หมอดูยอดอัจฉริยะ 480-485
ตอนที่ 480 เสื่อมเสียชื่อเสียง
โดย
Ink Stone_Fantasy
เห็นพ่อเก็บคนโฑกกลับไป เยี่ยเทียนก็กล่าวว่า “พ่อ พวกของโบราณอีกหน่อยก็เก็บสะสมเป็นงานอดิเรกเถอะ หากว่างๆ ก็ดื่มชาพูดคุยกับเพื่อนที่ร้านน้ำชาที่พ่อเปิดนั่นแหละ”
พูดตามตรงเรื่องที่พ่อทำธุรกิจนั้น เยี่ยเทียนไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่ เขารู้สึกว่าพ่อน่าจะกลายเป็นนักวิจัยปริญญาโท ไม่ต้องมาพัวพันวุ่นวายกับพวกเงินที่มีที่มาไม่ดีเหล่านี้ หากเป็นแบบนั้นเขาก็ไม่ต้องเปรียบเทียบกับแม่แล้ว เชื่อว่าในใจน่าจะรู้สึกสบายขึ้นมาหลายส่วน
เยี่ยเทียนคิดหาโอกาสที่จะพูดกล่อมพ่อมาโดยตลอด เพียงแต่ว่าประจวบเหมาะกับที่เยี่ยตงผิงถูกหลอก ทำให้คำพูดเหล่านี้เขาไม่กล้าที่จะพูดออกไป มิเช่นนั้นจะกลายเป็นการสงสัยในความสามารถของพ่อไป
“เจ้าเด็กเมื่อวานซืน พ่อของแกเพิ่งจะสี่สิบกว่า ยังไม่ถึงวัยเกษียณนะ” เยี่ยตงผิงมองลูกชายด้วยสายตาไม่พอใจ หลายปีมานี้ตลาดค้าศิลปะของโบราณนั้นยิ่งนานวันก็จะยิ่งเป็นที่สนใจ เขายังคิดที่จะขยายกิจการ คิดไม่ถึงว่าจะถูกตีหัวเข้าให้
“อืม แล้วแต่พ่อก็แล้วกัน แต่ว่า รอ…รอให้แม่กลับมา พ่อก็หาเวลาไปอยู่เป็นเพื่อนแม่หน่อยจะดีกว่า”
พฤติกรรมของพ่อนั้น เยี่ยเทียนเข้าใจได้ เพราะไม่มีผู้ชายคนไหนที่ยอมให้ผู้หญิงของตัวเองดูถูก นับประสาอะไรกับเยี่ยตงผิงที่เคยเป็นคนมีพรสวรรค์ เป็นบุคคลที่โดดเด่นจากในบรรดาคนที่มาจากบ้านนอก
แต่ว่าตอนนี้เยี่ยตงผิงมีชีวิตที่ถือว่าไม่ลำบาก แต่หากเปรียบเทียบกับแม่ของเยี่ยเทียนซ่งเวยหลันแล้ว อยู่กันคนละฟากฟ้า หากไม่พูดถึงความมั่งคั่ง ฐานะของซ่งเวยหลันในโลกการเงินปัจจุบัน ก็ทำให้เยี่ยตงผิงดูมีอำนาจพอตัว
แต่ว่าเยี่ยเทียนมั่นใจว่าแม่ที่เขาไม่เคยเห็นหน้าคนนั้นจะเป็นคนที่เข้าใจความรู้สึกผู้อื่น มิเช่นนั้นยี่สิบปีมานี้ ก็คงไม่เป็นโสดมาจนบัดนี้ ต่างประเทศนั้นคนมีความสามารถหน้าตาดีเยอะแยะไป ไม่แน่ว่าอาจจะสู้พ่อได้ด้วย
“เจ้าเด็กเมื่อวานซืน เรื่องของผู้ใหญ่อย่ายุ่งได้มั้ย…” เยี่ยตงผิงเพิ่งพูดออกไป ถึงได้นึกได้ว่าลูกชายก็มีกำหนดที่จะแต่งงานแล้ว จึงได้เปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ “เอ่อ เรื่องของพ่อกับแม่ แกอย่ายุ่งให้มากนัก”
“ถึงเวลาพ่ออย่ามาขอร้องให้ผมจัดการนะ ได้ ผมรับโทรศัพท์ก่อน” เยี่ยเทียนไม่ได้รู้สึกรู้สากับคำขู่ของพ่อ ในตอนที่คิดอยากจะเถียงกับพ่ออยู่นั้น โทรศัพท์มือถือในกระเป๋าก็ดังขึ้น
“ผมชื่อเยี่ยเทียน ไม่ทราบว่าคุณเป็นใคร” เยี่ยเทียนเห็นเบอร์ที่แสดงออกมานั้นเป็นเบอร์แปลก จึงถามออกไป
“น้องเยี่ย ฉันคือจู้เวยเฟิง” เสียงระรื่นของจู้เว่ยเฟิงลอยมาตามสาย “ที่โทรมาตอนนี้ ไม่ได้รบกวนนายใช่มั๊ย”
“เป็นพี่จู้นี่เอง มีเรื่องอะไรให้น้องคนนี้รับใช้”
สำหรับการที่จู้เว่ยเฟิงสามารถหาเบอร์โทรฯของเขามาได้ยังไงนั้น เยี่ยเทียนไม่รู้สึกแปลกใจเท่าไร เนื่องจากหูจวินและชิวเหวินตงล้วนมีเบอร์โทรศัพท์ของตัวเอง ตอนนั้นจึงยิ้มและหัวเราะฮ่าๆ ใส่จู้เวยเฟิงในสาย
“น้องเยี่ย มีเรื่องนึงที่ต้องบอกนาย”
เสียงของจู้เวยเฟิงในโทรศัพท์พลันเปลี่ยนเป็นเข้มงวดขึ้นมา “คาโต้ ทาคุมิเมื่อคืนวานช่วยชีวิตทั้งคืน ตอนนี้รักษาชีวิตไว้ได้แล้ว แต่ว่าเช้าวันนี้ มีสถานทูตญี่ปุ่นในประเทศจีนส่งคนมา จะรับเขากลับไป ฉันก็เลยจะขอความเห็นจากนาย”
หากว่าเป็นคนจากหน่วยงานการค้าของญี่ปุ่นมาต้องการรับคนไป จู้เวยเฟิงจะไม่สนใจแม้แต่น้อย แต่ว่าครั้งนี้ไม่เหมือนกัน คนที่มารับนั้นเป็นเจ้าหน้าที่คนหนึ่งในสถานกงสุลญี่ปุ่นประจำประเทศจีน ตำแหน่งนั้นเท่ากับทูตการค้าในสถานทูตของกระทรวงการต่างประเทศ มีสิทธิจากกระทรวงต่างประเทศและอำนาจในการยกเว้น
เจ้าหน้าที่ราชการคนนี้กล่าวกับจู้เวยเฟิงอย่างตรงไปตรงมา สำหรับพฤติกรรมส่วนตัวของคาโต้ ทาคุมินั้น พวกเขาจะไม่ต่อความยาวสาวความยืด แต่ว่าคาโต้ ทาคุมิ ผู้อยู่ในเหตุการณ์จะต้องกลับญี่ปุ่นไปกับเขา มิเช่นนั้นจะต้องส่งรูปคนญี่ปุ่นที่พำนักอยู่ในประเทศจีนแล้วได้รับบาดเจ็บให้กับกระทรวงการต่างประเทศ
โบราณว่าไว้กระทรวงการต่างประเทศไม่มีเรื่องเล็ก จู้เวยเฟิงถึงแม้ในประเทศจีนจะมีเส้นสายอยู่บ้าง แต่เรื่องไปถึงกระทรวงการต่างประเทศ ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะสามารถควบคุมได้ ดังนั้น จู้เวยเฟิงเมื่อไม่สามารถทานอำนาจได้ จึงได้ตัดสินใจโทรหาเยี่ยเทียน อยากจะสอบถามความคิดเห็นของเขา
เยี่ยเทียนก็รับรู้ได้ถึงแรงกดดันที่จู้เวยเฟิงได้รับจากน้ำเสียงของเขา ตอนนั้นจึงได้หัวเราะและกล่าวว่า “ประธานจู้ แค่คนพิการคนเดียวเท่านั้น พวกเขาต้องการ ก็ให้พวกเขาคืนไปก็เท่านั้น”
“ได้ น้องเยี่ย ขอบคุณมากที่นายเข้าใจ หากจะว่าแล้ว เมื่อคืนปล่อยให้ตายไปซะก็จบแล้ว”
หลังจากได้ฟังคำของเยี่ยเทียนแล้ว จู้เวยเฟิงก็ถอนหายใจ จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่รู้ว่าเยี่ยเทียนจะเก็บคาโต้ ทาคุมิเอาไว้ทำไมกัน เมื่อคืนหากเอาปืนยิงให้ตายไปซะ เรื่องวุ่นวายนี้ก็คงไม่มี
“ฮะๆ.ประธานจู้ ตายมันง่ายไป” เยี่ยเทียนยกมุมปาก กล่าวอย่างเป็นธรรมชาติ แน่นอนว่า ความคิดของเขานั้น ไม่สามารถพูดให้จู้เวยเฟิงฟังได้
“อ้อ จริงสิ น้องเยี่ย ภาพการต่อสู้ที่พวกเขาต้องการนั้น ฉันปฎิเสธไปแล้ว นายวางใจได้ พวกนั้นจะไม่ได้อะไรเกี่ยวกับนายไปจากทางฉันแน่นอน”
เพื่อเป็นการป้องกันเยี่ยเทียนเข้าใจผิด จู้เวยเฟิงก็อธิบายต่อยาวเป็นพรวน อีกฝ่ายสามารถไปหาสถานกงศุลในประเทศจีนให้ออกหน้าได้ แน่นอนว่าคนที่อยู่เบื้องหลังต้องไม่ธรรมดา แต่เยี่ยเทียนเมื่อวานเพื่อการต่อสู้ของสนามต่อสู้ หากว่าตัวเองไม่ใจกว้างพอขายเยี่ยเทียนไป เกรงว่าแม้แต่หูจวินก็จะเลิกคบกับเขาแน่ นั่นก็เท่ากับว่าเลิกคิดเรื่องที่จะหากินในวงการนี้ไปได้เลย
“อย่าเลย ประธานจู้ เมื่อวานที่พูดไป คนที่นั่นล้วนได้ยินกันหมด คุณไม่พูดคนอื่นก็พูดกันอยู่ดี”
หลังจากได้ฟังการออกตัวของจู้เวยเฟิงแล้ว เยี่ยเทียนกลับไม่รับไมตรีนี้ไว้ กล่าวว่า “ประธานจู้ วิดิโอถูกทำลายไปแล้ว แต่ว่าคุณสามารถบอกชื่อของฉันให้พวกนั้นรู้ได้!”
ที่ไปพม่าในครั้งนี้จะได้เจอคนญี่ปุ่นที่ตามหาทองคำหรือไม่นั้น เป็นแค่การคาดการณ์จากความคิดของโก่วซินเจียและความไม่ชัดเจนเท่านั้น ดังนั้นเยี่ยเทียนอดใจไม่ไหวที่จะให้คนตระกูลคิตะมิยะตามมาหาในประเทศ หากว่าพวกเขาหดหัวอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น เยี่ยเทียนก็ยังจะไม่สามารถแก้แค้นให้ศิษย์พี่ได้ในทันที
แต่ทว่าจู้เวยเฟิงนั้นไม่ทราบถึงความคิดนี้ของเยี่ยเทียน เขากลับคิดว่าที่เยี่ยเทียนพูดนั้นเป็นตรงกันข้าม จึงหัวเราะกล่าวว่า “น้องชาย อย่างล้อเล่นไป พี่คนนนี้ไม่ใช่คนไร้ไมตรีจิต นายวางใจได้ แรงกดดันแค่นี้ฉันรับได้สบายมาก”
“เฮ้ ผมจะมาล้อเล่นเรื่องนี้กับคุณทำไม” เยี่ยเทียนกล่าว “ประธานจู้ ไม่เป็นไร คุณก็ทำตามที่ผมบอก นำเรื่องเมื่อวานที่เกิดขึ้นบอกกับทางฝั่งนั้นไปให้ครบถ้วนกระบวนความเถิด จริงๆ นะ ผมอยากจะลองประฝีมือกับดาบของพวกญี่ปุ่นดูอีกแหนะ!”
“น้องชาย ที่นายพูดนี่เอาจริงใช่มั๊ย” ได้ยินเยี่ยเทียนพูดแบบนี้ จู้เวยเฟิงกลับตะลึงงันไป ถึงแม้เมื่อวานเยี่ยเทียนจะลงมือได้เหี้ยมโหด แต่ทำไมจู้เวยเฟิงถึงมองไม่ออกว่าเยี่ยเทียนเป็นพวกคนหนุ่มเลือดร้อนแบบนั้นล่ะ
“จริงแท้แน่นอน ประธานจู้ ผมยังมีเรื่องต้องทำ คุณทำตามที่ผมบอกก็แล้วกัน!”
เห็นว่าโจวเซี่ยวเทียนนั้นเรียกศิษย์พี่มาทานข้าวแล้ว เยี่ยเทียนก็ไม่ได้คุยกับจู้เวยเฟิงให้ยืดเยื้อต่อไป หลังจากสั่งความเสร็จก็วางสายไป
“นี่…นี่ไม่กลัวมีเรื่องวุ่นวายหรือไงกัน” ได้ฟังคำที่ลอยมาตามปลายสาย จู้เวยเฟิงก็ตกตะลึงไปชั่วครู่ เรื่องที่ผู้คนหวาดกลัวหลีกเลี่ยงกันแทบตาย ไอ้น้องชายคนนี้ก็แปลก เอาตัวเองเข้าไปปะทะเสียอย่างนั้น
แต่ว่าหากตามที่เยี่ยเทียนพูดนั้น จู้เวยเฟิงก็ตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย รีบไปเจรจากับเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นที่ยังอยู่ในออฟฟิศของเขาทันที พาเขาไปที่โรงพยาบาลลับด้วยตัวเอง ส่งคืนคาโต้ ทาคุมิที่กำลังสะลึมสะลืออยู่ให้กับพวกนั้นไป
เยี่ยเทียนนั้นเป็นไปตามที่เขาพูดไว้จริงๆ สองสามวันนี้ยุ่งจนปลีกตัวหาเวลาว่างไม่ได้ เดิมทีเขาขอให้เว่ยหงจวินช่วยเหลือทำวีซ่าให้ ใครจะไปรู้ว่าเส้นสายเขาไม่ใหญ่พอ จึงได้แต่ต้องรอห้าวันจึงจะสามารถรับเอกสารได้ เมื่อไม่มีทางเลือกเยี่ยเทียนก็ไปหาหูจวิน จึงได้รับพาสปอร์ตและวีซ่าก่อนไปพม่าเพียงหนึ่งวันเท่านั้น
มาลาไกย์นั้นแค่เพียงวันแรกก็หายตัวไปจากปักกิ่งอย่างไร้ร่องรอย เมื่อไปถึงย่างกุ้งแล้วก็โทรหาเยี่ยเทียน จากนั้นสองสามวันต่อมาก็ไม่มีความเคลื่อนไหว คนพวกนี้ตะลอนไปทั่วโลก ทำให้เยี่ยเทียนไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องความเป็นอยู่เท่าไหร่
สำหรับแปดคนนั้นที่มาจากสถานต่อสู้อันเต๋อ พาสปอร์ตและวีซ่านั้นทำเรียบร้อยแล้ว ชิวเหวินตงก็สมัครแพ็คเกจทัวร์ให้พวกเขา นั่งเครื่องบินไปไฟล์ทเดียวกันกับเยี่ยเทียน และค่าใข้จ่ายต่างๆนั้นก็ไม่ต้องให้เยี่ยเทียนออกให้
….
ในตอนที่เยี่ยเทียนเตรียมตัวจะออกจากปักกิ่งไปพม่านั้นเอง ในตึกของที่ทำการเมืองโอซาก้าประเทศญี่ปุ่นกำลังมีบรรยากาศที่ตึงเครียด คนญี่ปุ่นที่สวมใส่เสื้อสูทสีดำน่าเกรงขาม มากกว่ายี่สิบคนยืนเข้าแถวล้อมไว้ที่ทางเข้าออกตัวอาคาร สีหน้าถมึงทึง
ภายในอาคารที่ก่ออิฐผสมผสานกับใช้ไม้ที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวอาคารแบบญี่ปุ่นนั้น บริเวณหน้าต่างก็ปรากฎคนสามคนยืนอยู่ และคนที่นอนอยู่บนเตียงนั้น ก็คือคาโต้ ทาคุมิที่เสียแขนและขาไป
คนที่ยืนอยู่ตรงกลางคนนั้น เป็นชายชราที่มองไปแล้ว มีผมสีดอกเลาขึ้นอยู่เต็มศรีษะ ความสูงของชายชรานั้นอยู่ที่ประมาณร้อยเจ็ดสิบกว่า วงหน้าเด่นชัดและเฉียบคม ยืนตัวตรงอยู่บริเวณนั้น ท่าทางนั้นเคร่งเครียด แต่ภายในดวงตาที่มองไปที่คาโต้ ทาคุมินั้น ปรากฏแววเศร้าสลด
“ท่านผู้นำตระกูล กรุณาเปิดผ้าม่านให้ผมได้เห็นแสงแดดด้านนอกเถอะ” หลังจากทิ้งช่วงมาสี่ห้าวัน คาโต้ ทาคุมิก็ฟื้นตื่นขึ้นมา แต่ก็อ่อนแอเป็นอย่างมาก เสียงที่กล่าวออกมานั้นเบาเป็นเสียงยุงบิน
“ได้ยินมั๊ย เปิดผ้าม่าน!” คนสูงวัยมองไปที่คาโต้ ทาคุมิ โดยที่ไม่ได้หันไปไหน สั่งการออกมา
“ได้!” บุรุษวัยกลางคนที่ยืนอยู่ด้านหลังอายุประมาณสี่สิบกว่าปี เดินไปที่หน้าต่างพร้อมกับดึงผ้าม่านขึ้น แสงแดดอบอุ่นยามเช้าพลันก็สาดกระจายอยู่บนร่างของคาโต้ ทาคุมิที่ถูกห่อไว้ราวกับบะจ่างก็ไม่ปาน
“คาโต้ แกใช้หยาดเลือดเนื้อต่อสู้จนนาทีสุดท้าย แกก็เป็นวีรบุรุษ!”
ชายชรามองไปที่คาโต้ เมื่อกล่าวนั้นสายตาอบอุ่น จากนั้นพลันเปลี่ยนเป็นดุดันขึ้นมา “แต่ว่า แกทำให้ฉันผิดหวังมาก แกไม่สามารถทำภารกิจของตระกูลให้แล้วเสร็จได้ แกทำให้ตระกูลคิตะมิยะ….อับอาย แก….ไม่ควรมีชีวิตกลับมา!”
เป็นเพราะกล่าวด้วยความร้อนรน ชายชรานั้นก็ไออย่างหนักหน่วง บุรุษวัยกลางคนที่ยืนอยู่ด้านหลังรีบส่งผ้าผืนหนึ่งออกไป หลังจากเสียงไออย่างหนักหน่วงผ่านพ้นไป ชายชราก็เอาผ้าออก บนผ้าสีขาวราวหิมะผืนนั้น ปรากฏรอยหยดเลือดอยู่
หลังจากรับผ้าปิดปากไปแล้ว บุรุษวัยกลางคนกล่าวขึ้นอย่างระมัดระวัง “ขออย่าได้สะเทือนใจไป คุณชายคาโต้ได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว!”
……
ตอนที่ 481 โรคจิต
โดย
Ink Stone_Fantasy
“สารเลว!”
เมื่อได้ฟังชายวัยกลางคนพูดจบ คนชราก็โมโหเดือดดาล ตบฝ่ามือออกไป กล่าวด่าทอเสียงดัง “ในฐานะนักรบ คาโต้ไม่ควรจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป นายรู้มั๊ยว่า เขาทำให้ชื่อเสียงของตระกูลคิตะมิยะต้องแปดเปื้อน!”
“ไฮ!”
โดนคนชราตบไปฝ่ามือหนึ่งจนหมุนอยู่กับที่ แต่บุรุษวัยกลางคนก็ปักหลักยึดเท้าแน่น กล่าวเสียงดัง “ท่านเจ้าบ้านกล่าวได้ถูกต้อง คุณคาโต้สมควรจะสำเร็จโทษตัวเอง ใช้เลือดมาล้างคำสบประมาทดูถูก!”
ถึงแม้จะกล่าวออกไปแบบนั้น แต่ว่าในใจของบุรุษวัยกลางคนไม่ได้เป็นดังเช่นนั้น ว่ากันตามจริงแล้วตระกูลคิตะมิยะของพวกเขาเมื่อไรกันที่มีชื่อเสียงเกียรติยศและกล่าวถึงจิตวิญญาณนักรบ ตั้งแต่สมัยจักรวรรดิเมจิจักรพรรดิมุสึฮิโต้เป็นต้นมา ตระกูลคิตะมิยะเป็นนักลงทุนเก็งกำไรภายในประเทศญี่ปุ่นมาโดยตลอด แน่นอนว่า เรื่องนี้พวกเขาจะต้องไม่ยอมรับแน่นอน
นอกจากนั้นในครานั้นชายชราที่ยืนอยู่ต่อหน้าเขาตอนนี้ได้พาคนเก่งมีความสามารถในตระกูลไปยังประเทศพม่าเพื่อค้นหาทองคำที่ถูกฝังเอาไว้ แต่ใครจะรู้ว่าสุดท้ายแล้วก็พ่ายแพ้กลับมา ไม่นับว่าเสียชีวิตไปสิบกว่าคนแม้แต่ตัวเขาเองก็กลายเป็นคนป่วย
ตอนนี้คาโต้ทาคุมิเพื่อครอบครัวแล้วกลับถูกคนตัดแขนตัดขา ท่าเข้าบ้านกลับมาพูดถึงจิตวิญญาณนักรบ นี่ไม่เท่ากับเป็นการกดดันให้ท่านคาโต้จบชีวิตลงหรือไร เพียงแต่ว่าบุรุษวัยกลางคนมีความสัมพันธ์อันดีกับคาโต้ แต่ตอนนี้เขากลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว จะตายหรือไม่นั่นก็ไม่แตกต่างกัน
“สารเลว คาโต้แม้แต่มือก็ไม่มี จะสำเร็จโทษตัวเองได้อย่างไรกัน!”
บุรุษวัยกลางคนเดิมทีก็จะตามน้ำไปกับความคิดของคนชราเพื่อจะได้ไม่ถูกตบอีก แต่คิดไม่ถึงว่าการประจบสอพลอนั้นได้ผลเกินคาด ก็ถูกฝ่ามือตบไปฉาดใหญ่อีกครั้ง บุรุษวัยกลางคนพลันรู้สึกว่าฟันของตัวเองโยกคลอน ในปากมีรสชาติเค็มปรากฏ
“ให้ผมไปตายเถอะ!” คาโต้ทาคุมิที่นอนอยู่บนเตียง พยายามขยับขึ้นมา มองไปทางคนชราและกล่าวว่า “ท่านเจ้าบ้าน กรุณาฝากบอกลูกสาวและหลานของท่านด้วยว่า สามีของเธอนั้นเสียชีวิตแล้วจากการสู้รบ!”
คาโต้ทาคุมิเข้าใจดี หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา ตระกูลคิตะมิยะที่ควบคุมกองกำลังที่สี่ที่แท้จริงนั้น ได้ถูกกลุ่มขวาจัดมองว่าเป็นพวกไก่อ่อนมาโดยตลอด หากว่าข่าวที่ตัวเขาเองนั้นต่อสู้และพ่ายแพ้แพร่กระจายออกไป นั่นจะกลายเป็นเรื่องชวนหัวชั้นดีของตระกูลคิตะมิยะ ดังนั้นถึงแม้คาโต้ทาคุมิจะเป็นลูกเขยของตระกูลคิตะมิยะ เขา… ก็สมควรจะต้องตาย!
สีหน้าของคิตะมิยะ ฮิเดโอะปรากฏแววประหลาด พยักหน้ากล่าวว่า “ดี นายก็ทำใจให้สงบแล้วไปพบกับพระเจ้าเถิด ฉันจะดูแลภรรยาและลูกชายของนายเป็นอย่างดี!”
“ขอบพระคุณท่านเจ้าบ้าน ผมยังมีคำขอร้องอีกอย่างหนึ่ง ขอให้ฆ่าเยี่ยเทียน ให้เลือดของเขามาลบล้างมลทินของผม!” คาโต้ทาคุมิกล่าวด้วยเสียงโกรธแค้น สีหน้าปรากฏความหวังขึ้นมา
“ศัตรูของตระกูลคิตะมิยะ ล้วนต้องตาย!”
สายตาของคิตะมิยะ ฮิเดโอะปรากฏแววคมปราบ ตลอดทั้งร่างราวกับดาบที่ถูกชักออกจากฝัก พลันยื่นมือขึ้นมาผ่านหัวของคาโต้ทาคุมิไป คาโต้ทีเดิมทีอยากจะพูดอีกหลายคำก็พลันถลึงตา เพียงเท่านั้นแสงจากประสาทตาก็ดับมืดลงไป
คิตะมิยะ ฮิเดโอะมองดูร่างที่ไร้ชีวิตของคาโต้ทาคุมิอย่างเย็นชา กล่าวว่า “เอาเขาไปเผา และประกาศออกไปว่าคาโต้ทาคุมิเสียชีวิตที่ประเทศจีน!”
“ไฮ!” ขาของบุรุษวัยกลางคนหยุดลง กล่าวสองคำออกมาจากปาก ฝ่ามือสองครั้งเมื่อซักครู่ ได้สอนให้เขาได้รับรู้ว่าอะไรที่เรียกว่าความเงียบประดุจดั่งทองคำ
คิตะมิยะ ฮิเดโอะหมุนกายออกจากห้องไป ด้านหลังมีบุรุษชราวัยหกสิบโดยประมาณเดินตามออกไป ไม่ได้กล่าวคำใดตั้งแต่เริ่มจนจบ แสดงให้เห็นว่าเข้าใจอุปนิสัยของคิตะมิยะ ฮิเดโอะเป็นอย่างดี
หลังจากเดินมาถึงบริเวณกลางลานแล้ว คิตะมิยะ ฮิเดโอะก็หมุนกายกับมาหาบุคคลที่ยืนอยู่ด้านหลังกล่าวขึ้นว่า “ฮิโคโตชิ ข้อมูลของคนจีนคนนั้นสืบเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
“กระจ่างแจ้งแล้ว เขาชื่อเยี่ยเทียน ปีนี้อายุยี่สิบสองปี ลาออกจากมหาวิทยาลัยหวาชิงเมื่อไม่กี่ปีก่อน เป็นหลานชายของซ่งฮ่าวเทียนที่เพิ่งลงจากตำแหน่งไป สำหรับสำนักวิชาของเขานั้น พวกเรายังสืบไม่ได้ชัดเจน!”
ฮิโคโตชินำรูปภาพที่มีข้อมูลที่พับไว้ส่งให้กับคิตะมิยะ ฮิเดโอะ กล่าวต่อว่า “ท่านเจ้าบ้าน คนคนนี้เคียดแค้นพวกเราเป็นอย่างมาก หากว่าตระกูลอยากจะเปิดตลาดที่ประเทศจีน จะต้องกำจัดเขาไปซะ!”
“เหลวไหล พวกเราเป็นพ่อค้า ไม่ใช่นักฆ่า!”
คิตะมิยะ ฮิเดโอะมองไปที่บุคคลที่ตนเองวางแผนไว้เงียบๆ ว่าจะให้รับช่วงต่อกิจการภายในของตระกูล กล่าวสั่งสอนว่า “หากว่าซ่งเฮ่าเทียนที่นายกลาวถึงรู้เข้าว่าเยี่ยเทียนถูกฆ่าโดยพวกเรา อย่างนั้นแล้วพวกเราจะทำการค้าในตลาดของประเทศจีน ก็จะถูกทำร้ายถึงแก่ชีวิต!”
“ไฮ!”
คิตะมิยะ ฮิโคโตชิไม่กล้าขัดคำของท่านเจ้าบ้านที่ปกติไร้อารมณ์ทุกข์สุขใดใด ในตอนนั้นเองก็กล่าวเปลี่ยนเรื่อง “ท่านเจ้าบ้าน พวกเราลงทุนที่สำนักดาบในประเทศเกาหลีและสิงคโปร์หนึ่งร้อยยี่สิบสำนักได้เลือกที่อยู่เรียบร้อยแล้ว แต่ว่าตอนนี้ยังต้องการเงินลงทุนอีกสองพันล้านเยน ท่านคิดว่าอย่างไร”
ในสงครามโลกครั้งที่สองตระกูลคิตะมิยะ เคยได้รับทรัพย์สินเงินทองร่ำรวย แต่ทว่าหลังจากสงครามโลกครั้งที่สองจบลง ภายใต้แรงกดดันของรัฐบาลญี่ปุ่นและกองทหาร วันเวลาของตระกูลคิตะมิยะก็ได้ผ่านไปอย่างยากลำบาก โดยเฉพาะในปีแปดศูนย์เงินเยนเสื่อมราคาลง พวกเขาเรียกได้ว่าได้รับผลกระทบอย่างหนัก เงินกว่ทรัพย์สินกว่าพันล้านกลายเป็นภาพมายา
ตอนนี้ไม่มีสงครามแล้ว ชื่อเสียงของตระกูลคิตะมิยะในประเทศก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ดังนั้นคิตะมิยะ ฮิเดโอะก็มองไปทางตลาดนอกประเทศ ก็ประสบความสำเร็จอยู่บ้าง แต่ทว่าการลงทุนในสำนักดาบนั้นใช้เงินลงทุนค่อนข้างเยอะ ภายใต้การรีบร้อนขยายสาขา ทรัพย์สินของตระกูลคิตะมิยะก็ตามไม่ทันแล้ว
“การสำรวจที่พม่าเป็นอย่างไรบ้าง” เมื่อกล่าวถึงเงิน คิตะมิยะ ฮิเดโอะก็ขมวดคิ้วขึ้นมา เปลี่ยนบทสนทนาไปยังเรื่องที่เขาสถานที่ที่เขายังจำได้ไม่เคยลืม
คิตะมิยะ ฮิโคโตชิกล่าวว่า “ท่าเจ้าบ้าน พวกเราได้เบาะแสมาอย่างหนึ่ง ณ สถานที่นั้นในปีนั้น มีชายชราชาวบ้านอายุเจ็ดสิบกว่าบอกว่า เคยมีกลุ่มคนจ้างวานใช้งานม้าที่บ้านของเขา ดังนั้นผมสงสัยว่า สถานที่แอบซ่อนทองคำ จะต้องห่างจากหมู่บ้านนั้นไม่ไกล…”
คิตะมิยะ ฮิเดโอะเงียบไปซักพักหนึ่งอย่างใช้ความคิด และกล่าวว่า “นายไปจัดการหน่อย พรุ่งนี้พวกเราไปที่พม่ากัน สถานที่นั้นฉันคุ้นเคย หวังว่าจะเจอเบาะแสบ้าง ทองคำนี้เดิมทีก็เป็นของตระกูลคิตะมิยะ ครั้งนี้จะต้องหาให้เจอ นายจะต้องส่งคนที่เป็นหัวกระทิของตระกูลเราออกไป!”
“ไฮ ผมจะรีบไปจัดการเดี๋ยวนี้!”
ที่ตระกูลคิตะมิยะ คิตะมิยะ ฮิเดโอะนั้นสูงส่งราวกับเทพก็ไม่ปาน ต่อให้เป็นคิตะมิยะ ฮิโคโตชิว่าที่เจ้าบ้านคนถัดไปก็ไม่กล้าขัด หลังจากรับคำแล้ว กีรีบไปจัดการ
ยืนอยู่ที่เดิมได้ซักครู่ คิตะมิยะ ฮิเดโอะก็หมุนกายเดินไปทางตึกเล็ก หลังจากเคาะประตูแล้ว หญิงวัยกลางคนอายุสามสิบกว่าปีก็เปิดประตูออก
“มิชิโกะ สามีของเธอเสียชีวิตแล้ว!” คิตะมิยะ ฮิเดโอะเดินเข้ามาในห้องและปิดประตูตามหลัง
“ท่านพ่อ ฉันเดาได้แล้ว พ่อไม่ได้อยากให้เขาตายตั้งนานแล้วเหรอ” หลังจากมิชิโกะได้ฟังแล้ว สีหน้าไม่มีอาการตกใจใดใดออกมา เหมือนกับว่ารู้เหตุการณ์ก่อนล่วงหน้าแล้ว
“เหลวไหล ถอดเสื้ออก!”
สายตาของคิตะมิยะ ฮิเดโอะพลันก็เปล่งประกายคมปราบราวสัตว์ร้ายออกมา ยื่นมือออกไปตรงหน้าอกของมิชิโกะแล้วออกแรงดึง. ทั้งตัวและเสื้อผ้าก็ตกลงไปกองอยู่กับพื้น ร่างกายที่เปลือยเปล่าและขาวราวหิมะก็ปรากฏต่อหน้าของคิตะมิยะ ฮิเดโอะ
เดือนธันวาคมที่โอซาก้าก็เข้าสู่หน้าหนาวเหน็บแล้ว ผิวที่ปราศจากการห่อหุ้มก็สั่นสะท้านเล็กน้อย คิตะมิยะ ฮิเดโอะส่งเสียงร้องควรญครางราวกับเจ็บปวด พลันพุ่งเข้าไปยังห้องด้านข้าง ในตอนที่ออกมานั้น ในมือถือแส้สีดำสนิท
เสียงแส้ฟาดและเสียงร้องควรญครางของผู้หญิง ดังออกมาจากห้องไม่ขาดสาย หลังจากผ่านพ้นไปครึ่งชั่วยาม ผิวขาวราวหิมะของมิชิโกะก็ปรากฏรอยแส้ฟาดเป็นสายเต็มทั่วตัว คิตะมิยะ ฮิเดโอะก็พลันสงบลง โยนแส้หนังทิ้งไปและเดินขึ้นไปบนชั้นสอง
“คุณโก่วซินเจีย ผมไปที่พม่าอีกครั้ง ไม่รู้ว่าคุณยังมีชีวิตอยู่หรือไม่!” เมื่อมาถึงห้องชั้นสอง คิตะมิยะ ฮิเดโอะก็ขังตัวเองอยู่ในความมืด ส่งเสียงครางเหมือนสัตว์ร้ายที่บาดเจ็บ
ในตอนนั้นโก่วซินเจียถูกคิตะมิยะ ฮิเดโอะลอบทำร้ายตัดแขนขาดไป และคิตะมิยะ ฮิเดโอะก็ถูกเขาซัดเข้าหมัดหนึ่ง หากว่ามองจากด้านบน คิตะมิยะ ฮิเดโอะนั้นเป็นผ่ายเอาเปรียบแล้ว
แต่ไม่มีใครรู้ว่า คิตะมิยะ ฮิเดโอะถูกฝ่ามือนี้เข้าไปไม่เพียงแต่บาดเจ็บภายใน แต่ทำให้สูญสิ้นความเป็นชาย หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ น้องชายด้านล่างของเขานั้นนอกจากใช้ทำธุระแล้วก็ไร้สมรรถภาพความเป็นชายไป
ในตอนนั้นคิตะมิยะ ฮิเดโอะอายุเพียงแค่ ยี่สิบต้นๆ ความกระทบกระเทือนนี้ทำให้จิตใจของเขาบิดเบี้ยว หลังจากบาดแผลรักษาหายแล้ว ก็ทุ่มเทฝึกปรือวิชาดาบของตระกูล ในตอนที่อายุสามสิบปี ก็ได้ฆ่าบิดาของตัวเองถึงได้ขึ้นมานั่งในตำแหน่งผู้นำตระกูล
หลังจากนั้นเมื่ออายุได้สี่สิบปี คิตะมิยะ ฮิเดโอะใช้วิธีการที่แข็งกร้าวถึงได้นั่งในตำแหน่งอย่างมั่นคงเรื่อยมา แต่อารมณ์ของเขานั้นก็เปลี่ยนเป็นรุนแรงในบางครา ทำให้ลงทุนมูลค่ามหาศาลผิดพลาด ทำให้ตระกูลต้องตกที่นั่งลำบาก นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้เขารีบร้อนที่จะเปิดตลาดต่างประเทศ
สำหรับมิชิโกะนั้น เป็นเพียงแค่ผู้หญิงที่คิตะมิยะ ฮิเดโอะเก็บมาเลี้ยงเมื่อตอนอายุสามสิบกว่าเท่านั้น
แต่ที่ไม่มีใครรู้ก็คือ ภายนอกดูนุ่มนวลสุภาพและนับตั้งแต่ที่ภรรยาเสียชีวิตไปก็ไม่เคยมีผู้หญิงอื่นอย่างคิตะมิยะ ฮิเดโอะ เป็นสัตว์ร้ายจิตใจบิดเบี้ยว ในตอนที่มิชิโกะอายุสิบแปดปีนั้น คิตะมิยะ ฮิเดโอะก็ฉีกเสื้อผ้าของเธอขาด ใช้ด้ามดาบสำหรับการต่อสู้ทำให้มิชิโกะกลายเป็นหญิงสาว
นับแต่นั้นมาภายในยี่สิบปีนี้ มิชิโกะได้แต่ต้องทนทุกข์กับความทรมานจากคิตะมิยะ ฮิเดโอะ แม้แต่หลังจากแต่งงานแล้วสามีก็ถูกส่งไปประจำการยังต่างประเทศ ไม่ได้ทราบเลยว่าก่อนจากไปนั้นได้ขอบคุณ “พ่อตาผู้ยิ่งใหญ่” อย่าง คาโต้ทาคุมิ หากรู้ความจริงแล้วนั้น จะรู้สึกอย่างไร
แน่นอนว่า หลักการของคนญี่ปุ่นนั้นค่อนข้างมั่ว ประชาชนคนญี่ปุ่นหรือคนมีท่าทีต่อแนวคิด/วุ่นวายที่ว่า “ไม่ทำร้ายผู้กระทำและไม่ทำอันตรายคนอื่น” ก็ใจกว้างจนคุณไม่อยากจะเชื่อ
ประเทศนี้แม้จะนับถือศาสนาพุทธเป็นอย่างมาก แต่สำหรับเรื่องเพศแล้วนั้นทำให้คนต้องตะลึงตาค้าง เพื่อนนอน/ทางเพศของพวกเขา ขอบเขตความสัมพันธ์ของคู่นอนนั้นกว้างมาก แม้ว่าลูกชายจะไปเยี่ยมเยียนแม่ที่หมู่บ้านที่อาศัย กับพ่อและภรรยาของคนอื่น หรือว่าพี่สาวน้องสาวตัวเองก็เกิดความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาวได้โดยไม่ถูกตราหน้า
ในสมัยเอโดะทายาทจักพรรดิองค์หนึ่งของญี่ปุ่นเคยไปเยี่ยมเยือนน้องสาวของตัวเองแล้วถูกแย่งชิงตำแหน่งจักรพรรดิไป
ดังนั้นถึงแม้ว่าคาโตะทาคุมิจะรู้ความจริงเรื่องคิตะมิยะ ฮิเดโอะ ก็ไม่แน่ว่าจะสนใจด้วยซ้ำไป เดิมทีนี่ก็เป็นหลักความเชื่อที่วุ่นวายระดับประเทศและสังคมอยู่แล้ว!
……
ตอนที่ 482 เดินทางไปพม่า
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากที่เครื่องบินทะยานไปบนท้องฟ้า โจวเซี่ยวเทียนก็นั่งอย่างกระสับกระส่าย ฟุบลงที่ขอบหน้าต่างมองไปยังพื้นที่เล็กลงไปเรื่อยๆ สายตาเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น พวกเขานั่งชั้นเฟิร์สคลาส แอร์โฮสเตสที่ยืนอยู่ด้านข้างไม่ได้พูดอะไรมาก เต็มไปด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มในขณะที่ประกอบอาชีพอยู่
รอหลังจากที่เครื่องบินอยู่ที่ชั้นบรรยากาศแล้ว โจวเซี่ยวเทียนก็ดึงสายตากลับมา ใบหน้ายิ้มด้วยความแดงระเรื่อ สายตาแอบมองที่แอร์โฮสเตสสาวสวยคนนั้น หันไปถามเยี่ยเทียนว่า “ท่านอาจารย์ พวกเราจะอยู่ที่ฮ่องกงกี่วันเหรอครับ”
เนื่องจากเยี่ยเทียนขอยืมใช้ในนามผู้เข้าร่วมมรกตพม่า รวมทั้งเที่ยวบินนี้ยังหยุดจอดที่ฮ่องกง ดังนั้นเยี่ยเทียนและลูกเขยของจั่วเจียจวิ้นที่ชื่อหลิวซีกั๋วก็นัดเจอกันที่สนามบินฮ่องกง หลังจากนั้นนั่งเครื่องบินพิเศษของถังเหวินหย่วนไปที่พม่า
ส่วนพรรคพวกของอู๋เฉิน พวกเขากลับเดินทางไปกับกลุ่มทัวร์ที่ไปพม่าโดยตรง โรงแรมก็ได้จัดเตรียมไว้ดีแล้ว รวมทั้งมีเบอร์โทรติดต่อ คาดว่าคงไม่พลาดกันแน่
“ฉันมีบ้านพักตากอากาศที่ฮ่องกง ต่อไปนายอยากมาเมื่อไหร่ก็ได้ แต่วันนี้ไม่ต้องคิดเรื่องนี้แล้ว จัดการธุระให้เรียบร้อยค่อยพูดกันเถอะ”
เมื่อเห็นใบหน้าของโจวเซี่ยวเทียนที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง เยี่ยเทียนก็อดที่จะยิ้มไม่ได้ ตอนที่ตัวเองนั่งเครื่องบินครั้งแรกก็มีท่าทีเหมือนกันกับเขา อีกนิดเดียวก็จะถามแล้วว่าบนเครื่องบินมีเครื่องดื่มมากขนาดไหน
“เหล่าหู เป็นยังไงบ้าง”เยี่ยเทียนเอียงหน้ามาที่หูหงเต๋อ สีหน้าของเขาแตกต่างกับโจวเซี่ยวเทียน หลังจากที่เครื่องบินทะยานออกไป สีหน้าก็มีความตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด
“พานายไปจัดการธุระครั้งนี้เสร็จ ฉันจะไม่นั่งเครื่องบินอีกแล้ว”หูหงเต๋อส่ายหน้า “ฉันไม่ชอบความรู้สึกนี้เลย ถ้าตกลงมาจากฟ้า พวกเทพเทวดาก็กลายเป็นเนื้อบดเหมือนกันนะ”
คนที่ฝึกวิทยายุทธ มักจะสนใจสภาพแวดล้อมรอบๆ ตัวเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อวิทยายุทธจนถึงระดับหนึ่ง ความรู้สึกทั้งหกจะรู้สึกว่องไวต่อความผิดปกติเป็นอย่างมาก สามารถรู้สึกได้ถึงอันตรายที่เกิดขึ้นล่วงหน้า แต่ในขณะที่นั่งบนเครื่องบิน ความสามารถรับรู้ในทักษะนี้แทบจะเป็นศูนย์
ความจริงนี่ก็คือสาเหตุของหูหงเต๋อที่ฝึกไม่ประสบความสำเร็จ ถ้าเปลี่ยนเป็นเยี่ยเทียน ก่อนที่เครื่องบินจะขึ้น เขาก็สามารถรู้ได้อย่างชัดเจนว่าการเดินทางจะเป็นอันตรายหรือไม่ ถ้าจิตใจไม่สงบนิ่ง เยี่ยเทียนจะไม่โดยสารเที่ยวบินนี้แน่นอน
“ใช่ ถ้าไม่มีธุระด่วน ฉันจะไม่นั่งเครื่องบินแน่นอน”
เยี่ยเทียนพยักหน้า ตอนที่เขาเดินทางท่องยุทธภพกับนักพรตเต๋า คมนาคมที่ใช้ไม่ใช่เท้าสองข้างก็เป็นรถยนต์ หรือไม่ก็รถไฟ ต่อให้เป็นหลี่ซั่นหยวน เยี่ยเทียน หรือหูหงเต๋อ พวกเขาต่างก็เป็นคนประเภทเดียวกัน ที่ไม่ชอบความรู้สึกที่ควบคุมไม่ได้
นี่ก็เป็นสาเหตุที่เยี่ยเทียนปริปากขอใช้เครื่องบินเจ็ตส่วนตัวกับถังเหวินหย่วน ถ้าเกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดอะไรที่พม่า เครื่องบินลำนั้นมีถังเหวินหย่วนอยู่ ก็คงมีทางออกหรือเส้นสายให้กับพวกเขาเอง
หลังจากที่ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง เครื่องบินก็ค่อยๆ ทะยานลงมาที่ท่าอากาศยานฮ่องกง เครื่องบินที่หยุดจอดนิ่งเมื่อสักครู่ ก็มีรถเบนซ์ยาวคันหนึ่ง ที่จอดอยู่ด้านใต้เครื่องบิน ดึงดูดให้กับนักท่องเที่ยวที่อยู่บนเครื่องบินที่มองลงมาจากหน้าต่าง
“ลงไปกันเถอะ”เยี่ยเทียนลุกขึ้น ส่งสายตาขยิบไปที่อู๋เฉินที่นั่งอยู่ด้านหลัง จากนั้นก็พาหูหงเต๋อและโจวเซี่ยวเทียนลงจากเครื่องบิน
“เยี่ยเทียน ฉันว่านายไม่อยู่ที่ฮ่องกงสักสองสามวันหน่อยหรอก เสี่ยวเสี่ยวให้บ้านพักตากอากาศนั้นกับนาย นายจะไม่ไปดูหน่อยเหรอ”
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนลงมาจากเครื่องบิน ถังเหวินหย่วนที่หัวเต็มไปด้วยผมสีขาวก็เงยหน้ามองขึ้นไป ชายชราคนนี้ก็อายุเกือบแปดสิบแล้ว แต่ความกระตือรือร้นนั้นดีมากๆ ยืนอกเชิดหลังตรงอยู่ตรงนั้น
“พี่เยี่ยเทียนสวัสดีค่ะ!”ด้านหลังของถังเหวินหย่วนมีหัวเล็กๆ โผล่ออกมา ก็ถือถังเสวี่ยเสวี่ยที่เยี่ยเทียนรักษาอาการป่วยให้ตอนนั้น ทั้งสองคนแทบจะอยู่ด้วยกันทั้งเช้าและเย็น ความสัมพันธ์นั้นดีราวกับพี่ชายน้องสาว
“เฮ้ เสวี่ยเสวี่ย พวกเราไม่ได้เจอกันตั้งนาน โตเป็นสาวแล้วนะ”เยี่ยเทียนคุ้นชินกับการยื่นมือไปลูบหัวถังเสวี่ยเสวี่ย ยังไม่ทันรู้สึกอะไร ก็รีบดึงมือกลับมา
นอกจากที่กำจัดพลังเก้าหยินพิฆาตของถังเสวี่ยเสวี่ยแล้ว ร่างกายที่สูงกว่าปีที่แล้วอย่างน้อยสิบเซนติเมตร ทำให้ร่างกายเฉกเช่นถั่วงอกมีสภาพอวบอ้วนมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผิวสีขาวเดิม ซึ่งตอนนี้สีขาวก็มีสีแดงเลือดฝาดมาด้วย แสดงว่าได้ฟื้นฟูสุขภาพอย่างสมบูรณ์แบบ
“พี่เยี่ยเทียน พี่มาพักที่บ้านฉันสักสองสามวันดีไหมคะ เสวี่ยเสวี่ยคิดถึงพี่มาก”ถังเสวี่ยเสวี่ยไม่ได้สังเกตเห็นใบหน้าที่เขินอายของเยี่ยเทียน รีบพุ่งเขามาเกาะแขนของเยี่ยเทียน ในใจของเธอไม่ได้คิดอะไร แต่ไม่ได้ระวังตัวว่าตัวเองก็เป็นสาวแล้ว
“แค่กๆ เสวี่ยเสวี่ย ครั้งนี้ไม่ได้”
เยี่ยเทียนยิ้มเจื่อนๆ หันไปพูดกับถังเหวินหย่วน “เหล่าถัง เรื่องครั้งนี้ผมต้องไปจัดการ หลังจากที่จัดการเรื่องนี้เสร็จ ผมจะมาดูบ้านหลังนั้น”
บ้านพักตากอากาศที่กงเสี่ยวเสี่ยวมอบให้นั้นห่างจากที่ถังเหวินหย่วนพักไม่ไกลมากนัก เมื่อได้ยินถังเหวินหย่วนกล่าวถึงฮวงจุ้ยว่าดีกว่าบ้านของตัวเอง นี่ก็ทำให้เยี่ยเทียนอดที่จะรอคอยไม่ได้ ถ้าหากใช้สร้างค่ายกลจัดการพลังวิเศษในท้องทะเลได้ อย่างนั้นในหนึ่งร้อยปีก็ไม่ต้องกังวลกับการใช้วิชาฝึกวิชาพลังชี่ฟ้าดินแล้ว
เพียงแต่ในช่วงเวลานี้เยี่ยเทียนลำบากด้านการเงินมาตลอด ในมือไม่มีหินหยกที่มีค่าที่สามารถใช้สร้างค่ายกลวิชาได้ ดังนั้นเรื่องนี้ได้เลื่อนเวลามาตลอด แต่ถ้าได้ทองคำนั้นได้อย่างสำเร็จและราบรื่น เยี่ยเทียนจะรีบมาจัดวางโครงสร้างวิลล่าบนเกาะฮ่องกงให้เร็วที่สุด
“ได้ งั้นก็พูดแล้วนะ”
ถังเหวินหย่วนพยักหน้า ลากเยี่ยเทียนเดินมาที่ด้านข้างสักสองสามก้าว พูดเสียงเบาๆ ว่า “ฉันกับนายพลปอกางเป็นเพื่อนกันมาหลายปี หลังจากเครื่องบินลำนี้ลงจอดที่ย่างกุ้ง จะหยุดที่ตรงที่สนามบินทางการทหารที่ควบคุมโดยนายพลปอกาง ถ้านายเจอเรื่องอะไร ก็ไปหานายพลปอกางให้เขาช่วย และสามารถใช้สนามบินทหารบินได้ทุกเมื่อ โดยไม่ต้องควบคุมโดยสายการบิน”
ถังเหวินหย่วนเป็นคนประเภทไหนกัน ถึงแม้เยี่ยเทียนไม่ได้พูดถึงวัตถุประสงค์ของการยืมเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว แต่ด้วยความที่รู้สึกนิสัยของเยี่ยเทียนดี เขาได้ทายว่าเด็กคนนี้ต้องเกิดเรื่องที่ยุ่งยากแน่ ดังนั้นไม่เพียงที่จะให้ยืมเครื่องบิน แม้แต่ทางหนีทีไล่ก็เตรียมให้เยี่ยเทียนเรียบร้อยแล้ว
“เหล่าถัง ถ้าผมจะยืมใช้รถทหารสักสองสามคัน ไม่รู้ว่าจะทำได้หรือไม่”หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของเยี่ยเทียน ในใจของเยี่ยเทียนลุ้นไปด้วย คนของเขามาพม่าครั้งนี้มีไม่น้อย ถ้าอาศัยอำนาจรถของทางการทหาร เดินทางไปต่างจังหวัดต้องสะดวกเป็นอย่างมาก
“ไม่เป็นไร นายไปก่อน พอถึงเวลานั้นฉันติดต่อให้ ให้พวกเขาโทรศัพท์หานาย รถสองสามคนไม่มีปัญหาแน่นอน”
ถังเหวินหย่วนเมื่อได้ยินก็รับปากทันที พม่าเป็นประเทศที่ประกอบไปด้วยชนเผ่ามากมาย อิทธิพลของรัฐบาลพม่ามีจำกัดมาก ผู้นำเผ่าที่มีอำนาจทางทหาร ถึงเป็นหัวหน้าของพม่าอย่างแท้จริง และคนพวกนี้มักจะชอบแขวนคำนำหน้าว่านายพล
“ได้ เหล่าถัง น้ำใจนี้ผมรับไว้แล้ว รอหลังจากที่ผมกลับมาจัดวิลล่าที่เกาะฮ่องกงให้เสร็จ พอถึงเวลานั้นคุณก็เข้ามาอยู่เถอะ”
จากฝึกวิชาจนสำเร็จถึงตอนนี้ เงินทองส่วนใหญ่ที่เยี่ยเทียนได้มาส่วนใหญ่ก็มาจากถังเหวินหย่วนทั้งนั้น รวมทั้งเรื่องนี้ด้วย เยี่ยเทียนเต็มไปด้วยความละอายแก่ใจ ถ้าวันหลังถังเหวินหย่วนมีภัย ต่อให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บ ก็ไม่แน่ว่าจะช่วยถังเหวินหย่วนให้พ้นภัยไปได้ นี่ก็เป็นสาเหตุของคนฉีเหมินที่ไม่ยอมติดหนี้น้ำใจ
กลวิธีที่จะช่วยแก้ภัยพิบัติไม่เหมือนกับช่วยรักษาชีวิตคน นี้เป็นการกระทำที่สวนทางกับสวรรค์ ก็เหมือนกับกลวิชาใช้ไฟเจ็ดดวงในการต่ออายุที่ใช้กับตัวของหลี่ซั่นหยวน และก็ลดอายุของเยี่ยเทียนลงไปอีกสิบปี ถ้าไม่ใช่ว่าเขามีโชคชะตาที่ดีบ้าง เกรงว่าตอนนี้บนหัวก็คงเต็มใบด้วยผมสีขาวอยู่
ถังเหวินหย่วนก็พอรู้วิธีนี้อยู่ หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน ทันใดนั้นใบหน้าก็อดที่จะดีอกดีใจไม่ได้ ในขณะที่อยากจะปริปากพูด รถออดี้สีดำคันหนึ่งก็มาหยุดจอดด้านข้างคนสองสามคน มีคนลงมาจากรถสี่คน
ในสี่คนนี้มีสามคนที่เยี่ยเทียนรู้จัก ก็มีลูกเขยและลูกสาวของจั่วเจียจวิ้น นอกนั้นอีกหนึ่งคนก็เป็นหลิ่วติ้งติ้ง ยังมีคนวัยกลางคนที่อายุราวสี่สิบกว่า ที่เยี่ยเทียนก็ไม่รู้จักเช่นกัน
“อาจารย์ลุง ท่านลุง ปู่ถังสวัสดีค่ะ!”
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนและถังเหวินหย่วน สามีภรรยาหลิวซีกั๋วพาลูกสาวมาทักทายอย่างรวดเร็ว จั่วเจียจวิ้นถึงแม้ว่าตระกูลจะร่ำรวยไม่เท่าถังเหวินหย่วน แต่ก็เป็นบุคคลหมายเลขหนึ่ง คนในตระกูลหลิวก็รู้จักปู่ถังตั้งแต่ยังเด็ก ก็มาเจอตอนไหนก็ได้ตามสบายใจ และคนวัยกลางคนที่อยู่ด้านหลังพวกเขานั้น กลับระมัดระวังตัวอย่างเห็นได้ชัด
“ซีกั๋ว ท่านนี้คือ”เยี่ยเทียนส่งสายตามองไปที่คนวัยกลางคนคนนั้น มีคนนอกเดินไปเดินมา บนเครื่องบินมีบางอย่างที่ไม่สะดวกพูด
หลิวซีกั๋วเมื่อเห็นเยี่ยเทียนถึงกับขมวดคิ้ว รีบอธิบายว่า “ท่านอาจารย์ลุง ที่คืออาจารย์พนันหินที่ฉันเชิญมา ไปพม่าครั้งนี้เลือกหินโดยเฉพาะ ทั้งหมดก็ต้องอาศัยเขาแล้ว!”
“อืม งั้นก็ไปด้วยกันซะสิ”เยี่ยเทียนหันมามองหลิ่วติ้งติ้ง พูดว่า “ทำไมเธอถึงจะไปด้วยล่ะ”
สำหรัลลูกศิษย์ลูกหาพวกนี้ เยี่ยเทียนไม่ใช่ปวดหัวธรรมดา ถึงแม้ว่าเธอจะสวยมากและก็เป็นผู้หญิงมากๆ ก็ตาม แต่นิสัยกลับเหมือนเด็กผู้ชาย เมื่อพูดดี ก็เรียกได้ว่ารีบทำตามที่สั่ง ถ้าพูดไม่ดีก็จะทำเรื่องนั้นไม่สำเร็จ ยิ่งกว่านั้นก็จะทำแล้วยิ่งแย่กว่าเดิม
“ท่านลุง ฉันไม่ไปพนันหินหรอกนะ น่าเบื่อมาก ฉันหมายถึงตามคุณไปต่างหาก”หลิ่วติ้งติ้งเมื่ออ้าปากพูดก็ทำให้เยี่ยเทียนถึงกับขมวดคิ้วขึ้น นี่ก็ยิ่งกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้ามีผู้หญิงคนนี้ตามไปด้วย การไปครั้งนี้ไปอย่างคึกครื้นถือว่ายาก
“ไม่ได้ ฉันจะไปจัดการธุระส่วนตัว”
หลิ่วติ้งติ้งชี้ไปที่โจวเซี่ยวเทียนอย่างไม่ยอมแพ้ พูดว่า “ท่านลุง เขาเอาอะไรมาวัดที่ว่าไม่ได้”
โจวเซี่ยวเทียนลากแขนเสื้อของเยี่ยเทียน พูดเบาๆ ว่า “ท่านอาจารย์ ก็ให้หลานสาวติ้งไปเถอะ”
ปีที่แล้วตอนไปเมืองหลวง หลิ่วติ้งติ้งเคยเห็นโจวเซี่ยวเทียน ตอนนั้นวิชาของพวกเขาสองคนก็ไม่แตกต่างกันมาก มักจะแลกเปลี่ยนวิชาซึ่งกันและกัน แต่เมื่อเปรียบเทียบอายุแล้วโจวเซี่ยวเทียนก็มากกว่าหลิ่วติ้งติ้งเป็นเท่าตัว มักจะชอบเข้าข้างเธอเป็นที่สุด
“โจวเซี่ยวเทียน คุณหาเรื่องใช่ไหม ผมคือคนที่สืบทอด……สำนักเสื้อป่าน คุณต้องจำไว้!”
เป็นไปตามคาด หลังจากที่ฟังคำพูดของโจวเซี่ยวเทียน หลิ่วติ้งติ้งรีบกลายเป็นหญิงสาวยั่วเสน่ห์ ม้วนแขนเสื้อขึ้นไปปรึกษากับโจวเซี่ยวเทียน
“โอเค พวกคุณสองคนยังก่อความวุ่นวายกันอยู่ก็ไปต้องไป ไป ขึ้นเครื่องบินได้!”เยี่ยเทียนส่ายหัวอย่างจนปัญญา ศิษย์พี่ทั้งสองเอาหญิงคนนี้ไปด้วยก็เลี่ยงไม่ได้ เขาจะทำอะไรได้ ก็แค่หวังว่าตอนที่อยู่พม่า จะหาเรื่องให้ตัวเองน้อยหน่อยก็เป็นพอ
“นิสัยของเซี่ยวเทียนมักจะชอบเก็บความรู้สึกไว้ข้างใน กับผู้หญิงคนนี้กลับให้เกียรติด้วยมาก”หลังจากที่ขึ้นมาเครื่องบนส่วนตัวสีเทาเงินของถังเหวินหย่วน เยี่ยเทียนมองไปที่โจวเซี่ยวเทียนกับหลิ่วติ้งอย่างน่าใคร่ครวญขึ้นมา และสายตานั้นทำให้ทั้งสองคนถึงกับเกร็งทันที
……
ตอนที่ 483 ย่างกุ้ง
โดย
Ink Stone_Fantasy
เยี่ยเทียนถึงแม้ว่าอายุยังน้อย แต่สถานะที่อยู่ตรงนั้น หลังจากที่ขึ้นเครื่องบิน ถ้าหากเขาไม่พูด ก็ไม่มีใครกล้าพูด หลังจากที่เครื่องบินออกไปได้ครึ่งชั่วโมงกว่า เยี่ยเทียนก็ไปสอบถามสถานการณ์บางอย่างของพม่ากับหลิวซีกั๋ว บรรยากาศไม่ได้ตึงเครียดขึ้นมาทันตา
หลิ่วติ้งติ้งนั่งคู่กับโจวเซี่ยวเทียนพอดี ดูเหมือนว่าจะจำเรื่องที่ถูกอาจารย์ว่าหลานสาวตัวเองได้ มักจะกำปั้นใส่โจวเซี่ยวเทียนส่ายไปส่ายมาอยู่เป็นนิจ ถ้าไม่ใช่กังวลว่าเยี่ยเทียนและพ่อของตัวเองอยู่ด้วย เธอสามารถแสดงศิลปะการต่อสู้ในระยะทางหลายพันกิโลเมตรบนท้องฟ้าได้เลย
หลังจากที่ผ่านไปสองชั่วโมงกว่า เครื่องบินก็บินลงที่ย่างกุ้งของพม่า ภูมิอากาศของที่นี่ไม่แตกต่างกับเกาะฮ่องกง ถึงแม้จะเข้าปลายเดือนธันวาคม แต่อุณหภูมิยังคงยี่สิบกว่าองศา เมื่อเปรียบเทียบกับเมืองหลวงที่พื้นดินปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งและหิมะ ที่นี่สามารถเห็นต้นกล้วยน้ำว้าและต้นมะพร้าวทุกที่ ให้ความรู้สึกของวิวทิวทัศน์ทางประเทศทิศใต้
โจวเซี่ยวเทียนที่ไม่เคยออกนอกประเทศเลยจึงมองไปรอบด้าน แม้แต่หูหงเต๋อก็ยังรู้สึกตกตะลึง ตลอดชีวิตของเขาก็ใช้ชีวิตอยู่ที่ภูเขาฉางไป๋ซาน เขาคุ้นเคยกับอากาศแห้งและหนาวเย็น อุณหภูมิที่นี่ทำให้เขารู้ปรับตัวไม่ค่อยได้
“แตกได้จริงๆ นะ ซีกั๋ว พวกคุณมีรถมารับไหม”
หลังจากที่ออกจากสนามบิน เยี่ยเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อยโดยที่ไม่ทันสังเกตได้ ยังโชคดีที่ย่างกุ้งเป็นเมืองหลวงของพม่า แท็กซี่ที่อยู่นอกสนามบินชักจูงลูกค้า จู่ๆ รถที่มีสีสันสดใสเป็นรถสามล้อทั้งหมด และมีบางคันคนที่ใช้แรงงานคนในการถีบ ทำให้เยี่ยเทียนอดที่จะคิดถึงในยุคปี 80 ของจีนไม่ได้
“มี คณะกรรมการจัดการได้จัดรถไว้แล้ว อาจารย์ลุง พวกเรารอสักครู่เถอะ ”
หลิวซีกั๋วกับเยี่ยเทียนรู้จักมักคุ้นกันไม่มากนัก แต่เขากลับเป็นคนที่หัวโบราณมาก เพราะเยี่ยเทียนเป็นศิษย์น้องของพ่อตา ดังนั้นหลิวซีกั๋วก็เลยเคารพเยี่ยเทียนเป็นอย่างมาก ภาษาที่พูดไม่พูดให้เสียมารยาทสักคำ
รวมทั้งก่อนหน้านี้เยี่ยเทียนยังพนันหินที่เกาะฮ่องกง คิดไม่ถึงว่าจะดูจักรพรรดิสีเขียวมรกตนั้นออก ถึงแม้ว่านั่นไม่ใช่ของตระกูลพวกเขาก็ตาม แต่สร้อยข้อมือจักรพรรดิสีเขียวมรกตขัดเงาคู่หนึ่ง ยังคงอยู่ในร้านขายเครื่องประดับของครอบครัวเขา เนื่องจากบริษัทเครื่องประดับที่มีชื่อเสียงในเกาะฮ่องกงก็ก่อตั้งโดยจั่วเจียจวิ้น
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกัน รถบัสขนาดกลางที่ท้ายรถเต็มไปด้วยควันโขมงสีดำ วิ่งหนีอุตลุดไปยังทางออกสนามบิน ชายหนุ่มวัยกลางคนคนหนึ่งที่ถือบุหรี่อยู่ ถือป้ายกระดาษแล้วเดินเข้าไปในสนามบิน
“ฮัลโหล คุณมารับพวกเราหรือยัง”สายตาของหลิ่วติิ่งติ้งค่อนข้างดี แว็บเดียวก็เห็นข้อความบนแผ่นป้าย รีบดึงมือชายวัยกลางคนคนนั้นทันที
“ติ้งติ้ง ทำอะไรไม่ควรที่จะบุ่มบ่าม”
เมื่อเห็นลูกสาวออกตัวแรง หลิวซีกั๋วยืนแล้วก็ยิ้มเจื่อนๆ เพราะชายหนุ่มวัยกลางคนคนนั้นในขณะนี้สายตาคู่หนึ่งพุ่งตรงมาที่หลิ่วติ้งติ้ง เด็กผู้หญิงที่พม่าต่างก็โดดแดดผิวดำคล้ำ ที่นั่นพวกเขาเคยเห็นผู้หญิงที่สวยแบบนี้ที่ไหนกัน
หลิวซีกั๋วพยายามเบี่ยงเบนความสนใจของชายวัยกลางคน ชื่อที่แผ่นป้ายของเขาแล้วถามว่า “ผมคือหลิวซีกั๋ว ไม่ทราบว่าคุณคือคนที่มารับพวกเราใช่ไหม”
หลังจากที่ชายหนุ่มคิดที่จะเขย่งเท้ายังไม่ทันมองไปที่หลิ่วติ้งติ้งอีกครั้ง แล้วจึงพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ใช่ ผมคือคณะกรรมการจัดงานส่งมา พวกคุณเชิญขึ้นรถเถอะครับ”
หลังจากที่ขึ้นรถ พวกของเยี่ยเทียนก้าวมาแค่ก้าวเดียวก็สัมผัสได้กับความยากจนของพม่า รถบัสขนาดกลางคันนี้ก็ไม่รู้ว่าเป็นเศษรถของประเทศไหน อย่างพูดถึงแอร์เลย แม้แต่กระจกตรงหน้าก็ไม่มี หลังจากที่ขับมาถึงโรงแรม หลายคนก็แทบวิงเวียนอยากจะะอ้วก ยิ่งไปกว่านั้นอย่าถามเลยว่ามีสภาพสะบักสะบอมอย่างไร
“ซีกั๋ว คุณไม่ใช่บอกว่าพม่าอุดมไปด้วยแหล่งแร่เหรอ ทำไมถึงยากจนขนาดนี้”เมื่อลงรถแล้วเข้ามาในโรงแรม เยี่ยเทียนก็อดไม่ได้ที่จะมองไปที่หลิวซีกั๋ว เพราะก่อนหน้านี้หลิวซีกั๋วแนะนำประเทศพม่าให้เขาฟัง ว่าทองมีจำนวนมาก แต่ทำไมถึงมีท่าท่างที่ยากจนขนาดนี้
หลิวซีกั๋วเมื่อได้ยินยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านอาจารย์ลุง คนที่มีเงินส่วนใหญ่จะเป็นพวกสหพันธ์และพวกชนเผ่า รัฐบาลทหารพม่าควบคุมได้แบบจำกัด ส่วนใหญ่ก็ระแวกย่างกุ้ง แต่ไหนแต่ไรเงินเข้ารัฐบาลไม่เท่าไหร่ จนไม่สามารถสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานได้เลย ”
ถึงแม้พม่าจะไม่ใหญ่ แต่ก็มีป่าและภูเขาทุกที่ ทุกชนเผ่าจะรุกร้ำอยู่ตรงนั้น โดยพื้นฐานแล้วไม่มีใครขึ้นบัญชีกับรัฐบาลทหารเลย และสำหรับทรัพยากรอสังหาริมทรัพย์ที่ร่ำรวยเหล่านั้น รัฐบาลอย่าได้คิดมีส่วนร่วมด้วย เพียงแค่พึ่งพารายได้จากตลาดมรกตในแต่ละปีเท่านั้น พวกข้าราชการพลเรือนเหล่านั้นยังไม่อดตาย ก็นับว่าดีมากแล้ว
“รัฐบาลนี้กลับเป็นดอกไม้ที่งดงามอย่างมหัศจรรย์ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับรัฐบาลชิงสมัยก่อนยังเทียบไม่ได้อีกเหรอ ”เยี่ยเทียนยิ้มแล้วก็ส่ายหน้า เขาไปหน้าเคาเตอร์ในโรงแรมเพื่อนเช็คอินกับพวกของเขา เขามาที่พม่าในนามของหินพนัน ซึ่งการแสดงอย่างผิวเผินนี้ก็ต้องทำ
หลังจากที่หยิบกุญแจห้อง หลิวซีกั๋วหันมามองที่เยี่ยเทียน พูดว่า “อาจารย์ลุง ไหนๆ ก็มาแล้ว คุณก็ลองไปเดินดูที่งานมรกตสิ ไม่แน่ว่าอาจจะได้ของดีกลับไปก็ได้”
“การพนันเป็นหินมรกตทั้งหมดเหรอ? เป็นการพนันทั้งหมดหรือการพนันแบบครึ่งหนึ่ง?”
หลังจากที่ฟังคำพูดของหลิวซีกั๋วแล้ว เยี่ยเทียนก็อดที่จะใจเต้นตุ้บๆ ไม่ได้ ต้องรู้ว่า ถ้าเขาอยากจะใช้กลวิชาในการจัดบ้านพักตากอากาศที่เกาะฮ่องกงนั้น ต้องใช้หินหยกคุณภาพดีไม่น้อย และคุณสมบัติของมรกตจะมีคุณสมบัติที่รองรับพวกวิญญาณ เมื่เทียบกับหยกเท่าไปจะดีกว่า ถ้าหากพนันได้สักสองสามก้อนจริงๆ ก็ประหยัดเงินเยี่ยเทียนไปได้หลายอยู่
หลิวซีกั๋วพูดว่า “วัตถุของพม่าที่นี่เป็นมือแรกทั้งหมด เพิ่งขุดออกมาจากเหมืองแร่ ส่วนใหญ่เป็นการพนันแบบเต็มทั้งหมด อาจารย์ลุงสิ่งที่คุณเห็นครั้งที่แล้ว นั้นคือพวกพ่อค้ามือสองเขามาตัดเอง และพวกเจ้าของที่เอามาจากเหมืองแร่ กลับชอบขายแบบพนันวัตถุทั้งหมด
หินดั้งเดิมที่ห่อหุ้มด้วยหินอีกชั้น แม้แต่พวกเทพเทวดาก็อยากที่จะแยกแยะออกว่ามีมรกตแฝงด้วยไหม ดังนั้นพวกเจ้าของเหมืองเหล่านั้น ส่วนใหญ่น้อยมากที่จะขายหินที่แกะออกมาแล้ว แบบนี้หลีกเลี่ยงการพนันที้สี่ยงสูงเกินจริง
ต่อให้เป็นอย่างนี้ เปลือกหินที่ไม่ดีขายในราคาที่ต่ำ ส่วนมากมักจะแกะออกมาแล้วขายในราคาหยกที่สูงได้ ที่จริงก็พูดไม่ได้ว่าใครที่ขาดทุนหรือได้กำไรกันแน่
“งั้นก็ช่างเถอะ วัตถุที่พนันทั้งหมดต้องเป็นนักพนันที่ใจกล้า ผมทำไม่ได้หรอก”
เมื่อได้ยินหลิวซีกั๋วพูดแบบนี้ ทันใดนั้นเยี่ยเทียนถึงกับอยากจะกำจัดความคิดหรือการพนันหินทิ้ง ก็เลยปริปากพูดว่า “พรุ่งนี้ผมต้องไปจัดการธุระ เร็วสุดประมาณสามถึงห้าวัน ช้าสุดหนึ่งสัปดาห์ถึงจะกลับมา ถ้าเลยเวลานี้ คุณก็กลับไปเกาะฮ่องกงเองนะ”
เยี่ยเทียนได้ทำนายทริปการเดินทางพม่าในสองสามวันที่ผ่านมา ผลการทำนายไม่ต่างกับโก่วซินเจีย อนาคตยังคลุมเครือไม่สามารถสรุปได้ เยี่ยเทียนก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาก็ไม่กล้าที่จะสรุปว่าจะราบรื่นหรือไม่
หลิวซีกั๋วรับปากแล้วพูดว่า “ครับ ท่านอาจารย์ลุง ถ้าต้องการความช่วยเหลืออะไร คุณโทรศัพท์มาได้ทุกเมื่อนะครับ”
เมื่อโบกไม้โบกมือ เยี่ยเทียนก็ไปหยิบคีการ์ดห้องแล้วพา
หูหงเต๋อพวกเขาทั้งสองคนก็ตรงไปยังลิฟต์ หลิ่วติ้งติ้งก็ตามไปอัตโนมัติ เยี่ยเทียนก็ขี้เกียจจะพูดอะไรทั้งนั้น เกรงว่าอาจารย์หลี่ซั่นหยวนกลับชาติมาก่อน ก็ไม่สามารถทำอะไรยายนี่ได้
แต่หลิ่วติ้งติ้งก็ฝึกวิชาสำนักเสื้อป่านเทพพยากรณ์ตั้งแต่ยังเด็ก หลังจากที่เยี่ยเทียนถ่ายทอดวิชา การฝึกของหลิ่วติ้งติ้งก็ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าไม่ได้เข้าขั้นสูงสุดแบบโจวเซี่ยวเทียน แค่การต่อสู้กับชายที่บึกบึนสามถึงห้าคน ก็ไม่ได้มีปัญหา เล็กน้อยจึงสามารถช่วยธุระของเยี่ยเทียนได้
“ท่านลุง นี่คุณทำอะไรน่ะ”เมื่อเห็นเยี่ยเทียนเข้ามาในห้องแล้วนั่งขัดสมาธิบนเตียง หลิ่วติ้งติ้งก็อดที่จะถามอยากแปลกใจไม่ได้
“ฉันเหนื่อยแล้ว พักผ่อนสักหน่อยไม่ได้เหรอ”
ต่างประเทศไม่เหมือนกับในประเทศ ทุกเรื่องต้องทำอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะจำนวนทองคำมหาศาลพวกนี้ ถ้าหากตกหายไป เกรงว่าพวกมารปีศาจจะแห่เข้ามาเต็มไปหมด ดังนั้นเยี่ยเทียนก็ใช้พลังสัมผัสว่ามีคนติดกล้องวงจรปิดห้องนี้หรือไม่
การบำเพ็ญของเยี่ยเทียนในตอนนี้ หากคนที่อยู่ด้านข้างก็ส่งสายตาเป็นระยะร้อยเมตรไปที่เขา ในใจของเขาก็มีสัญญาณเตือน แม้ว่าอุปกรณ์ดักฟังที่ติดตั้งจะเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แต่ก็ซ่อนการตรวจสอบสัมผัสทั้งหกของเยี่ยเทียนไม่ได้
“หลอกใครล่ะ”หลิ่วติ้งติ้งบ่นพึงพำอย่างไม่พอใจ
“ชู่!”
เยี่ยเทียนจ้องตาเธออย่างไม่พึงพอใจ ปิดตาลงอีกครั้ง ผ่านไปห้าหกนาทีถึงลุกขึ้นจากเตียง พูดว่า “ติ้งติ้งอยู่ห้องหนึ่ง เหล่าหูกับเซี่ยวเทียนและผมอยู่ที่นี่ นั่งเครื่องบินมาครึ่งวันแล้ว เหนื่อยอยากจะพักผ่อน”
ถึงแม้พม่าสร้างอุปกรณ์อำนวยความสะดวกได้แย่มาก เมื่อครู่ที่ผ่านมาตลอดทางไม่เห็นตึกที่มีความสูงมากกว่าสิบชั้นเลยสักตึก แต่โรงแรมกลับสร้างได้ไม่เลว พวกของเยี่ยเทียนอาศัยอยู่หนึ่งห้องแล้วแยกเป็นสองห้องนอน มีห้องน้ำและห้องอาบน้ำในตัว
“ฉันไม่เหนื่อย!”หลิ่วติ้งติ้งอยากอยู่ในห้องนี้ของเยี่ยเทียน
“ไปเหนื่อยก็กลับไปนอนพัก!”หลังจากที่ไล่หลิ่วติ้งติ้งกลับไป เยี่ยเทียนก็หยิบโทรศัพท์แล้วเปิดโทรศัพท์ขึ้น เมื่อเปิดโทรศัพท์ก็มีข้อความสี่ห้าประโยคสั้นๆ ส่งมา ยังไม่ทันได้ดู เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
“ผมคือเยี่ยเทียน”เยี่ยเทียนก็ไปกดปุ่มที่รับสาย
“คุณเยี่ย ผมคือผู้หมวดจางซานคนของนายพลปอกาง มีรถทหารสามคันอยากให้คุณตรวจสอบ ไม่รู้ว่าตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน”ภาษาจีนในเสียงปลายทางไม่ค่อยรื่นหู เหมือนพากลิ่นอายเขตภูเขาหยุนกุ้ยมาด้วย
เยี่ยเทียนคิดสักพัก แล้วพูดว่า “ผมเพิ่งถึงพม่า ตอนนี้อยู่ที่ย่างกุ้ง เอาอย่างนี้พรุ่งนี้คุณเอารถสามคันนี้ส่งนี้ด้านนอกเมืองย่างกุ้งได้ไหม พอถึงเวลานั้นค่อยติดต่อผมอีกที”
ตอนนี้ตัวเขาเองอยู่ต่างประเทศ และการมาครั้งนี้พาหลายคนมาด้วย เยี่ยเทียนจัดการอะไรต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ นั่นเป็นเหตุผลที่เขาไม่ยอมให้มาราไกย์ อู๋เฉินและคนอื่นๆ มาพม่าด้วย พลอยจะไม่ได้ติดร่างแหไปด้วย
“ไม่มีปัญหา งั้นพรุ่งนี้ผมค่อยติดต่อกับคุณเยี่ยอีกที!”ฝ่ายตรงข้ามน่าจะเป็นทหาร พูดกระชับได้ใจความ หลังจากที่รับปากไปก็วางสายโทรศัพท์ลง
เมื่อได้ยินเสียงสายซ้อนมาตามสาย เยี่ยเทียนรีบโทรศัพท์หาถังเหวินหย่วน หลังจากที่เช็คชื่อคนที่ชื่อจางซาน ถึงได้สบายลง
หลังจากเหลือบดูข้อความในโทรศัพท์มือถือ เยี่ยเทียนก็โทรศัพท์หาอู๋เฉิน รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามได้ลงจากเครื่องบินไปแล้ว และก็เข้าพักโรงแรมที่อยู่ไกลกับตัวเองมาก หลังจากที่กำชับอู๋เฉินสองสามประโยคไม่ให้ก่อเรื่อง เยี่ยเทียนก็วางโทรศัพท์มือถือลง
“อาจารย์ พวกเรามาครั้งนี้ มาทำอะไรกันแน่”เมื่อเห็นเยี่ยเทียนเดินบนถนนไปที่โรงแรม โจวเซี่ยวเทียนก็อดไม่ได้ที่จะอยากรู้อยากเห็นอยู่ในใจ
“ทองคำ ฉันมาที่นี่เพื่อค้นหาทองคำที่ญี่ปุ่นซ่อนอยู่ในพม่าในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เหล่าหู เซี่ยวเทียน ก่อนหน้านี้ไม่ได้บอกพวกคุณ เพราะเป็นเรื่องที่สำคัญมาก กลัวว่าข่าวคราวจะรั่วไหลเอา”
พอถึงเวลานี้ เยี่ยเทียนไม่จำเป็นต้องปิดบังทั้งสองคนแล้ว ในขณะนี้เขาก็ได้อธิบายความเป็นไปเป็นมาของเรื่องนี้
……
ตอนที่ 484 อาวุธ
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากที่ฟังเยี่ยเทียนพูดจบแล้ว หูหงเต๋อจึงแบะปากพูดว่า “ฉันรู้ว่านายเป็นคนที่ลงมือเมื่อเห็นเป้าหมายชัดเจนเท่านั้น เมื่อทองคำยี่สิบตันพวกนี้ มิน่าล่ะถึงไม่สนใจที่จะมองปลาเหลืองเล็กๆ ของเมิ่งตาบอดพวกนั้น
หูหงเต๋อเป็นคนวัยหกสิบเจ็ดสิบปี อย่ามองว่าเขาอาศัยอยู่ที่ภูเขาฉางไป๋ซานเป็นเวลาหลายปี แต่ตัวเองและครอบครัวก็มีเงินอย่างน้อยยี่สิบล้านหยวน อีกทั้งไม่กี่วันมานี้ก็หาเงินสิบล้านที่ได้จากการชกมวยใต้ดิน หูหงเต๋อจึงไม่ได้กังวลเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงิน ทองคำยี่สิบตันที่เยี่ยเทียนพูดนั้นเขาไม่ได้สนใจสักนิด
“อาจารย์ ทองคำเยอะขนาดนี้ พวกเราไม่กี่คนรวมกับพวกของพี่อู๋เฉิน จะขนออกไปได้เหรอ”โจวเซี่ยวเทียนกลับคิดเหมือนกับหูหงเต๋อ เมื่อเขานับนิ้วและคิดออกว่าทองคำ 20 ตันเท่ากับ 20,000 กิโลกรัม ปากก็ค้างอยู่อย่างนั้น
เยี่ยเทียนส่ายหน้าแล้วพูดว่า “หาทองคำให้เจอก่อน เรื่องการขนย้ายนั้นผมมีวิธีอื่นอยู่ เอาล่ะ นั่งเครื่องบินมาทั้งวันแล้ว ไปพักผ่อนกันเถอะ”
คนที่เหมือนกับพวกซ่งเฮ่าเทียน ต่อให้รับปากโก่วซินเจียแล้ว ก็จะไม่ผิดคำพูดเด็ดขาด และยังมีเครื่องบินส่วนตัวของหูหงเต๋ออีก การขนเรื่องสำคัญขนาดนี้แบ่งไปฮ่องกงก็น่าจะได้ แบบนั้นก็น่าจะลงมือได้ง่ายขึ้น
สองชั่วโมงกว่า ท้องฟ้าของย่างกุ้งก็ค่อยๆ มืดลง เยี่ยเทียนพาพวกหูหงเต๋อไปกินอะไรสักหน่อยที่ห้องอาหารในโรงแรม หลังจากมองหาพนักงานเสิร์ฟของโรงแรมและขอแผนที่ย่างกุ้ง ตัวเองก็ออกไปจากโรงแรมอย่างเงียบๆ โดยไม่ได้เรียกรถอะไร พลางเดินเล่นคนเดียวบนถนนในย่างกุ้ง
ในฐานะเมืองหลวงของพม่า ย่างกุ้งในยามค่ำคืนมีชีวิตชีวามาก รวมทั้งในขณะนี้เป็นวันเรียกประชุมมรกต แสงไฟที่อยู่ข้างถนน ในบางครั้งสามารถเห็นนักท่องเที่ยวที่มาจากจีนได้ การที่เยี่ยเทียนปรากฎที่นี่ไม่ใช่ไม่เคยคิดมาก่อน
เมื่อเดินมาประมาณครึ่งชั่วโมงกว่า เยี่ยเทียนก็อาศัยแสงไฟในการดูแผนที่ หลังจากดูภูมิประเทศโดยรอบแล้ว ร่างกายก็ได้เดินเข้ามาในตรอกมืดที่ไม่มีไฟ เคาะประตูที่สามตรงกลางซอย
“ใครเหรอ”บทสนทนาเดิมในห้องนั้นหยุดลงกะทันหัน และมีคนถามขึ้นเป็นภาษาอังกฤษ
“ผมคือเยี่ยเทียน!”ในขณะที่เยี่ยเทียนเคาะประตู ก็เอียงตัวเข้าหาประตูอีกด้าน เพราะเมื่อกี้ จู่ๆ ในใจของเขาก็มีสัญญาณเตือนอย่างฉับพลัน แล้วด้านหลังประตูมีปืนหลายกระบอกชี้มาที่เขาเอง
“เอี๊ยด!”ประตูไม้ถูกแง้มออกมา หลังจากที่เห็นใบหน้าของเยี่ยเทียนชัดๆ ช่องว่างประตูก็เปิดใหญ่ขึ้น เยี่ยเทียนก็เข้าไปในประตูด้านข้าง
“อ๋อ บอส ผมคิดว่า หากคุณเข้าสู่โลกทหารรับจ้างแล้ว ไม่มีชีวิตเหมือนคนอื่นได้อีก”
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนเข้ามา มาราไกย์วางปืนกลมือขนาดเล็กที่เขาเล่นลง สีหน้าบนใบหน้าที่แสดงอาการเว่อร์ออกมา แต่ในใจของเขาก็สั่นสะเทือนไปหมด ตัวเขาเองเพิ่งบอกหมายเลขบ้านของเยี่ยเทียนไป ทำไมจู่ๆ เขาถึงหาได้เร็วขนาดนี้ ที่จริงมาราไกย์วางแผนว่าไปหาเยี่ยเทียนที่โรงแรมในวันหลัง
“เตรียมเป็นยังไงบ้างล่ะ”
เยี่ยเทียนโบกไม้โบกมือ เขาไม่สนใจคำประจบประแจงจากชาวต่างชาติ มาราไกย์และคนอื่นๆ กำลังวางกลอุบายในการค้นหาทองคำที่ฝังไว้ในครั้งนี้ ถ้าหากขัดแย้งกับผู้มีอำนาจในท้องถิ่นหรือผู้มีอำนาจอย่างอื่น พวกเขาจะแสดงบทบาทที่ชี้ขาดขึ้นมา
“บอส เรื่องที่พวกเราทำ คุณวางใจได้”มาราไกย์ยิ้มแล้วก็ลุกขึ้น เดินไปที่หน้าประตูห้องและผลักมือเข้าไปด้านใน แล้วพูดว่า “บอส เชิญดูสิครับ!”
“ทำไมต้องทำลับๆ ล่อๆ ด้วย?”เยี่ยเทียนเดินไปที่หน้าประตูอย่างไม่พอใจ มาราไกย์เดินไปเปิดไฟ ห้องที่มีพื้นที่มากกว่าสิบตารางเมตร ทันใดนั้นก็ปรากฏต่อหน้าเยี่ยเทียนอย่างชัดเจน
“เห้ย พวก…พวกนายให้ที่นี่เป็นคลังอาวุธแล้วเหรอ”
เมื่อเห็นการจัดตำแหน่งภายในห้อง ทันใดนั้นเยี่ยเทียนถึงกับตกตะลึง เพราะห้องที่อยู่ต่อหน้าเขานั้น ต่างก็จัดวางไปด้วยอาวุธที่เต็มไปหมด ปืนขนาดใหญ่แบบเซลลูลาร์ ลูกระเบิดขนาดเล็กที่เต็มลังโดยที่ลังไม่ได้ปิดฝาอยู่ กระทั่งมีปืนกลสองหัว เกรงว่าแค่อาวุธที่ตรงนี้ ก็ยังสามารถเกิดสงครามเฉพาะที่เกิดขึ้นได้
“บอส เวลาที่คุณจัดไว้มันค่อนข้างกระชั้นชิด อาวุธที่ขนย้ายมาจากอเมริกามาไม่ทัน ดังนั้น…ผมก็เลยซื้อจากเพื่อนร่วมงานที่อยู่ลาวมาบางส่วน คุณดูสิว่าใช้ได้ไหม”
เมื่อเห็นท่าทางตกใจของเยี่ยเทียน ใบหน้าของมาราไกย์ยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ ที่ผ่านมาเขาถูกเยี่ยเทียนหักหน้ามาตลอด แต่สถานการณ์ที่อยู่ข้างหน้ากลับกัน มาราไกย์เปรียบเสมือนกินแตงโมเย็นๆ ในวันที่อากาศร้อน อย่าพูดถึงว่าจะชื้นใจมากขนาดไหนเลย
ที่จริงแล้วมาราไกย์ต้องการพกพาอาวุธปืนกลมือเพียงไม่กี่ตัว แต่เมื่อได้อาวุธล็อตนี้มา ก็ถือว่าโชคดีเท่านั้น
วันที่สองที่มาราไกย์เดินทางมาถึงพม่า ก็ได้พบกับนายหน้าที่ซื้อขายอาวุธที่คุ้นเคยกันสมัยก่อน กลับได้รู้ว่าพ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่เซียวคุนซาที่สามเหลี่ยมทองคำได้“ยอมจำนน”ข่าวนี้ได้ลุกฮือไปทั่วโลก
ต้องรู้ว่า คุนซาเป็นใหญ่ที่สามเหลี่ยมทองคำมาหลายสิบปี ในช่วงเวลาที่เขามีอำนาจมากที่สุด ควบคุมอาณาจักรยาหนึ่งเดียวอย่างแท้จริง ชายแดนไทยพม่าที่ยาว 400 กิโลเมตร พื้นที่แถบแคบๆ ที่ติดกับจังหวัดเชียงใหม่ เชียงรายและแม่ฮ่องสอนทั้งสามจังหวัดของประเทศไทย และในรัฐฉานตะวันออกในพม่าได้กลายเป็น “อาณาจักรอิสระ” ของเขา
คุนซายังมีทีวีดาวเทียมในอาณาจักรอิสระของเขา โรงเรียนและขีปนาวุธที่ส่งไปยังอากาศ พื้นที่หลบภัยของเขาหลายสื่อได้บอกไว้ว่าอยู่ใน“ที่หลบภัยในป่า” และในนั้นเป็นเมืองหนึ่งเมืองที่มีร้านค้าเต็มไปหมด มีตลาดและถนนหนทางที่ดี
เนื่องจากยาเสพติดของคุนซาขายให้กับต่างประเทศครั้งหนึ่ง คิดเป็น 80% ของการส่งออกยาทั่วโลก เมื่อเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่แค่ประเทศรอบๆ สามเหลี่ยมทองคำที่เกลียดคุนซาจนเข้ากระดูก แม้แต่สหรัฐอเมริกายังเสนอรางวัลนำจับเขาสองล้านดอลลาร์
แต่ภูมิประเทศตรงสามเหลี่ยมทองคำค่อนข้างซับซ้อน ประกอบกับอำนาจที่แข็งแกร่งของคุนซา หลายประเทศรอบสามเหลี่ยมทองคำรวมตัวกันล้อมและปราบปรามเขา แต่ไม่สามารถจับเขาได้ คุนซาที่มีอายุเกือบ 70 ปียังคงเป็นราชาของสามเหลี่ยมทองคำ
ในช่วงปีที่ผ่านมาอายุที่เพิ่มขึ้นของคุนซา การร่วมมือโจมตีของประเทศไทย พม่าและลาวในหลายครั้ง ก็ค่อยๆ บีบขอบเขตอำนาจของคุณซาลง หลังจากเสนอนิรโทษกรรมแก่คุนซาในพม่าแล้ว ในปีนี้เขานำทหารของเขายอมแพ้อย่างเป็นทางการให้กับทางพม่า ตอนนี้เขาถูกกักบริเวณในบ้านในย่างกุ้งพร้อมเมียสี่คน
การยอมแพ้ของคุนซานี้ มีผลกระทบอย่างมากต่อสถานการณ์พม่าลาวและไทย เพราะคุนซายอมจำนนต่อพม่า ดังนั้นอาวุธปืนและอาวุธในสถาบันทหารขนาดใหญ่ของเขา จึงถูกรัฐบาลพม่ายึด
พม่าเป็นรัฐบาลทางการทหาร เดิมทีก็ย่ำแย่อยู่แล้ว หลังจากได้รับอาวุธเหล่านั้นที่ไม่ได้ใช้การมาสักพัก บางคนใช้สิทธิ์ของพวกเขาทันที โดยให้ราคาของผักกาดขาวที่ส่งให้ต่างประเทศให้ใกล้เคียงกับราคาอาวุธของหน่วยทหาร
แค่การที่คุนซายอมจำนนนี้ ขณะนี้พม่ารวมถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังนำไปสู่การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เดิมทีอาวุธที่ขายดีจนเทน้ำเทท่า แต่ตอนนี้กลับขายไม่ออก มาราไกย์ใช้จ่ายแค่หนึ่งแสนดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น ก็สามารถซื้อเสบียงทหารมูลค่าอย่างน้อยหนึ่งล้านดอลลาร์ในอดีตได้
“ผู้ชายคนนี้เป็นตำนานจริงๆ!”หลังจากที่ฟังมาราไกย์พูดถึงชีวิตของคุนซาเสร็จ เยี่ยเทียนก็อดที่จะชื่มชมไม่ได้ ถ้าผู้ชายคนนี้เกิดใน 100 ปีกว่าก่อนหน้านี้ เกรงว่าจะมีความสามารถที่จะโค่นล้มประเทศหนึ่งประเทศได้
“ใช่ แค่คุนซาถูกจับแล้ว ต่อมาทหารรับจ้างในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็น้อยลง!”
มาราไกย์ก็พูดกับเยี่ยเทียนอย่างที่ในใจคิด ต้องรู้ว่า ก่อนที่คุนซายอมจำนน ภารกิจที่เป็นที่ยอมรับมากที่สุดขององค์กรทหารรับจ้างทั่วโลก ก็คือการจับคุนซาและผู้ใต้บังคับบัญชาที่มีการตั้งค่าหัวที่ชัดเจน
แต่ภารกิจการจับคุนซาก็เกือบยี่สิบปี แต่รางวัลการนำจับก็เพิ่มขึ้นทุกปี แต่ชีวิตของคุนซาก็ยังอยู่ดีตั้งแต่ต้นจนจบ ถ้าหากลูกน้องของเขาไม่ได้ทรยศ คุนซาก็คงไม่ยอมที่จะยอมจำนนต่อรัฐบาลพม่าโดยง่าย
“บอส คุณให้พวกเรามาพม่า มาทำอะไรกันแน่ครับ?”
การที่มีอาวุธชุดนี้รองก้น ความกล้าของมาราไกย์มีมากขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย ตอนที่พูดกับเยี่ยเทียน กลับเคารพและค่อยระมัดระวังน้อยกว่าเดิมที่ผ่านมา แน่นอน ในฐานะทหารรับจ้างอาชีพ มาราไกย์ยังคงปฏิบัติตามสัญญาระหว่างเยี่ยเทียนอยู่
“ พรุ่งนี้พวกเราจะไปบาโก คุณกับคนของคุณเดินทางไปก่อน ต้องระวังซ่อนตัวของพวกคุณให้ดีล่ะ”
เยี่ยเทียนก็หยิบแผ่นที่อื่นออกมาหนึ่งแผนที่ แผนที่ตัวอย่างขนาดเล็ก กระทั่งแม่น้ำสายหนึ่งสะพานลูกหนึ่ง หรือเนินเขาสักลูกก็ทำเครื่องหมายออกมา มาราไกย์เดินเข้ามาดูใกล้ๆ ทันใดนั้นถึงกับตกตะลึง เพราะแผนที่ที่เยี่ยเทียนหยิบออกมานั้นเป็นแผนที่ทางการทหารของพม่า
แผนที่แผนนี้เยี่ยเทียนได้มาจากการสานสัมพันธ์กับหูจวิน เป็นหน่วยงานที่ทำขึ้นมาเป็นพิเศษ ในนั้นมีข้อมูลสถิติต่างๆ เกรงว่าจะละเอียดกว่ารัฐบาลพม่าเสียอีก
“บอส บาโกที่ตรงนี้ผมรู้จัก แต่พวกเราจะเจอกันที่ไหนล่ะ”
เมื่อเห็นแผนที่นี้ เตือนให้รำลึกถึงพลังที่แข็งแกร่งของซ่งเวยหลัน ทัศนคติของมาราไกย์ที่มีต่อเยี่ยเทียน ทันใดนั้นถึงกับเปลี่ยนเป็นชื่มชมขึ้นมา แต่ไหนแต่ไรชาวต่างชาติรู้จักแค่เงินทองและอำนาจ ความสามารถที่ติดตัวเยี่ยเทียนและเบื้องหลังของตระกูลเขา ทำให้มาราไกย์ไม่สามารถทำให้ผิดพลาดทั้งหมดได้
เยี่ยเทียนกางแผนที่ทางการทหารที่เป็นความลับสุดยอดของพม่าออก ชี้ไปตำแหน่งหนึ่ง พูดว่า “ตองยี พรุ่งนี้นายต้องใช้เวลาวันหนึ่งที่ผ่านเมืองบาโก ต้องรีบไปถึงตองยี พวกเรารวมตัวกันที่ตองยี!”
ถ้าพูดความจริง การบินไปย่างกุ้งนั้นดีกว่าไปยังมัณฑะเลย์ซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของพม่าโดยตรง เพราะเป็นสถานที่ที่ซ่อนทอง ซึ่งจะห่างจากเมืองมัณฑะเลย์ใกล้หน่อย อย่างไรก็ตามถนนยังเป็นภูเขา ไม่สามารถใช้รถยนต์ได้ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงตัดสินใจขับรถจากย่างกุ้งไป
“ดี พวกเราก็เจอกันที่ตองยีตรงนี้”
มาราไกย์พูดไปก็หยิบวัตถุที่ดูเหมือนเครื่องอ่านบัตรเครดิตตรงข้างโต๊ะ ขยับไปขยับมาก็มีเสียง“ติ๊ด”ออกมา หน้าจอ LCD ขนาดเล็กปรากฏขึ้นในเครื่องนั้น จู่ๆก็เป็นภาพแผนที่นั้นอย่างชัดเจน
ตรงแผนที่ก็มีปุ่มกลมๆ ที่ล็อคอยู่ด้านข้าง เขียนชื่อภาษาอังกฤษตรงนี้ว่า“ตองยี” และก็คาดไม่ถึงว่าการแสดงผลของแม่น้ำและภูเขา ดูเหมือนว่าจะละเอียดแม่นยำกว่าแผนที่ทางการทหารของเยี่ยเทียน
……
ตอนที่ 485 บุพเพสันนิวาส
โดย
Ink Stone_Fantasy
“นี่คืออะไร”
เยี่ยเทียนมองดูสิ่งของในมือของมาราไกย์อย่างสงสัย เขาติดหนี้น้ำใจหูจวินไม่น้อยในการหาแผนที่นี้มาได้ และภูมิทัศน์ของภูเขาและแม่น้ำที่แสดงอยู่ในมือของมาราไกย์ คาดไม่ถึงว่าแผนที่นี้จะละเอียดกว่าของเขา
“จากหน่วยสืบราชการลับของอังกฤษ แหะแหะ บอส สิ่งนี้มีไว้สำหรับ 007 ที่ใช้ในภาพยนตร์เท่านั้น!”
มาราไกย์ยิ้มขึ้นอย่างภาคภูมิใจ แต่เขาไม่ได้พูดโม้อะไร สิ่งที่เขามีอยู่ในมือคือระบบระบุตำแหน่งดาวเทียม GPS รุ่นล่าสุดจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของอังกฤษ สามารถเชื่อมต่อกับดาวเทียมตรวจสอบในท้องฟ้า เพื่อใช้การตรวจสอบเฉพาะจุดบนพื้นดิน
ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ระบบนี้จะถูกใช้อย่างกว้างขวางในบ้านและรถยนต์ แต่ตอนนี้ ยังเป็นของเทคโนโลยีทางทหารที่ทันสมัยที่สุด หากไม่ใช่ทีมทหารรับจ้างสี่คนของมาราไกย์ที่เป็นอดีตสายลับอังกฤษ เขาก็คงหาสิ่งนี้ไม่ได้
“นี่คือทะเลสาบไรน์ในตองยี พวกเราก็มาพบกันที่นี่นะ”
สำหรับพม่าแล้ว มาราไกย์คุ้นเคยมากกว่าเยี่ยเทียน ชี้ไปยังจุดหนึ่งบนแผนที่แล้วพูดว่า “ทะเลสาบไรน์ครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ มีเกาะลอยจำนวนมากที่เกิดจากการสะสมของพืชน้ำที่เน่าเปื่อยในทะเลสาบ ชาวอินดาท้องถิ่นปลูกพืชและสร้างบ้านบนเกาะลอย และยังมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากในฤดูกาลนี้ และมีคนสามหรือห้าสิบคนที่อาศัยอยู่ในที่นี่ ต่างก็ไม่สะดุดตาอะไร”
เยี่ยเทียนได้ตรวจสอบที่ตั้งของทะเลสาบไรน์และพยักหน้าแล้วพูดว่า “ดี พรุ่งนี้ผมจะทิ้งรถทหารไว้ให้พวกคุณคันหนึ่งที่ด้านนอกย่างกุ้ง รถที่พวกคุณขับตอนนี้ไม่ต้องใช้แล้ว ได้ ไม่มีอะไรผมจะกลับไปก่อนแล้วนะ ”
เนื่องจากอาวุธที่อยู่ในห้องนี้ รถที่เล็กนิดเดียวไม่สามารถบรรจุได้หมด เยี่ยเทียนก็กลัวว่าพวกพี่พวกนี้จะถูกคนอื่นจับได้ เพราะมันจะส่งผลต่อแผนการในอนาคตของเขา
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนจะไป มาราไกย์หยิบเครื่องวิทยุสื่อสารขนาดใหญ่กว่าโทรศัพท์นิดหนึ่งที่อยู่บนโต๊ะและส่งให้เยี่ยเทียน พูดว่า “บอส วิทยุสื่อสารเครื่องนี้คุณรับไว้เถอะ ที่นี่ผมมีเครื่องส่งสัญญาณแรงสูง สามารถโทรภายใน 50 ถึง 60 กิโลเมตร ใช้อันนี้ค่อนข้างสะดวก”
ในฐานะทหารรับจ้างชั้นนำของโลก มาราไกย์และคนอื่นๆ ใช้ความสามารถในการจับคู่อุปกรณ์ อุปกรณ์ทั้งหมดที่พวกเขาใช้เป็นอุปกรณ์ที่ดีที่สุดในโลก เปรียบเทียบกับกองกำลังพิเศษในบางประเทศยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ก็เหมือนกับเครื่องวิทยุสื่อสารเครื่องนี้ พวกเขาให้เยี่ยเทียนถือติดตัว และหลายคนก็แบ่งกันติดตั้งหูฟังพร้อมวิทยุสื่อสาร และยังมีประสิทธิภาพที่ป้องกันน้ำได้ ตอนที่ทำสงครามมันสะดวกในการบังคับบัญชาและการประสานงานระหว่างการปฏิบัติงาน ความสามารถซุกซ่อนและปรับใช้ตามสถานการณ์ดีมาก
เมื่อรับสัญญาณเครื่องสื่อสารวิทยุแล้ว เยี่ยเทียนก็ออกจากพวกมาราไกย์ที่กำลังซ่อนตัวอยู่ และกลับไปที่โรงแรม ทันทีที่เปิดประตู ก็มีลมพัดมาปะทะที่หน้า รีบยื่นมือคว้า แต่เก้าอี้กลับบินว่อนเข้ามา
“นี่พวกคุณกำลังทำอะไรกันน่ะ ตอนนี้กี่โมงแล้ว”
เยี่ยเทียนจ้องสักพัก กล้าที่จะเอาโต๊ะเก้าอี้โซฟาที่อยู่กลางห้องรับแขกนี้ย้ายออกไป โจวเซี่ยวเทียนและหลิ่วติ้งติ้งแสดงวิทยายุทธทั้งตัวอยู่ในนี้ หันสายตาไปมองที่หูหงเต๋อที่มองอย่างตื่นตาตื่นใจ เยี่ยเทียนก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มและต่อว่า “ผมว่านะเหล่าหู พวกหนุ่มสาวกำลังเที่ยวก่อกวนคนอื่นไปทั่ว คุณก็อย่าไปสนใจเลย”
ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะอายุห่างกันไม่มาก แต่เยี่ยเทียนก็เคยไปท่องยุทธภพกับอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก หลังจากใจสงบลง เมื่อเปรียบเทียบกับคนวัยกลางคนในวัยสี่สิบไม่แตกต่างกันมาก คำพูดที่เขาออกมานี้ กลับไม่ใช่สิ่งที่ไม่คาดคิด
“หนุ่มสาวเขากำลังเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ฉันจะไปยุ่งอะไรได้”หูหงเต๋อแบะปาก ที่ให้ตรงกับเป้าหมายของตัวเองว่า “เสี่ยวติ้งติ้ง ท่านลุงของเธอมาแล้ว รีบไปต้อนรับเร็ว เมื่อกี้เธอเพิ่งจะเสียเปรียบนะ”
“ใครเสียเปรียบ ไม่ใช่ว่าพละกำลังเขามากกว่าฉันเหรอ”
เมื่อเห็นว่าโจวเซี่ยเทียนอยู่ด้านหลังของตัวเอง สายตาของหลิ่วติ้งติ้งก็หันกลับมา ยกขาขึ้นแล้วไปเตะตูดของโจวเซี่ยวเทียน แค่นึกไม่ถึงว่าหลังจากที่โจวเซี่ยวเทียนเข้าสู่วิชาลับแล้ว ปฏิกริยาตอบสนองกลับไวอย่างมาก ขาขวาก้าวออกไปเล็กน้อย มือยื่นมาจับกระดูกข้อเท้าของหลิ่วติ้งติ้ง
“เธอก่อความวุ่นวายพอหรือยัง ฉันกำลังฝึกกังฟูอยู่ในห้อง เธอมาหาเรื่องให้รบกวนฉัน!”
หลิ่วติ้งติ้งทำให้โจวเซี่ยวเทียนลำบากจนไม่รู้จะพูดอะไรออกมา พูดไปใช้บริเวณมือขวาในการจับ หลิ่วติ้งติ้งก็ควบคุมร่างกายตัวเองไม่ได้ พุ่งเข้าไปข้างหน้า จิตสำนึกของโจวเซี่ยเทียนประคองด้วยมือซ้าย ทันใดนั้นร่างของหลิ่วติ้งติ้งก็ไปอยู่ในอ้อมอกของเขา
“นาย…นายรังแกคนอื่น”
เมื่อรับรู้ถึงมือที่ใหญ่ของโจวเซี่ยวเทียนที่กำลังโอบกอดตัวเองอยู่ ใบหน้าของหลิ่วติ้งติ้งก็อดที่จะหน้าแดงขึ้นไม่ได้ ตอนที่เธออยู่ที่เกาะฮ่องกงก็มักจะหาคนแลกเปลี่ยนกลยุทธอยู่เป็นประจำ สัมผัสร่างกายมาไม่น้อย แต่ตอนนี้ในใจกลับรู้สึกปวดๆ เกิดอาการชา เป็นครั้งแรกที่ในชีวิตรู้สึกได้
“ผมรังแกคุณเหรอ” ในขณะที่โจวเซี่ยวเทียนพักการโจมตี จู่ๆ ก็รู้สึกได้ว่ามือขวาของเขาอ่อนลง ทันใดนั้นถึงกับตะลึง คาดไม่ถึงว่าได้วางมือลงไปแล้ว
“เซี่ยวเทียน ผมคืออาจารย์ลุง มารังแกหลานสาวอาจารย์ได้ยังไง”
“ลุง คุณก็รังแกฉันเหมือนกัน ใครเป็นหลานสาวคุณเหรอ”ตั้งแต่เด็กหลิ่วติ้งติ้งก็มีนิสัยเหมือนเด็กผู้ชาย เมื่อเยี่ยเทียนพูดขึ้นมาหน้าก็แดงขึ้น ร่างกายจึงค่อยๆ ออกห่างจากอ้อมกอดของโจวเซี่ยเทียน
“แค่กๆ ฟังฉันพูดจบก่อนไม่ได้เหรอ”
เมื่อเห็นฉากข้างหน้า เยี่ยเทียนถึงกับทำกระแอมเสียงแล้วพูดต่อว่า “ถึงแม้วิชาของติ้งติ้งจะถูกส่งต่อโดยตัวของศิษย์พี่เอง แต่ยังไม่ได้ไหว้ครู นับพวกคุณเป็นพี่เป็นน้องน่าจะเหมาะสมกว่า พวกเราสำนักพยากรณ์เสื้อป่านมักทำอะไรตามใจชอบ ถ้าพวกคุณมีใจชอบพอกัน อาจารย์อย่างฉันไม่คัดค้านพวกคุณหรอก!”
ถึงแม้เยี่ยเทียนจะรู้สึกกับเป็นพี่ชายคนแรก แต่ตอนที่อยู่ท่าอากาศยานฮ่องกงโจวเซี่ยเทียนได้ข้อร้องหลิ่วติ้งติ้ง เยี่ยเทียนก็ยักคิ้วหลิ่วตาถึงความแปลกๆ ของทั้งสองคน เมื่อเห็นเหตุการณ์แบบนี้ มีตรงไหนที่ไม่เข้าใจอีกล่ะ
“ลุง!”
“อาจารย์?”
เยี่ยเทียนพูดคำนี้ออกมา โจวเซี่ยวเทียนและหลิ่วติ้งติ้งร้องออกมาพร้อมกัน ตั้งแต่หลังหูจนถึงต้นคอของโจวเซี่ยวเทียน ราวกับกุ้งมังกรโดนอบก็ไม่ปาน ใบหน้าเมื่อเปรียบเทียบกับหลิ่วติ้งติ้งแดงกว่าหลิ่วติ้งติ้งสามส่วน
แน่นอนว่าโจวเซี่ยวเทียนมีความรู้สึกดีกับหลิ่วติ้งติ้ง และถึงแม้ว่าเขาเป็นคนที่ฝึกวิทยายุทธ แต่นิสัยค่อนข้างอ่อนแอ คนประเภทนี้ปกติแล้วจะแข็งกับความรู้สึกที่ดีต่อผู้หญิง ปลายปีตอนที่เห็นหลิ่วติ้งติ้ง โจวเซี่ยวเทียนก็มีความรู้สึกที่ดีอยู่มาก
ดังนั้นการที่หลิ่วติ้งติ้งตามเยี่ยเทียนมาที่พม่า โจวเซี่ยวเทียนก็ไม่ต้องช่วยพูดอะไรมาก แค่ความรู้สึกสลัวเขาไม่ได้ตระหนักว่าความรู้สึกนั้นคือความรัก ทันใดนั้นเข้าก็ถูกเยี่ยเทียนเจาะกระดาษหน้าต่างนั้นออกมา และรู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาทันที
“มองผมทำไม นี่เป็นเรื่องที่พวกคุณทำขึ้นมาทั้งนั้น ถ้าไม่พอใจ ก็ชกกันต่อสิ ผมกับเหล่าหูยังมีเรื่องที่ต้องปรึกษาหารือกัน ไม่ต้องมาคอยรับใช้แล้ว”เยี่ยเทียนยังไม่ได้ทันมองหูหงเต๋อให้ดีก็ลากมาแล้ว ทั้งสองเดินเข้าไปในห้อง ในห้องรับแขกก็ปล่อยให้โจวเซี่ยวเทียนและหลิวติ้งติ้งอยู่ด้วยกัน
ที่จริงเพราะโจวเซี่ยวเทียนเพิ่งจะอายุ 20 ปี เยี่ยเทียนก็ไม่ได้ทำนายโชคชะตาเนื้อคู่ให้ แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ เยี่ยเทียนได้แต่คำนวณในใจ พบว่าแปดตัวอักษรของเขานั้นสัมพันธ์กับหลิ่วติ้งติ้ง ถึงแม้จะพูดไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าจะเป็นสามีภรรยากัน แต่วันข้างหน้าทั้งสองมีโอกาสที่จะได้อยู่ด้วยกันเป็นส่วนใหญ่
“แหะ ดูไม่ออกเหรอ นายยังจะแสดงศักยภาพในการทำนายเนื้อคู่อีกเหรอ”หลังจากที่เดินเข้ามาในห้อง หูหงเต๋อก็แซวเยี่ยเทียนขึ้น ถึงแม้ว่าจัดลำดับเครือญาติแล้วจะอยู่ต่ำกว่าเยี่ยเทียน แค่เมื่อจัดวางอายุแล้ว เขาก็ไม่กังวลที่จะพูดออกมา
“นายนี้ไม่ใช่จะซื่อขนาดนั้น เห็นทั้งสองคนทะเลาะกันยังไม่แยกจากกันอีก”เยี่ยเทียนมองหูหงเต๋ออย่างไม่สบอารมณ์ แล้วพูดว่า “รีบนอนสิ พรุ่งนี้ต้องออกไปแต่เช้า”
เมื่อถูกเยี่ยเทียนต้าน หูหงเต๋อก็รีบขึ้นบนเตียงด้วยความโกรธแค้น แค่ได้ยินเสียงลมหายใจของเขา เยี่ยเทียนก็รู้ว่าชายชรานอนไม่หลับ
ผ่านมาประมาณหนึ่งชั่วโมงกว่า ประตูที่อยู่ในห้องก็ค่อยๆ ถูกผลักออก โจวเซี่ยวเทียนก็ย่ำเท้าเดินเข้ามา เมื่อลูบคลำข้างเตียง ข้างหูก็ได้ยินเสียงแปลกๆ ของหูหงเต๋อ “ฉันว่านะ คุยกันเป็นยังบ้าง ไม่ได้ยินพวกคุณทะเลาะกัน ทำอะไรอย่างอื่นกันหรือเปล่า”
เมื่อทำให้หูหงเต๋อตื่น โจวเซี่ยวเทียนก็รีบกระโดดขึ้นบนเตียง รีบอธิบายว่า “ที่ไหนกันล่ะ พวก…พวกเราก็นั่งคุยกันตรงนั้ย!”
“พอแล้ว เหล่าหู คุณอย่าทำให้เซี่ยวเทียนตกใจไป เมื่อก่อนเขาก็มีนิสัยเด็ก ถ้าตกใจแล้วกลับไป ผมจะไม่ยกโทษให้คุณเลย!”
เมื่อคิดถึงโจวเซี่ยวเทียนที่มีท่าทางสงบเสงี่ยมเมื่อก่อน เยี่ยเทียนก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้ หลังจากที่โดนหูหงเต๋อตำหนิเสียงดัง พูดว่า “พอแล้ว นอนเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องตื่นเช้า ไม่กี่วันมานี้กะปรี้กะเปร่ามาทั้งวัน ฉันรู้สึกไม่ค่อยดี คาดว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“อาจารย์ งั้น…งั้นผมกับหลิ่วติ้งติ้ง ไม่ได้มีปัญหาอะไรจริงๆ”
เยี่ยเทียนไม่ถามอะไรต่อ เพราะโจวเซี่ยวเทียนรับมือคนเดียวไม่ได้ หลังจากที่นอนบนเตียงแล้วพลิกไปพลิกมา อดไม่ได้ที่ยื่นมืออีกข้างแตะเยี่ยเทียนที่กำลังนั่งสมาธิอยู่บนเตียง
“มีปัญหาอะไร”
เยี่ยเทียนรู้ว่าเด็กคนนี้แทบจะทนไม่ได้ ในขณะนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “หลิ่วติ้งติ้งเป็นหลานสาวของศิษย์พี่จั่วนั่นไม่ใช่เรื่องจริง แต่เขาไม่ได้ไหว้ฝากตัวเป็นศิษย์อาจารย์จั่ว ลำดับการเป็นญาติในโลกนี้กับเป็นลูกศิษย์นั้นไม่เหมือนกัน นายก็วางใจเถอะ”
ตอนนี้กับเมื่อก่อนไม่เหมือนกัน การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก่อให้เกิดมลภาวะอย่างมากต่อสภาพแวดล้อมของพื้นที่ วิญญาณโลกและสวรรค์เบาบางขึ้น
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หลายสิ่งหลายอย่างที่ตั้งใจจะเปลี่ยนแปลง เรื่องบังเอิญค่อนข้างที่ค่อนข้างแข็ง เยี่ยเทียนก็ทำนายคาดเดาออกมาได้ยาก ดังนั้นนี่ถึงไม่กล้าบอกโจวเซี่ยวเทียนเรื่องทำนายดวงชะตาเนื้อคู่เขากับหลิ่วติ้งติ้ง
แต่เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนให้คำมั่นสัญญา โจวเซี่ยวเทียนถึงกับสบายใจ ไม่ได้สูดลมหายใจยาวๆ กลับเข้าสู่สมาธิขั้นสุด แต่เยี่ยเทียนก็อดไม่ได้ที่จะแอบพยักหน้า พรสวรรค์ของลูกศิษย์คนนี้ถือว่าไม่เลว
หลังจากที่ตื่นนอนวันที่สอง เยี่ยเทียนก็โทรศัพท์หาลูกน้องของปอกาง เมื่อนัดเจอกันที่ทางด้านเหนือของเจดีย์ชเวดากองที่เป็นจุดท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของย่างกุ้งออกไปอีกสิบกิโลเมตร หลังจากนั้นก็เรียกรถบัสขนาดใหญ่ของโรงแรม
ที่เยี่ยเทียนต้องระมัดะวังเช่นนี้ ไม่ได้เป็นห่วงวัลว่าฝ่ายนั้นจะเป็นศัตรู แต่กลัวว่ารัฐบาลพม่าจะได้ยินข่าวลืออะไร เพราะถ้าหากรัฐบาลพม่ารู้เรื่องทองคำเข้า เกรงว่านายพลปอกางเป็นคนแรกที่จะทำลายเขาจนสิ้นซากได้
……
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น