็ดแปดตัวกับหมาป่าเพลิงห้าตัว


แสงไฟเปล่งประกายในดวงตาทั้งคู่ของวิหคเพลิง ลวดลายสีแดงบนตัวเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด มันส่งเสียงร้องแหลมออกมาตลอดเวลา ปีกทั้งสองกระพือจนเกิดเป็นคลื่นอัคคีอันพวยพุ่ง


หมาเพลิงก็พ่นเปลวไฟสีแดงออกมาเป็นระยะๆ และส่งเสียงคำรามออกมา เขี้ยวแหลมคมทั้งคู่ยาวฉื่อกว่าๆ ดวงตาดุร้ายจ้องมองมาทางพวกเขา


ไม่ว่าจะเป็นอัคคีจิตวิญญาณสองตัวหรืออสูรเพลิงสิบกว่าตัว ล้วนมีการฝึกฝนระดับของเหลว มิน่าล่ะ! แม้แต่พลังระดับเฉินเติงกับจั้งเสวียน ก็ทำได้แค่หลบหนีเท่านั้น


“ฆ่า ฆ่า……” ดูเหมือนว่าอัคคีจิตวิญญาณสองตัวจะออกคำสั่งที่ได้ยินไม่ชัดเจนออกมา แต่ตัวมันเองกลับไม่คิดจะลงมือเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่จ้องมองคนที่อยู่ด้านล่างเท่านั้น


หลังจากวิหคเพลิงเจ็ดแปดตัวที่อยู่ด้านข้างได้ยินคำสั่ง เปลวไฟบนตัวก็ลุกฮือขึ้นมา พริบตาเดียวก็กลายเป็นแสงไฟสีแดงจำนวนมาก และพุ่งใส่ผู้คนที่อยู่ด้านล่าง


มีเสียงแผดร้องดังขึ้นมา!


สีของแสงไฟกลางอากาศค่อยๆ เข้มขึ้น ขณะที่อยู่ห่างจากตรงหน้าคนเหล่านี้เจ็ดแปดจั้งนั้น สีของเปลวไฟก็กลายเป็นสีแดงเข้ม


เฉินเติงร่ายคาถาออกมา ขณะเดียวกัน ก็ชี้นิ้วไปกลางอากาศ ม่านแสงสีฟ้าปรากฏออกมาจากจุดที่ธงค่ายกลหายไป และปกคลุมพวกเขาไว้


แสงสีฟ้าหมุนวนท่ามกลางม่านแสง ผู้คนที่อยู่ในค่ายกลรู้สึกถึงความเย็นชุ่มชื้นที่ปะทะเข้ามาทันที


“เพล้งๆ!” เกิดเสียงดังติดต่อกันหลายครั้ง


พอวิหคเพลิงปะทะกับม่านแสง มันก็ถูกดีดกระเด็นออกไปท่ามกลางแสงสีฟ้าที่เปล่งประกาย


แต่ครู่ต่อมา เปลวไฟอันร้อนแรงก็ลุกไหม้บริเวณที่ถูกวิหคเพลิงปะทะใส่ และต่อมาม่านแสงนี้ก็เดือดเป็นปุดๆ


เฉินเติงเห็นเช่นนี้ ก็เปลี่ยนท่ามืออย่างต่อเนื่อง พอแสงสีฟ้าหมุนอยู่บนม่านแสงชั่วขณะหนึ่ง บริเวณที่เดือดปุดๆ ก็กลับมาสงบดังเดิม


แต่ทว่าหลังจากเป็นเช่นนี้อยู่หลายครั้ง ม่านแสงสีฟ้าก็เล็กลงกว่าเดิม


วิหคเพลิงที่ถูกดีดกระเด็นออกไป กลับหมุนตัวพุ่งลงไปพร้อมเสียงร้องแหลมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น


ท่ามกลางเสียงปะทะอย่างรุนแรง ภายในระยะเวลาสั้นๆ ม่านแสงสีฟ้าก็เล็กลงกว่าเดิมหนึ่งในห้าส่วน


ขณะนั้นเอง หมาป่าเพลิงที่อยู่ด้านข้างอัคคีจิตวิญญาณ ก็มาปรากฏตัวอีกด้านหนึ่งของคนเหล่านี้อย่างไร้สุ้มเสียง ขณะเดียวกัน มันก็อ้าปากพ่นเสาเพลิงสีแดงจำนวนมากออกมา และรวมตัวเป็นเสาเพลิงร้อนแรงที่ยาวหลายจั้ง จากนั้นก็พุ่งใส่ม่านแสงสีฟ้าด้วยอานุภาพอันน่าตกใจ


“พี่จั้ง รีบแสดงวิชาต้านทานหน่อย!” เฉินเติงก็รู้สึกตกใจที่หมาป่าเพลิงมาปรากฏตัวกระทันหัน ในใจเขารู้ดีว่าการป้องกันนี้ไม่มีพลังรับมือการโจมตีของหมาป่าเพลิงแล้ว ดังนั้นจึงตะโกนออกมาทันที


จั้งเสวียนเก็บหินจิตวิญญาณบนมือทั้งสองโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง พอพลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมา โล่สีเหลืองอันหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า พอเขาร่ายคาถา โล่เล็กก็ปล่อยแสงสีเหลืองเจิดจ้าออกมา พริบตาเดียวก็ขยายใหญ่ถึงห้าหกจั้ง มีอักขระสีเหลืองหมุนวนอยู่บนพื้นผิวไม่หยุด


“ตู๊ม!”


ลวดลายสีเหลืองบนโล่เปล่งประกายอย่างต่อเนื่อง คลื่นความร้อนกระจายออกไปรอบๆ เสาเพลิงสีแดงส่วนใหญ่ถูกโล่ยักษ์ต้านทานไว้ จนไม่อาจพุ่งไปด้านหน้าได้ชั่วขณะหนึ่ง


ทันใดนั้น แสงไฟตรงหน้าค่ายกลก็พุ่งขึ้นฟ้า ม่านแสงสีฟ้าถูกคลื่นสั่นสะเทือนจนสั่นไหวเบาๆ


และภายใต้สถานการณ์ที่พลังเวทของจั้งเสวียนยืนหยัดต่อไปไม่ไหว จึงไม่สามารถทำการโจมตีใดๆ ได้อีก


วิหคเพลิงสองตัวกลางอากาศเห็นเช่นนี้ ก็สบตากันทีหนึ่ง พอมันส่งเสียงร้อง ลูกไฟสีแดงสองลูกมีมีขนาดเท่าศีรษะ ก็พุ่งโจมตีม่านแสงสีฟ้า


ขณะที่ลูกไฟอยู่ห่างจากคนเหล่านี้สิบกว่าจั้งนั้น ไอร้อนก็ปะทะเข้ามาถึงก่อน


ศิษย์สายนอกอีกสองคนเห็นเช่นนี้ ก็พยายามกระตุ้นอาวุธจิตวิญญาณต่างๆ เพื่อต้านทานไว้ แต่ภายใต้การโจมตีของลูกไฟจำนวนมาก แสงที่มาจากอาวุธจิตวิญญาณก็ดับมืดลง


เฉินเติงที่พยายามกระตุ้นพลังของค่ายกลเห็นเช่นนี้ ก็มีสีหน้าซีดขาวขึ้นมา


ขณะที่พวกเขารู้สึกว่าชีวิตเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้ายนั้น พลันมีแสงสีทองเจิดจ้าเปล่งประกายกลางอากาศ กำแพงทรายสีทองปรากฏอยู่เหนือม่านแสงสีฟ้า ตามด้วยสายรุ้งสีฟ้าที่ปรากฏตรงด้านหลังของวิหคเพลิง และแผ่แสงเย็นสะท้านอันน่าตกใจ


เดิมทีวิหคเพลิงสองตัวกำลังโจมตีค่ายกลตรงหน้าอย่างบ้าคลั่ง ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ทันได้ระวัง จึงไม่ได้ทำการป้องกันใดๆ หลังจากมีเสียงร้องดังออกมา มันก็ถูกสายรุ้งสีฟ้าแทงทะลุติดต่อกันจนร่วงลงไป


ขณะเดียวกัน ก็มีเงาร่างพร่ามัวมาปรากฏตัวท่ามกลางกองหินระเกะระกะที่ห่างออกไปสามสิบกว่าจั้ง ซึ่งเขาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง


พอเขาปรากฏตัวออกมา ก็ชี้ไปยังกำแพงทรายที่อยู่เหนือม่านแสงสีฟ้าด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก


“ฟู่!”


กำแพงทรายกลายเป็นหมอกทรายสีทองม้วนตัวลงไป และปิดล้อมวิหคเพลิงตัวที่เหลือไว้


แสงสีทองและสีแดงปรากฏขึ้นในหมอกทราย วิหคเพลิงที่อยู่ในนั้นปะทะใส่ม่านทรายอยู่ไม่หยุด จนเกิดเสียงดัง “ตู๊มๆ!” แต่กลับไม่สามารถทะลวงออกมาได้


ตอนที่ 496 ย้อนกลับ

โดย

Ink Stone_Fantasy

พอหลิ่วหมิงทำท่ามือ หมอกทรายก็พวยพุ่งรวมตัวเป็นลูกทรายยักษ์ลูกหนึ่ง ขณะเดียวกัน ด้านในก็มีแท่งแหลมๆ พุ่งออกมาเป็นจำนวนมาก และหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง


วิหคเพลิงที่อยู่ด้านในส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนา และถูกแท่งแหลมคมเหล่านี้ปั่นจนเละ


จากนั้นลูกทรายสีทองก็ระเบิดตัวเป็นหมอกทราย และม้วนตัวไปทางอัคคีจิตวิญญาณสองตัวที่อยู่กลางอากาศ


และพออัคคีจิตวิญญาณสองตัวกลางอากาศเห็นเช่นนี้ ก็ส่งเสียงร้องแหลมออกมา มันพลิ้วไหวรวมตัวเข้าด้วยกัน จากนั้นก็กลายเป็นลูกไฟยักษ์พุ่งยิงออกไป และกระพริบแค่ไม่กี่ที ก็หนีออกไปไกลหลายสิบจั้ง


พอหมาป่าเพลิงที่เหลืออยู่ได้ล่างได้ยินเสียงร้องแหลมของอัคคีจิตวิญญาณ ก็พุ่งถอยออกไปไกลๆ ท่ามกลางเมฆอัคคีที่พวยพุ่ง


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็หรี่ตาทั้งคู่ลง และโบกมือข้างหนึ่งไปกลางอากาศ ทันใดนั้นทรายทองคำร่วงกับกระบี่บินก็พุ่งกลับเข้ามา และไม่ได้ตามไล่ล่าพวกมันอีก


พอเฉินเติงและคนอื่นๆ เห็นหลิ่วหมิงโผล่มาโดยไม่คาดคิด ทั้งยังแสดงวิธีการอันร้ายกาจเช่นนี้ ก็รู้สึกดีใจเป็นล้นพ้น และตะลึงพรึงเพริดกันเป็นอย่างมาก


“ขอบคุณพี่หลิ่วที่ยื่นมือเข้าช่วย น้ำใจนี้ข้าจดจำไว้แล้ว ภายหลังจะต้องตอบแทนอย่างแน่นอน” จั้งเสวียนถอนหายใจยาวๆ และกล่าวขอบคุณหลิ่วหมิง


ศิษย์สายนอกอีกสองคนก็พากันกุมมือคารวะขอบคุณหลิ่วหมิง


เฉินเติงก็ทำท่ามือเก็บค่ายกล จากนั้นม่านแสงสีฟ้าก็กระพริบหายไป สีหน้าเขาดูซึ้งในน้ำใจของหลิ่วหมิงมาก และพูดอะไรบางอย่างกับหลิ่วหมิง


แต่ทว่าในขณะนี้ พลันมีเสียงสั่นสะเทือนดังโครมครามมาจากด้านหลังของหุบเขา จากนั้นเสาเพลิงก็พุ่งขึ้นจากขอบฟ้าที่อยู่ไกลๆ เมฆรูปดอกเห็ดสีแดงขนาดเท่าศีรษะปรากฏขึ้นมา พวกมันคือฝูงอสูรเพลิงที่ตามล่าหลิ่วหมิงในก่อนหน้านั้น และกำลังพุ่งมาทางหุบเขา!


“ที่นี่อยู่นานไม่ได้ พวกเราเดินทางไปด้วยพูดไปด้วยดีกว่า” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม พอทำท่ามือด้วยมือเดียว ไอดำก็ก่อตัวตรงใต้เท้า จากนั้นก็พุ่งไปตรงปากทางเข้าหุบเขา


เฉินเติงและคนอื่นๆ ย่อมมองเห็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตรงขอบฟ้า จึงพากันทะยานขึ้นฟ้าด้วยความตกใจ


ภายในแสงหลบหลีก คนกลุ่มนี้ต่างก็กุมหินจิตวิญญาณไว้ เพื่อฟื้นฟูพลังเวทโดยเร็ว


“พี่เฉิน หากยังคงพัวพันกับอสูรเพลิงและอัคคีจิตวิญญาณจำนวนมากอยู่เช่นนี้ พวกเราจะสูญเสียพลังเวทไปมาก ไม่สามารถฟื้นฟูได้ทัน เกรงว่าคงไม่อาจยืนหยัดได้นาน ไม่ทราบว่าท่านมีวิธีการรับมือหรือไม่?” หลิ่วหมิงถามเฉินเติงอย่างราบเรียบในฉับพลัน


เฉินเติงไม่เพียงแต่มีระดับการฝึกฝนสูงสุดในที่นี้ ทั้งยังเชี่ยวชาญค่ายกลมากมาย อาวุธจิตวิญญาณในมือก็ไม่ได้อ่อนแอ เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ที่มีเบื้องหลังอันยิ่งใหญ่


“ไม่ทราบว่าตลอดการหลบหนี พี่หลิ่วค้นพบอะไรแปลกๆ บ้างหรือไม่?” เฉินเติงไม่ได้ตอบคำถามหลิ่วหมิงโดยตรง แต่กลับถามออกมาเช่นนี้


“หรือว่า……พี่เฉินจะหมายถึงอัคคีจิตวิญญาณยักษ์ตัวนั้น?” หลิ่วหมิงรู้สึกเย็นสะท้านขึ้นมา แต่ยังคงกล่าวด้วยสีหน้าปกติ


“ไม่ผิด! ศึกในตอนนั้น พวกเขาทั้งสองเคยบุกเข้าไปถึงหลุมใหญ่แห่งหนึ่งที่อยู่ในส่วนลึกของหุบเขา และเห็นกับตาว่าอัคคีจิตวิญญาณกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งล้อมเสาผลึกยักษ์ต้นหนึ่งอยู่ และที่นั่งอยู่บนเสาผลึกก็คืออัคคีจิตวิญญาณที่มีขนาดสองจั้ง คิดว่ามันคงเป็นอัคคีจิตวิญญาณยักษ์ที่พี่หลิ่วเห็นตัวนั้นแล้วล่ะ และดูเหมือนว่าการฝึกฝนของมันเข้าใกล้ระดับผลึกแล้ว คงจะเป็นราชาของแดนอบอ้าวแห่งนี้ และไม่แน่ว่าเสาผลึกต้นนั้น อาจจะเป็นของล้ำค่าชิ้นนั้นที่ทำให้ปราณพลังฟ้าดินเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ก็ได้” เฉินเติงเงียบไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็ชี้ไปที่ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ทั้งสองแล้วกล่าวออกมา


“หรือว่าความหมายของพี่เฉินก็คือ……” หลิ่วหมิงฟังมาถึงจุดนี้ ก็กล่าวด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป


“พวกเราหลบหนีมันอย่างไร้จุดหมายเช่นนี้ ไม่สู้หันหลังชนฝาสู้กันสักตั้ง ถือโอกาสที่อัคคีจิตวิญญาณส่วนมากอยู่ภายนอก เข้าไปทำลายเสาผลึกยักษ์ต้นนั้น หากเสาผลึกล้มลง อัคคีจิตวิญญาณยักษ์คงจะรับรู้ได้และรีบกลับมาตรวจสอบในทันที พอพวกเรารวมพลังจัดการมันได้ ฝูงอสูรเพลิงและอัคคีจิตวิญญาณก็จะเหมือนกับมังกรที่ไม่มีจ่าฝูง และเกิดความวุ่นวายขึ้นมา” เฉินเติงหัวเราะเฮ่อๆ! แล้วบอกความคิดของตนเองให้กับหลิ่วหมิง


“วิธีการนี้น่าลองดู แต่ดูเหมือนว่าอัคคีจิตวิญญาณในแดนลึกลับ จะเป็นร่างแฝงของอัคคีจิตวิญญาณยักษ์ไปหมดแล้ว พลังจิตของมันแข็งแกร่งมาก สามารถจับตำแหน่งและร่องรอยของพวกเราได้ตลอดเวลา เกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะแฝงตัวเข้าไปในหุบเขาได้อย่างสมบูรณ์” หลิ่วหมิงมีสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดความกังวลของตนเองออกมา


“สำหรับเรื่องนี้ พี่หลิ่วไม่ต้องกังวลเกินไป ข้ามีอาวุธจิตวิญญาณที่สามารถหลบหลีกพลังจิตของราชาอัคคีจิตวิญญาณได้ชั่วคราว ถึงแม้ไม่อาจยืนหยัดได้นาน แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเราเข้าไปในหุบเขาได้ ส่วนอัคคีจิตวิญญาณกับอสูรเพลิงที่อยู่นอกหุบเขา ด้วยความสามารถของพี่เฉิน คงจะมีวิธีการหน่วงเหนี่ยวมันไว้” จั้งเสวียนที่อยู่บริเวณนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ เหมือนกับจะรู้เรื่องที่จิตรับรู้ของอัคคีจิตวิญญาณยักษ์แฝงอยู่ในตัวของอัคคีจิตวิญญาณทั่วไป


แต่ศิษย์อีกสองคนที่ตามอยู่ด้านหลัง กลับฟังจนปากอ้าตาค้าง


“ไม่ผิด! ข้ามีค่ายกลวิญญาณน้ำแข็งแสงลี้ลับอยู่ชุดหนึ่ง สามารถล่ออสูรเพลิงกับอัคคีจิตวิญญาณได้ชั่วคราว เดิมทีข้ากับพี่จั้งก็มีแผนเช่นนี้ แต่รู้ดีว่ามีพลังไม่พอถึงไม่ได้ลงมือจริงๆ ตอนนี้มีพี่หลิ่วเข้าร่วมด้วย ก็ลงมือทำได้เต็มที่แล้ว” เฉินเติงหัวเราะแล้วกล่าวออกมา


“ดี! ถ้าอย่างนั้นพวกเราค่อยๆ ปรึกษากันให้ดีเสียก่อน”  หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว หลังจากคิดว่าหากร่วมมือกับจั้งเสวียนจัดการกับอัคคียักษ์ มันไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร เขาก็พยักหน้าเห็นด้วย


หลายชั่วยามผ่านไป หลิ่วหมิงมาปรากฏตัวในป่าดงดิบสีแดงที่ห่างจากหุบเขาใหญ่ไม่ไกล


หลังจากพวกเขาหารือแผนการใหญ่กันแล้ว ก็อาศัยดวงตาทั้งคู่ของจั้งเสวียนแสดงวิชา ทำให้พวกเขาหลบเลี่ยงฝูงอสูรเพลิงส่วนใหญ่ได้ และโจมตีอสูรหลายกลุ่มที่ตามล่า ในที่สุดอัคคีจิตวิญญาณที่ไล่ตามมา ก็ถูกทิ้งห่างไว้ไกลๆ และพวกเขาก็อ้อมกลับมาตรงจุดที่อยู่ห่างจากที่อยู่ของอัคคีจิตวิญญาณไม่ไกล


ขณะนี้จั้งเสวียนมีสีหน้าขาวซีด ประจักษ์ชัดว่าการกระตุ้นเคล็ดวิชาติดต่อกัน ทำให้เขาสูญเสียพลังเวทไปมาก


“ข้ามีโอสถระดับสูงสำหรับผู้ฝึกฝนระดับของเหลว ทุกท่านฟื้นฟูพลังเวทก่อน หลังจากวางค่ายกลใหญ่เสร็จแล้ว พวกเจ้าก็รีบเข้าไปในหุบเขาโดยเร็ว และดำเนินการตามแผนที่วางไว้” เฉินเติงเห็นเช่นนี้ก็กล่าวด้วยสีหน้าปวดใจเล็กน้อย และหยิบขวดสีเขียวมรกตออกมาใบหนึ่ง จากนั้นก็เทโอสถสีเขียวที่แผ่ปราณจิตวิญญาณอันหนาแน่นออกมาห้าเม็ด เขาแบ่งให้จั้งเสวียนและคนอื่นๆ ส่วนตนเองก็กลืนลงไปเม็ดหนึ่งเช่นกัน


หลิ่วหมิงรับโอสถมาแล้วก็ส่งพลังจิตกวาดดูก่อนที่จะกลืนลงไป


พอโอสถเข้าปากก็รู้สึกขมเล็กน้อย แต่กลับกลืนลงคอได้อย่างง่ายดาย


ผ่านไปซักพัก ก็รู้สึกอบอุ่นในจุดตันเถียนอย่างน่าประหลาดใจ ต่อมาพลังเวทบริสุทธิ์มากมายก็ทะลักออกมาไม่หยุด และซึมเข้าไปในทะเลจิตวิญญาณ เขารู้สึกได้ทันทีว่าโอสถนี้ไม่ใช่สิ่งที่โอสถระดับสูงทั่วไปจะสามารถเปรียบเทียบได้


เขานั่งขัดสมาธิลงไปทันที และหยิบหินจิตวิญญาณระดับสูงออกมาก่อนที่จะหลับตาฟื้นฟูพลังเวท


คนอื่นๆ ย่อมทำเช่นเดียวกับเขา


ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด หลังจากหลิ่วหมิงลืมตาทั้งคู่ขึ้นมาแล้ว พลังเวทของเขาก็ฟื้นมามากแล้ว


ขณะนี้ จั้งเสวียน เฉินเติง และคนอื่นๆ ก็ลืมตาขึ้นมาเช่นกัน สีหน้าดูเบิกบานใจมาก


ประจักษ์ชัดว่าโอสถระดับสูงมีผลในการฟื้นฟูพลังเวทได้เหนือความคาดหมายของพวกเขา


หลิ่วหมิงแสดงสีหน้าราวกับกำลังคิดอะไรอยู่


โอสถฟื้นฟูระดับสูงมีผลลัพธ์มหัศจรรย์เช่นนี้ หากมีเวลาล่ะก็ คงต้องฝึกฝนวิชาปรุงโอสถให้ดีๆ แล้ว หากในช่วงวิกฤตได้ทานเพิ่มอีกสองสามเม็ด ไม่แน่อาจจะช่วยชีวิตน้อยๆ ของตนเองได้


เขามีฟองอากาศลึกลับที่ทำให้เวลาเชื่องช้าลง และไม่ต้องกลัวว่าจะสิ้นเปลืองวัตถุดิบแต่อย่างใด เป็นไปได้โดยสิ้นเชิงที่จะฝึกฝนโอสถระดับสูงบางประเภท


“อีกไม่นานอัคคีจิตวิญญาณพวกนั้นก็จะค้นพบพวกเราแล้ว ข้าจะไปวางค่ายกลให้เสร็จก่อน รอข้ากระตุ้นค่ายกล พวกเจ้าก็เข้าไปผลักเสาผลึกที่อยู่ในหลุมให้ล้มลง” เฉินเติงลุกขึ้นมา หลังจากนำแผ่นกลมๆ มาดูทีหนึ่งแล้ว ก็กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ต่างก็พากันพยักหน้า


เฉินเติงก็ควักธงค่ายกลกึ่งโปร่งแสงออกมา และโยนออกไปรอบด้าน ภายใต้การร่ายคาถา ธงค่ายกลก็เริ่มเปล่งแสงสีขาวสลัวๆ ออกมา และค่อยๆ หมุนวนรอบตัวเขา ไอเย็นสะท้านแผ่นออกมารอบด้าน


เขาสะบัดแขนเสื้อหยิบแผ่นค่ายกลหยกเขียวออกมา จากนั้นก็เปลี่ยนท่ามือและชี้ลงบนแผ่นค่ายกล


แสงสีเงินจำนวนมากพุ่งออกจากแผ่นค่ายกล และจมหายไปในธงค่ายกลที่อยู่รอบๆ


ธงค่ายกลหลายสิบอันสั่นสะท้านเบาๆ จากนั้นก็พุ่งไปรอบด้าน และกระพริบหายไป


ไม่นาน ค่ายกลสีขาวโพลนที่ปกคลุมพื้นที่เกือบครึ่งหนึ่งของป่า ก็ปรากฏออกมา


ภายในค่ายกลมีไอหมอกผสมปนเปกับพายุเย็นสะท้าน ชั้นน้ำแข็งหนา ๆ ก่อตัวขึ้นบนพื้นผิวของต้นไม้ในทันใด


“เอาล่ะ! ข้าจะควบคุมค่ายกลล่ออัคคีจิตวิญญาณอยู่ที่นี่ ทุกท่านรีบลงมือโดยเร็ว แม้ว่าค่ายกลนี้จะมีอานุภาพเป็นอย่างยิ่ง แต่ฝูงอสูรเพลิงในสถานที่แห่งนี้มีเป็นจำนวนมาก ข้าเองก็ไม่อาจประเมินการได้ว่ามันจะยืนหยัดได้นานเพียงใด” พอเฉินเติงได้ยินเสียงคำรามดังมาจากที่ไกลๆ ก็มองคนเหล่านี้แล้วกล่าวออกมาทันที


“ได้! พวกเราไปกันเถอะ!”


จั้งเสวียนตะคอกออกมา พอสะบัดแขนเสื้อ ผ้าดิ้นสีม่วงผืนหนึ่งก็ลอยออกมา


มีหัวปีศาจแปลกประหลาดประทับอยู่บนผ้าดิ้น ดวงตาทั้งคู่มีแสงสีม่วงเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด ซึ่งเหมือนกับแสงสีม่วงที่หมุนวนอยู่ในดวงตาของจั้งเสวียนไม่มีผิด


พอปล่อยพลังลงบนผ้าดิ้น มันก็หมุนติ้วๆ กลางอากาศ จากนั้นก็กลายเป็นจุดแสงสีม่วง และก่อตัวเป็นม่านแสงสีม่วงจางๆ ปกคลุมคนทั้งสี่ไว้


หลิวหมิงรู้สึกแค่ว่าอากาศโดยรอบแข็งตัวในม่านแสงสีม่วง พอปล่อยพลังจิตออกไปสัมผัส มันก็กระเด็นกลับมาราวกับถูกชั้นกำจัดกั้นไว้


ดูท่านี่คงเป็นอาวุธจิตวิญญาณที่สามารถหลบเลี่ยงพลังจิตของราชาอัคคีจิตวิญญาณได้ชั่วคราวตามที่จั้งเสวียนกล่าวถึง


ภายใต้การปกคลุมของแสงสีม่วง ทั้งสี่ก็ทะยานฟ้าพุ่งไปทางหุบเขาทันที


บริเวณหลุมยักษ์ที่อยู่ส่วนลึกของรังอัคคีจิตวิญญาณ มีเมฆอัคคีพวยพุ่งอยู่รอบด้านอย่างหนาแน่น


พอมองออกไปภายในหลุมยักษ์ จะเห็นอัคคีจิตวิญญาณห้าหกตัวกำลังดูดซับแสงสีแดง ที่แผ่ออกมาจากเสาผลึกโปร่งแสงอย่างตามอำเภอใจ ดูเหมือนว่าเปลวไฟบนตัวจะเข้มขึ้นมาเล็กน้อย ขณะเดียวกัน ยังส่งเสียงร้องแหลมออกมาตลอดเวลา ดูเหมือนจะชอบเป็นพิเศษ


“ลงมือ!”


เสียงตะโกนดังขึ้นมาในฉับพลัน หลังจากมีเสียงดังกังวาน แสงกระบี่สีเหลืองกับสีฟ้าที่ยาวหลายจั้ง ก็พุ่งออกจากเมฆอัคคีบริเวณนั้น


ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ทันได้ระวัง อัคคีจิตวิญญาณสองตัวที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น ถูกแสงกระบี่สองลำเจาะทะลุศีรษะ


มีเงาร่างเคลื่อนไหวหลังเมฆอัคคี จากนั้นหลิ่วหมิง จั้งเสวียน และคนอื่นๆ ก็ปรากฏออกมา


พอหลิ่วหมิงกับจั้งเสวียนยกแขนขึ้น กระบี่บินของตนเองก็พุ่งกลับมา


ตอนที่ 497 แอบจู่โจม

โดย

Ink Stone_Fantasy

อัคคีจิตวิญญาณสามตัวที่เหลือต่างก็กระโดดขึ้นมาด้วยความตกใจ และพุ่งเข้าใส่พวกเขา


“พี่จั้ง อัคคีจิตวิญญาณเหล่านี้มอบให้ข้า ส่วนพวกท่านไปทำลายเสาผลึกเถอะ!” หลิ่วหมิงเรียกกระบี่บินกลับมา และส่งเสียงออกไป พอยกแขนทั้งสองขึ้น สายรุ้งสีฟ้ากับจุดแสงสีทองก็พุ่งออกมาทันที พริบตาเดียว ก็กลายเป็นเงากระบี่จำนวนมากกับหมอกทรายสีทองขนาดใหญ่ และม้วนอัคคีจิตวิญญาณทั้งสามไว้ด้านใน


จั้งเสวียนพยักหน้า และพาศิษย์สายนอกทั้งสองตรงไปที่เสาผลึกยักษ์


มีเสียงคำรามดังออกมา!


ลวดลายมีเหลืองเปล่งประกายอยู่บนแขนทั้งสองของจั้งเสวียน พริบตาเดียวมันก็ขยายใหญ่กว่าเดิมหลายเท่า จากนั้นก็ตบลงพื้นอย่างรุนแรง


พื้นดินสั่นสะเทือนขึ้นมา หลังจากมีเศษหินกระเด็นออกไป มือยักษ์สีเหลืองสูงสิบกว่าจั้งที่ก่อตัวจากหินทรายก็ปรากฏออกมา และกำหมัดอย่างไม่ลังเล จากนั้นก็ทุบใส่เสาผลึกอย่างบ้าคลั่ง


มีเสียงฟ้าถล่มดินทลายดังเข้ามา


เสาผลึกถูกดินสีเหลืองปกคลุมไว้รอบด้าน ทำให้หลุมยักษ์สั่นสะเทือน


ศิษย์สองคนที่อยู่ข้างๆ จั้งเสวียน คนหนึ่งโยนแท่งเหล็กสีดำออกไป อีกคนก็ปล่อยดาบบินสีเขียวออกมา อันหนึ่งกลายเป็นแสงสีดำ อีกอันกลายเป็นแสงสีเขียว และพุ่งเข้าไปโจมตี


แสงสีแดงเปล่งประกายบนเสาผลึกยักษ์อย่างบ้าคลั่ง ไม่นานก็มีเสียงแตกร้าวดังขึ้นมาจากโคนเสาท่ามกลางการโจมตีราวกับสายฝนกระหน่ำ


เสาผลึกขนาดใหญ่โงนเงนสองสามที ก็ล้มลงบนพื้นด้านหนึ่งอย่างรุนแรง และแตกกระจายเป็นชิ้นๆ


แสงสีแดงจำนวนมากพุ่งออกมาจากรอยขาด และจมหายไปในเมฆอัคคีอย่างไร้ร่องรอย


จากนั้นจั้งเสวียนและคนอีกสองคน ก็โจมตีอัคคีจิตวิญญาณที่ถูกหลิ่วหมิงปิดล้อมอยู่อย่างไม่ลังเล


ทางด้านหลิ่วหมิงก็กระตุ้นทรายทองคำร่วงกับวิชาขี่กระบี่อย่างบ้าคลั่ง


ไม่นาน พวกเขาทั้งสี่ก็รวมพลังกันสังหารอัคคีจิตวิญญาณทั้งสามจนสำเร็จ


“หากที่เฉินเติงคาดการณ์ไว้ไม่มีผิด ไม่นานอัคคีจิตวิญญาณยักษ์ตัวนั้นก็จะกลับมาถึงหลุม พวกเราไปซ่อนตัวกันก่อนแล้วค่อยว่ากัน” หลิ่วหมิงเก็บอาวุธจิตวิญญาณ และกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


จั้งเสวียนและคนอีกสองคนก็พยักหน้า และหาสถานที่เร้นลับท่ามกลางหมอกอัคคี จากนั้นก็ใช้ผ้าดิ้นสีม่วงปิดบังกลิ่นไอของพวกเขาไว้อีกครั้ง


……


ห่างจากนอกหุบเขาไปไม่ไกล ภายใต้การควบคุมฝูงอสูรเพลิงหลายร้อยตัวของอัคคีจิตวิญญาณสิบกว่าตัว พวกมันกำลังล้อมรอบค่ายกลผลึกน้ำแข็งแวววาวคล้ายกับชามยักษ์ที่คว่ำอยู่อย่างแน่นหนา และโจมตีอย่างบ้าระห่ำ


ขณะที่มีการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงบนผลึกน้ำแข็ง ลูกไฟแต่ลูกก็ระเบิดออกมาอย่างรุนแรง ทำให้อากาศบริเวณนั้นเสียงเสียงดังตูมตาม


และหลังจากที่ค่ายกลถูกโจมตีติดต่อกันหลายรอบ มันก็ค่อยๆ เกิดรอยร้าวขึ้นมา เป็นสัญญาณว่าเริ่มไม่มั่นคงแล้ว


เฉินเติงที่อยู่ในค่ายกลมีเหงื่อท่วมตัว เขากำลังอ้าปากค้างเพื่อหายใจ ด้านหนึ่งก็กำหินจิตวิญญาณระดับสูงเพื่อฟื้นฟูพลังเวทอย่างรวดเร็ว อีกด้านหนึ่งก็กระตุ้นแผ่นค่ายกลหยกเขียวรักษาเสถียรภาพของค่ายกลไว้


ขณะนี้ หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ เข้าไปในหลุมยักษ์ได้เพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น


ขณะเดียวกัน แสงไฟสี่ลำก็พุ่งออกจากหลุมยักษ์อย่างรวดเร็ว เมื่อมันพุ่งผ่านเหนือค่ายกลแล้ว ก็พุ่งไปยังทิศทางบางแห่ง


หลังจากเฉินเติงขบคิดเล็กน้อย ก็รู้ว่าหลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ที่อยู่ตรงหลุมใหญ่คงจะลงมือสำเร็จแล้ว เขาจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก


ทันนั้นมีเสียง “สวบสาบ!” ดังเข้ามาจากรอบด้าน


จากนั้นผลึกน้ำแข็งที่อยู่รอบด้านก็แตกกระจุยออกมา และค่อยๆ กลายเป็นผลึกน้ำแข็งสีขาวขนาดต่างๆ ก่อนที่จะร่วงลงมาราวกับฝนตก


ต่อมาก็มีแสงไฟเปล่งประกายรอบด้านและอสูรเพลิงจำนวนมากก็ทะลักเข้ามา


ในที่สุดค่ายกลนี้ก็ยืนหยัดได้แค่ครึ่งชั่วยามกว่าๆ เท่านั้น หลังจากนั้นก็พังทลายลง


ดูเหมือนเฉินเติงจะคาดเดาได้ตั้งแต่แรกแล้ว เขารีบเก็บแผ่นค่ายกลเข้าไป และกระโดดขึ้นบนรถเหาะที่เปล่งแสงแวววาว ก่อนที่ฝูงอสูรเพลิงจะปิดล้อมอย่างสมบูรณ์นั้น เขาก็พุ่งไปยังทิศทางที่กำหนดไว้ทันที


มีเสียงร้องแหลมดังขึ้นมาหลายครั้ง ฝูงอสูรเพลิงที่อยู่ด้านล่างส่งเสียงคำราม และทะยานไล่ตามรถเหาะไป


…..


เวลาผ่านไปราวๆ หนึ่งถ้วยชา มีเสียงแผดร้องดังขึ้นตรงปากทางเข้าหุบเขา อัคคีจิตวิญญาณยักษ์ที่มีเปลวไฟสีแดงเข้มเต็มตัว พุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง และพุ่งตรงไปยังเสาผลึกที่พังทลายลงมาทันที


ด้านหลังของมันยังมีอัคคีจิตวิญญาณห้าหกตัวที่กลายเป็นแสงหลบหลีกสีแดงตามเข้ามา แต่เห็นได้ชัดว่าทิ้งระยะห่างจากอัคคีจิตวิญญาณยักษ์ไปมาก


ท่ามกลางเมฆอัคคีที่อยู่บริเวณหลุมยักษ์ หลังจากหลิ่วหมิงมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปแล้ว เขาก็ขยับปากสองสามที


จั้งเสวียนและคนอีกสองคนก็แสดงสีหน้าตกใจออกมา ราวกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ


ในขณะนั้นเอง แสงสีแดงเข้มลำหนึ่งก็ปรากฏกลางอากาศพร้อมเสียงอันดัง


หลุมยักษ์สั่นไหวขึ้นมา อัคคีจิตวิญญาณยักษ์ที่มีขนาดสองจั้งปรากฏตัวตรงหน้าเสาผลึกที่แตกเป็นชิ้นๆ หลังจากกวาดสายตามองดูแล้ว เปลวไฟบนตัวก็ลุกไหม้อย่างรุนแรง จากนั้นก็แหงนหน้าตะโกนออกมาด้วยความโมโหอย่างถึงขีดสุด


“นิกายยอดบริสุทธิ์ ฆ่า ฆ่า……”


หลังจากมีเสียงแปลกประหลาดดังออกมา อัคคีจิตวิญญาณยักษ์ก็ตัวกระโดดขึ้น ลูกตาสีขาวทั้งคู่หมุนติ้วๆ และกวาดดูรอบด้าน


“ลงมือ!”


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็คำรามออกมาในทันที ร่างของเขาพร่ามัวออกจากม่านแสงสีม่วง ขณะเดียวกันก็สะบัดกระบี่จิตวิญญาณในมือ ทันใดนั้นมันก็กลายเป็นสายรุ้งสีฟ้าม้วนตัวออกไป


จั้งเสวียนก็เตรียมทำท่ามือด้วยมือเดียวตั้งแต่แรกแล้ว ม่านแสงสีม่วงบนตัวพุ่งขึ้นด้านบนทันที และกลับมาเป็นผ้าดิ้นสีม่วงอีกครั้ง แต่หลังจากหมุนติ้วๆ แล้ว มันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย


ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์อีกสองคนก็กระตุ้นอาวุธจิตวิญญาณเช่นกัน และต่างก็ปล่อยแท่งเหล็กสีดำกับดาบบินสีเขียวออกมา พอทำท่ามือกระตุ้น มันก็กลายเป็นพายุบ้าระห่ำสีดำกับแสงดาบขนาดใหญ่


เห็นได้ชัดว่าอัคคีจิตวิญญาณยักษ์คิดไม่ถึงว่าจะมีคนแอบจู่โจม จึงรู้สึกอึ้งเล็กน้อย


ทันใดนั้น มันก็คำรามด้วยความโมโห พอโบกมือข้างหนึ่ง ลูกไฟสีแดงอันคุโชนก็พุ่งไปรับมือสายรุ้งสีฟ้าที่เข้ามาใกล้ ขณะเดียวกันก็มันหันตัวกลับมา เปลวไฟบนตัวลุกพรึ่บกลายเป็นกำแพงอัคคี และผลักดันไปทางพายุบ้าระห่ำสีดำกับแสงดาบสีเขียว


“ตู๊ม!” ลูกไฟปะทะเข้ากับสายรุ้งสีเงิน และระเบิดออกมาเป็นแสงทรงกลดสีแดงฟ้าในทันที คลื่นอากาศอันน่าตกใจม้วนตัวไปทั่วทิศ


และพายุบ้าระห่ำสีดำกับแสงดาบสีเขียว ก็ถูกกำแพงไฟสีแดงเข้มกดดันจนเกิดเสียงดังแปลกประหลาด ทันใดนั้น ลำแสงก็มืดลงไปมาก และมีสภาพใกล้จะต้านทานไม่ไหวแล้ว


ขณะนั้นเอง มีคลื่นสั่นสะเทือนเหนือศีรษะอัคคีจิตวิญญาณยักษ์ หัวปีศาจสีม่วงปรากฏออกมา จากนั้นก็พุ่งลงมาพร้อมเสียงหัวเราะแปลกประหลาด และพร่ามัวกลายเป็นเถาวัลย์สีม่วงพันตัวอัคคีจิตวิญญาณยักษ์ไว้หลายรอบ


อัคคีจิตวิญญาณยักษ์โบกแขนเพื่อที่จะดึงเถาวัลย์สีม่วงให้หลุดออกมา แต่มันกลับขาดๆ หายๆ บนตัวของอัคคีจิตวิญญาณยักษ์ราวกับว่าเป็นสิ่งของไร้รูป จึงไม่สามารถทำอะไรมันได้


และในขณะเดียวกัน มีจุดแสงสีทองปรากฏขึ้นมาตรงเอวของอัคคีจิตวิญญาณยักษ์ จากนั้นก็พร่ามัวรวมตัวเป็นวงแหวนทองคำขนาดใหญ่ และบีบรัดเข้าไปอย่างรวดเร็ว


มันคือทรายทองคำร่วงที่หลิ่วหมิงปล่อยออกมา และกำลังทำท่ามือด้วยมือทั้งสองอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งพลังเวทใส่ของล้ำค่าชิ้นนี้


อัคคีจิตวิญญาณยักษ์ส่งเสียงร้องแปลกประหลาดออกมาทันที


ภายใต้การถูกรัดพันถึงสองชั้น มันจึงดิ้นรนอยู่ไม่หยุด ใบหน้าพร่ามัวของมันแสดงความเจ็บปวดออกมา


ทรายทองคำร่วงสมกับเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอด อานุภาพของมันแข็งแกร่งมาก ต่อให้ราชาอัคคีจิตวิญญาณตัวนี้จะมีพลังแข็งแกร่ง ก็ไม่สามารถแบกรับได้ชั่วขณะหนึ่ง


และเถาวัลย์สีม่วงก็หดขยายอย่างรวดเร็ว ประจักษ์ชัดว่าการแสดงวิชานี้ออกมา ก็ทำให้สูญเสียพลังไปไม่น้อย


กำแพงอัคคีสีแดงเข้มที่ปะทะกับพายุบ้าระห่ำสีดำและดาบยักษ์อยู่ ก็พังทลายลงมา


ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ทั้งสองเห็นเช่นนี้ ก็มองมาด้วยความดีใจ ทันใดนั้นพวกเขาก็คิดจะกระตุ้นอาวุธจิตวิญญาณ เพื่อโจมตีอัคคีจิตวิญญาณยักษ์เช่นกัน


แต่ขณะนั้นเอง มีเสียงดังก้องมาจากที่ไกลๆ เปลวไฟหลายกลุ่มปรากฏออกมา พวกมันก็คืออัคคีจิตวิญญาณทั่วไปที่ตามหลังอัคคีจิตวิญญาณยักษ์มานั่นเอง


“พวกเจ้าทั้งสองไปหน่วงเหนี่ยวอัคคีจิตวิญญาณสองตัวนั้นไว้! ข้ากับพี่จั้งจะรับมือกับอัคคีจิตวิญญาณยักษ์เอง” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ตะโกนบอกศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ทั้งสองอย่างไม่ลังเล จากนั้นก็ใช้ความสามารถหนึ่งจิตสองพลัง พอกระบี่สีฟ้าที่กระเด็นกลับมากระพริบผ่านไป มันก็กลายเป็นแสงสีฟ้าฟันไปทางหัวอัคคีจิตวิญญาณยักษ์


ขณะที่พลังเวทส่วนใหญ่กระตุ้นทรายทองคำร่วงนั้น ย่อมไม่สามารถแสดงวิชาขี่กระบี่ออกมาได้


แต่พอแสงกระบี่สีฟ้าฟันลงบนหัวอัคคีจิตวิญญาณยักษ์ กลับเกิดเสียงดัง “เต๊ง!” และแสงกระบี่ก็หยุดชะงักลง กระบี่เล็กสีฟ้ากระเด็นออกไปในทันที


ศิษย์สายนอกสองคนเห็นเช่นนี้ ก็แสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมา หลังจากสบตาทันทีหนึ่งแล้ว ก็พุ่งไปหาอัคคีจิตวิญญาณอย่างว่านอนสอนง่าย


เกิดเสียงดังตูมตามขึ้นมาทันที


ศิษย์สายนอกสองคนกำลังต่อสู้กับอัคคีจิตวิญญาณเหล่านี้


พอหลิ่วหมิงเห็นว่ากระบี่บินไม่ได้ผล สีหน้าของเขาก็เคร่งขรึมขึ้นมา จากนั้นก็กระตุ้นวงแหวนทองคำอย่างบ้าคลั่ง


จั้งเสวียนเองก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน


ขณะที่อัคคีจิตวิญญาณยักษ์เจ็บปวดจนสุดที่จะทนได้ มันกลับตะโกนออกมาในฉับพลัน และอ้าปากพ่นเปลวไฟสีแดงเลือดออกมาเป็นสายๆ โจมตีเถาวัลย์สีม่วง


ไม่รู้ว่าเปลวไฟสีแดงเลือดนี้มีที่มาอย่างไรกัน พอเถาวัลย์สีม่วงถูกเผาไหม้ มันก็สลายไปทันที


แม้ว่าวงแหวนทองคำจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอันน่าตกใจเช่นนี้ แต่ก็ไม่สามารถต้านทานการดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งของอัคคีจิตวิญญาณยักษ์ได้


เปลวไฟสีแดงเข้มลุกโชนขึ้นมาบนตัวอัคคีจิตวิญญาณยักษ์ แขนทั้งคู่โบกสะบัดอย่างบ้าคลั่งไม่กี่ที วงแหวนสีทองก็ถูกมันกางออกมา


จากนั้นมือเกรียมดำข้างหนึ่ง ก็เกือบจะคว้าวงแหวนทองคำไว้ได้


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็หรี่ตาทั้งคู่ลง มือข้างหนึ่งชี้ไปกลางอากาศอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ และตะโกนคำว่า “สลาย” ออกมา


“ตู๊ม!”


วงแหวนทองคำระเบิดตัวออกมาก่อน และสลายตัวเป็นจุดแสงสีทองพุ่งกลับไปหาหลิ่วหมิง


อัคคีจิตวิญญาณยักษ์เห็นเช่นนี้ก็อึ้งไปทันที จากนั้นเปลวไฟสีเลือดก็ลุกไหม้ในลูกตาสีขาวทั้งสอง มือทั้งคู่กำหมัดไว้แน่น และแหงนหน้าแผดเสียงแหลมและเศร้ากำสรดออกมา จากนั้นก็ก้าวยาวๆ ไปหาหลิ่วหมิงท่ามกลางเสียงดังโครมคราม


แต่ขณะนั้นเอง แสงสีม่วงก็เปล่งประกายในดวงตาของจั้งเสวียน หลังจากเขาทำท่ามือด้วยมือทั้งสองอย่างรวดเร็ว ก็มีคลื่นสั่นเหนือศีรษะอัคคีจิตวิญญาณยักษ์ หัวปีศาจสีม่วงปรากฏออกมาอีกครั้ง และกลายเป็นเถาวัลย์หมอกสีม่วงพันอัคคีจิตวิญญาณยักษ์ไว้ ทำให้ร่างขนาดมหึมาของมันหยุดชะงักลงทันที


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็รู้ว่าไม่อาจพลาดโอกาสนี้ได้ พอคว้ามือข้างหนึ่งไปกลางอากาศ กระบี่เล็กสีฟ้าก็ปรากฏออกมาจากนั้นก็สะบัดข้อมือ ปล่อยพลังเวททั้งหมดเข้าไปในกระบี่อย่างบ้าคลั่ง


เกิดเสียงดังก้องฟ้า!


เงากระบี่จำนวนมากทอประสานกันไปและพุ่งออกไปทันที พริบตาเดียวก็รวมตัวตัวกลางอากาศจนกลายเป็นเงาเขากระบี่ที่สูงเจ็ดแปดจั้ง จากนั้นก็พุ่งไปทางอัคคีจิตวิญญาณยักษ์ด้วยอานุภาพอันน่ากลัว


…………………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)