หมอดูยอดอัจฉริยะ 486-489

 ตอนที่ 486 ของขวัญ

โดย

Ink Stone_Fantasy

เยี่ยเทียนเชื่อว่า ประเทศใดก็ตามที่มีอำนาจอธิปไตย แม้จะอยู่ในท่ามกลางสงคราม จะคอยสอดส่องผู้ที่มาจากต่างประเทศอย่างเคร่งครัด เขากลัวว่าตัวเองจะปล่อยข่าวลือโดยไม่ได้ตั้งใจ นอกจากหูหงเต๋อและโจวเซี่ยวเทียนแล้ว แม้แต่หลิ่วติ้งติ้งก็ไม่รู้เป้าหมายในการเดินทางครั้งนี้


ส่วนสำหรับพวกอู๋เฉินแล้ว เยี่ยเทียนยิ่งไม่พูดถึง เมื่อตอนที่ขนย้ายทอง พวกเขาถึงจะได้รู้ว่าตัวเองมาทำอะไรที่พม่าในครั้งนี้ ส่วนในอนาคตจะถูกทางพม่ารู้หรือไม่นั้น เยี่ยเทียนไม่สนใจแล้ว เรื่องสำคัญต่อไปนี้อาจจะถูกทางพม่าไม่ต้อนรับเป็นบุคคลไปก็ช่างเถอะ


วันที่สองตอนเช้า หลังจากที่กินข้าวเช้าที่โรงแรม พวกของอู๋เฉินก็รอที่หน้าประตูทางเข้าโรงแรม หลังจากผ่านมาประมาณยี่สิบนาที ทางโรงแรมก็ได้จัดรถตู้ขนาดกลางมาคันหนึ่ง นี่คือรถที่เยี่ยเทียนได้จองไว้เมื่อวาน


แขกที่มาเที่ยวที่พม่าหรือเข้าร่วมการพนันหิน ก็ต้องไปเจดีย์ชเวดากองสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดในย่างกุ้ง ทุกวันทางโรงแรมจะมีการจัดให้แขกบางส่วนในการไปเที่ยวชม ดังนั้นพฤติกรรมของเยี่ยเทียนก็เลยไม่ได้ดึงดูดสายตาคนอื่น


หลังจากที่ขึ้นรถ เยี่ยเทียนก็ไม่ได้คุยกับพวกอู๋เฉิน แค่พูดเล่นเรื่องทั่วไปเสียงเบาๆ กับหูหงเต๋อก็เท่านั้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุที่กระดาษหน้าต่างขาดหรือไม่ วันนี้หลิ่วติ้งติ้งค่อนข้างเงียบเป็นพิเศษ เยี่ยเทียนบังเอิญเงยหน้ามาเจอเขา ใบหน้ายัยผู้หญิงคนนี้แดงเป็นเลือดฝาด


เมื่อรถแล่นมาถึงเจดีย์ชเวดากอง เมื่อกี้ช่วงเวลาแปดโมงกว่า แต่ในฐานะเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่โด่งดังที่สุดของพม่า ที่นี่ก็มีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาจำนวนมาก นอกจากใบหน้าเอเชียแล้ว ก็มีใบหน้าของคนขาวและคนดำ


“เพื่อน คืนนี้พวกเราจะพักที่นี่ ไม่ต้องมารับแล้ว!”


เยี่ยเทียนหยิบเงินหนึ่งร้อยดอลลาร์แล้วส่งให้คนขับรถตู้ขนาดกลาง พวกพี่ชายนั้นก็ดีใจแล้วก็พยักหน้า ปกติพวกเขาก็ได้ทิปเล็กๆ น้อยๆ อยู่แล้ว แต่ที่ใจกว้างแบบเยี่ยเทียนนี้ไม่เคยเจอมาก่อน


เมื่อรอรถตู้ขับไปไกลจากสายตาของตัวเอง เยี่ยเทียนถึงโบกไม้โบกมือให้กับพวกอู๋เฉิน ที่นี่เป็นจุดนักท่องเที่ยว ไม่ได้มีข้อห้ามอะไร


เยี่ยเทียนยิ้มแล้วพูดว่า “เป็นยังไงบ้าง ที่พักเมื่อวานโอเคไหม”


“ดีครับ ทั้งชีวิตพวกเรานี่คือการที่ได้กินอาหารทะเลครั้งแรก หูฉลามนั้นกับวุ้นเส้นไม่แตกต่างกันมากนะครับ”


“แหะแหะ ขอบคุณท่านเยี่ย ที่นี่อบอุ่นมากกว่าปักกิ่งเสียอีกครับ”


“ก็จริง เป็นครั้งแรกที่พวกเราออกนอกประเทศ เพราะบารมีของท่านเยี่ยจริงๆ!”


เดิมทีชิวเหวินตงก็ให้พรรคพวกอู๋เฉินอยู่ในคณะทัวร์ แต่ทันทีที่อู๋เฉินเข้าไปในโรงแรมและพบกับไกด์ หลังจากที่ยัดเงินสามพันดอลลาร์ ในระยะสิบห้าวันตามที่ระบุในวีซ่า ไกด์จะไม่มายุ่งกับพวกเขาอีก


เงินสามพันดอลลาร์นี้และเงินที่พวกอู๋เฉินกินข้าวเมื่อวาน เป็นเงินที่เยี่ยเทียนออกให้ทั้งหมด โบราณกล่าวว่า จักรพรรดิที่จะให้ลูกน้องสู้รบ จะไม่ให้ลูกน้องหิวโหยเป็นอันขาด เยี่ยเทียนก็จะไม่ประหยัดเงินเล็กน้อยเป็นอันขาด เมื่อวานไม่เพียงแต่จัดข้าวมื้อใหญ่ให้พวกเขา ยังออกเงินจำนวนหนึ่งให้พวกเขาใช้ชีวิตตอนกลางคืนในพม่า


ดังนั้นหลังจากที่เยี่ยเทียนถาม สองสามคนก็ต่างแย่งกันพูดขึ้น คนพวกนี้นอกจากอู๋เฉินที่อายุเยอะหน่อย อายุของคนที่เหลือก็ไม่แตกต่างกับโจวเซี่ยวเทียน และนี่ก็เป็นการออกนอกประเทศครั้งแรก ยังรู้สึกแปลกใหม่กับความแตกต่างของต่างประเทศ


“พอแล้ว อย่าเอะอะโวยวายไป”อู๋เฉินขมวดคิ้ว หลังจากที่ตำหนิเสียงดังเสร็จ ก็หันมาพูดกับเยี่ยเทียน “ท่านเยี่ย มีเรื่องอะไรที่จะสั่งพวกเราก็พูดมาเถอะครับ อย่างอื่นพวกเราอาจจะไม่ได้ แต่เรื่องพละกำลังมีแน่นอน”


เมื่ออู๋เฉินเห็นท่าทางของจู้เหวยเฟิงที่อยู่ต่อหน้าเยี่ยเทียน เขารู้ว่า เรื่องครั้งนี้ถ้าทำให้เยี่ยเทียนพอใจได้ งั้นหอศิลปะการต่อสู้อันเต๋อที่ปักกิ่งของพวกเขายังสามารถมีรากฐานที่ยึดอยู่ได้ ก็คงไม่มีใครมารังแกได้อีก


ดังนั้นอู๋เฉินและพรรคพวกของตัวเองก็ตกลงกันดีแล้ว การเดินทางนี้คือไม่พูดไม่ถาม เพียงแค่เป็นเรื่องที่เยี่ยเทียนสั่ง จะทำให้สุดความสามารถมากที่สุด!


“เสี่ยวอู่ พาลูกน้องตามผมมา ถนนเส้นนี้ไกล ทุกคนต้องตามให้ทันนะ”คนที่เยี่ยเทียนใช้เงินจ้างมา ตอนนี้ก็ไม่ได้เกรงใจอะไร หลังจากที่ทักทายทุกคน แม้แต่ประตูภูเขาของเจดีย์ชเวดากองก็ไม่เข้าไป และเดินตรงไปทางทิศเหนือ


เนื่องจากพม่ามีภูเขาจำนวนมาก ถนนเป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้เศรษฐกิจของพม่าพัฒนาอย่างจำกัด และการเดินทางของคนพม่าเอง ปกติก็อาศัยรถไฟ หลังจากที่พวกเยี่ยเทียนเดินทางมาประมาณสามสี่ลี้ ถนนยางมะตอยนั้นกลายเป็นถนนหิน บางทีก็เป็นหลุมเป็นบ่อทำให้เดินไม่สะวก


ยังดีที่คนพวกนี้เป็นหนุ่มไฟแรง ยกเว้นหูหงเต๋อและหลิ่วติ้งติ้ง ปกติทก็ทรมานร่างกายทั้งวันอยู่แล้ว ตลอดเส้นทางถึงแม้ว่าทุกคนจะเหงื่อไหลไคลย้อย กลับไปมีใครร้องโอดอวยสักคน


จนกระทั่งสิบโมง เยี่ยเทียนมาถึงที่นัดหมาย นี่เป็นพื้นที่เนินเขาแห่งหนึ่ง เดินไปทางทิศเหนืออีกจะเป็นป่าหนาทึบ ห่างไปหลายร้อยเมตร เยี่ยเทียนก็มองเห็นรถคันหนึ่งที่จอดอยู่ทางด้านหน้า


“หยุด พวกคุณเป็นใครกัน”เมื่อเดินเข้ามาใกล้ ก็มีเสียงปืนดังขึ้น มีใบหน้าที่เข้มแข็งบึกบึนขึ้น อายุราวๆ ประมาณสามสิบปี มีเจ้าหน้าที่สวมชุดทหารพม่าที่มียศพันเอกปรากฏตัวออกมา


“ท่านเยี่ย นี่เกิดอะไรขึ้น”


พวกอู๋เฉินเมื่อเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ก็มีสีหน้าที่ตึงเครียด พวกเขาถึงแม้จะกล้าหาญต่อสู้ราวกับหมาป่า แต่นี้เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ถูกปืนชี้มา เมื่อมองไปที่รูดำๆ ในกระบอกปืน กลัวว่าลูกกระสูนที่อยู่ข้างในจะเกิดอันตรายที่ร้ายแรงได้


“ไม่เป็นไร ไม่ต้องกลัวไป พวกเดียวกัน”เยี่ยเทียนเดินไปทักทาย และพูดกับพันเอกคนนั้น “ผมคือเยี่ยเทียน ไม่ทราบว่าคุณคือพันเอกจางซานใช่ไหมครับ”


“คุณก็คือเยี่ยเทียนเหรอครับ” จางซานยกมือทักทายทำความเคารพแบบทหาร พูดเสียงดังว่า “เป็นคำสั่งของนายพลเฟิงปอกาง รถขนย้ายหุ้มเกราะสามคันมาส่งให้แล้วครับ เชิญคุณเยี่ยตรวจสอบสักหน่อยครับ!”


เมื่อจางซานพูด ทหารหลายสิบคนที่เดิมที่อยู่ด้านหน้าของรถก็ถอยออก รถหุ้มเกราะสามคันที่ทาสีด้วยลายพราง ปรากฏต่อหน้าพรรคพวกของเยี่ยเทียน


“แม่ง เหล่าถังนี่เส้นใหญ่จริงๆ?”


ที่จริงเยี่ยเทียนคิดว่าปอกางจะให้ยืมรถที่คล้ายกับรถบรรทุกทางตะวันตกมาสองสามคัน คาดไม่ถึงว่าปอกางจะให้ยืมรถที่หุ้มเกราะทั้งหมด ดาดฟ้าที่หนาๆ นั้นปืนธรรมดาไม่สามารถยิงทะลุไปได้แน่นอน


รถทั้งสามคันนี้มีความยาวประมาณห้าเมตร กว้างสามเมตร มีล้อรวมกันทั้งหมดแปดล้อ และล้อยางมีขนาดใหญ่มาก ฐานด้านล่างสูงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหมาะสำหรับการขับขี่บนภูเขา และถ้ามองจากด้านนอก รถทุกคันนั่งประมาณเจ็ดแปดคนก็คงไม่ใช่ปัญหา


“พันเอก ขอบคุณครับ!”


หลังจากที่เยี่ยเทียนรับเอกสารฉบับหนึ่งที่จางซานส่งมาให้ ด้านบนก็เขียนชื่อเขาเอง จากนั้นก็หยิบกระเป๋าดำจากโจวเซี่ยวเทียน และส่งมอบให้กับจางซานพร้อมกัน พูดว่า “นี่เป็นของขวัญที่เพื่อนของนายพลปอกางฝากผมมาจากเกาะฮ่องกง ซิการ์คิวบาแท้ๆ รวมกันประมาณสิบแปดกล่อง ที่เหลืออีกหกกล่องเป็นของคุณพันเอก!”


ของพวกนี้ถังเหวินหย่วนเป็นคนเตรียมทั้งหมด เยี่ยเทียนก็ไม่รู้มูลค่าว่าเท่าไหร่ แต่หลังจากที่จางซานในยินว่าเป็นซิการ์คิวบา ใบหน้าที่เดิมทีเคร่งขรึม จู่ๆ เป็นครั้งแรกที่มีรอยยิ้มออกมา


“ขอบคุณครับ ผมกับท่านนายพล ชอบของขวัญชิ้นนี้มาก!”


หลังจากที่จางซานรับกระเป๋า จากนั้นก็เปิดดู รอยยิ้มบนใบหน้าถึงกับเปล่งประกายขึ้น จากการติดตามนายพลปอกางเป็นเวลานาน แว๊บเดียวเขาก็ดูออกว่าซิการ์ที่บรรจุอยู่ในซองจะมีห้าตัว ราคาทุกตัวจะอยู่ที่ 1,500 ดอลลาร์ขึ้นไป


ทหารระดับสูงของพม่าชอบสูบซิการ์ ที่จริงก็สนิทสนมกับคุนซาด้วยแน่นอน เจ้าพ่อยาคนนี้มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ ตัวเขาเองไม่เคยยุ่งกับยาเสพติดมาก่อน แค่รู้ว่าซิการ์ทำด้วยมืออันดับต้นๆ ของบราซิล


มีช่วงเวลาหนึ่ง ตอนที่เจ้าพ่อยาเสพติดต่างชาติน้อยใหญ่พวกนั้นก่อนที่จะมาที่สามเหลี่ยมทองคำ ต่างก็ถือของขวัญสักชิ้นมาให้กับคุนซา สามเหลี่ยมทองคำครั้งหนึ่งเคยเป็นสถานที่ที่รวมกันของซิการ์คิวบาในเอเชีย


ในการรบทางทหารหลายครั้งในสามเหลี่ยมทองคำ ฝ่ายทหารพม่ายึดซิการ์ดังกล่าวไว้มากมาย ทหารธรรมดาไม่สามารถสูบได้ สุดท้ายก็ตกไปอยู่ในมือของพวกใหญ่คนโตในทหารทุกฝ่าย ที่สูบมันได้ พวกคนใหญ่คนโตพวกนั้นก็ชอบรสชาตินี้


แต่พวกคนใหญคนโตพวกนี้ไม่มีคุนซาที่ทรงเกียรติแล้ว ก็ไม่มีใครที่ส่งส่งซิการ์ให้พวกเขา ถ้าอยากจะซื้อ พวกเขาไม่สามารถซื้อที่เป็นสินค้าคุณภาพดีและดั้งเดิมเช่นนี้ได้ นายพลบางคนมักจะภูมิใจที่ได้รับซิการ์คิวบาแท้ๆ แบบนี้


ดังนั้นของขวัญชิ้นนี้ที่หูหงเต๋อให้ ไม่สามารถประเมินราคาได้ เมื่ออยู่ในอ้อมแขนของนายพลปอกาง นี่ก็เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้พันเอกจางซานยิ้มขึ้นมา นายพลชอบกินเนื้อเขาชอบดื่มซุป ครั้งหน้าตอนที่รวมตัวกับพวกนายพล แค่เขาเอาซิการ์มาวางไว้ แน่นอนว่าคงจะสยบพวกเสนาธิการทหารนั้นได้


แน่นอน ไม่ทราบคุณค่าของซิการ์เหล่านี้และสถานะของมันในสายตาของทหาร ก็ไม่รู้ว่าถังเหวินหย่วนจะส่งออกมูลค่ากว่าหนึ่งแสนดอลลาร์ในเวลานี้ในสายตาของชาวพม่านั้นคิดตื้นเกินไป แค่ให้ซิการ์ไม่กี่กล่องก็สามารถไล่พวกเขาไปได้


หลังจากส่งกระเป๋าหนังที่เต็มไปด้วยซิการ์ให้กับทหารที่อยู่ด้านหลัง จางซานก็ถามเหมือนที่อย่างใจคิด “คุณเยี่ย ไม่ทราบว่าคุณจะใช้รถที่หุ้มเกราะพวกนี้ไปทำอะไรกัน เขาไปในภูเขาเหรอ”


“แม่ง เพิ่งได้ออกไปก็เริ่มถามเข้าเรื่องเลยเหรอ”


เยี่ยเทียนก็ด่าในใจอย่างไปสบอารมณ์ แต่สีหน้าไม่ได้มีท่าทีเปลี่ยนไปสักนิด ยิ้มแล้วพูดว่า “ถังเหวินหย่วนช่วงนี้จะต้องได้รับการรักษาเหล้ากระดูกเสือจากที่แดนไกล จะต้องทำด้วยกระดูกเสือและปรุงนาสมุนไพรที่สดใหม่ นี่ถึงได้รบกวนนายพลปอกาง”


พอพูดถึงตรงนี้ ใบหน้าของเยี่ยเทียนก็แสดงของถึงความแปลกใจ “คุณก็รู้ คุณถังถึงแม้จะอายุมาก ร่างกายก็ยังแข็งแรงดี ก็ผู้ชายเน๊อะ ชอบของพวกนี้เป็นพิเศษ…”


“ก็จริง ก็จริง ฮ่าๆ หากเหล้ากระดูกเสือนั้นใช้ได้ผล ยังส่งข้อความบอกคุณเยี่ยที่อยู่แดนไกลด้วยว่า ผมว่าคิดว่านายพลยินดีที่จะมอบกระดูกเสือสดให้กับคุณถังแน่นอน!”


คิดไม่ถึงว่า หลังจากที่ฟังเยี่ยเทียนพูด จางซานหัวเราะเสียงดังขึ้น สิ่งที่เยี่ยเทียนสงสัย เพราะเป็นเรื่องบังเอิญ เมื่อปีที่แล้ว ถังเหวินหย่วยเคยขอกระดูกเสือจากนายพลปอกางจริงๆ แต่ตอนนั้นไม่ได้ถามและต้องการกระดูกที่สดก็เลยปล่อยไป


ส่วนเสือจะเป็นสัตว์ที่ได้รับการคุ้มครองหรือไม่ จางซานกลับไม่ไใส่ใจอะไรมาก ในระบบพวกคนใหญ่คนโตพวกนี้ในฝ่ายทหาร พวกเขาก็แทบกับระบบจักรพรรดิ ถึงแม้ว่าเสือจะถูกฆ่าตายจนหมด ก็ไม่มีกลุ่มอนุรักษณ์มาเดินประท้วงอย่างแน่นอน


ตอนที่ 487 รถหุ้มเกราะ

โดย

Ink Stone_Fantasy

“คุณเยี่ย ถ้างั้นผมให้ทหารสองสามคนทิ้งไว้ให้คุณ พวกเขาเป็นคนแถวนี้ทั้งหมด ให้บอกทางพวกคุณก็ดีนะ”


ครั้งนี้ไม่ใช่ว่าจางซานกำลังสงสัยแรงจูงใจอะไรของเยี่ยเทียน แค่เพิ่งได้รับของขวัญล้ำค่าจากถังเหวินหย่วน จางซานอยากจะแสดงมิตรภาพให้ดีที่สุดเท่านั้น ที่จริงแล้วเสือพวกนี้อยู่ในป่าภูเขาไม่มากนัก เยี่ยเทียนเป็นคนพวกที่ว่าคนนอกเข้าไม่ถึงเขาแน่นอน


“ขอบคุณพันเอก งั้นก็ดีเลย ผมกังวลอยู่ว่าจะไม่ใครคุ้นเคยกับภูมิประเทศนี้ดี”เมื่อได้ยินคำพูดของจางซาน ทันใดนั้นในใจของเยี่ยเทียนถึงกับเป็นทุกข์ขึ้นมาทันใด แค่เป็นเพียงข้อเสนอที่สมเหตุสมผลของอีกฝ่าย ตัวเองกลับปฏิเสธก็จะไม่เหมาะสม เยี่ยเทียนจึงทำได้เพียงฝืนรับ


“หรือว่าหลังจากที่หาทองคำเจอแล้วจะกำจัดพวกเขาทิ้ง”


ในใจของเยี่ยเทียนก็เกิดความคิดอย่างนี้ขึ้น ตัวเองสามารถกำจัดทิ้งตอนไหนก็ได้ ขุนศึกที่เป็นคนท้องถิ่นที่ได้รับการลงโทษในสถานที่แห่งนี้ในพม่า ผู้บริสุทธิ์เหล่านั้นต่างก็เป็นแมลงวันบนหัวเสือ…รนหาที่ตาย ถ้าเยี่ยเทียนคนเดียวก็คงไม่เป็นไร แต่ลูกน้องเยอะขนาดนี้ แน่นอนว่าหนีจากอำนาจในท้องถิ่นไม่พ้น


เมื่อเห็นตอนที่จางซานหนีกลับไปค่ายทหารแล้ว เจ้าแม่กวนอิมหยกสีมรกตห้อยบนคอได้โผล่ออกมา ทันใดนั้นในใจของเยี่ยเทียนเปล่งประกายขึ้นเขาก้าวถอยหลังอย่างเงียบ ๆ และไปกระซิบบางอย่างที่ข้างหูของหูหงเต๋อ


ตอนที่จางซานไปแล้วก็มีสี่ห้าคนที่กำลังเตรียมตัวแนะนำตัวให้กับเยี่ยเทียน อู๋เฉินที่อยู่ด้านหลังเยี่ยเทียนจู่ๆ ก็เคาะหัววัยรุ่นคนหนึ่งเพื่อให้จดจำ พร้อมกับกล่าวและด่าว่า “เอ้อร์หู่ เมื่อวานนายก็ดื่มน้ำล้างเท้าของแม่กวนอิมผู้หญิงพวกนั้นแล้วนี่ ทำไมปากถึงเหม็นอย่างนี้”


เอ้อร์หู่ไม่ได้โกรธ ยิ้มแป้นแล้วพูดว่า “พี่อู๋ แม่กวนอินพวกนั้นเป็นผู้ชาย ให้ผมหาพระโพธิสัตว์ผู้หญิงเจอเสียก่อนนะ!”


ตองยีอยู่ไม่ไกลจากชายแดนจีนและพม่า ชาวพม่าหลายคนพูดภาษาจีนและภาษาถิ่นในเขตยูนกุยได้ หลังจากที่คำพูดของอู๋เฉินเข้าถึงหูของพวกจางซาน ทันใดนั้นสีหน้าของคนพวกนั้นก็เปลี่ยนไป


“พวกคุณ…คิดไม่ถึงเลยว่ากล้าที่จะทำลายพระพุทธศาสนา”


ทหารหนึ่งคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของจางซาน เอื้อมมือชักกระบอกปืน ปากกระบอกปืนสีดำเล็งไปที่พวกอู๋เฉินสองคน เมื่อเห็นสีหน้าที่ฮึกเหิมของเขา เป็นไปได้ว่าจะเหนี่ยวไกปืนได้ทุกเมื่อ


ไม่เพียงแต่ทหารคนนั้น เมื่อทหารคนอื่นได้ยินพวกอู๋เฉินสองคนคุยกัน ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความโกรธแค้นขึ้นมา ปืนที่อยู่ในมือก็มีเสียง“แช้บๆ”ขึ้นมา เหตุการณ์ในชั่วขณะนั้นก็สูญเสียการควบคุม


“เอ๋…เอ๋ นี่…นี่เกิดอะไรขึ้น?”


เยี่ยเทียนผู้ริเริ่มความคิดเรื่องนี้ ก็คิดไม่ถึงว่าปฏิกิริยาทหารพวกนี้จะรุ่นแรงเช่นนี้ รีบคว้าลากตัวจางซาน “คุณพันเอก เกิดอะไรขึ้น พวก…พวกเขาเล็งปืนใส่พวกเราทำไม พวกเราเป็นเพื่อนกัน ไม่ใช่ศัตรูกันนะ!”


“ไม่…พวกเขาสองคน ไม่ใช่เพื่อน!”


จางซานที่ใบหน้าที่เต็มความปีติยินดี ในขณะนี้ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยหม่อนหมองและเคร่งเครียดสามารถหยุดลงเป็นน้ำมาได้ มองใบหน้าอู๋เฉินแล้วพูดว่า “พวกเขาไม่เชื่อในพระพุทธเจ้า แต่ไม่ควรทำลายพระโพธิสัตว์ คุณเยี่ย คุณส่งสองคนนั้นมาให้ผมเถอะ!”


สถาปัตยกรรมทุกที่โอ่อ่าหรูหราที่สุดทุกที่ในพม่า ไม่ต้องสงสัยทั้งหมดคือวัดนั้นเอง จะเห็นได้ว่าพม่าเป็นประเทศที่เป็นตัวอย่างที่ดีในทางศาสนาพุทธ ทุกคนที่เข้าไปในวัด จะต้องถอดรองเท้าและเดินเท้าเปล่าเข้าไปในวัด นี่ก็เป็นการแสดงความเคารพต่อพระพุทธศาสนาอีกวิธีหนึ่ง


สามารถพูดได้ว่า ชาวพม่าเคร่งครัดและนับถือในศาสนาพุทธ มากกว่าอินเดียที่เป็นแหล่งกำเนิดของพระพุทธศาสนาเสียอีก ถึงชาวพม่าจะมีนิสัยที่อบอุ่น แต่คำพูดของเอ้อร์หู่และอู๋เฉิน เป็นการกระตุ้นก้นบึ้งของหัวใจ


“อ๋อ ไม่ คุณพันเอก พวกเขาไม่รู้สิ่งต้องห้ามของประเทศคุณ ก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะทำร้าย…”


เมื่ออยู่ๆ จางซานปริปากต้องการคนของเขา ทันใดนั้นเยี่ยเทียนที่คิดว่าตัวเองมาเล่นๆ ในครั้งนี้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว รีบควักเงินดอลลาร์ปึกหนึ่งของถังเหวินหย่วนควักให้กับเขา ไม่ได้นับแม้แต่น้อยแล้วก็ยัดเข้าหน้าอกของจางซาน แล้วพูดว่า “เห็นแก่หน้าของคุณถัง โปรดอภัยให้พวกเขาด้วย!”


หลังจากที่รับรู้ถึงความหนาของเงินดอลลาร์ที่อยู่ในมือ ใบหน้าของจางซานก็ค่อยๆ อ่อนลง ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นชาวพุทธ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับความมั่งคั่งของเงินปึกหนึ่งที่อย่างน้อยน่าจะมีพันกว่าดอลลาร์ ทันใดนั้นองค์พระพุทธรูปในใจของจางซานก็ค่อยหายลงเป็นเท่าตัว


หลังจากที่ไตร่ตรองสักพัก จากซานโบกไม้โบกมือ ลูกน้องที่ถือปืนอยู่ที่ด้านหลังก็ค่อยๆ วางลง แล้วพูดว่า “เอาเถอะ เห็นแก่หน้าของคุณถัง ผมก็จะปล่อยพวกคุณสักครั้ง!”


ในปี 1998 รายได้ต่อหัวของพม่าต่อปีมีเพียงไม่กี่ร้อยหยวน เป็นหนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก ถึงแม้จางซานจะมีตำแหน่งที่ใหญ่โต แต่เงินหลายพันดอลลาร์นี้เป็นทรัพย์สมบัติที่เขาไม่สามารถปฏิเสธได้ ศักดิ์ศรีของธนบัตรที่พิมพ์ด้วยหัวของวอชิงตัน ดูเหมือนว่าจะใหญ่กว่าพระพุทธเจ้าเสียอีก


“ขอบคุณ ขอบคุณท่านพันเอก ผมจะสั่งสอนพวกเขาเอง!”


เมื่อเห็นจางซานผ่อนคลายความตึงเครียดลง เยี่ยเทียนถึงกับถอนหายใจยาว ถ้าเพราะอู๋เฉินได้รับบาดเจ็บเพราะความคิดของเขาเอง ในใจของเยี่ยเทียนก็รู้สึกไม่สบายใจจนอธิบายไม่ถูก โชคดีที่แค่ตื่นตกใจไปเอง


“คุณเยี่ย ทหารของพวกเราคงจะคบกับพวกเขาไม่ได้ เสียใจด้วย การล่าสัตว์ครั้งนี้พวกคุณต้องดำเนินการเองแล้ว”


ถึงแม้ว่าเยี่ยเทียนจะขอโทษแล้ว และยังส่งเงินสักก้อนที่เป็น“เงินซื้อความจริงใจ” แต่ในใจของจางซานก็ยังรู้สึกขัดอยู่บ้าง เดิมทีที่ตั้งใจหาไกด์ไว้สองสามคน กลับไม่เต็มใจที่ส่งให้เยี่ยเทียนแล้ว


และต่อให้จางซานยังดื้อที่จะส่งมาอีก เกรงว่าทหารพวกนั้นก็คงไม่เต็มใจ ถ้ายังหาเรื่องเดือดร้อนอยู่อีก เขาก็ก็อาจจะไปสามารถรายงานกับนายพลปอกางได้


“อ้อ ได้ยังไงกัน”เยี่ยเทียนพูดด้วยน้ำเสียงที่ตกใจ หันกลับมามองที่อู๋เฉินและเอ้อร์หู่ ด่าเกรี้ยวว่า “นายสองคนนี้สมควรตาย!”


“คุณเยี่ย ภารกิจของพวกเราเสร็จสิ้นแล้ว หลังจากที่พวกคุณล่าสัตว์เสร็จ ก็ขับรถกลับมาที่ตรงนี้หรือไม่ก็จอดสักทีก็พอแล้ว”


หรือเพราะเรื่องนี้ไม่สบอารมณ์ ใบหน้าของจางซานก็กลับมาเคร่งขรึมเหมือนก่อนหน้านี้ หลังจากเอากุญแจสองสามดอกทิ้งให้กับเยี่ยเทียน ก็พาทหารหลายสิบคนขึ้นรถแล้วก็จากไป


“แม่ง ผมตกใจจะแย่อยู่แล้ว!”


หลังจากรอพวกทหารพม่าหนีออกไป เอ้อร์หู่ถึงกับส่งเสียงถอนหายใจ ขาทั้งสองทรุดฮวบลงกับพื้น เขาคิดไม่ถึงว่าเกือบจะมีการแสดงที่ถูกตายแล้ว เมื่อปืนเล็งมาที่เขา เขาคิดว่าฝ่ายตรงข้ามจะเหนี่ยวไกปืนขึ้นมาจริงๆ


อู๋เฉินถึงแม้จะเอ้อระเหยอยู่ในยุทธภพนาน แต่ก็ไม่ถึงกับทรุดลงกับพื้น ทว่าก็ตกใจไม่น้อย มองยิ้มเจื่อนๆ ไปที่เยี่ยเทียน แล้วพูดว่า “ท่านเยี่ย เรื่องเป็นการกระตุ้นแบบนี้ ครั้งหน้าพวกเราจะไม่ทำเล่นแล้ว!”


“แหะแหะ ไม่เป็นไร พวกเขาไม่กล้ายิงตามอำเภอใจหรอก เมื่อก่อนพม่าก็เป็นประเทศอาณัติของพวกเรา”เยี่ยเทียนยิ้มและปลอบใจทั้งสองคน แม้แต่เขาเองก็ไม่มีแรงที่มั่นใจจะพูดอะไร


ต้องรู้ว่า ถ้ารวมตัวกันแบบนี้ที่โรงแรม ภายใต้การจ้องมองของทุกคน จางซานไม่กล้าฆ่าพวกเขาแน่นอน


แต่ตอนนี้ในป่าและเนินเขา แม้แต่นกสักตัวก็มองไม่เห็น หลังจากที่ฆ่าคนของเขาไปแล้ว แค่ผลักว่าเป็นฝีมือของพวกค้ายารายใหญ่ แค่นี้เรื่องทุกอย่างก็ราบรื่นแล้ว ถึงอย่างไรก็ตามพวกค้าขายที่สามเหลี่ยมทองคำนั้นก็ไม่รู้ว่าโดยใส่ร้ายป้ายสีกี่ครั้งแล้ว


“เซี่ยวเทียน นายขับรถคันหนึ่ง อู๋เฉิน พวกนายตรงนี้มีคนขับรถเป็นใช่ไหม รถที่เหลืออีกคันให้พวกนายนะ”เมื่อเห็นใบหน้าพวกคนสำนักศิลปะการต่อสู้อู๋ก่วนไม่ค่อยดี เยี่ยเทียนก็ใช้รถหุ้มเกราะที่อยู่ข้างหน้าเปลี่ยนเรื่อง


“ได้ ผมขับเอง แม่ง รถดีๆ อะไรก็เคยขับ แต่กลับไม่เคยขับรถหุ้มเกราะเลย”


คิดไม่ถึงว่า หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน ทันใดนั้นความสนใจของอู๋เฉินก็พุ้งไปที่รถหุ้มเกราะ พาพวกลูกน้องไปมุงดู ทันทีที่ประตูเปิดออก ก็แอบเข้าไปห้องคนขับรถอย่างรวดเร็ว


“โห รถคันนี้ไม่เลวจริงๆ คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีเครื่องกว้านด้วย”


ก่อนหน้านี้เยี่ยเทียนก็ไม่มีเวลาตรวจสอบรถหุ้มเกราะไม่กี่คันพวกนี้ ตอนนี้หลังจากไปพิจารณาไปสักพักหนึ่ง ทันใดสายตาก็เป็นประกายขึ้น


ที่แท้ ปืนกลและอาวุธต่างๆ ในรถหุ้มเกราะนี้ถูกเอาออกหมด แต่ท้ายรถทุกคัน นอกจากมีเชือกลากแล้ว คิดไม่ถึงว่าเครื่องกว้านไฟฟ้าอันหนึ่ง และมีลวดเหล็กที่พันบนเครื่องกว้านนั้นมีความยาวอย่างน้อยเจ็ดหรือแปดสิบเมตร


เครื่องกว้านนี้สำหรับเยี่ยเทียนที่ใช้ขนย้ายทองคำ จะมีขนาดที่ใหญ่เกินไป ในการใช้เครื่องกว้านในการขนย้าย ความเร็วและประสิทธิภาพนั้นดีกว่าแรงงานคนเสียอีก นี่หมายความว่าหลังจากที่หาทองคำเจอ เยี่ยเทียนก็สามารถขนย้ายได้เร็วขึ้น


“อาจารย์ คุณหาแค่สองคนมาขับรถ แล้วรถอีกคันหนึ่งทำยังไงดีล่ะ”โจวเซี่ยวเทียนหลังจากที่ตื่นเต้นอยู่ด้านในรถ ส่ายตาก็จ้องมาที่เยี่ยเทียน


“รถคันนั้นไว้ให้คนอื่น”เยี่ยเทียนหยิบเครื่องวิทยุสื่อสาร ตะโกนว่า “เหล่าหม่า สนุกครึกครื้นน่าดูเลย พวกคุณออกมาได้แล้ว”


ในขณะที่เจรจาหารือกับจางซานเมื่อกี้ เยี่ยเทียนพบว่าพื้นใต้เท้าของเขาสั่นเล็กน้อย แต่ไม่สามารถสังเกตได้ จากนั้นเขาก็รู้สึกถึงความโมโหของมาราไกย์และคนอื่นๆ รู้ว่าพวกพี่พวกนี้คือรีบมาแล้ว


เยี่ยเทียนเพิ่งปิดเครื่องวิทยุสื่อสารลง พวกเขากำลังมาอีกทางหนึ่ง เสียงของรถสตาร์ทดังขึ้น จากนั้นรถธุรกิจคันหนึ่งขับรถเข้ามา


“อ๋อ บอส คุณหารถพวกนี้จากไหนเหรอ”


หลังจากที่รถอเนกประสงค์หยุดลง มาราไกย์ก็เปิดประตูแล้วก็กระโดดลงมา ก่อนหน้านี้เขาสังเกตการณ์เยี่ยเทียนและจางซาน ด้วยกล้องโทรทรรศน์ที่อยู่ห่างออกไปหนึ่งกิโลเมตร ถึงแม้ว่าภาพจะชัด แต่ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังพูดอะไรกัน


“อย่าสนใจอะไรมากเลย เหล่าหม่า รถคันนี้นายขับไปนะ พวกเราเจอกันที่แม่น้ำไรน์นะ”


เยี่ยเทียนโบกไม้โบกมือ เขาไม่ได้มีธุระกงการอะไรที่จะต้องอธิบายที่มาของรถคันนี้ หลังจากพูดสั่นๆ ใบหน้าของเยี่ยเทียนก็เคร่งขรึมขึ้น “เหล่าหม่า ถ้าตอนที่เดินทางไปตองยีแล้วพบคนญี่ปุ่น พวกคุณต้องระวัง ทางที่ดีลงมือก่อนก็ดี


ตามคำพูดของโก่วเจียซิน ผู้ที่รอดชีวิตจากสงครามทองคำมืดในปีนั้น น่าจะเป็นคนนั้นที่ให้เขาและครอบครัวมิยาโมโตะ หากคุณพบชาวญี่ปุ่นในเนินป่าภูเขา เก้าในสิบคนนั้นเป็นตระกูลคิตะมิยะอย่างไม่ต้องสงสัย


“รถคันนี้สุดยอดไปเลย คิดไม่ถึงว่าจะขับได้ถึง 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในพื้นที่ที่เป็นภูเขา”


มาราไกย์ผิวปากอย่างตื่นเต้น โผล่หัวออกมาหลังจากไปสำรวจห้องคนขับรถ แล้วพูดว่า “บอส คุณก็สบายใจได้เลย ผมก็เกลียดคนญี่ปุ่นมาก และแน่นอน แต่ผู้หญิงญี่ปุ่นผมก็ยังชอบนะ”


……


ตอนที่ 488 ควบคุมความสมดุล

โดย

Ink Stone_Fantasy

“เถ้าแก่ พวกเขาเป็นใครกัน”เมื่อเห็นคนเจ็ดแปดคนที่กำลังลองรถอีกคนหนึ่งอยู่ มาราไกย์มีใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัยแล้วมองไปทางเยี่ยเทียน


สายตานั้นของมาราไกย์ เห็นอย่างได้ชัดว่าเด็กหนุ่มวัยรุ่นพวกนี้ปราดเปรียวมาก หนึ่งในชายที่กำยำแข็งแรงมือคู่หนึ่งราวกับต้นไม้เก่าแก่ ที่มีรากไม้แผ่ขยายไปทั่ว เห็นได้ชัดว่าเป็นคนที่รับมือไม่ง่ายเลย


“ทั้งเป็นคนที่ผมเชิญมาช่วยภารกิจในครั้งนี้ให้สำเร็จ”


เยี่ยเทียนไม่ได้ปิดบังสถานะของพวกอู๋เฉิน เขาอยากให้มาราไกย์เข้าใจ ว่าตัวเองไม่ได้จ้างแค่พวกเขาเพียงฝ่ายเดียว สำหรับอู๋เฉินพวกเขาแล้ว นี่ก็มีข้อจำกัดอย่างหนึ่ง เมื่อมองเวลาสักพักหนึ่ง ก็ใกล้จะถึงตอนเที่ยงแล้ว เยี่ยเทียนพูดว่า “เหล่าหม่า พวกคุณมุ่งหน้าไปก่อน มีปัญหาอะไรก็ติดต่อกันผ่านเครื่องวิทยุสื่อสารได้ทุกเมื่อ”


จากย่างกุ้งไปทางตองยีนี้ ถนนไม่ใช่จะดี ถ้าเกิดช้าไปกว่านี้ เกรงว่าฟ้ามืดก็คงไปไม่ถึง พม่าอากาศร้อนจนแสบผิด เยี่ยเทียนไม่อยากตั้งแคมป์ในป่าให้หนอนยุงตอม


“โอเค พวกเรา ไปทำงานกันเถอะ!”


มาราไกย์พยักหน้า เขาเหยียดแขนออกไป กระโดดออกมาจากรถหุ้มเกราะ และตะโกนหาเพื่อนตัวเองสามคน “พวกเรา ทำงานกัน เอาอาวุธทั้งหมดเข้าไปในรถหุ้มเกราะ!”


หลังจากที่ยกของออกจากท้ายรถออฟโรด ปากปืนกลขนาดใหญ่แบบรังผึ้งอันนั้น หันเข้ามาที่ด้านนอกประตูรถ มาราไกย์มือข้างหนึ่งที่มีปืนอยู่นั้น เพียงแค่ที่ได้ยินเสียงเพียงเล็กน้อย ปืนที่หนักนั่นก็ได้ยกขึ้นมาสูงขึ้น ยืนมือออกไปหยิบโซ่ลูกกระสุนที่ยาวราวๆ สี่ห้าเมตรมาพันรอบๆ ตัว


“แม่ง นี่เป็นใครกัน”


เดิมตอนที่เยี่ยเทียนกับมาราไกย์คุยกันอยู่ พวกอู๋เฉินก็อยากรู้อยากเห็นบ้าง ไม่รู้ว่าเยี่ยเทียนรู้จักกับชาวต่างชาติพวกนี้ได้ยังไง เมื่อเห็นมาราไกย์จู่ๆ ก็ใส่อาวุธเหมือนกับในหนังภาพยนตร์ ทันใดนั้นทุกคนต่างก็ตะลึกและตกใจขึ้นมาเท่านั้น


ปืนกลขนาดใหญ่แบบรังผึ้งนี้ยาวประมาณหนึ่งเมตรหกสิบ ปากประบอกปืนสามารถยิงหินน้อยใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าแปดอันได้ มีน้ำหนักอย่างน้อยหนึ่งสองร้อยกิโลกรัม หรือถ้านับกับแรงสะท้อนกลับยิ่งทำให้คนตกใจยิ่งกว่า แม้แต่เยี่ยเทียนเองก็อดที่จะยอมรับไม่ได้ว่ามาราไกย์ในขณะนี้ค่อยข้างที่จะเด่นมากเกินไป


“เหล่าหม่า เบาเสียงหน่อย เบาเสียงสักหน่อย!”


ในขณะที่มาราไกย์ถือปืนกลที่หนักอยู่นั้น ตัวของเยี่ยเทียนก็ขยับไปทางด้านขวาเพียงเล็กน้อยแทบจะไม่เห็นว่าขยับ ร่างกายครึ่งหนึ่งของเขาซ่อนตัวอยู่หลังรถหุ้มเกราะ เขาก็รับรู้ได้ ปืนกลนั้นเป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรงต่อเขา แน่นอนว่าตัวเขาเองไม่อยากระเบิดตรงด้านหน้าปากกระบอกปืน


เดิมที่มาราไกย์ที่กำลังจัดปืนกลอยู่นั้น เมื่อได้คำพูดของเยี่ยเทียน ก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามายิ้ม ก็เอาปืนวางเข้าไปในรถหุ้มเกราะ เมื่อกี้เขาไม่เข้าใจความคิดของเยี่ยเทียน แต่หลังจากที่ปืนอยู่ในมือของเขา เขาถึงพบว่า ต่อให้ตัวเองมีอาวุธการฆ่าที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ไม่แน่ใจว่าจะสามารถฆ่าชายหนุ่มชาวตะวันออกผู้ลึกลับคนนี้ได้


การกระทำต่อไปนี้ของพวกมาราไกย์ ทำให้พรรคพวกอู๋เฉินเหมือนไปเข้าร่วมชมคลังแสงอาวุธก็ไม่ปาน กล่องกระสุนสีเหลืองส้มกล่องหนึ่งและระเบิดมือ ยังมีปืนกลมือทุกชนิดและอาวุธขนาดเบาถูกย้ายไปยังรถหุ้มเกราะ รถหุ้มเกราะคันนั้นที่สามารถรับคนได้สิบคน ตอนนี้ถูกครอบครองพื้นที่ไปมากกว่าครึ่งแล้ว


“ท่าน…ท่านเยี่ย พวกเขาเป็นใครกันเหรอ”ในขณะนี้อู๋เฉินก็ไม่สนใจรถหุ้มเกราะอีกต่อไป ขยับไปหลบที่ด้านหลังของเยี่ยเทียน กระซิบถามเบาๆ


อีกฝ่ายที่ถืออาวุธอยู่ข้างหน้าพวกเขา เห็นได้ชัดว่าไม่มีอะไรที่เป็นอันตราย ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ความหวาดกลัวเมื่อกี้ได้หายไปเป็นปลิดทิ้ง เด็กหนุ่มที่อยู่ข้างๆ อู๋เฉิน สีหน้าก็แสดงแววตาที่อิจฉาขึ้นมา


ต้องรู้ว่า สำหรับอาวุธปืนพวกนี้ การควบคุมของรัฐที่ยิ่งเข้มงวด คนธรรมดาก็อยากรู้อยากเห็นมากขึ้น โดยเฉพาะอาวุธนี้สามารถให้ความรู้สึกปลอดภัยแก่ประชาชน มันเหมือนตอนที่บัณฑิตผู้อ่อนแอหันมาจับปืน เมื่อต้องเผชิญกับผู้ชายที่แข็งแกร่งไม่กี่คน ก็จะไม่มีความกลัวอย่างแน่นอน


เยี่ยเทียนมองที่อู๋เฉินเพียงครู่เดียว ยิ้มแล้วพูดว่า “เป็นทหารรับจ้างที่ผมเชิญมา แหะๆ ก็เหมือนกับพวกคุณ”


โบราณกล่าวไว้ว่ามีการแข็งขันถึงจะมีความกดดัน เมื่อเยี่ยเทียนพูดคำนี้ขึ้น ทันใดนั้นใบหน้าของอู๋เฉินก็เปลี่ยนไป แอบหันไปมองลูกศิษย์ที่ใช้การต่อสู้ด้วยมือเปล่า จากนั้นเปรียบเทียบกับพวกมาราไกย์ที่มือพวกอาวุธติดไม้ติดมือมาด้วย ทันใดนั้นในใจของเยี่ยเทียนเองก้รู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก


“คนของผมฝึกศิลปะกังฟู เทียบกับพวกเขาไม่ได้หรอก!”


อู๋เฉินพูดความโกรธแค้นหนึ่งประโยค ในคำพูดกลับปนไปด้วยความอิจฉา อย่ามองว่าพวกเขามีจำนวนมากกว่ามาราไกย์เป็นเท่าตัว แต่ทั้งสองฝ่ายถ้ามีการปะทะกันขึ้น แค่ฝ่ายตรงข้ามคนเดียวก็ทำให้พวกเขาตายได้ ทั้งสองฝ่ายไม่ใช่คู่แข่งระดับเดียวกันแน่นอน


งานของย้ายของมาราไกย์ได้จบลง มีปืนกลมือ AK โบราณเพียงเจ็ดหรือแปดกระบอกที่เหลืออยู่ในรถออฟโรด ใจของเยี่ยเทียนได้คล้อยตาม แล้วหันไปถามอู๋เฉินว่า “เอ้อจริงสิ อู๋เฉิน พวกคุณยิงปืนเป็นไหม”


“แน่นอน บริษัทรักษาความปลอดภัยของเราทุกปีจะมีการทดสอบให้ยิงปืน เด็กพวกนี้ก็ผ่านการทดลองกันหมดแล้ว!”หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน อู๋เฉินก็คิดอะไรได้ ทันใดนั้นใบหน้าก็มีสีหน้าที่ตื่นเต้นขึ้นมาทันที


“งั้นก็ดี ผมให้พวกคุณสองสามกระบอก!”เยี่ยเทียนตะโกนไปที่มาราไกย์ “เหล่าหม่า เอาปืนนั้นสักสองสามกระบอกทิ้งไว้ให้ผมด้วยนะ ราคาเท่าไหร่ถึงตอนนั้นผมจะคิดให้คุณทีเดียว!”


เนื่องจากมีความจำเป็นต้องควบคุมและสร้างความสมดุลให้ทั้งสองฝ่าย เยี่ยเทียนต้องรักษาสมดุลของกองกำลังของทั้งสอง แม้ว่าประสบการณ์การต่อสู้ที่แท้จริงของอู๋เฉินจะไม่ดีเท่าทหารรับจ้างชั้นนำอย่างมาราไกย์ แต่การมีอาวุธอัตโนมัติในมือ เป็นการภัยคุกคามต่อเยี่ยเทียน ส่วนพวกมาราไกย์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง


“คุณยังต้องการปืนอีกเหรอ?”


มาราไกย์ได้ยินถึงกับตะลึง มองไปยังพวกของอู๋เฉินที่อยู่ข้างๆ เยี่ยเทียน ทันใดนั้นก็เข้าใจได้ทันที ยิ้มแล้วพูดว่า “OK งั้นปืนไม่กี่กระบอกนี้ให้พวกคุณนะ ด้านในยังมีลูกกระสูนอยู่สามกล่อง ให้พวกคุณทั้งหมดเลย”


สำหรับเยี่ยเทียนแล้ว มาราไกย์เขาไม่ได้มีความคิดอะไรหรอก เพราะจากภาพลักษณ์ที่น่าสมเพชของทหารรับจ้างที่เห็นในไต้หวัน มันยังอยู่ในห้วงความคิดของมาราไกย์อยู่ เขาไม่เคยมีความคิดที่ต่อสู้กับเยี่ยเทียนเลยสักนิด


“ดี งั้นก็ต้องขอบคุณพวกคุณแล้ว!”


เยี่ยเทียนไม่ได้เกรงอกเกรงใจอะไร โบกไม้โบกมือ อู๋เฉินรีบพุ่งออกไป หลังจากเลือก AK47 ที่ใหม่แปดสิบเปอร์เซ็นต์ หลังจากจับมันมาก็วางไม่ลง หลังจากนี้แก๊งค์เด็กๆ พวกนี้ก็จะไม่อยากเป็นสองรองใคร ก็ต่างมาแย่งปืนของตัวเองคนละกระบอก


“เหล่าหู คุณว่า…ยุทธภพอย่างพวกเรา จะไม่มีวันเสื่อมลงเหรอ”


เมื่อเห็นท่าทางจองพวกอู๋เฉิน เยี่ยเทียนก็ยิ้มเจื่อนๆ ขึ้นมา พวกคนศิลปะการต่อสู้เหล่านี้ต่างก็แสดงสีหน้าเช่นเดียวกัน ใครบ้างที่เต็มใจที่จะฝึกฝนศิลปะการต่อสู้อย่างหนักแล้วไม่ได้ใช้ประโยชน์ล่ะ ต้องรู้ว่า ยกเว้นเยี่ยเทียนที่เป็นคนฝึกกังฟูและวิชาจนถึงขั้นสุดยอด ปกติแล้วต้องฝึกนักมวยเป็นเวลาสิบถึงยี่สิบปี เกรงว่าแม้แต่กระสูนก็ไม่สามารถซ่อนตัวไปได้


“ก็มีแนวโน้มอย่างมาก ไม่ใช่นายกับฉันจะย้อนกลับไปได้”


หูหงเต๋อมองได้ขาด เมื่อเขาอายุสามขวบและยังคงสวมผ้าอ้ม เล่นปืนกับพ่อของเขาอยู่เลย ฝีมือการยิงปืนไม่ใช่แม่นยำธรรมดา และสามารถแค่เข้าไปล่าสัตว์ในป่าในประเทศจีนได้เท่านั้น แต่ตอนนี้มีปืนที่ปรากฏอยู่ต่อหน้า ก็อดไม่ได้ที่เข้าไปหยิบสักกระบอกมาไว้ในมือ


“ได้ นายก็ไปเถอะ…”


เมื่อเห็นโจวเซี่ยวเทียนที่มีใบหน้าที่อยากลอง เยี่ยเทียนเตะขาของเขาด้วยความโกรธ มองไปที่หลิ่วติ้งติงแล้วพูดว่า “ยังดีที่ติ้งติ้งยังรู้ความ พวกเราเป็นคนฝึกวิชา จะไปหยิบจับปืนทำไมกัน”


“ท่านลุง ปืนนี้น่าเกลียดจะตาย ถ้าฉันหยิบ ฉันก็จะพวกปืนกลลูกซองของพวกชาวต่างชาติ!”


คำพูดของหลิ่วติ้งติ้งนี้ ทำให้เยี่ยเทียนที่โกรธอยู่แล้วถึงกับกรอกตามองบน พูดชื่อปืนได้ชัดเจนขนาดนี้ เขาไม่เชื่อว่าหลิ่วติ้งติ้งไม่เคยเล่นปืนมาก่อน


“บอส พวกเราไปก่อนนะ!”


หลังจากถ่ายโอนคลังแสงขนาดเล็กไปยังรถหุ้มเกราะ มาราไกย์ก็ทักทายเยี่ยเทียนในขณะที่อยู่ในรถ เตะคันเร่งต่ำด้วยเท้าข้างหนึ่ง จากนั้นตามด้วยเบรกเท้า หมุนพวงมาลัยอย่างแรง จู่ๆ รถหุ้มเกราะคันนี้ก็พุ่งตัวลอยออกไป


“แม่ง อยากตาย ก็ต้องอยู่ไกลๆ ฉันหน่อยนะ!” เมื่อมองรถหุ้มเกราะที่ออกไปไกล เยี่ยเทียนก็อดไม่ได้ที่จะด่าตามหลัง การบรรจุลูกกระสูนจำนวนมาก ถ้าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้น ภายใน 100 เมตรนี้เกรงว่าจะเผาทำลายพื้นไปเสียหมด


“พอแล้ว อย่าเล่น มานี้ให้หมด!”


หลังจากที่พวกมาราไกย์ออกไปแล้ว เยี่ยเทียนก็ปรบมือ ตะโกนเรียกลูกน้องที่กำลังอยู่กับคนที่คุ้นเคยกับอาวุธปืนภายใต้การแนะนำของหูหงเต๋อ “เก็บปืนเถอะ ปิดให้ดี พักผ่อนสักหน่อยเต็มตัวเดินทางได้!”


ไม่รู้ว่าทำไม หลังจากที่ตัวเองมาถึงที่พม่า ในใจของเยี่ยเทียนก็รู้สึกเร่งรีบขึ้นมา ดูเหมือนว่าวิกฤตอย่างหนึ่งที่เขามองไม่เห็นกำลังจะเข้าใกล้ตัวเขา นี่ก็คือเยี่ยเทียนเต็มใจที่จะติดหนี้บุญคุณของถังเหวินหย่วน นี่เป็นเหตุผลที่ต้องใช้รถทางการทหารของพม่า



และเมื่อเยี่ยเทียนและคนอื่นๆ กำลังมุ่งไปที่ตองยี เครื่องบินเช่าเหมาลำลงจอดที่สนามบินมัณฑะเลย์อย่างช้าๆ หลังจากที่เครื่องบินลงจอด ด้านบนมีมากกว่าหนึ่งร้อยคนที่สวมใส่เสื้อผ้าแบบสบายๆ พร้อมใส่หมวกกันแดดสำหรับนักท่องเที่ยว ชายหนุ่มโบกธงเล็กๆ ในมือ เดินเป็นแถวยาวเหยียดขึ้นรถบัสขนาดใหญ่สองสามคันที่จอดรออยู่ทางออกสนามบินตั้งนานแล้ว


เที่ยวบินเช่าเหมาลำเที่ยวบินตรงจากญี่ปุ่นไปยังมัณฑะเลย์ แน่นอนว่าสมาชิกทั้งหมดคือตระกูลคิตะมิยะ


การเดินทางมาพม่าครั้งนี้ คิตะมิยะฮิเดโอะเริ่มเคลื่อนไหวพร้อมอาวุธ นี่ก็เป็นหลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง ตระกูลคิตะมิยะเป็นครั้งแรกที่มีการโจมตียิ่งใหญ่ขนาดนี้ แน่นอน รายนามการมาพม่าในครั้งนี้ เป็นเพียงการท่องเที่ยวแบบกลุ่มที่จัดขึ้นโดยบริษัทขนาดใหญ่ในเครือคิตะมิยะเท่านั้น


รถโดยสารสี่คันออกจากสนามบินและผ่านตัวเมืองมัณฑะเลย์ จอดอยู่ในลานจอดรถของโรงแรมที่มีสัญลักษณ์ห้าดาว ลานจอดรถที่ห้ามใช้ นอกจากเต็มไปด้วยคนที่พูดด้วยภาษาญี่ปุ่น ก็ไม่มีคนพม่าสักคน


แม้ว่าในช่วงต้นทศวรรษ 1950 เขากลับมาจากพม่า แต่คิตะมิยะ ฮิเดโอะก็ไม่เคยที่จะยอมแพ้ในการขุดหาทองเลย เพื่ออำนวยความสะดวกให้สมาชิกในครอบครัวอยู่ในพม่าได้ยาว เขาถึงใช้เงินหลายร้อยล้านดอลลาร์เพื่อลงทุนในโรงแรมหรูหราแห่งหนึ่งในมัณฑะเลย์


หลังจากที่เหน็ดเหนื่อยมาตลอดทาง สมาชิกตระกูลคิตะมิยะ ฮิเดโอะก็ได้จัดเข้าไปในห้องพักแล้ว นอกจากคิตะมิยะ ฮิเดโอะและชายชราที่มีอายุเท่ากันกับคนชราที่อายุไม่แตกต่างกับเขามาก ยังมีคิตะมิยะ ฮิโคโตชิทั้งสี่คน มีคนญี่ปุ่นวัยกลางคนที่คอยนำทาง มายังห้องชุดประธานาธิบดีบนชั้น 18 ของโรงแรม


……


ตอนที่ 489 ความขัดแย้ง

โดย

Ink Stone_Fantasy

โรงแรมแห่งนี้ที่จริงแล้วสร้างตามความเคยชินของคนญี่ปุ่น สไตล์ในห้องชุดประธานาธิบดียังเป็นสไตล์ญี่ปุ่น หลังจากที่พรรคพวกคิตะมิยะฮิเดโอะนั่งบนเสื่อทาทามิ ทันใดนั้นเด็กผู้หญิงจากญี่ปุ่นเริ่มต้มชา


“นายท่าน ได้นำคนมาหมดแล้ว คุณจะพักผ่อนสักหน่อยไหม ค่อยไปพบเขา”ที่แท้ชายหนุ่มวัยกลางคนที่เป็นผู้นำที่อยู่ตรงด้านหน้า ก็นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าคิตะมิยะฮิเดโอะ มีท่าทางเคารพนบน้อมอย่างมาก


คนที่พูดถึงคนนี้ก็คือคิตะมิยะนาโอกิ ปีนี้มีอายุ 45 ปี ตั้งแต่โรงแรมหน้าดาวแห่งนี้สร้างขึ้น เขาก็ทำงานที่นี่แล้ว


ฉากหน้าของคิตะมิยะนาโอกิคือรับผิดชอบการดำเนินกิจการในโรงแรม ที่จริงแล้วความสนใจหลักของเขาคือค้นหาที่อยู่ของทองคำล็อตนั้น เนื่องจากหลายปีไม่ได้มีความคีบหน้าอะไร ทุกปีต้องไปรายงานผลที่ต้นสังกัดญี่ปุ่น เขามักจะถูกเจ้านายตบหน้าอยู่หลายครั้ง ดังนั้นในตอนนี้สิ่งที่แสดงต่อหน้าคิตะมิยะฮิเดโอะก็คือต้องคอยระมัดระวัง


“ไอ้สาวเลว หรือว่าฉันให้มาที่พม่าเพื่อมาเที่ยวเล่นอยู่หรือไง”


คิตะมิยะฮิเดโอะที่ช่วงนี้ยิ่งควบคุมตัวเองไม่ได้ มือขวาก็ค่อยๆ ยกขึ้น แต่เมื่อคิดถึงคิตะมิยะนาโอกิที่ค้นหาในปีนั้นก็รู้สึกเห็นใจ ก็ถือว่ามีส่วนช่วยเหลือวงศ์ตระกูล ฝ่ามือไม่ได้ไปตกที่หน้าของเขา


“เฮ้ เดี๋ยวผมรีบพาเขามา!”


คิตะมิยะนาโอกิโค้งคำนับให้กับนายท่าน รีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและก้าวออกมาจากห้องชุดประธานาธิบดี ในใจก็มีความเสียใจบ้างที่จะแจ้งข่าวนี้ให้กับคิตะมิยะ ถ้ากองกำลังทหารของครอบครัวเราในครั้งนี้ ยังหาทองคำล็อตนั้นไม่เจออีก เขาไม่รู้ว่าชีวิตสั้นๆนี้จะรักษาอยู่หรือไม่


“นายท่าน ผมไปกับเขาเอง!”ในขณะที่คิตะมิยะนาโอกิจะออกไป คิตะยันจุนก็ลุกขึ้น หลังจากที่ทราบเจตนารมณ์ของคิตะมิยะฮิเดโอะแล้ว จากนั้นก็ตามหลังไป


“นาโอกิ พวกเราไม่ได้เจอกันตั้งปีหนึ่ง ผมหงอกของนายเยอะขึ้นนะเนี่ย!”


คิตะมิยะยันจุนกับคิตะมิยะนาโอกิเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ปกติความสัมพันธ์นั้นดีมากๆ หลังจากที่ตามหลังเขาทัน มีเสียงพพูดต่ำลง “ช่วงนี้อารมณ์ของนายท่านโมโหง่าย ข่าวของคนนั้นเชื่อถือได้ไหม”


“คุณยังจุน คุณเองก็แก่มากแล้วนะ……”


คิตะมิยะนาโอกิถอนหายใจ ยิ้มเจื่อนๆแล้วพูดว่า “ไม่ว่าของคนนั้นจะเชื่อถือได้หรือไม่ ฉันก็ได้บอกนายท่านไปแล้ว แต่การกลับไปรายงานที่ประเทศในปีนี้ เกรงว่าเจ้านายจะสั่งผ่าท้องฉันก่อนนะสิ ยันจุน เจ้านายโหดเหี้ยมเกินไปไหม”


การผ่าท้องที่ญี่ปุ่น เป็นการฆ่าตัวตายวิธีหนึ่งที่มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานมาก เป็นวิธีที่ฆ่าตัวตายโดยการใช้มีดผ่าตรงท้อง ที่เห็นว่า“เป็นเกียรติยศ”


จุดเริ่มต้นของการแพร่หลายการผ่าท้อง หลังจากผู้สำเร็จราชการคามูกูระ เพราะถูกลงโทษให้ถูกตัดตรงส่วนท้อง หรือละอายใจที่ถูกจับหลัวผ่าหน้าท้อง ทำอยู่หลายครั้ง จนกระทั่งถึงยุคสงคราม หลังจากที่เปิดตัวเอโดะ กฎทางสังคมค่อนข้างคงที่ และการผ่าท้องในเวลานั้น ส่วนใหญ่ใช้เป็นการลงโทษวิธีหนึ่ง


พอถึงยุคสงครามครั้งที่สอง พฤติกรรมการผ่าตัดหน้าท้องของคนญี่ปุ่นก็เพิ่มสูงขึ้น ยิ่งกว่านั้นถูกตีความในภาพยนตร์และโทรทัศน์ต่างๆ และก็เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก


พูดความจริงก็คือ ในฐานะผู้ควบคุมกองทัพโอซาก้า ตระกูลคิตะมิยะให้ความสำคัญกับความยุติธรรม และไม่สนับสนุนความรุนแรง ตั้งแต่ยุคโชกุน มีพฤติกรรมการฆ่าตัวตายผ่าตัดหน้าท้องน้อย


แต่หลังจากที่คิตะมิยะฮิเดโอะขึ้นเป็นใหญ่ กลับบังคับครอบครัวขุนนางหลายคนผ่าตัดหน้าท้อง และนี่ทำให้คนในตระกูลหลายคนไม่พอใจคิตะมิยะฮิเดโอะ แค่ความโหดเหี้ยมของคิตะมิยะฮิเดโอะนี้ ก็ไม่มีใครกล้าออกหน้าที่จะต่อต้านเท่านั้น


“นาโอกิ ระวังคำพูดหน่อยสิ!”


หลังจากที่ได้ยินลูกพี่ลูกน้องชาย สีหน้าของคิตะมิยะยันจุนถึงกับเปลี่ยนสีเป็นอย่างมาก มองรอบๆทั้งสี่ทิศ พูดไม่กี่ประโยคด้วยเสียงที่ลดต่ำลงว่า  “การกระทำของนายท่าน ก็เพื่อประโยชน์ของวงศ์ตระกูล แต่พฤติกรรมของนายท่านก็ถูกคนเฒ่าคนแก่ตำหนิมาบ้าง ถ้าการค้นหาครั้งนี้หาทองคำล็อตนั้นไม่เจอ นายก็หลบหนีไปสักพัก หรือบางอย่างเปลี่ยนไปก่อน!”


ในฐานะผู้สืบทอดอำนาจเกือบพันปี ตระกูลคิตะมิยะนอกจากคิตะมิยะฮิเดโอะคนหนึ่งแล้ว ด้านบนของนายท่าน ยังมีผู้อาวุโสในครอบครัวที่ไม่ได้เกิดมาเพื่อเชี่ยวชาญในเคนโด้ คนพวกนี้คือหัวใจสำคัญของตระกูลคิตะมิยะ


เมื่อปีที่แล้ว คิตะมิยะฮิเดโอะบังคับให้สมาชิกในครอบครัวที่ทำผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ลงโทษโดยการผ่าท้อง ใครจะรู้ว่าชายผู้นี้เป็นลูกหลานของผู้เฒ่า เนื่องจากสิ่งนี้เองทำให้พวกบรรดาผู้เฒ่าไม่พอใจ มีคนเสนอให้เขาปลดออกการจาการเป็นหัวหน้า กลับเข้าไปที่อยู่เดิมฝึกเคนโด้อย่างลำบากลำบน


แน่นอน ในบรรดาผู้เฒ่าก็คนที่สนับสนุนคิตะมิยะฮิเดโอะ ไม่อย่างนั้นตอนที่คิตะมิยะฮิเดโอะได้ทำผิดพลาดในการลงทุนในปี 1980 เขาก็คงถูกปลดออกจากตำแหน่งหัวหน้าตระกูลแล้ว


ดังนั้นข้อเสนอแนะนี้ได้ถูกโต้แย้ง เรื่องที่คิตะมิยะฮิเดโอะมาที่พม่ามาค้นหาทองในครั้งนี้ ก็เป็นการตัดสินว่าคิตะมิยะฮิเดโอะจะอยู่จุดสูงสุดที่ดำรงตำแหน่งหัวหน้าของตระกูลได้ต่อหรือไม่


การหาทองล็อตนั้นเจอ จะพิสูจน์ความถูกต้องของคิตะมิยะฮิเดโอะ ถ้าหาไม่เจอ ความขัดแย้งทั้งหมดในอดีตจะปะทุขึ้นอีกครั้ง ต่อให้คิตะมิยะฮิเดโอะจะแข็งแกร่ง แต่เส้นทางที่มือสลัวก็ถอยลงได้


ก่อนที่มาพม่าในคราวนี้ ผู้อาวุโสที่เหลืออีกเพียงแปดคนจากตระกูลคิตะมิยะก็มาในครั้งนี้ด้วยสามคน ยังเป็นผู้อาวุโสที่มีความสัมพันธ์โดยตรงกับคิตะมิยะฮิเดโอะ แต่พวกเขาชอบความสงบ ไม่ได้มาพร้อมกับคนส่วนใหญ่ และนั่งเครื่องบินพิเศษของตระกูลคิตะมิยะที่จะตามมาหลังจากนี้


“ฉันรู้แล้ว ขอบคุณยันจุน!”


คิตะมิยะนาโอกิก็ถือว่าเป็นสมาชิกสำคัญในตระกูล  สำหรับการขัดแย้งพวกนั้นรู้เองโดยธรรมชาติ หลังจากที่ได้ยินคำพูดของพี่ที่เป็นลูกพี่ลูกน้อง ทันใดนั้นใบหน้าก็เผยความปิติยินดีออกมา คิตะมิยะฮิเดโอะเป็นหัวหน้าวงศ์ตระกูลมาหลายสิบปี แทบจะใช้ประโยชน์จากตระกูลคิตะมิยะโดยไม่มีการเสียเปรียบด้วยซ้ำ ผลของการที่ไม่คิดหน้าคิดหลังก็แค่จักรพรรดิที่โง่ที่มีผู้คนเลื่อมใสยอมตายให้


“พอแล้ว นายเอกก็ระวังตัวหน่อย สองสามวันนี้ห้ามก่อเรื่อง ถ้านายท่านจะทำขึ้นมา ฉันก็ปกป้องนายไม่ได้นะ!”


คิตะมินะยันจุนกำชับน้องเสียงเบาๆ หลายปีมานี้เขาก็ปลูกฝังลูกน้องของตัวเองไม่น้อย คิตะมินะนาโอกิดำเนินกิจการโรงแรมระดับห้าดาวในพม่ามาหลายปี ก็ถือว่าเป็นลูกน้องที่ดี เขาไม่ทำให้เกิดเรื่องขึ้นแน่นอน


“ครับ ผมจะระวัง!”


คำพูดของผู้พี่ลูกพี่ลูกน้องทำให้คิตะมินะนาโอกิหวาดกลัวไปหมด เขารู้ว่าคิตะมิยะฮิเดโอะปกติแล้วก็ดูเหมือนชายแก่ท่าทางที่ไม่สบาย แต่ความจริงแล้วเขามีความรู้วิชาเคนโด้ที่ลึกซึ้งมาก


ตอนที่คิตะมิยะฮิเดโอะแย่งตำแหน่งหัวขงตระกูล คิตะมินะนาโอกิตอนนั้นเพิ่งจะอายุสิบขวบ ก็เห็นคิตะมิยะฮิเดโอะฆ่าคนด้วยมีดกับตาตัวเอง ตัดเขาพ่อและแม่ที่ให้กำเนิดเขาแต่ยามที่ดูแลหัวหน้าขณะนั้น การทำร้ยพ่อเขาถึงชีวิต แทบจะเผาคนทั้งคนเป็น ๆ


เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่คิตะมินะนาโอกิเก็บไว้ในใจหลายปี ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ นาโอกิถึงแม้จะไม่พอใจคิตะมิยะฮิเดโอะเป็นอย่างมาก แต่แต่ไหนแต่ไรก็ไม่กล้าที่จะขัดคำสั่งของเขาเมื่อได้ฟังคำพูดของผู้พี่แบบนี้ ในใจก็มีความหวังเล็กๆขึ้นมา


ระหว่างการพูดคุยของสองคน เดินมาถึงที่ห้องหนึ่งที่ชั้นสิบของโรงแรม ที่หน้าประตูห้อง มีคนสองคนยืนอยู่ คิตะมินะนาโอกิก็ทักทายพวกเขา หนึ่งในนั้นควักคีการ์ดมาเปิดประตูให้


หลังจากที่เข้ามาในห้องชุดที่หรูหราแล้ว คิตะมินะนาโอกิก็ใช้ภาษาพม่าที่คุ้นเคย นั่งบนโซฟาแล้วพูดกับชราคนหนึ่งที่กำลังดูโทรทัศน์ พูดว่า “ตะคีนบะเต้นติน อยู่ที่นี่มีความสุขไหมครับ”


“ชิน……ชินแล้ว แต่ คุณคิตะมิยะ ผม……ผมอยากกลับไปแล้ว”


ท่าทางของคนแก่วัยเจ็ดสิบกว่าปี บนศีรีษเต็มไปด้วยผมหงอก ใบหน้าที่พบเจอตามแทบภูเขา คล้ายๆกับผู้เฒ่าผู้แก่ดั้งเดิมของชนบทพม่า รูปร่างของเขาไม่สูงมาก หลังจากที่อายุเพิ่มมากขึ้น ร่างกายก็หลังค่อมบ้าง หลังจากที่ลุกขึ้นจากโซฟา  ไม่รู้ว่านั่งอยู่ตรงนี้นานขนาดไหนแล้ว สีหน้าเห็นได้ชัดว่ามีความระมัดระวังอย่างมาก


“อ้อ ตะคีนบะเต้นตินผมดูแลไม่ดีเหรอครับ คุณมีอะไรที่อยากได้ บอกผมได้นะครับ!”


คิตะมิยะนาโอกิยิ้มแล้วพูดว่า “ชาวชนเผ่าของคุณอยากให้คุณอยู่ที่นี่อีกสักพักหนึ่ง แต่ถ้าคุณอยากจะกลับไปจริง ๆ งั้นก็ได้ สักพักผมจะมาคุณไปเจอคนคนคนหนึ่ง คุณตอบคำถามสักสองสามคำก็พอแล้ว!”


“ได้ ได้ ถ้ากลับไปได้ก็คงดี!”


ตะคีนบะเต้นตินถึงแม้ว่าจะเป็นชายพม่าธรรมคนหนึ่ง แต่ตลอดชีวิตไม่เคยออกจากหมู่บ้านภูเขาที่เขาอยู่เลย แต่พอถึงอายุของเขานี้ ก็สามารถเห็นเรื่องราวในหลายเรื่อง รู้ว่าตัวเองอยู่ที่สุขสบาย แต่ที่จริงกลับกักบริเวณไว้


ส่วนที่คิตะมิยะนาโอกิบอกว่าครอบครัวของเขาอยากให้อยู่ที่นี่นานสักพัก ความจริงแล้ว ตะคีนบะเต้นตินเป็นคนรัฐฉานพม่า ตั้งแต่ราชวงศ์ชิงหมิงของจีน รัฐฉานถูกกษัตริย์ปกครองมาโดยตลอด ไม่ยอมรับการปกครองและผู้นำของพม่า พวกเขามีภาษาและตัวอักษรที่ใช้เอง เหมือนกับคนจีนทุกประการ


ในปี 1947 รัฐฉานพม่า รัฐคะฉิ่น รัฐชินและสำนักงานใหญ่ของพม่าตั้งอยู่ที่เมืองปินลองในรัฐฉาน ต่างก็ลงนามใน “สนธิสัญญาข้อตกลงปินหลง” เพื่อแสวงหาความเป็นอิสระร่วมกันจากรัฐบาลอังกฤษ ในที่สุดกษัตริย์แห่งรัฐฉานก็เป็นประธานาธิบดีคนแรกของรัฐบาลพม่า จะเห็นได้ว่าอำนาจและสถานะของรัฐฉานมีความสำคัญในพม่า


แต่ในปี 1962น ายพลนินอินผู้แข็งแกร่งทางทหารของพม่ายึดอำนาจในการทำรัฐประหาร ในปีเดียวกัน “รัฐธรรมนูญของสหพันธรัฐ” ถูกโมฆะและคณะกรรมการจัดตั้งขึ้นเพื่อการปกครองแบบเผด็จการทหาร รัฐต่างๆได้ต่อสู้กับสำนักงานใหญ่พม่าจัดตั้งเอกราชดั้งเดิมของเขา สงครามกลางเมืองแพร่กระจายไปทั่วประเทศพม่า และไม่สามารถควบคุมได้


ท่ามกลางสงครามกลางเมือง แน่นอนว่ารัฐฉานเป็นกำลังหลักของรัฐบาลต่อต้านการทหารอย่างไม่ต้องสงสัย ในปี 1960 และ 1970 มีคนหนุ่มสาวหัวรุนแรงจำนวนมากในจีน เข้าร่วมสงครามกลางเมืองในพม่าเพื่อช่วยให้ชาวฉานต่อสู้เพื่อเสรีภาพ


สงครามยืดเยื้อนี้ดำเนินต่อไปสู่ยุค 1990 คุนซาพ่อค้ายารายใหญ่ที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้คือผู้นำคนต่อมาของรัฐฉาน ครั้งหนึ่งเขาเคยประกาศในปี 1993 ว่ารัฐฉานถูกแยกออกจากสหภาพพม่าเพื่อจัดตั้งรัฐอิสระ


ถึงแม้ว่าคุนซาจะยอมจำนนให้กับทหารทางการพม่าแล้ว แต่ยังคงมีการต่อสู้อย่างต่อเนื่องในรัฐฉาน กองทัพน่านฉานยังต่อสู้เพื่ออิสรภาพของรัฐฉาน


แต่การสูญเสียจากสงครามมีขนาดใหญ่ และบ่อยครั้งในพื้นที่รัฐฉานก็ยังได้รับการช่วยเหลือจากคิตะมิยะนาโอกิ กลายเป็นแขกผู้มีเกียรติที่สำคัญของพวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นตะคีนบะเต้นตินที่อาศัยอยู่ในโรงแรมนี้ ที่จริงเกิดจากการฝากฝังใครบางคนในรัฐฉาน


……

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)