ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 487-494
ตอนที่ 487 หมาที่ถูกไล่ออกจากบ้าน
เหอปี้อวิ๋นวิ่งเข้ามาด้วยใจที่ปรารถนาเต็มเปี่ยม แต่กลับโดนคุณย่าอู่สาดน้ำเย็นใส่ไปหนึ่งกะละมัง แม้กระทั่งประตูก็ยังไม่ให้เธอเข้า ไม่ว่าเธอจะร้องไห้อ้อนวอนอย่างไร คนในตระกูลอู่แต่ละคนกลับใจแข็งเป็นหิน ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบเลยแม้แต่น้อย
เหอปี้อวิ๋นที่กำลังกลุ้มใจเห็นพวกอู่เหมย ในใจพลันแอบยิ้มดีใจ หวังพูดจาหว่านล้อมอู่เหมยเต็มที่เพื่อให้เธอพาตัวเองเข้าไป เหอปี้อวิ๋นก็ไม่ได้บื่อทึ่มขนาดนั้น ขอเพียงแค่ไม่ได้รับสิ่งยั่วยุสะเทือนใจ เธอก็ยังสามารถนึกคิดเรื่องราวได้อย่างชัดเจน
ตอนนี้อู่เหมยเป็นแก้วตาดวงใจของคุณปู่อู่และอู่เจิ้งซือ ฐานะที่ดูแคลนไม่ได้อีกต่อไป ถ้าหากอู่เหมยยอมช่วยพูดให้เธอดีๆ คุณปู่อู่กับอู่เจิ้งซือจะต้องให้เธอกลับมาแน่นอน
ส่วนอู่เหมยจะเห็นด้วยหรือไม่นั้น เหอปี้อวิ๋นไม่ได้พิจารณาเลยสักนิด สำหรับเธอแล้วอู่เหมยก็เหมือนกับเมื่อก่อน ขอเพียงแค่เธอทำสีหน้ายิ้มแย้มนิดหน่อย ยัยเด็กนี่ก็จะทำงานถวายชีวิตเลยทีเดียว ต่อให้เฉือนเนื้อของตนเองก็ยอมได้ทั้งนั้น
เพียงแต่เธอกลับไม่รู้ ว่าอู่เหมยในตอนนี้ไม่ใช่เด็กโง่ที่มีจิตใจซื่อสัตย์เหมือนเมื่อก่อนคนนั้นอีกต่อไปแล้ว!
แล้วก็ไม่สนใจความอ่อนโยนนุ่มนวลหลอกๆ ของเธอเลยแม้แต่นิดเดียว!
อู่เหมยเผชิญหน้ากับเหอปี้อวิ๋นที่กำลังเดินเข้ามาอย่างเมินเฉย ทั้งร่างแผ่รังสีของความเย็นชาไร้อารมณ์ออกมา จนอู่เชาที่อยู่ข้างๆ รู้สึกหนาวสั่น!
นี่คือแม่ลูกกันซะที่ไหน?
นี่มันเป็นคู่อริที่เกลียดชังอย่างรุนแรงและฝังลึกเข้าเส้นเลือดชัดๆ!
“อาสะใภ้รอง!”
ถึงแม้ว่าอู่เชาจะไม่ชอบเหอปี้อวิ๋น แต่ก็ยังร้องทัก ถึงอย่างไรก็ถือว่าเป็นผู้อาวุโสกว่า
อู่เหมยกลับไม่ได้ส่งเสียงอะไร ไม่แม้กระทั่งจะสนใจเหอปี้อวิ๋น เดินอ้อมผ่านเธอเดินต่อไปข้างหน้า ตอนนี้เหอปี้อวิ๋นหน้าเสียราวกับไก่ขนร่วงที่ตกเข้าไปในโคลนตม เหตุด้วยตระกูลอู่ที่สร้างชื่อเสียงจอมปลอมและเห็นแก่ตัว พวกเขาจะใจดีปล่อยให้เหอปี้อวิ๋นที่เป็นพวกจิตไม่ปกติแบบนี้อยู่ต่อไปเพื่อทำลายวงศ์ตระกูลอู่ที่สืบทอดต่อกันมาช้านานได้อย่างไรกัน?
การหย่านั้นจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนอยู่แล้ว!
ถ้าเธอเดาไม่ผิดล่ะก็ อู่เจิ้งซือน่าจะวางแผนไว้ว่ารอให้ผ่านการฉลองตรุษจีนไปก่อนค่อยจัดการเรื่องนี้ เพียงแต่เหอปี้อวิ๋นที่ยังไร้เดียงสา เชื่อจากใจจริงๆ ว่าอู่เจิ้งซือจะไปรับเธอกลับมา?
โง่จนคนอื่นเทียบไม่ติดจริงๆ!
“เหมยเหมย แกเห็นฉันแล้วทำไมไม่เรียก?” เหอปี้อวิ๋กดความโมโหที่กำลังจะเดือดดาลเอาไว้ พยายามแย้มรอยยิ้มที่อ่อนโยนออกมา
“ทำไมต้องเรียก ลูกสาวสุดที่รักของคุณก็คืออู่เยวี่ย เธอยังไม่ยอมรับแม่ที่เป็นบ้าอย่างคุณเลย ฉันที่โดนเก็บมาเลี้ยงทำไมต้องเรียก?” อู่เหมยปากก็พูดว่าไม่สนใจ แต่ไหนแต่ไรมาความแค้นในใจของเธอไม่เคยจางหายไป จนยากที่จะควบคุมได้ในเวลานี้
“แกพูดไร้สาระอะไร? ฉันต้องคลอดแกออกมาอย่างทุกข์ทรมาน ทำให้ร่างกายของฉันย่ำแย่ แม้กระทั่งลูกชายยังไม่มีปัญญาจะมี ฉันรู้อยู่แล้วว่าแกมันเป็นเด็กเนรคุณเลี้ยงไม่เชื่อง แกมันใจดำอำมหิต……”
เหอปี้อวิ๋นแสดงสีหน้าไม่ชอบใจ สาดทอคำด่าออกมาอย่างเกรี้ยวกราด บางทีเธออาจจะเป็นบ้าจริงๆก็ได้ เรื่องที่กระหน่ำเข้ามาอย่างไม่ขาดสายยั่วอารมณ์โกรธเธอขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย และอีกอย่างเธอยังมีอาการเวียนหัว คำพูดคำจาไร้เหตุผลเข้าใจยากหรือทำเรื่องอะไรที่ไม่เหมาะกับตัวเอง
อู่เหมยยิ้มเยาะซ้ำแล้วซ้ำอีก พูดขัดขึ้นมาว่า “แม่คลอดลูกชายไม่ได้แล้วมันเป็นความผิดหนูหรือไง? ในเมื่อเกลียดหนูขนาดนี้ งั้นแม่ก็แค่เดินไป หนูไม่ได้ขอให้แม่มาหาหนูสักหน่อย!”
พูดจบเธอก็ไม่สนใจเหอปี้อวิ๋นที่กำลังพูดไปสบถคำด่าไป เดินตรงเข้าไปทางประตูใหญ่ของบ้านตระกูลอู่ เหอปี้อวิ๋นรีบดึงตัวเธอเอาไว้ วันนี้เธอจะต้องพบอู่เจิ้งซือให้ได้ ถ้าไม่อย่างนั้นแม่ของเธอจะต้องไล่เธอออกจากบ้านอย่างแน่นอน
“แกห้ามไป พาฉันไปหาพ่อแก แกหยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
เหอปี้อวิ๋นตะโกนร้องอย่างบ้าคลั่ง ใบหน้าบูดเบี้ยวบึ้งตึง จ้องเขม็งไปทางอู่เหมยที่เลี่ยงออกไปด้วยความว่องไวอย่างโหดเหี้ยม
อู่เหมยมองไปทางเธออย่างเหยียดหยาม ในใจมีแต่ความสะใจ ถือเป็นการทวงคืนความเป็นธรรมให้กับตัวเองในชาติก่อนก็แล้วกัน!
“เสี่ยวเชาพาอาสะใภ้รองเข้าไป เชื่อฉันสิ!” เหอปี้อวิ๋นเปลี่ยนเป้าหมายหันไปทางอู่เชา เด็กอ้วนน้อยผู้น่าสงสารอย่าให้พูดเลยว่าคิดไปไกลมากแค่ไหน กังวลแค่เพียงว่าเธอจะโดนเขกกบาลเอาได้
“อาสะใภ้รองอย่าเข้ามา แม่ คุณย่า ช่วยผมด้วย ผมแข้งขาอ่อนจนวิ่งไม่ไหวแล้ว!”
………………………………….
ตอนที่ 488 เลือกให้สอดคล้องกับความเป็นจริง
อู่เหมยดึงอู่เชาที่หอบหายใจแรงหน้าซีดอย่างคนไร้วิญญาณวิ่งมาถึงที่ลานบ้าน มือของอู่เชาที่เปิดประตูนั้นสั่นเทาเวลาผ่านไปหลายนาทีก็ยังเล็งกุญแจไม่ตรงช่องสักที อู่เหมยโมโหเลยคว้าแย่งเอามา แล้วเปิดประตูอย่างง่ายดาย อีกทั้งยังปิดประตูใส่เหอปี้อวิ๋นที่ตามมาอยู่ด้านหลัง
”โอ๊ยแม่คุณ ตกใจหมดเลย!”
อู่เชาพอหย่อนก้นนั่งลงบนพื้น หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อที่แตกพลั่กจนเสื้อกล้ามเปียกแฉะไปหมด
“เสี่ยวเชาหลานเป็นอะไร? ไม่สบายหรือเปล่า?” คุณย่าที่กำลังห่อเกี๊ยวอยู่ในห้องครัวเดินเข้ามาอย่างเป็นห่วง ลูบหน้าผากของอู่เชา
”คุณย่า อาสะใภ้รองเธออยู่ด้านนอก เธออยากจะจับผมกับเหมยเหมย น่ากลัวมากเลย!”
อู่เชาเล่าเรื่องที่ตัวเองพึ่งเจอมาอย่างน่าสงสาร คนที่เป็นโรคประสาทตอนที่แสดงอาการออกมาน่ากลัวมากจริงๆ เดี๋ยวจะต้องกินเกี๊ยวเข้าไปให้เยอะๆ เพื่อเป็นการปลอบขวัญสักหน่อย!
คุณย่าอู่พอได้ฟังว่าเหอปี้อวิ๋นทำให้หลานชายสุดที่รักของเธอเสียขวัญ จึงหยิบไม้นวดแป้งหมี่ออกมาจากในห้องครัว ตรงไปเปิดประตู เหอปี้อวิ๋นที่กำลังเลว่าจะรอต่อไปดีไหม เงยหน้าขึ้นมาอย่างดีใจ ยังไม่ทันสิ้นคำว่า’แม่’ ไม้นวดแป้งหมี่ก็ทุบลงมาที่หัวและหน้าดังโครม!
“เหอปี้อวิ๋นถ้าแกอยากจะเป็นบ้าก็ไปเป็นบ้าที่บ้านตัวเองนู่น อย่ามาขายขี้หน้าที่หน้าประตูตระกูลอู่ของพวกฉัน รีบไสหัวไปซะ!”
คุณย่าอู่ชูไม้นวดแป้งหมี่โบกไปมาอย่างป่าเถื่อน เหมือนผู้มีฝีมือแห่งยุคก็ไม่ปาน เหอปี้อวิ๋นอยู่ต่อหน้าเธอก็ไม่ได้โต้ตอบกลับไปเลยแม้แต่นิด โดยมีอู่เหมยยืนมองด้วยความคับแค้นใจ
เหอปี้อวิ๋นก็มีวันนี้เหมือนกัน!
“แม่อย่าตีอีกเลย ฉันไม่ได้เป็นบ้า ฉันก็แค่อยากจะมาดูเยวี่ยเยวี่ยกับพวกคุณ ฉันสำนึกผิดแล้ว ขอร้องพวกคุณให้โอกาสฉันได้แก้ไขเถอะนะ!”
เหอปี้อวิ๋นสูดปากร้องด้วยความเจ็บไม่หยุด คับแค้นอยู่ในใจ แม้กระทั่งแม่ของเธอยังไม่เคยตีเธอแบบนี้เลย แต่เธอรู้ดีว่าต่อให้วันนี้คุณย่าอู่หยิบมีดมาแทงเธอ เธอก็ต้องอดทน ไม่อย่างนั้นเธอก็จะไม่ได้กลับมา!
“เธอเรียกใครแม่? ฉันไม่มีลูกสะใภ้แบบนี้หรอกนะ เยวี่ยเยวี่ยดีมาก นับว่าเธอโชคดี ที่ไม่โดนแกทุบจนตายไป แกรีบไสหัวไปเลยนะ ไสหัวกลับตระกูลเหอของพวกแกไปนู่น!”
คุณย่าอู่มองเหอปี้อวิ๋นตรงหน้าที่น้ำหูน้ำตาไหลไม่หยุดโดยไม่สงสารสักนิด เธอก็เหมือนกับลูกสาวอู่เจิ้งหง ที่ไม่พอใจเหอปี้อวิ๋นเป็นอย่างมากมองแล้วขัดหูขัดตา แต่วันนี้มีข้ออ้างที่ดีขนาดนี้ ถ้าเธอปล่อยเหอปี้อวิ๋นไปสิถึงจะแปลก!
เพียงแต่ไม่ว่าคุณย่าอู่จะทำร้ายทุบตีอย่างไร เหอปี้อวิ๋นก็ไม่ยอมที่จะจากไป เธอค่อยๆ คุกเข่าลงไป โดนด่าเท่าไหร่ก็ไม่ด่ากลับ โดนตีก็ไม่โต้ตอบ ราวกับเด็กผู้หญิงที่ถูกนำมาเลี้ยงเพื่อให้แต่งเป็นสะใภ้บ้านอื่นยังไงอย่างนั้น
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตระกูลอู่ตอนนี้ ได้สร้างความรบกวนกับเพื่อนบ้านรอบข้าง เพื่อนบ้านพวกนี้ไม่ใช่แค่คนปกติธรรมดาทั่วไป ทุกๆ คนต่างก็เป็นพวกศาสตราจารย์ที่มีคุณธรรมและบารมีสูง จึงทำให้คุณปู่อู่ตัดสินใจในเวลานั้นทันที “เอาเหอปี้อวิ๋นเข้ามา”
ขื่อเสียงตระกูลอู่ของเขาจะไม่ให้ผู้หญิงคนนี้ทำลาย!
ในที่สุดเหอปี้อวิ๋นก็ได้เข้ามาในห้องตามความปรารถนา แต่ร่างกายกลับเต็มไปด้วยรอยแผล เจ็บจนต้องสูดปาก คิดอยู่ในใจว่าวันหลังมีโอกาสค่อยตอบแทนคืนคุณย่าอู่อย่างสาสม ตอนนี้ทำได้เพียงแค่อดทนไว้ก่อน
อู่เจิ้งซือไม่อยู่บ้าน ที่ปิดเทอมคือนักเรียน อาจารย์ยังมีงานอีกมากมายให้ทำ โดยทั่วไปก็จะยุ่งถึงวันที่ยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปด
แต่อู่เยวี่ยนั้นอยู่บ้าน เหอปี้อวิ๋นมองใบหน้าที่ซีดเซียวของลูกสาวสุดที่รักด้วยความเจ็บปวดใจ ไม่ได้เห็นหลายวัน เยวี่ยเยวี่ยผอมลงไปมาก จะต้องไม่ได้กินดีแน่นอน จะยังมีใครที่สามารถดูแลใส่ใจห่วงใยเยวี่ยเยวี่ยอย่างดีเหมือนเธอได้อีก!
“เยวี่ยเยวี่ย หัวของลูกยังเจ็บอยู่หรือเปล่า?”
อู่เยวี่ยเงยหน้ามองเหอปี้อวิ๋นอย่างเงียบๆ ในใจมีหลากหลายความรู้สึกผสมปนเปกันไปหมด ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าตัวเธอเองอีกแล้ว ว่าที่เธอได้รับบาดเจ็บนั้นเกิดขึ้นได้ยังไง และเธอก็จะไม่พูดความจริงออกมา
เพราะข้อเท็จจริงแบบนี้มีประโยชน์ต่อเธอมากกว่า!
ถึงอย่างไรแม่ก็ซวยโดนทำลายชื่อเสียงไปมากขนาดนั้นแล้ว จะเสียชื่อมากขึ้นอีกเรื่องก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร!
“ยังดีค่ะ ไม่ได้เจ็บอะไรมากแล้ว!” อู่เยวี่ยพูดเบาๆ บนหน้าไม่ได้แสดงออกถึงความรู้สึกอะไร
เหอปี้อวิ๋นใจเจ็บราวกับโดนมีดแทง เยวี่ยเยวี่ยยังโกรธเธออยู่แน่นอน!
วันนั้นเธอทำไมถึงได้พลาดพลั้งลงมือไป ทุบลงบนหัวของเยวี่ยเยวี่ยได้นะ?
…………………………………………..
ตอนที่ 489 วางแผนไว้ล่วงหน้า
เหอปี้อวิ๋นมองรอยถลอกสีน้ำตาลเท่าเหรียญบนหน้าผากของอู่เยวี่ย ทั้งเจ็บปวดใจทั้งเสียใจและโกรธเกลียดตัวเอง เธอก้าวไปข้างหน้าหลายก้าว ยื่นมือออกไปคิดจะลูบบาดแผลของอู่เยวี่ย
อู่เยวี่ยกลับก้าวถอยหลังไปหลายก้าว รักษาระยะห่างจากเหอปี้อวิ๋นเอาไว้ การกระทำของเธอทำให้เหอปี้อวิ๋นเจ็บปวดอีกครั้ง มองอู่เยวี่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา
ไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่วัน ทำไมเยวี่ยเยวี่ยกลับทำเหมือนเธอเป็นคนอื่นไกลไปแล้วล่ะ?
อันที่จริงแล้วในใจของอู่เยวี่ยก็รู้สึกไม่ดี เธอยังมีความรักความผูกพันกับเหอปี้อวิ๋นอยู่ ถึงอย่างไรตั้งแต่เล็กแม่ก็รักและห่วงใยเธอเหมือนกับแก้วตาดวงใจ เธอก็ไม่ใช่คนเลือดเย็นเหี้ยมโหดอะไร
แต่ใครให้เหอปี้อวิ๋นยอมเป็นผู้แพ้ขนาดนั้นล่ะ!
ไพ่ดีๆ โดนเธอเล่นมั่วซั่วเละเทะไปหมดแล้ว แถมยังทำให้เธอต้องติดร่างแหตกเป็นที่ต้องสงสัยว่าเป็นโรคประสาทด้วยอีก ยังไม่รู้ว่าวันหน้าจะต้องเปลืองสมองเท่าไรถึงจะล้างข้อกล่าวหานี้ออกไปได้อย่างสะอาด!
เวลาสั้นๆ แค่ครึ่งปีอู่เยวี่ยก็พาตัวเองไปอยู่ในสังคมที่หัวสูงได้เป็นอย่างดี ไม่ใช่สาวน้อยที่มีความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาอยู่บ้างเหมือนแต่ก่อน เธอรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ตัวเองต้องการที่สุด
ถึงแม้ว่าเหอปี้อวิ๋นจะดีต่อเธอ แต่สำหรับเธอไม่ได้มีประโยชน์เลยแม้แต่นิดเดียว จนถึงกับยังทำให้ตัวเองเดือดร้อนอีก ตระกูลเหอยิ่งไม่ต้องหวัง แรงจะให้ช่วยแม้สักนิดก็ไม่มี
ตระกูลอู่กลับไม่เหมือนกัน ขอเพียงแค่เธอเป็นเด็กดีเชื่อฟัง ทำตัวดีๆ หน่อย คุณปู่คุณลุงคุณพ่อพวกเขาจะต้องดูแลใส่ใจไม่ละเลยเธออย่างแน่นอน อีกทั้งถ้าเธอมีชีวิตที่ไม่ดี ก็จะทำให้ตระกูลอู่ขายขี้หน้าแน่นอน!
ดังนั้นเพื่ออนาคตของเธอ เธอจำเป็นต้องเลือก ถ้าไม่อย่างนั้นในวันข้างหน้าตอนที่อู่เจิ้งซือหย่ากับเหอปี้อวิ๋น มีความเป็นไปได้สูงมากที่ผู้พิพากษาจะตัดสินให้อยู่กับแม่ ไปอยู่ตระกูลเหอที่บ้านนอกนั่น
ถึงแม้ว่าต่างก็อยู่ในจินซื่อเหมือนกัน แต่อีกที่หนึ่งอยู่ชานเมือง อีกที่กลับอยู่ในใจกลางเมือง สองที่เทียบกันไม่ได้อย่างสิ้นเชิง เธอจะไม่ไปอยู่ตระกูลเหออน่างแน่นอน!
ตอนนี้แม่อาจจะยังคิดไม่ได้ วันหลังแม่จะต้องเข้าใจเธอแน่นอน
อู่เยวี่ยสมแล้วที่มีสายเลือดของตระกูลอู่ ความเห็นแก่ตัวเย็นชาไม่แยแสคนอื่นสะท้อนให้เห็นอย่างเด่นชัดในตัวของเธอ เหอปี้อวิ๋นปฎิบัติต่อเธออย่างจริงใจจริงๆ เพียงแต่เสียดายความจริงใจนี้กลับมีให้กับนังจิ้งจอกเนรคุณตัวหนึ่ง
คุณย่าอู่พอใจกับท่าทางการแสดงออกของอู่เยวี่ยเป็นอย่างมาก หลานสาวคนโตรู้จักคิดเป็นที่สุด รู้ว่าใครดีกับเธอ เธอมองเหอปี้อวิ๋นอย่างรังเกียจ พูดกับคุณปู่อู่ว่า “โทรศัพท์ไปหาคนตระกูลเหอ บอกให้รับเอานังขายขี้หน้าไร้ยางอายนี่กลับไป!”
เหอปี้อวิ๋นอ้อนวอนไม่หยุด คุกเข่าลงบนพื้นอีกครั้ง แต่คนที่เธอเผชิญหน้าคือคนตระกูลอู่ คนพวกนี้จะสนใจการร้องไห้อ้อนวอนของเธอได้อย่างไรกัน?
คุณปู่อู่โทรศัพท์ไป รออยู่นานคุณตาเหอวิ่งกระหืดกระหอบมารับโทรศัพท์ บ้านตระกูลเหอไม่มีโทรศัพท์ โทรศัพท์จะสามารถโทรมาถึงแค่ตรงร้านขายของเล็กๆที่ตรอกทางเดิน ไปมาก็ใช้เวลาหลายนาที
คุณตาเหอพอได้ยินว่าครอบครัวที่ลูกสาวแต่งไปนั้นไม่มีความเกรงใจเลยแม้แต่น้อย หน้าแก่ๆก็แดงก่ำขึ้นมา เขาเป็นผู้ชายที่ขี้ขลาดอ่อนแอเห็นแก่ตัวและไม่มีความคิดเลยแม้แต่น้อย แถมยังไม่ถนัดเรื่องคำพูด ทำได้เพียงแค่ตอบไหลไปตามน้ำ ไม่กล้าโต้แย้งคุณปู่อู่แม้แต่ครึ่งประโยค
คุณปู่อู่เป็นศาตราจารย์มหาวิทยาลัยที่สง่าผ่าเผย ในสายตาของเขาก็เหมือนภูเขาสูงที่น่าเลื่อมใสที่ยังคงดำรงอยู่ก็ไม่ปาน ไหนเลยที่เขาจะใจกล้าโต้เถียงกับศาตราจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ได้ เพียงแต่เกลียดลูกสาวตัวเองที่ไม่ยอมสู้เพื่อเกียรติยศของตัวเอง วางสายอย่างบูดบึ้งกลับบ้านไป
“ใครโทรมา? เป็นพี่น้องของคุณให้ส่งเงินกลับไปให้อีกแล้วเหรอ? ฉับบอกไว้เลยนะ แม้แต่หยวนเดียวก็ไม่ให้ฝากส่งไป!”
คุณยายเหอที่เป็นห่วงลูกสาวเริ่มโมโห ชี้ไปที่ตาแก่สามีของตัวเองด่ายกใหญ่ คุณตาเหอที่กำลังหงุดหงิดจึงพูดเรื่องที่ครอบครัวฝั่งสามีให้เขาไปพาตัวเหอปี้อวิ๋นกลับบ้านพูดออกไป คุณยายเหอตะลึงไปพักใหญ่ อารมณ์โมโหก็ยิ่งเพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว!
ต่างก็เป็นพวกขี้แพ้ไม่มีสมองไม่มีความสามารถทั้งหมด!
ไม่มีใครมีอนาคตสักคน!
คุณยายเหอด่าออกมาอย่างรุนแรง แน่นอนว่าเธอไม่สามารถไม่สนใจลูกสาวได้จริงๆ รอลูกชายเลิกงานก็จะให้น้องชายของเหอปี้อวิ๋น เหอปี้สือขี่จักรยานรีบพาเธอเข้าไปในเมือง
เธอต้องพูดคุยเหตุผลกับตระกูลอู่ดีๆ ว่ามีสิทธิ์อะไรมาไล่ลูกสาวเธอไปเช่นนี้ !
…………………………………………..
ตอนที่ 490 เหยียบซ้ำอีกครั้ง
อู่เจิ้งซือเลิกงานกลับมาเห็นสภาพที่น่าเวทนาของเหอปี้อวิ๋น ก็ขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ผมเผ้าที่ยุ่งเหยิง ใส่เสื้อผ้าแบบลวกๆ เหอปี้อวิ๋นในสภาพที่สกปรกไม่เป็นระเบียบ ไม่สามารถกระตุ้นความเห็นอกเห็นใจจากอู่เจิ้งซือได้เลยแม้แต่น้อย ทั้งหมดที่เขามีก็คือความรังเกียจ!
ยิ่งกลับรู้สึกเสียใจที่เมื่อก่อนเขาตามืดบอด ทำไมถึงได้ใช้ชีวิตกับคนแบบนี้ได้สิบกว่าปี?
ซินหย่าดีกว่าเธอร้อยเท่าพันเท่าหมื่นเท่า!
คนในตระกูลอู่นั่งล้อมวงกินข้าวเย็นด้วยกัน ผักจี่ไฉ่ไส้หมู ผักจี่ไฉ่บ่มเพาะในห้องที่มีอากาศอุ่น สดใหม่อ่อนนุ่ม ถึงแม้ว่ากลิ่นหอมตามธรรมชาติจะน้อยไปหน่อย แต่พอห่อออกมาเป็นเกี๊ยวก็หอมฟุ้งดูน่ากิน แม้กระทั่งอู่เหมยยังกินไปตั้งสิบกว่าชิ้น
ถึงแม้ว่าคุณย่าอู่จะไม่ใช่คนดีอะไร แต่เธอทำอาหารถือว่าใส่วัตถุดิบอย่างไม่เสียดาย ผักน้อยเนื้อเยอะๆ แน่นอนว่าเกี๊ยวก็ส่งกลิ่นหอมอร่อยมากด้วย!
เหอปี้อวิ๋นก็ได้เกี๊ยวมาชามหนึ่งจากเว่ยชิวเยวี่ย คุณปู่อู่กับอู่เจิ้งหงไม่ได้สนใจว่าเธอจะมีหรือไม่มีกินแต่อย่างใด และตอนนี้ก็ไม่ได้อยู่ข้างนอกอีกด้วย ใครจะไปอดทนเปลืองแรงกายแรงใจเพื่อภาพลักษณ์เปลืกนอกกันล่ะ
“เหมยเหมยกินเยอะหน่อย กินอิ่มถึงจะมีแรง งานกลางคืนเทศกาลตรุษจีนพรุ่งนี้พวกเราทั้งบ้านจะไปที่งานแสดงให้กำลังใจเหมยเหมยนะ”
เป็นครั้งแรกในรอบพันปีที่คุณปู่อู่คีบอาหารให้หลานๆ แสดงให้เห็นว่าสถานะของอู่เหมยสำหรับเขาสำคัญขึ้นแล้ว!
“ขอบคุณค่ะคุณปู่ หนูจะเต้นให้ดีที่สุดเพื่อนำเกียรติยศมาสู่วงศ์ตระกูลอู่ค่ะ เพียงแต่ว่า…พี่สาวไม่ต้องไปจะดีกว่า!”
อู่เหมยหยุดชะงัก ชำเลืองมองไปทางอู่เยวี่ยแวบหนึ่ง คิดว่าทำท่าทางน่าสงสารแล้วเธอก็จะออมมือให้หรือยังไง?
จะเป็นไปได้อย่างไรกัน?
ต่อให้โดนคนเป็นพันย่ำคนเป็นเป็นหมื่นเหยียบ เธอก็จะซ้ำเติมซ้ำไปอีก!
ตระกูลอู่ทุกคนต่างก็ชะงักงันกันไปหมด ไม่เข้าใจว่าทำไมอู่เหมยถึงพูดแบบนี้ แต่เว่ยชิวเยวี่ยกลับรู้ดีอยู่แก่ใจ ยิ้มเบาๆ พูดด้วยเสียงเบาให้อู่เชากินช้าลงหน่อย แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
อู่เจิ้งหงกลับไม่ฉลาดเฉียบแหลมเท่าเว่ยชิวเยวี่ย เธอโพล่งออกมาว่า “ก็ใช่น่ะสิ หากว่าเยวี่ยเยวี่ยไปแล้วเป็นบ้าอีกครั้ง ไปหว่านตะปูหรือเอาอะไรใส่ในรองเท้าของเหมยเหมย การแสดงของเหมยเหมยก็คงคว้าน้ำเหลวมาอีก ถึงตอนนั้นพวกเราตระกูลอู่คงโดนคนหัวเราะเยาะจนฟันหักจริงๆ แล้ว!”
อู่เหมยมองป้าของตัวเองอย่างชมเชย อู่เจิ้งหงที่นิสัยสำรวมขึ้นยิ่งมองยิ่งน่ารักจริงๆ ถูกชะตากว่าเหอปี้อวิ๋นเป็นไหนๆ!
อู่เยวี่ยหน้าซีดขาว อู่เจิ้งหงจิ้มไปตรงกลางความคิดด้านมืดของเธอ เธอยอมรับว่าเคยมีความคิดที่จะทำลายการแสดงในงานกลางคืนเทศกาลตรุษจีน แน่นอนว่าไม่ใช่การหว่านตะปู กลอุบายแบบเดิมเธอไม่สามารถใช้เป็นรอบที่สองได้
เธอมีวิธีการจัดการทางอื่นเป็นของตัวเอง ถึงอย่างไรก็จะไม่อนุญาตให้อู่เหมยได้โดดเด่นออกหน้าออกตาบนเวทีในงานค่ำคืนเทศกาลตรุษจีนได้อย่างเด็ดขาด!
ความอิจฉาริษยาปิดบังความจริงในหัวใจของอู่เยวี่ยไปทั้งหมด เธอคิดแค่อยากจะทำร้ายอู่เหมยให้ไม่สามารถขึ้นแสดงได้ ไม่ได้นึกถึงผลลัพธ์หากแผนการถูกเปิดโปงแม้แต่น้อย ไม่ว่าอย่างไรก็ตามอู่เจิ้งซือก็ไม่มีทางที่จะไม่สนใจไม่ดูแลเธอได้หรอก ครั้งที่แล้วตอนหว่านตะปู ก็ไม่ใช่ว่าเรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็ก แล้วเรื่องเล็กก็กลายเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ใช่หรอ?
อู่เยวี่ยที่ทำร้ายคนครั้งแรกกลับไม่ได้รับการลงโทษอะไร นี่ทำให้เธอกล้าเข้าไปใหญ่ เธอประเมินถึงความอดทนอดกลั้นของอู่เจิ้งซือที่มีต่อเธอได้อย่างแม่นยำ และใช้จุดนี้ให้เป็นประโยชน์อย่างเต็มที่
“คุณป้าทำไมคุณป้าถึงได้พูดแบบนี้? ครั้งที่แล้วหนูโดนครอบงำทางจิตใจทำให้ทำเรื่องไม่ดีไป พ่อก็ลงโทษหนูแล้ว อีกทั้งตอนนี้หนูก็คิดได้แล้ว เหมยเหมยสามารถขึ้นแสดงได้ ก็เป็นเกียรติยศแก่ตระกูลอู่ของพวกเรา หนูก็เป็นคนตระกูลอู่ จะทำเรื่องโง่ๆ อีกได้ยังไง?”
อู่เยวี่ยน้ำตาคลออย่างรู้สึกน้อยใจ เหอปี้อวิ๋นที่อยู่อีกด้านหนึ่งปวดใจเป็นอย่างมาก แต่ในเวลานี้เธอยังเอาตัวเองไม่รอดเลย ไหนเลยจะกล้าออกเสียง ทำได้เพียงแต่หันไปถลึงตามองอู่เจิ้งหงด้วยความโกรธ
คุณย่าอู่จ้องเขม็งไปที่ลูกสาว อู่เจิ้งหงเบะปากใส่ กินเกี๊ยวต่อ รู้สึกโกรธอยู่เต็มอกกับความลำเอียงของแม่ตัวเอง ในใจคิดอยู่ว่าหากวันไหนออกไปข้างนอกจะไปประกาศให้ทุกคนรู้เรื่องแทนอู่เยวี่ยถึงจะดี!
คุณปู่อู่ไตร่ตรองอยู่ครู่ใหญ่ ก็พูดอย่างช้าๆ ว่า “อย่างนี้แล้วกัน พรุ่งนี้เยวี่ยเยวี่ยก็อยู่ที่บ้าน ไม่อนุญาตให้ไปโรงละคร”
”ตาเฒ่า!” คุณย่าอู่ตะโกนอย่างไม่พอใจ คุณปู่โบกมือไม่อนุญาตให้เธอพูดอะไรโดยสิ้นเชิง
อู่เยวี่ยกัดริมฝีปากทำท่าฟึดฟัด ในใจเจ็บปวด แต่ทำให้เธอตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวขึ้นกว่าเดิม!
…………………………………………..
ตอนที่ 491 เยี่ยมเยียนบ้านตระกูลสยง
เหยียนหมิงซุ่นกับโม่เหวินต้งนำสมบัติที่ได้รับมานำไปซ่อนในห้องลับจัดอย่างเป็นระเบียบ แล้วก็เตรียมตัวกลับบ้าน โม้เหวินต้งพูดจาอึกอักมองเขาซ้ำแล้วซ้ำอีก สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร
เรื่องที่ไม่ค่อยเที่ยงตรงโปร่งใสอย่างกระสอบใบนี้ ไม่ให้หลานชายรู้จะดีกว่า หลานชายเป็นคนใจกว้างเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ อย่าให้เรื่องพวกนี้ทำให้สายตาของเขาต้องแปดเปื้อนเลย
โม่ถงจื้อ นายรู้หรือไม่ว่าหลานชายของนายที่ใจกว้างและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่รู้ว่าการปีนกำแพงลื่นมากขนาดไหน!
เหยียนหมิงซุ่นรีบกลับบ้าน ไม่ได้สนใจท่าทางที่ไม่ปกติของลุงเล็ก เขาอยากจะรีบกลับไปมากๆ เพื่อเอาหยกรูปพระ ไปให้กับอู่เหมย แล้วแวะบ้านตระกูลสยงสักหน่อย เขาจะต้องพูดคุยกับเหยียนซินหย่าให้รู้เรื่อง โดยยังไม่บอกกับอู่เหมยก่อนเพื่อเธอจะได้ไม่ดีใจเก้อ
เขาเพิ่งจะถึงบ้าน ก็ได้ยินคุณยายหยางพูดกับเขาว่า อู่เหมยแวะมาหาเขาอยู่รอบหนึ่ง เหยียนหมิงซุ่นรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง การไปภาคใต้ครั้งนี้ก็เป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบเท่านั้น ยังไม่ทันได้พูดคุยอะไรกับอู่เหมย เขายังรับปากไปอีกว่าจะพาเจ้าเด็กนี่ไปหาหมอฟัน!
“ผมจะไปบ้านอาจารย์อู่สักหน่อยถามว่ามีเรื่องอะไร”
เหยียนหมิงซุ่นไม่สนใจที่จะกินข้าวก็ทำท่าจะออกไปแล้ว ทำให้คุณยายหยางต้องขวางเอาไว้
“บ้านตระกูลอู่ตอนนี้ไม่มีคนอยู่เลย ไปอยู่กันที่บ้านพ่อแม่ของอาจารย์อู่ของหลานทางนู่นหมดแล้ว ในบ้านปิดไฟมืดไปหมด หลานจะไปทำอะไร?”
เหยียนหมิงซุ่นขมวดคิ้วเบาๆ ถอยหลังกลับเข้ามา หางตาเห็นเหยียนหมิงต๋าที่มีท่าทางหมดอาลัยตายอยากอยู่อีกด้านแวบหนึ่ง ท่าทางเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนที่ร่าเริงสดใส สีหน้ามัวหมอง เต็มไปด้วยเรื่องที่รบกวนจิตใจ
คิ้วของเขายิ่งขมวดหนักเข้าไปใหญ่ สำหรับเหยียนหมิงต๋าที่อ่อนแอไม่พยายาม เขารู้สึกไม่พอใจและหวังอย่างแรงกล้าว่าเหยียนหมิงต๋าจะปรับปรุงตัว ตั้งแต่เขาออกจากประตูไปเหยียนหมิงต๋าก็เป็นแบบนี้ ผ่านไปสิบกว่าวันได้แล้ว เจ้าหนุ่มน้อยนี่ก็ยังมีท่าทางราวกับผี ช่างไม่มีอนาคตเสียจริงๆ!
ครั้งที่แล้วถานซูฟางไปอาละวาดที่บ้านตระกูลอู่ยกใหญ่ ก่อให้เกิดคดีนองเลือดที่บ้านตระกูลอู่อีกครั้ง อีกทั้งเป็นการยืนยันเรื่องที่เหอปี้อวิ๋นสองแม่ลูกเป็นโรคประสาท ถึงแม้คนจะพูดถึงอู่เหมยน้อย ทุกคนนั้นหวั่นเกรงจ้าวอิงหนาน แต่ภายในใจมองว่าอู่เหมยเป็นโรคประสาทอีกคนด้วยอย่างแน่นอน
หน่ำซ้ำอู่เยวี่ยที่ไม่มีจ้าวอิงหนานคอยปกป้องยิ่งไม่ต้องพูดถึง ชื่อเสียงเน่าฉาวโฉ่ไปไกล นักเรียนดีเด่นที่ใครเห็นใครก็ชื่นชมในอดีต ตอนนี้กลับเป็นใครเห็นใครก็รังเกียจ ถอยออกอยู่ห่างๆ
เหยียนหมิงต๋าแน่นอนว่าไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ ในสายตาของเขาอู่เยวี่ยตรงไหนก็ดีไปหมด พวกที่ใส่ร้ายป้ายสีอู่เยวี่ยพวกนั้นต่างก็เป็นคนเลว และคนที่เป็นต้นเหตุก่อให้เกิดทุกสิ่งทุกอย่างนี้ เขากลับไม่มีปัญญาที่จะไปตำหนิกล่าวว่า
เพราะว่านั่นเป็นแม่แท้ๆ ของเขา!
ที่ทำให้เหยียนหมิงต๋าเสียใจเป็นทุกข์ที่สุดก็คือ ตอนนี้อู่เยวี่ยไม่สนใจเขาอีกต่อไปแล้ว พอเห็นเขาก็จะหลบเลี่ยงถอยออกห่าง ไม่มีแม้แต่คำทักทาย ทำให้ความรักของเหยียนหมิงต๋าต้องเจ็บปวดหัวใจแตกสลาย จึงทำให้ไม่พอใจถานซูฟางมากยิ่งขึ้นไปอีก
อยู่ข้างนอกได้รับการปฎิบัติอย่างเย็นชาจากอู่เยวี่ย ญาติพี่น้องในบ้านก็ยังต่อว่าเขา เอาเรื่องเงินค่าขนมมาข่มขู่เขา เหยียนหมิงต๋าไหนเลยจะร่าเริงสดใสขึ้นมาได้?
เหยียนหมิงซุ่นเบื่อที่จะสนใจน้องชายที่โง่เขลาเหมือนหมูก็ไม่ปานคนนี้ เวลาเป็นยารักษาบาดแผลได้ดีที่สุด รอเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง เหยียนหมิงต๋าก็จะตัดอู่เยวี่ยได้เอง!
เพียงแต่เขาประเมินความรักความลุ่มหลงของน้องชายตัวเองต่ำเกินไป และประเมินความรู้สึกละอายใจของอู่เยวี่ยสูงเกินไป คู่นี้ถูกกำหนดมาแล้วว่าตัดกันไม่ขาดไม่สามารถแยกจากกันได้และเป็นไปไม่ได้ที่จะกำจัด!
เหยียนหมิงซุ่นกินข้าวเสร็จ ก็อาบน้ำอีกครั้ง แต่งตัวเรียบร้อยตรงไปยังบ้านตระกูลสยง เขามีเหตุผลที่ดีและบริสุทธิ์ใจ
ครอบครัวตระกูลสยงก็เพิ่งจะกินข้าวเสร็จ เหยียนซินหย่าพักผ่อนตลอดทั้งบ่าย ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาเป็นกอง นั่งดูโทรทัศน์รวมทั้งนั่งพูดคุยเรื่องราวชีวิตประจำวันของครอบครัวกับจ้าวอิงหนาน จ้าวอิงหัวก็พูดคุยเรื่องราวการทำงานกับพ่อสยง จ้าวเสวียหลินและสยงมู่มู่ก็กำลังเล่นหมากรุก ในห้องที่อบอุ่นก็เต็มไปด้วยความอบอุ่นทุกพื้นที่
‘ก๊อกๆ’
จ้าวอิงหนานรีบวิ่งมาเปิดประตู เห็นเหยียนหมิงซุ่นก็ชะงักงัน หัวเราะทักทายแล้วก็ให้เขาเข้าข้างใน แนะนำให้กับจ้าวอิงหัวคู่สามีภรรยา “พี่ชายเล็ก พี่สะใภ้เล็ก นี่เป็นนักเรียนของฉันเหยียนหมิงซุ่น คุณหมอมือหนึ่งด้านนรีเวชคนนั้นก็เป็นเขานี่แหละที่แนะนำมา”
…………………………………………..
ตอนที่ 492 คุณชื่อเหยียนซินหย่าใช่หรือไม่
จ้าวอิงหัวมองแค่ปราดเดียวก็จำได้ว่าเหยียนหมิงซุ่นคือหนุ่มน้อยที่อยู่บนรถไฟ แววตาประกายเล็กน้อย ยิ้มเดินเข้ามาจับมือกับเขา ค่อนข้างเป็นทางการอย่างเห็นได้ชัด
อย่างไรก็ตามการจับมือนับว่าเป็นมารยาทโดยทั่วไประหว่างผู้ใหญ่ แม้เหยียนหมิงซุ่นยังเป็นเพียงแค่เด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ แต่จ้าวอิงหัวไม่อยากประเมินหรือดูหมิ่นหนุ่มน้อยคนนี้ เพราะเขาเห็นตัวเองเมื่อยี่สิบปีก่อนในตัวของเหยียนหมิงซุ่น
เพียงแต่เขากลับไม่ค่อยชอบเหยียนหมิงซุ่น เขามักจะทำตัวลับๆ ล่อๆ อยู่เสมอ อีกทั้งจิตใต้สำนึกอยากจะกีดกันตัวเขาออกไป ไม่รู้เหมือนกันว่าด้วยเหตุผลอะไร
“ช่างบังเอิญจริงๆ เพิ่งจะแยกกันช่วงบ่ายนี่เอง พวกเราก็เจอกันอีกแล้ว!” จ้าวอิงหัวพูดพลางยิ้มน้อยๆ
เหยียนหมิงซุ่นจับมือกับจ้าวอิงหัว ไม่ประจบเอาใจ ไม่ทำตัวสูงส่งแต่ก็ไม่ต่ำต้อย แล้วก็พูดยิ้มๆ ว่า “โลกมันก็เล็กแบบนี้แหละครับ ผมก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่าคุณจะเป็นพี่ชายของอาจารย์จ้าว กำลังคิดอยู่ว่าจะมาถามอาจารย์จ้าวว่าเมื่อไรจะไปตรวจ!”
จ้าวอิงหนานฟังอย่างสับสนมึนงง เหยียนซินหย่าก็เลยอธิบายเรื่องการบังเอิญพบกันบนรถไฟให้เธอฟัง เธอกลับรู้สึกตรงกันข้ามกับสามี เธอชอบเหยียนหมิงซุ่นมากๆ เรียกเขาให้นั่งลงมาพูดคุยกัน
เหยียนหมิงซุ่นพูดอย่างเกรงใจอยู่หลายประโยค นัดแนะเวลาที่จะไปตรวจกับจ้าวอิงหัว เดิมทีจ้าวอิงหัวอยากจะไปพรุ่งนี้ เหยียนซินหย่ากลับไม่ยอม “พรุ่งนี้ฉันอยากจะไปดูการแสดงของลูกบุญธรรมกับจ้าวอิงหนานด้วยกัน วันมะรืนก็แล้วกัน ถึงอย่างไรฉันก็ไม่ได้เป็นโรคร้ายแรงต้องได้รับการรักษาอย่างฉุกเฉินอะไร ช้าไปวันสองวันก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร”
จ้าวอิงหนานพูดยิ้มๆ ว่า “พี่เล็กพี่ก็ไปดูด้วยกันสิ เหมยเหมยของฉันเต้นรำได้สวยมากจริงๆ ถ้าพี่ไม่ไปดูจะเสียใจภายหลังแน่นอน”
จ้าวอิงหัวลังเลตัดสินใจไม่ได้ เขาไม่ค่อยไว้วางใจกับสุขภาพร่างกายของภรรยา จึงจำเป็นต้องไปด้วย แต่โรงละครวันนั้นเจ้าหน้าที่พนักงานของหน่วยงานรัฐบาลคงไปกันไม่น้อยแน่นอน ถ้าพบเจอกันคงต้องทักทาย เขาไม่อยากจะถ่อมตัวและทำตัวเสแสร้งก่อนเข้าดำรงตำแหน่งกับคนพวกนั้นเลยจริงๆ
เหยียนหมิงซุ่นได้ยินคำว่าเหมยเหมย ก็มองเหยียนซินหย่าอย่างอดไม่ได้อีกครั้ง สีหน้าดูดีกว่าตอนกลางวันเยอะมาก เวลาที่ใบหน้ามีแต่รอยยิ้มนั้น ยิ่งเหมือนกับอู่เหมยมากเข้าไปอีก
ขออภัยต่อความบุ่มบ่ามของผม แต่ว่าคุณน้าครับชื่อของคุณใช่เหยียนซินหย่าหรือไม่ครับ?” เหยียนหมิงซุ่นถามอย่างอดไม่ได้
เหยียนซินหย่ามองเหยียนหมิงซุ่นอย่างตกใจ แล้วก็มองไปทางจ้าวอิงหนาน เธอยังคิดว่าเป็นน้องสาวสามีเป็นคนบอกชื่อของเธอให้กับเหยียนหมิงซุ่น ตัวจ้าวอิงหนานเองยังแปลกใจ รีบโบกไม้โบกมือแสดงออกว่าเธอไม่ได้พูดอะไรเลย
“ไม่มีใครบอกผม เป็นผมที่เดาได้เอง พวกคุณรู้สึกแปลกใจใช่หรือไม่ว่าทำไมผมถึงได้รู้ชื่อของคุณน้า?” เหยียนหมิงซุ่นถามกลับ
เขายังพูดต่อไปอีกว่า “อันที่จริงแล้วมีสาวน้อยคนหนึ่งบอกผมครับ เธอบอกว่ามีคนหนึ่งที่หน้าตาเหมือนเธอมากๆ แถมยังมีไฝสีแดงชาดเหมือนกัน เธอบอกว่าผู้หญิงคนนี้มีขื่อว่าเหยียนซินหย่า”
เหยียนซินหย่าเริ่มใจเต้น เธอนึกถึงความฝันเมื่อหนึ่งเดือนก่อนทันที ในฝันมีสาวน้อยคนหนึ่งหันมาเรียกเธอว่าแม่ ยังบอกอีกว่า’ช่วยด้วย’ คนนั้นเป็นเหมยเหมยของเธอ!
“สาวน้อยคนนั้นชื่อว่าอะไร? เธอเหมือนฉันมากเลยอย่างนั้นเหรอ? เธออยู่ที่ไหน?” เหยียนซินหย่าถามขึ้นอย่างร้อนรน เป็นความรีบร้อนอย่างหนึ่งที่ตัวเธอเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน
เหยียนหมิงซุ่นพูดช้าๆ “เด็กสาวคนนี้อาจารย์จ้าวก็รู้จัก เธอชื่ออู่เหมย เป็นลูกบุญธรรมของอาจารย์จ้าว พรุ่งนี้พวกคุณก็จะไปดูการแสดงของเธอพอดี”
จ้าวอิงหนานตกใจตะลึงงันอ้าปากค้าง หันไปมองสยงมู่มู่อย่างไม่ตั้งใจ “เป็นลูกใช่หรือเปล่าที่บอกชื่อของคุณป้าเล็กให้กับเหมยเหมย?”
สยงมู่มู่เรียกได้ว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างมาก “ผมยังเพิ่งเคยได้ยินชื่อของคุณป้าเล็กเป็นครั้งแรก ยัยเด็กซื่อบื่อนี่ทำไมถึงได้รู้ล่ะ? ผีหลอก!”
…………………………………………..
ตอนที่ 493 พวกคุณคือคนเดียวกัน
จ้าวอิงหนานคิดๆ ไปก็รู้สึกว่าใช่ อย่าพูดเลยว่าลูกชายไม่รู้ชื่อของเหยียนซินหย่า แม้กระทั่งพ่อสยงก็ยังไม่รู้ แต่ไหนแต่ไรมาเธอก็เรียกแต่ ‘พี่สะใภ้เล็ก’ ไม่เคยพูดถึงชื่อที่บ้านมาก่อน
น่าประหลาดใจเสียจริง ทำไมอู่เหมยถึงได้รู้ชื่อของพี่สะใภ้เล็กของเธอได้ล่ะ?
เหยียนซินหย่าใจเต้นนึกขึ้นมาได้ จึงเอ่ยถามว่า “ชื่อของเด็กอู่เหมยคือตัวหนังสือสองตัวไหน?”
เหยียนหมิงซุ่นพูดยิ้มๆ ว่า “อู่ที่มาจากอู่ซู่ เหมยที่มาจากเหมยเหมาที่แปลว่าคิ้วที่โค้งสวย ปีนี้อายุสิบสองปี วันเกิดคือเดือนหกเป็นตอนที่ร้อนที่สุด”
ร่างกายของเหยียนซินหย่าสั่นเทา พลันนึกถึงเรื่องบนรถไฟตอนกลางวันที่เหยียนหมิงซุ่นได้ถามเธอว่ารู้จักเหอปี้อวิ๋นหรือไม่ ในเวลานั้นเธอยังคิดว่าเหยียนหมิงซุ่นรู้จักกับคนของครอบครัวนั้น จึงปฏิเสธอย่างเด็ดขาด ตอนนี้ดูแล้ว…
สามีของเหอปี้อวิ๋นคืออู่เจิ้งซือ เธอยังจำได้เมื่อยี่สิบปีก่อนเหอปี้อวิ๋นก็กำลังจะคลอดลูก น่าจะช้ากว่าเธอหน่อย เวลานั้นหลังจากที่เธอคลอดเหมยเหมย อู่เจิ้งซือก็บอกว่าเหอปี้อวิ๋นยังต้องรออีกหลายวันถึงจะคลอด หรือว่าเหอปี้อวิ๋นก็คลอดลูกสาวเหมือนกัน?
พูดขึ้นมาเธอยังอยากจะไปขอบคุณอู่เจิ้งซือด้วยตัวเองเลย!
ยี่สิบปีก่อนไม่มีใครสักคนยินดีที่จะช่วยเหลือเธอ มีอู่เจิ้งซือเพียงคนเดียวที่ก้าวออกมาอย่างกล้าหาญ ปล่อยห้องให้เธอเช่า แถมยังติดต่อหมอตำแยให้เธออีก ถึงแม้ว่าลูกสาวที่น่าสงสารของเธอจะไม่ได้ลืมตาดูโลก แต่เธอก็ยังรู้สึกซาบซึ้งใจนึกขอบคุณอู่เจิ้งซืออยู่ดี
ผ่านมาหลายปีแต่กลับไม่ได้ไปขอบคุณต่อหน้า ช่างเสียมารยาทมากจริงๆ!
“คุณน้า คุณไม่รู้สึกแปลกหรอว่าทำไมเหมยเหมยถึงได้รู้จักชื่อของคุณได้? อีกทั้งทำไมเธอถึงได้มีหน้าตาคล้ายกับคุณ?” เหยียนหมิงซุ่นพูดขัดจังหวะการรำลึกความหลังของเหยียนซินหย่า
จ้าวอิงหนานกระวนกระวายใจ รีบไล่บี้ถามไม่หยุดว่า “หมิงซุ่นอย่ามัวแต่อุบไว้ รีบพูดต่อ เหมยเหมยเธอรู้ได้ยังไง!”
อันที่จริงเหยียนซินหย่าก็เดาสาเหตุได้อยู่บ้าง อู่เหมยแซ่อู่ และเหยียนหมิงซุ่นก็ยังถามเธอว่ารู้จักเหอปี้อวิ๋นหรือไม่ บวกกับอายุและวันเกิด ดูแล้วสาวน้อยที่ขื่ออู่เหมยคนนี้น่าจะเป็นไปได้ว่าจะเป็นหลานสาวของเธอ!
เพียงแค่นึกไม่ถึงว่าอู่เจิ้งซือก็จะตั้งชื่อลูกสาวว่าเหมยเหมย!
ยิ่งนึกไม่ถึงว่าโลกจะเล็กแคบขนาดนี้ น้องสาวของสามีจะรับเอาลูกสาวของเหอปี้อวิ๋นมาเป็นลูกบุญธรรม!
นึกถึงเหอปี้อวิ๋น คิ้วของเหยียนซินหย่ากลับขมวดเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว เธอไม่ยินดีที่จะเกี่ยวข้องพัวพันกับครอบครัวใจดำอำมหิตของคุณลุงอีกต่อไปแล้วจริงๆ
แต่ก็ต้องโทษเธอที่แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยพูดเรื่องในบ้านของตัวเองเลย น้องสาวของสามีพวกเขาจึงไม่รู้ถึงที่มาของตัวเธอ เหอปี้อวิ๋นและอู่เจิ้งซือ เพียงแต่ว่าพรหมลิขิตนี่ก็ช่างบังเอิญไปหน่อย
“ฉันเดาว่า เด็กที่ชื่ออู่เหมยคนนั้นพ่อก็คืออู่เจิ่งซือใช่หรือไม่ ส่วนแม่ก็ชื่อเหอปี้อวิ๋น?” เหยียนซินหย่าพูดพลางยิ้มน้อยๆ
จ้าวอิงหนานอ้าปากค้าง เบิ่งตาโตกระพริบตาถี่ๆ ผ่านไปนานสติก็ยังไม่กลับมา!
สยงมู่มู่กระทุ้งแม่ของตัวเองอย่างเงียบๆ ถามเสียงเบาว่า “แม่ แม่เป็นคนพูด?”
จ้าวอิงหนานพยักหน้ารัวๆ ด้วยความสัตย์จริง เธอไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว คืนนี้นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทุกคนต่างกลายเป็นเชอร์ล็อคโฮล์มส์กันไปหมดแล้ว?
จ้าวอิงหัวพอได้ยินชื่อเหอปี้อวิ๋น ในใจก็รู้สึกขยะแขยงราวกับกินแมลงวันเข้าไป พาลรู้สึกไม่ดีกับอู่เหมยไปด้วย ผู้หญิงที่น่ารังเกียจแบบนั้นสั่งสอนลูกสาวออกมา จะดีได้แค่ไหนกันเชียว?
เขามองไปทางจ้าวอิงหนานไม่พูดอะไร รอจนเหยียนหมิงซุ่นไปแล้ว เขาค่อยพูดคุยกับน้องสาว ลูกสาวบุญธรรมคนนี้รับมาแล้วก็ช่างมัน แต่ห้ามพาไปขายขี้หน้าที่เมืองหลวงเด็ดขาด วันหลังจะรับเป็นญาติบุญธรรมอะไร ต้องขัดลูกตาให้สะอาดดีๆ เสียก่อน
เหยียนหมิงซุ่นพยักหน้า “ใช่ครับ อู่เหมยเป็นลูกสาวของลูกพี่ลูกน้องคุณเหอปี้อวิ๋น คุณเป็นคุณป้าของเธอ แต่คุณกับเหมยเหมยหน้าตาเหมือนกันเป็นอย่างกับแกะ ดังนั้นตอนที่ผมอยู่บนรถไฟถึงได้ลืมตัวเสียมารยาทไปเช่นนั้น!”
“เฮ้อ เจอเรื่องวุ่นวายมาครึ่งค่อนวัน คุณป้าของเหมยเหมยก็คือคุณป้าเล็กนี่เอง ผมว่าแล้วทำไมที่ไหนๆ ก็มีแต่คนที่หน้าตาเหมือนยัยเด็กซื่อบื้อนี่!”
สยงมู่มู่ที่เหมือนเพิ่งตื่นจากฝันก็ตะโกนเสียงดัง รู้สึกแค่เพียงว่ามันน่าเหลือเชื่อมาก
…………………………………………..
ตอนที่ 494 ลูกสาวที่อยู่ในฝัน
จ้าวอิงหนานคู่สามีภรรยาก็อ้าปากค้างอย่างอดไม่ได้ ทอดถอนใจว่าโลกใบนี้มันช่างเล็กเสียจริงๆ รับลูกบุญธรรมมาแบบสุ่มๆ นึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็นญาติที่เกี่ยวดองกันในบ้าน หากเหยียนหมิงซุ่นไม่พูด ก็ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์แบบนี้จะเปิดเผยให้กระจ่างออกมาได้เมื่อไหร่!
พ่อสยงพูดยิ้มๆว่า “พูดถึงเรื่องที่เหมยเหมยหน้าตาเหมือนพี่สะใภ้เล็กถือเป็นเรื่องปกติมากๆ หลานสาวหน้าเหมือนคุณป้ามีถมไป!”
จ้าวเสวียหลินที่เงียบกริบมาตลอดก็เปิดปากพูดว่า “คุณอา คุณอามีรูปของอู่เหมยไหมครับ? ที่จริงแล้วเธอหน้าเหมือนกับแม่ของผมมากขนาดไหนกัน?”
จ้าวอิงหนานตบหน้าผากตัวเอง ตะโกนขึ้นอย่างหงุดหงิดว่า “โอ๊ย ดูสมองหมูของฉันสิ ดีใจขึ้นมาอะไรก็ลืมไปหมด ฉันจะไปหยิบรูปของเหมยเหมยตอนนี้แหละ”
เธอพูดไปวิ่งไปทางห้องนอนอย่างอึกทึกครึกโครม แล้วก็กลับมาอย่างรวดเร็วดุจสายลม ในมือมีอัลบั้มรูปเล่มหนึ่ง เป็นรูปภาพที่ถ่ายเอาไว้ตอนที่อู่เหมยออกไปเที่ยวเล่นกับพวกเขา ยังมีตอนแสดงงานโรงเรียนครั้งที่แล้ว พ่อสยงถ่ายภาพอู่เหมยบนเวทีไว้ ในอัลบั้มรูปเล่มนี้มีแต่รูปเธอทั้งหมด
“รูปนี้ถ่ายเมื่อเดือนที่แล้วพวกเราทั้งครอบครัวไปเดินเล่นกันที่สวนสาธารณะ นี่ คนนี้ก็คือเหมยเหมย พวกคุณดูสิว่าเหมือนพี่สะใภ้เล็กหรือไม่?”
จ้าวอิงหนานพูดพลางชี้ไปที่รูปอู่เหมย คำพูดเต็มไปด้วยความรักที่มีให้กับอู่เหมย เหยียนซินหย่ามองแค่เพียงแวบเดียว คนทั้งหมดต่างก็ชะงักงัน มองสาวน้อยที่ยิ้มอยู่บนรูปภาพอย่างแน่นิ่ง
ระหว่างคิ้วของเธอมีไฝสีแดงชาด!
สาวน้อยคนนี้เหมือนคนเดียวกันกับลูกสาวในฝันของเธอไม่มีผิด ไม่ต่างกันเลยแม้แต่นิดเดียว!
เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง?
เธอทำไมถึงได้ฝันถึงลูกสาวของเหอปี้อวิ๋น?
อีกทั้งในฝันยังเรียกเธอว่าแม่อีก?
“ซินหย่าเป็นอะไรไป?” จ้าวอิงหัวนึกว่าอาการป่วยของภรรยาแย่ลงอีก เกิดอาการร้อนใจเป็นอย่างมาก
ผ่านไปครู่ใหญ่เหยียนซินหย่าถึงจะได้สติ รีบจับมือของสามีเอาไว้แน่น พูดอย่างรีบร้อนว่า “อิงหัว ฉันเคยเห็นเธอ ฉันเคยเห็นเด็กสาวคนนี้ ในฝันเป็นเด็กคนนี้ไม่ผิดแน่ เหมือนกับในฝันอย่างกับแกะ…”
เพราะว่ากระวนกระวาย เสียงพูดของเหยียนซินหย่าก็เลยตะกุกตะกัก อีกทั้งเสียงก็เบามาก พวกจ้าวอิงหนานได้ยินแค่เพียงคำสองคำ จับใจความไม่ได้เลยสักอย่าง แต่จ้าวอิงหัวกลับฟังเข้าใจ สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เขามองพินิจพิจารณารูปของอู่เหมยอีกครั้ง ช่างเหมือนกับภรรยาของเขามากจริงๆ อีกทั้งยังเหมือนลูกสาวที่เขาและภรรยาเคยจินตนาการไว้ ในตอนที่ภรรยาเขาท้องนั้น เขามักจะพูดบรรยายหน้าตาของลูกสาวที่อยู่ในหัวให้กับภรรยาฟัง หน้าตาก็เหมือนกับในรูปภาพเลย
จ้าวอิงหัวรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาบ้างแล้ว ทำให้ความรู้สึกรังเกียจอู่เหมยที่เป็นลูกสาวของเหอปี้อวิ๋นเบาบางลงไป แค่เพียงเห็นหน้าตาแบบนี้ เขาก็รังเกียจไม่ลงแล้ว!
เหยียนหมิงซุ่นประสาทหูตาค่อนข้างไว เขาจับคำสำคัญหลายคำมารวมไว้ด้วยกัน ผสมกับคำพูดที่เหยียนซินหย่าเพิ่งพูดออกมาเมื่อกี้ ก็ยิ่งรู้สึกตกใจอย่างไม่มีอะไรมาเทียบได้
“คุณน้า คุณเคยฝันถึงเหมยเหมยใช่หรือไม่ครับ? คร่าวๆ คือตอนไหน?” เหยียนหมิงซุ่นร้อนใจอยู่บ้าง เขารู้สึกว่าตัวเองเริ่มเข้าใกล้ความจริงแล้ว
ไม่เพียงแต่อู่เหมยที่เคยฝันถึงเหยียนซินหย่า เหยียนซินหย่าก็เคยฝันถึงอู่เหมย นี่จะต้องไม่ใช่สายเลือดอันบางเบาระหว่างคุณป้ากับหลานสาวเป็นแน่ ถึงได้สามารถมีโทรจิตสื่อถึงกันได้!
เหยียนซินหย่าพงกหัวช้าๆ “ใช่แล้ว น่าจะประมาณหนึ่งเดือนก่อนที่ฉันฝันถึงลูกสาวคนเล็ก หน้าตาเหมือนสาวน้อยที่อยู่บนรูปภาพเลย เมื่อกี้ฉันถึงได้ตกใจมากจริง”
ครอบครัวของจ้าวอิงหนานทั้งบ้านต่างก็อ้าปากค้างกันยกใหญ่ บนใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกว่ามันช่างน่าเหลือเชื่อ เหยียนซินหย่ากับอู่เหมยห่างไกลกันเป็นพันเป็นหมื่นลี้ อีกทั้งยังไม่เคยพบเจอกันมาก่อน เหยียนซินหย่าทำไมถึงได้ฝันถึงเธอกันล่ะ?
พ่อสยงสงบสติอารมณ์ลงมา พูดว่า “นี่คงจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญล่ะมั้ง ไม่แน่บางทีอาจจะเป็นอิงหนานพูดเคยพูดเรื่องเหมยเหมยกับพี่สะใภ้เล็ก แถมยังพูดอีกว่าเหมยเหมยหน้าตาเหมือนพี่สะใภ้เล็ก กลางวันพูดถึงนึกถึงกลางคืนถึงได้ฝันถึงไง ตอนกลางคืนพี่สะใภ้เล็กถึงได้ฝันถึงเหมยเหมย”
คนอื่นๆถึงแม้ว่าจะรู้สึกว่าการอธิบายแบบนี้มันจะดูฝืนๆ ไปสักหน่อย แต่ก็พยายามคิดว่าควรจะต้องเป็นแบบนี้แหละ ไม่อย่างนั้นจะอธิบายว่าอย่างไรได้?
เหยียนหมิงซุ่นยังคงพูดให้คนอึ้งต่อไปว่า “ถ้าอย่างนั้นการที่เหมยเหมยฝันถึงคุณน้าล่ะจะอธิบายว่าอย่างไร?”
…………………………………………..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น