หมอดูยอดอัจฉริยะ 478-479
ตอนที่ 478 ว่าจ้าง (2)
โดย
Ink Stone_Fantasy
ขณะที่เพิ่งจะถือซาลาเปาและน้ำเต้าหู้เดินเข้ามาในเรือนสี่ประสาน โก่วซินเจียก็เดินออกมารับ และหัวเราะพูดว่า “เยี่ยเทียน ศิษย์พี่รองของเธอกลับมาแล้ววันนี้ และหาเหตุผลที่นายจะไปพม่าได้แล้ว”
“หืม? ศิษย์พี่รองมาที่ปักกิ่ง เกี่ยวกับอะไรกับที่ผมจะไปพม่า?”
เยี่ยเทียนได้ยินจึงตกตะลึงไปชั่วครู่ เขากะจะใช้เหตุผลในการเดินทางว่าไปเที่ยว สำหรับพวกมาราไกย์และคนอื่นๆ นั้นต่างแยกกันเข้าประเทศ แบบนี้เป้าหมายก็จะเล็กลงมาก
“เขาไม่ได้เปิดร้านเครื่องประดับสองสามร้านไม่ใช่เหรอ อีกไม่กี่วันก็ต้องนำเข้าสินค้าจากพม่าพอดี ถึงเวลานายก็อาศัยชื่อบริษัทที่ฮ่องกงของเขาเดินทางไป เมื่อถึงพม่าแล้วนายค่อยพาพวกของนายแยกเดินทางต่อก็ได้แล้ว”
แม้ว่าโก่วซินเจียไม่ได้คิดว่าตัวเองจะเดินทางไปที่พม่าด้วยตัวเอง แต่ว่าเขายังให้ความใส่ใจกับเรื่องราวคาราคาซังที่ทิ้งมานานกว่าห้าสิบปีเป็นอย่างมาก หลังจากได้ฟังว่าลูกสาวและลูกเขยของจั่วเจียจวิ้นจะไปพม่าด้วย เขาจึงรีบนึกถึงเยี่ยเทียนทันที
“ได้ ศิษย์พี่ พวกพี่ทานข้าวเช้าก่อน เซี่ยวเทียน หยิบซาลาเปามาสองลูกแล้วไปกับฉัน!”
หลังจากได้ฟังคำของโก่วซินเจียแล้ว เยี่ยเทียนก็ดีใจเป็นอย่างมาก รีบวางมือทุกอย่างแล้วเรียกโจวเซี่ยวเทียน ทั้งสองคนไปที่โรงรถด้านหลังและขับรถออกมา ตรงไปหาโรงเรียนศิลปะต่อสู้อันเต๋อของชิวเหวินตง
พอขับไปได้ครึ่งทางเยี่ยเทียนก็โทรหาชิวเหวินตง หลังจากถึงโรงเรียนต่อสู้แล้ว ชิวเหวินตงก็พาลูกศิษย์จำนวนหนึ่งมายืนรอที่หน้าปากซอย ทั้งศิษย์อาจารย์สองคนนี้กลับมาดึกกว่าเยี่ยเทียน ทำให้ท่าทางในตอนนี้เห็นได้ชัดว่าเหนื่อยล้าอยู่บ้าง
“น้องเยี่ย มีธุระอะไรก็โทรมา ให้เหล่าชิวคนนี้ไปหาก็พอแล้ว ทำไมน้องถึงต้องมาด้วยตัวเอง?”
รถของเยี่ยเทียนเพิ่งจอด ชิวเหวินตงก็รีบออกมารับและเปิดประตูให้ การกระทำนี้นอกจากอู่เฉินแล้ว เหล่าลูกศิษย์คนอื่นต่างบ่นอุบอยู่ในใจ ถึงอย่างไรในเมืองปักกิ่งนี้ชิวเหวินตงก็ถือว่าเป็นบุคคลระดับสูงที่มีชื่อเสียง ไม่จำเป็นต้องอ่อนน้อมถ่อมตนกับเยี่ยเที่ยนขนาดนี้หรอกกระมัง?
แต่ว่ามีเพียงชิวเหวินตงและอู่เฉินถึงรู้ว่า เด็กหนุ่มตรงหน้านี้น่ากลัวแค่ไหน หากไม่พูดถึงความสามารถของเยี่ยเทียน เพียงแค่เมื่อวานตอนที่คุยกับจู้เหวยเฟิงและได้แอบแย้มถึงชาติกำเนิดออกมาเล็กน้อย ก็ทำให้ชิวเหวินตงและลูกศิษย์ตกใจจนไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้ว
ในยุทธภพแห่งนี้แบ่งคนออกเป็นสองประเภท ประเภทที่หนึ่งเป็นพวกจ่ายเงินทองและของมีค่าซื้อเสียงเพลงเพื่อความสำราญ เมื่อเมามายไม่ได้สติก็ลืมว่าตัวเองเป็นแม่ทัพท่านอ๋อง พวกเขาไม่สนใจว่าเงินน้อยหรือเยอะ ท่านอ๋องแม่ทัพในสายตาของพวกเขานั้นเหมือนกับธุลีดืน ในอดีตมีคำเรียกที่ตรงกับพวกเขานั่นก็คือพวกฤาษี
แต่อีกประเภทหนึ่งเป็นคนที่ร่ำเรียนวิชาและศิลปะการต่อสู้ เป็นคนของราชวงศ์ พวกเขาเรียนหนังสือและฝึกวิชา เป้าหมายสุดท้ายก็คือประสบความสำเร็จมีชื่อเสียง ชิวอันเต๋อพ่อของชิวเหวินตงก็เป็นคนลักษณะแบบนี้ แม้แต่พาชิวเหวินตงไปพบกับข้าราชการก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองอยู่ในฐานะที่ต่ำกว่า
“พี่ชิว เกรงใจไปแล้ว วันนี้ที่มามีเรื่องที่ต้องขอรบกวนพี่หน่อย” เยี่ยเทียนมีอายุเพียงยี่สิบต้นๆ ชิวเหวินตงกลับอายุใกล้ห้าสิบปีแล้ว แต่เยี่ยเทียนกลับเรียกเข่าว่าพี่ชิวอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้ชิวเหวินตงฟังแล้วก็รู้สึกรื่นหู
“น้องเยี่ย เชิญด้านใน เสี่ยวอู่ ไปรินน้ำชามาสองแก้วไป!”
เมื่อได้ฟังว่าเยี่ยเทียนมีเรื่องให้ช่วย ในใจของชิวเหวินตงพลันตะลึงงัน ความเหนื่อยล้าจากเมื่อวานราวกับมลายหายไป การที่สามารถได้ช่วยเหลือเยี่ยเทียน สำหรับเขาแล้วนั้นถือว่าเป็นเรื่องดีงามอันใหญ่หลวงเรื่องหนึ่ง
เมื่อสั่งงานให้พวกลูกศิษย์ฝึกอยู่ด้านหน้าลาน ชิวเหวินตงจึงพาเยี่ยเทียนมาในห้องด้านข้าง และไม่อ้อมค้อม พูดอย่างตรงไปตรงมา “น้องเยี่ย มีเรื่องอะไรน้องบอกได้เลย ขอเพียงชิวเหวินตงทำได้ ต่อให้บุกน้ำลุยไฟก็ไม่เสียดายชีวิต!”
เรื่องที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้นั้นแปลกมาก คนที่ต้องการความช่วยเหลือจริงๆ แต่สวรรค์กลับไม่เปิดทางให้ แต่ยังมีคนบางกลุ่ม ขอเพียงแค่พูดออกมาเล็กน้อย โดยที่ไม่ต้องเอ่ยปากอะไร ก็มีคนคิดอยากจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่
เรื่องที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้หากจะใช้ศาสนาพุทธมาอธิบาย ก็หนีไม่พ้น “เวรกรรม” สองคำนี้ พวกคนที่ทำเวรกรรมนั้น อาศัยกรรมดีเป็นฐานก็จะเกิดผลดี เผื่อในวันหน้าตัวเองตกที่นั่งลำบาก จะได้มีผู้มีบุญญาธิการมาช่วยเหลือ แต่พวกประชาชนคนธรรมดาที่ไม่ได้มีประวัติและไม่มีความสามารถ แน่นอนว่าไม่มีใครยอมไปร่วม “เวรกรรม” กับพวกเขาแน่นอน
“ท่านเยี่ย เชิญดื่มน้ำชา!” ขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่ อู่เฉินก็ยกน้ำชาสองแก้วเข้ามา วางบนโต๊ะแล้วก็ถอยออกไป เขารู้ดีว่าตัวเองมีฐานะห่างจากเยี่ยเทียนมาก และไม่กล้าอยู่ต่อเพื่อฟังพวกเขาพูดคุยกัน
“พี่อู่ เรื่องนี้อาจจะต้องรบกวนพี่ช่วยเหลือด้วย พี่อยู่ต่อเถอะ” เมื่อเห็นว่าอู่เฉินจะออกไป เยี่ยเทียนจึงรีบตะโกนเรียกไว้
“ท่านเยี่ย ผมไม่กล้าให้ท่านเรียกแบบนี้ ไม่อย่างนั้นคงลำดับศักดิ์ยุ่งยาก!” อู่เฉินหัวเราะแกนๆ เพื่อนซี้ของอาจารย์ของเขาเหอเป่ย เฝิงเหิงอวี่ และเขาที่ได้เรียนวิชามาด้วยกันนั้นต่างก็เป็นรุ่นหลังของเยี่ยเทียน หากคิดดูแล้วเขากับเยี่ยเทียนนั้นลำดับอาวุโสห่างกันไม่รู้เท่าไร
“เอาเถอะ ฉันเรียกชื่อนายก็แล้วกัน” เมื่อเห็นอู่เฉินหวาดกลัว เยี่ยเทียนก็พยักหน้ากล่าวว่า “อีกไม่กี่วันฉันจะออกไปทำธุระข้างนอกหน่อย วันนี้ที่มาก็จะมาถามพี่ชิวขอยืมคนที่เชื่อมือได้สักสามสี่คน และอู่เฉินเป็นหนึ่งในนั้น!”
ถึงแม้อู่เฉินรูปร่างไม่สูง แต่คิ้วเข้ม ใบหน้าเหลี่ยม ริมฝีปากบางและหนาสมส่วนกัน เมื่อสบตากับคนอื่นแววตามุ่งมั่นไม่ลอกแลก ในด้านศาสตร์การดูใบหน้าคน คนประเภทนี้จิตใจกว้างขวาง ช่วยเหลือคนอื่นอยู่ในศีลธรรม ปกติจะไม่ทำเรื่องลักเล็กขโมยน้อย
“น้องเยี่ย เรื่องนี้ไม่ยาก เหล่าชิวอย่างฉันถึงแม้จะไม่กล้าบอกว่ามีลูกศิษย์สามพันคน แต่หนี่งร้อยแปดสิบนั้นก็ยังมี น้องต้องการเท่าไรบอกได้เลย ฉันจะรีบเรียกพวกเขามารวมตัวกัน”
ชิวเหวินตงก็เป็นผู้สืบทอดทางสายเลือดของวิชาฮวงจุ้ย ในด้านฝีมือนั้นพอมีอยู่บ้าง บวกกับเขามีชื่อเสียงมากที่ปักกิ่ง คนที่มากราบไหว้เป็นอาจารย์นั้นจึงมีไม่ขาดสาย หลายปีมานี้แค่ลูกศิษย์ที่ได้เข้าสำนักอย่างเป็นทางการนั้นมีร้อยแปดสิบกว่าคน
เยี่ยเทียนหัวเราะกล่าวว่า “ไม่ต้องการเยอะขนาดนั้น สิบกว่าคนก็พอแล้วครับ พี่ชิว หาคนที่มีพลังเยอะหน่อย ครั้งนี้งานที่ทำเป็นงานใช้แรง อืม อีกอย่างขอคนที่ไม่พูดมาก พวกคนที่เห็นอะไรก็เอาไปบอกต่อประเภทนั้นไม่เอา”
โรงเรียนต่อสู้ของชิวเหวินตง จริงๆ แล้วก็เป็นยุทธภพย่อยๆ มีอู่เฉินที่ซื่อสัตย์ช่วยเหลือคนอื่น คนที่ลักเล็กขโมยน้อยแน่นอนว่าจะต้องมี การที่มาขอยืมคนจากชิวเหวินตง เยี่ยเทียนก็คือไม่มีทางอื่น เพราะคนของเขานั้นมีไม่กี่คนที่ใช้ได้
“ตกลง คนของฉันน้องเยี่ยวางใจได้”
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนไม่ได้บอกว่าเรื่องอะไร ชิวเหวินตงก็ไม่ได้ตามถามต่อ พลางมองไปทางอู่เฉินกล่าวว่า “เสี่ยวอู่ ไป….เรียกพวกศิษย์พี่ศิษย์น้องมาให้หมด ส่วนพวกที่อ้อยอิ่งไม่ฝึกวิชาพวกนั้นไม่ต้องเรียกมา”
ชิวเหวินตงถึงแม้จะรับลูกศิษย์ไม่น้อย แต่คนที่เขาให้ความสำคัญนั้นก็มีอยู่แค่สิบกว่าคนเท่านั้น หนึ่งในนั้นไม่จำเป็นต้องมีพรสวรรค์ในการฝึกวิชาได้ดี แต่จะต้องมีคุณธรรมชอบช่วยเหลือผู้อื่น และก็เป็นสิ่งที่ครูมวยหลายคนชมชอบ
อู่เฉินออกไปและกลับเข้ามาใช้เวลาแค่หนึ่งนาทีกว่าเท่านั้น คนหนุ่มร่างกำยำสิบเจ็ดสิบแปดคนก็ถูกเรียกมาที่เรือนกลาง ยืนเรียงกันเป็นแถวด้านหน้าประตูห้องเรือนกลาง
“เฮ้อ เมื่อไรสำนักเสื้อป่านของพวกเราจะมีช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์แบบนี้บ้าง?”
เมื่อเห็นชิวเหวินตงเลือกคนหนุ่มที่มีพละกำลังที่ดูแววแล้วไม่เลวออกมา แล้วนึกถึงสำนักของตัวเอง เยี่ยเทียนก็อดสะเทือนใจไม่ได้ ตอนที่อาจารย์สิ้นลม ตัวเองเป็นคนบอกเองว่าจะทำให้สำนักเสื้อป่านกลับมาผงาดรุ่งโรจน์อีกครั้ง แต่ตอนนี้รอบตัวมีแต่โจวเซี่ยวเทียนที่เป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียว
“เซี่ยวเทียน นายไม่มีอะไรทำก็ไปหาลูกศิษย์มาสามสี่คนสิ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ต้องมาขอยืมคนแบบนี้หรอก” ตอนที่เห็นโจวเซี่ยวเทียนเดินออกจากห้อง เยี่ยเทียนก็อดไม่ได้ที่จะบ่นพึมพำ
“ให้ผมรับลูกศิษย์เหรอ?”
เมื่อได้ฟังคำพูดของเยี่ยเทียน สีหน้าของโจวเซี่ยวเทียนพลันหัวเราะแกนๆ เขาอายุน้อยกว่าเยี่ยเทียนสองปี ต่อให้อยากจะตั้งโต๊ะรับสมัครเปิดสำนัก นั่นก็ต้องมีคนอยากจะไหว้เขาเป็นอาจารย์ก่อนถึงจะได้?
และยิ่งกว่านั้นฝีมือของเยี่ยเทียนสูงกว่าเขาเป็นร้อยเท่า จนถึงตอนนี้ก็มีเขาเป็นลูกศิษย์แค่คนเดียวเหรอ? แต่ถึงในใจจะมีข้อขัดแย้ง ทว่าปากของโจวเซี่ยวเทียนกลับไม่กล้าพูดออกไป และทำสีหน้าแปลกประหลาดเดินตามเยี่ยเทียนออกไปจากห้อง
“ท่านเยี่ยมีธุระ ต้องการพาคนติดตามไปด้วยสามสี่คน นี่คือบุญของพวกนาย ทุกคนยืนตัวตรง!” อู่เฉินในฐานะศิษย์พี่ใหญ่ เมื่ออยู่ต่อหน้าศิษย์น้องเหล่านี้จึงมีความน่าเกรงขามอยู่บ้าง เมื่อแผดเสียงเล็กน้อย คนสิบกว่าคนนั้นจึงยืดหน้าอก สองตามองตรงไปข้างหน้า
เยี่ยเทียนไม่ได้พูดอะไร เดินมาอยู่ตรงหน้าคนแรก และมองดวงตาคู่นั้นของเขา
วิชาการมองคนของเสื้อป่านนั้น อันดับแรกดูดวงตา หากว่าจิตใจไม่บริสุทธิ์ มักจะไม่กล้าสบตาคน หลักการนี้ก็เหมือนขโมยเจอตำรวจ ไม่ต้องพูดใจก็สั่น
วัวสันหลังหวะสำนวนนี้ จริงๆ แล้วมาจากดวงตา แน่นอนว่า นอกจากดวงตาทั้งคู่แล้ว เยี่ยเทียนยังมีวิชาลับในการมองคนอยู่ หลังจากเดินไปรอบหนึ่งแล้ว เขาก็เลือกมาเจ็ดคน
จากสัญญาณของเยี่ยเทียน อู่เฉินให้คนที่เหลือออกไป และพาเจ็ดคนที่เลือกไว้เข้ามาในห้องด้านข้างเรือนกลาง
“ครั้งนี้ฉันจะไปทำธุระที่พม่าหน่อย ต้องการความช่วยเหลือจากพวกนาย แต่อยากจะบอกเรื่องที่ไม่ดีเอาไว้ก่อน เมื่อไปถึงพม่าแล้ว พวกนายทุกคนจะต้องปฏิบัติตามคำสั่งของฉันอย่างไม่มีเงื่อนไข มิเช่นนั้นฉันไม่อาจจะรับประกันความปลอดภัยของชีวิตพวกนายได้”
เยี่ยเทียนไม่ได้พูดเหลวไหล แต่กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ตอนนี้หากมีใครไม่อยากไป สามารถถอนตัวออกไปได้ เรื่องนี้จะไม่บังคับกัน พวกนายก็ไม่ต้องกังวลใจอะไร ฉันเยี่ยเทียนรับรองว่า เหล่าชิวจะไม่ไปหาเรื่องกับพวกนายแน่นอน!”
คำพูดของเยี่ยเทียนทำให้ทั้งเจ็ดคนตกตะลึง พวกเขาไม่คิดว่าจะต้องออกนอกประเทศ และเหมือนกับว่ามีอันตรายอยู่บ้าง ในตอนแรกถึงแม้ไม่มีคนก้าวออกมา แต่สีหน้านั้นปรากฏความลังเล มองไปทางชิวเหวินตง
เมื่อเห็นสีหน้าของลูกศิษย์แล้ว ชิวเหวินตงก็อดไม่ได้ที่จะดุว่า “ตามเยี่ยเทียนออกไป เป็นโอกาสอันดีของพวกนาย เจ้าพวกตัวกระเปี๊ยกนี่ ใครไม่อยากไปก็รีบไสหัวกลับไปที่ลานด้านหน้า!”
“อาจารย์ ผมไปครับ!”
“อาจารย์ ผมก็ไปครับ!”
ปกติชิวเหวินตงจะใจกว้างต่อลูกศิษย์มาก ขอแค่มีชื่ออยู่กับชิวเหวินตง แต่ละเดือนก็จะจ่ายเงินเดือนให้พวกเขาสามถึงห้าพัน ทำให้พวกลูกศิษย์เชื่อมั่นในตัวเขามาก ดังนั้นเมื่อพูดคำนี้ออกมา พวกนั้นจึงเหมือนกินยาตัดสินใจเข้าไป ทยอยเปิดปากตกลงกันเป็นแถว
เห็นคนพวกนั้นเปิดปาก เยี่ยเทียนก็พยักหน้า กล่าวว่า “คราวนี้ก็ถือว่าเยี่ยเทียนคนนี้จ้างพวกนาย หลังจากกลับมาจากพม่าแล้ว พวกนายทุกคนจะได้รับเงินค่าจ้างหนึ่งล้าน แต่มีอีกนิดหนึ่ง เรื่องที่เกิดที่พม่า ห้ามแพร่งพรายให้ใครรู้เด็ดขาด”
“คนละหนึ่งล้าน? ฉันว่าน้องเยี่ย ถ้าอย่างนั้นนายพาเหล่าชิวคนนี้ไปด้วยก็พอแล้ว!” ชิวเหวินตงที่พูดจาแปลกประหลาดทำให้ลูกศิษย์พากันหัวเราะขึ้นมา และความรู้สึกกดดันที่เกิดเมื่อซักครู่จึงจางหายไป
……
ตอนที่ 479 เครื่องเคลือบในวัง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ลูกศิษย์ของชิวเหวินตงพวกนี้ ยังมีตำแหน่งอยู่ในบริษัทของเขาด้วย แต่ละเดือนได้เงินราวสามถึงห้าพันหยวนในสมัยปีเก้าศูนย์ เงินเดือนเท่านี้ถือว่าไม่เลวทีเดียว
เดิมทีมีบางคนที่ภายในใจมองว่าการติดตามเยี่ยเทียนไปพม่านั้นไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่นัก แต่เยี่ยเทียนเสนอให้หนึ่งล้าน พลันทำให้ความคิดพวกนั้นหายไปทันที หากรับแค่เงินเดือน เงินจำนวนหนึ่งล้านเท่ากับพวกเขาทำงานสิบกว่าปี
รวมอู่เฉิน เยี่ยเทียนจ้างคนจากสำนักของชิวเหวินตงรวมท้งหมดแปดคน รวมเขาและหูหงเต๋อกับโจวเซี่ยวเทียนสองคน แล้วยังมีมาลาไกย์ชาวต่างชาติสี่คน เยี่ยเทียนคิดว่าทั้งหมด 15 คนเดินทางไปค้นหาสมบัติที่ซ่อนอยู่ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
หลังจากเลือกคนเรียบร้อยแล้ว เยี่ยเทียนมองไปที่ชิวเหวินตง กล่าวว่า “พี่ชิว ภายในห้าวันสามารถทำพาสปอร์ตให้พวกเขาสำหรับไปพม่าทันหรือไม่ หากว่าไม่ทัน ผมจะคิดหาวิธี”
การยื่นทำพาสปอร์ตตามขั้นตอนปกตินั้นต้องใช้เวลาสิบกว่าวัน แต่เห็นได้ชัดว่าเยี่ยเทียนรอไม่ได้นานขนาดนั้น หากว่าชิวเหวินตงทำไม่สำเร็จ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะต้องใช้เส้นสายทางหูจวินหรือเถ้าแก่เหลยเสียหน่อยแล้ว สำหรับพวกเขานั้น ทำพาสปอร์ตแค่ไม่กี่เล่มไม่น่ามีปัญหา
“น้องเยี่ย ดูถูกเหล่าชิวหรือว่าอย่างไร แค่พาสปอร์ตไม่กี่เล่ม วันมะรืนก็ได้แล้ว มั่นใจได้ว่าไม่รบกวนเวลาของนายให้ล่าช้าไป”
ในใจของชิวเหวินตงนั้นเปล่งประกายเป็นอย่างมาก แม้ว่าเยี่ยเทียนจะไม่ปริปากถึงเรื่องที่ไปพม่าว่าไปทำอะไร เขาก็ไม่ได้สอบถามต่อ ตบหน้าอกตัวเองแสดงว่าเรื่องพาสปอร์ตนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเขา ใช้ชีวิตที่ปักกิ่งนี่มาก็นาน เส้นสายแค่นี้ชิวเหวินตงก็พอมีอยู่บ้าง
เยี่ยเทียนให้เขาไปทำพาสปอร์ต แน่นอนว่าต้องการเป็นหนี้บุญคุณเขา นี่เป็นสิ่งที่ชิวเหวินตงให้ความสำคัญมากที่สุด มีหนี้บุญคุณนี้กับเยี่ยเทียนอยู่ ในอนาคตไม่แน่ว่าอาจจะช่วยปัญหาใหญ่ได้
ชิวเหวินตงนั้น เดินทางทั้งทางขาวและดำ ปกติดูแล้วน่าเกรงขาม แต่ในใจเขานั้นชัดเจน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหากอยากเก็บเขา ไม่ได้ยากเย็นไปกว่าการฆ่าไก่ตัวหนึ่ง
ดังนั้นชิวเหวินตงจึงได้ผูกสัมพันธไมตรีกับพวกพี่น้องลูกท่านหลานเธอที่มีอำนาจ ก็เพื่อเป็นทางว่าอีกหน่อยมีคนจะคิดบัญชีกับเขา คนพวกนั้นสามารถช่วยเขาพูดได้ นั่นก็เท่ากับรักษาชีวิตเขาเอาไว้ได้
“พี่ชิว ในภายหน้าเยี่ยเทียนจะต้องตอบแทนบุญคุณอย่างแน่นอน ได้ วันนี้ก็เท่านี้ก่อน สองสามวันนี้ผมมีเรื่องให้สะสางเยอะ รอให้กลับมาจากพม่าแล้วค่อยคุยกัน”
เยี่ยเทียนเปลี่ยนอารมณ์ขึ้นมานั่นก็เย็นชาเหลือแสน แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวอย่างไร แค่คำพูดธรรมดาไม่กี่คำก็ทำให้ชิวเหวินตงสีหน้าดีใจจนห้ามไม่อยู่ เดินตามไปส่งเยี่ยเทียนและลูกศิษย์ถึงหน้าซอย
“อาจารย์ ผม…ผม…” หลังจากขับรถออกมาแล้ว โจวเซี่ยวเทียนที่นั่งอยู่บริเวณข้างคนขับก็ทำท่าอยากจะพูดแต่ก็หยุดไป
“มีอะไร ถ้ามีก็พูดออกมาเถอะ” เยี่ยเทียนมองไปที่โจวเซี่ยวเทียน อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เจ้าเด็กนี่หน้าบางไปหน่อย
โจวเซี่ยวเทียนรวบรวมความกล้าออกมา กล่าวว่า “อาจารย์ ท่านไปพม่า พาผมไปด้วยได้มั๊ย”
จะยังไงก็แล้วแต่โจวเซี่ยวเทียนก็เติบโตมาในครอบครัวธรรมดา ถึงแม้จะร่ำเรียนวิชาและการต่อสู้ แต่เนื้อแท้แล้วไม่ต่างอะไรกับคนธรรมดา เห็นว่ามีโอกาสไปต่างประเทศ พลันในใจก็เกิดความอยากแบบซื่อๆ ขึ้นมา ต่อให้ประเทศที่จะไปยากจนข้นแค้นก็ตาม
“เหอะ ฉันไม่ได้บอกจะไม่พานายไปด้วยนี่ นายกับเหล่าหูไปทั้งสองคนนั้นแหละ” เยี่ยเทียนกล่าวไปหัวเราะไป โจวเซี่ยวเทียนและหูหงเต๋อถือว่าเป็นคนที่เขาเชื่อใจได้มากที่สุด ทั้งสองคนนี้ไปที่พม่าจะเป็นมือที่คอยช่วยเขาได้มาก
“เอ้อ ขอบคุณอาจารย์!” โจวเซี่ยวเทียนดีใจจนร้องออกมา สำหรับคนอายุเท่าเขาแล้ว โลกกว้างด้านนอกมักทำให้อยากออกไปเผชิญ โดยเฉพาะโจวเซี่ยวเทียนที่ตอนนี้ความสามารถไม่ได้อ่อนด้อยแล้ว ยิ่งอยากออกไปเห็นโลกกว้างซักครา
“อย่าเพิ่งดีใจไป ที่นายไปครั้งนี้ลำบากน่าดู”
เห็นโจวเซี่ยวเทียนทำท่าทางดีใจ เยี่ยเทียนอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาเบรกเขาไว้ ศิษย์อาจารย์ทั้งสองคุยหยอกล้อกันจนรถมาถึงซอยด้านนอกของเรือนอาศัย
“เสี่ยวเทียน สองสามวันมานี้ไปไหน ทั้งวันไม่เห็นนาย” เพิ่งเดินเข้ามาในเรือนก็เจอเยี่ยตงผิงออกมาต้อนรับ มือทั้งสองของเขากอดกล่องไม้อยู่ กำลังเดินออกไปด้านนอก
“พ่อ ผมก็ไปหาที่หายไปมาเติมให้เต็มอยู่ไง” เยี่ยเทียนตอบอย่างขำๆ แต่เห็นสีหน้าของพ่อสลดลงไป พลันก็รู้ว่าตัวเองกล่าวผิดไป รีบกล่าวต่อว่า “พ่อ ผมล้อเล่น พ่ออย่างใส่ใจเลย”
“เจ้าตัวดี ฉันจะไปใส่ใจคำพูดของแกทำไม ” เยี่ยตงผิงฝืนยิ้มขึ้นมา กล่าวว่า “ป้าใหญ่ของแกกำลังทำข้าวกลางวัน ประเดี๋ยวไปเรียกศิษย์พี่ของแกมากินด้วยกัน ฉันออกไปทำธุระซักเดี๋ยว”
“อย่าสิ พ่อ มีเรื่องอะไรรอให้กินข้าวเสร็จก่อนแล้วค่อยไปจัดการก็ได้ มองดูก็อีกแป๊บเดียวจะถึงเวลากินข้าวแล้ว”
เยี่ยตงผิงอยากออกไป แต่กลับถูกคำพูดของเยี่ยเทียนปิดทางเอาไว้ กลัวว่าจะทำให้กล่องในอ้อมกอดตก เยี่ยตงผิงได้แต่หยุดยืน กล่าวอย่างอารมณ์ไม่ดีว่า “ฉันนัดกับคนอื่นเอาไว้แล้ว ไปกินข้างนอกก็ได้”
เยี่ยเทียนไม่รามือ ตาจับจ้องกล่องที่อยู่ในอ้อมกอดของพ่อ เปิดปากถามว่า “พ่อ พ่อจะไปขายของใช่มั้ย อีกฝ่ายให้ราคาเท่าไหร่”
อาศัยกับเยี่ยตงผิงมายี่สิบกว่าปี เยี่ยเทียนทำไมจะไม่รู้ว่าพ่อจะทำอะไร
หากว่าเป็นตอนปกติ เยี่ยเทียนจะไม่สนใจธุรกิจค้าขายของพ่อ แต่ว่าพอเกิดเรื่องถูกโกงนั้นขึ้น เยี่ยเทียนกลัวพ่อจะคิดไม่ได้ เอาของที่เก็บสะสมมาเป็นสิบปีเอาออกไปขาย ถึงแม้จะไม่ได้เล่นของเก่า แต่เยี่ยเทียนก็พอจะรู้ว่าของบางอย่างนั้นมีราคาขึ้นค่อนข้างมาก
“เป็นของที่ไม่มีราคาอะไร ฉันเก็บเอาไว้ก็ไม่ได้ใช้ พอดีมีคนต้องการ ก็เลยว่าจะส่งต่อให้เขา”
เยี่ยตงผิงก้มหน้าลง สายตามองลงบนพื้น เมื่อพูดออกมาเห็นได้ชัดว่าโกหก แต่ว่าเขาก็ตอบสนองกลับมาได้ทันที กล่าวว่า “ยุ่งเรื่องของแกเถอะ เรื่องของพ่อจะมายุ่งทำไมกัน”
“ได้ ขอดูหน่อยไม่ได้เหรอ”
มือขวาของเยียเทียนอ้อมไปที่ข้อมือของพ่อนิดเดียว เยี่ยตงผิงพลันรู้สึกข้อมือชา กล่องที่เดิมทีกอดอยู่แนบอกก็ตกลงไปยังพื้น อาการตกใจนั้นไม่ธรรมดา
“รีบรับไว้ อย่าให้ตกแตกล่ะ!” ถึงแม้ว่ากล่องนั้นจะมีผ้ารองและยัดนุ่นเข้าไปแล้ว แต่ว่าเครื่องเคลือบด้านในกล่องเดิมทีเป็นของแตกง่าย หากว่าตกแตกไปจริง ๆ เยี่ยตงผิงคงมีความคิดที่อยากจะฆ่าตัวตายขึ้นมาเลยทีเดียว
“ตกไม่แตก” เยี่ยเทียนแค่ยื่นมือออกไปก็รับกล่องไม้ไว้ในมือ หลังจากนั้นก็เปิดออก ของสิ่งหนึ่งที่มีความยาวประมาณสามสิบเซ็นติเมตร เครื่องเคลือบที่มีรูปลักษณะกลมสามข้อก็ปรากฏด้านหน้าของเขา
สีเครื่องเคลือบตลอดทั้งอันเป็นสีขาวของพระจันทร์ วัสดุหนาหนัก โดยเฉพาะด้านเคลือบที่แตกลายนั้นให้ความรู้สึกอ่อนช้อยมาก เหมือนกับกระแสน้ำไหล เหมือนคริสตัลใส รอยแตกลายงาไม่เพียงแต่ดูลื่นไหล แถบใหญ่นั้นเหมือนกับผิวปลาไหล ทำให้คนรู้สึกว่ารอยแตกลายงาเหล่านี้ทำให้คนที่พบเห็นอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง
คอของเครื่องเคลือบดูสง่างดงามมีความหมายแผง ถึงแม้ไม่ได้วิจิตรตระการตาจนทำให้สะดุดตา แต่การลงสีนั้นประณีตสะกดใจ การลงสีที่ดูเรียบง่ายนั้น แม้แต่เยี่ยเทียนก็มองเห็นว่าไม่ใช่สิ่งของธรรมดาทั่วไป
“พ่อ ของแบบนี้ทำไมพ่อคิดจะขายล่ะ ขายน่ะง่ายแต่จะหาซื้อแบบนี้อีกน่ะมันยากนะ!”
เห็นคอของเครื่องเคลือบ ตาของเยี่ยเทียนโตเท่าไข่ห่าน นี่เป็นเครื่องเคลือบที่พ่ออยู่ในวงการนี้มาสิบกว่าปีที่สะสมมาเป็นของมีค่าที่สุดที่เก็บไว้ เมื่อก่อนตอนที่เยี่ยเทียนยังเรียนมหาวิทยาลัย เยี่ยตงผิงไม่รู้ว่าหยิบสิ่งนี้มาให้เค้าดูกี่รอบต่อกี่รอบ
นี่เป็นเครื่องเคลือบลายครามในสมัยซ่งเหนือ ปรับปรุงพัฒนาวิธีการเผาไฟแบบสกุลหรู่ เป็นเครื่องเคลือบที่ทำไว้ใช้เฉพาะในตำหนักฝ่ายในของฮ่องเต้ และยังเป็นเครื่องเคลือบเดียวในประวัติศาสตร์ที่ยังไม่ได้มีการซื้อขายเปลี่ยนผ่านไปมาเพียงหนึ่งเดียวอีกด้วย เครื่องเคลือบในตำหนักฮ่องเต้ มีแค่เพียงชิ้นเดียว ใช้สำหรับฮ่องเต้เท่านั้น
“คนอื่นเสนอราคาแปดสิบล้าน นี่ก็สูงมากแล้ว ไม่ขายจะเก็บไว้ทำอะไร” ถูกลูกชายเห็นของที่ตนเองจะขาย เยี่ยตงผิงสีหน้าปั้นยาก เพราะเขาเคยพูดหลายครั้ง ว่าจะยกให้เครื่องเคลือบพอร์ซเลนนี้เป็นสมบัติประจำตระกูลที่ตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นของตระกูลเยี่ย
ตลาดค้าสินค้าศิลปะในปีเก้าศูนย์นั้น นอกจากเซรามิกสามสีสมัยราชวงศ์ถังที่ทำชื่อเสียงในต่างประเทศแล้วนั้น ราคาของเครื่องเคลือบอื่น ๆ ก็ไม่สูงมากนัก ปกติแล้วราคาจะอยู่ที่แสนถึงล้านหยวน เยี่ยตงผิงที่บอกว่าแปดสิบล้านนั้น ถือได้ว่าเป็นราคาที่แพงลิบลิ่วแล้ว
เพียงแต่ว่าหากตัวเองไม่ได้ก่อเรื่องนั้นขึ้นมา เยี่ยตงผิงก็คงจะไม่ขายเครื่องเคลือบนี้แน่ เพราะความหาได้ยากของเครื่องเคลือบจากยุคราชวงศ์ซ่ง ไม่ได้เป็นรองกระเบื้องลายครามสมัยหยวนและชิงและเครื่องลายครามจวินติ้งหรู่และเครื่องเคลือบมีชื่ออื่น ๆ เลย
เรื่องนี้ก็ถือเป็นเครื่องที่คลาสสิก คนสมัยราชวงศ์ซ่งนั้นชอบรูปวาดของมีค่าและคนที่มีฐานะในแวดวงศิลปะสูงที่สุดซ่งฮุยจง ในตอนที่กำลังจะถูกกองทหารจับนั้น กลับแลกชีวิตการเป็นฮ่องเต้ด้วยการลงมือทำลายเตาเผาเครื่องเคลือบด้วยตนเอง ทำให้เครื่องเคลือบทั้งวังเสียหายในคราเดียว
หลังจากผ่านการชำระล้างในครั้งนี้ เครื่องเคลือบราชวงศ์ซ่งที่สามารถส่งต่อไปยังลูกหลานได้นั้นมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย มีเพียงไม่กี่ชิ้นที่กระจายอยู่ตามพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียง มูลค่าทางศิลปะและมูลค่าเก็บสะสมระดับความแพงนั้นเป็นที่เด่นชัด
ในปีที่เยี่ยตงผิงได้รับคนโฑนี้มาจากตระกูลร่ำรวยที่เจียงหนาน ดีใจจนนอนไม่หลับไปหลายวัน พาลดึงเอาเยี่ยเทียนมานั่งฟังความรู้เกี่ยวกับเครื่องเคลือบในสมัยราชวงศ์ซ่งไม่น้อย ความดีใจนั้นแสดงออกมาอย่างเต็มเปี่ยมผ่านคำพูด
เพียงแต่ครั้งนี้นำเงินของลูกชายไปใช้จนหมดไม่มีเหลือ และภรรยาก็จะกลับมาเดือนหน้า เยี่ยตงผิงไม่มีทางเลือก ถึงได้เลือกที่จะขายคนโฑนี้ออกไป แน่นอนว่า เขาเพียงแค่ปล่อยข่าวออกไป ก็มีคนเสนอราคาแปดสิบล้านมาให้
“พ่อ เก็บไปเถอะ พวกเราไม่ขาดเงินแปดสิบล้านนั่น!”
เห็นพ่อของตัวเองนำของล้ำค่าที่สำคัญกว่าชีวิตชิ้นนี้จะขายออกไป ในใจของเยี่ยเทียนนั้นก็รู้สึกเสียใจ ในตอนนั้นจึงกล่าวว่า “พ่อ ผมได้ข่าวคนที่โกงเงินเราไปแล้ว อีกไม่กี่วันก็จะมาหาเราถึงหน้าประตูบ้าน พ่อวางใจ เรื่องเงินทั้งหมดนั่นผมจะเอากลับคืนมาให้ได้ และต้องได้ก่อนที่แม่จะกลับมาด้วย!”
เรื่องทองนั้นพัวพันใหญ่โต และยังเป็นความลับของศิษย์พี่ ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงไม่อยากให้พ่อได้รับรู้ หยิบยกเอาเรื่องที่เคยถูกหลอกมาเป็นเกราะกำบัง
หากพูดถึงเรื่องที่เคยถูกหลอกนั้น เยี่ยเทียนมีความคืบหน้านิดหน่อยจริงๆ เพราะเปาเฟิงหลิงนั้นทนต่อความเจ็บปวดไม่ไหว จึงได้โทรหาเยี่ยเทียน บอกว่ามีข่าวนิดหน่อยเกี่ยวกับเถ้าแก่จี๋ หลังจากยืนยันแล้ว จะรีบติดต่อเยี่ยเทียนมาทันที
“จริงเหรอ” เยี่ยตงผิงกล่าวอย่างตกตะลึง แล้วตามมาด้วยความดีใจ หากว่าไม่ได้เป็นเพราะอับจนหนทาง เขาจะตัดใจขายคนโฑที่เป็นเสมือนชีวิตของเขาได้อย่างไรกัน
“จริงแท้แน่นอน เซ่าเทียนอีกสองสามวันก็จะไปกับผม เจ้าคนนั้นรับรองว่าหนีไม่พ้นแน่นอน”
ในขณะที่กล่าวนั้นเยียเทียนก็ส่งสายตาให้กับโจวเซ่าเทียน โจวเซ่าเทียนรีบกล่าวขึ้นว่า “ลุงเยี่ย ถูกต้องที่สุด อาจารย์ออกหน้าแล้ว ลุงทำใจให้สบายรอฟังข่าวดีอยู่ที่บ้านเถอะนะ”
……
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น