หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 482-487
บทที่ 482 เหตุการณ์ใหญ่ ณ สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากที่ได้พูดคุยรำลึกความหลังกับเฉินอวี่ถง ภาพของเซี่ยไห่หยางก็ผุดขึ้นมาในใจของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มเหม่อมองไปยังสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ด้วยอารมณ์ล้นปรี่ เขาเข้าใจดีว่าการที่ศิษย์ใหม่เข้ามาและศิษย์เก่าจากไปนั้นเป็นวัฏจักรที่ธรรมดายิ่งในทุกๆ ปีการศึกษาของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้
ทุกๆ รุ่นและทุกๆ ปีเปรียบเสมือนคลื่นยักษ์ที่พัดพาทรายบนหาดออกไป ในแง่หนึ่งมันเป็นกระบวนการเพิ่มจำนวนผู้ฝึกตนให้สหพันธรัฐในยุคฝึกปราณอมตะนี้ ในอีกแง่หนึ่งก็เป็นการรวบรวมศิษย์ฝีมือเยี่ยมจำนวนมากให้สำนักศึกษาเต๋า กระบวนการนี้เป็นประเพณีของสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋า และดำรงอยู่ในสำนักศึกษาเต๋าทั้งสี่มาตั้งแต่เริ่มอารยธรรมฝึกปราณบนโลกมนุษย์ หากว่าประเพณีนี้สามารถยืนหยัดสู้กับกระแสธารแห่งกาลเวลาได้ ก็จะดำรงอยู่ต่อไปในอนาคตได้อย่างแน่นอน
วิธีการที่บรรดาสำนักอื่นๆ ใช้นั้นแตกต่างกันออกไป ต่างก็มีข้อดีและข้อด้อยที่แตกต่างกัน แต่เมื่อเวลาผ่านไป แม้ว่าวิธีการเฟ้นหาศิษย์ของสำนักศึกษาเต๋าอาจถูกลอกเลียนโดยสำนักอื่นๆ หรือตระกูลต่างๆ ที่ยังหลงเหลืออยู่ แต่หวังเป่าเล่อก็รู้สึกได้ว่าอนาคตของสหพันธรัฐนั้นต้ย่อมตกอยู่ในกำมือของสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าอย่างแน่นอน
สี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าแม้ขัดแย้งกันเองอยู่เป็นประจำ แต่หลังจากที่ได้สัมผัสมาเป็นเวลาหลายปี หวังเป่าเล่อก็เข้าใจดีว่าระบบการจัดการของสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋ามีจุดยืนที่มั่นคงและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
และสิ่งนี้ก็คือรากฐานของสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าในยุคฝึกปราณอมตะนี้!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้อาวุโสสูงสุดหลี่ซิงเหวินกำลังจะบรรลุขั้นปราณ สำหรับสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าแล้วนั้น ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญยิ่ง แม้เรื่องนี้จะทำให้ความยิ่งใหญ่ของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์กลับคืนมาอีกครั้ง แต่สำหรับสำนักศึกษาเต๋าอีกสามแห่ง การมีผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณก็ยังเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นอยู่นั่นเอง
ดังนั้นอีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมา หลังจากที่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ได้ส่งคำเชิญไปยังสหพันธรัฐ ผู้สังเกตการณ์จากอีกสามยอดสำนักศึกษาเต๋าก็เดินทางมากันอย่างคับคั่ง
สำนักศึกษาเต๋ากวางขาว สำนักศึกษาเต๋ากวางขาวสาขาย่อย และสำนักศึกษาเต๋าธารสวรรค์…ประมุขสำนักและผู้อาวุโสชั้นสูงจากสำนักศึกษาเต๋าทั้งสามล้วนเดินทางมา กระทั่งผู้อาวุโสสูงสุดของแต่ละสำนักศึกษาก็ยังมาปรากฏตัว
ในเวลาเดียวกันนั้น บรรดาศิษย์แถวหน้าจากทุกสำนักก็มาถึงเช่นกัน ตามบันทึกที่พบในเศษชิ้นส่วนกระบี่ เมื่อใดก็ตามที่ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในบรรลุไปสู่ขั้นจุติวิญญาณ จะเกิดปรากฏการณ์ที่รวมพลังปราณจากสวรรค์และพื้นพิภพเข้าไว้ด้วยกัน และพลังนั้นจะช่วยให้บรรดาศิษย์เพิ่มพลังกายขึ้นได้ในระยะเวลาอันสั้น
ส่วนกลุ่มอำนาจการเมืองต่างๆ ที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋า แม้พวกเขาจะต้องการเข้าร่วมสักเพียงใด แต่หากไม่ได้รับเทียบเชิญจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่อาจเข้าร่วมได้ อย่างไรก็ตาม สามยอดสำนักศึกษาเต๋าเองก็ยังไม่อาจนั่งชมในบริเวณเดียวกับศิษย์จากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาต้องนั่งในที่ที่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์จัดเตรียมไว้ให้ ส่วนในสุดของเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงอนุญาตให้เข้าได้เพียงศิษย์จากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ บรรดาประมุขสำนักและผู้อาวุโสสูงสุดจากอีกสามยอดสำนักศึกษาเต๋าเท่านั้น
สำหรับศิษย์ที่เหลือ ต้องคอยมองดูจากท่าเรือด้านหน้าเกาะที่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์สร้างขึ้น
การมาถึงของสามยอดสำนักศึกษาเต๋าเป็นสัญญาณว่าวันเวลาอันสงบสุขของหวังเป่าเล่อและกระต่ายน้อยกำลังจะจบลง ประมุขสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์เรียกตัวชายหนุ่มรวมถึงศิษย์พี่ชายหญิงที่อยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกันและมียศถาบรรดาศักดิ์ไล่เลี่ยกับเขา เพื่อไปต้อนรับแขกที่มาจากสำนักศึกษาเต๋าอื่นๆ
ผู้ที่เหมาะสมจะได้รับการเรียกตัวจากประมุขสำนักต่างก็มีพลังปราณอยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นปลายเป็นอย่างน้อย และส่วนใหญ่มียศสูงกว่าขุนนางระดับสามชั้นรอง หากดูตามระบบของสหพันธรัฐแล้ว ทุกคนล้วนเป็นผู้ทรงคุณวุฒิทั้งสิ้นและต่างก็รู้จักกันชื่อเสียงดี แม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยเห็นหน้าค่าตาหวังเป่าเล่อมาก่อน แต่ทุกคนล้วนเคยได้ยินเรื่องของชายหนุ่มและพากันตื่นเต้นยินดีทันทีที่ได้พบเขาตัวเป็นๆ
นิสัยร่าเริงของหวังเป่าเล่อช่วยให้เขารู้จักเพื่อนใหม่ได้โดยง่าย ชายหนุ่มเป็นคนมีพรสวรรค์ด้านการจัดการความสัมพันธ์กับคนอื่นๆ และเพียงพูดคุยกันไม่กี่ประโยค เขาก็สนิทชิดเชื้อกับกลุ่มคนเหล่านี้เป็นที่เรียบร้อย
แม้ว่าจะมียศเป็นถึงขุนนางระดับสองชั้นรอง แต่หวังเป่าเล่อก็ยังไม่ใช่ศิษย์ที่มียศสูงสุดในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ มีอีกคนหนึ่งที่เป็นขุนนางระดับสองชั้นรองเช่นเดียวกัน และอีกคนหนึ่งซึ่งมียศสูงกว่าเขาอยู่หนึ่งระดับ
คนแรกเป็นศิษย์พี่หญิง และอีกคนเป็นศิษย์พี่ชาย
ปราณของศิษย์พี่หญิงอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในชั้นต้น แต่นางก็อยู่ห่างจากชั้นกลางอีกไม่ไกล หญิงสาวไม่ได้ประจำอยู่บนโลก หากแต่เป็นรองเจ้าเมืองบนนครอาณานิคมดาวศุกร์!
นางดูมีอายุราวสามสิบปี และหน้าตาจะไม่โดดเด่น แต่รอยยิ้มกลับเพิ่มความสง่างามให้นางอย่างมาก นางทำให้ผู้คนที่รายล้อมอยู่รู้สึกว่าเป็นมิตรและเข้าหาง่าย หลังจากที่มองเห็นหวังเป่าเล่อ ศิษย์พี่หญิง ผู้มีนามว่าหลินหยุนฮุ่ยก็ส่งยิ้มมาให้
“ศิษย์น้องเป่าเล่อ หากเจ้ามีโอกาสก็แวะมาเที่ยวดาวศุกร์ได้นะ ในคุกใต้ดินที่ดาวศุกร์ยังมีสหายของเจ้าจากเหตุการณ์ที่เขตจันทราเวทอยู่อีกคนหนึ่ง”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็นึกไปถึงหญิงชราจากสำนักรุ่งสางจักรพิภพทันที นางถูกส่งไปที่นั่นหลังจากที่ถูกผู้อาวุโสสูงสุดจับกุมตัว
ขณะที่ความทรงจำเหล่านั้นค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาในใจ หวังเป่าเล่อก็หัวเราะพลางตอบคำอย่างเห็นด้วย ชายหนุ่มนัดแนะวันเวลากับศิษย์พี่หญิงก่อนจะถูกศิษย์พี่ชายที่เป็นขุนนางระดับสองชั้นสูงเพียงคนเดียวในกลุ่มดึงตัวไป
ศิษย์พี่ชายผู้นั้นก็คือซุนปู้เจิง!
ชื่อนั้นแปลกไม่เหมือนใครและติดตรึงอยู่ในใจหวังเป่าเล่อแทบจะในทันที ศิษย์พี่ชื่อปู้เจิงไม่เพียงเป็นผู้ที่มียศสูงสุดในบรรดาศิษย์สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น แต่ยังมีตำแหน่งไม่เหมือนใครอีกด้วย!
เขาเป็นผู้บัญชาการหน่วยสอดแนมของสหพันธรัฐ หวังเป่าเล่อเพิ่งจะล่วงรู้ถึงการมีอยู่ของหน่วยนี้ซึ่งถือเป็นหนึ่งในกรมต่างๆ และรู้จักกันในนามกรมแห่งความมืด ก็เมื่อขึ้นมาเป็นขุนนางระดับสองชั้นรองแล้ว!
คำว่า ‘ความมืด’ ในที่นี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับสำนักแห่งความมืดแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะศูนย์บัญชาการของกรมนี้ตั้งอยู่บนดาวพลูโต และกิจการงานทุกอย่างของกรมถูกซ่อนจากสายตาสาธารณะชน ทำให้ได้รับชื่อนี้มา
ซุนปู้เจิงเป็นเสนาธิการของกรมแห่งความมืด ระดับทรัพยากรและอำนาจที่เขามีนั้นมากมายเสียจนน่าตกใจ ส่วนระดับพลังปราณก็อยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในชั้นปลาย!
หวังเป่าเล่อมีท่าทีสุภาพเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้มีอำนาจเช่นซุนปู้เจิง ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มก็รู้สึกสงสัยเกี่ยวกับกรมของอีกฝ่ายเป็นอย่างยิ่ง ซุนปู้เจิงเองก็สนใจในตัวหวังเป่าเล่อเช่นกัน เมื่อดึงตัวหวังเป่าเล่อออกมาได้ เขาจึงยิ้มและเอ่ยปากถาม
“ศิษย์น้องเป่าเล่อ เจ้าสนใจอยากจะเปลี่ยนตำแหน่งและมาทำงานบนดาวพลูโตบ้างหรือไม่ หากเจ้าตกลง เจ้าจะได้เป็นรองเสนาธิการกรมแห่งความมืดคนแรก และข้าจะจัดการเรื่องการโยกย้ายให้ทั้งหมด!”
“สวัสดิการในกรมแห่งความมืดนั้นถือว่าไม่เลว อีกอย่างหากเจ้ามา เจ้าก็จะเข้าถึงข่าวสารความลับได้ทั่วทั้งสหพันธรัฐ ขณะเดียวกัน กรมของเรายังเกี่ยวพันกับภารกิจต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอารยธรรมต่างดาว…ไม่ว่าจะอย่างไร ข้าขอรับรองว่าหากเจ้ามา เจ้าจะมองสหพันธรัฐและจักรพิภพเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน!”
แม้ว่าจะสนใจกรมแห่งความมืดเพียงใด หวังเป่าเล่อก็ไม่มีแผนจะย้ายออกจากดาวอังคาร แน่นอนว่า หากเขาไม่ได้เป็นเจ้าของวัตถุเวทแห่งความมืดบนดาวอังคาร ชายหนุ่มอาจสนใจ ทว่า ขณะนี้ หวังเป่าเล่อเกรงว่าหากทิ้งวัตถุเวทแห่งความมืดไว้เบื้องหลัง ต่อไปในอนาคตอาจมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงปฏิเสธข้อเสนอนี้ไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ซุนปู้เจิงไม่ได้ติดใจแต่อย่างใด เขายกมือตบบ่าหวังเป่าเล่อ ก่อนจะบอกว่าให้ติดต่อมาเมื่อใดก็ได้หากคิดจะเปลี่ยนใจ หลังจากนั้น ภายใต้การนำของประมุขสำนักแห่งสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ทุกๆ คนก็เริ่มต้อนรับแขกจากอีกสามยอดสำนักศึกษาเต๋ากันอย่างแข็งขัน
บรรดาศิษย์หัวกะทิและประมุขสำนักของอีกสามยอดสำนักศึกษาเต๋าต่างก็รู้จักคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ชื่อของหวังเป่าเล่อเป็นที่เลื่องลือในหมู่พวกเขา และไม่นานนักบรรดาศิษย์ระดับหัวกะทิจากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าก็จับกลุ่มคุยกันอย่างชื่นมื่น
หลังจากที่แขกจากสามยอดสำนักศึกษาเต๋าเดินทางมาถึงกันใกล้ครบแล้ว สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์จำต้องให้ศิษย์ทุกคนมานั่งขัดทำสมาธิรออย่างเงียบสงบที่เกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง เพราะไม่อาจรู้ได้ว่าหลี่ซิงเหวินจะบรรลุขั้นปราณเมื่อใด ส่วนสมาชิกจากอีกสามยอดสำนักศึกษาเต๋านั้นต้องนั่งรอด้านนอก
เมื่อมองจากท้องฟ้าด้านบน ก็จะเห็นผู้คนเรือนหมื่นที่มารวมตัวกันอยู่ทั้งภายในและภายนอกเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ทุกคนพากันตั้งตารอการบรรลุขั้นของหลี่ซิงเหวิน และมันช่างเป็นภาพที่สวยงามอย่างยิ่ง!
ด้านหลี่ซิงเหวินก็ใช้เวลาไม่นานนักก่อนจะบรรลุขั้น สามวันต่อมาในตอนเช้าตรู่ ขณะที่สัญญาณเตือนดังกึกก้องจนได้ยินไปทั่วทุกหนแห่งในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ พลังอันมหาศาลก็แผ่ขยายออกมาจากตำหนักปรัชญาเต๋าบนเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง!
ขณะที่พลังถูกปลดปล่อยออกมา ก็พลันปรากฏลำแสงที่เกิดจากการควบแน่นของปราณวิญญาณพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า พุ่งทะลุหมู่เมฆ ก่อให้เกิดเป็นประกายสายฟ้าสว่างวูบวาบอยู่ทั่วไป ขณะที่สายฟ้าฟาดเปรี้ยงปร้างเป็นคลื่นนั้นเอง หมู่เมฆก็หมุนวน ดูราวกับถูกโบกพัดด้วยมือขนาดมหึมาที่มองไม่เห็น ก่อนจะก่อตัวกันเป็นลูกแก้วพลังปราณขนาดยักษ์
ปราณนั้นแพร่กระจายไปทุกสารทิศ ก่อให้เกิดพลังงานที่รุนแรงและส่งเสียงดังสนั่นขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะเริ่มหมุนวนและรวมตัวกันเป็นพายุหมุนในหมู่เมฆที่เคลื่อนที่ไปรอบๆ ด้วยความเร็วสูง พลังดูดกลืนอันน่าสะพรึงกลัวผุดขึ้นมาจากภายใน ก่อนจะดึงปราณวิญญาณทั้งมวลในโลกให้เคลื่อนที่เข้าไปหา!
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ผู้คนจากทุกเมืองบนโลกล้วนมองเห็นเมฆซึ่งกำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง สายลมรุนแรงโบกพัดไปในทิศทางเดียวกับเหล่าเมฆ พร้อมกับปราณวิญญาณทั้งมวล!
หากว่าผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในได้บรรลุขั้นจุติวิญญาณในอารยธรรมยุคฝึกปราณอมตะที่พลังปราณทั้งเข้มข้นและแก่กล้า เหตุการณ์เหล่านี้จะไม่บังเกิดขึ้น แต่เพราะบนโลกมนุษย์ ปราณวิญญาณนั้นอยู่ไปทั่วท้องฟ้า จึงก่อให้เกิดฉากอันน่าตื่นตะลึงเหล่านี้ระหว่างการบรรลุขั้นของหลี่ซิงเหวินนั่นเอง
บทที่ 483 ฉกฉวยโอกาส!
โดย
Ink Stone_Fantasy
พายุหมุนที่ก่อตัวขึ้นกลางอากาศเหนือสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์คงอยู่เป็นเวลาร่วมสองชั่วโมง และยังขยายใหญ่ขึ้นตามเวลา ในขณะเดียวกันหลุมดำก็ดูดกลืนปราณวิญญาณที่กระจัดกระจายไปทั่วทั้งบริเวณเข้าไป ส่งผลให้บรรดาผู้สังเกตการณ์พากันตื่นเต้นเป็นอย่างมาก พวกเขาสัมผัสได้ถึงปราณวิญญาณเข้มข้นที่รายล้อมบริเวณนั้นอยู่
ปราณวิญญาณนั้นเข้มข้นเสียจนเกือบจะกลายสภาวะเป็นของเหลว ส่งผลให้กลั่นตัวเป็นฝนที่ตกลงมาทั้งภายในและภายนอกสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ บรรดาศิษย์ต่างพากันฝึกปราณด้วยความเร็วสูง เช่นเดียวกันบรรดาผู้สังเกตการณ์คนอื่นๆ ภายนอกเกาะ แม้จะเทียบไม่ได้กับการฝึกตนอยู่ภายในเกาะ แต่ก็ยังนับว่าเป็นโอกาสอันล้ำค่าสำหรับพวกเขา
ในขณะเดียวกันนั้นเอง ณ นครหลวงของสหพันธรัฐ ต้วนมู่ฉีกำลังยืนจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างของห้องทำงาน สายตาคู่นั้นจับจ้องไปยังทิศทางของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เมฆกำลังเคลื่อนตัวไปบนท้องนภาอย่างเร็วรี่ต่อหน้าต่อตาเขา ชายชรายังสามารถสัมผัสรัศมีของหลี่ซิงเหวินที่หลั่งไหลออกมาจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ได้อีกด้วย รัศมีนั้นแก่กล้าขึ้นทุกขณะ พลังดังกล่าวก้าวข้ามเขตของขั้นกำเนิดแก่นในไปแล้ว อาจพูดได้ว่าในตอนนี้ หลี่ซิงเหวินได้บรรลุเป็นผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณโดยสมบูรณ์แล้ว!
ทว่าชายผู้นั้นผิดแผกจากผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณทั่วไป ในฐานะผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณรุ่นใหม่ เป็นการยากยิ่งสำหรับเขาที่จะบรรลุขั้นการฝึกปราณ อาจกล่าวได้ว่า ด้วยความสามารถอันน่าตื่นตะลึงของหลี่ซิงเหวิน พลังปราณที่ชายชรามีในขณะนี้นั้นอาจทำให้เขารุดหน้าไปไกลกว่าผู้ฝึกตนในขั้นเดียวกันหากอยู่ในอารยธรรมอื่นๆ
ในสหพันธรัฐมีทรัพยากรน้อยกว่า ปราณวิญญาณน้อยกว่า แถมยังมีต้นกำเนิดดาราที่ด้อยกว่า ทำให้การพัฒนาของเขาถูกจำกัด ถึงกระนั้น ข้อจำกัดเหล่านี้ก็ใช่ว่าจะไร้ประโยชน์ เพราะทันทีที่หลี่ซิงเหวินบรรลุขั้นจุติวิญญาณในสภาพแวดล้อมที่จำกัดจำเขี่ย เขาก็ย่อมแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณคนใดๆ ในอารยธรรมอื่น
ตอนนี้แม้ว่าจะบรรลุขั้นจุติวิญญาณแล้ว ชายชราก็ยังคงดูดซับปราณวิญญาณเข้าไปเพื่อเสริมให้ร่างกายแข็งแกร่งขึ้น และยังเป็นการช่วยบรรดาศิษย์จากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าให้ได้รับปราณวิญญาณมากขึ้นอีกด้วย!
ในฐานะผู้นำแห่งสหพันธรัฐ ต้วนมู่ฉีไม่อาจยอมรับการกระทำเช่นนั้นได้ นั่นเพราะต้นกำเนิดของปราณวิญญาณบนโลกมาจากเศษเสี้ยวของกระบี่ แม้จะดูเหมือนมีอยู่ล้นเหลือ แต่ความเป็นจริงแล้วมันมีปริมาณจำกัด หากยังไม่ค้นพบวิธีสร้างปราณวิญญาณก่อนที่ปราณของเดิมจะหมดลง อารยธรรมการฝึกปราณของสหพันธรัฐก็อาจต้องพบจุดจบ
ต้วนมู่ฉีไม่อาจยอมให้สถานการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นได้ จึงไม่เห็นด้วยกับการดูดกลืนปราณวิญญาณเพื่อไปหล่อเลี้ยงผู้ฝึกตนรุ่นใหม่ แต่กระนั้นเขาก็เข้าใจหลี่ซิงเหวินในฐานะคนคนหนึ่งเป็นอย่างดี แม้ว่าตนจะมีตำแหน่งผู้นำแห่งสหพันธรัฐคนปัจจุบันก็ตาม
ดังนั้นหลังจากที่นิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน ต้วนมู่ฉีก็สูดลมหายใจเข้าลึกก่อนละสายตาออกมาจากท้องฟ้า ชายชรามองไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือก่อนที่จะหลับตาลงและจมดิ่งสู่ห้วงความคิด
ทิศทางที่ต้วนมู่ฉีมองไปนั้น มีทิวเขาแห่งหนึ่งตั้งอยู่ห่างออกจากนครหลวงไปไกล ภายในทิวเขานั้นมีตำหนักแห่งหนึ่งตั้งอยู่ มีผู้เฒ่าผมสีเงินนั่งขัดสมาธิอยู่ภายใน
ผู้อาวุโสคนนี้มีนามว่าเฟิ่งเต้ากู่ เขาสวมชุดคลุมเต๋า รัศมีที่แผ่ออกมาจากกายเขานั้นแข็งแกร่งกว่าขั้นกำเนิดแก่นในไปมากและอยู่ในขั้นจุติวิญญาณ บุคคลผู้นี้คือผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณที่ต้วนมู่ฉีกล่าวถึงในคำประกาศ คนที่มีภาพปรากฏให้เห็นว่าออกไปตามล่าผู้ฝึกตนจากต่างดาวทั้งสาม!
ขณะนี้ชายผู้นี้กำลังจ้องมองไปยังทิศทางของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์รวมถึงหมู่เมฆบนท้องฟ้า เขาเพ่งมองไปยังทิศทางของรัศมีที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนสัมผัสได้ พลางรู้สึกวูบไหวและสบายใจ
“ข้าหวังว่าความมาดหมายของผู้อาวุโสเฟิ่งจะสำเร็จในยุคฝึกปราณอมตะใหม่นี้…” หลังจากพึมพำจบ ผู้อาวุโสก็หลับตาลง
ณ เวลานั้น ความก้าวหน้าของหลี่ซิงเหวินก็มาถึงจุดสำคัญ ขณะที่ปราณวิญญาณมากมายมารวมตัวกันท่ามกลางเสียงกัมปนาทดังกึกก้อง และการบรรลุขั้นของเขาก็ใกล้เข้ามาทุกขณะ บรรดาศิษย์บนเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงต่างก็พากันตื่นตะลึงร่างกายสั่นเทา ปราณวิญญาณที่รายล้อมกายพวกเขาอยู่นั้นเข้มข้นเป็นอย่างยิ่ง เข้มข้นมากเสียจนกระทั่งพวกเขาไม่ต้องใช้ความพยายามในการดูดซับด้วยซ้ำ ปราณนั้นไหลบ่าเข้าไปในกายผ่านรูขุมขนอย่างง่ายดาย!
ตอนนี้หวังเป่าเล่อเองก็ตัวสั่นเทาอย่างรุนแรง สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วขณะที่มีลมหมุนก่อกำเนิดขึ้นตรงบริเวณที่ชายหนุ่มนั่งอยู่ ก่อนจะดูดกลืนเอาปราณวิญญาณอันเข้มข้นเข้าไปในกายเขา
หากเขาจะฝึกกระบวนท่าเต๋าสายฟ้าขั้นกลางเสียตอนนี้ หวังเป่าเล่อก็คงบรรลุขั้นได้โดยง่าย ทว่า หลังจากที่นิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่ง ชายหนุ่มไม่ได้เลือกกระบวนท่าเต๋าสายฟ้าขั้นกลาง แต่เมื่อได้รับรู้ถึงปริมาณของปราณวิญญาณที่ไหล่บ่าเข้าร่าง ว่าสามารถเพิ่มพลังปราณและพลังกายของเขาได้มากมาย สายตาก็หวังเป่าเล่อก็ฉายแววฉงน
ตอนนี้ในกายข้ามีแก่นในแห่งความมืดและแก่นในแห่งอัสนี พลังการต่อสู้ของข้าอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในชั้นกลาง แต่ถึงกระนั้น ตอนที่ปลดปล่อยพลังเต็มที่ ร่างกายของข้าซึ่งแต่เดิมทานทนไหว ก็ดูเหมือนจะไม่ชินกับพลังใหม่นี้อย่างบอกไม่ถูก…
ดังนั้นบางทีสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับข้าในตอนนี้อาจไม่ใช่ทักษะการฝึกปราณสำหรับขั้นกำเนิดแก่นใน หากแต่เป็นกำลังกายเสียมากกว่า! หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะหลับตาลง พลางเพ่งสมาธิไปยังดอกบัวเขียวในกาย หลังจากที่เห็นฝักบัวที่ผนึกแก่นในทั้งสองของเขาอยู่ สายตาของชายหนุ่มก็ผละไปมองดอกบัวสีเขียวดอกหลัก
ตั้งแต่ได้รับดอกบัวเขียวมา ชายหนุ่มรู้สึกว่ามันไม่ได้ช่วยเพิ่มระดับการฝึกปราณสักเท่าใดนัก หากแต่มีผลใหญ่หลวงต่อความแข็งแรงของร่างกาย ยิ่งไปกว่านั้น ในตำราโบราณของสำนักแห่งความมืดที่หวังเป่าเล่อได้อ่านจากนิมิตแห่งความมืด เขาไม่พบข้อมูลเกี่ยวกับดอกบัวเขียวแม้แต่น้อย แต่ได้เห็นข้อมูลเกี่ยวกับการฝึกกำลังกาย
ทว่า เคล็ดวิชาทั้งหลายล้วนต้องการปราณมืดทั้งสิ้น และจะใช้ได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะแล้วเท่านั้น แม้กระนั้น ความรู้นี้ก็ช่วยให้หวังเป่าเล่อตัดสินใจเส้นทางที่เขาต้องการจะไปต่อได้ ดังนั้นตอนนี้ในศีรษะของชายหนุ่มจึงมีแผนการลอยขึ้นมาให้เห็น
บางทีข้าอาจจะใช้ประโยชน์จากปราณวิญญาณที่ท่านผู้อาวุโสสูงสุดได้รวบรวมมา เพื่อให้ร่างกายของข้าสร้างแก่นในขึ้นมาอีกแก่นก็ได้! เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็รู้สึกมุ่งมั่นขึ้น ชายหนุ่มรีบใช้ผนึกฝ่ามือนำปราณวิญญาณที่ถูกดูดเข้ามาในร่างให้มุ่งไปยังดอกบัวเขียวทันที!
เมื่อปราณวิญญาณไหลเข้าไป ฝักบัวหลักก็สั่นไหวขึ้นมาชั่วครู่ ก่อนที่จะส่องแสงเรืองเรื่อสีเขียวอ่อนออกมาจากภายใน แสงเรืองนี้ดูราวจะฉายผ่านอวัยวะภายในและเนื้อหนังของเขาออกมาได้ ทำให้กายของหวังเป่าเล่อกลายเป็นสีเขียว
ขณะที่แสงสีเขียวส่องสว่างอยู่นั้น กระดูกของเขาก็สมานเชื่อมกัน เลือดเนื้อก็เพิ่มพูน อวัยวะภายในเองก็ดูจะแข็งแรงขึ้น ส่งผลให้การเต้นของหัวใจรุนแรงและส่งเสียงดังขึ้น จนกระทั่งดังกึกก้องราวสายฟ้าฟาดอยู่ในหูของหวังเป่าเล่อนั่นเอง!
กำลังกายของข้ากำลังเพิ่มพูนขึ้น! หวังเป่าเล่อรู้สึกลิงโลดใจ ชายหนุ่มตัดสินใจใช้เมล็ดดูดกลืนภายในร่าง ทันใดนั้น ปราณวิญญาณที่ลอยอยู่รอบกายก็ถูกดูดเข้ามาหาตัว ในไม่ช้า ผู้คนที่อยู่รอบกายเขาก็เริ่มรู้สึกตัวและกระจายตัวออกไป ทำให้ชายหนุ่มเป็นคนเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่ในบริเวณนั้น ภายนอกกายเขามีลมหมุนขนาดใหญ่กว่าเก่าปรากฏขึ้น เกิดเสียงกัมปนาทดังกึกก้องที่ทำให้บรรดาประมุขสำนักและแขกเหรื่อจากอีกสามยอดสำนักศึกษาเต๋าพากันส่งสายตาวิตกกังวลมาทางหวังเป่าเล่อ
แต่กระนั้น หวังเป่าเล่อก็ไม่ใส่ใจ ขณะนี้ชายหนุ่มกำลังมุ่งมั่นกับการเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับร่างกาย กระบวนการหมุนเวียนได้ก่อกำเนิดขึ้นในร่างกายเขาแล้ว
ดูดกลืนปราณวิญญาณ หลอมรวมปราณเข้ากับดอกบัวเขียว ปล่อยแสงสีเขียว และเพิ่มความแข็งแกร่งให้ร่างกาย!
เมื่อกระบวนการหมุนเวียนดำเนินไป ดอกบัวเขียวในกายของหวังเป่าเล่อก็เริ่มสั่นอย่างรุนแรง และค่อยๆ เปล่งแสงออกมาช้าๆ!
ยิ่งมันโตมากขึ้นเท่าใด แสงสีเขียวก็ยิ่งเพิ่มกำลังวังชาให้ชายหนุ่มมากขึ้นตามกัน ภายใต้ความดีอกดีใจของหวังเป่าเล่อนั้น ก็มีความรู้สึกผ่อนคลายที่แตกต่างจากตอนที่เขาฝึกเคล็ดวิชาแผ่กระจายไปทั่วร่าง ราวกับว่ามีมือจำนวนนับไม่ถ้วนมาสัมผัสเรือนร่างของเขาพร้อมๆ กัน ทำให้ผิวหนังส่งแสงสีเขียวเรืองรอง สุดท้ายแล้ว หวังเป่าเล่อ ผู้ซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ก็มีกายเป็นสีเขียวโดยสมบูรณ์!
เสียงหัวใจของเขาดังก้องไปทั่วร่าง ดังเสียจนมีเสียงสะท้อนส่งกระจายออกไปหาฝูงชน!
เสียงดังตุ้บๆ นั้นทำให้ประมุขสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์และสำนักศึกษาเต๋าอื่นๆ พากันแปลกใจ ประมุขสำนักศึกษาเต๋าธารสวรรค์ถึงกับอุทานออกมา
“เสียงหัวใจเต้นของเขาดังราวฟ้าผ่า ข้าเคยอ่านชิ้นส่วนบันทึกฉบับหนึ่งว่า เสียงหัวใจเต้นเช่นนี้เป็นของผู้ที่ฝึกร่างกายในขั้นการฝึกปราณของอารยธรรมกระบี่โบราณ ขั้นนั้นรู้จักกันในนามขั้นแก่นหัวใจ มีพลังเทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นใน!
“แม้ว่าเคล็ดวิชานี้จะไม่ได้มีบอกไว้อย่างชัดเจนในบันทึกนั้น แต่คำอธิบายก็กล่าวว่าขั้นแก่นหัวใจคือการแปลงหัวใจของตนให้เป็นแก่นใน เมื่อใดก็ตามที่เสียงหัวใจดังก้องอย่างรุนแรง มันก็จะกลายเป็นประหนึ่งโอสถ และหากหัวใจเต้นระรัวโดยไม่ส่งเสียงสะท้อนออกมา ก็หมายความว่าผู้นั้นได้บรรลุขั้นแก่นในหัวใจเป็นที่เรียบร้อย!”
ประมุขสำนักศึกษาเต๋าธารสวรรค์พูดอย่างเร่งรีบ ในขณะที่ประมุขสำนักคนอื่นๆ พากันจ้องมองเขา กระทั่งผู้อาวุโสสูงสุดของสามยอดสำนักศึกษาเต๋าก็ยังรู้สึกได้ถึงสิ่งผิดปกติบางอย่าง จึงหันกลับไปมอง…
เสียงระเบิดคำรามสนั่นขึ้นมาจากกึ่งกลางระหว่างสวรรค์และพื้นพิภพ มีพลังรุนแรงซึ่งก้าวข้ามระดับกำเนิดแก่นในไปไกล เป็นพลังของผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณอย่างแท้จริงระเบิดออกมาจากยอดเขา ณ บริเวณที่หลี่ซิงเหวินถือสันโดษอยู่ เมื่อมันแผ่ออกมา สายลมและหมู่เมฆต่างก็หมุนวนอยู่บนท้องฟ้าและก่อตัวกันเป็นรูปคนขนาดเล็ก รูปเหมือนนั้นคือหลี่ซิงเหวินที่กำลังยืนอยู่กลางอากาศ ทันทีที่รูปเหมือนส่งเสียงหัวเราะ ทุกคนก็กุลีกุจอกันคำนับเขาเป็นการใหญ่ รูปเหมือนทักทายตอบ ก่อนที่สายตาของเขาจะมาหยุดอยู่ที่หวังเป่าเล่อด้วยท่าทีแปลกใจ
“ไม่เลวนี่!” รูปเหมือนฉีกยิ้ม ก่อนจะทำผนึกฝ่ามือและชี้ไปทางหวังเป่าเล่อ ร่างของชายหนุ่มสั่นเทิ้ม ปราณวิญญาณรอบกายเขาที่ทรงพลังขึ้นอีกก็ไหล่บ่าเข้าไปในร่างอีกคำรบ!
เกิดเสียงแกรกกรากดังขึ้นมาจากภายในร่างของหวังเป่าเล่อ เสียงหัวใจของเขาแปรเปลี่ยนไปในวินาทีนั้น ที่เคยส่งเสียงสะท้อนออกมาก่อนหน้านี้ มาบัดนี้ไม่หลงเหลือเสียงสะท้อนอีกต่อไป หากเงี่ยหูฟัง เสียงหัวใจนั้นฟังดูไม่เหมือนเสียงหัวใจเต้นอีกแล้ว แต่ฟังคล้ายเสียงโอสถตกกระทบจานมากกว่า!
หลังจากนั้น ร่างจุติวิญญาณของหลี่ซิงเหวินก็หัวเราะอย่างเปี่ยมสุขอยู่เป็นเวลานาน ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นแสงสีม่วงที่พวยพุ่งลงไปยังภูเขาเบื้องล่าง!
อึดใจถัดมา ทิวเขาเหล่านั้นก็สั่นไหวอย่างรุนแรง มีเสียงแตกร้าวดังสนั่นออกมา ก่อนที่หลี่ซิงเหวิน ผู้ซึ่งบัดนี้บรรลุขั้นจุติวิญญาณแล้วจะปรากฏกายออกมาจากภายใน!
การปรากฏตัวของเขาทำให้ผู้ฝึกตนทั้งในและนอกเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงพากันหยุดหายใจ นอกจากหวังเป่าเล่อที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวแล้ว พวกเขาต่างพากันแสดงความยินดีกับหลี่ซิงเหวิน พร้อมโค้งคำนับต่ำ
“ขอแสดงความยินดีกับการบรรลุขั้นจุติวิญญาณ ผู้อาวุโสสูงสุด!”
“ขอแสดงความยินดีกับการบรรลุขั้นจุติวิญญาณ ศิษย์พี่หลี่!”
“ขอแสดงความยินดีกับการบรรลุขั้นจุติวิญญาณ สหายเต๋าหลี่!”
บทที่ 484 เจ้าอ้วน ไหนลองชกข้าหน่อย!
โดย
Ink Stone_Fantasy
ทุกคนพากันชื่นชมยินดีกับการบรรลุขั้นจุติวิญญาณของหลี่ซิงเหวิน ผู้นำแห่สหพันธรัฐโทรมาแสดงความยินดีด้วยตนเอง เช่นเดียวกับกลุ่มอำนาจการเมืองต่างๆ ที่ติดตามเหตุการณ์ใหญ่นี้อย่างใกล้ชิด!
ณ เวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นคณะเสนาบดี สำนักรุ่งสางจักรพิภพ ตระกูลนภาห้าสมัย หรือกระทั่งสำนักสหชุมนุมสกุณาก็ต่างรู้ดีว่าสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋านั้นไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว!
แต่เดิมสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าก็เป็นขั้วพลังที่น่าเกรงขามมาตั้งแต่ต้น ความแข็งแกร่งนี้ยังขับเน้นด้วยสายสัมพันธ์อันแนบแน่นที่พวกเขามีต่อสหพันธรัฐ ทว่าการที่พวกเขานั้นแยกออกจากกันเป็นสี่ส่วน ส่งผลให้กลุ่มอำนาจการเมืองอื่นรู้สึกว่าสำนักทั้งสี่นั้นไม่อาจแตะต้องได้
ทว่าบัดนี้เมื่อหลี่ซิงเหวินบรรลุขั้น ทุกสิ่งก็เปลี่ยนไป ในอนาคตอีกระยะหนึ่งนับจากนี้ สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์จะกลายเป็นขุมพลังที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋า นอกเสียจากว่าต้วนมู่ฉีจะบรรลุขั้นได้เช่นกัน!
แต่แม้ต้วนมู่ฉีจะบรรลุขั้นได้ สถานะของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ก็รุดหน้าไปกว่าก่อนมากนัก เรียกได้ว่าเทียบเท่าสำนักศึกษาเต๋ากวางขาวแล้วก็ว่าได้ เหตุการณ์ใหญ่ในวันนี้จะก่อให้เกิดผลต่อเนื่องไปอีก ตัวอย่างเช่น บรรดาศิษย์จากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์จะได้รับการยอมรับมากขึ้นจากสังคม และกลุ่มอำนาจการเมืองต่างๆ ก็จะไม่กล้าหาเรื่องพวกเขาหากไม่มีเหตุผลอันสมควร
ในส่วนของหวังเป่าเล่อนั้น หากหลี่ซิงเหวินบรรลุขั้นเร็วกว่านี้ ปัญหาทั้งหลายที่เขาต้องพานพบในฐานะเจ้าเมืองก็คงจะไม่เกิดขึ้นตั้งแต่แรก
อย่างไรเสีย ในตอนนี้หลี่ซิงเหวินก็เป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาผู้ฝึกตนในสหพันธรัฐบนโลก!
ลักษณะนิสัยของเขาที่ชอบช่วยเหลือผู้คนใกล้ชิดซึ่งกำลังประสบปัญหา เป็นที่รู้กันดีในบรรดากลุ่มอำนาจการเมืองต่างๆ ดังนั้นการบรรลุขั้นของเขาก็เหมือนเป็นการบีบกลุ่มอำนาจการเมืองต่างๆ ให้เจียมตัวลงพอสมควร ในเวลาเดียวกัน ช่องข่าวสารยอดนิยมของสหพันธรัฐก็พากันรายงานข่าวเรื่องนี้อย่างแข็งขัน แน่นอนว่าในสายตาของคนหมู่มาก หลี่ซิงเหวินไม่ใช่ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณคนแรก ทว่าเรื่องนั้นไม่ถือเป็นไม่สำคัญ
ตอนนั้นเองหลี่ซิงเหวิน ผู้ซึ่งบรรลุขั้นจุติวิญญาณมาหมาดๆ ก็ส่งคำเชิญไปยังกลุ่มอำนาจการเมืองต่างๆ ให้มาร่วมงานเลี้ยงใหญ่ที่จะจัดขึ้น ณ สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์
งานเลี้ยงใหญ่นั้นรวบรวมบรรดาผู้มีอิทธิพลทั้งหลายในสหพันธรัฐมาจนหมด นับเป็นงานเลี้ยงที่โอ่อ่าเป็นอย่างยิ่ง คนอื่นๆ อาจไม่ทำเช่นนี้ แต่เป้าหมายของหลี่ซิงเหวินคือการส่งสารออกไปถึงกลุ่มอำนาจการเมืองต่างๆ ว่าเขาได้บรรลุเป็นผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณเรียบร้อยแล้ว ไม่ควรมีใครมาดูหมิ่นตัวเขา สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ หรือสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าอีกต่อไป!
ดังนั้นระหว่างงานเลี้ยงใหญ่นี้ หลี่ซิงเหวินจึงไม่ได้ซ่อนรัศมีขั้นจุติวิญญาณของเขาเอาไว้แต่อย่างใด ชายชราปลดปล่อยพลังออกมาอย่างเต็มที่ พลังนั้นรุนแรงเสียจนกระทั่งผู้ที่มาร่วมงานต่างมีท่าทีนบนอบอยู่ภายนอกแต่กลับหัวเราะอย่างขมขื่นอยู่ภายในใจ พลางสบถอยู่เบาๆ ด้วยความรู้สึกสิ้นหวังอย่างรุนแรง
อย่างไรก็ดี ตั้งแต่เริ่มต้นจวบจนจบงานเลี้ยง หวังเป่าเล่อไม่ปรากฏตัว ชายหนุ่มยังคงนั่งสมาธิอยู่ และหลี่ซิงเหวินก็สร้างเกราะกำบังปกคลุมสถานที่ที่ชายหนุ่มอยู่เพื่อจะได้ไม่มีใครไปรบกวน
งานเลี้ยงใหญ่เกิดขึ้นแล้วก็ผ่านไป แขกเหรื่อจากทั้งสามยอดสำนักศึกษาเต๋าและกลุ่มอำนาจการเมืองต่างๆ ต่างทยอยเดินทางกลับ เจ็ดวันผ่านไป หวังเป่าเล่อ ผู้ซึ่งนั่งหลับตาทำสมาธิมาโดยตลอด ก็ลืมตาขึ้นในที่สุด
วินาทีที่ชายหนุ่มลืมตาขึ้นนั้นเอง เขาก็รู้สึกว่าโลกตรงหน้าไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ราวกับว่าสีสันของสิ่งต่างๆ สดใสขึ้นกว่าเคยและทุกสิ่งทุกอย่างก็ชัดเจนขึ้นกว่าเก่า หวังเป่าเล่อได้ยินเสียงของสายลมและใบหญ้าดังสะท้อนขึ้นมาจากพื้นดิน เขาสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของฝูงปลาที่แหวกว่ายอยู่ในสายน้ำ ทั้งยังได้ยินกระทั่งเสียงเต้นของหัวใจที่ดังมาจากบรรดาศิษย์ในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ รวมถึงเสียงการไหลเวียนของโลหิตในกายพวกเขาด้วย!
ช่างเป็นความรู้สึกที่น่าพึงใจอย่างบอกไม่ถูก หวังเป่าเล่อตื่นตะลึงไปชั่วขณะจึงได้สติกลับมา เมื่อมองเข้าไปภายในกาย ชายหนุ่มจึงเห็นว่าภายในฝักบัวหลักของดอกบัวเขียวมีแก่นในสีเขียวปรากฏขึ้น!
สำเร็จ! หวังเป่าเล่อตื่นเต้นยินดีเป็นอย่างยิ่ง ในความตื่นเต้นนั้น ชายหนุ่มรู้สึกว่ามีใครสักคนกำลังเดินเข้ามาใกล้ เขาจึงรีบหันหลังกลับทันที จึงเห็นว่าหลี่ซิงเหวินมายืนอยู่ด้านหลัง ชายชราเข้าถึงตัวหวังเป่าเล่อโดยที่เขาไม่รู้สึกตัวสักนิด
การฝึกฝนแก่นในหัวใจทำให้เกิดจิตสัมผัสวิญญาณเช่นนั้นหรือ หลี่ซิงเหวินดูแปลกใจที่หวังเป่าเล่อสัมผัสการมาถึงของเขาได้ ชายชราจึงจ้องมองเด็กหนุ่มตรงหน้าอยู่หลายอึดใจ
เมื่อเห็นว่าผู้อาวุโสสูงสุดมาเยี่ยมเยียน หวังเป่าเล่อก็รีบผุดลุกขึ้นยืนและยกมือคารวะทันที ในเวลาเดียวกันนั้น ชายหนุ่มก็สัมผัสได้ถึงรัศมีจากกายของผู้อาวุโส เขารู้ดีว่ารัศมีนี้ไม่ใช่ขั้นกำเนิดแก่นในอีกต่อไป แต่เป็นขั้นที่ล้ำลึกกว่านั้นมาก มันให้ความรู้สึกแข็งแกร่งที่มากกว่าผู้ฝึกตนหน้าม้าและผู้ฝึกตนหน้าเหลี่ยมจากต่างดาว และละม้ายคล้ายรัศมีจากผู้ฝึกตนหน้าตะขาบซึ่งเป็นหัวหน้า
หวังเป่าเล่อตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง ชายหนุ่มรู้ดีว่าหลี่ซิงเหวินเพิ่งจะบรรลุขั้น การที่ชายชรามาถึงขั้นนี้ได้ภายในระยะเวลาอันสั้นแสดงให้เห็นว่าหลี่ซิงเหวินแข็งแกร่งเพียงใด
ตาเฒ่าประหลาด…หวังเป่าเล่อพึมพำอยู่ในใจด้วยความอิจฉา ถึงกระนั้น สิ่งที่ชายหนุ่มไม่รู้ก็คือชายชราเองก็พึมพำเช่นเดียวกันอยู่ในใจ
เจ้านี่เป็นเด็กหนุ่มที่ประหลาดนัก อยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในชั้นต้นเพียงเท่านั้น แต่ก็มีแก่นในอัสนีเสียแล้ว แถมยังมีแก่นในหัวใจอยู่ในร่างด้วย แถมยังมีรัศมีที่ไม่เหมือนใครแผ่ออกมาจากร่าง ยิ่งไปกว่านั้นจิตสัมผัสวิญญาณก็แหลมคมถึงเพียงนี้ บัดซบ ตัวข้ากว่าจะมีจิตสัมผัสวิญญาณก็ต้องบรรลุขั้นจุติวิญญาณแล้วเชียวนะ แต่เจ้านี่กลับมีเสียแล้ว! หลี่ซิงเหวินเอ่ยปากพูดด้วยสีหน้าแปลกแปร่ง
“เจ้าอ้วน ไหนลองชกข้าดูสักครั้งเสีย ข้าอยากรู้ด้วยตัวเองว่าแก่นในดวงใจจะทรงพลังเพียงใด”
“แก่นในหัวใจหรือขอรับ” หวังเป่าเล่อตกตะลึง
“นี่เจ้าโง่หรืออย่างไร แก่นในหัวใจก็สิ่งที่เจ้าสร้างอยู่นั่นไง มันเทียบเท่ากับขั้นกำเนิดแก่นในสำหรับกายเจ้า!” หลี่ซิงเหวินพูด และหวังเป่าเล่อก็เข้าใจสิ่งที่ชายชราพูดในทันที ในเมื่อหลี่ซิงเหวินร้องขอและตัวชายหนุ่มเองก็อยากทดลองพลังการต่อสู้ของตนเอง ดังนั้นหลังจากที่สูดลมหายใจเข้าลึก หวังเป่าเล่อก็ปลดปล่อยพลังของแก่นในทั้งสามในกายออกมาพร้อมๆ กัน ก่อให้เกิดเสียงกัมปนาทดังสนั่น พร้อมสายฟ้าฟาดที่กำเนิดขึ้นมาและกระจายออกไปทั่ว เปลวไฟเย็นเยียบก็ก่อตัวขึ้นมาด้วย เมื่อชายหนุ่มออกหมัดไปก็ดูคล้ายกับว่าเทพสงครามกำลังชกใส่หลี่ซิงเหวินอยู่กระนั้น
กำปั้นนั้นทำให้สายลมและหมู่เมฆเริ่มหมุนวน และก่อเกิดแรงระเบิดอันมหาศาลขึ้นอย่างฉับพลัน แต่กระนั้น เมื่อหมัดเข้าถึงตัวหลี่ซิงเหวิน ชายชราก็หยุดมันเอาไว้ด้วยนิ้วชี้ขวาเพียงนิ้วเดียวเท่านั้น!
เสียงกัมปนาทนั้นดังขึ้นเสียจนหูแทบดับ ราวกับว่ามีพายุหมุนขนาดยักษ์พัดเข้าใส่ระหว่างคนทั้งคู่ ผมของหลี่ซิงเหวินปลิวสยายใต้แรงลม เสื้อของเขาพัดเปิดขึ้น ชายชรายังคงมีท่าทีสงบ สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด
ด้านหวังเป่าเล่อนั้นตัวสั่นเทาอย่างรุนแรง ชายหนุ่มรู้สึกถึงแรงสะท้อนกลับที่ไหลสะท้านไปทั่วทั้งกาย ทำให้อวัยวะภายในของเขาแทบจะทนไม่ไหว ทว่าตอนที่ดอกบัวเขียวเริ่มสั่นสะท้าน แสงสีเขียวก็ปรากฏขึ้นจากในกายเขา และย้อนคืนทุกอย่างจนเข้าสู่สภาวะปกติ
แม้กระนั้น ชายหนุ่มก็อารมณ์เสียเป็นอย่างยิ่ง เพราะหมัดที่เขาชกออกไปสุดแรงนั้นถูกผู้อาวุโสสูงสุดหยุดไว้ด้วยนิ้วเดียว หวังเป่าเล่อผิดหวัง และหลังจากโซเซถอยหลังไปสองสามก้าว เขาก็ทอดถอนใจออกมาเป็นการใหญ่
“เท่านี้เองหรือ ข้าจะถือว่าให้แค่ผ่านก็แล้วกัน เอาละ เจ้าอยู่ในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์มานานเกินไปแล้ว กลับดาวอังคารไปเสีย” ผู้อาวุโสสูงสุดลดมือลงและพูดอย่างหยิ่งยโส ราวกับว่ายอมรับหวังเป่าเล่ออย่างไม่เต็มใจนัก ชายชราสะบัดชายเสื้อและหันหลังเดินจากไป ทิ้งหวังเป่าเล่อผู้ที่ยังคงทอดถอนใจอย่างเจ็บปวดกับความอ่อนแอของตนเอาไว้ด้านหลัง
ทว่าเมื่อเดินไปถึงที่ลับตาคนแล้ว สีหน้าหยิ่งยโสของหลี่ซิงเหวินก็หายไปในทันที อวัยวะภายในของเขาบีบตัวกันแน่น ชายชรายกมือขึ้นกุมนิ้วมือไว้พลางกัดฟันกรอด เขาใช้มือลูบนิ้วอยู่นาน ขณะเดียวกันนั้นเอง ชายเสื้อของชายชราก็สลายกลายเป็นผง แถมเสื้อคลุมตัวยาวที่เขาใส่ก็ขาดวิ่น
เจ้าเด็กนั่นแข็งแกร่งเกินไป อยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในชั้นต้นเท่านั้น แต่ยังเกือบจะหักนิ้วข้าได้ด้วยการชกเพียงครั้งเดียว…หลี่ซิงเหวินสูดลมหายใจเข้าลึก แม้จะรู้ดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะเขาไม่ได้ใช้เคล็ดเวทใดๆ ในการต่อสู้ แต่ชายชราก็เป็นผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณ และไม่ควรมีผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในที่ไร้ซึ่งท่าไม้ตายใดๆ จะเอาชนะเขาได้ หากผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในคิดจะต่อกรกับผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณด้วยพลังปราณเพียงอย่างเดียว ฝ่ายหลังไม่ควรจะมีแม้กระทั่งรอยขีดข่วนเสียด้วยซ้ำ
แต่หวังเป่าเล่อกลับทำให้ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณบาดเจ็บได้ด้วยการใช้กำลังกายเพียงอย่างเดียว สิ่งนี้ทำให้หลี่ซิงเหวินตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
แก่นในหัวใจนั้นทรงพลังยิ่ง แต่การที่เขามาถึงจุดนี้ได้แปลว่ารัศมีที่ซ่อนอยู่ในกายเขาก็มีส่วนสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน…รัศมีนี้…อ้า จะดูถูกเจ้าหนุ่มคนนี้ไม่ได้จริงๆ สิ่งที่ทุกกลุ่มอำนาจการเมืองในสหพันธรัฐต้องการ…หากถูกฉวยเอาไป จะต้องเกิดปัญหาตามมาอย่างแน่นอน! หลี่ซิงเหวินยกมือขึ้นนวดหน้าผาก ก่อนจะพร่ำบ่นอยู่กับตัวเองขณะที่มีสีหน้ามุ่งมั่นขึ้นมา
บางทีข้าอาจจะคิดมากเกินไป เขาอาจแค่ได้รับมันมาบ้างเล้กน้อยหลังจากที่ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่บนดาวอังคารก็ได้…หลี่ซิงเหวินส่ายศีรษะ ถึงกระนั้น ชายชราก็ยังมีความสุขเมื่อได้รู้ว่าศิษย์สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์นั้นแข็งแกร่งเพียงใด หลังจากใช้จิตสัมผัสวิญญาณตรวจสอบดูว่าไม่มีใครอยู่บริเวณนั้น เขาก็รีบเปลี่ยนชุดคลุมเต๋าชุดใหม่ก่อนจะจากไป
ฝ่ายหวังเป่าเล่อนั้น ขณะนี้ก็ยังถอนหายใจอยู่เช่นเดิม ชายหนุ่มครุ่นคิดถึงความอ่อนแอของตนเองอย่างหนัก เพราะเหตุนี้ ความต้องการที่จะยึดครองวัตถุเวทแห่งความมืดบนดาวอังคารก็ยิ่งแรงกล้าขึ้น โดยหวังว่าตนจะกลายเป็นผู้ไร้เทียมทานหากได้ครอบครองวัตถุเวทแห่งความมืด
เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็เริ่มกังวลที่ตนจากดาวอังคารมาเนิ่นนาน ชายหนุ่มกังวลที่ตนทิ้งวัตถุเวทแห่งความมืดเอาไว้ เพราะมีผู้ทรงอิทธิพลในสหพันธรัฐมากมายที่หมายตาสมบัติชิ้นนั้น หวังเป่าเล่อไม่กล้าบอกใครว่าตัวเขาเป็นเจ้าของวัตถุเวทแห่งความมืดนั้น เพราะเหตุนี้ความต้องการที่จะกลับไปดาวอังคารจึงมากขึ้นเป็นกำลัง
ชายหนุ่มรีบแล่นไปแจ้งประมุขสำนักว่าเขาจะขอตัวกลับ จากนั้นก็ร่ำลากระต่ายน้อย หลังจากที่เห็นนางกลับไปยังเขตถือสันโดษ หวังเป่าเล่อก็สูดลมหายใจเข้าลึก ชายหนุ่มพบเจ้าลากำลังนอนเอกเขนกอยู่ข้างๆ วานรเพชรด้วยสีหน้าพึงพอใจ แล้วก็มองไปเห็นหุ่นเชิดพังๆ จำนวนหนึ่งกองอยู่ข้างๆ อสูรทั้งสอง ซึ่งทำให้เขาประหลาดใจอย่างยิ่ง
ในที่สุด ชายหนุ่มก็พ่นลมหายใจออกมาอย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะเดินไปดึงหูเจ้าลาออกจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ไป เมื่อกลับมาถึงนครศักดิ์สิทธิ์ก็เข้าไปพูดคุยกับบิดามารดา ก่อนจะก้าวขึ้นเรือบินออกจากนครหลวงในเช้าวันถัดมา ท่ามกลางการอารักขาของเรือบินอีกแปดลำที่ถูกส่งมาเพื่อคุ้มกันเขา หวังเป่าเล่อก็เดินทางทะลุหมู่เมฆขึ้นมาถึงจักรวาล มุ่งหน้าไปยังดาวอังคารด้วยความเร็วสูง!
บทที่ 485 สำนักวังเต๋าไพศาล!
โดย
Ink Stone_Fantasy
ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังเดินทางกลับดาวอังคารนั้น สื่อหลายสำนักในสหพันธรัฐยังคงเฉลิมฉลองการบรรลุขั้นของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์หลี่ซิงเหวิน ทุกคนล้วนอารมณ์ดี เสียงหัวเราะชื่นมื่นปกคลุมไปทั่วสหพันธรัฐ
ในขณะเดียวกัน ผู้คนเพียงหยิบมือเท่านั้นที่รู้ว่า ต้วนมู่ฉี ผู้นำสหพันธรัฐคนปัจจุบัน ตัดสินใจเข้าถือสันโดษในวันที่สี่หลังจากที่หลี่ซิงเหวินบรรลุขั้นปราณ ขณะเดียวกัน มีการเปิดวงแหวนปราณครอบนครหลวงเอาไว้เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ อีกด้านหนึ่ง แม้ว่ากายหยาบของหลี่ซิงเหวินจะอยู่ที่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ แต่ชายชราก็ยังเฝ้ามองนครหลวงอยู่เสมอ หากเกิดเหตุใดขึ้น เขาก็จะก้าวเข้าไปดูแลความปลอดภัยของต้วนมู่ฉีด้วยตนเองในพริบตา
เพราะหากต้วนมู่ฉีบรรลุขั้นปราณได้เช่นกัน ก็จะแปลว่าสหพันธรัฐได้ก้าวเข้าสู่ยุคจุติวิญญาณอย่างแท้จริง ขณะเดียวกัน สิ่งที่สำคัญสุดก็คือการที่พวกเขาทั้งสองบรรลุขั้นติดๆ กัน เพราะมันจะแปลว่าการบรรลุขั้นนั้นเป็นไปได้สำหรับคนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน
คนอื่นๆ ที่ว่านี้รวมถึงคณะเสนาบดี เจ้านครดาวอังคาร ผู้อาวุโสสูงสุดของอีกสามยอดสำนักศึกษาเต๋า สำนักรุ่งสางจักรพิภพ สำนักสหชุมนุมสกุณา และแม้กระทั่งตระกูลนภาห้าสมัยด้วยเช่นกัน!
ในความเป็นจริงแล้วต้วนมู่ฉีไม่ถือว่าเป็นรุ่นที่สอง ตัวเขานั้นนับว่าเป็นผู้ใหญ่ที่กำเนิดมาจากยุคสงครามครั้งใหญ่ ผ่านการเปลี่ยนแปลงอันรุนแรงนับครั้งไม่ถ้วนของสรวงสวรรค์และพื้นพิภพ รวมไปถึงสงครามอสูร เช่นเดียวกับหลี่ซิงเหวิน ไม่ว่าความสามารถและแนวคิดจะแตกต่างกันเพียงใด ก็ต้องนับว่าพวกเขาเป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคแรกอย่างแท้จริง!
บุคคลเช่นเขาไม่ควรจะติดอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในอีกแล้ว!
มีคนเช่นต้วนมู่ฉีอีกไม่น้อยที่เริ่มถือสันโดษเช่นกัน พวกเขาเองก็ตั้งเป้าจะบรรลุขั้นการฝึกตนและก้าวเข้าสู่ขั้นจุติวิญญาณ!
ถึงกระนั้น การจะบรรลุขั้นได้ก็เป็นเรื่องยากยิ่ง ไม่เพียงต้องใช้เวลา แต่ยังต้องมีโอกาสอันเหมาะเจาะอีกด้วย แม้ว่ายุคสมัยแห่งการฝึกปราณจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว ทำให้ผู้มีอำนาจได้พบเจอโอกาสมากมาย แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือความยิ่งใหญ่ของโอกาสและผลที่พวกเขาจะกอบโกยมาได้
ทว่าเรื่องเหล่านี้ไม่ได้สร้างความกังวลให้หวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย ขณะนี้ เรือบินของเขาลงจอดบนดาวอังคารแล้ว และชายหนุ่มก็กลับไปยังเขตนครพิเศษบนดาวอังคารทันที ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อเขายังรู้สึกถึงความเชื่อมโยงรางๆ กับวัตถุเวทแห่งความมืดจากใต้ดิน และรับรู้ว่าทุกอย่างยังคงเดิม
หลังจากนั้น ชายหนุ่มก็เริ่มกังวลขึ้นมาอีกครั้ง วัตถุเวทแห่งความมืดนั้นทรงพลังก็จริง แต่มันก็เสียหายมากเกินไป หากว่าหวังเป่าเล่อไม่สามารถซ่อมแซมและนำมันออกมาได้ ก็คงจะรู้สึกเหมือนว่ามีใครสักคนมอบภาพเขาตอนผอมให้ ชายหนุ่มสามารถมองเห็นและรู้สึกถึงร่างกายนั้นได้ แต่ก็ไม่สามารถลดน้ำหนักให้เป็นตามในภาพได้!
ความกังวลนี้ทำให้หวังเป่าเล่อถอนหายใจอยู่บ่อยครั้ง ตอนที่เขาไม่อยู่นั้นไม่มีเหตุการณ์ใหญ่ๆ ใดเกิดขึ้นในเขตนครพิเศษแห่งนี้ หลี่หว่านเอ๋อร์ก็ยังคงถือสันโดษอยู่ หลินเทียนหาวและพรรคพวกยังคงทำงานบริหารอาณาเขตทั้งหลายในเขตนครพิเศษตามที่ได้รับมอบหมาย คนอื่นๆ ยังคงตื่นเต้นกับการที่หลี่ซิงเหวินบรรลุขั้น และเมื่อได้เห็นหวังเป่าเล่อบรรลุขั้นต่อหน้าต่อตาก็พากันถือสันโดษกันเสียสิ้น
ดูราวกับว่ากระแสการฝึกปราณในสหพันธรัฐนั้นได้รับอิทธิพลอันยิ่งใหญ่จากการบรรลุขั้นของหลี่ซิงเหวิน ทำให้ผู้คนหันมาฝึกปราณกันอย่างคึกคักอีกครั้ง!
ดังนั้นหวังเป่าเล่อ ผู้ที่เพิ่งกลับมาถึงดาวอังคาร จึงตัดสินใจที่จะฝึกวิชาแห่งศาสตร์มืดเช่นกัน แต่ก่อนที่ชายจะได้เริ่มฝึกปราณ และในขณะที่ทั้งสหพันธรัฐกำลังเฉลิมฉลองอยู่นั้น ก็มีประกาศหนึ่งออกมา!
ดาวพุธจะถูกสร้างขึ้นอีกครั้ง!
หลังจากที่ดาวพุธนั้นประสบภัยพิบัติก็กลายเป็นเพียงดินแดนรกร้าง ดาวเกือบทั้งดวงแทบจะเหี่ยวเฉาไปเสียสิ้นเพราะความเสียหายมหาศาลที่ได้รับ สิ่งเดียวที่เหลืออยู่มีเพียงความเศร้าหมองเท่านั้น ท่ามกลางคลื่นความปีติยินดีของประชากรส่วนใหญ่ แผนการสร้างดาวพุธใหม่นั้นจึงได้รับการสนับสนุนจากคนจำนวนไม่น้อย
ขณะเดียวกัน เรื่องนี้เหมือนเป็นสัญญาณที่ทำให้ผู้นำกลุ่มอำนาจการเมืองต่างๆ พากันตกตะลึง ตามข้อมูลที่พวกเขาได้รับมา การสร้างดาวพุธขึ้นมาใหม่นั้นมีความเกี่ยวข้องกับความจริงบางอย่างที่สาธารณะชนไม่ได้รับรู้!
“การหลอมวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายบนดาวพุธ…อย่างเป็นทางการกำลังจะเริ่มต้นขึ้น” นี่คือความคิดแรกที่แล่นผ่านใจของผู้นำกลุ่มอำนาจการเมืองต่างๆ ในวินาทีที่พวกเขาได้ยินประกาศของสหพันธรัฐเรื่องการสร้างดาวพุธขึ้นใหม่
สิ่งนี้เป็นความจริง วันเดียวกับที่ข่าวถูกประกาศออกไป หวังเป่าเล่อก็ได้รับข้อความเสียงจากเจ้านครอาณานิคมดาวอังคารทันที ในข้อความนั้น เจ้านครให้พิมพ์เขียวจำนวนมากมาและออกคำสั่งให้เขาหลอมชิ้นส่วนทั้งหมดที่เขียนอยู่ในพิมพ์เขียวตามระยะเวลาที่กำหนด
ทรัพยากรที่ต้องใช้ในการหลอมนั้น ทางดาวอังคารจะจัดเตรียมให้ทั้งหมด!
หวังเป่าเล่อประหลาดใจใจ ชายหนุ่มรู้สึกถึงพายุที่กำลังก่อตัว และหลังจากครุ่นคิดถึงสิ่งที่ผู้อาวุโสสูงสุดและประมุขสำนักได้บอกเขา ร่วมกับข้อมูลเรื่องการสร้างดาวพุธขึ้นใหม่ หวังเป่าเล่อก็เริ่มคาดเดา ชายหนุ่มรีบโทรหาเจ้านครดาวอังคารเพื่อถามไถ่ในทันที
เจ้านครนิ่งเงียบราวกับกำลังใคร่ครวญว่านางสามารถเปิดเผยข้อมูลได้หรือไม่ หลังจากนั้นอึดใจหนึ่ง นางก็สูดลมหายใจเข้าลึก และเปิดอภิมหาวงแหวนปราณดาวอังคารขึ้นเต็มที่เพื่อป้องกันให้การพูดคุยกันเป็นส่วนตัวขึ้นอีก วงแหวนปราณนั้นป้องกันไม่ให้ผู้ใดแอบฟังได้ หลังจากจัดการเสร็จสิ้นนางจึงเริ่มพูด
“เจ้าได้ยินประกาศของสหพันธรัฐเรื่องการสร้างดาวพุธขึ้นใหม่แล้วใช่หรือไม่ ประกาศนั้นเป็นเพียงฉากหน้าเท่านั้น เป้าหมายที่แท้จริงในการสร้างดาวพุธคือการสร้างวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายขนาดยักษ์ขึ้นที่นั่น!
“อันที่จริง วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายนี้ได้เริ่มการก่อสร้างไปแล้ว แต่ยังขาดทรัพยากรอีกมาก แถมยังไม่ถึงกำหนดเวลา มันจึงคืบหน้าไปอย่างล่าช้า รวมถึงภัยพิบัติที่พวกเขาเพิ่งประสบ ทำให้สิ่งที่เหลืออยู่ล้วนทรุดโทรม
“ทว่าช่วงเวลาอันเหมาะสมนั้นใกล้เข้ามาแล้ว เป็นเหตุให้สหพันธรัฐเองต้องเร่งมือ พวกเขาวางแผนจะเริ่มการก่อสร้างวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายที่จะนำเราขึ้นไปสู่กระบี่สำริดเขียวโบราณได้!
“ดังนั้นไม่ใช่เพียงแค่เจ้าเท่านั้น แต่นักหลอมอาวุธเวททุกคนในสหพันธรัฐฃ้วมได้รับมอบหมายให้หลอมชิ้นส่วนพวกนี้ ที่สุดท้ายแล้วจะนำไปประกอบขึ้นเป็นวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย!”
เมื่อได้ฟังคำพูดของเจ้านครแล้ว หวังเป่าเล่อก็ตกใจอยู่ไม่น้อย ความคิดนับล้านไหลผ่านในใจ ก่อนที่ชายหนุ่มจะเปิดปากถาม
“ภารกิจพันธุ์กล้าของสหพันธรัฐหรือขอรับ”
“เรื่องบางอย่างเจ้าสามารถรู้ได้เพราะยศถึง ทว่าวิธีการส่งข้อมูลให้เจ้าก็ต้องรัดกุมเป็นอย่างยิ่ง และไม่มีใครบอกเจ้าตรงๆ บนโลกได้ แน่นอนว่าการรับมือกับเรื่องนี้ดูจะเกินจริงไปเสียหน่อย แต่ก็ไม่มีใครอยากเสี่ยง เพราะอย่างไรเสีย เรื่องนี้ก็ไม่ใช่ปัญหาของคนคนเดียว แต่เป็นปัญหาของสหพันธรัฐทั้งหมด รวมถึงชีวิตของมนุษยชาติอีกด้วย!” เจ้านครอาณานิคมดาวอังคารไม่ได้ตอบคำถามของเขาตรงๆ แต่นางก็ได้อธิบายเรื่องที่ผู้อาวุโสสูงสุดและประมุขสำนักพากันอ้ำอึ้งที่จะตอบหวังเป่าเล่อเมื่อครั้งที่เขาอยู่ในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์
ยิ่งเป็นเช่นนี้ สีหน้าของหวังเป่าเล่อก็ยิ่งแปลกประหลาด ชายหนุ่มไม่ได้เอ่ยถ้อยคำ เขาเลือกที่จะรอเจ้านครให้ข้อมูลเพิ่มเติม
เจ้านครดาวอังคารนิ่งเงียบอยู่อีกครู่หนึ่ง นางดูพอใจกับความนิ่งของหวังเป่าเล่อต่อสถานการณ์ที่ใหญ่โตเช่นนี้ จึงลดเสียงลงก่อนจะเริ่มพูดต่อ
“เป่าเล่อ สิ่งที่ข้ากำลังจะบอกเจ้านี้เป็นความลับสุดยอด ที่จะเผยได้ก็ต่อเมื่อร้อยละเก้าสิบของขุนนางระดับหนึ่งชั้นรองของสหพันธรัฐยินยอมเท่านั้น…
“กว่าสี่สิบปีมาแล้ว มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในจักรวาล และกระบี่สำริดเขียวโบราณก็เข้ามาในระบบสุริยะของเรา พลังกดดันของมันพลิกจักรวาลไปทั้งหมด และกระบี่นั้นท้ายที่สุดก็มาปักอยู่บนดวงอาทิตย์ เผยให้เห็นส่วนปลายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น!
“ด้ามจับของกระบี่แตกออก และชิ้นส่วนของมันก็กระจัดกระจายไปทั่วระบบสุริยะ ส่งผลให้พลังงานขัดข้องไปทั่วทั้งสหพันธรัฐตั้งแต่เริ่มยุคกำเนิดวิญญาณเป็นต้นมา และการฝึกตนโบราณก็ถือกำเนิดขึ้น…ทว่าในความเป็นจริงแล้ว กระบี่สำริดเขียวโบราณถือกำเนิดมาจากอารยธรรมฝึกปราณอื่นที่มีระดับการฝึกปราณก้าวหน้ากว่าเราไปไกลนัก กระบี่เล่มนี้คือสำนักหนึ่งจากอารยธรรมดังกล่าวเพียงเท่านั้น!
“พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ กระบี่นั้นเป็นยานพาหนะ พวกเขาหนีจากอันตรายมาแต่กลับประสบอุบัติเหตุ เป็นผลให้มาตกลงบนระบบสุริยะแห่งนี้!
“ยังมีผู้คนอาศัยอยู่บนกระบี่โบราณเป็นจำนวนมาก!” เมื่อเจ้านครเล่ามาถึงจุดนี้ ลมหายใจของหวังเป่าเล่อก็เริ่มรัวเร็ว แต่เขาก็ไม่ได้ตกใจอะไร ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึก เฝ้ารอให้เจ้านครเล่าต่อไป
“ตามข้อมูลจากหน่วยสอดแนมของเรา สำนักบนกระบี่สำริดเขียวโบราณมีนามว่าสำนักวังเต๋าไพศาล!
“สำนักวังเต๋าไพศาลผ่านเหตุการณ์มามากมายและได้รับความเสียหายอยู่บ้าง แถมยังถูกแบ่งออกเป็นสามฝ่ายใหญ่ๆ ภายใต้การนำของผู้นำสามคนที่มีวิสัยทัศน์ต่างกันโดยสิ้นเชิง!
“ฝ่ายหนึ่งรู้จักกันในนามฝ่ายความมืด เป้าหมายของพวกเขาคือลาจากที่แห่งนี้และมุ่งหน้าไปยังเป้าหมายที่พวกเขาตั้งใจจะไปตั้งแต่ตอนแรก แต่เพราะกระบี่นั้นเสียหายหนัก เป้าหมายของพวกเขาในตอนนี้ก็คือการทำลายทั้งระบบสุริยะเพื่อหาทรัพยากรในการซ่อมแซมกระบี่!
“หากพวกเขายึดครองอำนาจได้ สหพันธรัฐจะต้องเผชิญภัยพิบัติใหญ่หลวงแน่นอน เจ้าเองก็น่าจะจินตนาการได้ว่าหากต้นกำเนิดดวงดาวทั้งหมดในระบบสุริยะหายไปจะเกิดสิ่งใดขึ้น ไหนจะเรื่องพลังงานของดวงอาทิตย์ที่จะถูกแย่งไปด้วย แน่นอนว่าระบบสุริยะทั้งหมดจะต้องกลายมาเป็นดินแดนรกร้าง และพวกเราก็ต้องกลายเป็นทาสของสำนักนี้อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้!”
บทที่ 486 ความลับและประวัติศาสตร์
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็รีบเงยศีรษะขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ในวินาทีนั้น ภาพสำนักแห่งความมืดที่ถูกทำลายจนย่อยยับปรากฏขึ้นมาในจิตใจ ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่าฝ่ายความมืดจะทำสิ่งใดกับประชากรโลกบ้างหากพวกมันยึดครองโลกสำเร็จ แต่การต้องอยู่อย่างหวาดกลัวเป็นเรื่องที่ทั้งตัวเขาและสหพันธรัฐจะยอมไม่ได้เป็นอันขาด!
“ทว่าฝ่ายความมืดยังถือว่ามีอำนาจน้อยในสำนักวังเต๋าไพศาล ฝ่ายที่มีอำนาจตัดสินใจคือฝ่ายที่สอง หรือที่เราเรียกว่าฝ่ายแสงสว่าง แน่นอนว่านี่เป็นชื่อที่เราตั้งให้พวกเขาเอง
“อุดมการณ์ทางการเมืองของฝ่ายแสงสว่างแตกต่างจากฝ่ายความมืด พวกเขาเชื่อว่าในเมื่อดาวบ้านเกิดของพวกตนถูกทำลายไปแล้ว การไปถึงจุดหมายเดิมที่ตั้งใจไว้หรือการอยู่ในระบบสุริยะต่อไปก็ไม่สำคัญอีกต่อไป พวกเขาดูจะยอมรับระบบสุริยะด้วยเช่นกัน แถมยังดูเหมือนว่าอยากจะลงหลักปักฐานที่นี่…พวกเขาอยากปรับตัวให้เข้ากับสหพันธรัฐมากขึ้น โดยมีเป้าหมายคือการรวมสหพันธรัฐเข้าเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา!”
“พวกเขาอยากจะสร้างสรรค์และเติบโตไปพร้อมๆ กับเรา แม้จะดูเพ้อฝันไปบ้าง แต่ก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเราในฐานะผู้ที่อ่อนแอกว่าในสถานการณ์นี้! สำหรับฝ่ายที่สามนั้น ไม่มีความจำเป็นต้องไปใส่ใจ พวกเขาเป็นฝ่ายเป็นกลาง ที่ถือสันโดษและฝึกปราณอยู่ตลอด ไม่ใคร่จะใส่ใจกับการเมืองเท่าใด” เมื่อกล่าวจบ เจ้านครอาณานิคมดาวอังคารก็หยุดพูด นางรอให้หวังเป่าเล่อย่อยสารทั้งหมดที่ได้รับให้เรียบร้อยเสียก่อน
“แปลว่าฝ่ายความมืดและแสงสว่างเกิดทะเลาะกัน แล้วตอนนี้ก็เลยบาดหมางกันอยู่อย่างนั้นหรือขอรับ” หลังจากที่ใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ หวังเป่าเล่อก็พูดขึ้น
“ตามความเข้าใจของเราในตอนนี้ก็ใช่ แต่ฝ่ายแสงสว่างได้เปรียบกว่าในความขัดแย้งนี้ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงมีวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายบนดาวพุธ!”
“สิ่งที่ข้าเพิ่งเล่าให้เจ้าฟังเกิดขึ้นมานานกว่าสี่สิบปีแล้ว การก่อสร้างวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายบนดาวพุธก็เริ่มขึ้นตอนนั้นเช่นกัน…ความเสียหายที่กระบี่สำริดเขียวโบราณได้รับทำให้โครงสร้างของตัวกระบี่เปลี่ยนไปพอสมควร และเพราะมันอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มาก มันจึงทำได้แค่เปิดเกราะกำบังป้องกันความร้อนและไม่อาจเคลื่อนย้ายหนีไปได้ แปลว่าตอนนี้สำนักวังเต๋าไพศาลก็ติดอยู่ที่นั่น เพราะหากพวกเขาเลือกที่จะเปิดเกราะป้องกันเพื่อออกไป พวกเขาก็จะละลายเสียก่อนที่จะได้ไปไหน!” หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วแน่นเมื่อได้ยิน
“ท่านเจ้านครขอรับ เรื่องนี้ไม่ขัดแย้งกันเองอยู่หรือ หากว่าพวกเขาออกมาไม่ได้ แล้วฝ่ายความมืดจะออกปล้นสะดมไปทั่วระบบสุริยะได้อย่างไรกัน ยิ่งไปกว่านั้น สหพันธรัฐรู้เรื่องทั้งหมดนี้ได้อย่างไร” หวังเป่าเล่อยกมือขึ้นถูหน้าผาก แม้ชายหนุ่มจะเคยได้เรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับกระบี่สำริดเขียวโบราณที่ไม่มีใครล่วงรู้มาก่อน แต่ในตอนนี้เขาก็ยังตื่นเต้นมากกับข้อมูลใหม่ที่เพิ่งจะได้รู้มา
“สหพันธรัฐคิดหาคำตอบของคำถามที่เจ้าเพิ่งถามมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว สำนักวังเต๋าไพศาลอาจติดอยู่ที่นั่นก็จริง แต่ก็ไม่ได้แปลว่าพวกเขาจะออกมาไม่ได้ ทว่าการเคลื่อนย้ายออกจากกระบี่สำริดเขียวโบราณนั้นใช้ทรัพยากรและแรงงานมหาศาล ตอนที่ฝ่ายแสงสว่างกุมอำนาจได้นั้น พวกเขาได้ใช้ทรัพยากรไปจำนวนมากเพื่อจะเคลื่อนย้ายคนคนหนึ่งออกมา ในฐานะตัวแทนของพวกเขา คนผู้นั้นก็มุ่งหน้าตรงมาที่สหพันธรัฐทันที!
“ท่านหมายถึงผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณคนนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อตอบทันทีด้วยความตกตะลึง
“ชื่อของท่านผู้นั้นคือโมเกาจื่อ เขาก็คือคนเดียวกับผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณที่เจ้าพูดถึง ตอนที่เขาเดินทางมาถึงสหพันธรัฐและพบอดีตผู้นำหลี่ซิงเหวินนั้น เขาไม่ได้ซ่อนเจตนารมณ์เอาไว้แม้แต่น้อย เขาบอกเล่าเรื่องราวทุกอย่างเกี่ยวกับสำนักวังเต๋าไพศาล และทำงานร่วมกับสหพันธรัฐอย่างใกล้ชิด…เพื่อสอนการฝึกปราณและเรื่องอื่นๆ…การมาของเขาทำให้อารยธรรมการฝึกปราณของสหพันธรัฐรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว!” เมื่อเจ้านครพูดถึงโมเกาจื่อ น้ำเสียงของนางนั้นเต็มไปด้วยความชื่นชม ความเคารพ และอารมณ์อื่นๆ มากเกินจะพรรณนา
ดวงตาของหวังเป่าเล่อเบิกโพลงขึ้นทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น เรื่องนี้เกินความคาดหมายของเขาไปมาก แต่ถึงอย่างนั้น หากคิดใคร่ครวญดูดีๆ มันก็น่าเชื่อถืออยู่ เพราะอย่างไรเสีย ก็เป็นเรื่องเหลือเชื่อเกินไปเมื่อคิดว่าสหพันธรัฐก้าวหน้ามาถึงจุดนี้ได้ภายในระยะเวลาเพียงสี่สิบปีด้วยด้วยกำลังของตัวเองและผ่านการลองผิดลองถูก
“ในช่วงนั้นเองการสร้างวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายก็เริ่มต้นขึ้นบนดาวพุธ ตามความต้องการของศิษย์พี่โมเกาจื่อ เขาบอกเราอย่างชัดเจนว่าเมื่อใดที่วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายเสร็จสมบูรณ์ ผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลบนกระบี่สำริดเขียวโบราณและผู้คนจากสหพันธรัฐก็จะไปมาหาสู่กันได้อย่างสะดวกดาย และเราจะเปิดประตูต้อนรับบรรดาผู้ฝึกตนจากบนกระบี่สำริดเขียวโบราณ!”
“สิ่งที่ข้าเพิ่งบอกเจ้าไปนั้นเราเรียนรู้มาจากศิษย์พี่โมเกาจื่อทั้งสิ้น ทั้งตัวข้าเองและผู้บริหารระดับสูงของสหพันธรัฐต่างก็รู้สึกซาบซึ้งใจกับความช่วยเหลือที่ศิษย์พี่โมเกาจื่อได้มอบให้เรามาโดยตลอด เขาคนเดียวทำให้อารยธรรมการฝึกปราณในสหพันธรัฐก้าวหน้ามาได้ ตอนที่เขามาถึงโลกเมื่อสี่สิบปีก่อนหน้านี้ สหพันธรัฐ…ไม่มีกระทั่งผู้ฝึกตนระดับการฝึกตนโบราณแม้แต่คนเดียว หากเขามีจิตคิดร้ายต่อเราแล้ว สหพันธรัฐก็คงจะไม่ได้เป็นเหมือนอย่างทุกวันนี้แน่”
“แต่…” เจ้านครเงียบไปชั่วอึดใจ จากนั้นนางก็ถอนหายใจออกมา ความรู้สึกที่อยู่ในน้ำเสียงของนางสับสนปนเปกันเมื่อนางพูดประโยคต่อไป
“อย่างไรเสียเขาก็ไม่ใช่คนของเรา และไม่ใช่ผู้มีอำนาจในสำนักวังเต๋าไพศาลด้วย…พวกเราเชื่อในความปรารถนาดีของเขา แต่ก็ไม่อาจมั่นใจได้เต็มร้อย ความล้มเหลวนั้นมีราคาแพงเกินไป…
“ดังนั้นหลังจากที่เข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด หลังจากที่ศิษย์พี่โมเกาจื่อขอให้สหพันธรัฐรวบรวมทรัพยากรและสร้างวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายขึ้น อดีตผู้นำหลี่ซิงเหวินจึงตัดสินใจ…ออกคำสั่งให้ชะลอการสร้างวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายออกไป และเขายังขอให้ศิษย์พี่โมเกาจื่อทำงานให้เขาอีกอย่างหนึ่งอีกด้วย!
“งานนั้นก็คือ…การพาตัวแทนจากสหพันธรัฐไปยังกระบี่สำริดเขียวโบราณ เพื่อที่ว่าเราจะได้เห็นโลกภายในกระบี่ด้วยตาตนเอง และตัดสินได้ว่าสิ่งใดคือความจริงและสิ่งใดคือความเท็จ!”
“เจ้าน่าจะพอจินตนาการได้ว่าหลี่ซิงเหวินนั้นเตรียมใจที่จะเสี่ยงชีวิตกับการเดินทางครั้งนั้น เขาได้เตรียมการเผื่อในกรณีที่เขาเสียชีวิตเอาไว้หมดแล้ว มีกระทั่งแผนสำรองในกรณีที่เขาถูกควบคุมจิตใจ” เจ้านครทอดถอนใจ น้ำเสียงฉาบเคลือบไปด้วยความรู้สึกร่วมที่มีต่อความยากลำบากในอดีตแม้นางจะไม่ได้ประสบด้วยตนเอง
หวังเป่าเล่อนิ่งงันไป ภาพของหลี่ซิงเหวินปรากฏขึ้นในใจเขา ทันใดนั้นเองชายหนุ่มก็เหมือนจะตระหนักได้…ถึงภาระหน้าที่ที่มาพร้อมตำแหน่งผู้นำแห่งสหพันธรัฐ
“ตอนนั้นไม่มีใครรู้ว่าหลี่ซิงเหวินเจรจากับศิษย์พี่โมเกาจื่ออย่างไร และเขาก็ไม่เคยบอกใคร สุดท้ายแล้ว…ศิษย์พี่โมเกาจื่อก็ตกปากรับคำ ก่อนจะส่งข้อความขึ้นไปถึงสำนักวังเต๋าไพศาล และฝ่ายแสงสวางก็ต้องใช้ทรัพยากรมากมาย รวมถึงพลังปราณของศิษย์พี่โมเกาจื่อ เพื่อจะพาหลี่ซิงเหวินและตัวแทนอีกห้าคนขึ้นไปยังกระบี่สำริดเขียวโบราณ
“เมื่อพวกเขาเห็นสำนักวังเต๋าไพศาลด้วยตาตนเองและยังได้รับโอกาสมากมายในการฝึกฝนเพื่อเพิ่มพลังปราณ พวกเขายืนยันเจตนาบริสุทธิ์ของฝ่ายแสงสว่างก่อนที่จะบรรลุข้อตกลงซึ่งกันและกัน หลี่ซิงเหวินอุ้มทารกคนหนึ่งกลับมาด้วย ส่วนอีกห้าคนนั้น คนหนึ่งกลายมาเป็นผู้อาวุโสแห่งตระกูลนภาห้าสมัย คนหนึ่งเป็นหัวหน้าคณะเสนาบดีคนปัจจุบัน คนหนึ่งก่อตั้งกลุ่มไตรจันทรา และอีกสองคนกลายมาเป็นผู้อาวุโสแห่งสำนักรุ่งสางจักรพิภพและสำนักสหชุมนุมสกุณาตามลำดับ!
“การเคลื่อนย้ายครั้งนั้นส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อกระบี่สำริดเขียวโบราณ และก็เป็นเหตุผลว่าทำไมจึงไม่มีการเคลื่อนย้ายอีกนับตั้งแต่ครั้งนั้น”
เมื่อหวังเป่าเล่อได้ยินเช่นนั้น เขาก็จำได้ว่าจั่วอี้ฟานเคยบอกไว้ครั้งหนึ่งว่า ตระกูลนภาห้าสมัยมีกระบวนเวทแปลกประหลาดที่สามารถเรียกชีวิตในชาติภพที่แล้วของคนคนหนึ่งมาดูได้ ชายหนุ่มคาดเดาตัวตนของทารกที่ผู้อาวุโสสูงสุดพากลับมาด้วยเช่นกัน
หลี่อู๋เฉิน…หวังเป่าเล่อครุ่นคิดอย่างหนัก จนกระทั่งเสียงของเจ้านครดังขึ้นมาอีกคำรบ
“หลังจากนั้น สหพันธรัฐก็เริ่มเตรียมการปฏิบัติการดวงอาทิตย์ปักกระบี่และปฏิบัติการพันธุ์กล้าสหพันธรัฐ เราเริ่มหาทรัพยากรและเริ่มก่อสร้างวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย แผนของพวกเราถูกชะลอออกไปเพราะเหตุการณ์ท้องทะเลแห่งอสูร ระหว่างการต่อสู้นั้น…ศิษย์พี่โมเกาจื่อได้ถือสันโดษเพราะเขาใช้พลังปราณไปมากในการเคลื่อนย้าย จึงไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้ด้วย
“แต่ในการต่อสู้ครั้งนั้น แม้สหพันธรัฐสูญเสียเลือดเนื้อไปมาก แต่ก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจบการต่อสู้ หลี่ซิงเหวินก็เริ่มไม่แน่ใจเกี่ยวกับแผนการสร้างวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย เขาไม่อาจวางใจได้แม้จะได้เห็นความจริงใจของสำนักวังเต๋าไพศาลแล้วก็ตาม สุดท้ายแล้ว เมื่อวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายถูกสร้างจนเสร็จ ผู้ฝึกตนบนกระบี่สำริดเขียวโบราณก็จะไปไหนมาไหนได้ดังใจ สิ่งนี้อาจถือเป็นโอกาสทอง แต่หลี่ซิงเหวินก็กลัวว่าเขาอาจกำลังเปิดประตูสู่นรกอเวจีก็เป็นได้
“อย่างไรเสียเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของอารยธรรมสหพันธรัฐ จึงถูกแล้วที่เขาจะชั่งใจ! ดังนั้นแม้หลี่ซิงเหวินจะเป็นคนสั่งให้เริ่มการก่อสร้าง แต่เขาก็เลือกที่จะประวิงเวลาออกไป เมื่อตัดสินใจเช่นนั้น เขาก็สละตำแหน่ง และให้ต้วนมู่ฉี ผู้สืบทอดสานต่อแผนนั้นด้วยวิธีการของตนเอง
“ต้วนมู่ฉีเสนอให้วิจัยระเบิดต้านทานวิญญาณ ที่จะกลายมาเป็นอาวุธลับของสหพันธรัฐ ถึงแม้จะคิดเช่นนั้น แต่เขาก็ไม่ได้ปิงบังความจริงจากศิษย์พี่โมเกาจื่อผู้ซึ่งหายดีและออกมาจากถือสันโดษแล้ว ต้วนมู่ฉีบอกโมเกาจื่อว่าสหพันธรัฐต้องการความพร้อมและอาวุธลับเพื่อความสบายใจ และเพื่อที่จะร่วมมือด้วยได้อย่างสนิทใจ
“ศิษย์พี่โมเกาจื่อเข้าใจจุดยืนนั้นดี เขารู้ดีว่าอารยธรรมที่อ่อนแอกว่าย่อมมีความกังวลเมื่อต้องเผชิญกับผู้ที่แข็งแกร่งกว่า เขาจึงไม่ได้เข้าขัดขวางแผนการของสหพันธรัฐและเลือกที่จะเฝ้ารออย่างอดทนแทน
“จากนั้น ไม่กี่ปีก่อนเจ้าก็สามารถต้านทานเหตุอสูรหลั่งไหลได้ในการปะทะกันเพียงครั้งเดียว แปลว่าสหพันธรัฐไม่ต้องแบ่งกำลังไปต้านทานเหตุอสูรหลั่งไหลไปพักใหญ่ แถมการวิจัยระเบิดต้านทานวิญญาณก็ยังประสบความสำเร็จในขั้นต้น ในขณะเดียวกัน ต้วนมู่ฉีก็กังวลว่าศิษย์พี่โมเกาจื่อจะเกิดรอไม่ไหวและแผนที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านั้นจะเปลี่ยนไป เป็นเหตุให้ปฏิบัติการกระบี่ปักดวงอาทิตย์ถูกนำกลับมาอีกครั้ง รวมถึงปฏิบัติการพันธุ์กล้าสหพันธรัฐด้วย!
“นั่นเป็นเหตุผลที่เราพาตัวเจ้าเข้ามายังนครหลวง และจัดการคัดเลือก พันธุ์กล้าหนึ่งร้อยต้นของสหพันธรัฐจะเป็นผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐกลุ่มแรกที่ขึ้นไปบนกระบี่สำริดเขียวโบราณตามข้อตกลงระหว่างหลี่ซิงเหวินและฝ่ายแสงสว่างแห่งสำนักวังเต๋าไพศาล พวกเขาจะขึ้นไปที่สำนักวังเต๋าไพศาลเพื่อเรียนรู้และฝึกฝน นอกจากจะได้เพิ่มพูนระดับการฝึกปราณแล้ว พวกเขายังถือเป็นก้าวแรกในการผูกสัมพันธไมตรีกับสำนักวังเต๋าไพศาลอีกด้วย!”
เจ้านครอาณานิคมดาวอังคารบรรยายประวัติศาสตร์ที่สหพันธรัฐได้เผชิญมาในช่วงสี่สิบปีแห่งยุคกำเนิดวิญญาณด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ ราวกับว่านางได้วาดภาพขึ้นต่อหน้าหวังเป่าเล่อ อารมณ์ความรู้สึกมากมายพลุ่งพล่านอยู่ภายในใจของชายหนุ่ม และต้องใช้เวลาเป็นนานกว่าจะสงบลงได้
บทที่ 487 การเก็บกู้วัตถุเวทแห่งความมืด!
โดย
Ink Stone_Fantasy
ดูเหมือนเจ้านครจะเพิ่งรู้สึกตัวว่าสิ่งที่นางได้กล่าวไปนั้นจะทำให้ผู้ฝึกตนไม่ว่าคนใดตื่นตกใจ นางจึงหยุดและรอให้หวังเป่าเล่อซึมซับทุกอย่างเข้าไปก่อนจะเริ่มพูดอีกครั้ง
“ตอนที่การวิจัยระเบิดต้านทานวิญญาณประสบความสำเร็จ พวกเราอยู่ในขั้นตอนการก่อสร้างวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย ถึงอย่างนั้นโศกนาฏกรรมบนดาวพุธก็ได้ทำลายทุกสิ่งที่เราทำสำเร็จบนนั้นไปสิ้น…ขณะนี้พวกเราตั้งใจที่จะก่อสร้างดาวขึ้นใหม่พร้อมๆ กับการสร้างวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย”
“ถึงอย่างนั้น…แม้ว่าสหพันธรัฐจะมีทรัพยากรเพียงพอในการสร้างวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายขึ้นมาใหม่ เราก็ยังต้องใช้เวลาในการหลอมส่วนประกอบต่างๆ ขึ้นมาอยู่นั่นเอง ข้าจึงได้ให้พิมพ์เขียวเจ้าไปอย่างไรเล่า” หลังจากที่ได้อธิบายทุกสิ่งแล้วเจ้านครก็วางสายไป
หากเรื่องนี้เกิดขึ้นตอนที่หวังเป่าเล่อเพิ่งจะเข้ามาในฝ่ายบริหารสหพันธรัฐใหม่ๆ เขาคงตกใจมากและอยากจะรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างสำนักวังเต๋าไพศาลกับสหพันธรัฐให้มากขึ้น แต่มาบัดนี้ ชายหนุ่มได้เรียนรู้วิธีการวิเคราะห์และชั่งน้ำหนักคำพูดของคนอื่นมาอย่างโชกโชน
และเพราะอย่างนั้น หวังเป่าเล่อจึงยังนั่งครุ่นคิดอยู่นานหลังจากที่เจ้านครวางสายไปแล้ว จากนั้นครู่หนึ่ง ดวงตาเขาก็สะท้อนประกายวาบขึ้นมา
น่าสนใจทีเดียว…เจ้านครพูดกับข้าอย่างเร่งรีบ ราวกับว่าส่วนประกอบเหล่านั้นต้องถูกสร้างอย่างเร่งด่วน…แต่นางกลับไม่ได้บอกเวลาแน่นอนว่าข้าต้องส่งชิ้นส่วนไปให้เมื่อใด…
หวังเป่าเล่อครุ่นคิดถึงสิ่งที่เจ้านครพูดอย่างหนัก หลังจากใคร่ครวญอยู่เป็นเวลานาน ชายหนุ่มก็ดูเหมือนจะเดาได้ว่าสหพันธรัฐต้องการอะไร พวกเขาต้องการสร้างวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายเพื่อที่จะได้พัฒนาอารยธรรมฝึกตนในสหพันธรัฐต่อไป แต่ขณะเดียวกัน พวกเขาก็กลัวว่าจะไปเปิดประตูแห่งนรกขึ้น
แต่ก็เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า หลังจากที่อยู่ร่วมกันมาหลายทศวรรษ พวกเขาก็เชื่อใจศิษย์พี่โมเกาจื่อเป็นอย่างมาก เพราะอย่างไรเสีย หากว่าโมเกาจื่อคิดร้ายกับพวกเขาจริง ก็สามารถบังคับให้ทุกคนบนสหพันธรัฐทำตามที่เขาต้องการได้ด้วยการใช้กำลัง
เพราะเหตุนี้ แม้ว่าจะคืบหน้าไปอย่างลุ่มๆ ดอนๆ แต่การก่อสร้างวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายก็ยังดำเนินต่อไปและเริ่มเห็นผลแล้ว สำหรับคำถามที่ว่าเหตุใดสหพันธรัฐจึงไม่ได้ขีดเส้นตายเรื่องการส่งชิ้นส่วน หวังเป่าเล่อเดาว่าเพราะพวกเขากำลังวุ่นกับการเตรียมการแผนฉุกเฉินอยู่เป็นแน่…
ระเบิดต้านทานวิญญาณเป็นหนึ่งในแผนฉุกเฉินนั้น การบรรลุขั้นของผู้อาวุโสสูงสุดก็เป็นหนึ่งในแผนฉุกเฉินเช่นกัน พวกเขามีแผนสำรองอยู่กี่แผนกันนะ หวังเป่าเล่อล่องลอยไปกับความคิด ชายหนุ่มไม่เคยพบโมเกาจื่อมาก่อน จึงยังคงรู้ลึกละล้าละลังกับการสร้างชิ้นส่วนวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย
แต่ถึงเขาจะไม่เคยพบโมเกาจื่อ ชายหนุ่มก็เชื่อว่าผู้บริหารระดับสูงของสหพันธรัฐไม่ใช่คนโง่เขลา พวกเขาล้วนต่างเป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ด้วยกันทั้งสิ้น เป็นอย่างที่เจ้านครได้กล่าวไว้ ความวิตกกังวลของเขาเป็นเรื่องที่คนในฝ่ายบริหารล้วนเคยวิตกกังวลมาแล้วก่อนหน้านี้ทั้งนั้น
เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็สูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะวางเรื่องนี้ลงและเข้าถือสันโดษ ในช่วงเวลานี้ ชายหนุ่มฝึกวิชาแห่งศาสตร์มืดหัตถ์สื่อวิญญาณ และยังแบ่งเวลาให้การหลอมชิ้นส่วนวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายตามที่สหพันธรัฐร้องขอด้วย
เจ็ดวันผ่านไป การฝึกปราณและการหลอมชิ้นส่วนของหวังเป่าเล่อคืบหน้าไปด้วยดี ในวันนั้น กลุ่มสำรวจจากสหพันธรัฐกลุ่มหนึ่งเดินทางมายังเขตนครพิเศษ พวกเขาขออนุญาตหวังเป่าเล่อและลงไปในสุสานใต้ดิน และเริ่มศึกษารวมถึงวัดระดับความหนาของกำแพง
หวังเป่าเล่อไม่อาจปฏิเสธการร้องขอนั้นได้ แต่ชายหนุ่มก็ระมัดระวังตัวยิ่งขึ้น หลังจากนั้นสามวัน กลุ่มสำรวจที่สองก็เดินทางมาถึงดาวอังคาร หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึก เขารู้สึกได้อันตรายที่กำลังจะมาถึงตัว
หรือว่าแผนสำรองที่สามของสหพันธรัฐคือวัตถุเวทแห่งความมืดของข้ากัน หวังเป่าเล่อรู้สึกกระอักกระอ่วนใจยิ่งเมื่อคิดเช่นนั้น ชายหนุ่มอยากช่วยสหพันธรัฐ แต่ในฐานะเจ้าของวัตถุเวทแห่งความมืด ชายหนุ่มรู้ดีว่ามันจะเป็นประโยชน์กับทั้งตัวเขาและสหพันธรัฐหากเขาประกาศสถานะของตนออกไปเมื่อพลังปราณของเขาอยู่ในระดับอันสมควร
หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปในตอนนี้ แม้ว่ามันจะไม่มีผลกับสหพันธรัฐ แต่ผลที่จะเกิดกับตัวเขานั้น…ก็สุดจะคาดเดา
หวังเป่าเล่อไม่กล้าเสี่ยงดวงกับเรื่องนี้ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากถอนหายใจ พลางรู้สึกไม่ดีที่สมบัติของเขาถูกบุคคลสำคัญของสหพันธรัฐวาดหวังจะได้ไปครองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
สหพันธรัฐดูจะมั่นใจกับการเก็บกู้วัตถุเวทแห่งความมืดเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้รอบนี้พวกเขาจะกลับไปมือเปล่า แต่ก็คงจะส่งกลุ่มสำรวจกลับมาอีกในเร็ววัน
หวังเป่าเล่อครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่นาน กลุ่มสำรวจค้นหาอยู่หลายวันก่อนจะจากไปหลังจากเก็บข้อมูลได้เพียงพอ จังหวะนั้นเอง ชายหนุ่มจึงลักลอบเข้าไปในวัตถุเวทแห่งความมืด ก่อนจะเรียกวิญญาณวุธทั้งสามออกมาสอบถามความคืบหน้าเกี่ยวกับการฟื้นตัว
หวังเป่าเล่อพบว่ายังต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อยหนึ่งเดือนก่อนที่วัตถุเวทจะฟื้นฟูตนเองขึ้นมาได้ถึงร้อยละสิบ ชายหนุ่มออกมาและเริ่มครุ่นคิดอย่างหนักเพื่อหาทางออก
กำแพงที่เหลืออยู่น่าจะถ่วงเวลาสหพันธรัฐไว้ได้อีกพักเดียวก่อนที่พวกเขาจะตัดสินใจพังมันทิ้งเสีย…แต่ต่อให้วัตถุเวทแห่งความมืดกลับมาใช้งานได้มากขึ้น สหพันธรัฐก็นำมันไปใช้ไม่ได้อยู่ดี แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังคงอยากได้มันอยู่นั่นเอง ช่างน่ากังวลอะไรเช่นนี้…แทนที่จะอยู่ภายใต้การเฝ้าดูของสหพันธรัฐ ข้าขอ…ชิงลงมือเสียเองดีกว่า! นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อเป็นประกายกล้าเมื่อความคิดนั้นแล่นผ่านใจเขา ชายหนุ่มเริ่มวางแผนการจู่โจม
เขารู้ดีว่าระหว่างการบุกโจมตีกับการเฝ้าตั้งรับนั้นต่างกันเพียงใด แทนที่จะต้องมานั่งกังวลกับเรื่องนี้อยู่ตลอด สู้ยอมเริ่มจัดการกับความเสี่ยงต่างๆ ให้จบในคราเดียวเลยดีกว่า!
แผนของเขาแบ่งออกเป็นสองขั้น ขั้นแรก หวังเป่าเล่อตั้งใจจะรอให้วัตถุเวทแห่งความมืดฟื้นฟูสภาพขึ้นมาให้ได้ร้อยละสิบเสียก่อนจะเปิดเกราะป้องกันของมันด้วยตนเอง มันจะเป็นการล่อให้บรรดาผู้ฝึกตนมากฝีมือจากกลุ่มอำนาจการเมืองต่างๆ มุ่งหน้ามายังวัตถุเวทแห่งความมืด หลังจากนั้น ชายหนุ่มก็จะเริ่มแผนขั้นที่สองเมื่อทุกคนมาอยู่ภายในวัตถุเวทแห่งความมืดแล้ว!
หวังเป่าเล่อทบทวนแผนอยู่ในใจหลายต่อหลายรอบอย่างละเอียดถี่ถ้วน กระทั่งซ้อมทำเสียงเป็นคนแก่หลากหลายรูปแบบอยู่ในห้องลับของตน เวลาผ่านไปหนึ่งเดือนอย่างรวดเร็ว วิญญาณเรือก็แจ้งเขาว่าเรือสำปั้นฟื้นฟูขึ้นมาจนถึงร้อยละสิบเรียบร้อยแล้ว และชายหนุ่มสามารถเปิดเกราะป้องกันของมันได้ตามต้องการ นัยน์ตาของหวังเป่าฉายแววแปลกประหลาด
ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกและนึกทบทวนแผนการอีกครั้งในใจ เขารีบเตรียมการต่างๆ ให้ผู้ฝึกตนในเขตนครพิเศษ และเพิ่มการตรวจตรากำแพงภายในสุสานใต้ดิน ในเวลาเดียวกัน หวังเป่าเล่อก็แอบควบคุมวัตถุเวทแห่งความมืดและเพิ่มอัตราเร็วในการสลายตัวของกำแพงให้มากขึ้น
ในไม่ช้าหวังเป่าเล่อก็ได้รับรายงานจากผู้ฝึกตนของเขาตามที่คาดไว้ ทันทีที่ได้รายงานไว้ในมือ เขาก็ส่งข้อความเสียงไปหาเจ้านครอาณานิคมดาวอังคารและแจ้งนางเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างตื่นเต้น
รายงานของชายหนุ่มดึงความสนใจของเจ้านครได้ทันที นางถึงกับเดินทางมายังเขตนครพิเศษด้วยตนเอง หวังเป่าเล่อนั้นแม้จะกังวลแต่ก็ไม่แสดงออกทางสีหน้าแต่อย่างใด ชายหนุ่มเดินเคียงข้างกับเจ้านครไปขณะที่นางเดินสำรวจ จากนั้นนางก็จากไปและรีบรุดส่งผลการสำรวจให้สหพันธรัฐในทันที
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เร็วเกินกว่าที่หวังเป่าเล่อคาดการณ์เอาไว้ ทั้งกระบวนการ ตั้งแต่การายงานเรื่องการสลายตัวของกำแพงในสุสานใต้ดิน ความวุ่นวายในสหพันธรัฐและความตื่นเต้นของบรรดากลุ่มอำนาจการเมืองต่างๆ และการมาถึงของกลุ่มคนมากมาย ทั้งหมดนั้นใช้เวลาทั้งสิ้นเพียงสองสัปดาห์เท่านั้น
บรรดาผู้นำของกลุ่มอำนาจการเมืองทั้งหลายต่างถือสันโดษอยู่ เช่นเดียวกับต้วนมู่ฉี แต่ข่าวคราวเรื่องการสลายตัวของกำแพงนั้นสำคัญยิ่ง แม้ว่าไม่อาจเข้าไปดูด้วยตาตนเองได้ แต่ทุกคนก็ได้ส่งผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งที่สุดในฝ่ายของตนมา เรือบินจากทั่วทั้งสหพันธรัฐมุ่งตรงมายังดาวอังคาร หลี่ซิงเหวินนำกลุ่มผู้ฝึกตนเหล่านั้นมาด้วยตนเอง
สหพันธรัฐส่งนักพรตมาด้วยจำนวนหนึ่ง ภายในเวลาสองสัปดาห์ เขตนครพิเศษก็คลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในส่วนใหญ่ของสหพันธรัฐเป็นที่เรียบร้อย
นอกจากหลี่หว่านเอ๋อร์ผู้ยังคงถือสันโดษอยู่ หวังเป่าเล่อและคนอื่นๆ ทั้งหลินเทียนหาว จินตั้วหมิง กงเต๋าและที่เหลือ ต่างก็วุ่นวายกับการต้อนรับผู้มาเยือน แถมยังต้องจับตาดูอัตราการเสื่อมสลายของกำแพงภายในสุสานใต้ดินอีกด้วย
หลังจากที่ได้ข้อมูลมาอย่างครบถ้วน หลี่ซิงเหวินก็เริ่มวางแผนการทำลายกำแพง ก่อนที่จะเริ่มแผนการจริง หวังเป่าเล่อผู้มีท่าทีวิตกกังวลก็เข้าพบหลี่ซิงเหวิน
“ท่านผู้อาวุโสสูงสุดขอรับ สองสามวันมานี้ ข้าอดรู้สึกกังวลไม่ได้จริงๆ ท่านคิดว่า…จะมีใครบางคนกำลังควบคุมกำแพงและตั้งใจเร่งให้มันสลายตัวลงเร็วขึ้นหรือไม่”
หลี่ซิงเหวินกำลังตระเตรียมแผนการขั้นสุดท้าย แต่เมื่อได้ยินหวังเป่าเล่อพูดเช่นนั้นก็ถึงกับเงยหน้าขึ้นมอง
“จะต้องหวาดกลัวสิ่งใดเล่า ข้าไม่สนใจหรอกว่าจะมีใครควบคุมอยู่เบื้องหลังกำแพงหรือไม่ เราจะรู้ได้เองเมื่อทำลายมันทิ้งแล้ว”
ความขุ่นเคืองเอ่อท้นในใจหวังเป่าเล่อ เขาอดไม่ได้ที่จะยืนกรานออกไป
“ท่านปู่ผู้อาวุโสสูงสุด ข้าเพียงแต่กังวลเท่านั้นขอรับ จะเกิดอะไรขึ้นหากเจ้าของที่แท้จริงของอาวุธเทพนี้ยังมีชีวิตอยู่ แล้วหากเขายังอยู่ในอาวุธเทพนั้นเล่า หากเราทำลายกำแพง…” หวังเป่าเล่อกะพริบตาและจ้องมองหลี่ซิงเหวิน
หลี่ซิงเหวินยังคงไร้ปฏิกิริยา ทว่าสายตาที่จ้องมองตอบหวังเป่าเล่อกลับลุ่มลึกเปี่ยมความหมาย จากนั้นชายชราก็พูดขึ้นเรียบๆ
“เป่าเล่อ เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมข้าจึงต้องเป็นผู้นำกลุ่มในครั้งนี้…”
หวังเป่าเล่อนิ่งงันไป แต่ไม่ได้ตอบคำ หลี่ซิงเหวินไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก แต่กลับก้มศีรษะลงจ้องมองพื้น มีแสงลึกล้ำสะท้อนอยู่ในดวงตาขณะที่ชายชราพูดต่ออย่างแช่มช้า
“มีบางอย่างถูกฝังอยู่ใกล้เราเหลือเกิน เราจำเป็นต้องตรวจสอบดูว่ามันมีเจ้าของหรือไม่ มันมีจิตมุ่งร้ายใดๆ อยู่ หรือเป็นภัยคุกคามหรือเปล่า พวกเรากำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ไม่อาจยอมให้มีความไม่แน่นอนหลงเหลืออยู่ได้…นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเราจึงมีระเบิดต้านทานวิญญาณหนึ่งร้อยลูกอยู่ภายในศูนย์วิจัยดาวอังคาร และพร้อมที่จะระเบิดได้ทันที… อีกทั้งวงแหวนปราณแห่งระบบสุริยะเองก็พร้อมใช้งาน
“ยิ่งไปกว่านั้น พวกเรายังมีการเตรียมการอื่นๆ เอาไว้เช่นกัน…นอกเสียจากว่าเจ้าของวัตถุเวทแห่งความมืดนี้จะแข็งแกร่งเสียจนเราไม่อาจต่อกรด้วยได้ สหพันธรัฐได้บรรลุฉันทามติแล้ว ตัวข้าเองพร้อมที่จะต่อรอง แต่สหพันธรัฐก็ตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว พวกเขาต้องการวัตถุเวทแห่งความมืดนี้!”
“เจ้าเข้าใจที่ข้าพูดหรือไม่ เป่าเล่อ” หลี่ซิงเหวินเงยศีรษะขึ้นและมองหวังเป่าเล่อด้วยแววตาเปี่ยมความหมายอีกครั้งหนึ่ง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น