หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 480-481
บทที่ 480 คนแรกอย่างนั้นหรือ!
โดย
Ink Stone_Fantasy
หวังเป่าเล่อรู้สึกเขินอายเล็กน้อยขณะที่ยังถือแหวนสื่อสารอยู่ หลังจากที่พึมพำอีกสองสามคำ ชายหนุ่มก็เร่งรีบออกจาโถงใหญ่ของตำหนักหลอมโอสถเพื่อมุ่งหน้าไปยังตำหนักประมุขสำนักที่ตั้งอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่งบนเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง
เมื่อไปถึง หวังเป่าเล่อเห็นว่าประมุขสำนักกำลังทำสมาธิอยู่ ชายหนุ่มเพ่งพิจารณาใบหน้าของประมุขสำนัก เขาไม่ได้พูดถึงเรื่องชื่อ “เจ้าน้อย” และเดินไปทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ประมุขสำนัก ชายหนุ่มเริ่มถามเกี่ยวกับเรื่องขั้นกำเนิดแก่นในของเขาและเคล็ดวิชาฝึกปราณต่างๆ
“เป่าเล่อ สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์มีเคล็ดวิชาฝึกปราณสำหรับขั้นกำเนิดแก่นในอยู่ 79 เคล็ดวิชา แบ่งออกเป็นระดับชั้นยอดถึงชั้นสามัญ มีระดับชั้นยอดอยู่เจ็ดเคล็ดวิชา ระดับชั้นเยี่ยมอยู่…” ประมุขสำนักจ้องมองหวังเป่าเล่ออย่างมีนัย ก่อนจะหยิบแผ่นหยกและยื่นให้เขาแทน
ดวงตาของหวังเป่าเล่อลุกโชนเมื่อได้รับมา ชายหนุ่มรีบเปิดอ่านทันที
แผ่นหยกนั้นไม่ได้มีรายละเอียดการฝึกเคล็ดวิชา มีเพียงข้อดีและข้อด้อยของแต่ละเคล็ดวิชาเท่านั้น และยังมีข้อมูลเกี่ยวกับเคล็ดวิชาที่สมบูรณ์และไม่สมบูรณ์ที่ตกหล่นขาดหายด้วย
เมื่ออ่านไปสักพัก หวังเป่าเล่อก็เริ่มจะขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย เคล็ดวิชาที่สมบูรณ์ทั้ง 79 นั้นดูธรรมดายิ่ง แม้กระทั่งระดับชั้นยอดทั้งเจ็ดก็ยังไม่น่าตื่นเต้นเท่าใดนัก ไม่อาจเทียบได้กับวิชาแห่งศาสตร์มืด หรือกระทั่งกระบวนท่าเต๋าสายฟ้าขั้นต้นด้วยซ้ำ
มีอยู่สองเคล็ดวิชาที่ดูพอใช้ได้ แต่เคล็ดวิชาแรก เคล็ดวิชาวิถีแห่งหมอก ดูจะมุ่งเน้นไปที่ความเร็วและความศักดิ์สิทธิ์มากกว่า มันเป็นเคล็ดวิชาฝึกตนพื้นฐานของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์และเป็นเคล็ดวิชาที่ผู้อาวุโสขั้นกำเนิดแก่นในส่วนใหญ่เลือกฝึกฝน
ดูแล้วไม่เหมาะกับหวังเป่าเล่อเท่าใดนั้น ประการแรก เขามีแก่นในอัคนี ประการที่สอง ชายหนุ่มได้พัฒนารูปแบบการต่อสู้ที่ไม่เหมือนใครขึ้นมาตั้งแต่เริ่มฝึกปราณ มันเป็นรูปแบบที่ทรงพลังซึ่งไม่เข้ากับสารัตถะของวิถีแห่งหมอกแม้แต่น้อย
อีกเคล็ดวิชาหนึ่งคือศาสตร์แห่งการเห็นธรรมที่ผู้อาวุโสขั้นสูงสุดร่วมออกแบบ หวังเป่าเล่อเพียงมองปราดเดียวก็เลิกสนใจทันที เขาไม่อยากกลายเป็นหนึ่งในผู้ฝึกตนของสาขาปรัชญาเต๋า
ทำให้หวังเป่าเล่อเจองานหนักในการเลือก มีเคล็ดวิชาดีๆ อยู่บ้างในเคล็ดวิชาที่ไม่สมบูรณ์ แต่เพราะมีข้อมูลหายไปมากทำให้ไม่อาจเลือกฝึกฝนได้
เคล็ดวิชาที่หวังเป่าเล่อได้อ่านมาจากนิมิตมืดนั้นเกี่ยวข้องกับวิชาแห่งศาสตร์มืดทั้งสิ้น วิชาที่ไม่เกี่ยวกับศาสตร์มืดนั้นสงวนไว้สำหรับขั้นจิตวิญญาณอมตะขึ้นไปเท่านั้น หวังเป่าเล่อยิ่งขมวดคิ้วหนักขึ้นอีก
“ประมุขสำนักขอรับ ข้าฝึกฝนกระบวนท่าเต๋าสายฟ้าขั้นต้นตั้งแต่อยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่น แล้วมันมีกระบวนท่าเต๋าสายฟ้าขั้นกลางอยู่หรือไม่” หวังเป่าเล่อไม่ได้ถามคำถามที่สองออกไป…ว่าหากไม่มีแล้ว จะยอมให้เขาฝึกขั้นต้นทำไมกัน
“กระบวนท่าเต๋าสายฟ้าเป็นเคล็ดวิชาที่เราได้รับมาจากเศษชิ้นส่วนที่ค้นพบในเขตอัสนีของสำนัก แน่นอนว่าเรามีขั้นกลาง “สีหน้าของประมุขสำนักยังคงเรียบเฉย เขาดึงแผ่นหยกอีกแผ่นขึ้นมาจากกำไลคลังเก็บแล้วยื่นให้หวังเป่าเล่อ ภายในแผ่นหยกคือกระบวนท่าเต๋าสายฟ้าขั้นกลาง
หวังเป่าเล่ออ่านจนจบและมีสีหน้าไม่แน่ใจ ชายหนุ่มเงยศีรษะขึ้นมองประมุขสำนัก ในเมื่อพวกเขามีกระบวนท่าเต๋าสายฟ้าขั้นกลาง ที่ดูเผินๆ แล้วเหมือนเป็นเคล็ดวิชาที่ดีทีเดียว ชายหนุ่มจึงไม่แน่ใจว่าเหตุใดประมุขสำนักจึงไม่มอบเคล็ดวิชานี้ให้เขาตั้งแต่ต้น
ประมุขสำนักเข้าใจความเคลือบแคลงในสีหน้าของหวังเป่าเล่อ ชายชราโคลงศีรษะพลางถอนหายใจ
“เป่าเล่อ พวกเราตั้งใจจะให้เจ้าบรรลุกระบวนท่าเต๋าสายฟ้าขั้นต้น แล้วเมื่อเจ้าบรรลุขั้นกำเนิดแก่นใน เจ้าจึงจะได้ฝึกกระบวนท่าเต๋าสายฟ้าขั้นกลาง แม้ว่าเราจะไม่มีขั้นสุดท้ายของเคล็ดวิชานี้ แต่เราเชื่อว่า หากวันหนึ่งเจ้าบรรลุขั้นจุติวิญญาณ…ก็ไม่น่าจะเป็นการยากสำหรับเจ้าที่จะเรียนรู้เคล็ดวิชาอื่นได้
“ถึงกระนั้น ไม่มีใครคาดคิดว่าเจ้าจะบรรลุขั้นกำเนิดแก่นในอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ แถมยังมีพลังมหาศาล นี่จึงเป็นสาเหตุว่า…แม้กระบวนท่าเต๋าสายฟ้าขั้นกลางจะเป็นเคล็ดวิชาที่ทรงพลัง มันก็ยังไม่ดีที่สุดสำหรับเจ้า อันที่จริงแล้ว มันอาจส่งผลให้ความก้าวหน้าในการฝึกปราณและความสามารถในการต่อสู้ของเจ้าอ่อนแอ่ลงก็เป็นได้!”
“นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมข้าจึงลังเลและไม่ได้ให้เคล็ดวิชานี้กับเจ้าไปตั้งแต่ต้น”
หวังเป่าเล่อมีสีหน้าครุ่นคิดหลังจากที่ได้ฟังประมุขสำนักพูดจนจบ ชายหนุ่มวางแผ่นหยกกระบวนท่าเต๋าสายฟ้าขั้นกลางลงและหันไปมองหน้าประมุขสำนัก ชายชราต้องได้พูดคุยกับผู้อาวุโสสูงสุดมาแล้วก่อนที่จะมาบอกเขาเรื่องนี้ พวกเขาต้องตัดสินใจเรื่องเคล็ดวิชาฝึกตนสำหรับเขามาก่อนแล้วเป็นแน่
“เคล็ดวิชาฝึกตนของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ถือเป็นที่หนึ่งในสหพันธรัฐ แต่ว่านี่ก็เป็นเพียงในสหพันธรัฐเท่านั้น ตามการคาดคะเนของเรา หากเราจะเทียบเคล็ดวิชาเหล่านี้กับอารยธรรมโบราณอื่นๆ พวกมันก็…จะดูล้าหลังและโบราณไปมากทีเดียว!
“เคล็ดวิชาที่ทรงคุณค่าอย่างแท้จริงคืออันที่ไม่สมบูรณ์ และเป็นเรื่องยากที่จะปลดปล่อยพลังที่แท้จริงของมันได้…” ประมุขสำนักยิ้มบางๆ เมื่อเห็นหวังเป่าเล่อยังคงเยือกเย็นและไม่แสดงท่าทีเดือดร้อนรำคาญใจ
“แม้กระนั้น ในฐานะหนึ่งในพันธุ์กล้าสหพันธรัฐ ในอนาคตอันใกล้นี้ เจ้าก็อาจจะมีโอกาสได้ครอบครอง…เคล็ดวิชาฝึกตนที่เหนือกว่าเคล็ดวิชาอื่นๆ ที่มีอยู่ในสหพันธรัฐก็เป็นได้!” ในวินาทีเดียวกันนั้นเอง ประมุขสำนักยกมือขวาขึ้นและชี้มือขึ้นไปบนฟ้าอย่างล่องลอย
หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงและเงยหน้ามองตามมือไป บนท้องฟ้าด้านนอก สิ่งที่ปักทะลุดวงอาทิตย์ยามเที่ยงที่ร้อนระอุ จะเป็นอื่นใดไปไม่ได้นอกจากกระบี่สำริดเขียวโบราณนั่นเอง!
ภาพในใจหวังเป่าเล่อค่อยๆ ชัดเจนขึ้น เมื่อเขาเริ่มเดาเรื่องที่ประมุขสำนักและผู้อาวุโสสูงสุดพูดคุยกันก่อนหน้านี้ออก สิ่งนี้หมายความว่า…แผนพันธุ์กล้าสหพันธรัฐกำลังจะเริ่ม ปฏิบัติการดวงอาทิตย์ปักกระบี่และความพยายามจะขึ้นไปบนกระบี่สำริดเขียวโบราณก็กำลังจะเริ่มต้นขึ้นเช่นกัน!
สหพันธรัฐได้พัฒนาอารยธรรมการฝึกตนจากการรวบรวมเศษชิ้นส่วนด้ามจับของกระบี่สำริดเขียวโบราณมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว ทรัพยากรและเคล็ดวิชาฝึกตนที่พบเจอบนกระบี่สำริดเขียวโบราณได้สร้างโอกาสอันยิ่งใหญ่เหนือจินตนาการให้กับเหล่าผู้ฝึกตนจากสหพันรัฐทั้งหลาย
“เจ้าเก็บกระบวนท่าเต๋าสายฟ้าขั้นกลางไว้ก่อน หากเป็นไปได้…ข้าก็ยังอยากให้เจ้าได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาที่จะเป็นประโยชน์กับคนที่แข็งแกร่งเช่นเจ้า อย่างน้อยๆ เจ้าก็จะได้ไม่แพ้ผู้ฝึกตนรุ่นใหม่ๆ จากอารยธรรมอื่นๆ นับไม่ถ้วนในจักรวาลนี้!” ประมุขสำนักพูดอย่างตั้งใจ เขาจ้องมองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาเปี่ยมความหวัง มีบางสิ่งที่เขายังคงเก็บงำไว้ในใจ และผู้อาวุโสสูงสุดก็ไม่ได้พูดเช่นกัน อย่างไรก็ดี ทั้งสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิิทธิ์ก็เห็นด้วยกับการตัดสินใจนี้
หวังเป่าเล่อเป็นความหวังดวงใหม่ของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ชายหนุ่มกำลังจะเดินตามรอยเท้าของหลี่ซิงเหวินและกลายมาเป็นหนึ่งในเสาหลักของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์
หวังเป่าเล่ออาจไม่ได้ล่วงรู้ถึงการตัดสินใจของบรรดาผู้บริหารระดับสูงของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ในครั้งนี้ แต่ชายหนุ่มก็สัมผัสได้ถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นระหว่างการมาเยือนของเขา หลังจากที่ใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนแล้ว เขาก็เลือกจะเก็บกระบวนท่าเต๋าสายฟ้าขั้นกลางไว้แล้วกล่าวลาประมุขสำนัก ทว่าเมื่อหวังเป่าเล่อกำลังจะเดินออกไปนั่นเอง ประมุขสำนักก็พูดขึ้นมาว่า “เป่าเล่อ ข้าไม่แน่ใจว่าผู้อาวุโสสูงสุดได้บอกเจ้าหรือยัง แต่อย่าเพิ่งกลับดาวอังคารเสียเล่า อยู่ที่สำนักก่อน…เพราะว่าท่านกำลังจะบรรลุขั้นแล้ว!
“ท่านจะกลายเป็นคนแรกบนโลกที่บรรลุจากขั้นกำเนิดแก่นในสู่ขั้นจุติวิญญาณ เมื่อถึงเวลานั้น ตัวแทนจากกลุ่มอำนาจการเมืองทั้งหมดจะมาที่นี่ จากการคาดเดาของท่าน ณ เวลาที่ท่านบรรลุขั้นนั้น ปราณวิญญาณจำนวนมหาศาลจะถูกดึงดูดมาที่กายท่าน สิ่งนี้ถือเป็นโอกาสสำหรับบรรดาศิษย์ทุกคน
“โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่อยู่ในขั้นกำเนิดแก่นใน นี่เป็นโอกาสสำหรับเราที่จะเรียนรู้จากประสบการณ์และบรรลุธรรม!”
ดวงตาของหวังเป่าเล่อถึงกับหรี่ลงเมื่อได้ยิน ชายหนุ่มไม่ได้แปลกใจที่ได้ยินว่าผู้อาวุโสสูงสุดกำลังจะบรรลุขั้นในการฝึกปราณ เขามองออกมานานแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจคือเมื่อประมุขสำนักพูดว่า ท่านจะเป็นคนแรกที่บรรลุขั้นจุติวิญญาณ”
“คนแรกเลยหรือขอรับ” หวังเป่าเล่อโพล่งออกมาทันที ชายหนุ่มจำสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากโศกนาฏกรรมบนดาวพุธได้ดี แม้ว่าเขาจะถือสันโดษอยู่ แต่เขาก็เปิดชมสุนทรพจน์ของผู้นำสหพันธรัฐและได้ยินเรื่องผู้อาวุโสขั้นจุติวิญญาณที่กำลังค้นหาผู้ฝึกตนจากต่างดาวทั่วระบบสุริยะ
“ใช่แล้ว เป็นชาวโลกคนแรกอย่างไรเล่า!” ประมุขสำนักจ้องมองหวังเป่าเล่อด้วยดวงตาที่เปี่ยมความหมาย ราวกับว่าเขามีความกังวลบางประการเกี่ยวกับการเปิดเผยรายละเอียดมากไปกว่านี้ขณะที่ยังอยู่บนโลก เขาไม่ได้อธิบายสิ่งใดเพิ่มเติม
คำใบ้ของเขาชัดเจนยิ่ง หวังเป่าเล่อไม่ควรจะได้รับตำแหน่งขุนนางระดับสองชั้นรองมาในระยะเวลาอันสั้นเพียงนี้หากไม่สามารถอ่านคำใบ้นี้ออก นัยน์ตาเขาฉายแวววาบขึ้นมาแทบจะในทันที ชายหนุ่มรู้ถึงคำตอบที่ไม่ได้ทำให้เขาตกใจแต่อย่างใด
ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณผู้นี้อาจจะมาจาก…กระบี่สำริดเขียวโบราณก็เป็นได้! หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงขณะครุ่นคิด หลังจากนั้นพักหนึ่ง ชายหนุ่มก็ยกมือคารวะประมุขสำนัก และหันหลังเดินจากมา
หวังเป่าเล่อเดินไปมาอยู่ในสำนักหลังออกมาจากตำหนัก เขายิ้มบาง พลางทักทายศิษย์น้องชายหญิงที่เดินผ่าน หากเป็นเวลาอื่นเขาคงหยอกล้อกับพวกเขาไปแล้ว แต่ตอนนี้ชายหนุ่มมีบางอย่างในใจ แม้ว่าเขาจะไม่ได้เรียนรู้สิ่งใดมากนักจากการกลับมาที่นี่ แต่ก็เก็บข้อมูลมาได้มากทีเดียว
ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณจากกระบี่สำริดเขียวโบราณผู้นี้อาจจะไม่ได้มาร้ายกับเรา หาไม่แล้ว ด้วยพลังรบของสหพันธรัฐในปัจจุบัน อาจเป็นการยากที่เราจะป้องกันตนเองจากเขาได้…
ช่างน่าสนใจจริงๆ ไม่มีข่าวคราวใดๆ เพิ่มเติมเลยหลังจากที่พวกเขาประกาศแผนพันธุ์กล้า แต่ตอนนี้หลังจากที่มีความคืบหน้าในการค้นคว้าเรื่องระเบิดต้านทานวิญญาณของปรมาจารย์เจ้าและเมื่อผู้อาวุโสสูงสุดได้บรรลุขั้นการฝึกตน…
หรือพวกเขาตั้งใจจะเริ่มแผนพันธุ์กล้าของสหพันธรัฐในตอนนี้…หวังเป่าเล่อหรี่ตา แม้ว่าจะมีเบาะแสอยู่บ้าง แต่หากคิดด้วยวิธีปกติก็ยังยากที่จะฟันธงว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้นอยู่กันแน่ ถึงกระนั้น หากชายหนุ่มใช้ความรู้ที่เรียนมาจากอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูง ทุกอย่างก็ดูสมเหตุสมผลขึ้นในทันใด
ขณะที่หวังเป่าเล่อยังคงจมอยู่ในความคิด ชายหนุ่มก็พลันได้ยินเสียงคำรามที่เปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นยินดีดังกระหึ่มมาจากที่ไกลออกไป เสียงอุทานด้วยความตื่นใจและตื่นเต้นสะท้อนก้องไปทั่วและขัดจังหวะความคิดของเขา
หวังเป่าเล่อจำเสียงคำรามที่คุ้นเคยนั้นได้ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นและเห็นวานรเพชรมีปีกบินถลาออกมาจากหมู่เมฆบนท้องฟ้าพุ่งตรงเข้ามาหาเขา
“เพชรน้อย!” หวังเป่าเล่อหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างยินดี ชายหนุ่มก้าวไปข้างหน้าก่อนจะกระโจนขึ้นไปหาเจ้าวานรเพชร
บทที่ 481 ยอดดวงใจ
โดย
Ink Stone_Fantasy
วานรเพชรเบื่อหน่ายยิ่งนักช่วงที่หวังเป่าเล่อไม่อยู่ บรรดาศิษย์ต่างก็ทั้งเคารพทั้งกลัวเจ้าวานร ทำให้ไม่มีใครกล้ามาเล่นด้วย มันจึงคิดถึงหวังเป่าเล่อหนักขึ้นไปอีก
ยิ่งไปกว่านั้น บรรดาหุ่นเชิดของวานรเพชรก็พังหมดเพราะมันเล่นด้วยแรงเกินไป เจ้าวานรไม่ได้รับหุ่นเชิดตัวใหม่มาเป็นเวลานานแล้ว มันจึงคิดถึงสหายรักเช่นหวังเป่าเล่อมากขึ้นทุกที
เดงนั้นมื่อมันได้กลิ่นหวังเป่าเล่อ เจ้าวานรเพชรก็ทั้งดีใจทั้งวุ่นวายใจ มันส่งเสียงร้องคำรามพลางวิ่งตรงเข้าไปหาชายหนุ่ม พลังปราณของวานรเพชรในขณะนี้อยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นกลาง
หวังเป่าเล่อหัวเราะอย่างเปี่ยมสุขและวิ่งเข้ามายืนเคียงข้างวานรเพชรอย่างรวดเร็ว แม้ว่าชายหนุ่มจะตัวเล็กกว่า แต่รัศมีของเขาก็รุนแรงกว่าของวานรเพชรมากนัก แต่หวังเป่าเล่อก็ตัดสินใจลดพลังของรัศมีลง พลางกระโจนขึ้นไปบนฟ้าและลงมานั่งบนบ่าของเจ้าวานรพอดิบพอดี พลางยกมือตบไหล่มันอย่างรักใคร่
วานรเพชรมีความสุขเสียจนจามออกมาไม่หยุด มันยกมือขึ้นทุบอกเสียงดัง ก่อนจะจ้องมองหวังเป่าเล่อด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ
“ข้าเข้าใจแล้ว!” หวังเป่าเล่อหัวเราะก่อนจะยกมือขวาขึ้นโบก ทันใดนั้นหุ่นเชิดสามตัวก็ร่วงลงมาจากกระเป๋าคลังเก็บของชายหนุ่ม ทันทีที่เจ้าวานรเห็นหุ่นเชิดทั้งสามก็ส่งเสียงคำรามด้วยความตื่นเต้นยินดี ก่อนจะกอดหุ่นเอาไว้แน่น เมื่อมันหันมองหวังเป่าเล่อ สายตาของมันนั้นเปี่ยมไปด้วยความรักใคร่เสียยิ่งกว่าตอนมองเจ้าของเสียอีก
หลังจากทักทายกับวานรเพชรเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็กำลังจะกลับออกไป ในตอนนั้นเอง วานรเพชรได้กลิ่นน่าสงสัยจากกายของชายหนุ่มจึงส่งสีหน้าฉงนมา หากเป็นคนอื่นคงไม่เข้าใจสิ่งที่มันกำลังคิด แต่หวังเป่าเล่อนั้นเป็นผู้ที่ศึกษาวานรเพชรมาอย่างดี หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ชายหนุ่มก็เข้าใจทันที เขาก้มศีรษะลงและหยิบคลังเก็บอสูรขึ้นมา หวังเป่าเล่อเทมันลงและเจ้าลาก็กลิ้งออกมาในทันที
ตั้งแต่กลับมายังโลก หวังเป่าเล่อก็เก็บเจ้าลาไว้ในคลังเก็บอสูรมาโดยตลอด เพราะเมื่อมีบิดามารดาอยู่ใกล้ๆ ชายหนุ่มก็อดกังวลไม่ได้ว่าเจ้าลาจะออกมาทำเรื่องหยาบคายต่อหน้าพวกท่านทั้งสอง เขาคงลืมเจ้าลาไปเสียสนิทหากวานรเพชรไม่ได้จับกลิ่นมันได้เสียก่อน
วานรเพชรจ้องมองเจ้าลาด้วยนัยน์ตาเบิกโพลงพลางส่งเสียงขู่ เจ้าลาที่ยังคงหลับอยู่ ลืมตาขึ้นหลังจากที่ร่วงลงกระแทกพื้น มันงุนงง หลังจากที่มองเห็นวานรเพชรตรงหน้า มันก็กะพริบตาก่อนจะส่งเสียงร้องออกมา
“ลูกข้า!”
“โฮก!”
วานรเพชรคำรามตอบ ทว่าในเวลาไม่นานนัก ทั้งลาและวานรเพชรก็ดูเหมือนจะเริ่มพูดคุยกันผ่านเสียงคำราม และเหมือนว่าพวกมันจะเข้าขากันได้ดี
เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า หวังเป่าเล่อก็ตกตะลึง ชายหนุ่มอยากจะนั่งดูอยู่ต่อ แต่เสียงนุ่มใสของกระต่ายน้อยก็ดังผ่านแหวนสื่อสารมาเสียก่อน
“ศิษย์พี่เป่าเล่อ ท่านอยู่ที่ไหนเจ้าคะ ตอนนี้ข้าว่างแล้ว”
สายตาของหวังเป่าเล่อลุกโชนขึ้นเมื่อได้ยินเสียงของโจวเสี่ยวหยา ชายหนุ่มไม่คิดจะวุ่นวายกับเจ้าลาอีก แต่ก่อนที่เขาจะเดินจากไป หวังเป่าเล่อหันไปเตือนเจ้าลาว่าอย่ากินสิ่งใดเด็ดขาด หลังจากนั้นชายหนุ่มก็ไม่ได้สนใจมันอีก เขายกแหวนสื่อสารขึ้นส่งข้อความตอบโจวเสี่ยวหยา ก่อนจะพุ่งทะยานมุ่งหน้าไปยังตำหนักหลอมโอสถทันที!
เมื่อหวังเป่าเล่อจากไปแล้ว เจ้าลาก็ดูกระปรี้กระเปร่าขึ้นในทันที หลังจากที่คำรามคุยกับวานรเพชรอยู่อีกสักพัก ก็ดูเหมือนว่าทั้งสองจะบรรลุข้อตกลงกันได้ แล้วจึงพากันเดินจากไปพร้อมหุ่นเชิดทั้งสาม…
บรรดาศิษย์รอบข้างที่มองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นต่างพากันสงสัยว่าเหตุใดวานรเพชรและลาตัวนั้นจึงดูตื่นเต้นและลุกลี้ลุกลนนัก…
สายตาของหวังเป่าเล่อที่มองไปยังกระต่ายน้อยนั้นแตกต่างไปจากครั้งก่อน โดยเฉพาะหลังจากความประทับใจที่หลี่หว่านเอ๋อร์ได้มอบไว้ ขณะนี้ ณ ตีนเขาแห่งตำหนักหลอมโอสถที่รายล้อมไปด้วยพืชพรรณซึ่งมีสรรพคุณทางยา ทิวทัศน์ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อนั้นดูบริสุทธิ์และงดงามยิ่ง
เมื่อมองมาจากที่ไกล จะเห็นว่ามีสตรีใบหน้างดงามกำลังยืนมองช่อดอกไม้ช่อหนึ่งอยู่ นางมีเรือนร่างผอมบาง ผมยาวสลวยของนางผูกเอาไว้ด้วยเส้นด้ายสีชมพู รูปลักษณ์ของนางจากด้านข้างนั้นช่างงดงามไร้ที่ติ
กระโปรงสีขาวสะท้อนแสงอาทิตย์ยามบ่ายเป็นประกายแวววาว ความสวยงามของมันนั้นถูกขับเน้นให้โดดเด่นด้วยดอกไม้โอสถรอบข้าง ยิ่งรายล้อมไปด้วยเมฆหมอกโอสถที่มีอยู่เฉพาะในตำหนักหลอมโอสถแล้ว ก็อาจทำให้ผู้ที่พบเห็นนั้นลมใส่ได้ง่ายๆ เพราะความประทับใจ
เมื่อได้ยินความเคลื่อนไหวของหวังเป่าเล่อดังมาตามลม สตรีนางนั้นก็หันขวับมาทันที เผยให้เห็นใบหน้าสะสวยที่ฉาบไปด้วยรอยยิ้มสดใส อาจเป็นเพราะนางถือสันโดษมาตลอดหลายปี ทำให้ผิวของนางขาวนวลราวหิมะ สตรีนางนี้ทั้งเยาว์และมีรูปโฉมงดงามเกินจะเปรียบ
นางก็คือโจวเสี่ยวหยานั่นเอง!
“โอ้โห กระต่ายน้อย เจ้าโตขึ้นนะ” ดวงตาของหวังเป่าเล่อลุกโพลง เป็นเวลาหลายปีมาแล้วตั้งแต่ที่ทั้งคู่ได้พบกันครั้งสุดท้าย โจวเสี่ยวหยา ผู้ซึ่งบัดนี้เติบโตเป็นสาว ก็ยิ่งดูน่ารักและงดงามกว่าแต่ก่อน ทำให้หวังเป่าเล่อลุ่มหลงจนโงศีรษะไม่ขึ้น เขาส่งเสียงกระแอมกระไอก่อนจะพูดจาหยอกเย้านาง
เมื่อได้ยินคำพูดของหวังเป่าเล่อ โจวเสี่ยวหยาก็ยืนเตะขาตนเองด้วยความเขินอาย
“ศิษย์พี่เป่าเล่อนี่ ชอบล้อข้าเล่นอยู่เรื่อย!”
แม้ว่าจะพูดเช่นนั้น แต่โจวเสี่ยวหยาก็รู้สึกปลาบปลื้มใจ เมื่อหญิงสาวมองหวังเป่าเล่อ จิตใจของนางก็เต็มล้นไปด้วยความสุข ในชีวิตอันเรียบง่ายของนางนั้น หวังเป่าเล่อเป็นชายอายุไล่เลี่ยกับนางคนแรกที่ก้าวเข้ามา และเขายังเป็นคนที่เก่งกาจที่สุดที่นางเคยพบในหมู่คนรุ่นราวคราวเดียวกัน โจวเสี่ยวหยาได้เห็นหวังเป่าเล่อสร้างชื่อของตนเองเอาไว้ตั้งแต่ครั้งที่อยู่บนเกาะมหาปราชญ์ชั้นรอง และยังคงไต่เต้าความสำเร็จขึ้นเรื่อยๆ แม้จะอยู่บนเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงแล้วก็ตาม
แม้จะถือสันโดษอยู่เป็นนิจ แต่นางก็พักเพื่อติดตามเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโลกภายนอกอยู่เนืองๆ
ชื่อของหวังเป่าเล่อเป็นที่รู้จักผ่านเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งเกิดขึ้นตลอดหลายปีที่ผ่านมา เมื่อได้มองเห็นชายหนุ่มที่นางมอบหัวใจให้ประสบความสำเร็จ ก็ทำให้โจวเสี่ยวหยา ผู้ซึ่งหลงรักหวังเป่าเล่ออยู่ตั้งแต่ต้น รู้สึกชื่นชมเขามากขึ้นอีกเป็นเท่าทวีคูณ
อาจกล่าวได้ว่า โจวเสี่ยวหยานั้นทั้งบริสุทธิ์และไร้เดียงสา นางช่างแตกต่างจากหลี่หว่านเอ๋อร์ผู้เสียงดัง และเจ้าเยี่ยเหมิง ผู้ที่โดดเด่นคล้ายเทพธิดา โจวเสียวหยาไม่มีความทะเยอทะยานอันสูงส่ง เป็นเหมือนหญิงสาวบ้านใกล้เรือนเคียงทั่วๆ ไป ขณะนี้เมื่อได้จ้องมองไปยังชายที่นางชื่นชมและไม่ได้พบเจอมาเป็นเวลานาน นางก็แย้มรอยยิ้มที่แสนบริสุทธิ์ และเปล่งเสียงหัวเราะดังกังวานราวกระฆัง เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขอันแท้จริงที่ไม่ว่าใครก็สัมผัสได้
หวังเป่าเล่อเมื่อได้จ้องมองนางก็รู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่ง ราวกับว่าได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง เมื่อได้พาโจวเสี่ยวหยาท่องไปทั่วสำนักศึกษาเต๋า ผ่านวันเวลา ผ่านจักรวาลทั้งปวง เฝ้ามองพระอาทิตย์ขึ้น และฝากรอยเท้าเอาไว้บนทุกยอดและหุบเขาที่พวกเขาย่างกรายไป
สำหรับโจวเสี่ยวหยาแล้ว แค่ได้จับมือหวังเป่าเล่อก็เพียงพอที่จะทำให้หัวใจของนางสั่นระรัวและใบหน้าแดงก่ำ นางหลุบศีรษะลงต่ำ เขินอายเสียจนไม่อาจมองหน้าเขาได้ตรงๆ แต่ขณะเดียวกันความสุขก็เอ่อล้นหัวใจของนางจนแผ่ซ่านไปทั้งกาย
กระต่ายน้อยชอบฟังหวังเป่าเล่อเล่าถึงประสบการณ์ของเขาบนดาวอังคารและดวงจันทร์ บางครั้งนางก็ส่งเสียงอุทานด้วยความตกใจ นางตั้งใจฟังทุกคำที่ออกมาจากปากชายหนุ่มและดื่มด่ำไปกับเรื่องราวที่เขาเล่า
ความบริสุทธิ์ของนางก่อให้เกิดคลื่นกระทบในใจของหวังเป่าเล่อที่สะท้อนออกไปไกล ทำให้เวลาดูราวกับว่าจะเดินช้าลง ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร แต่บัดนี้ การได้ใช้เวลากับกระต่ายน้อยช่างเป็นช่วงเวลาแห่งความสุข
ช่วงเวลาไม่กี่วันที่ทั้งคู่สนุกสนานกับการมีอีกฝ่ายอยู่เคียงข้าง พวกเขาได้พบสหายที่คุ้นเคยมากหน้าหลายตา เช่น เจ้าตำหนักแห่งตำหนักหลอมอาวุธเวทและผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นที่หวังเป่าเล่อไม่ค่อยถูกชะตาเพราะชอบก่อปัญหาให้เขาอยู่เสมอ เมื่อผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นผู้นั้นเห็นหวังเป่าเล่อ เขาก็มีสีหน้ากระอักกระอ่วน ก่อนจะยกมือขึ้นทักทายอยู่ห่างๆ
หวังเป่าเล่อไม่เคยใส่ใจเจ้าตำหนักเลยแม้แต่น้อย และตอนนี้ก็ไม่คิดใส่ใจด้วย ชายหนุ่มเพียงแค่ยิ้มและผงกศีรษะให้ ราวกับจะลบล้างเอาความบาดหมางทั้งหมดระหว่างกันออกไป เมื่อชายหนุ่มเดินออกมา เจ้าตำหนักก็จ้องมองไปยังชายหนุ่มและหญิงสาว คลื่นอารมณ์อันมหาศาลพลุ่งพล่านอยู่ในใจขณะที่ก้มหัวลงคำนับหวังเป่าเล่อ พลางจ้องมองแผ่นหลังของชายหนุ่มที่ค่อยๆ ห่างออกไปช้าๆ
นอกจากนั้น หวังเป่าเล่อยังพาโจวเสี่ยวหยาไปเยี่ยมเฉินอวี่ถง ผู้ที่เพิ่งเดินทางกลับจากไปปฏิบัติภารกิจหมาดๆ ตอนนั้นเฉินอวี่ถงเลือกที่จะอยู่ที่สำนัก และตอนนี้เขาก็ได้เลื่อนขั้นเป็นผู้อาวุโสแห่งตำหนักหลอมอาวุธเวทเรียบร้อย พลังปราณของเขาอยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นกลาง ห่างจากชั้นปลายอีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น เฉินอวี่ถงตื่นเต้นมากเมื่อเห็นหน้าหวังเป่าเล่ออีกครั้ง
ทั้งคู่พากันไปพูดคุยในถ้ำที่พักของเฉินอวี่ถง โดยมีกระต่ายน้อยทำหน้าที่ชงชาให้ศิษย์พี่ทั้งสอง นางจะเกยคางมองหวังเป่าเล่อด้วยดวงตาเคลิ้มฝันอยู่เป็นครั้งคราว ดวงใจของหญิงสาวเปี่ยมล้นไปด้วยความสุขที่ฉายชัดออกมาผ่านสายตา ราวกับว่าดวงตาของนางได้แปรเปลี่ยนไปเป็นพระจันทร์เสี้ยว ส่งผลให้นางยิ่งดูน่าเอ็นดูขึ้นไปอีก
ทั้งหวังเป่าเล่อและเฉินอวี่ถงต่างพากันนึกย้อนไปถึงสาเหตุที่พวกเขามาสนิทสนมกันได้ ทั้งคู่จึงนึกถึงเซี่ยไห่หยางขึ้นมา!
“เซี่ยไห่หยางแห่งเกาะมหาปราชญ์ชั้นรอง… จนกระทั่งบัดนี้ ข้าก็ยังไม่อาจล่วงรู้ได้ว่า เจ้าพนักงานระดับสูงคนใดของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ที่เขาสนิทสนมด้วย ถึงไม่มีสิ่งใดในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ที่เขาทำไม่ได้…” เมื่อพูดถึงเซี่ยไห่หยาง เฉินอวี่ถงก็หัวเราะออกมาด้วยเสียงอันดัง
“ชายผู้นั้นเป็นนักธุรกิจ นี่เขายังอยู่ในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์อีกหรือ” ภาพของเซี่ยไห่หยางลอยขึ้นมาในมโนสำนึกของหวังเป่าเล่อ ขณะที่ชายหนุ่มนึกไปถึงการเจรจาธุรกิจครั้งแรกระหว่างพวกเขา
“เขาไม่ได้อยู่ที่นี่อีกแล้ว เขาเรียนจบไปตั้งแต่ปีที่สองหลังจากที่เจ้าไปดวงจันทร์ ข้าจำความสามารถของเขาได้ดีเพราะหลังจากที่ข้าขึ้นเป็นผู้อาวุโส ข้าก็ใช้ความพยายามอย่างมากในการควานหาตัวเขา แต่ดูเหมือนเขาจะหายไปจากโลกนี้อย่างไร้ร่องรอย”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น