ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 485-488
ตอนที่ 485 “ร่างแบ่งที่แข็งแกร่งที่สุด”
การมาเกิดใหม่ย่อมต้องข้ามผ่านบททดสอบความทุกข์ยากในใต้หล้า หลังผ่านการเกิดใหม่แล้ว จิตใจของผู้บำเพ็ญเพียรก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น แม้แต่พลังวิญญาณยังแข็งแกร่งขึ้นไปด้วย
แน่นอนว่าย่อมต้องมีการก้าวข้ามที่ล้มเหลว ….เช่นนั้นผลลัพธ์ของการเกิดใหม่ที่ล้มเหลวคืออะไร ตู๋กูซิงหลันในตอนนี้ย่อมไม่รู้
เนื่องเพราะว่านางก็ไม่เคยเห็นมาก่อน
“เขาก็คือร่างที่แบ่งภาคมาเกิดใหม่ของข้า” ในที่สุดซื่อมั่วก็เอ่ยถึงประเด็นสำคัญ
เขาเหลือบมองจีเฉวียนแวบหนึ่ง แววตาคู่นั้นไม่มีริ้วรอยของอารมณ์แม้แต่น้อย
“ร่างแบ่งภาคมาเกิดของท่านอาจารย์?” ตู๋กูซิงหลันยังคงงงงันกับคำตอบนี้อยู่ดี
นางเคยคิดไปว่า จีเฉวียนกับท่านอาจารย์อาจมีความผูกพันทางสายเลือด เป็นญาติสนิท…..แต่คิดไม่ถึงว่า ที่แท้แล้วเขาจะเป็นร่างจุติมาเกิดของท่าอาจารย์
ก็ท่านอาจารย์ตอนนี้……กำลังอยู่ตรงหน้าของตนด้วยท่าทางที่สบายดี
ตู๋กูซิงหลันออกจะงงงันไปบ้างแล้ว
พอเห็นท่าทางที่สับสนของนาง ซื่อมั่วก็ได้แต่เก็บอารมณ์ที่ขุ่นมัวเอาไว้ เขานั่งลงตรงข้างโต๊ะ เส้นผมทอดลงไปบนพิณโบราณ ปลายเล็บแหลมยาวดีดเป็นเสียงติงๆเบาๆ เกิดเป็นเสียงที่ลึกล้ำขึ้นมา ภายใต้เสียงพิณที่สั่นสะท้าน สายตาของเขาจับจ้องอยู่บนใบหน้าของตู๋กูซิงหลันทุกๆรายละเอียด “เนื่องเพราะเหตุผลบางประการ ….อาจารย์ไม่อาจไปเกิดใหม่ด้วยตัวตนที่แท้จริง ได้แต่แบ่งภาคเป็นพันเป็นหมื่นลงไปยังโลกมิติต่างๆ”
พอพูดเช่นนี้ ตู๋กูซิงหลันก็ยิ่งประหลาดใจกว่าเดิม
‘ชาติก่อน’ นั้น นางรู้แต่เพียงว่าอาจารย์ของตนเองไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา
วันนี้ถึงจะรู้ว่าเขาแข็งแกร่งแบบสุดหยั่ง แต่ก็ยังคิดไม่ถึงว่าจะแข็งแกร่งขนาดนี้
ลงมาเกิดใหม่ก็ สามารถแบ่งภาคลงมาจัดการได้ด้วยหรือ?
ก่อนหน้านี้ตู๋กูซิงหลันก็เคยผ่านสายฟ้าสวรรค์ที่ทั้งใหญ่และเล็กมาแล้ว แต่ละครั้งเป็นต้องถูกสายฟ้าฟาดจนเจ็บปวดสุดทนทาน ได้แต่ต้องใช้ความแข็งแกร่งของตนเองเข้ากัดฟันรับเอาไว้ เมื่อสามารถรับสายฟ้าฟาดได้ ร่างกายและจิตวิญญาณก็จะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นกว่าเดิม
แบ่งภาคมาเกิดใหม่….นางไม่เคยคิดถึงมาก่อนเลย
คนที่นั่งอยู่ข้างกายของนางคือจีเฉวียนที่ตัวแข็งเป็นก้อนหิน ร่างกายของเขาเริ่มโปร่งแสงและร้อนขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าแค่ลมผ่านมาก็สามารถพัดเขาจนสลายวูบไปได้
ตู๋กูซิงหลันมองดูเขา เห็นว่าในแววตาของจีเฉวียนไม่ปรากฏร่อยรอยของความมีชีวิตอีกต่อไป
“ร่างแบ่งนับพันนับหมื่นของอาจารย์ มีทั้งแข็งแกร่งและอ่อนแอแตกต่างกันไป ท่ามกลางโลกต่างๆนับพันใบ บางทีที่เจ้าบังเอิญได้พบเจอ อาจเป็นต้นไม้ใบหญ้า เป็นปักษาหรือสัตว์ป่า ก็อาจเป็นร่างแบ่งของอาจารย์ได้ทั้งนั้น รอจนพวกมันทั้งหมดผ่านพ้นความทุกข์ยากบนโลกหล้า เมื่อตายแล้วก็จะกลับคืนสู่อาจารย์”
นิ้วมือของซือมั่วกรีดผ่านพิณโบราณ จากเสียงดีดสั้นๆ ต่อเนื่องเป็นท่วงทำนอง
เป็นเพลงบรรเลงที่ลึกล้ำเพลงหนึ่ง เพียงแค่ได้ยินท่วงทำนองไม่กี่เสียงก็ทำให้คนสัมผัสได้ถึงความว่างเปล่าที่ไร้สิ้นสุดได้แล้ว
“แต่ว่า ท่ามกลางร่างแบ่งภาคนับพันนับหมื่นของอาจารย์ เจ้ากลับบังเอิญได้พบกับ ร่างแบ่งเพียงหนึ่งเดียวที่เป็นมนุษย์ ทั้งยังได้รับสืบทอดพลังของอาจารย์ และสามารถใช้คาถาต่างๆของอาจารย์ได้”
ดาบปลิดวิญญาณเล่มนั้นก็เป็นของซื่อมั่วนั่นเอง
เนื่องเพราะว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด ดังนั้นจึงต้องพบกับความทุกข์มากที่สุด
“เมื่อเป็นร่างแบ่งที่แข็งแกร่งที่สุดของอาจารย์ เขาย่อมต้องผ่านความทุกข์ยากที่ขมขื่นที่สุดแทนข้า”
“เกิด แก่ เจ็บ ตาย คับแค้น รักพลัดพราก และความไม่สมปรารถนาต่างๆ”
คนใกล้ชิดตายจาก คนรักทอดทิ้ง โดดเดี่ยวเพียงลำพัง จนมาถึงตายเพื่อใต้หล้า
แต่เส้นทางที่ถูกลิขิตเอาไว้แล้วเหล่านี้ กลับสับสนวุ่นวายไปเพราะเพื่อตู๋กูซิงหลัน
“ท่ามกลางความซับซ้อน เจ้าได้พบกับเขาอย่างบังเอิญ….”
อ่านนิยาย
เสียงพิณของซื่อมั่วหยุดลง เขาเงยหน้าขึ้นมา มองดูตู๋กูซิงหลัน “ตอนนี้เจ้าเข้าใจแล้วหรือยังว่า…ทำไมเขาถึงถูกกำหนดให้ต้องตาย?”
ตู๋กูซิงหลันถึงกับตอบอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ
จีเฉวียนคือร่างแบ่งภาคที่แข็งแกร่งที่สุดของอาจารย์ มิน่าเล่าตั้งแต่เยาว์วัย เขาก็ต้องใช้ชีวิตอย่างลุ่มๆดอนๆ
“ตอนที่อยู่ใต้ก้นทะเลลึก เดิมทีก็เป็นเวลาดับสูญของเขาแล้ว” ซื่อมั่วกล่าวต่อไป “แต่เพราะว่าเจ้าไม่อาจตัดใจ เขาจึงมีชีวิตต่อมาอีกช่วงหนึ่ง แต่แน่นอนว่าไม่อาจคงอยู่ได้ยาวนาน”
เสียงพิณดำเนินต่อไป เปลี่ยนเป็นอบอุ่นอ่อนโยน “ศิษย์เอ๋ย เจ้าสมควรวางมือ หากรั้งร่างแบ่งภาคที่ไม่สมควรคงอยู่เอาไว้ในใต้หล้า สำหรับเขาแล้ว นี่จะเป็นความทุกข์ทรมานอย่างหนึ่ง”
สำหรับตัวเขาแล้ว ร่างแบ่งภาคที่ไปเกิดแล้วไม่กลับคืนมา….. ก็เท่ากับว่าการข้ามผ่านครั้งนี้….ล้มเหลว
แต่เรื่องนี้เขาย่อมไม่บอกกับตู๋กูซิงหลันอย่างแน่นอน
“ท่านอาจารย์……” ตู๋กูซิงหลันหันไปมองดูจีเฉวียนที่อยู่ข้างๆเห็นร่างที่บอบบางเพียงแค่ลมพัดก็พร้อมจะแตกสลายของเขา ก็คิดย้อมกลับไปถึงภาพของตัวเขาตลอดที่ผ่านมา
นางเคยมีคำถามอยู่หลายครั้งว่าฐานะที่แท้จริงของเขาคือใคร
แต่ว่าจีเฉวียนไม่เคยบอกกับนาง
ตอนนี้มาคิดๆดูแล้ว ไม่ใช่เพราะเขาไม่ยินดีจะบอก…… แต่ว่าบางทีแม้แต่ตัวเขาเองก็อาจจะไม่รู้ก็เป็นได้….คนที่สูงส่งเช่นเขาที่จริงกลับเป็นเพียงแค่ร่างแบ่งของผู้อื่น
ก็แค่ภาคหนึ่งที่ถูกแบ่งออกมาเพื่อก้าวผ่านชาติภพ เพื่อรับความเจ็บปวดและทุกข์ทนบนโลก
นางไม่รู้ว่าตอนนี้จีเฉวียนสามารถได้ยิน หรือมองเห็นได้หรือไม่…… หากเขาได้รับรู้เรื่องนี้ ในใจจะรู้สึกเช่นไร?
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร หัวใจของตู๋กูซิงหลันพลันเจ็บปวด
นางสงสารจีเฉวียน
เป็นความปวดใจอย่างแท้จริง
ดังนั้นขณะที่ซื่อมั่วกำลังจะเอ่ยปากอีกครั้ง นางก็คุกเข่าลงตรงหน้าของเขา
โขกหน้าผากหนักๆให้กับซื่อมั่ว
“อาจารย์!” พอเงยหน้าขึ้นมา นางก็เรียกเขาอีกครั้ง “ในชีวิตนี้ของศิษย์….. ไม่เคยร้องขออะไรจากท่าน….แต่ว่าครั้งนี้ขอร้อง โปรดอย่าให้เขาสลายหายไป…..อย่าให้….”
ถึงแม้จะรู้ว่าเมื่อจีเฉวียนตายแล้วจิตวิญญาณจะกลับคืนไปสู่ท่านอาจารย์ แต่จะให้นางมองดูเขาตายไปเฉยๆ นางก็ทำไม่ได้
คลิก
นาง….ทนไม่ได้
ในสายตาของนาง จีเฉวียนก็คือจีเฉวียน อาจารย์ก็คืออาจารย์
ถึงแม้ว่าเขาจะมีฐานะเป็นร่างแบ่งของอาจารย์ แต่เขาก็มีความคิดความอ่าน ความต้องการของตนเอง เขามีเลือดเนื้อ เขาเป็นคนที่มีชีวิตคนหนึ่ง
น้อยนักที่ตู๋กูซิงหลันจะเอาแต่ใจเช่นนี้
แต่ครั้งนี้เพราะจีเฉวียน นางกลายเป็นคนเอาแต่ใจแล้ว
นี่เป็นเรื่องจริง ที่ผ่านมานางไม่เคยร้องขออะไรจากซื่อมั่ว
แม้แต่ยามที่ฝึกฝนจะตกอยู่ในความยากลำบากอย่างที่สุด เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายจนแทบจะต้องจบชีวิตไป นางก็ไม่เคยร่ำร้องโวยวาย กัดฟันผ่านมาด้วยกำลังของตนเอง
แต่….มีแต่เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านอาจารย์เท่านั้น ที่นางไม่กล้าต่อต้านเอาชนะ
“ท่านสามารถดึงเอาพลังทั้งหมดของเขากลับไป……ให้เขากลายเป็นเพียงคนธรรมดา…..ใช้ชีวิตที่เหลือในโลกนี้ แก่ไป ตายไป…..”
ใช่แล้ว ตอนนี้ตู๋กูซิงหลันเพียงปรารถนาให้จีเฉวียนเป็นแค่คนธรรมดา
ใช้ชีวิตแต่งงานมีลูกมีหลาน อยู่อย่างสงบสุขไปชั่วชีวิต อย่างที่เขาเคยฝันเอาไว้
ตู๋กูซิงหลันคุกเข่าลงตรงหน้าของซื่อมั่ว ในดวงตาดอกท้อคู่นั้นพร่าเลือนไปด้วยหมอกน้ำตา
นิ้วมือที่ดีดพิณของซื่อมั่วหยุดลง เมื่อมองดูสาวน้อยที่คุกเข่าตรงหน้า สีหน้าที่สงบนิ่งมานับพันปีของเขา ในที่สุดก็เปลี่ยนแปลงแล้ว
ศิษย์น้อยไม่เคยคุกเข่าให้กับผู้ใดมาก่อน
และไม่เคยขอร้องเขา
ยิ่งไม่เคยร้องไห้วิงวอนต่อเขา
ตอนนี้ หัวใจของซื่อมั่วเหมือนถูกเข็มมากมายทิ่มแทง
เพื่อร่างแบ่งร่างหนึ่ง นางขอร้องต่อเขา
นางวิงวอนเขาถึงเพียงนี้…..เพื่อร่างแบ่งที่สมควรตายไปตั้งนานแล้ว
ภายใต้แสงเทียนสลัว เขานั่งคุกเข่าอยู่ที่ข้างโต๊ะ ขนตาที่ยาวงอนบนใบหน้าปิดบังประกายเงาสีเทาฟ้าที่เกิดขึ้นในดวงตาเอาไว้
“หลันเอ๋อร์” เนิ่นนาน เขาถึงได้เอ่ยเรียกนางขึ้นมา ยามที่ดวงตาคู่นั้นเงยขึ้นมานั้น ก็ปรากศจากคลื่นอารมณ์ใดๆอีกครั้ง “หากว่าอาจารย์ให้เจ้าเลือกระหว่างเขากับข้าเพียงหนึ่งเดียว เจ้าจะเลือกใคร?”
………………………………..
ตอนที่ 486 ข้าชอบเขามากๆ จริงๆ
ว่าแล้ว เขาก็เสริมอีกประโยคหนึ่ง “เลือกจะให้ใครอยู่ ให้ใครตาย”
สีหน้าของตู๋กูซิงหลันเปลี่ยนเป็นย่ำแย่ไปในทันที “ท่านอาจารย์ ท่านถามคำถามเอาชีวิตเช่นนี้ ข้าเลือกไม่ได้”
นางติดค้างอาจารย์มากเกินไป ย่อมไม่มีทางเลือกให้ท่านอาจารย์ตาย
ส่วนจีเฉวียน…..นางก็ไม่อาจทนดูเขาตายไปต่อหน้า
ดังนั้นการเลือกครั้งนี้ นางทำไม่ได้
“ในโลกนี้ มีสูญเสีย จึงจะได้รับ เจ้าต้องการให้คนหนึ่งรอด ก็ต้องให้อีกคนตายไป หลันเอ๋อร์ เจ้าก็รู้ว่าอาจารย์ไม่เคยกล่าววาจาล้อเล่นมาก่อน”
ซื่อมั่วไม่เคยพูดเรื่องตลกขำขันมาก่อน แม้แต่กับตู๋กูซิงหลันก็ยังน้อยครั้งนักที่จะได้เห็นเขายิ้มออกมา
คนผู้นี้…….มีแต่ความจริงจัง เคร่งเครียดอยู่เสมอ
ถึงจะมีรูปโฉมงดงามล้ำโลก แต่ว่าก็ไม่เคยมีรอยยิ้มแม้แต่น้อย
ไม่เคยพูดเรื่องล้อเล่น
ราวกับว่าเขาเกิดมาก็หัวเราะไม่เป็น ไม่มีอารมณ์ขำขัน
ไม่ว่าจะกระทำเรื่องใด ล้วนแต่เคร่งเครียดจริงจัง
ประโยคนี้ เท่ากันสาดน้ำดับไฟความหวังที่มีอยู่เพียงน้อยนิดในใจของตู๋กูซิงหลันไป
หากนางดื้อดึงจะให้จีเฉวียนอยู่ต่อไป……ท่านอาจารย์ก็จะต้องตายอย่างนั้นหรือ?
“ใต้หล้าไม่มีเรื่องใดที่สมบูรณ์พร้อม จะปลาหรืออุ้งตีนหมีต้องเลือกสักอย่าง ศิษย์เอ๋ย จิตใจที่ละโมภของเจ้าสมควรต้องขัดเกลาให้มาก” ซื่อมั่วไม่อาจทนมองดูนางคุกเข่าอยู่บนพื้นที่เย็นเฉียบ
เขาลุกขึ้น พยุงนางขึ้นยืนด้วยตนเอง
ฝ่ามือกว้างประคองมือที่ละเอียดนุ่มของนางเอาไว้ สัมผัสไออุ่นบนหลังมือของนาง
ตั้งแต่เล็กจนโต นางได้รับการเลี้ยงดูจากเขาอย่างทะนุถนอม
สองปีมานี้ ต้องตกระกำลำบากอยู่ที่โลกโบราณนั่นไม่น้อย ฝ่ามือหยาบขึ้นมาบ้าง
ตอนที่นางอายุครบหนึ่งเดือน เขาก็รับตัวนางมาเลี้ยงดูแล้ว แม้ว่ายามปกติจะเข้มงวดอยู่บ้าง แต่อย่างไรก็คือยอดดวงใจ ไม่เคยยอมให้นางต้องคับข้องหมองใจแม้แต่น้อย
ตู๋กูซิงหลันถูกเขาประคองเอาไว้ ก็ชะงักงันไปชั่วขณะ
นางจำได้ว่ายามเยาว์วัย นางมักจะชอบไปออดอ้อนอาจารย์
ตอนนั้น อาจารย์มักจะผลักไสนางออกไปจนห่างไกลด้วยความเย็นชา…..
แต่ว่าทุกๆคืนยามดึกดื่นที่อากาศเย็น นางก็มักจะพบว่าเขาจะแอบมาห่มผ้าให้กับนางอยู่เสมอ
ก่อนที่นางจะสามขวบ นางกับอาจารย์นอนด้วยกันเหมือนพ่อลูก พอสามขวบก็มีห้องหับของตนเอง
นางจำได้ว่าอาจารย์มักจะเย็นชาอยู่เสมอ ไม่ค่อยมีรอยยิ้ม
กฎระเบียบก็มากมาย มากมายเต็มไปหมด
กฏระเบียบในสำนักหุบเขาภูติลึกลับมีมากมายจนจะเขียนเป็นตำราได้แล้ว
ชายหญิงมีข้อแตกต่าง ไม่อาจสัมผัสกัน
ในบรรดากฎเหล่านั่นก็ยังมีกฎประหลาดจำพวก…..ห้ามตดใส่คนข้างหน้า…..
ห้ามเข้านอนโดยไม่ล้างเท้า……
ตู๋กูซิงหลันเป็นศิษย์สืบทอดโดยตรงของซื่อมั่ว……กลับเป็นหัวแถวของพวกแหกกฎทั้งหลาย
ส่วนพวกศิษย์สายนอก ในเมื่อมีคนกล้าเกเรนำไปก่อน พวกที่เหลือย่อมเฮโลกันละเลยกฎไปตามๆกัน
ดังนั้นผู้คนทั้งหลายจึงบอกว่าซื่อมั่วตามใจลูกศิษย์ของตนเองจนจะยกขึ้นฟ้า…..
แต่คนอื่นๆต่างก็ไม่มีใครรู้หรอกว่า ตัวทะเล้นน้อยอย่างตู๋กูซิงหลัน ยามอยู่ต่อหน้าท่านอาจารย์ที่เข้มงวดและเคร่งขรึมก็มีช่วงเวลาที่ไม่กล้าเกเรเหมือนกัน
ท่านอาจารย์ไม่ชอบให้ใครสัมผัสตัว และไม่ชอบไปสัมผัสใคร แม้แต่นางที่เป็นศิษย์สายตรง หลังจากสามขวบพอไม่ได้นอนข้างอาจารย์บนเตียงเดียวกันแล้ว โอกาสที่สัมผัสโดนท่านอาจารย์ก็น้อยเสียจนนับนิ้วได้เลย
ดังนั้นตอนนี้พอจู่ๆกันอาจารย์ก็มาเป็นฝ่ายจับมือของนาง…….
ตู๋กูซิงหลันจึงถึงกับประหลาดใจจนตกตะลึงไปชั่วขณะ
ซื่อมั่วเพียงแต่จับมือของนางเอาไว้ชั่วครู่ จากนั้นก็ปล่อยมือ…..
จีเฉวียนคือร่างแบ่งภาคของเขา ถึงแม้ว่าจะยังไม่ตายและกลับมาหลอมรวมกัน จะมากน้อยซื่อมั่วก็สามารถสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่จีเฉวียนมีต่อตู๋กูซิงหลันอยู่บ้าง
นั่นเป็นความรู้สึกที่จริงแท้อย่างไม่มีอะไรแปลกปลอมเลย
ไม่ว่าสุดท้ายแล้วนางจะเลือกใคร เขาก็ไม่เคียดแค้นนางแม้แต่น้อย
ลูกศิษย์ที่เลี้ยงดูมาแต่เล็กจนเติบใหญ่ จะอย่างไรก็โปรดปรานและเอาใจอยู่แล้ว
เพียงแต่ในใจของเขาเองก็ยังมีความปล่อยวางไม่ได้ ปล่อยวางศิษย์ผู้นี้ไม่ได้
แต่ซื่อมั่วย่อมไม่มีทางพูดออกไป
“ศิษย์เอ๋ย เจ้าสมควรให้คำตอบกับอาจารย์ได้แล้ว” ซื่อมั่วยื่นมือออกมาอีกครั้ง ช่วยทัดปอยผมที่หลุดลุ่ยออกมาเอาไว้หลังใบหูของนาง แววตาที่มองมาคู่นั้นเปล่งประกายล้ำลึก
สายตาของเขามองผ่านหัวไหล่ของนางออกไป กวาดตาไปยังจีเฉวียนที่ใกล้จะกลายเป็นก้อนหินไปแล้วบนเก้าอี้
จากมุมของเขา เขาสังเกตเห็นดวงตาของจีเฉวียนกระพริบน้อยๆ ขนตาขยับเบาๆ
ต่อหน้าเขาที่เป็นตัวตนที่แท้จริง ร่างแบ่งนับพันนับหมื่นเหล่านั่นก็ทำได้เพียงถูกสะกดข่มเอาไว้เท่านั้น…..
มีแต่ร่างแบ่งที่แข็งแกร่งที่สุดเพียงหนึ่งเดียวนี้แตกต่างออกไป….เขายังสามารถรักษาความคิดของตนเองเอาไว้ได้ ได้ยินและมองเห็น เพียงแต่ไม่อาจเคลื่อนไหว และไม่อาจส่งเสียง
“ต้องการอาจารย์ หรือต้องการร่างแบ่งภาคผู้นั้น?” ซื่อมั่วดึงสายตากลับมายังศิษย์ของตนเอง แววตาทั้งคู่มองมาที่นาง
แม้แต่ตู๋กูซิงหลันก็ยังไม่อาจสัมผัสได้ถึงอารมณ์และความรู้สึกในแววตาของเขา
ซื่อมั่วเก็บงำได้มิดชิดยิ่งกว่าจีเฉวียน ความรู้สึกนึกคิดทั้งหมด อารมณ์ทั้งหลาย ล้วนถูกเขาซุกซ่อนเอาไว้ในก้นบึ้งของหัวใจ
ตู๋กูซิงหลันเหมือนกับลูกธนูที่ถูกขึ้นสายเอาไว้จนสุดแล้ว ไม่อาจไม่ปล่อย
ครู่หนึ่งนางถึงได้เอ่ยปาก ริมผีปากแดงขยับน้อยๆ “มีแต่เด็กน้อยถึงจะเลือกข้าง….ทั้งสองคนข้าล้วนต้องการ”
“อาจารย์ท่านบอกว่า …..ชีวิตแลกชีวิต……”
ว่าแล้ว ในมือของตู๋กูซิงหลันก็เพิ่มยันต์สีแดงขึ้นมาอีกชิ้นหนึ่ง บนยันต์สีแดงมีอักษรสองตัว ‘แลกชีวิต’
นางขยับเพียงวูบเดียว ยันต์สีแดงนั้นก็บินออกไป พุ่งเข้าหาร่างของจีเฉวียน
แต่ว่าความเคลื่อนไหวของซื่อมั่วกลับไวกว่าก้าวหนึ่ง เขาโบกแขนเสื้อวูบหนึ่ง ลูกไฟสีน้ำเงินก็พุ่งออกไปทำลายยันต์สีแดงนั้นเป็นผุยผง
ดวงตาคู่นั้นเกิดประกายขุ่นเคืองขึ้นมาในทันที
“เจ้าคิดจะแลกชีวิตของตนเองกับเขาหรือ?” ซื่อมั่วสามารถให้ตนเองทนรับพันดาบหมื่นกระบี่ แต่ไม่อาจปล่อยให้นางบาดเจ็บแม้แต่เส้นผม
เขาทะนุถนอมนางไว้เป็นยอดดวงใจ แต่นางกลับไม่รักชีวิตของตนเอง คิดจะแลกชีวิตกับร่างแบ่งภาคร่างหนึ่ง?
หากเอาชีวิตของตนให้ร่างแบ่งภาค ….แล้วนางล่ะ? นางจะต้องตายอย่างแน่นอน!
“ท่านอาจารย์ ข้าติดค้างท่านมากมายจนเกินไป ย่อมต้องไม่อยากให้ท่านตายอย่างแน่นอน” ตู๋กูซิงหลันมองดูยันต์ที่สลายกลายเป็นเถ้าถ่าน
“แต่ว่าข้าก็ชอบจีเฉวียน ดูเหมือนว่าข้าจะ….ชอบเขา ….มากเป็นพิเศษจริง….”
นางบอกว่าชอบจีเฉวียนต่อหน้าซื่อมั่วเช่นนี้….ต่อให้เป็นหัวใจที่เพิกเฉยมาเนิ่นนานเพียงไรก็ยังต้องบังเกิดความรู้สึกอย่างหนึ่งขึ้นมา…..ความรู้สึกที่เรียกว่าริษยา
ใช้แล้ว…….ชั่วชีวิตของซื่อมั่วเรียกได้ว่าไม่เคยริษยาผู้ใดมาก่อน
แต่ว่าตอนนี้ เขากลับรู้สึกอิจฉาร่างแบ่งภาคของตนเอง
เขายืนตัวตรงดุจพู่กัน ฝ่ามือที่อยู่ภายใต้เสื้อชุดสีม่วงกำแน่นเข้าหากันจนกลายเป็นหมัด
นานพักใหญ่ถึงได้คลายออก
เขาเก็บงำอารมณ์ทั้งหมดเอาไว้อย่างมิดชิด ไม่ให้ตู๋กูซิงหลันสัมผัสได้แม้แต่น้อย
ดังนั้น…..จนถึงตอนนี้ตู๋กูซิงหลันจึงไม่เคยรู้เลยว่าอาจารย์ของตนมีความรู้สึกที่เกินเลยกว่าความเป็นอาจารย์และศิษย์ต่อนางมานานแล้ว
หากตัวจัดเจนผู้นี้ไม่เคยคิดจะเปิดเผยความรู้สึกของตนเอง ใครก็ไม่อาจล่วงรู้ความรู้สึกของเขาได้ง่ายๆ
ซื่อมั่วปิดตาลง เนิ่นนาน…. พอลืมตาขึ้นอีกครั้งก็กลายเป็นความสงบเงียบไร้คลื่นอารมณ์ใดๆดังที่เป็นมานับหมื่นปี
“ศิษย์เอ๋ย อาจารย์เคยบอกเอาไว้แล้ว ว่าในใต้หล้านี้ เจ้าจงรักตัวเองให้มากที่สุด”
เขาพูดต่อไป “อาจารย์ไม่มีทางยอมให้เจ้าเสียสละตนเองเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น”
ดังนั้น….เขา…….
ตอนที่ 487 ท่านเองก็ชอบหลันหลันแท้ๆ
เขาจะยอมให้ร่างแบ่งภาคของตนเองอยู่ต่อไปอีกสักระยะเวลาหนึ่ง
รอให้ในใจของนางไม่มีจีเฉวียนอีกต่อไป ….. ถึงตอนนั้นเมื่อจีเฉวียนตายไป นางก็จะไม่เศร้าโศกเสียใจ
“อาจารย์รับปากเจ้า ไม่ให้เขาตายแล้ว” ในที่สุดเขาก็เอื้อมมือออกมาอีกครั้ง ลูบไล้เส้นผมของนาง “แต่เจ้าต้องรับปากอาจารย์ ว่าจะไม่ทำเรื่องโง่ๆเพื่อใครทั้งนั้น จะรักตนเอง”
“ในดินแดนโบราณนั้น เจ้ายังมีญาติมิตร อย่าได้ตัดขาดครอบครัวเพราะเรื่องความรัก เข้าใจไหม?”
หากมองจากภาพลักษณ์ภายนอก ซื่อมั่วก็มีอายุเพียงยี่สิบกว่าปีเท่านั้น เพียงแต่ว่ามีบุคลิกดั่งพวกคนโบร่ำโบราณที่ไม่ชมชอบการพูดจาเล่นหัว
ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่วิญญาณทมิฬมักจะเรียกเขาเป็นตาเฒ่าตัวร้ายอยู่เสมอ
ลมยามดึกโชยผ่านหน้าต่างเข้ามา พัดจนแสงเทียนในห้องเกือบจะดับลงไป เส้มผมของเขาพลิ้วออกไปไล้ผ่านใบหน้าของนางเบาๆ
เขาอยากจะยื่นมือออกไปลูบไล้ใบหน้าของนางเหลือเกิน แต่พอความเคลื่อนไหวนั้นกำลังจะเกิดขึ้น ก็ถูกความควบคุมตนเองอย่างเคร่งครัดกดทับเอาไว้ในทันที
กดทับเสียจนมือไม่ทันจะได้ขยับก็หยุดอยู่กับที่ไปเสียแล้ว
“อาจารย์….แล้วตัวท่าน….จะไม่มีปัญหาหรือ?” ตู๋กูซิงหลันเองก็มิใช่ว่าจะเป็นคนไร้คุณธรรมน้ำใจ
นางไม่อาจทนเห็นจีเฉวียนตาย แต่ก็ไม่ปรารถนาให้อาจารย์ต้องรับบาดเจ็บในที่ใด
“ไม่ต้องเป็นห่วงอาจารย์” ซื่อมั่วหันหน้าไปอีกทางหนึ่ง ความริษยาในหัวใจคล้ายดั่งเมล็ดพันธุ์ที่งอกออกมา เขาต้องบีบบังคับอย่างแข็งขืนจึงจะกดเอาไว้ได้
ทันทีที่พูดจบ เขาก็โบกมือครั้งหนึ่ง ส่งตู๋กูซิงหลันและจีเฉวียนกลับไปยังเรือนพักในสวนกุหลาบทันที
………………….
ทันทีที่ส่งทั้งสองคนจากไป ซื่อมั่วก็กดทรวงอกเอาไว้ พลางกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง
วิญญาณทมิฬก้าวออกมาจากเงาของเขา หมอบอยู่ข้างๆอย่างว่าง่าย
มองดูเขาค่อยๆใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเลือดที่มุมปากจนสะอาด
“เฒ่าร้าย….อาจารย์…..ไยท่านต้องทำเช่นนี้?” วิญญาณทมิฬติดตามซื่อมั่วมาช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว อาศัยใบบุญของซื่อมั่ว มันย่อมได้รับประโยชน์จากธารน้ำพุเหลืองไปไม่น้อย มันในตอนนี้จึงแข็งแกร่งกว่ายามที่อยู่ในโลกโบราณมากนัก
ตอนที่อยู่ในก้นทะเลลึก เพราะซื่อมั่วอาศัยเพียงพลังวิญญาณของตน ไปผนึกอสูรกายโลกันตร์…..เดิมทีก็ได้รับบาดเจ็บมามากอยู่แล้ว
แทนที่ตอนแรกจะปิดประตูเข้าฌานอยู่ที่ธารน้ำพุเหลือง แต่เพราะใจไม่ยอมสงบ เอาแต่ห่วงใยลูกศิษย์ของตนเองอยู่ตลอดเวลา แล้วเป็นไง กลายเป็นว่า กลับออกมาจากธารน้ำพุเหลืองก่อนเวลา
บาดเจ็บไม่ทันหาย ก็ยังออกไปตระเวนหาเรื่อง นี่มิใช่ว่าอยากตายหรอกหรือ?
ซื่อมั่วไม่สนใจมัน พอสะบัดมือก็เผาผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นทิ้งไปบนเปลวเทียน
แสงไฟสว่างวูบวาบ ทำให้ทั่วทั้งห้องสว่างไสวกว่าเดิม
ใบหน้าของเขาก็ซีดขาวมากกว่าเดิมเช่นกัน
“อาจารย์ …… นี่ท่านกำลังทรมานตนเองอยู่มิใช่หรือ” ในใจของวิญญาณทมิฬ มักแอบเรียกเขาเป็นตาเฒ่าตัวร้าย แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้กลับไม่กล้าเรียกเช่นนั้นออกมาจากปาก
มันอยู่ฝ่ายซื่อมั่วมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว หลายปีมานี้ทุกสิ่งที่ซื่อมั่วทำเพื่อตู๋กูซิงหลันมันล้วนรับรู้ด้วยใจเห็นด้วยตามาโดยตลอด
“ท่านเองก็ชอบหลันหลันแท้ๆ…. ไม่รู้ว่าควรจะบอกว่าท่านใจกว้างหรือจะบอกว่าท่านมันงี่เง่าดี….” วิญญาณทมิฬแคะจมูกพลางถอนหายใจไปด้วย
เกรงว่าในใต้หล้านี้ คงจะมีแต่สัตว์อสูรอย่างมันเพียงตัวเดียวที่เดาใจของซื่อมั่วออกแล้ว
“หุบปาก” ซื่อมั่วกวาดตามาทางมันแวบหนึ่ง เขานั่งคุกเข่าลงที่ข้างโต๊ะอีกครั้ง ปลายนิ้วดีดลงไปบนพิณโบราณใหม่อีกรอบ ทันทีที่ปลายนิ้วเคลื่อนไหว ก็บังเกิดเป็นท่วงทำนองชุดหนึ่งดังขึ้น
เสียงพิณอบอุ่น อ่อนโยน สงบนิ่งนุ่มนวล เป็นบทเพลงขับกล่อมสงบจิตใจที่ซื่อมั่วชำนาญที่สุด
เขาต้องการจะใช้บทเพลงที่ขับกล่อมจิตใจมาสงบอารมณ์ภายในหัวใจของตน
เขาไม่อาจปล่อยให้ความริษยานั้นงอกเงยขึ้นมา เขาเป็นผู้ฝึกจิต หากจิตใจว้าวุ่นไปแล้ว ทุกสิ่งย่อมแปรปรวนไปด้วย
ดังนั้นจึงต้องดีดใหม่อีกรอบ
“ร่างแบ่งภาคที่แข็งแกร่งที่สุดดันไม่ตาย…. ก็ต้องถือว่า การข้ามผ่านกลับมาเกิดใหม่ของท่านครั้งนี้ล้มเหลวแล้ว….”
“หากว่าการรับสายฟ้าจากสวรรค์ล้มเหลว ……สถานเบาก็คือพลังที่ฝึกฝนมาทั้งหมดก็ต้องสูญสิ้น สถานหนักก็คือร่างสลายกระดูกกลายเป็นเถ้าถ่านวิญญาณแตกซ่าน….”
“การแบ่งภาคมาเกิดใหม่ดูไปง่ายดายกว่ารับสายฟ้าสวรรค์ แต่ว่าที่จริงแล้วในหกภพภูมินี่จึงเป็นสิ่งที่ยากลำบากที่สุด…. หากว่าล้มเหลว ……เช่นนั้นผลลัพธ์…..”
ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นก็ย่อมต้องน่าหวาดผวายิ่งกว่าการรับสายฟ้าจากสวรรค์ที่ล้มเหลวมากมายนัก
เพียงแต่ว่าทุกวันนี้ แทบจะไม่มีผู้ใดที่มีคุณสมบัติจะได้ใช้วิธีก้าวผ่านด้วยการกลับมาเกิดใหม่อีกแล้ว…..
ดังนั้นในใต้หล้านี้ เกรงว่านอกจากซื่อมั่วแล้ว ก็คงจะไม่มีใครรู้หรอกว่าผลของความล้มเหลวที่ก้าวผ่านการเกิดใหม่ไม่สำเร็จนั้นจะมีจุดจบเช่นไร
ตู๋กูซิงหลันเองก็ไม่รู้
ในเมื่อซื่อมั่วมีใจจะปิดบัง ต่อให้นางอยากจะสืบเสาะก็ไม่มีทางได้อะไร
ผ้าเช็ดหน้าเปื้อนเลือดถูกเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน แสงสว่างภายในห้องค่อยๆจางลงอีกครั้ง
ซื่อมั่วนั่งอยู่ที่ข้างโต๊ะ สวมชุดสีม่วงตลอดร่าง แสงสีส้มของเปลวเทียนขับให้ดูงดงามดุจภาพวาด เมื่อไม่มีใครอื่น ในแววตาของเขาค่อยจุดประกายไฟที่เหมือนกับแววตาของมนุษย์ขึ้นมา
“วิญญาณทมิฬ เจ้ามันรู้มากไปแล้ว”
แค่ประโยคเดียวก็ทำเอาวิญญาณทมิฬหนาวยะเยือกขึ้นมา มันรีบปิดปาก มันรู้สึกว่าท่านอาจารย์ซื่อมั่วเกิดจิตสังหารคิดฆ่าอสูรเพื่อปิดปากขึ้นมาแล้ว
เสียงพิณพลิ้วต่อไป ต้นฮว๋ายที่ด้านนอกหน้าต่างสะบัดใบ ปลิวไปกับกระแสลม
สายลมเย็นพัดเข้ามา แต่ก็ยังไม่เย็นเท่ากับซื่อมั่วเอง
วิญญาณทมิฬนั่งอยู่ข้างๆ ปากที่พึ่งจะปิดลงไปก็เปิดขึ้นมาอีก “อาจารย์…..ไม่ใช่ว่าตัวน่ารักอย่างข้าอยากจะพูดหรอกนะ ….แต่หากหลันหลันรู้ว่าท่านทำร้ายตนเองเช่นนี้ นางก็คงไม่อาจอภัยให้กับตนเองไปจนชั่วชีวิต”
จะอย่างไรที่สุดแล้วมันก็ยังคิดว่าตู๋กูซิงหลันเป็นนายของตนเอง พอคิดว่าหากตู๋กูซิงหลันรู้ความจริงขึ้นมา ….. ด้วยอุปนิสัยของนาง มันไม่รู้จริงๆว่าหลันหลันจะทำอะไรบ้าง
“หากเจ้าไม่พูด ใต้หล้านี้ย่อมไม่มีคนที่สามรู้”
ซื่อมั่วดีดพิณต่อไป ขณะเดียวกันก็เอ่ยว่า “อย่าได้มาวุ่นวายคาดเดาจิตใจของข้า ข้าจะรักใครเกลียดใคร ทำอะไร ไม่ทำอะไร ก็ไม่ใช่เรื่องที่สัตว์อสูรตัวน้อยอย่างเจ้าจะต้องมากังวลใจ”
เย็นชา ไร้น้ำใจ ปากแข็ง นี่เป็นนิสัยประจำของเขา
วิญญาณทมิฬเองก็ไม่เข้าใจ….. แค่ยอมรับว่าตนเองชองหลันหลันมันยากที่ตรงไหน? ทำไมจะต้องต่อให้ตายก็ไม่ยอมบอก?
รู้หรือไม่ว่าเจ้าฮ่องเต้สุนัขนั่นทำอย่างไรถึงได้สามารถทำให้หลันหลันหวั่นไหวได้?
ก็อาศัยฝีปากที่รู้จักป้อนคำหวานนั่นยังไงละ!
ว่ากันตามจริง วิญญาณทมิฬย่อมรู้สึกว่า มีแต่คนอย่างท่านอาจารย์เท่านั้นถึงจะเหมาะสมควรคู่กับหลันหลัน เป็นคนที่จะจับมือจูงกันไปตลอดชาติ
ทั้งๆที่เขาชอบหลันหลันอย่างลึกล้ำจนถึงแก่นกระดูกแท้ๆ แอบทำเรื่องต่างๆเพื่อนางตั้งมากมาย แต่กลับไม่ยอมเอ่ยออกมาแม้แต่เพียงคำเดียว
เพียงเพราะนางบอกออกมาคำเดียวว่าไม่อยากจะให้ฮ่องเต้สุนัขตาย …… เขาถึงขนาดยินยอมเสี่ยงอันตรายกับการกลับมาเกิดที่ล้มเหลว จะอย่างไรก็ต้องให้นางสมปรารถนา
ทั้งๆที่ซื่อมั่วนั้นแข็งแกร่งถึงขนาดที่สวรรค์ต้องยำเกรงภูติผีปีศาจต้องหวาดผวาแท้ๆ!
แต่พออยู่ต่อหน้าลูกศิษย์ของตนเอง กลับยินยอมทนรับทุกอย่างโดนไร้เงื่อนไข!
ท่านอยากจะประนีประนอมอ่อนข้อให้ก็อ่อนข้อให้ไป! แต่จะอย่างไรก็ต้องรู้จักช่วงชิงเพื่อตนเองบ้างสิ!
วิญญาณทมิฬร้อนใจจนจะบ้าตายอยู่แล้ว
ก็ว่าไหมเล่า มีศัตรูความรักก็ดันเป็นร่างแบ่งภาคของตนเองอีก….. สวรรค์นี่มันอะไร!
มันสงสัยว่าจีเฉวียนคงจะรับเอาอุปนิสัยและความคิดที่ซื่อมั่วซุกซ่อนเอาไว้ทั้งหมดมาแน่ …… ตัวอย่างเช่น พูดจาปากหวานเป็นต้น
พอคิดถึงตรงนี้ ….. มันก็กรอกตา ล้วงเอาสมุดบันทึกเล่มเล็กๆออกมาจากในปาก ในนั้นบันทึกถ้อยคำหวานต่างๆเอาไว้มากมาย
“อาจารย์….. ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ร่างแบ่งภาคของท่านเคยพูดกับหลันหลันเอาไว้….”
วิญญาณทมิฬขยับไปข้างหน้าหลายก้าว ค่อยวางสมุดเล่มเล็กลงไปบนโต๊ะเตี้ย
ท่านเรียนรู้จากศัตรูความรักให้มากๆก็แล้วกัน….
คำพูดนี้พอมาถึงริมฝีปาก มันก็ต้องกลืนกลับลงไปด้วยเกรงว่าหากเอ่ยออกมาก็เท่ากับหาเรื่องตายเอง
ตอนที่ 488 หมิงอ๋อง
ดังนั้นแล้ว มันจึงได้แต่กลับมานั่งหมอบอยู่ที่ข้างกายซื่อมั่วอย่างว่าง่าย แม้แต่ดวงตาขนาดเมล็ดถั่วเขียวก็ยังไม่กล้าหลุกหลิก
ขณะที่มือของซื่อมั่วดีดลงไปบนพิณอย่างต่อเนื่อง แต่สายตาก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบไปมองดูสมุดเล่มเล็กของวิญญาณทมิฬ
ตัวอักษรที่กรงเล็บของวิญญาณทมิฬเขียนออกมา ยังน่าเกลียดกว่าตู๋กูซิงหลันเสียอีก
มีเจ้านายอย่างไรก็มีลูกน้องอย่างนั้น
เขาเหลือบตามองดูแวบหนึ่ง ก็เห็นประโยคที่ว่า ‘รักเจ้าจนหมดหัวใจ ชั่วชีวิตนี้ไม่แปรผัน’
“เจ้าฮ่องเต้สุนัข…… ร่างแบ่งภาคของท่าน ….. เคยสารภาพความในใจกับหลันหลัน…..”
วิญญาณทมิฬแอบอธิบาย…….
ซื่อมั่วยังคงตีหน้าตายดุจเดิม เขาเบนสายตาออกไป แววตาจับจัองไปที่บนพิณ
แต่แล้วช่างบังเอิญ…..สายลมหอบหนึ่งพัดเข้ามา พลิกหน้ากระดาษบนสมุดเล่มเล็กไปอีกหน้า
“ในอกของเรา มีแผ่นดิน ในใจมีเจ้า สามารถรองรับได้ทั้งสองส่วน”
ตัวอักษรที่เขียนเอาไว้เต็มหน้าเหล่านั้น ทิ่มแทงเข้าสู่ดวงตาของซื่อมั่ว
ขนตาของเขาถึงกับแข็งค้างไปชั่วขณะ
“อาจารย์…… ยามปกติท่านไม่เคยกล่าวคำหวานเหล่านี้แม้แต่ครึ่งคำ ใช่เป็นเพราะถูกร่างแบ่งภาคนั้นเอาความสามารถส่วนนี้ไป…..”
ว่าตามจริงนะ ขนาดวิญญาณทมิฬได้ฟังฮ่องเต้สุนัขกล่าวคำหวานพวกนี้ออกมา มันยังรู้สึกว่าตัวจะบิดเป็นเกลียวไปหมด
ท่านอาจารย์ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ตอนนั้น จึงไม่ได้เห็นแววตาและน้ำเสียงของฮ่องเต้สุนัข
มันจินตนาการไม่ออกจริงๆว่า คนที่แข็งทื่ออย่างตาเฒ่าผู้นี้ ทำอย่างไรจึงแบ่งภาคออกมาเป็นฮ่องเต้สุนัขได้กัน
ดังนั้นโปรดอภัยที่มันไม่สามารถมองเห็นทั้งสองเป็นคนคนเดียวกันได้เลย
ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะงดงามจนล้ำโลกเหมือนกัน แต่อุปนิสัยของท่านสองก็แตกต่างกันมาก รูปลักษณ์ภายนอกก็แตกต่างกันพอสมควร
ซื่อมั่วพลันรู้สึกว่ามันน่ารำคาญขึ้นมา เขาโบกมือครั้งหนึ่ง ปากของวิญญาณทมิฬก็ผนึกเข้าหากันจนปิดสนิท
หลังจากนั้นก็เหลือแต่เสียงพิณเป็นจังหวะสั้นๆยาวๆของเขา กับเสียงของสายลมจากภายนอกเท่านั้น
ที่นอกเรือน ซ่งเจียงเสวี่ยยืนอยู่ในความมืด มองเข้าไปอย่างเหม่อลอย
ที่ด้านนอกเรือนกางเขตอาคมเอาไว้ นางเข้าไปไม่ได้
แต่หลังจากที่ติดตามกลิ่นไอจางๆหายๆของเขามาเรื่อยๆ ในที่สุดก็ตามมาจนถึงที่นี่ได้สำเร็จ
หลังผ่านมานานหลายปี……..นางหาเจอแล้ว
นางยืนอยู่นอกเรือน ปากประตูมีสิงโตแกะสลักขนาดเท่าช้างอยู่สองตัว พอก้าวออกไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง ก็เห็นหินแกะสลักทั้งสองตัวนั้นพากันเคลื่อนไหวขึ้นมา
ท่ามกลางความมืดยามราตรี พวกมันจดจ้องมาทางนี้ ดวงตาของหินแกะสลักครั้งสองทอประกายเย็นชาเจิดจ้า
พอซ่งเจียงเสวี่ยเข้าไปใกล้ กรงเล็บของเจ้าสิงโตแกะสลักทั้งสองก็ตะปบลงมาทางนางอย่างรวดเร็ว
ก่อนหน้านี้ซ่งเจียงเสวี่ยถูกซื่อมั่วใช้กระบองฟาดไปรอบหนึ่ง จนสมองแทบแตก บาดแผลนี้ยังไม่ทันหาย ตอนนี้ปฏิกริยาของนางจึงเชื่องช้าไปอยู่บ้าง
ยามที่อสูรหินทั้งสองตะปบลงมา ก็ฉีกเอากระโปรงของนางขาดจนเป็นริ้ว ทั้งต้นขาและท่อนแขนต่างก็ถูกข่วนจนเลือดไหลโทรม
“ซื่อมั่ว ….. ข้ารู้ว่าท่านจะต้องอยู่ในนั้นอย่างแน่นอน” ซ่งเจียงเสวี่ยถอยหลังไปก้าวหนึ่ง นางไม่ดื้อดึงบุกเข้าไป
เพียงใช้พลังวิญญาณส่งเสียงเข้าไปภายใน
“แล้วข้าก็รู้ว่า ท่านจะต้องเป็นเขาอย่างแน่นอน……ผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้ว ท่านยังจะไม่ให้อภัยข้าอีก แม้แต่หน้าก็ยังไม่ยอมออกมาพบสักครั้ง?” น้ำเสียงของนางโศกเศร้า ราวกับหัวใจที่ถูกบีบคั้น น่าสงสารอย่างที่สุด
เสียงถูกส่งเข้าไปด้านใน แต่กลับไม่มีสิ่งใดตอบกลับออกมา
ซ่งเจียงเสวี่ยยังไม่ยอมถอดใจ นางยังคงกล่าวต่อไป “ตอนนั้น…..เพราะท่านมีเมตตาช่วยข้าให้พ้นจากทะเลทุกข์ …..ข้าก็ได้สาบานเอาไว้แล้ว ว่าจะขอภักดีต่อท่านไปทุกชาติทุกภพ…… คำสาบานนั้นจนถึงตอนนี้ก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”
“ตอนนั้นข้าทำผิดไปแล้ว….. และท่านก็ได้ลงโทษข้าแล้ว …..ขับไล่ข้าออกไปจากเผ่าหมิง ทำให้ข้ากลายเป็นตัวประหลาดเป็นคนไม่ใช่คน เป็นผีไม่ใช่ผี ……ล่องลอยอยู่ในโลกนานถึงพันปี ……การลงโทษเช่นนี้ยังไม่นับว่าเพียงพออีกหรือ?”
ซ่งเจียงเสวี่ยพูดไปก็ร้องไห้ออกมา
“ข้ารับทรมานมานานหลายต่อหลายปี ….. สำนึกผิดแต่แรกแล้ว”
“วันนี้ท่านก็ยังช่วยเหลือข้าในนาทีสุดท้าย….. ที่จริงในใจของท่าน ให้อภัยข้าแล้วใช่หรือไม่?”
“เห็นแก่ความสัมพันธ์ที่เคยเป็นนายบ่าวกันมาครั้งหนึ่ง ท่านจึงยื่นมือช่วยเหลือข้า….”
ซ่งเจียงเสวี่ยยิ่งพูดยิ่งเจ็บช้ำ นางถอยห่างจากอสูรหินสองตัวนั้นไปจนไกล ไม่กล้าเข้าใกล้แม้แต่น้อย
พอนางถอยออกมาไกล สัตว์อสูรหินสองตัวนั้นก็กลายเป็นหินอีกครั้ง นั่งเฝ้าอยู่ที่นอกเรือน
อาณาเขตสีม่วงเข้มกึ่งโปร่งแสงเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา เสียงฮือๆ ซ่งเจียงเสวี่ยร้องคร่ำครวญมาตามสายลม ราวกับผีสาวที่ชอกช้ำตนหนึ่ง
หลังฟังอยู่เนิ่นนาน ในที่สุดน้ำเสียงที่เย็นชาของซื่อมั่วก็เอ่ยขึ้น “ที่ข้าช่วยเจ้า เพราะต้องการให้เจ้ารับโทษทัณฑ์ในโลกนี้ต่อไป
น้ำเสียงเย็นชา ไร้น้ำใจ
ซ่งเจียงเสวี่ยนิ่งอึ้งไปวูบหนึ่ง น้ำตาของนางไหลไม่หยุด พอจะเอ่ยปากก็ได้ยินเสียงเอ่ยขึ้นอีกว่า “ เรื่องที่เสินฟางคลุ้มคลั่งในตอนนั้น เกี่ยวข้องกับเจ้าอย่างไม่อาจปฏิเสธ ข้าสามารถละเว้นเจ้าได้ครั้งหนึ่ง แต่เจ้ากลับกล้ามีใจคิดร้ายต่อศิษย์ของข้าอีก….”
พอพูดถึงตรงนี้ เขาก็หยุดไปครู่หนึ่ง “ซ่งชิงไต้…….จุดจบของเจ้า จะต้องทุกข์ทรมานยิ่งกว่าก่อนที่ข้าจะช่วยเจ้าเอาไว้อีกนับพันนับหมื่นเท่า”
ไข่มุกงามที่แข็งแกร่งที่สุดบนสรวงสวรรค์……..ซ่งชิงไต้
เพราะรักคนผิด….จึงต้องตกนรกหมกไหม้ไม่อาจไปผุดไปเกิด….หากมิใช่เพราะได้หมิงอ๋องช่วยเหลือ……นางคง…….
“แต่ว่า………” นางได้แต่เฝ้ามองไปที่หน้าประตูใหญ่ ศีรษะก็เจ็บปวดจนสมองมึนงงไปหมด “เผ่าหมิงล่มสลายไปแล้ว สถานะของท่านก็ถูกเปิดเผย พวกชาวสวรรค์ย่อมต้องไม่ปล่อยท่านไปอย่างแน่นอน…..”
“ไม่ว่าจะอย่างไร ข้าก็ยังจดจำบุญคุณในตอนนั้นของท่านได้…..” นางพูดต่อไป “มีแต่ต้องรวบรวมหยกสรรพชีวิตกลับมาให้ได้ครบ และตามหาสิบยมราชจนเจอ จึงจะสามารถทำให้เผ่าหมิงฟื้นคืนได้อีกครั้ง…… ถึงตอนนั้นจึงจะมีกำลังมาต่อสู้กับเหล่าเทพสวรรค์ได้….”
ตลอดหลายปีมานี้ นางพยายามเสาะหาวิธีที่จะฟื้นฟูเผ่าหมิงมาโดยตลอด
หลังจากสงครามเทพภูติในตอนนั้น ตำแหน่งของสิบยมราชล้วนว่างลง หลายปีมานี้ผู้ที่อยู่ข้างกายเขา นอกจากเสินฟางแล้ว ก็ไม่มียมราชผู้อื่นอีก
ดินแดนยมโลก ถูกพวกเผ่าสวรรค์ส่งคนของพวกเขาเข้าไปยึดครองจัดสรรใหม่จนหมดแล้ว….
หมิงอ๋อง ….ใช่แล้ว…..หลังจากมหาสงครามเทพภูติในตอนนั้น หมิงอ๋องก็หายสาปสูญไป
ไม่มีใครรู้ว่า เขาได้เปลี่ยนฐานะของตนกลายเป็นซื่อมั่ว หลบซ่อนตัวอยู่ที่โลกใบนี้
หากมิใช่เพราะว่านางตามหามานานปี……ก็คงไม่ได้รู้….
“ฝ่าบาท…..ข้าสามารถช่วยเหลือท่านได้” นางยังคงอ้อนวอนต่อไป “ขอท่านโปรดรับข้าไว้ข้างกายเถอะ…..ข้ารับรอง จะไม่กระทำอะไรโดยพลการอีก ข้าจะทุ่มเทความพยายามทั้งหมด เพื่อชดเชยความผิดพลาดที่ข้าเคยทำ….. ฝ่าบาท ข้าเพียงหวังให้ท่านได้มีชีวิตที่ดี….”
นางรับปากอย่างเหนียวแน่น จริงจังอย่างยิ่ง
แต่ก็ยังไม่อาจโยกคลอนซื่อมั่วได้เลย
เห็นแต่ประตูใหญ่ที่แย้มออก พลังที่เย็นยะเยือกสายหนึ่งกระแทกเข้าสู่ร่างของนาง แทบจะให้นางร่างแตกกระดูกป่น
“เจ้ายุ่งแต่เรื่องของตัวเองก็พอ” เสียงที่เย็นชาของซื่อมั่วดังออกมาจากด้านใน “ข้าไม่ต้องการเจอหน้าเจ้าแม้แต่น้อย”
ทันทีที่สิ้นเสียง ประตูนั้นก็ปิดลงอย่างแน่นหนาอีกครั้ง
นางถูกพลังของซื่อมั่วผลักไสออกไปจากหุบเขาปีศาจ
พอลงจากเขา ก็เห็นหุบเขาปีศาจถูกปกคลุมด้วยเขตอาคมชั้นหนึ่ง กีดกันทุกสิ่งจากโลกภายนอกให้ออกห่างจากเขตอาคมไกลนับร้อยเมตร
ทำไม…..ฝ่าบาทถึงได้เกลียดชังนางถึงเพียงนี้ เป็นเพราะสตรีผู้นั้นหรือ?
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น