ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 483-484

ตอนที่ 483 เรียกคืนความยุติธรรมให้กับ...

 

ปีศาจตนนั้น นางแสยะปากแยกเขี้ยวออกมา พอถอดเปลือกที่เป็นซ่งเจียงเสวี่ยออกไป ร่างกายก็สูงขึ้นถึงสามเมตร 


 


 


บนร่างของนางมีรูโบ๋มากมายนับสิบกว่ารู สายโซ่มากมายร้อยทะลวงผ่านร่างกาย ดูแล้วน่าสะอิดสะเอียนกว่าเดิม 


 


 


ยังดีที่เจ้าตัวนี้ยังมีเส้นผม แต่เส้นผมที่ปลิวกระจายออกมาก็ย้อมไปด้วยเลือด 


 


 


“เยี่ยซิงหลัน!” นางตะโกนกรีดร้อง ดวงตาที่มีแต่เลือดคู่นั้นสาดแสงเย็นยะเยือกออกมา ราวกับว่าต้องการจะฉีกกระชากตู๋กูซิงหลันทิ้งไป 


 


 


ทั้งยังแฝงเอาไว้ด้วยความเคียดแค้น และเกลียดชัง 


 


 


จีเฉวียนทรงขวางอยู่ด้านหน้าของตู๋กูซิงหลันแต่แรกแล้ว หมอกดำกำจายออกมาจากพระวรกายตลอดเวลา ใจกลางฝ่าพระหัตถ์ปรากฏแสงสว่างเย็นวาบขึ้น ดาบสีดำทองที่หักแล้วปรากฏขึ้นในฝ่าพระหัตถ์อีกครั้ง 


 


 


จีเฉวียนทรงกระฉับดาบที่หักครึ่งเล่มนั้นเอาไว้ในพระหัตถ์ ทั่วพระองค์เปี่ยมไปด้วยไอสังหารที่เข้มข้น 


 


 


“ดาบปลิดวิญญาณในยมโลก?” ปีศาจตนนั้นคล้ายกับว่าจดจำดาบของพระองค์ได้ในทันที….. 


 


 


“หักเสียแล้ว? ทำไมถึงได้หักเสียแล้ว! เพราะช่วยเหลือเยี่ยซิงหลันจึงหักหรือ?” นางแสยะเขี้ยวกรีดร้อง ความเคียดแค้นพวยพุ่งขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็ว 


 


 


ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้นางไม่อาจจะแน่ใจได้ว่าบุรุษผู้นี้ก็คือซื่อมั่ว…..แต่ว่าตอนนี้ ก็มั่นใจไปแปดเก้าส่วนแล้ว 


 


 


ดาบนี้…..ทั่วทั้งใต้หล้ามีแต่ซื่อมั่วเพียงผู้เดียวที่สามารถใช้มันได้! 


 


 


จีเฉวียนมิได้เคลื่อนไหวอย่างวู่วาม เพียงแต่คอยปกป้องตู๋กูซิงหลันเท่านั้น ว่าตามจริงแล้ว แม้แต่พระองค์เองก็ไม่ทรงรู้ว่าดาบเล่มนี้มีชื่อเรียกว่าอะไร 


 


 


ตอนที่พระองค์สามารถใช้พลังของหยกสรรพชีวิตได้เป็นครั้งแรกนั้น ดาบเล่มนี้ก็อยู่ในร่างกายของพระองค์แล้ว 


 


 


สามารถเรียกออกมาได้ทุกเมื่อ 


 


 


พออยู่ๆก็ได้ยินชื่อของมัน สมองของพระองค์ก็ปวดร้าวขึ้นมาในทันที 


 


 


ที่ด้านหลังของจีเฉวียน ตู๋กูซิงหลันหยิบยันต์แผ่นหนึ่งขึ้นมาไว้ในมือ ดูท่าเจ้าตัวประหลาดที่อยู่ข้างหน้านี้จะไม่ใช่ปีศาจธรรมดาเสียแล้ว 


 


 


ไอหยินบนร่างของนางหนักแน่นมาก…..ไอหยินเช่นนี้ ตอนที่อยู่ในร่างของซ่งเจียงเสวี่ยกลับไม่อาจสัมผัสได้อย่างชัดเจน 


 


 


มิน่าเล่าวันนี้ตั้งแต่ตอนที่เข้าไปทดสอบบทที่บริษัทเทียนหยิ่ง แค่ย่างเท้าเข้าไปนางก็รู้สึกได้ถึงไอหยินที่อึดอัดคับข้อง ที่แท้ก็มาจากร่างของปีศาจตนนี้นั่นเอง 


 


 


ปีศาจทั่วๆไปก็ทำได้เพียงแค่เข้าสิงร่างกายเพื่อบงการเท่านั้น แต่ว่าเจ้าตัวนี้กลับไม่เหมือนกัน มันสามารถหยิบยืมผิวหนังของมนุษย์มาครอบครองได้ด้วย 


 


 


พอคลุมตัวด้วยหนังมนุษย์ ก็จะสามารถสกัดกลิ่นอายที่อยู่บนร่างของนางเอาไว้ได้อย่างมิดชิด ทำให้ไม่ถูกคนค้นพบโดยง่าย 


 


 


“เยี่ยซิงหลัน เยี่ยซิงหลัน!” ปีศาจตนนั้นกรีดร้องออกมา ทั้งยังใช้สองตาที่ชุ่มไปด้วยเลือดจดจ้องนาง “ทั้งหมดก็เป็นเพราะเจ้า เขาถึงต้องทุกข์ร้อนเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งหมดก็เป็นเพราะเจ้า แม้แต่ดาบปลิดวิญญาณของเขาก็ยังหักไปแล้ว!” 


 


 


นางทางหนึ่งกรีดร้อง อีกทางหนึ่งก็วาดมือที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดออกมาราวกับสายฟ้าฟาดสีแดงเลือด พุ่งเข้าถึงเบื้องหน้าของตู๋กูซิงหลันอย่างรวดเร็ว 


 


 


จีเฉวียนไหนเลยจะให้โอกาสนาง ดาบในพระหัตถ์สะบัดออกไป ถึงตัวดาบจะหัก จิตดาบสิ้นสูญ แต่ว่ายังคมกริบดุจเดิม 


 


 


ดาบนี้วาดออกไป เกือบจะตัดมือของปีศาจตนนี้ออกมา 


 


 


นางถอยวูบหลบไปด้านหลัง ด้วยความกริ่งเกรงจีเฉวียนอยู่บ้าง 


 


 


ขณะเดียวกัน ยันต์สีเหลืองในมือของตู๋กูซิงหลันก็พุ่งออกไป 


 


 


ปีศาจตนนั้นเตรียมพร้อมอยู่ก่อนแล้ว รอบกายนางมีแต่ไอหยินเข้มข้น เพียงพริบตาเดียวก็ปรากฏมนุษย์กระดาษน้อยสีแดงเลือดนับสิบคนขึ้นมา 


 


 


มนุษย์กระดาษน้อยเหล่านั้นรายล้อมนางเอาไว้เป็นวงกลม เสียงกระดาษขยับพรูก็เหาะขึ้นไปปะทะกับยันต์สีเหลืองของตู๋กูซิงหลัน 


 


 


ทำลายยันต์ของนางจนกลายเป็นผุยผง 


 


 


ยันต์สีเหลืองถูกทำลายลงไปแล้ว แต่ว่ามนุษย์กระดาษน้อยยังคงไม่ยอมหยุด พวกมันส่งเสียงขึ้นพร้อมเพรียงกันพุ่งเข้าไปหาตู๋กูซิงหลัน หากมองดูให้ละเอียด ย่อมได้เห็นว่าในมือของพวกมันแต่ละตัวต่างก็มีเข็มสีดำเล่มหนึ่ง 


 


 


เข็มเหล่านั้นมีไอหยินรุนแรง แฝงด้วยไอศพ 


 


 


ขอเพียงโดนแทงลงไปสักเข็ม ต้องให้เป็นยอดนักพรตที่ยิ่งใหญ่ก็ยังต้องจบสิ้น 


 


 


ตู๋กูซิงหลันยังไม่ทันลงมือใช้ยันต์ ก็เห็นจีเฉวียนวาดดาบที่หักเล่มนั้นออกไปอีกครั้ง หมอกสีดำบนร่างของพระองค์ผสานกันจนกลายเป็นโซ่เหล็ก ร้อยรัดพวกมนุษย์กระดาษเหล่านั้นเอาไว้ 


 


 


จากนั้นก็รัดจนฉีกขาดสะบั้น 


 


 


และเพียงพริบตาเดียว จีเฉวียนก็ทรงวาดดาบที่หักออกไปอีกครั้ง 


 


 


ร่างของพระองค์เหาะอยู่กลางอากาศ ราวเสื้อผ้าที่อยู่ภายในร้านพังยุบลงไป ฮ่องเต้ทรงวาดดาบขึ้นมา พุ่งตรงไปยังศีรษะของปีศาจตนนั้นอย่างโหดเ**้ยม 


 


 


ปีศาจตนนั้นเงยหน้าขึ้นมา ในดวงตามีความผิดหวัง เคียดแค้นและชิงชัง 


 


 


“หมิงอ๋อง ท่านคิดจะทำกับข้าเช่นนี้จริงๆนะหรือ?” นางร้องออกมา “เพื่อสตรีผู้นั้น ท่านจึงทำกับข้าเช่นนี้?” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันได้ยินชื่อ ‘หมิงอ๋อง’ สองคำนั้น ก็ต้องตกตะลึงไป 


 


 


จีเฉวียนกลับมิได้สนใจใยดีปีศาจตนนั้น ดาบในมือยังคงพุ่งเข้าหาต่อไป 


 


 


ขณะที่ดาบเล่มนั้นกำลังกรีดลงมา 


 


 


“ติ๊ง….” เสียงบาดแก้วหูเสียงหนึ่งก็สะท้านขึ้นมา พร้อมกันประกายไฟจากทุกทิศทาง 


 


 


ดาบเล่มนั้นมิได้ฟันลงไปยังร่างของปีศาจตนนั้น แต่กลับฟันลงบนไม้พลองด้ามหนึ่งแทน 


 


 


พออาวุธทั้งสองกระทบกัน ก็เกิดความสั่นสะเทือนจนตึกทั้งตึกโยกคลอน แม้แต่จีเฉวียนเองก็ยังถูกแรงสะท้อนจนในพระอุระอึดอัดคับข้องไปหมด 


 


 


พอกวาดพระเนตรมองไป จึงได้ทรงเห็นว่า สิ่งที่ช่วยเหลือปีศาจตนนั้นเอาไว้ก็คือเงาร่างสีม่วงสายหนึ่ง 


 


 


เส้นผมสีดำราวน้ำหมึกพลิ้วไหวอยู่ในอากาศ ดวงตาคู่นั้นคมคายดุจมังกรดุจหงส์ งดงามจนคนไม่อาจละสายตาจากไปได้ 


 


 


เขาปรากฏขึ้นอย่างกระทันหัน บดบังอยู่ที่ด้านหน้าของปีศาจตนนั้น 


 


 


แววตาลึกลับสุดหยั่งถึง กวาดลงมองไปที่ตู๋กูซิงหลันและจีเฉวียนอย่างช้าๆ 


 


 


ทันทีที่สบเข้ากับดวงเนตรหงส์ของจีเฉวียน ตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกได้เลยว่าจีเฉวียนทรงชะงักค้างไปทั้งร่าง 


 


 


พระองค์กุมดาบในพระหัตถ์ค้างเอาไว้อยู่กับที่ แววพระเนตรจับจ้องอยู่บนร่างของบุรุษที่พึ่งปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกระทันหัน  


 


 


ในชั่วขณะนั้น สมองของพระองค์บังเกิดภาพมากมายในชั่วพริบตา 


 


 


ภาพอันเลือนลาง 


 


 


ความเจ็บปวดสุดแสน 


 


 


“ท่านอา…จารย์….” ตู๋กูซิงหลันเองก็ตกตะลึงไป 


 


 


ท่านอาจารย์กักตนเข้าณานอยู่ที่ธารน้ำพุเหลืองมิใช่หรือ แล้วทำไมอยู่ๆถึงปรากฏตัวขึ้นมาได้กัน? 


 


 


พอได้ยินนางส่งเสียงเรียกอาจารย์ ปีศาจตนนั้นถึงได้สติขึ้นมา นางตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จับจ้องอยู่ที่เงาของร่างนั้น กล่าวอย่างยินดีและสับสนงุนงงว่า “ท่าน….ถึงจะใช่ซื่อมั่ว?” 


 


 


กลิ่นอายของพลังจากร่างของเขา ช่างคล้ายคลึงกับบุรุษที่อยู่ข้างกายตู๋กูซิงหลัน…..เกินไปแล้ว 


 


 


ในมือของซื่อมั่วถือไม้พลองท่อนหนึ่ง ขณะที่ปีศาจตนนั้นเอ่ยปากออกมา พลองด้ามนั้นก็พาดลงมาบนหัว แทบจะแยกหัวของนางออกเป็นเสี่ยงๆ 


 


 


“พลองนี้ ถือว่าคืนความยุติธรรมให้กับศิษย์ของข้า ในเมื่อไม่ตาย ก็ต้องถือว่าชะตาของเจ้ายังดีอยู่” 


 


 


พลองนี้ของซื่อมั่วแฝงพลังไม่น้อย แม้แต่ตู๋กูซิงหลันก็ยังรู้สึกได้ถึงแรงสะท้อนกลับที่ออกมาจากร่างของอีกฝ่าย จนทำให้ร่างสั่นสะท้าน 


 


 


ปีศาจตนนั้นเดิมทีก็มีเลือดท่วมตัวอยู่แล้ว ตอนนี้พอรับพลองของซื่อมั่วไปไม้หนึ่งก็หลั่งเลือดเป็นสายธาร 


 


 


นางยื่นมือออกมากุมหัวเอาไว้ มองดูเขาด้วยแววตาที่ไม่อยากจะเชื่อ 


 


 


“ท่านไม่ใช่ ไม่ใช่ว่ามาช่วยข้าหรอกหรือ?” 


 


 


จริงด้วย จะต้องเป็นเพราะว่าเขายังจดจำนางได้ จึงช่วยเหลือนาง….แล้วทำไมตอนนี้ถึงได้จะฆ่านางกัน? 


 


 


พลังของพลองนี้รุนแรงมาก หากมิใช่เพราะว่านางฝึกฝนจนมีตบะสูงส่ง เกรงว่าตอนนี้คงต้องกลายเป็นก้อนเนื้อไปแล้ว 


 


 


ซื่อมั่วสีหน้าปราศจากอารมณ์ใดๆ เขาเพียงกุมพลองในมือเอาไว้ หันไปทางจีเฉวียน และมองไปยังตู๋กูซิงหลันที่ยืนอยู่ด้านหลัง 


 


 


เขาไม่สนใจปีศาจตนนั้น แต่กลับยื่นมือหาตู๋กูซิงหลัน ส่งเสียงเรียกคำหนึ่ง “มานี่” 


 


 


พอเอ่ยเบาๆแฝงด้วยนำเสียงโปรดปราน 


 


 


ตู๋กูซิงหลันก็ขยับเดินไปทางเขา เหมือนกับไม่อาจควบคุมตนเอง 


 


 


พึ่งจะเดินออกไปไม่กี่ก้าว พอผ่านตัวจีเฉวียนไป ก็ถูกเขาคว้าข้อมือเอาไว้ 


 


 


จีเฉวียนสีหน้าซีดขาว ทั้งยังเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก 


 


 


“ซิงซิง อย่าได้ไป” พระองค์ตรัสออกมา เกาะกุมข้อมือของนางเอาไว้อย่างแน่นหนา ราวกับเกรงว่าหากเผลอปล่อยเพียงนิดเดียวนางก็จะไม่กลับมาหาพระองค์อีกแล้ว 



 

 

 


ตอนที่ 484 กลับชาติมาเกิด

 

ฝ่าพระหัตถ์มีแต่ความเย็น เย็นจนซึมลึกเข้าไปถึงกระดูก ทั้งยังสั่นสะท้านน้อยๆ 


 


 


ทรงจับตู๋กูซิงหลันเอาไว้อย่างแน่นหนา จนนางเจ็บ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันหันกลับไปมองดูเขา เห็นประกายตาของเขาแปลกไปอย่างที่นางไม่เคยได้เห็นมาก่อน 


 


 


หมอกสีดำภายในร่างของเขาเหมือนกับไม่อาจรักษาสภาพที่สมดุลเอาไว้ได้ มันกระจายออกมาอย่างคลุ้มคลั่ง ตรงหัวคิ้วคล้ายกับมีบางอย่างกำลังจะล้นออกมา 


 


 


หมอกสีดำเหล่านั้นเป็นเหมือนกับหยดน้ำที่ไหลไปสู่ทะเล พัดพาตนเองไปทาง…..ท่านอาจารย์? 


 


 


ขณะเดียวกันร่างกายของจีเฉวียนก็เริ่มกลายเป็นสภาพที่ไม่คงที่ เพียงแค่ครู่เดียวก็เริ่มกลายเป็นกึ่งโปร่งแสง 


 


 


ตู๋กูซิงหลันรีบหันกลับไปจับมือของเขาเอาไว้ นางรีบฉวยเอายันต์สีเหลืองแผ่นหนึ่งขึ้นมา แล้วผนึกลงไปในร่างของเขาทันที เพื่อช่วยควบคุมสมดุลของหมอกดำในร่างของเขา 


 


 


อยู่ๆร่างกายของจีเฉวียนก็เกิดปฏิกริยาเช่นนี้ขึ้นมา แม้แต่นางก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น 


 


 


นางพยายามรักษาความสมดุลของเขาเอาไว้ จากนั้นก็หันไปมองดูท่านอาจารย์ของตนเอง 


 


 


หมอกดำเหล่านั้นไหลไปผนึกรวมเข้ากับท่านอาจารย์ ราวกับว่าเดิมทีก็เคยเป็นส่วนหนึ่งของเขามาก่อน 


 


 


พอนางหันไปมอง ก็ได้สบตาเข้ากับซื่อมั่วที่มองมาพอดี เขายื่นมือมาทางนาง ค้างเอาไว้กลางอากาศ 


 


 


“ศิษย์เอ๋ย” ซื่อมั่วเรียกหานางอีกครั้ง 


 


 


รอบกายของเขามีแต่ไอดำที่มืดทึบ ราวกับว่าตอนนี้ที่ตรงนั้นไม่ใช่ห้องภายในอาคารขนาดใหญ่ แต่ว่าเป็นพื้นที่ในสนามรบที่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นโลหิต 


 


 


เห็นตู๋กูซิงหลันไม่ยอมไป เขาก็ปล่อยมือลง เก็บพลองในมือ เดินเข้าไปหา 


 


 


ปีศาจตนนั้นอยู่ใกล้กับเขาเพียงแค่มือคว้า แต่ก็ไม่ได้เคลื่อนไหววู่วาม 


 


 


นางเพียงแต่กุมหัวที่มีเลือดไหลออกมาไม่ยอมหยุด จับตายืนมองอยู่ด้านข้าง 


 


 


พอซื่อมั่วเดินมาถึงข้างกายตู๋กูซิงหลัน หมอกดำในร่างกายของจีเฉวียนที่พึ่งจะสงบลงก็ฟุ้งกระจายออกมาจนควบคุมไม่ได้อีกครั้ง 


 


 


ขณะที่ซื่อมั่วเข้ามาใกล้ กระดูกในร่างของพระองค์ก็ส่งเสียงแตกเปรี้ยะดังลั่น ราวกับว่าจะแตกสลายลงตรงหน้า นั่นเป็นความเจ็บปวดที่ยิ่งกว่าพันดาบหมื่นกระบี่เสียอีก 


 


 


พละกำลังในร่างถูกดูดออกไปไม่ยอมหยุด 


 


 


ซื่อมั่วเหลือบตามองดูเขาแวบหนึ่ง ก็หันไปมองตู๋กูซิงหลันอีกครั้ง “ศิษย์เอ๋ย เดิมที่เขาก็สมควรจะดับสูญตั้งแต่ที่ก้นทะเลลึกแล้ว” 


 


 


‘เขา’ คนนั้น ย่อมหมายถึงจีเฉวียน 


 


 


“ท่านอาจารย์…..” ตู๋กูซิงหลันหยิบยันต์สีเหลืองขึ้นมาอีก คิดจะช่วยจีเฉวียนควบคุมสภาพภายในร่างกาย 


 


 


กลับเห็นซื่อมั่วยื่นมือออกมา คว้าข้อมือของนางเอาไว้ ยับยั้งความเคลื่อนไหวของนาง 


 


 


“ผู้คนในโลกหล้า ต่างก็มีชะตาลิขิตของตนเอง ใครก็ไม่อาจยับยั้งเอาไว้ได้” 


 


 


น้ำเสียงของซื่อมั่ว คล้ายกับดังมาจากความว่างเปล่า แฝงด้วยพลังที่โน้มน้าวผู้คน 


 


 


“ข้าบอกเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว…..เขาเกิดมาเพื่อปกป้องใต้หล้าจนตัวตาย อาจารย์ทำตามความปรารถนาของเจ้า ฝืนลิขิตชีวิตไปแล้วครั้งหนึ่ง” 


 


 


มือของซื่อมั่วเย็นชืด เช่นเดียวกันกับพระหัตถ์ของจีเฉวียน 


 


 


ร่างกายของจีเฉวียน ดูผ่ายผอมลงไปอีก ริมฝีปากซีดขาว ชืดจนดูไม่สู้ดี 


 


 


ดวงหน้าที่เคยสงบนิ่งราวกับไร้ความเปลี่ยนแปลงตลอดพันปี และผลักไสผู้คนให้ถอยห่างออกไปอยู่เสมอ ตอนนี้เย็นเฉียบจนเห็นได้ชัด 


 


 


“อาจารย์…ข้าไม่เคยเชื่อในชะตาลิขิตมาก่อน” ตู๋กูซิงหลันมองไปที่เขา มืออีกข้างหนึ่งก็หยิบยันต์สีเหลืองขึ้นมา ผนึกลงไปที่ร่างของจีเฉวียน 


 


 


ยามนี้จีเฉวียนเหมือนกับตกลงไปในฝันร้าย ทั่วทั้งร่ายแข็งทื่อราวกับกลายเป็นก้อนหิน ไม่อาจพูด ไม่อาจส่งเสียงหรือเคลื่อนไหว แม้แต่ดวงตาก็กระพริบไม่ได้ 


 


 


หากมิใช่เพราะว่าตู๋กูซิงหลันยังสัมผัสได้ถึงจังหวะหัวใจที่เต้นอยู่ของเขา ก็คงจะเข้าใจไปว่า…..เขาเป็นเพียงรูปปั้นเท่านั้น 


 


 


“พูดถึงที่สุด ก็คือเจ้าไม่อาจละวางฮ่องเต้มนุษย์ผู้นี้ได้นั่นเอง?” มือของซื่อมั่วที่คว้าข้อมือของนางเอาไว้เพิ่มกำลังขึ้นมาอีก 


 


 


แต่ก็ไม่ถึงกับทำให้นางรู้สึกเจ็บปวด 


 


 


เขากระแอมเสียงคำหนึ่ง ในแววตาปรากฏรอยคลื่นจางๆ จับจ้องไปที่ตู๋กูซิงหลัน “เป็นดังที่เจ้าวิญญาณทมิฬว่าเอาไว้ เจ้าชอบเขาเข้าแล้ว?” 


 


 


วิญญาณทมิฬนั่น….ตอนแรกที่กลับมาโลกปัจจุบันในวันแรกๆก็สงบเสงี่ยมอยู่ในเงาของนาง แต่ได้เพียงไม่กี่วันก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ที่แท้ก็วิ่งไปชิงฟ้องท่านอาจารย์นั่นเอง? 


 


 


สถานที่อย่างธารน้ำพุเหลืองนั่น มันสามารถไปได้?  


 


 


ตู๋กูซิงหลันกุมทรวงอกเอาไว้ ก้มหน้าลง แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ 


 


 


ไม่ปฏิเสธ ก็เท่ากับยอมรับแล้ว 


 


 


แววตาของซื่อมั่วลึกล้ำกว่าเดิม ทั้งยังสาดประกายเย็นราวน้ำแข็งออกมา 


 


 


“ท่านอาจารย์….ในชีวิตที่ผ่านมา ศิษย์ไม่เคยชื่นชอบใครมาก่อน…..ข้าไม่อยากให้เขาตาย” 


 


 


นางเงยหน้าขึ้นมา สองตามองกลับไปที่ซื่อมั่ว 


 


 


พอมองเห็นหมอกดำที่เคลื่อนไหวอยู่บนร่างของซื่อมั่ว ในที่สุดนางก็ต้องเอ่ยขึ้นอีกครั้ง 


 


 


“จีเฉวียนกับท่านอาจารย์…..ที่จริงแล้วเกี่ยวพันกันอย่างไรกันแน่? ทำไมพอท่านอาจารย์ปรากฏตัว …..เขาก็เหมือนกันว่า…..จะสลายไปจากโลกนี้ขึ้นมา?” 


 


 


พอร่างกายของจีเฉวียนเปลี่ยนเป็นกึ่งโปร่งใส ตู๋กูซิงหลันที่เยือกเย็นมาตลอด ในใจก็ต้องว้าวุ่นไปหมด 


 


 


โดยเฉพาะตอนนี้….นางเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาแล้ว 


 


 


ที่บั้นเอวของจีเฉวียน มีรอยประทับดอกบัวสีดำทองเหมือนกับของท่านอาจารย์ 


 


 


ตั้งแต่แวบแรกที่นางได้เห็น ก็สมควรคาดเดาได้แล้วว่า เขากับท่านอาจารย์จะต้องมีความเกี่ยวข้องที่ใกล้ชิดกันอย่างแน่นอน 


 


 


“เจ้าอยากรู้อย่างนั้นหรือ?” ซือมั่วมองดูท่าทีของนาง มือที่กำไว้แน่นก็ค่อยๆคลายออก จากนั้นฝ่ามือใหญ่ของเขาก็ลูบลงไปบนศีรษะของนางอย่างแผ่วเบา 


 


 


ค่อยถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง “หากเจ้าอยากจะรู้ละก็ อาจารย์ก็จะบอกเจ้า” 


 


 


เขาโปรดปรานศิษย์ผู้นี่มาโดยตลอด ไม่ว่าต้องการอะไรก็ให้โดยไม่เคยมีเงื่อนไข 


 


 


แม้แต่ชีวิตนี้ หากต้องการก็สามารถมอบให้ได้ 


 


 


เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงว่า…..นางจะได้บังเอิญพบกับจีเฉวียนในโลกโบราณ 


 


 


ยิ่งไปกว่านั้น…..ถึงกับหลงรักจีเฉวียนเข้า 


 


 


พอซื่อมั่วรับปาก โบกมือครั้งหนึ่ง ภาพเบื้องหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนแปลงไปในทันที 


 


 


ที่นี่มิใช่ร้านขายเสื้อผ้าในห้างสือไต้อีกต่อไป หากแต่เป็นประตูทางเข้าสำนักภูติลึกลับในหุบเขาปีศาจ 


 


 


นี่คือวิชาเวทย์เฉพาะตัวของซื่อมั่ว เวทย์เคลื่อนย้าย 


 


 


ที่สามารถพานางและจีเฉวียนไปจากห้างสือไต้กลับมายังหุบเขาปีศาจได้ในชั่วแวบเดียว 


 


 


สำนักภูติลึกลับกับสวนกุหลาบของตู๋กูซิงหลันห่างกันไม่ไกล เพียงแต่ที่นี่เป็นเรือนที่สร้างขึ้นจากไม้ทั้งหลัง 


 


 


ให้กลิ่นอายโบราณและกลิ่นไม้หอม ราวกับเรือนโบราณในเจียงหนาน 


 


 


ซื่อมั่ว จีเฉวียน ตู๋กูซิงหลัน สามคนอยู่ในห้อง ห้องหนึ่ง 


 


 


ส่วนเจ้าปีศาจที่มีแต่เลือดท่วมตัวตนนั้น ถูกขับไล่ออกไป 


 


 


ที่ซื่อมั่วช่วยนางเอาไว้ เพราะความที่พวกเขาเคยเป็นนายบ่าวกันมาก่อน ในเมื่อชะตานางยังไม่ถึงฆาต เขาก็ยื่นช่วยเหลือ 


 


 


จีเฉวียนยังคงไม่อาจเคลื่อนไหวร่างกายได้เช่นเดิม ตู๋กูซิงหลันพบว่าร่างกายของเขายิ่งทียิ่งเปลี่ยนเป็นแข็งกระด้าง คนใกล้จะกลายเป็นก้อนหินเข้าไปทุกที 


 


 


สถานการณ์เช่นนี้ …… เหมือนกับว่าหากอยู่ห่างจากท่านอาจารย์สักหน่อย ก็จะขึ้นอีกสักนิด 


 


 


ซื่อมั่วนั่งลงบนเก้าอี้ มองดูศิษย์รักที่อยู่ข้างกาย พอคิดขึ้นมาว่านางชอบฮ่องเต้ชาวมนุษย์ผู้นี้เข้าแล้ว เบื้องลึกของแววตาก็ไหววูบอย่างปิดไม่อยู่ 


 


 


“ฮ่องเต้ชาวมนุษย์ผู้นี้…..ก็คือข้า แต่ก็ไม่ใช่ข้า” 


 


 


เนิ่นนาน ในที่สุดเขาก็เอ่ยปากขึ้นมา 


 


 


แค่ประโยคเดียวก็ทำเอาตู๋กูซิงหลันมึนงงไปชั่วครู่ นางถึงได้ค่อยสงบนิ่งลงได้ 


 


 


นางไม่ได้สอบถามต่อไป แต่รอคอยให้ซื่อมั่วอธิบายต่อด้วยตนเอง 


 


 


“วิธีที่จะก้าวข้ามการบำเพ็ญเพียร มีทั้งการรับสายฟ้าฟาดจากสวรรค์และ การผ่านการจุติกลับมาเกิดใหม่ เจ้าอยู่ที่เขาปีศาจมานานปี สมควรเข้าใจดี” 


 


 


ซื่อมั่วนั่งลงอย่างตามสบาย ด้วยท่าประจำที่คุ้นเคย 


 


 


“ใต้หล้ามีหมื่นสรรพสัตว์ หากชีวิตล้วนมีขีดจำกัด หยินหยางสมดุล ต่อให้เป็นเทพไท้ที่สูงส่งบนสวรรค์ก็มิใช่ว่าจะยืนยงได้ตลอดไป” 


 


 


“เราผู้เป็นอาจารย์คงอยู่มาไม่รู้เนิ่นนานเพียงไรแล้ว สายฟ้าจากสวรรค์ไม่มีผลกับข้ามาเนิ่นนานแล้ว ….มีแต่ทุกหมื่นปี ต้องข้ามผ่านการเกิดใหม่สักครั้ง” 


 


 


ดังนั้นยามเกิดใหม่…..จุติลงมาบนโลก…..อาจจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ หรือดอกไม้ใบหญ้า 


 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)