ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 477-486
ตอนที่ 477 ทารกเทียนฉาน
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ย่อมรู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก และยันต์ดำดินก็ถูกใช้ไปหมดแล้ว เขาจึงได้แต่ปล่อยพลังจิตอันแข็งแกร่งออกไปจับตำแหน่งของปีศาจอสูรไว้ ขณะเดียวกันก็ขี่เมฆตามไปตลอดทาง
แต่ทว่าหลังจากตามไปได้เจ็ดแปดลี้ อสูรเกราะมังกรก็หนีเข้าไปในเทือกเขาแปลกประหลาดที่มีไอพิษหนาแน่น
ขณะนี้หลิ่วหมิงสูญเสียพลังเวทไปมาก โอสถและยันต์ก็ใช้ไปเกือบหมดแล้ว หลังจากลังเลอยู่นอกไอพิษตั้งนาน เขาก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา และไม่กล้าเสี่ยงเข้าไปด้านใน สุดท้ายจึงหมุนตัวเหาะกลับไปทางตลาดตะวันมืดด้วยความหงุดหงิด
หลายวันต่อมา หลังจากหลิ่วหมิงกลับถึงตลาดตะวันมืดแล้ว ก็รีบซื้อโอสถฟื้นฟูพลังเวทกับยันต์จำนวนมาก ซึ่งมากกว่าก่อนหน้านั้นเท่าตัว และก็ซื้อธงค่ายกลง่ายๆ สองสามชุดเผื่อจะได้ใช้
เมื่อทำทุกอย่างนี้เสร็จ เขาถึงหาโรงเตี๊ยมเพื่อทำการพักผ่อน
ประจักษ์ชัดว่าการเข้าเขาครั้งที่สอง ไม่ได้ราบรื่นเหมือนกับครั้งแรก แม้หลิ่วหมิงจะระมัดระวังรอบคอบทุกจังหวะก้าว ปรับตัวไปตามสถานการณ์ จึงไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมาก แต่ทว่าสูญเสียพลังเวทไปไม่น้อย เลยใช้เวลาในการฟื้นคืนค่อนข้างนาน
และหลังจากผ่านการล่ามาสองครั้ง ถุงหนังบนเอวของเขา ก็มีไข่แมงมุมเกือบยี่สิบใบ หากครั้งหน้าเก็บเกี่ยวมาได้อีกสิบกว่าใบล่ะก็ คงเพียงพอที่จะใช้แลกแต้มคุณูปการไปฝึกฝนในถ้ำห้าธาตุเป็นเวลาครึ่งเดือนแล้ว
หลังจากหลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองดูแล้ว ก็วางค่ายกลง่ายๆ ไว้ในห้อง จากนั้นก็ทานโอสถไปจำนวนหนึ่ง ทั้งยังนำหินจิตวิญญาณออกมาสองก้อน และค่อยๆ เริ่มฟื้นฟูพลังต้นกำเนิด
สองวันต่อมา หลิ่วหมิงลืมตาขึ้นมาในฉับพลัน ตอนนี้เขารู้สึกว่าพลังเวทและความกระปรี้กระเปร่าได้ฟื้นคืนมาพอประมาณแล้ว จากนั้นเขาก็สะบัดแขนเสื้อหยิบแผนที่เทือกเขาตะวันมืดมาศึกษาอย่างละเอียด
ระหว่างทางที่กลับจากเทือกเขาตะวันมืดในครั้งนั้น เขาได้ผ่านถ้ำของแมงมุมขาหิมะสองแห่ง แต่ติดขัดที่ขณะนั้นมีพลังเวทไม่เพียงพอ อีกทั้งโอสถและยันต์ก็ถูกใช้ไปจนหมดสิ้น จึงได้แต่ทำเครื่องหมายไว้บนแผนที่
การเข้าเขาในครั้งนี้ จุดมุ่งหมายแรกของหลิ่วหมิงก็คือ ไปกวาดล้างสถานที่สองแห่งนี้
หลังจากเขาคิดไตร่ตรองอย่างละเอียด และคิดว่าไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ก็เก็บแผนที่เข้าไป และไปจากที่พักทันที
หลังจากออกไปจากโรงเตี๊ยมแล้ว เขาก็เข้าสู่ส่วนลึกของเทือกเขาตะวันมืดเป็นครั้งที่สาม
ผ่านไปหนึ่งชั่วยามกว่าๆ เมื่อหลิ่วหมิงเข้าเทือกเขาตะวันมืดไปได้ไม่กี่ลี้นั้น เขาก็ต้องหยุดชะงักอยู่กลางอากาศ และหมุนตัวมองไปยังที่ไกลๆ
ผ่านไปสักครู่ ก็มีเสียงดังมาจากด้านหลัง เงาร่างชายสี่หญิงหนึ่งปรากฏออกมา และขี่เมฆหลากสีพุ่งมาทางหลิ่วหมิง
“ข้าน้อยเยี่ยนหมิง ไม่ทราบว่าควรเรียกขานสหายผู้นี้ว่าอย่างไร?” หลังจากที่ชายหญิงกลุ่มนี้มาถึงตรงหน้าหลิ่วหมิง พวกเขาก็หยุดการเคลื่อนไหวลง ชายหนุ่มคนหน้าสุดที่สวมชุดศิษย์สายนอกของนิกายยอดบริสุทธิ์ประสานมือคารวะหลิ่วหมิง และกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ที่แท้ก็เป็นศิษย์พี่เยี่ยน ข้าน้อยหลิ่วหมิง” หลิ่วหมิงชายตามอง และสังเกตดูศิษย์ที่อยู่บริเวณนั้นทีหนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ กล่าวออกมา
ศิษย์สายนอกอีกสี่คนที่อยู่ด้านหลัง หนึ่งในนั้นเป็นหญิงงดงามอายุราวๆ สิบเจ็ดสิบแปดปี ผิวละเอียดเกลี้ยงเกลา พอเห็นหลิ่วหมิงกวาดสายตาผ่าน นางกลับยิ้มให้เพียงเล็กน้อย
ส่วนอีกสามคนต่างก็เป็นชายหนุ่มอายุยี่สิบต้นๆ หนึ่งในนั้นเป็นชายรูปงาม สวมเครื่องประดับครอบมวยผมที่มีลักษณะภูมิฐาน ดูคล้ายบัณฑิต อีกคนใบหน้าคมสัน แววตาดูป่าเถื่อนมาก ส่วนชายหนุ่มที่ยืนอยู่ท้ายสุดมีรูปร่างค่อนข้างเล็ก สีหน้าเรียบเฉย
พวกเขาทั้งห้ามีแค่เยี่ยนหมิงกับชายใบหน้าคมสันที่มีการฝึกฝนอยู่ระดับของเหลวขั้นกลางเท่านั้น ที่เหลือต่างก็อยู่ที่ระดับของเหลวขั้นต้น
“ที่แท้ก็เป็นพี่หลิ่ว! พวกข้าทั้งห้าคนวางแผนจะเข้าเทือกเขาตะวันมืด เพื่อล่าปีศาจปีศาจกรงเล็บหยกที่อยู่ระดับของเหลวขั้นปลาย ได้ยินมาว่าศิษย์น้องเข้าเทือกเขาตะวันมืดคนเดียวหลายครั้ง และกลับมาอย่างปลอดภัย คิดว่าจะต้องมีพลังไม่ธรรมดา พอจะให้พวกข้าร่วมเดินทางด้วยได้หรือไม่ จะได้ดูแลซึ่งกันและกัน หากพี่หลิ่วสามารถร่วมสังหารปีศาจตนนี้กับพวกข้าได้ พวกข้าจะต้องแบ่งแต้มคุณูปการของภารกิจนี้ให้อย่างแน่นอน” พอเยี่ยนหมิงเห็นสีหน้าไม่ยินดียินร้ายของหลิ่วหมิง เขาจึงบอกจุดประสงค์ออกมาตามตรง
“ปีศาจกรงเล็บหยก? ปีศาจจิตวิญญาณชนิดนี้ลึกลับซับซ้อนมาก มีที่อยู่ไม่แน่นอน เกรงว่าคงไม่สามารถรับมือได้โดยง่าย” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นก็กล่าวออกมาราวกับคิดอะไรอยู่
ภารกิจนี้เป็นหนึ่งในภารกิจที่อยู่บนป้ายประกาศใน ก่อนหน้านั้นหลิ่วหมิงก็เคยเห็นผ่านๆ ตา มันได้รางวัลตอบแทนไม่น้อย แต่ก็มีโอกาสสำเร็จยากเช่นกัน
อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง เพียงแค่หาที่อยู่ของปีศาจจิตวิญญาณนี้ให้เจอ ก็เป็นเรื่องที่สิ้นเปลืองเวลามากแล้ว
และปีศาจกรงเล็บหยกที่กล่าวถึง แท้จริงแล้วจะเติบโตในภูเขาใหญ่ที่มีชื่อเสียงอย่างเทือกเขาตะวันมืด หลังจากวานรที่ฝึกฝนจนถึงระดับของเหลวได้ตายไปแล้ว ศพของมันก็ฟื้นคืนชีพเป็นปีศาจจิตวิญญาณแปลกประหลาดชนิดหนึ่ง พลังของมันเหนือกว่าปีศาจอสูรระดับของเหลวขั้นปลายมาก อีกทั้งยังมีความเร็วอย่างน่าประหลาดใจ และยังเชี่ยวชาญการซุ่มโจมตี มันจึงรับมือได้ยากมาก
“ปีศาจจิตวิญญาณชนิดนี้หายากจริงๆ แต่หลายวันนี้ พวกข้าได้ใช้พลังจิตค้นหาเจอตัวหนึ่ง และได้ศึกษาแผนการล่าไว้แล้ว เพียงแค่ศิษย์น้องยอมเข้าร่วม ภารกิจนี้จะต้องมีโอกาสสำเร็จเก้าในสิบส่วนอย่างแน่นอน” เยี่ยนหมิงอธิบายโดยไม่ต้องคิด
“ข้าน้อยเข้าเทือกเขาตะวันมืดในครั้งนี้ ยังมีภารกิจอื่นที่ต้องทำ และไม่คิดที่จะร่วมกลุ่มกับใคร พี่เยี่ยนไปหาคนอื่นเถอะ!” หลิ่วหมิงเพียงแค่คิดไตร่ตรองเล็กน้อย จากนั้นก็ปฏิเสธอย่างไม่ลังเล
แม้เขาจะไม่รู้ว่าทำไมคนตรงหน้าถึงรับภารกิจบนป้ายประกาศในมา แต่ขณะนี้ตนเองมีเวลาจำกัด ทั้งยังพบเจอรังสองแห่งที่ดูคล้ายกับมีแมงมุมขาหิมะอยู่ เพียงแค่ไม่เกิดปัญหาอะไรขึ้น ครึ่งเดือนให้หลังก็กลับไปรายงานผลที่นิกายยอดบริสุทธิ์ได้แล้ว เขาจึงไม่อยากสร้างปัญหาซับซ้อนอีก
“ช่างน่าเสียดายจริงๆ หากพี่หลิ่วเข้าร่วมด้วยล่ะก็ พวกเราก็มีความมั่นใจในความสำเร็จมากขึ้น แต่ในเมื่อพี่หลิ่วไม่อยากเข้าร่วม ข้าย่อมไม่บังคับแต่อย่างใด ถ้าอย่างนั้นก็จากกันตรงนี้เถอะ!” พอเยี่ยนหมิงได้ยิน ก็มีสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย ทันใดนั้นจึงกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
หลิ่วหมิงก็ประสานมือคารวะด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก จากนั้นก็ขี่เมฆดำเหาะไปทางเทือกเขาตะวันมืด
“พี่เยี่ยนจะปล่อยไปเช่นนี้หรือ?” หญิงสาวงดงามที่อยู่ด้านหลังเห็นเช่นนี้ ก็ขมวดคิ้วขึ้นมา ดูเหมือนนางคิดไม่ถึงว่าหลิ่วหมิงจะปฏิเสธเช่นนี้
“ไม่รู้จักดีเลว” ชายหนุ่มใบหน้าคมสันก็ทำเสียงฮึดฮัดออกมา
ส่วนชายร่างเล็กกับบัณฑิตผู้นั้นกลับไม่พูดอะไรออกมา และดูเหมือนจะไม่ใส่ใจแต่อย่างใด
“บังคับไปก็ไร้ประโยชน์ ในเมื่อคนผู้นี้ไม่คิดจะร่วมมือกับพวกเรา ก็ไม่อาจฝืนใจเขาได้ พวกเราทำตามแผนเดิมที่วางไว้เถอะ! เพียงแค่ไม่เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด คงจะไม่มีปัญหาอะไร ที่ข้าชวนเขาไปด้วยก็เพื่อป้องกันเหตุที่คาดไม่ถึงเท่านั้น” เยี่ยนหมิงโบกมือแล้วกล่าวด้วยสีหน้าที่กลับมาเป็นปกติ
คนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ก็ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ทันใดนั้นพวกเขาทั้งห้าก็ขี่เมฆไปยังเทือกเขาตะวันมืดเช่นกัน เพียงแต่ว่าทิศทางของพวกเขา เบี่ยงเบนจากทิศทางที่หลิ่วหมิงไปเล็กน้อย
…….
ครึ่งเดือนต่อมา ภายในถ้ำเร้นลับแห่งหนึ่งที่อยู่ท่ามกลางเทือกเขาตะวันมืด ชายหนุ่มที่สวมชุดคลุมสีดำกำลังหาอะไรบางอย่างอยู่
เขาก็คือหลิ่วหมิงที่เข้าเขาเป็นครั้งที่สามนั่นเอง
ขณะนี้ ถุงหนังบนเอวมีไข่แมงมุมขาหิมะเพิ่มขึ้นมาเจ็ดแปดใบ
ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป หลิ่วหมิงก็พบไข่แวววาวอีกหกใบที่ด้านหลังเสาหินขนาดใหญ่ที่อยู่ภายในถ้ำ
เขาย่อมรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
การที่ค้นพบไข่แมงมุมหกใบในรังแมงมุมขาหิมะระดับของเหลวขั้นต้นสามตัว ก็นับว่าเหนือความคาดหมายมากแล้ว
และการเดินทางในครั้งนี้ก็นับว่าราบรื่นมาก
รังแมงมุมทั้งสองแห่งนี้จัดการได้ไม่ยาก และในถ้ำก็มีไข่อยู่ด้วย ตอนนี้เขาได้ไข่แมงมุมมาทั้งหมดสามสิบกว่าใบแล้ว และเพียงพอที่จะแลกแต้มคุณูปการ เพื่อไปฝึกฝนที่ถ้ำห้าธาตุเป็นเวลาครึ่งเดือนได้แล้ว
ขณะที่หลิ่วหมิงเดินออกจากถ้ำ และกำลังจะขี่เมฆทะยานขึ้นฟ้านั้น สีหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนไปทันที จากนั้นก็หายวับไปด้านหลังต้นไม้ใหญ่ที่อยู่บริเวณนั้น
ผ่านไปไม่กี่อึดใจ มีเสียงดังขึ้นจากขอบฟ้าที่อยู่ไกลๆ จากนั้นลูกแสงห้าสีก็พุ่งมาทางหลิ่วหมิง
และภายในลูกแสงก็มีเงาร่างของคนอยู่ ลูกแสงที่อยู่หน้าสุดก็คือเยี่ยนหมิงนั่นเอง
แต่ขณะนี้เขามีสีหน้าลนลานมาก มือทั้งสองกระตุ้นลูกแสงอย่างบ้าคลั่ง เพื่อพาคนอื่นๆ หลบหนีอย่างสุดชีวิต
และห่างจากด้านหลังพวกเขาทั้งห้าไปร้อยกว่าจั้ง มีไอหมอกสีเขียวกลุ่มหนึ่งตามติดอย่างไม่ลดละ ในนั้นมีตัวประหลาดสูงสองสามจั้ง และมีขนสีเขียวปกคลุมเต็มตัว มันกำลังพ่นหมอกควันออกมาไม่หยุด
เมื่อหลิ่วหมิงหรี่ตามองอย่างละเอียด ถึงค้นพบว่าบนหัวของตัวประหลาดขนเขียวนี้ ยังมีคนแคระใบหน้าอัปลักษณ์ยืนอยู่คนหนึ่ง สีหน้าของเขาโหดเหี้ยมมาก แต่ดูเหมือนว่ากลิ่นไอบนตัวจะอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นปลาย
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ย่อมรู้สึกประหลาดใจมาก และกำลังคิดว่าไตร่ตรองว่าฉากตรงหน้าคืออะไรกันแน่
ขณะนี้ คนแคระอัปลักษณ์เห็นว่าเยี่ยนหมิงเคลื่อนไหวเร็วขึ้นเรื่อยๆ เขาจึงหัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็น และตบลงบนหัวของตัวประหลาดทันที
ตัวประหลาดขนเขียวแหงนหน้าแผดเสียงร้องออกมา หมอกดำพวยพุ่งบนตัว ทันใดนั้นมันก็กลายเป็นเงาร่างพุ่งยิงไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว ซึ่งเร็วกว่าก่อนหน้านั้นเท่าตัว
“ทารกเทียนฉาน เจ้าจะฆ่าพวกเราให้หมดจริงๆ หรือ แม้พวกเราทั้งห้าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า แต่หากร่วมมือกันเอาชีวิตเข้าสู้ล่ะก็ ใช่ว่าจะไม่สามารถทำให้เจ้าตายไปพร้อมกันได้ อีกอย่างเจ้ากล้าฆ่าศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ในพื้นที่ที่อยู่ใกล้กับนิกายเช่นนี้ ไม่กลัวว่านิกายเราจะลงมือกับเจ้าหรือ?” พอเยี่ยนหมิงเห็นฉากเช่นนี้ ก็ตะโกนออกมาด้วยสีหน้าซีดขาว
“เฮ่อๆ! พวกเจ้าเป็นแค่ศิษย์สายนอกของนิกายยอดบริสุทธิ์เท่านั้น ต่อให้ฆ่าพวกเจ้าทั้งหมด เฒ่าประหลาดในนิกายยอดบริสุทธิ์ก็คงไม่สนใจแต่อย่างใด มิเช่นนั้นข้าจะลอยนวลมาถึงทุกวันนี้ได้อย่างไร! อีกอย่างเทือกเขาตะวันมืดแห่งนี้ก็อันตรายมาก หากพวกเจ้าตายที่นี่ แล้วใครจะรู้ว่าข้าเป็นคนทำเล่า ส่วนเรื่องที่คิดจะเอาชีวิตเข้าสู้นั้น ยิ่งเป็นเรื่องดีเข้าไปใหญ่ ข้ากำลังคิดอยากลองดูว่า ปีศาจกรงเล็บหยกตัวนี้ จะร้ายกาจย่างที่เล่าลือหรือไม่?” คนแคระหน้าตาอัปลักษณ์หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นก็กล่าวด้วยแววตาดุร้าย
“พี่เยี่ยน ไม่ต้องพูดจาไร้สาระกับมันหรอก ตอนนี้คงได้แต่เอาชีวิตเข้าสู้เท่านั้น” ขณะที่ชายใบหน้าคมสันเห็นว่าเงาร่างตัวประหลาดขนเขียวเข้ามาใกล้มากขึ้น เขาก็กัดฟันกล่าวออกมา
…………………………………
ตอนที่ 478 การต่อสู้บนเขาตะวันมืด
โดย
Ink Stone_Fantasy
เขาเปลี่ยนท่ามือไปมาท่ามกลางม่านแสงอยู่ครู่หนึ่งหนึ่ง จากนั้นหอกยาวสีฟ้าก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า หลังจากคว้ามันมาไว้ในมือแล้ว ก็โบกสะบัดเล็กน้อย พอเกิดเสียงดัง “ฟู่ๆ!” เงาหอกสีฟ้าจำนวนมากก็พุ่งยิงออกไป
แต่เงาร่างตัวประหลาดขนเขียวที่อยู่ด้านหลังกลับเคลื่อนไหวแค่ทีเดียว ก็พร่ามัวพุ่งขึ้นสูงกว่าเดิม จากนั้นก็มาปรากฏตัวตรงหน้าเยี่ยนหมิงและพวก และขวางทางพวกเขาไว้
ทารกเทียนฉานยืนอยู่บนตัวประหลาดขนเขียวด้วยสีหน้าเหี้ยมโหด
ผู้คนทั้งห้ารู้สึกตกใจมาก ทำได้เพียงแต่ค่อยๆ หยุดชะงักลง
“ลงมือ!”
เยี่ยนหมิงเป็นคนเด็ดขาดมาก พอเห็นฉากเช่นนี้ ก็รู้ว่าคงเป็นเรื่องเพ้อฝันที่จะรอดไปได้อย่างปลอดภัย เขาจึงส่งเสียงตะโกน และหยิบกระจกโบราณสีเงินแวววาวออกมา
พริบตาที่กระจกโบราณหลุดออกจากมือ มันก็ขนาดใหญ่ตามแรงลม จากนั้นแสงสีครามก็พุ่งออกจากในนั้น
ตัวประหลาดตรงหน้าอ้าปากพ่นหมอกเขียวออกมาทันที และมันก็ปะทะกับแสงสีครามตรงหน้าพอดี
“ตู๊ม!”
ไอหมอกเขียวถูกแสงสีครามโจมตีจนดูจางลงในพริบตา
“ไอหมอกนี้เป็นวิชาพิษที่ปีศาจกรงเล็บหยกสร้างขึ้นมา กระจกชำระใจนี้ก็คือดาวมฤตยูของมัน ข้าจะขับไล่เกราะกำบังของมัน ส่วนพวกเจ้ารวมพลังกันโจมตีทารกเทียนฉานที่อยู่บนตัวปีศาจจิตวิญญาณ” พอเยี่ยนหมิงเห็นว่ากระจกโบราณใช้ได้ผล เขาก็รีบส่งเสียงไปให้คนทั้งสี่ที่อยู่ด้านหลัง
ขณะนี้ หมอกเขียวพวยพุ่งออกจากร่างของตัวประหลาดขนเขียว พริบตาเดียวร่างของมันก็จมเข้าไปในนั้น
เยี่ยนหมิงกระตุ้นพลังเวทในทันที กระจกโบราณส่องไปด้านหน้า และปล่อยแสงสีครามออกไป
ไอหมอกรอบตัวประหลาดขนเขียวต้านทานได้เพียงเล็กน้อย จากนั้นก็ค่อยๆ สลายไป
คนอื่นๆ อีกสี่คนเห็นเช่นนี้ ย่อมรู้สึกดีใจมาก
ชายผอมแห้งที่อยู่ในนั้นได้ยินเช่นนี้ ก็สะบัดมือข้างหนึ่งทันที ทันใดนั้นกระบี่เล็กสีทองจางๆ ก็พุ่งออกมา หลังจากหมุนเหนือศีรษะหนึ่งรอบ มันก็กลายเป็นแสงสีทองพุ่งยิงออกไปด้านหน้า
ทารกเทียนฉานเห็นเช่นนี้ ก็เผยแววตาดุร้ายออกมา พอโบกแขนเสื้อ น้ำเต้าสีเขียวแวววาวก็พุ่งออกจากในนั้น และหมุนวนทีหนึ่ง จากนั้นปากน้ำเต้าก็ถูกเปิดออกมา แสงสีเขียวลำหนึ่งม้วนตัวออกจากในนั้น และพุ่งไปรับแสงสีทอง
พอแสงสีทองสัมผัสกับแสงสีเขียว มันก็ถูกม้วนตัวเข้าไป!
แสงสีเขียวเปล่งประกายเปรี๊ยะๆ อยู่ชั่วขณะหนึ่ง แสงสีทองดับมืดลงในทันที เผยให้เห็นถึงกระบี่เล็กสีทองจางๆ ที่อยู่ในนั้น จากนั้นมันก็ร่วงลงมาจากฟ้า
ไม่ว่าชายร่างผอมจะกระตุ้นเคล็ดกระบี่อย่างบ้าคลั่งแค่ไหนก็ตาม กระบี่เล็กสีทองก็ไม่มีท่าทีตอบสนองใดๆ เลยแม้แต่น้อย
ขณะนั้นเอง ชายใบหน้าคมสันกลับยกหอกยาวสีครามขึ้นมา และเขวี้ยงออกไปอย่างรุนแรง
เกิดเสียงดังก้องฟ้า เงาหอกสีครามกระพริบผ่านไป
หญิงสาวงดงามที่อยู่ด้านข้าง กลับถือพัดขนนกสีเขียวอยู่บนมือ พอพัดเบาๆ ก็เกิดเสียงดัง “ฟิ้ว!” จากนั้นคมวายุยักษ์ที่มีขนาดจั้งกว่าๆ ก็พุ่งออกจากพัด
ชายหนุ่มที่ดูเหมือนบัณฑิตผู้นั้นตะโกนออกมา และคว้ามือข้างหนึ่งไปกลางอากาศ ขวานยักษ์สีดำที่เต็มไปด้วยลวดลายสีดำปรากฏออกมา จากนั้นเขาก็ใช้มือทั้งสองจับมันเอาไว้แน่น และฟันออกไปด้านหน้า
“ฟิ้ว!” เงาขวานค้ำฟ้าปรากฏเหนือหัวตัวประหลาดขนเขียว และฟันใส่ทารกเทียนฉานที่ยืนอยู่บนนั้นอย่างโหดเหี้ยม
“ลำพังแค่พวกเจ้า ก็คิดจะทำร้ายข้า?” คนแคระหัวเราะอย่างเยือกเย็น จากนั้นก็ใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งตบลงบนหัวปีศาจจิตวิญญาณ เมื่อเขาขยับตัวหนึ่งที ก็พุ่งออกไปด้านหลังหลายจั้ง
พอปีศาจกรงเล็บหยกใช้ฝ่ามือทั้งคู่ตบหน้าอกหนึ่งที ร่างของมันก็ขยายใหญ่เท่าตัว และสูงขึ้นกว่าเดิมหลายจั้ง ขณะเดียวกัน แขนทั้งสองก็เคลื่อนไหวจนกลายเป็นเงากรงเล็บ
ครู่ต่อมา เกิดเสียงดัง “โครมคราม!” ดังขึ้นติดต่อกัน
หอกยาว คมวายุ เงาขวาน พุ่งเข้ามาพร้อมกัน และประทุแสงสว่างพร่างพรายตรงหน้าตัวประหลาดขนเขียว
เมื่อต้องเผชิญกับการไล่ฆ่าของศัตรูที่แข็งแกร่ง หากไม่อาจโจมตีได้สำเร็จในครั้งเดียว ชีวิตของคนเหล่านี้ก็น่าเป็นห่วงแล้ว
ผู้คนที่อยู่ในนั้นแม้กระทั่งเยี่ยนหมิงย่อมเข้าใจเรื่องนี้ดี ด้วยเหตุนี้จึงลงมือโจมตีพร้อมกันทันที หลังจากที่ชายใบหน้าคมสันกับบัณฑิตโจมตีออกไปแล้ว พวกเขาต่างก็เคลื่อนตัวมาบังอยู่ตรงหน้าเยี่ยนหมิง
“ฮ่าๆ!”
เสียงหัวเราะแปลกประหลาดดังออกจากลำแสง!
ผ่านไปไม่กี่อึดใจ ลำแสงก็ค่อยๆ สลายไป แต่จะเห็นว่าตัวประหลาดขนเขียวยังคงลอยอยู่กลางอากาศโดยไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ เลย ส่วนทารกเทียนฉานก็กลับมาอยู่บนตัวมันอีกครั้ง
ปีศาจจิตวิญญาณตนนี้อาศัยเพียงแค่ฝ่ามือธรรมดาๆ ก็ต้านทานอาวุธจิตวิญญาณของคนเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกตกตะลึงขึ้นมา การป้องกันของตัวประหลาดขนเขียวตัวนี้แข็งแกร่งมาก ดูเหมือนจะไม่ได้ด้อยไปกว่าอสูรเกราะมังกรในก่อนหน้าเลยแม้แต่น้อย
“วันนี้เพิ่งจะสยบปีศาจกรงเล็บหยกได้ ดีเลยจะได้นำเลือดของพวกเจ้ามาสังเวย” คนแคระหัวเราะ และกล่าวด้วยแววตาโหดเหี้ยม เขาทำท่ามือด้วยมือเดียวแล้วชี้นิ้วไปยังน้ำเต้าที่ปล่อยออกมา
น้ำเต้าหมุนตัวติ้วๆ จนขยายใหญ่จั้งกว่าๆ ขณะเดียวกันก็มีเสียงฟ้าร้องดังออกจากน้ำเต้า แสงสีม่วงทะลักออกมาจากในนั้นอย่างบ้าคลั่ง หลังจากแยกออกเป็นสองกลุ่มแล้ว ก็ม้วนตัวไปหาชายใบหน้าคมสันกับบัณฑิตที่อยู่ใกล้เขาที่สุด
เยี่ยนหมิงรีบกระตุ้นกระจกโบราณตรงหน้าด้วยความตกใจ จากนั้นลำแสงสีครามก็พุ่งออกมา และพุ่งลงบนลำแสงสีม่วงลำหนึ่ง
เกิดเสียงดังอู้อี้!
พอลำแสงสีครามถูกแสงสีม่วงตอบโต้กลับ มันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย แสงสีม่วงยังคงม้วนไปตรงหน้าทั้งสองด้วยอานุภาพอันรุนแรง
ชายใบหน้าคมสันหน้าเปลี่ยนสีทันที เขาอ้าปากพ่นลูกกลมๆ แวววาวออกมาหนึ่งลูก หลังจากสั่นไหวทีหนึ่งแล้ว มันก็กลายเป็นม่านแสงสีขาวปกป้องตัวเขาไว้ ขณะเดียวกันก็สะบัดหอกยาวในมือจนเกิดเสียงดัง “ฟู่ๆ!” จนกลายเป็นม่านหอกสีฟ้า
พอบัณฑิตเห็นเช่นนี้ก็มีสีหน้าซีดขาวขึ้นมา ขวานสีดำในมือตั้งขวางไว้ตรงหน้า หลังจากแสงสีดำเปล่งประกายออกมา มันก็กลายโล่ยักษ์สีดำอันหนึ่ง
หญิงสาวงดงามที่อยู่ด้านข้าง ก็โบกพัดขนนกในมืออย่างอย่างบ้าคลั่ง จนคมวายุพุ่งเข้าใส่ทารกเทียนฉานเป็นจำนวนมาก
ส่วนชายผอมแห้งก็วุ่นวายอยู่กับการทำท่ามือ ในที่สุดก็สามารถควบคุมกระบี่เล็กสีทองได้อีกครั้ง เขาเคลื่อนไหวนิ้วทั้งสิบด้วยความดีใจ ทันใดนั้นกระบี่เล็กสีทองก็หมุนวนขึ้นด้านบน และกลายเป็นแสงกระบี่สีทองฟันใส่ทารกเทียนฉาน
คนแคระหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เท้าทั้งคู่เคลื่อนไหวในทันที จากนั้นก็พุ่งขึ้นฟ้า
และในขณะเดียวกัน ตัวประหลาดขนเขียวที่อยู่ด้านล่าง ก็พร่ามัวหายไปอย่างไร้ร่องรอย
คมวายุจำนวนมากกับแสงกระบี่สีทองต่างก็พุ่งเข้ามากลางอากาศ
ขณะเดียวกันก็เกิดเสียงดัง “โครมคราม!”
แสงสีม่วงอีกลำพุ่งชนใส่ม่านหอกตรงหน้าชายใบหน้าคมสัน มันไม่เพียงแต่จะไม่กระเด็นออกไปเท่านั้น แต่ยังม้วนตัวขึ้นมาราวกับของเหลว
ชายใบหน้าคมสันรู้สึกว่าหอกยาวตรงหน้าหยุดชะงักลง และดูราวกับมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นมาหมื่นชั่ง และเชื่องช้าลงมามาก ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล และคิดจะกระตุ้นเคล็ดวิชาอื่นๆ แต่พลันมีเสียงดัง “ฟิ้ว!”
เขารู้สึกเย็นบริเวณหน้าอก จากนั้นกรงเล็บสีเขียวข้างหนึ่งก็ทะลุออกจากช่องอก และหดกลับไปอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นโลหิตก็ทะลักออกมาอย่างบ้าคลั่ง
ไม่รู้ว่าตัวประหลาดขนเขียวมาปรากฏตัวตรงหลังชายผู้นี้ตั้งแต่เมื่อใด และยังโจมตีอย่างรุนแรงจนถึงแก่ชีวิต และม่านแสงสีขาวชั้นนั้น ก็ไม่อาจต้านทานได้เลยแม้แต่น้อย
ชายใบหน้าคมสันก้มมองรูเลือดขนาดเท่าปากถ้วยบนหน้าอกด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ จากนั้นก็คลายหอกยาวสีฟ้าในมือออกมา และร่างของเขาก็ร่วงลงไปโดยไม่อาจรับรู้สิ่งใดได้อีก
“ศิษย์พี่จู!” หญิงสาวตะโกนด้วยความตกใจ
เงาสีเขียวกระพริบกลางอากาศ จากนั้นตัวประหลาดขนเขียวก็มาปรากฏตัวตรงหลังบัณฑิตที่ถูกแสงสีม่วงโจมตีจนถอยออกไปหลายก้าว และจดจ่อที่ไหล่ทั้งสองของเขาในทันที
มีเสียงร้องดังออกมาอย่างน่าเวทนา โลหิตสดๆ กระเด็นไปทั่วทิศ!
บัณฑิตผู้นี้ถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ
เหตุการณ์ที่ชายใบหน้าคมสันกับบัณฑิตผู้นั้นเสียชีวิต เกิดขึ้นภายในอึดใจเดียว ปีศาจตัวนี้รวดเร็วมาก ทำให้คนอื่นๆ ไม่อาจยื่นมือเข้าช่วยได้ทัน ตอนนี้เยี่ยนหมิงกับพวกอีกสองคนต่างก็รู้สึกเย็นสะท้านไปทั้งตัว
ชายผอมแห้งมีสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ครู่หนึ่ง ต่อมาก็ขยี้ยันต์จนแตกกระจาย แสงสีเหลืองเปล่งประกายบนร่างของเขา จากนั้นก็มุดลงใต้ดินเพื่อจะหลบหนี
“วันนี้พวกเจ้าอย่าได้คิดหนีรอดไปได้แม้แต่คนเดียว” ทารกเทียนฉานกลับตะคอกออกมา พอชี้มือข้างหนึ่งไปกลางอากาศ น้ำเต้ายักษ์ที่อยู่ไม่ไกลก็พลิกคว่ำลงมา จากนั้นแสงสีม่วงลำหนึ่งก็พุ่งเข้าใส่ชายผอมแห้ง
และตัวประหลาดขนเขียวกลับอ้าปากพ่นไอสีเขียวใส่ชายหนุ่ม
“ฟู่!”
แสงสีม่วงม้วนตัวชายผอมแห้งขึ้นมา ทำให้การเคลื่อนไหวของเขาเชื่องช้าลง
ขณะนั้นเอง ไอหมอกสีเขียวก็พุ่งมาถึง และกระพริบหายเข้าไปในแสงสีม่วง จากนั้นก็โจมตีลงบนตัวชายหนุ่มอย่างรุนแรง ทั้งยังส่งเสียงแปลกประหลาดออกมา
ชายหนุ่มร่างผอมแห้งกรีดร้องออกมา ร่างของเขาเน่าเปื่อยอย่างรวดเร็ว ไม่กี่อึดใจก็กลายเป็นซากศพร่วงออกมาจากแสงสีม่วง
พริบตาเดียว คนทั้งห้าก็เหลือเพียงสองคนเท่านั้น ซึ่งก็คือเยี่ยนหมิงกับหญิงสาวใบหน้างดงามนั่นเอง
แต่พอทั้งสองสบตากันทีหนึ่งแล้ว ต่างก็มองเห็นแววตาสิ้นหวังของกันและกัน แต่พวกเขาย่อมไม่ยืนรอความตายอย่างแน่นอน
เยี่ยนหมิงอ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์ใส่กระจกโบราณทันที ขณะเดียวกันก็หมุนแขนข้างหนึ่งไปกลางอากาศ ทันใดนั้นมุกกลมๆ ขนาดเท่าถั่วไหมจำนวนสามเม็ดก็ปรากฏในมือ
และหญิงใบหน้างดงามก็กัดฟันควักยันต์ออกจากตัวมาปึกหนึ่ง และแปะลงบนตัวอย่างบ้าคลั่ง ทันใดนั้นวงแหวนแสงหลากสีก็หมุนวนอยู่บนตัวนาง ทำให้นางดูลึกลับขึ้นมามาก
แต่เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูแข็งแกร่งอย่างชายหญิงทั้งสอง ทารกเทียนฉานกลับไม่ได้ลงมือโจมตีในทันที แต่กลับกวาดสายตามองเนินเขาที่อยู่ด้านล่าง ขณะเดียวกันก็หัวเราะและกล่าวออกมา
“ท่านแอบดูมานานพอแล้วล่ะ! ต้องให้ข้าไปเชิญด้วยตัวเองไหม?”
พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง ก็มีเสียงฟ้าร้องดังออกมาจากน้ำเต้ายักษ์ที่อยู่ตรงหน้า จากนั้นแสงสีม่วงขนาดเท่าศีรษะก็พุ่งไปยังเนินเขา
บังเกิดเสียงดังราวกับฟ้าถล่มดินทลาย!
เศษหินกระเด็นออกมาท่ามกลางแสงสีม่วง มีเงาร่างหนึ่งเงาหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้า หลังจากสั่นไหวทีหนึ่ง ก็มาปรากฏตัวกลางอากาศที่อยู่ห่างจากทารกเทียนฉานหลายสิบจั้ง และจ้องมองคนแคระผู้นี้ด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
“พี่หลิ่ว”
เยี่ยนหมิงรู้สึกตกตะลึงมาก แต่พอเห็นใบหน้าของคนผู้นี้อย่างชัดเจน เขาก็หลุดปากออกมาด้วยความตื่นเต้น และใบหน้าก็เต็มไปด้วยความหวัง
เงาร่างคนผู้นี้ก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
แม้ว่าในตอนนี้ เขาจะไม่มีสีหน้าหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย แต่สายตาที่มองไปยังทารกเทียนฉาน ก็ดูเคร่งขรึมขึ้นมามาก
”ที่แท้ก็เป็นศิษย์สายนอกของนิกายยอดบริสุทธิ์เหมือนกัน! ดีมาก! ข้าจะได้จัดการพร้อมกันทีเดียว จะได้ไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้อีก” ทารกเทียนฉานสังเกตดูหลิ่วหมิงสองสามที และใช้พลังจิตกวาดผ่านไป พอค้นพบว่าหลิ่วหมิงเป็นแค่ผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นกลาง ความกังวลในใจเขาก็หายไปจนหมดสิ้น จากนั้นจึงกล่าวด้วยแววตาดุร้าย
พอเขาก็ชี้นิ้วออกไป พื้นผิวน้ำเต้ายักษ์ก็เปล่งแสงเป็นประกาย จากนั้นแสงสีม่วงขนาดใหญ่ก็พ่นออกมา และม้วนตัวเข้าหาหลิ่วหมิง
และร่างของตัวประหลาดขนเขียวตัวนั้น ก็พร่ามัวพุ่งไปหาเยี่ยนหมิงกับหญิงสาว
ประจักษ์ชัดว่าทารกเทียนฉานคิดว่า ตนเองแค่คนเดียว ก็สามารถจัดการกับผู้แข็งแกร่งระดับของเหลวขั้นกลางได้อย่างเหลือเฟือแล้ว
เยี่ยนหมิงเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกเย็นสะท้านในใจ เขาโยนมุกกลมๆ สีดำสามเม็ดออกไป โดยไม่มีเวลาทักทายหลิ่วหมิงอีก จากนั้นมันก็กลายเป็นลูกแสงสีเงินสามกลุ่ม และส่งเสียงดังหวึ่งๆ ก่อนที่จะพ่นลำแสงสีเลือดออกมา
ทางด้านหญิงใบหน้างดงาม พอนางโบกพัดขนนกในมือ คมวายุจำนวนมากก็ปรากฏออกมาอีกครั้ง ขณะเดียวกัน วงแหวนแสงหลากสีรอบตัวก็หมุนวนอย่างบ้าคลั่ง จนกลายเป็นม่านแสงงดงามปกป้องร่างของนางไว้
ตอนที่ 479 บัญชีความเป็นความตาย
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตัวประหลาดขนเขียวร้ายกาจอย่างที่เปรียบไม่ได้ แต่ก็ถูกเยี่ยนหมิงและหญิงสาวก่อกวนไว้ได้ชั่วขณะหนึ่ง
และพอหลิ่วหมิงเผชิญหน้ากับแสงสีม่วงที่พวยพุ่งเข้ามา สีหน้าของเขาก็ดูหนักอึ้งลง พอยกมือข้างหนึ่งขึ้น ลูกเปลวไฟหลายลูกก็ถูกพุ่งยิงออกไป ภายใต้การสะบัดแขนเสื้อ จุดแสงสีทองก็เปล่งประกายออกมา และกลายเป็นทรายทองคำหมุนวนเต็มฟ้า
หลังจากลูกเปลวไฟปะทะกับแสงสีม่วง ก็มีเสียงระเบิดดังออกมากลางอากาศ คลื่นความร้อนม้วนตัวออกไปทั่วทิศ
แสงสีม่วงหยุดนิ่งทันที
ทารกเทียนฉานเห็นเช่นนี้ ก็ทำท่ามือด้วยมือทั้งสองโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง และร่ายคาถาออกมา
น้ำเต้ายักษ์ส่งเสียงดังโครมคราม และพ่นไอหมอกสีดำกับสีเขียวออกไปด้านหน้า
หลิ่วหมิงเพียงแค่ชี้มือไปกลางอากาศด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก หมอกทรายสีทองกลางอากาศก็แผ่กระจายออกไป ภายใต้การเปล่งประกายของเม็ดทรายแต่ละเม็ด ก่อเกิดเป็นกำแพงทรายขนาดยักษ์ที่สูงสิบกว่าจั้ง
ภายใต้การพวยพุ่งโจมตีของไอหมอกสีเขียวกับสีดำทั้งสองกลุ่ม คิดไม่ถึงว่าจะไม่สามารถทำลายกำแพงทรายได้เลยแม้แต่น้อย
ขณะเดียวกัน ภายใต้การกระตุ้นของหลิ่วหมิง กำแพงทรายก็ถูกผลักไปหาทารกเทียนฉาน
ทารกเฉียนฉานเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกตกใจมาก พอกระตุ้นเคล็ดวิชา น้ำเต้ายักษ์ก็ขยายใหญ่หนึ่งเท่ากว่าๆ ท่ามกลางแสงสีเขียวที่เปล่งประกาย ขณะเดียวกันหมอกดำที่หนาแน่นกว่าก่อนหน้าก็ทะลักออกมา ทำให้ผู้ที่ได้กลิ่นรู้สึกอยากจะอาเจียน
ไอหมอกดำหนาแน่นราวกับเป็นของเหลว ทั้งยังแผ่คลุมไปทั่วฟ้าและปฐพี พอสัมผัสกับม่านทรายสีทอง มันก็ส่งเสียงกัดกร่อนดังออกมา “ฟู่ๆ!” แม้ไม่อาจทำให้กำแพงทรายสีทองเปิดออกมาได้ แต่ก็ทำให้กำแพงทรายไม่อาจเข้าใกล้ได้ชั่วขณะหนึ่ง
พอเห็นว่าวิชาพิษของตนเองไม่อาจทำลายกำแพงทรายตรงหน้าได้ ทารกเทียนฉานก็เผยแววตาดุร้ายออกมา ตอนนี้เขารู้ตัวว่าได้เผชิญกับศัตรูตัวฉกาจเข้าแล้ว
ทันใดนั้น เขายังคงกระตุ้นน้ำเต้าอย่างบ้าคลั่ง เพื่อปล่อยไอหมอกสีต่างๆ ใส่ทรายทองคำ ขณะเดียวกันก็แผดเสียงร้องยาวออกมา!
เดิมทีตัวประหลาดขนเขียวอาศัยกายเนื้อที่แข็งแกร่ง ก็เข้าใกล้เยี่ยนหมิงและหญิงสาวแล้ว แต่มันกลับคำรามออกมาราวกับขานรับอะไรบางอย่าง จากนั้นร่างของมันก็พร่ามัวในฉับพลัน และถอยพุ่งกลับไป มันเคลื่อนไหวแค่ทีเดียว ก็อ้อมผ่านกำแพงทรายสีทอง และกลายเป็นเงาร่างจางๆ กระโจนเข้าหาหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็รีบใช้พรสวรรค์หนึ่งจิตสองพลังทันที ด้านหนึ่งกระตุ้นม่านทรายทองคำต้านทานหมอกดำ อีกด้านหนึ่งก็นำมุกพลังวารีทั้งสองออกมา และรวมเป็นหนึ่งเดียวก่อนที่จะโยนเข้าใส่เงาร่างที่พุ่งเข้ามา
“ตู๊ม!”
มุกพลังวารีที่รวมตัวกันแล้วทุบใส่เงาร่างพอดี ไอหมอกดำพวยพุ่งอยู่ครู่หนึ่ง ขณะเดียวกัน ก็มีเงาภูเขาลูกเล็กๆ ปรากฏขึ้นในมุกพลังวารี และกดลงไปทันที
แม้ว่าปีศาจกรงเล็บหยกจะมีพลังป้องกันอันน่าตกใจ และเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว แต่พอเผชิญหน้ากับอาวุธจิตวิญญาณที่มีน้ำหนักมากมายเช่นนี้ ภายใต้สถานการณ์ที่ป้องกันไม่ทัน ทำให้มันร่วงลงไปพร้อมกับเสียงร้องอันเวทนา หลังจากเกิดเสียงดังขึ้น ร่างของมันก็ตกลงพื้นบริเวณนั้นอย่างรุนแรง จนเกิดเป็นหลุมขนาดหลายจั้ง
เงาภูเขาที่มุกพลังวารีสร้างขึ้นมา ก็กระพริบไปกดทับอยู่บนหลุมยักษ์ จนตัวประหลาดขนเขียวไม่อาจเคลื่อนไหวได้เลยแม้แต่น้อย
ภายใต้การเปิดใช้ชั้นจำกัดทั้งหมดของมุกพลังวารีที่รวมตัวกันแล้ว ทำให้พลังของเงาภูเขาลูกเล็กๆ ที่สร้างขึ้นมามีน้ำหนักแสนกว่าชั่ง ส่วนปีศาจจิตวิญญาณตนนี้ก็มีพลังน่าตกใจ แต่หากจะทำลายมุกพลังวารีก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
ทารกเทียนฉานเห็นเช่นนี้ก็หน้าเปลี่ยนสีทันที หลังจากพลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง ยันต์สีดำราวกับหมึกก็โผล่ออกมา
แต่ยังไม่ทันที่คนแคระจะโยนยันต์ออกไป หลิ่วหมิงก็ปล่อยพลังกว่าครึ่งหนึ่งออกมาในพริบตา
ม่านทรายกลางอากาศเปล่งแสงสีทองออกมาทันที อักขระสีทองจำนวนมากทะลักออกมา ม่านทรายขยายใหญ่หนึ่งเท่ากว่าๆ จากนั้นก็โจมตีแสงและไอหมอกตรงหน้าจนสลายไป และม้วนตัวกลายเป็นม่านทรายสีทองปกคลุมท้องฟ้าในพื้นที่หลายหมู่ไว้
ทารกเทียนฉานรู้สึกตกใจมาก เขารีบโยนยันต์ในมือออกไปทันที ทันใดนั้นอักขระสีดำจำนวนมากก็ทะลักออกมา และหมุนวนรอบตัวไม่หยุด ส่วนมืออีกข้างก็ปล่อยพลังใส่น้ำเต้า
“ตู๊ม!”
น้ำเต้ายักษ์ระเบิดตัวกลายเป็นไอหมอกสีสีม่วง ดำ เขียว จากนั้นก็ทะลักลงไปปกคลุมร่างของคนแคระไว้
และในขณะเดียวกัน ม่านทรายสีทองกลางอากาศก็ร่วงมาปกคลุมร่างทารกเทียนฉาน และก่อตัวเป็นลูกกลมๆ สีทองขนาดใหญ่ที่ดูหนาแน่นเป็นอย่างมาก จากนั้นก็ค่อยๆ บีบอัดเข้าไป
ทารกเทียนฉานรับรู้ได้ถึงพลังมหาศาลบีบเข้ามาจากทั่วสารทิศ ทันใดนั้นไอหมอกสามสีกับอักขระสีดำก็ส่งเสียงดังออกมา
คนแคระมีสีหน้าเปลี่ยนไปมาก เขาพยายามทำท่ามือปล่อยพลังเวทใส่อักขระสีดำกับไอหมอกอย่างบ้าคลั่ง เพื่อต้านทานพลังมหาศาลนี้
แต่ขณะนั้นเอง ทรายทองคำก็กลายเป็นลูกทรายกลมๆ ที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางหลายจั้ง และหมุนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน กำแพงทรายที่อยู่ด้านในก็ค่อยๆ ปล่อยหนามแหลมสีทองออกมา
ไอหมอกสามสีกับอักขระสีดำที่ถูกบีบอัดจนเกือบจะต้านทานไม่ไหว ถูกหนามแหลมสีทองปั่นจนละเอียดเป็นผุยผง และไม่อาจต้านทานการบีบอัดของลูกทรายทองคำได้อีก
ทารกเทียนฉานตกใจจนหน้าถอดสี เขาทุบหน้าอกตนเองหนึ่งที พอพ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมาจำนวนมากภายในอึดใจเดียว มันก็กลายเป็นหมอกโลหิตปกป้องร่างของเขาไว้
แต่ขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงที่อยู่ตรงหน้ากลับเผยสีหน้าดุร้ายออกมา พอสะบัดแขนเสื้อ กระบี่เล็กสีเงินก็พุ่งยิงออกไป หลังจากพร่ามัวทีหนึ่ง มันก็กลายเป็นสายรุ้งสีเงินเจิดจ้าที่ยาวเจ็ดแปดจั้ง และพุ่งไปยังลูกทรายสีทองที่อยู่กลางอากาศ
“ฟู่!”
เกิดรูขนาดเท่ากำปั้นบนผิวลูกทราย จากนั้นสายรุ้งสีเงินก็ทะลุผ่านไป
ครู่ต่อมา มีเสียงร้องอย่างน่าเวทนาดังออกมาจากลูกทรายสีทอง
พอหลิ่วหมิงขมวดคิ้ว และโบกแขนข้างหนึ่ง ลูกทรายทองคำก็สลายออกมาทันที จากนั้นก็ม้วนตัวกลับมาเป็นเม็ดทรายอีกครั้ง
ทารกเทียนฉานที่ถูกห่อหุ้มอยู่ ได้เผยร่างออกมาอีกครั้ง แต่ดวงตาของเขาไร้ซึ่งชีวิตชีวา และครู่ต่อมาก็มีรอยเลือดปรากฏบนไหล่ จากนั้นศีรษะของเขาก็กลิ้งลงมา ขณะนี้เขาถูกหลิ่วหมิงสังหารจนเสียชีวิตแล้ว
“ตู๊ม!”
เงาภูเขาที่อยู่ไม่ไกลสั่นสะท้านขึ้นมาทันทีต่อมาก็มีเงาสีเขียวพุ่งขึ้นจากด้านล่าง และแผดเสียงร้องยาวออกมา จากนั้นก็พุ่งไปทางเทือกเขาตะวันมืดอย่างรวดเร็วโดยไม่หันกลับมามอง
หลิ่วหมิงตาเป็นประกายเมื่อเห็นเช่นนี้ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ลงมือขัดขวางตัวประหลาดขนเขียวตัวนี้แต่อย่างใด
ตั้งแต่เขาปล่อยทรายทองคำร่วงออกมา จนถึงตอนที่กดทับปีศาจกรงเล็บหยก และสังหารทารกเทียนฉานนั้น ใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่อึดใจเท่านั้น
เยี่ยนหมิงกับหญิงสาวก็เพิ่งหลุดพ้นจากการคุกคามของปีศาจกรงเล็บหยก จึงไม่ทันได้ลงมือช่วยแต่อย่างใด และการต่อสู้อันดุเดือดก็สิ้นสุดลงเช่นนี้
พอชายหญิงคู่นี้เห็นศพคนแคระหล่นลงพื้น ย่อมรู้สึกหวาดผวาเป็นอย่างมาก
“ครั้งนี้ต้องขอบคุณพี่หลิ่วที่ยื่นมือเข้าช่วย มิเช่นนั้นข้าคงยากที่จะรักษาชีวิตไว้ได้” หลังจากชายหนุ่มสงบสติได้แล้ว ก็ประสานมือไปทางหลิ่วหมิง และกล่าวด้วยความซาบซึ้งใจ
“ไม่ผิด! หากครั้งนี้ไม่เจอพี่หลิ่ว เสวี่ยอวิ๋นกับศิษย์พี่เยี่ยนคงยากที่จะผ่านด่านเคราะห์นี้ได้” หญิงงดงามก็คารวะและกล่าวด้วยสีหน้าซาบซึ้งเช่นกัน
“พวกเราต่างก็เป็นศิษย์นิกายเดียวกัน ข้ายื่นมือเข้าช่วยก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว อีกอย่างเจ้าสารเลวนี่ ก็ไม่คิดจะปล่อยข้าไปอยู่ดี” หลิ่วหมิงกวักมือข้างหนึ่งเรียกทรายทองคำร่วง และอาวุธจิตวิญญาณอื่นๆ กลับมา จากนั้นก็กล่าวอย่างราบเรียบ
เป็นเพราะว่าเขาใช้พรสวรรค์หนึ่งจิตสองพลัง ถึงสามารถกระตุ้นอาวุธจิตวิญญาณจำนวนมากชิ้นพร้อมกันได้ หากเป็นผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นกลางคนอื่นๆ ต่อให้จะมีพลังจิตแข็งแกร่งแค่ไหน แต่ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่สามารถแบ่งจิตได้ ก็สามารถควบคุมอาวุธจิตวิญญาณได้มากสุดแค่สองชิ้นเท่านั้น
“พี่หลิ่วสามารถสังหารทารกเทียนฉานได้ พลังระดับนี้คงอยู่ในร้อยอันดับแรกของศิษย์สายนอกได้แล้วล่ะมัง” ขณะนี้เสวี่ยอวิ๋นไม่ปิดบังความสงสัยของตนเองอีกต่อไป ดวงตาดำขลับทั้งคู่จ้องมองหลิ่วหมิงแล้วกล่าวออกมา
“ทารกเทียนฉานเป็นใครกันแน่ เหตุใดถึงได้กำเริบเสิบสานเช่นนี้?” หลิ่วหมิงได้ยินก็ไม่พูดอะไร แต่กลับถามออกไปอย่างไม่ใส่ใจ
“จะว่าไปแล้วทารกเทียนฉานก็เป็นผู้ที่มีเบื้องหลังอันยิ่งใหญ่ เขาถือกำเนิดในลัทธิเสวียนหมู่ซึ่งเป็นลัทธิที่ชั่วร้าย ลงมือโหดเหี้ยมอำมหิต แต่ก่อนเคยสังหารศิษย์สายนอกของนิกายยอดบริสุทธิ์หลายคน ดังนั้นเขาจึงเป็นคนหนึ่งที่มีชื่ออยู่ในบัญชีความเป็นความตายของสาขาในนิกายเรา คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะมาเสียชีวิตในมือของศิษย์น้อง” เยี่ยนหมิงได้ยินก็จ้องมองศพของทารกเทียนฉาน และถอนหายใจยาวๆ ก่อนกล่าวออกมา
“หากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ ทารกเทียนฉานผู้นี้อยู่ในลำดับที่หนึ่งร้อยกว่าของบัญชีความเป็นความตาย นับว่าอยู่ในอันดับที่ไม่ต่ำเกินไป แต่เป็นเพราะว่าวิชาของลัทธินี้พิเศษมาก เชี่ยวชาญการซ่อนตัว และเขายังเจ้าเล่ห์มากด้วย แม้ศิษย์พี่สายนอกจำนวนหนึ่ง คิดจะล่าสังหารเขาอยู่หลายครั้ง แต่กลับไม่มีคนลงมือเลย คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้จะถูกศิษย์พี่หลิ่วสังหารไปแล้ว” เสวี่ยอวิ๋นกล่าวออกมา
ไม่รู้ว่าทำไมครั้งนี้ทารกเทียนฉานถึงตั้งใจมาเทือกเขาตะวันมืดโดยเฉพาะ และยังแย่งปีศาจกรงเล็บหยกไปก่อน ทั้งยังใช้เคล็ดวิชาสยบมันไว้ได้ พอเจอเยี่ยนหมิงและพวก เขาก็ซ่อนร่องรอยของตนเองไว้ และควบคุมปีศาจกรงเล็บหยกลอบโจมตีคนเหล่านี้
หากครั้งนี้ไม่พบเจอหลิ่วหมิง พวกเขาสองคนคงจะไร้ซึ่งลมหายใจอยู่ในเทือกเขาตะวันมืดเหมือนอีกสามคนแล้ว
“ใช่สิพี่หลิ่ว! เพียงแค่นำหัวคนผู้นี้กลับไป ก็สามารถแลกแต้มคุณูปการที่หอความเป็นความตายได้ไม่น้อย เพราะเจ้าสารเลวนี่ก็เป็นหนึ่งในผู้ที่มีชื่อเสียงในบัญชีความเป็นความตาย” เยี่ยนหมิงกล่าวออกมา ขณะเดียวกันก็เผยแววตาอิจฉาออกมา
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ขอบคุณพี่เยี่ยนที่บอก” หลิ่วหมิงพยักหน้า
เกี่ยวกับบัญชีความเป็นความตาย ในข้อบัญญัติของศิษย์สายนอกก็ได้กล่าวไว้ โดยเฉพาะรายชื่อสำคัญที่ล่าสังหารศิษย์สายนอก รายชื่อในนั้นล้วนเคยสังหารศิษย์ระดับของเหลวนิกายยอดบริสุทธิ์มานับพันคน
คนเหล่านี้ล้วนเจ้าเล่ห์สับปลับ และตัวเด่นๆ ในสิบอันดับแรกต่างก็มีพลังน่าตกใจ ต่อให้ศิษย์สายนอกของนิกายยอดบริสุทธิ์ที่จัดอยู่ในสิบอันดับแรก ก็ไม่สามารถเอาชนะแบบหนึ่งต่อหนึ่งได้
ในเมื่อคนผู้นี้มีชื่ออยู่ในบัญชีความเป็นความตาย หลิ่วหมิงย่อมร่อนลงไปเก็บน้ำเต้าที่หล่นไปพร้อมศีรษะ และอาวุธเวทย่อส่วนที่มีลักษณะคล้ายถุงเก็บของอย่างไม่เกรงใจ จากนั้นก็ปล่อยลูกเปลวไฟเผาศพไร้ศีรษะจนกลายเป็นขี้เถ้า
เมื่อเขากล่าวอำลากับคนทั้งสองแล้ว ก็เหาะออกไปนอกเทือกเขา
เยี่ยนหมิงกับเสวี่ยอวิ๋นยังคงนิ่งอยู่กับที่ หลังจากเห็นหลิ่วหมิงไปไกลแล้ว ก็จัดการศพไปรอบหนึ่ง จากนั้นก็ไปจากสถานที่แห่งนี้ด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
ตอนที่ 480 ถ้ำจิตวิญญาณธาตุไม้
โดย
Ink Stone_Fantasy
ครึ่งเดือนต่อมา หลังจากหลิ่วหมิงกลับถึงนิกายแล้ว เขาก็ตรงไปหาผู้ดำเนินการที่เกี่ยวข้องในหอลี้ลับในทันที เมื่อมอบไข่แมงมุมขาหิมะไปแล้ว ก็ได้แต้มคุณูปการมาสามพันกว่าแต้ม
เมื่อเทียบแต้มคุณูปการเหล่านี้กับหนี้ที่เขาติดค้างนิกายแล้ว แม้จะถือว่าเป็นแต้มอันน้อยนิด แต่อย่างน้อยก็สามารถใช้ถ้ำจิตวิญญาณธาตุไม้ เพื่อหลอมตัวอ่อนกระบี่เขาพระสุเมรุได้แล้ว
หลังออกจากหอลี้ลับ หลิ่วหมิงก็เหาะไปยังยอดเขาที่มีไอหมอกดำจางๆ ลอยวนอยู่ ยอดเขาแห่งนี้แลดูอึมครึมเล็กน้อย
พื้นราบเรียบที่ซ่อนอยู่กลางไหล่เขา มีหอขนาดใหญ่ตั้งอยู่ นอกหอไม่มีสัญลักษณ์ใดๆ เลย สีก็ดูคล้ายคลึงกับสีของยอดเขา ด้วยเหตุนี้หากไม่มองดูอย่างละเอียด ก็จะไม่เห็นมันโดยง่าย
สถานที่แห่งนี้ก็คือหอความเป็นความตายที่มีชื่อเสียงของเขาหมื่นวิญญาณนั่นเอง
หลังจากหลิ่วหมิงสังเกตดูเล็กน้อยแล้ว ก็ร่อนลงบนพื้นราบเรียบ และก้าวเข้าไปด้านในทันที
หอแห่งนี้ด้านนอกดูธรรมดามาก แต่ด้านในกลับเป็นโลกมหัศจรรย์อีกแห่งหนึ่ง แม้จะกว้างขวางไม่เท่าหอลี้ลับ แต่กลับตกแต่งคล้ายเคียงกันเล็กน้อย ผู้คนในนั้นก็มีอยู่น้อยมาก เห็นได้อย่างชัดเจนว่ามันโล่งไปหน่อย
ด้านหลังของแท่นหินสี่เหลี่ยมที่ตั้งอยู่ตรงกลาง มีชายวัยกลางคนที่สวมชุดของผู้อาวุโสดำเนินการยืนอยู่ เขากำลังพูดคุยอะไรบางอย่างเบาๆ กับศิษย์สายนอกสองคน บนแท่นหินมีศีรษะอัปลักษณ์ที่เปียกโชคไปด้วยเลือดวางอยู่สองใบ
พอทั้งสามได้ยินเสียงหลิ่วหมิงเดินเข้ามา ก็หันมามองทันที
ผู้ดำเนินการวัยกลางคนมีโครงหน้าสี่เหลี่ยม สีหน้าไม่ใส่ใจใยดี หลังจากมองหลิ่วหมิงทีหนึ่งแล้ว ก็ละสายตากลับไป แต่ศิษย์สายนอกสองคนนั้น คนหนึ่งดูเหมือนจะมีอายุยี่สิบกว่าปีเท่านั้น ใบหน้าขาวเกลี้ยงเกลา สะพายกระบี่ยักษ์สีดำอยู่บนหลัง ส่วนอีกคนกลับเป็นชายฉกรรจ์ผิวดำวาว มือทั้งสองว่างเปล่า แต่มีถุงหนังตุงๆ อยู่บนเอวหลายใบ ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ในนั้น
ทั้งสองสังเกตดูหลิ่วหมิงด้วยความอยากรู้ เพราะตามหลักแล้ว คนที่สามารถมาหอความเป็นความตายได้ ย่อมไม่ใช่ผู้ไร้นามแต่อย่างใด แต่ดูจากรูปร่างของหลิ่วหมิงแล้ว พวกเขากลับเพิ่งเจอเป็นครั้งแรก
“เจ้ามาดูป้ายประกาศหรือมารับรางวัล?” ผู้ดำเนินการวัยกลางคนมองหลิ่วหมิงทีหนึ่ง และถามอย่างราบเรียบ
“ขณะที่ศิษย์ออกไปด้านนอกในหลายวันมานี้ โชคดีสังหารมนุษย์ปีศาจที่มีชื่ออยู่ในบัญชีความเป็นความตายได้ จึงนำมาแลกรางวัล” น้ำเสียงหลิ่วหมิงดูนอบน้อมมาก
ชายวัยกลางคนผู้นี้ รูปร่างหน้าตาก็ดูธรรมดา แต่กลิ่นไอบนตัวกลับทำให้รู้ว่าเป็นผู้ฝึกฝนระดับผลึก
“อืม! ไปรอทางนั้นก่อน” ชายวัยกลางคนตอบรับทีหนึ่ง จากนั้นก็แหงนหน้ามองศิษย์สายนอกสองคนนั้น
“เมื่อครู่ได้ตรวจสอบกับรูปภาพบนบัญชีความเป็นความตายแล้ว ศีรษะทั้งสองที่พวกเจ้านำมานี้ คือนักพรตแทงจันทราที่จัดอยู่ในอันดับที่เก้าร้อยเจ็ดสิบเอ็ด และมนุษย์ปีศาจชุดแดงที่อยู่อันดับที่หนึ่งพันหนึ่งร้อยยี่สิบ นำป้ายประจำตัวมาให้ข้าเถอะ!” ชายวัยกลางคนเก็บศีรษะบนแท่นหินแล้วกล่าวออกมา
ทั้งสองได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจมาก จากนั้นก็รีบยื่นป้ายประจำตัวออกไป
ชายวัยกลางคนหยิบพู่กันหยกออกมาอย่างไม่ใส่ใจ หลังจากมอบแต้มคุณูปการให้ทั้งสองคนละพันกว่าแต้มแล้ว ก็มองไปทางหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงรีบเดินเข้าไปหาทันที เขาหยิบถุงหนังออกมาใบหนึ่ง และวางลงบนแท่นหิน พอเปิดปากถุงออก ศีรษะก็กลิ้งออกมา
“เอ๊ะ? ดูเหมือนคนผู้นี้จะเป็นทารกเทียนฉานของลัทธิเสวียนหมู่นี่ เหมือนจะอยู่ในอันดับที่หนึ่งร้อยกว่า เจ้าสังหารคนผู้นี้หรือ?” ชายวัยกลางคนกวาดสายตาดูทีหนึ่ง และกล่าวด้วยความประหลาดใจ
“อะไรนะ? ทารกเทียนฉาน?!” เดิมทีศิษย์สายนอกทั้งสองคิดจะเดินจากไปแล้ว แต่พอได้ยินเช่นนี้ ก็ต้องหันมาด้วยความตกใจ
หลิ่วหมิงรู้ที่มาของทารกเทียนฉานจากปากเยี่ยนหมิงแล้ว หลังจากตอบรับไปหนึ่งคำ เขาก็ยืนรออย่างเงียบๆ ด้วยสีหน้าสงบ
ชายวัยกลางคนสังเกตดูหลิ่วหมิงอีกครั้งแล้วพยักหน้ากล่าว
“สามารถสังหารคนผู้นี้ได้ เจ้าย่อมมีพลังไม่ธรรมดา นำป้ายประจำตัวมาเถอะ!”
หลิ่วหมิงรีบยื่นป้ายประจำตัวออกไปทันที
“ทารกเทียนฉาน ศิษย์ลัทธิเสวียนหมู่ เชี่ยวชาญการซ่อนตัวลอบโจมตี เขาเคยสังหารศิษย์นิกายเราไปเก้าคน มีรายชื่ออยู่ในอันดับที่หนึ่งร้อยสามสิบเก้า รางวัลตอบแทนห้าพันแต้มคุณูปการ” ขณะที่พูด ชายวัยกลางคนก็หยิบป้ายหยกสีขาวออกมา และโบกไปทางศีรษะของทารกเทียนฉาน มีแสงแวววาวเปล่งประกายบนป้าย และก่อตัวเป็นเงาร่าง ซึ่งเป็นภาพของทารกเทียนฉานนั่นเอง
ชายวัยกลางคนพยักหน้า ทันใดนั้นพู่กันหยกในมือก็เปล่งประกาย แสงลำหนึ่งตกลงบนป้ายของหลิ่วหมิง พอหลิ่วหมิงใช้จิตกวาดดู ก็ค้นพบว่าบนนั้นมีแต้มคุณูปการเพิ่มขึ้นมาห้าพันแต้ม
“ขอบคุณผู้อาวุโส” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจมาก มีแต้มคุณูปการห้าพันแต้มแล้ว ก็สามารถทำเรื่องอื่นๆ ได้มากขึ้น
ชายวัยกลางคนมองดูเขาอีกที จากนั้นก็หิ้วศีรษะของทารกเทียนฉานเดินเข้าไปด้านใน
“เฮ่อๆ! ศิษย์น้องผู้นี้สามารถฆ่าทารกเทียนฉานได้ ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งนัก ศิษย์น้องดูไม่คุ้นหน้าคุ้นตาเลย คงเป็นศิษย์มาใหม่สินะ! ไม่ทราบว่าฝึกฝนอยู่สาขาใด?” ขณะนี้ศิษย์สายนอกทั้งสองก็เดินเข้ามา และผู้ที่เอ่ยปากออกมาก็คือชายหนุ่มผิวขาวนั่นเอง
“อ้อ! ข้าน้อยหลิ่วหมิง จากสาขาห่านฟ้า ศิษย์พี่ทั้งสองคือ……” หลิ่วหมิงกล่าว
“ที่แท้ก็เป็นศิษย์น้องหลิ่ว พวกข้าทั้งสองเป็นศิษย์สาขาวายุทะยานฟ้า ปกติไม่ค่อยจะรับภารกิจบนป้ายประกาศลี้ลับ แต่มักจะสังหารผู้ฝึกฝนชั่วร้ายที่มีชื่ออยู่ในบัญชีความเป็นความตาย และก็เคยศึกษาความเคลื่อนไหวของคนเหล่านี้ ไม่ทราบว่าศิษย์น้องสนใจเข้าร่วมกับพวกข้าทั้งสองหรือไม่? หากพวกเราทั้งสามร่วมมือกันล่ะก็ สามารถท้าสู้มนุษย์ปีศาจที่มีรายชื่อในอันดับต้นๆ ได้” ชายหนุ่มผิวขาวกล่าวอย่างเป็นกันเอง
“เรื่องนี้……ช่วงนี้ข้าน้อยวางแผนกักตัวในนิกายระยะหนึ่ง กะว่าจะไม่ออกไปรับภารกิจชั่วคราว” หลิ่วหมิงปฏิเสธอย่างนุ่มนวลโดยไม่ต้องคิด เพราะขณะนี้แต้มคุณูปการเพียงพอแล้ว เขาย่อมไม่สนใจเรื่องราวที่ไม่สำคัญอีก
“เช่นนี้หรอกหรือ น่าเสียดายจริงๆ ผู้ที่มีรายชื่ออันดับร้อยกว่าๆ ในบัญชีความเป็นความตาย มีค่าหัวมากสุดแค่ไม่กี่พันแต้มคุณูปการเท่านั้น ที่คุ้มค่าสุดยังคงอยู่ในร้อยอันดับแรก” ชายผิวขาวเกลี้ยงเกลากล่าวอย่างเสียดาย
ชายฉกรรจ์ผิวดำที่อยู่ข้างๆ กลับไม่กล่าวอะไรออกมา ราวกับว่าให้คู่หูเป็นหัวหน้า
“ศิษย์พี่ทั้งสองคุ้นเคยกับบัญชีความเป็นความตายเช่นนี้ ไม่ทราบว่าสิบอันดับแรกในบัญชีความเป็นความตายเป็นใครบ้าง?” หลิ่วหมิงใจเต้นขึ้นมา และถามด้วยความอยากรู้
“ในนี้มีข้อมูลเกี่ยวกับรายชื่อร้อยอันดับแรกในบัญชีความเป็นความตายที่พวกข้ารวบรวมขึ้นมา ศิษย์น้องดูก่อนได้ หากสนใจล่ะก็ ไปหาพวกข้าทั้งสองที่สาขาวายุทะยานฟ้าได้ตลอดเวลา” พอชายหนุ่มผิวขาวเห็นว่าหลิ่วหมิงดูเหมือนจะสนใจอยู่บ้าง เขาจึงควักแผ่นหยกออกจากอก และยื่นให้หลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงยื่นมือไปรับอย่างไม่เกรงใจ และนำไปแปะไว้บนหน้าผาก พอใช้จิตกวาดดู ก็ค้นพบว่ารายชื่อในร้อยอันดับแรก มีค่าหัวหนึ่งหมื่นแต้มคุณูปการขึ้นไป อันดับยิ่งสูงแต้มคุณูปการก็สูงตามไปด้วย
อันดับที่สิบ ‘เซียนผีเสื้อดำ’ ก็มีค่าหัวเกินห้าหมื่นแต้มคุณูปการแล้ว ส่วนอันดับหนึ่งอย่าง ‘ราชาโลหิต’ ก็มีค่าหัวถึงล้านแต้มคุณูปการ
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ย่อมสูดหายใจด้วยความรู้สึกเย็นสะท้าน!
อย่างที่รู้ว่า รายชื่อบนบัญชีความเป็นความตาย ล้วนเป็นผู้ฝึกฝนระดับของเหลวที่ทางนิกายยอดบริสุทธิ์ประกาศรางวัลนำจับ คิดไม่ถึงว่าผู้ฝึกฝนระดับของเหลวคนหนึ่ง จะมีค่าหัวถึงหนึ่งล้านแต้มคุณูปการ
“หากสามารถฆ่าคนผู้นี้ได้ ก็ไม่เท่ากับว่าหนึ่งล้านแต้มคุณูปการที่ติดค้างนิกาย สามารถใช้คืนได้หมดในทีเดียวหรอกหรือ?” หลิ่วหมิงรู้สึกใจเต้นโครมครามเล็กน้อย แต่ความคิดนี้ก็ถูกเขาลบทิ้งไปในทันที
ในเมื่อราชาโลหิตอยู่อันดับแรกของบัญชีความเป็นความตาย ย่อมไม่ใช่เรื่องธรรมดา เกรงว่าลำพังแค่พลัง ก็คงไม่ด้อยไปกว่าผู้ฝึกฝนระดับผลึกโดยทั่วไปแล้ว ย่อมไม่ใช่คู่สู้ของเขาในตอนนี้อย่างแน่นอน
“ขอบคุณศิษย์พี่ทั้งสองที่แจ้งให้ทราบ ข้าน้อยต้องขอตัวก่อนแล้ว” หลิ่วหมิงกวาดดูแผ่นหยกคร่าวๆ อีกรอบ หลังจากจดจำข้อมูลสองสามคนแล้ว ก็คืนมันให้กับทั้งสอง และกุมมือคารวะก่อนหมุนตัวออกไปจากหอ
“จุ๊ๆ! คิดไม่ถึงว่าสาขานอกของนิกายเราจะมีผู้แข็งแกร่งเช่นนี้” ชายผิวขาวจ้องมองแผ่นหลังของหลิ่วหมิงที่เดินจากไป และทอดถอนใจเล็กน้อยก่อนกล่าวออกมา
“หากคนผู้นี้บุกเดี่ยวสังหารทารกเทียนฉานจริงๆ ล่ะก็ การประลองใหญ่ในภายหน้า จะต้องเป็นศัตรูที่แข็งแกร่งคนหนึ่งอย่างแน่นอน” ชายฉกรรจ์ที่เงียบมาโดยตลอดพลันเอ่ยปากออกมา
ชายผิวขาวไม่พูดอะไรต่อ แต่กลับยืนนิ่งและไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ
……
พอออกจากหอความเป็นความตาย หลิ่วหมิงก็ขี่เมฆตรงไปวิหารห้าธาตุทันที
ขณะนี้ คนในวิหารมีไม่มาก หลิ่วหมิงจึงเดินตรงไปหาศิษย์ดำเนินการคนหนึ่ง ศิษย์ผู้นี้เป็นชายฉกรรจ์ที่มีรอยแผลปรุบนใบหน้า อายุราวๆ สามสิบกว่า
“ศิษย์น้องผู้นี้ ต้องการใช้ถ้ำห้าธาตุเพื่อฝึกฝนหรือ?” ยังไม่ทันที่หลิ่วหมิงจะเอ่ยปาก ชายที่มีแผลปรุบนใบหน้าก็ถามออกมาก่อน
“ใช่แล้ว ข้าน้อยกะจะเช่าถ้ำจิตวิญญาณธาตุไม้ระดับห้าเป็นเวลาครึ่งเดือน” หลิ่วหมิงตอบอย่างไม่ลังเล
“ได้! ข้าจะจัดการให้ศิษย์น้องเดี๋ยวนี้ แต่ตามกฎแล้ว การใช้ถ้ำจิตวิญญาณหนึ่งวัน ต้องใช้สองร้อยแต้มคุณูปการ ศิษย์น้อง…..” ชายที่มีแผลปรุบนใบหน้าได้ยินเช่นนี้ ก็สังเกตดูหลิ่วหมิงทีหนึ่งแล้วกล่าวออกมา
เพราะต้องใช้แต้มคุณูปการมากถึงเพียงนี้ สำหรับศิษย์สายนอกระดับของเหลวขั้นกลางผู้หนึ่งแล้ว ถือว่าเป็นจำนวนที่ไม่น้อยเลย
“ย่อมเป็นเช่นนั้น ควรจ่ายแต้มคุณูปการเท่าใดข้าน้อยย่อมรู้ดี” หลิ่วหมิงตอบอย่างไม่ลังเล และยื่นป้ายประจำตัวออกไปทันที
ชายฉกรรจ์ผู้นี้แตะพู่กันหยกสีขาวลงบนป้ายเบาๆ หลังจากนำแต้มคุณูปการออกไปสามพันแต้มแล้ว ก็ยิ้มด้วยสีหน้าเหยเก และยื่นแผ่นหยกสีเขียวให้กับหลิ่วหมิง จากนั้นก็อธิบายวิธีการใช้เล็กน้อย
หลิ่วหมิงรับแผ่นหยกไปแล้ว ก็เดินไปข้างวิหารเหมือนกับคนอื่นๆ
ไม่นาน เขาก็มาถึงหน้าประตูหินทั้งห้าที่ยืนเรียงเป็นแถว จะเห็นว่าจากด้านซ้ายมาด้านขวา เป็นประตูสีทอง เขียว ฟ้า แดง เหลือง ตามลำดับ ประจักษ์ชัดว่าสอดคล้องกับธาตุทั้งห้า ซึ่งก็คือ ทอง ไม้ น้ำ ไฟ และดินนั่นเอง
หลิ่วหมิงพลันเดินไปหน้าประตูหินสีเขียวที่เป็นธาตุไม้ หลังจากปล่อยพลังเวทใส่แผ่นหยกเล็กน้อยแล้ว ก็โบกไปทางประตูหิน
แสงสีเขียวเปล่งประกายบนแผ่นหยก และพุ่งไปยังประตูหินทันที
แสงทรงกลดสีเขียวเปล่งประกายบนประตูหินเช่นเดียวกัน หลังจากมีเสียงดังแกร๊กกร๊าก ประตูหินก็ค่อยๆ เปิดออกมา เผยให้เห็นถึงพื้นว่างเปล่าสีขาวสลัวๆ ตรงกลางมีค่ายกลส่งตัวประทับอยู่หลังหนึ่ง และมันกำลังเปล่งแสงอยู่
หลิ่วหมิงเดินเข้าไปกลางค่ายกลโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ภายใต้แสงที่เปล่งประกาย เขาก็หายไปจากที่เดิมทันที
เมื่อเขาได้สติกลับมา ก็ค้นพบว่าตนเองอยู่ในถ้ำใต้ดินที่มีพื้นที่หลายจั้ง
จุดสิ้นสุดของสายตาเป็นไอหมอกสีเขียวครึ้ม และเนื่องจากมีคนภายนอกบุกเข้ามา มันจึงพวยพุ่งอยู่ไม่หยุด
พอหลิ่วหมิงสูดดมเบาๆ ก็ได้กลิ่นหอมจรุงใจของต้นไม้ใบหญ้า กลางอากาศเต็มไปด้วยปราณจิตวิญญาณธาตุไม้อันหนาแน่น จนเกือบจะยึดติดกัน
ครู่ต่อมา ปราณจิตวิญญาณธาตุไม้ก็เริ่มพุ่งเข้าไปในร่างหลิ่วหมิงอย่างบ้าคลั่ง โดยที่เขายังไม่ทันได้ทำอะไรเลย
พริบตานั้น หลิ่วหมิงรู้สึกว่าจุดชีพจรต่างๆ เต็มไปด้วยปราณจิตวิญญาณธาตุไม้ที่หนาแน่นจนถึงขีดสุด และทะเลจิตวิญญาณในจุดตันเถียน ก็เริ่มหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง
ตอนที่ 481 หลงเหยียนเฟย
โดย
Ink Stone_Fantasy
แม้หลิ่วหมิงจะคาดการณ์ได้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่ยังคงรู้สึกว่าโลหิตภายในร่างประทุขึ้นมาเล็กน้อย ขณะเดียวกันเมื่อปราณจิตวิญญาณธาตุไม้ตามจุดชีพจรต่างๆ ซัดสาดจนถึงจุดอิ่มตัวแล้ว ก็นำพามาซึ่งความเจ็บปวดราวกับถูกฉีกทึ้ง เหมือนกับว่ามีมีดเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วนกรีดแทงอยู่ไม่หยุด
หลิ่วหมิงที่ถูกปราณจิตวิญญาณธาตุไม้ห่อหุ้มอยู่ เริ่มเผยสีหน้าเจ็บปวดออกมา เหงื่อขนาดเท่าเม็ดถั่วผุดเต็มหน้าผาก และไหลลงมาอย่างไม่ขาดสาย
เขาตะโกนออกมา และทำท่ามือด้วยมือเดียว พอไอดำพวยพุ่งออกจากตัว นี้ร่างของเขาก็ขยายใหญ่เท่าตัวท่ามกลางเสียงดังกรอบแกรบ แขนขาทั้งสี่และกล้ามเนื้อเริ่มสั่นสะท้าน เส้นเอ็นสีเขียวค่อยๆ ปูดโปนขึ้นมา
พริบตาเดียว พลังเวทในร่างหลิ่วหมิงก็ไหลวนเร็วขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า ปราณจิตวิญญาณที่รวมอยู่ในร่าง ถูกนำพาไปยังทะเลจิตวิญญาณอย่างต่อเนื่อง และกลายเป็นพลังเวท หลังจากที่มันหมุนวนผ่านไปไม่กี่รอบ ร่างกายกับชีพจรของเขาก็ค่อยๆ ปรับตัวเข้ากับปราณจิตวิญญาณอันหนาแน่นนี้ได้
“ปราณจิตวิญญาณธาตุไม้ที่หนาแน่นเช่นนี้ หากผู้ฝึกฝนระดับของเหลวทั่วไปเข้ามาที่นี่แล้วไม่ทันระวัง เกรงว่าคงถูกธาตุไฟเข้าแทรกจนร่างระเบิดได้” หลิ่วหมิงถอนหายใจยาวๆ และพูดพึมพำออกมา
เขามีเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬคอยช่วย บวกกับมีกายเนื้อที่แข็งแกร่งกว่าคนทั่วไป จึงปรับตัวเข้ากับถ้ำจิตวิญญาณระดับห้านี้ได้ทัน แต่หากเป็นถ้ำจิตวิญญาณระดับสี่ เกรงว่ามันคงไม่ง่ายถึงเพียงนี้
หลังจากหลิ่วหมิงสงบจิตสงบใจแล้ว ก็รีบกวาดสายตาดูสภาพแวดล้อมภายในถ้ำคร่าวๆ
เห็นได้อย่างชัดเจนว่า มันไม่ใช่ถ้ำทั่วไปที่ก่อตัวขึ้นจากหิน ผนังรอบด้านรวมถึงพื้นล้วนเป็นสีเขียวครึ้ม ทั้งยังมีลวดลายลึกลับจำนวนหนึ่งสลักอยู่ และกำลังเปล่งแสงจิตวิญญาณจางๆ
ภายใต้การใช้จิตกวาดดูของหลิ่วหมิง เขาค้นพบว่าผนังหินเหล่านี้ เป็นผลึกหินธาตุไม้ชนิดหนึ่งที่มีคุณภาพไม่เบา
บริเวณรอบด้านของถ้ำล้วนเป็นผนังหินชนิดนี้ มีเพียงแค่ด้านบนที่โปร่งแสงราวกับเชื่อมโยงกับโลกภายนอก แต่ก็ดูเหมือนจะถูกตัดขาดจากสิ่งกีดขวางที่มองไม่เห็น
และที่นี่นอกจากมีเบาะวางอยู่ตรงมุมแล้ว ก็ไม่มีสิ่งของอย่างอื่นอีกเลย
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็รีบไปนั่งขัดสมาธิ และเริ่มหลับตาเข้าฌาน
ครึ่งชั่วยามผ่านไป
หลิ่วหมิงลืมตาทั้งสองขึ้นมา ดวงตาของเขามีแสงสีเขียวเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด
เขาพลิกมือข้างหนึ่งโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง และหยิบไผ่ว่างเปล่าออกจากหอยสังข์ย่อส่วนมาวางไว้ตรงหน้า
พอไผ่นี้ปรากฏออกมา ปราณจิตวิญญาณธาตุไม้ที่อยู่บริเวณรอบๆ ก็พวยพุ่งไม่หยุด และพุ่งเข้าไปในไผ่ว่างเปล่าอย่างต่อเนื่อง ลวดลายห้าสีบนพื้นผิวเปล่งประกายขึ้นมา ดูเหมือนว่าจะแน่นหนากว่าโลกภายนอกมาก
แต่หลิ่วหมิงกลับมีสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย หลังจากสูดหายใจลึกๆ แล้ว ก็ชี้นิ้วไปยังไผ่ว่างเปล่าที่เปล่งแสงสีเงินแวววาว
ทันใดนั้นไผ่ว่างเปล่าที่ยาวฉื่อกว่าๆ ก็ลอยขึ้นมา และหยุดอยู่กลางอากาศบริเวณหน้าอก
หลิ่วหมิงเคลื่อนไหวนิ้วอย่างรวดเร็ว พออ้าปากพ่นไอบริสุทธิ์สีเขียวออกมา มันก็ค่อยๆ จมเข้าไปในไผ่ว่างเปล่า
ลวดลายห้าสีบนไผ่สีเงินเปล่งประกาย และเริ่มเลื้อยขยุกขยิกขึ้นมา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็เริ่มร่ายคาถาออกมา ไอดำบนตัวก็พวยพุ่งไม่หยุด ขณะเดียวกันนิ้วทั้งสิบก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว วิชาลึกลับถูกปล่อยเข้าไปในไผ่ว่างเปล่าอย่างต่อเนื่อง ทำให้มันค่อยๆ หมุนวนขึ้นมา
……
หนึ่งวันต่อมา
ไผ่ว่างเปล่าที่ลอยอยู่ตรงหน้าหลิ่วหมิงดูโปร่งใสขึ้นมา ลวดลายห้าสีที่เลื้อยขยุกขยิกอยู่ ก็เริ่มพร่ามัวจนดูขาดๆ หายๆ
หลิวหมิงสะบัดแขนเสื้อหยิบขวดหยกสีขาวออกมาในฉับพลัน พอเขากวักมือ โอสถสีเขียวหยกก็ลอยออกมาหนึ่งเม็ด และพุ่งเข้าไปในปากของเขา จากนั้นปราณจิตวิญญาณธาตุไม้บริสุทธิ์ในถ้ำ ก็เข้าไปในร่างของเขารวดเร็วขึ้นกว่าเดิม
หลิ่วหมิงเปลี่ยนท่ามืออีกครั้ง ภายในไผ่โปร่งใส มีไหมเงินโปร่งแสงเล็กๆ ลอยขึ้นมา และภายใต้การลอยวนของปราณจิตวิญญาณธาตุไม้ มันก็ค่อยๆ ซึมเข้าไปในร่างของเขาราวกับไอหมอก
ภายในจุดตันเถียนของหลิ่วหมิง ขณะที่ไหมโปร่งแสงทะลักเข้าไปอย่างต่อเนื่อง ไอกระบี่อันอ่อนแอที่เกิดจากเศษตัวอ่อนกระบี่ที่ถูกทำลายในก่อนหน้า ก็ค่อยๆ รวมตัวเข้าด้วยกัน และก่อตัวเป็นเงากระบี่เล็กๆ
หลิ่วหมิงใช้จิตกวาดดู พอเห็นเช่นนี้ก็รีบทำตามที่บันทึกไว้ในเคล็ดวิชากระบี่ปราณแกร่ง เขาแบ่งจิตออกเป็นหลายส่วน และควบคุมพลังเวทที่ไหววนอยู่ในทะเลจิตวิญญาณ ทำให้ไหมโปร่งแสงพันรอบเงากระบี่เล็กอยู่ไม่หยุด
พอเงากระบี่เล็กสัมผัสกับไหมเงิน ก็ดูเหมือนจะรับรู้อะไรบางอย่างได้ มันเริ่มกลืนกินไหมเงินทีละนิดๆ และทุกครั้งที่กลืนกิน กระบี่เล็กสีเงินก็จะชัดเจนขึ้นมาเล็กน้อย
ขณะที่ไหมเงินโปร่งแสงทะลักเข้าไปอย่างไม่ขาดสาย ส่วนที่ไม่สมบูรณ์ของเงากระบี่เล็ก ก็เริ่มถูกเติมเต็มอย่างต่อเนื่อง และเริ่มเปล่งแสงสีเงินสว่างไสว
หกวันต่อมา หลิ่วหมิงยังคงสภาพนี้ไว้ คาถาที่ร่ายออกมาก็ไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย
แต่ทว่าไผ่สีเงินตรงหน้าหลิ่วหมิงดูมืดลงไม่น้อย และไหมเงินเล็กๆ ที่ลอยออกจากในนั้น ก็มีขนาดเล็กลงไปมาก
เงากระบี่เล็กสีเงินที่ชัดเจนในทะเลจิตวิญญาณของเขา ก็ดูหรุบหรู่ลง และแสงห้าสีก็ปรากฏขาดๆ หายๆ
ผ่านไปอีกห้าวัน กระบี่เล็กในจุดตันเถียนของหลิ่วหมิง ก็มีสภาพโปร่งใสโดยสมบูรณ์ มีเพียงแค่เวลาที่มันหมุนวนเท่านั้น ถึงมองเห็นแสงห้าสีที่เปล่งประกายอยู่รำไร
“ตู๊ม!”
เมื่อไหมเงินเส้นสุดท้ายลอยออกจากไผ่ว่างเปล่า ไผ่จิตวิญญาณห้าสีที่เปล่งแสงสีเงินแวววาว ก็กลายเป็นไผ่สีเขียวธรรมดาๆ ท่อนหนึ่ง และพังทลายในพริบตา
หลิ่วหมิงยังคงร่ายถาคาไม่หยุด เพื่อควบคุมพลังเวทที่หมุนวนอยู่ในทะเลจิตวิญญาณ
ผ่านไปอีกสองวัน พลันมีเสียงกระบี่ดังขึ้นอย่างชัดเจนในทะเลจิตวิญญาณของเขา เงากระบี่ยาวหนึ่งชุ่นกว่าๆ ที่ปรากฏขาดๆ หายๆ ลอยไปลอยมาในทะเลจิตวิญญาณ
ขณะนี้ หลิ่วหมิงได้หยุดร่ายคาถาลง พอส่งจิตกวาดดูภายในร่างแล้ว ก็เผยรอยยิ้มออกมา
ในที่สุดก็หลอมตัวอ่อนกระบี่เขาพระสุเมรุสำเร็จแล้ว ต่อไปก็แค่ใช้พลังเวทค่อยๆ บ่มเพาะก็พอ
ตามที่กล่าวไว้ในคัมภีร์ พอใส่จิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ประเภทนี้เข้าไปตัวกระบี่ และทำให้มันกลายเป็นอาวุธจิตวิญญาณประจำตัวแล้ว มันก็สามารถไปมาได้อย่างไร้ร่องรอย ทำให้ศัตรูไม่อาจป้องกันได้
หลิ่วหมิงย่อมพอใจในผลลัพธ์นี้มาก
ข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวก็คือ ตัวอ่อนกระบี่ประเภทนี้ ไม่ได้สร้างขึ้นมาจากวิธีการที่ถูกต้อง จึงต้องใช้เวลาบ่มเพาะนานกว่าตัวอ่อนกระบี่ทั่วไปมาก และเมื่ออานุภาพของมันถึงขีดจำกัด ก็ยากที่จะยกระดับให้สูงขึ้นได้
แต่เทียบกับการที่ไม่อาจหลอมกระบี่บินพลังจิตวิญญาณตามวิธีการที่ถูกต้องแล้ว ข้อเสียเหล่านี้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาสนใจอีก
หลิ่วหมิงนำโอสถออกมาทานหลายเม็ดโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง และหยิบหินจิตวิญญาณออกมาฟื้นฟูพลังเวท
การหลอมตัวอ่อนกระบี่ติดต่อกันสิบกว่าวัน ทำให้เขาสูญเสียพลังเวทและพลังกายไปไม่น้อย จึงถือโอกาสที่ยังมีเวลาอยู่ในสถานที่ที่มีปราณจิตวิญญาณหนาแน่น ทำการฟื้นฟูเล็กน้อย
หนึ่งวันต่อมา
เวลาในการใช้ถ้ำจิตวิญญาณก็สิ้นสุดลง หลิ่วหมิงรู้สึกว่าลวดลายบนผนังรอบด้านเปล่งประกายอยู่ครู่หนึ่ง และค่ายกลแสงก็ปรากฏขึ้นที่ใต้เท้า จากนั้นภาพที่ปรากฏตรงหน้าก็พร่ามัว และเขาก็กลับมาในห้องข้างห้องโถงของวิหารห้าธาตุอีกครั้ง
เขารีบเดินออกมาด้วยความตะลึงงัน เมื่อออกจากวิหารห้าธาตุแล้ว ก็ขี่เมฆทะยานฟ้าเหาะไปทางสาขาห่านฟ้าทันที
ไม่นาน หลิ่วหมิงก็มาปรากฏตัวในถ้ำที่พัก และรีบล้มตัวนอนลงบนเตียงหินอย่างเอาเป็นเอาตาย
ครึ่งเดือนมานี้ เขาหลอมรวมตัวอ่อนกระบี่จนร่างกายและจิตใจเหนื่อยล้า ย่อมต้องพักผ่อนให้มากๆ
แต่เขาหลับได้ไม่นาน ก็มีเสียงรื่นหูของหญิงสาวดังมาจากนอกประตู
“ศิษย์น้องหลิ่วกลับถ้ำที่พักแล้วใช่หรือไม่ ข้าหลงเหยียนเฟยจากยอดเขาเลื่อนลอยมาเยี่ยมเยียน!”
“อะไรนะ! ศิษย์สายใน?” พอหลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกตกใจมาก เขารีบลุกขึ้นมาแล้วเดินออกไปทันที
ไม่นานเขาก็เปิดประตูด้วยความสงสัย
หญิงสาวสวมชุดสีม่วงอ่อนยืนอยู่หน้าประตู นางดูมีอายุราวๆ สิบแปดสิบเก้าปี ปากนิดจมูกหน่อย ใบหน้าราวกับรูปวาด
“ข้าน้อยคือหลิ่วหมิง ไม่ทราบว่าศิษย์พี่คือ……” พอหลิ่วหมิงใช้จิตกวาดดู ก็ค้นพบว่าฝ่ายตรงข้ามมีการฝึกฝนอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นปลาย
การกลายเป็นศิษย์สายในในขณะที่อายุยังน้อยเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติเหนือกว่าผู้อื่นมาก จึงถูกผู้อาวุโสยอดเขารับเป็นศิษย์สายใน และพอเห็นเช่นนี้ หลิ่วหมิงก็ประสานมือคารวะอย่างไม่ชักช้า
พอนางเห็นหลิ่วหมิงออกมา ดวงตางดงามก็เป็นประกาย และหลังจากได้ยินหลิ่วหมิงบอกชื่อแซ่แล้ว นางก็ยิ้มและกล่าวออกมา
“ศิษย์น้องหลิ่วอยู่จริงๆ ด้วย ดีจังเลย! เจ้ารู้ไหมว่า ข้ามาสาขาห่านฟ้าหลายครั้งเพื่อหาเจ้า จะว่าไปแล้วศิษย์น้องกับตระกูลหลงแห่งหุบเขาน้ำพุเงินของเรา ก็ค่อนข้างมีความสัมพันธ์อันลึกล้ำ”
“ศิษย์พี่หมายความว่าอย่างไร……” หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ย่อมรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย
ตามที่ได้ยินมา ปกติศิษย์สายในจะค่อนข้างเก็บตัว และไม่มาปรากฏตัวโดยง่าย
แต่ตอนนี้ไม่เพียงแต่จะมาหาถึงที่ ทั้งยังพูดคำพูดเช่นนี้ออกมา ย่อมทำให้เขารู้สึกจับต้นชนปลายไม่ถูก
“ข้าได้ยินมาว่าศิษย์น้องหลิ่วเป็นศิษย์สายตรงของลิ่วยินเจินเหริน และลิ่วยินเจินเหรินก็เป็นบรรพบุรุษของตระกูลหลงเรา ปีนั้นได้หายตัวไปโดยไม่คาดคิด และไม่เคยกลับมาอีกเลย ในเมื่อศิษย์น้องเป็นผู้สืบทอดในนิกายที่ท่านปู่ก่อตั้งขึ้นมา ย่อมมีความพันธ์ลึกซึ้งกับตระกูลหลงเรา” หญิงที่เรียกตนเองว่าหลงเหยียนเฟยหุบยิ้มแล้วกล่าวออกมา
“อะไรนะ! ศิษย์พี่เป็นทายาทของปรมาจารย์ลิ่วยิน?” หลิ่วหมิงได้ยินก็ต้องรู้สึกตกใจอีกครั้ง
ที่เขาสามารถเข้ามาฝึกฝนในนิกายยอดบริสุทธิ์นี้ได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าได้พบเจอกับจิตรับรู้ที่ปรมาจารย์ลิ่วยินทิ้งไว้ในปีนั้น จึงโชคดีได้รับเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬกับเคล็ดวิชากระบี่ปราณแกร่งมา
และวันนี้เขาได้พบกับทายาทของปรมาจารย์ลิ่วยิน เดิมทีควรจะมอบตัวอ่อนกระบี่จิตวิญญาณให้กับนางตามที่ปรมาจารย์ลิ่วยินได้ขอร้องไว้ถึงจะถูก
แต่เหตุการณ์กลับไม่เป็นไปตามนั้น ตัวอ่อนกระบี่นี้ถูกจิตปีศาจที่แย่งชิงร่างเขาในก่อนหน้า ผสานมันเข้ากับตัวอ่อนกระบี่ของเขา และตอนที่ต่อสู้กับราชาปีศาจสมุทรบนเกาะตะพาบน้ำ เขาก็ใช้มันป้องกันตัวจนระเบิดไปแล้ว
ด้วยเหตุนี้ พอเห็นทายาทของปรมาจารย์ลิ่วยินมาปรากฏตัว หลิ่วหมิงจึงรู้สึกใจฝ่อแบบแปลกๆ แต่ดีที่สีหน้ายังคงเป็นปกติ
ขณะนี้ หลังจากหลงเหยียนเฟยเงียบไปครู่หนึ่งแล้ว นางก็เอ่ยปากออกมา
“ความจริงแล้ว ที่ข้ามาในครั้งนี้เพราะคำสั่งของท่านย่า ท่านอยากรู้เรื่องราวที่ท่านปู่ซัดเซพเนจรไปยังถิ่นอื่น หวังว่าศิษย์น้องจะช่วยส่งเสริมเล็กน้อย”
ตอนที่ 482 หุบเขาน้ำพุเงิน
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ในเมื่อศิษย์พี่เป็นทายาทของปรมาจารย์ลิ่วยิน ศิษย์น้องก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ทำตาม ความจริงแล้วข้ามาจากสถานที่ที่มีชื่อว่าเกาะอวิ๋นชวน เกาะแห่งนี้อยู่ในเขตทะเลชังไห่……” หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองเล็กน้อย จากนั้นก็พินิจพิเคราะห์คำพูดที่เคยเล่าให้ผู้อาวุโสยอดเขาเลื่อนลอยฟังในวันนั้น และนำมาเล่าให้หญิงสาวตรงหน้าฟังอีกรอบ
เมื่อหลงเหยียนเฟยฟังจบ กลับเผยสีหน้าราวกับคิดอะไรอยู่ ไม่นานนางก็ค่อยๆ กล่าวออกมา
“หลายพันปีมานี้ ตระกูลของข้าตามหาเบาะแสของบรรพบุรุษมาโดยตลอด วันนี้ต้องขอบคุณศิษย์น้องที่บอกให้รู้ นับว่าได้เติมเต็มความปารถนาของคนในตระกูลแล้ว”
“ศิษย์พี่พูดอะไรกัน ผู้อาวุโสลิ่วยินมีบุญคุณต่อข้า จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องที่ข้าสมควรทำ” หลิ่วหมิงรีบตอบกลับไปตามมารยาท
“ศิษย์น้องหลิ่วเป็นศิษย์ของบรรพบุรุษข้า ไม่ทราบว่าพอจะสะดวกไปหุบเขาน้ำพุเงินกับข้าสักคราหรือไม่? หลังจากท่านย่ารู้เรื่องบรรพบุรุษแล้ว ก็อยากจะพบหน้าศิษย์น้องด้วย” หญิงสาวคิดไปคิดมาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็กล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย
“ควรจะเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว แต่ข้าน้อยเพิ่งเข้านิกายมาไม่นาน และตอนนี้ต้องจัดการเรื่องราวบางอย่างเล็กน้อย ไม่สู้รอผ่านไปซักระยะ ข้าน้อยจะไปเยี่ยมเยียนเองดีหรือไม่” หลิ่วหมิงรู้สึกเย็นสะท้านในใจ แต่กลับกล่าวด้วยสีหน้าปกติ
“ก็ดีเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นรอผ่านไปสักระยะหนึ่ง แล้วข้าค่อยมาเยี่ยมเยียนก็แล้วกัน” หลงเหยียนเฟยได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงกล่าวด้วยรอยยิ้มพราย
หลิ่วหมิงย่อมได้แต่พยักหน้าตอบรับเท่านั้น
หลังจากทั้งสองสนทนากันอีกสองสามประโยคแล้ว หลงเหยียนเฟยก็ขี่เมฆขาวเหาะจากไป
พอหญิงสาวผู้นี้ไปไกลแล้ว หลิ่วหมิงถึงรู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง พอกลับเข้าไปในถ้ำ เขาก็เดินวนไปวนมาในห้องนอน หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ถึงถอนหายใจออกมา และล้มตัวนอนอย่างเอาเป็นเอาตาย
เช้าวันที่สาม หลิ่วหมิงถึงตื่นขึ้นมาด้วยจิตใจที่ฮึกเหิม
เวลาต่อมา เขาไปตลาดที่อยู่ในนิกายรอบหนึ่ง เมื่อซื้อยันต์กับโอสถที่จำเป็นต้องใช้ในการฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬแล้ว ก็รีบกลับไปกักตัวฝึกฝนอยู่ในห้องลับ
ในเมื่อตอนนี้เขาหลอมตัวอ่อนกระบี่เขาพระสุเมรุสำเร็จแล้ว สิ่งสำคัญในตอนนี้ก็คือพยายามฝึกฝนพลังเวทของตนเองให้แข็งแกร่ง
อย่างที่รู้ว่า ตอนนี้อยู่ห่างจากเวลาที่ฟองอากาศลึกลับในร่างจะดูดกลืนพลังเวทไม่มากแล้ว
แต่ทว่าในขณะที่หลิ่วหมิงกักตัวฝึกฝนนั้น ในบรรดาศิษย์สายนอกกลับแพร่กระจายข่าวลือบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับเขา
ภายในหอลี้ลับนอก
ขณะนี้เป็นเวลาเที่ยงวันพอดี ศิษย์จำนวนมากจับกลุ่มรวมตัวกันอยู่ในสถานที่แห่งนี้ พวกเขากำลังเลือกภารกิจบนป้ายประกาศนอก เพื่อการฝึกฝนในภายหน้า จึงต้องสะสมแต้มคุณูปการอย่างยากลำบาก
“ศิษย์พี่จาง ท่านได้ยินข่าวลือที่ทุกคนต่างก็วิพากษ์วิจารณ์กันในช่วงนี้หรือไม่?” ศิษย์ธรรมดาที่มีหน้าตาอัปลักษณ์คนหนึ่ง กระซิบถามสหายที่อยู่ข้างๆ
“ที่เจ้าพูดคือเรื่องใด?” ศิษย์พี่จางกล่าวโดยที่ยังไม่ละสายตาไปจากป้ายประกาศลี้ลับ
“ท่านไม่รู้หรอกหรือ? ทารกเทียนฉานแห่งลัทธิเสวียนหมู่ ที่มีรายชื่อติดอันดับที่หนึ่งร้อยกว่าในบัญชีความเป็นความตาย ถูกคนจัดการไปแล้ว ว่ากันว่าผู้ที่สังหารเขาเป็นแค่ศิษย์สายนอกที่เพิ่งเข้ามาใหม่” ชายหน้าตาอัปลักษณ์หัวเราะแล้วกล่าวออกมา
“ทารกเทียนฉาน? มีคนฆ่าเขาได้จริงๆ หรือ?” ประจักษ์ชัดว่าศิษย์พี่จางรู้จักทารกเทียนฉาน ในที่สุดเขาก็ละสายตาออกจากป้ายประกาศลี้ลับแล้วกล่าวออกมา
“เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน ข้าได้ยินมาจากศิษย์พี่เยี่ยน ในขณะที่ข้าไปทำภารกิจที่เขาที่เขาหนานผานเมื่อวานนี้ ศิษย์พี่เยี่ยน ศิษย์พี่เสวี่ย และศิษย์สายนอกที่เพิ่งเข้ามาใหม่อีกสามคน ไปล่าปีศาจอสูรที่เทือกเขาตะวันมืดด้วยกัน และบังเอิญเจอกับทารกเทียนฉานเข้า หลังผ่านการต่อสู้ไปหนึ่งรอบ พวกศิษย์พี่เยี่ยนก็ไม่สามารถสู้ได้ และคนของพวกเขาก็เสียชีวิตในเงื้อมมือของมนุษย์ปีศาจนี้ไปสามคน” ชายหน้าตาอัปลักษณ์เห็นว่าฝ่ายตรงหน้าให้ความสนใจ เขาจึงพูดคุยโวออกมา
“รีบเล่ามา ตอนท้ายเป็นอย่างไรบ้าง?” ศิษย์พี่จางยังไม่ทันได้ถาม อีกคนที่อยู่ด้านข้างก็ถามด้วยความอยากรู้ คนอื่นๆ ที่อยู่บริเวณนั้นได้ยินเช่นนี้ ต่างก็กรูกันเข้ามา
ชายหน้าตาอัปลักษณ์เห็นคนจำนวนมากมองเขาเช่นนี้ เขาก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา หลังจากกระแอมไอแล้ว จึงเล่าด้วยใบหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง
“พูดถึงสถานการณ์ในวันนั้นแล้ว ช่างอันตรายเป็นอย่างยิ่ง ขณะที่ศิษย์พี่เยี่ยนกับศิษย์พี่เสวี่ยไร้ทางหนีทีไล่นั้น พลันมีเสียงตะโกนดังออกมา จากนั้นชายหนุ่มสวมชุดศิษย์สายนอกผู้หนึ่ง ก็พุ่งเข้ามาราวกับพายุ และปล่อยอาวุธจิตวิญญาณที่มีแสงสีทองออกมาชิ้นหนึ่ง……ส่วนจะเป็นอาวุธอะไรนั้น ศิษย์พี่เยี่ยนก็เห็นไม่ค่อยชัด……แต่ทว่าเพียงชั่วเวลาไม่กี่อึดใจ ทารกเทียนฉานผู้นั้นก็ถูกฟันเป็นเจ็ดแปดชิ้น โดยไม่มีแรงตอบโต้เลยแม้แต่น้อย……”
ชายหน้าอัปลักษณ์พูดเป็นน้ำไหลไฟดับ ราวกับว่าเขาเป็นคนลงมือเอง แต่ผู้คนรอบด้านดูเหมือนจะไม่ไว้หน้าเขาเลยแม้แต่น้อย
“เจ้าอวี๋ เจ้านี่พูดเลยเถิดไปหน่อยมั้ง ไปฟังละครเพลงมาล่ะสิ?”
“นั่นน่ะสิ ทารกเทียนฉานผู้นั้นเจ้าเล่ห์กลับกลอกแค่ไหน แม้แต่ศิษย์พี่โจว ศิษย์สายนอกที่ถูกจัดอยู่ในสามสิบอันดับแรก ยังเคยตามหาร่องรอยของเขาตั้งหลายเดือน แต่ก็ยังหาไม่เจอเลย”
“ใช่แล้ว! เขาจะเสียชีวิตง่ายๆ ได้อย่างไร ทั้งยังเป็นศิษย์สายนอกที่เพิ่งเข้ามาใหม่เป็นคนลงมือด้วย……”
“ที่ข้าพูดมาทั้งหมดเป็นเรื่องจริงทุกประการ หากพวกเจ้าไม่เชื่อ ก็ไปถามศิษย์พี่เยี่ยนได้” ชายหน้าตาอัปลักษณ์เถียงจนหน้าดำหน้าแดง
ศิษย์ธรรมดาคนอื่นๆ ที่อยู่บริเวณนั้น ย่อมสงสัยในคำพูดของเขา
ขณะเดียวกัน ภายในถ้ำที่พักแห่งหนึ่ง ชายสามคนที่สวมชุดศิษย์สายนอก กำลังนั่งจิบชาพูดคุยกันอยู่
คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หลักดูเป็นคนที่มีอายุน้อยสุด ปลายคิ้วงอนไปถึงจอนผม ดวงตาคมกริบ หากมีศิษย์สายนอกคนอื่นๆ อยู่ในนั้น ก็จะรู้ว่าคนผู้นี้ก็คือหวังเทียนเหิง ที่จัดอยู่ในอันดับที่สิบของการประลองใหญ่ในรอบที่แล้ว
“ศิษย์พี่หวัง ว่ากันว่าทารกเทียนฉานที่มีชื่อในบัญชีความเป็นความตายมานานสิบกว่าปี ถูกสังหารไปแล้ว” ชายร่างบึกบึนที่นั่งอยู่ตรงข้ามหวังเทียนเหิงกล่าว
คนผู้นี้มีโครงหน้าสี่เหลี่ยม แต่หนวดเคราใต้คางรุงรัง ดูเหมือนกับไม่ได้รับการใส่ใจมานานแล้ว
“มนุษย์ปีศาจผู้นี้สังหารศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ของพวกเราไปมาก ข้าอยากจะกำจัดเขานานแล้ว เพียงแต่ไม่มีเวลาว่างมาโดยตลอด ตอนนี้กลับมีคนลงมือแล้ว ไม่ทราบว่าคนผู้นี้คือใครกัน?” หวังเทียนเหิงยกถ้วยชาขึ้นมาจิบทีหนึ่ง และค่อยๆ กล่าวออกมา
“ว่ากันว่าเป็นศิษย์สายนอกสังกัดสาขาห่านฟ้าที่เพิ่งเข้ามาใหม่ มีชื่อว่าหลิ่วหมิง ศิษย์พี่หวาก็เป็นศิษย์สาขาห่านฟ้า คิดว่าคงจะรู้เรื่องนี้!” ชายมีหนวดยิ้มแล้วหันไปกล่าวกับชายหนุ่มอีกคน
คนผู้นี้ก็มีอายุแค่ยี่สิบกว่าปีเท่านั้น แต่สีผมกลับขาวครึ่งดำครึ่ง แลดูแปลกประหลาดยิ่งนัก
“ไม่ผิด! ก่อนหน้านั้นข้าก็เคยได้ยินศิษย์ภายนอกพูดถึงเรื่องนี้ หากพบหน้ากันโดยบังเอิญก็สามารถสังหารทารกเทียนฉานได้ล่ะก็ คิดว่าคงมีพลังไม่ธรรมดา” ศิษย์พี่หวาปราดตามองหวังเทียนเหิงทีหนึ่ง และกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม
หวังเทียนเหิงก็หัวเราะด้วยสีหน้าเคร่งขรึมแล้วกล่าวออกมา
“ฮึ! ก็แค่เป็นการเติมไฟให้ข่าวลือเท่านั้น กะอีแค่ศิษย์ที่เพิ่งเข้ามาใหม่ ต่อหน้าผู้มีพลังแข็งแกร่ง ก็ไม่เท่าไหร่หรอก”
ชายมีหนวดกับศิษย์พี่หวาสบตากันทีหนึ่ง และหันกลับไปจิบชาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
สำหรับการวิพากษ์วิจารณ์ในโลกภายนอกเหล่านี้ หลิ่วหมิงย่อมไม่รับรู้เลยแม้แต่น้อย แต่ละวันเขาเอาแต่กักตัวฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬอยู่ในถ้ำที่พัก
จนเวลาผ่านไปสองเดือน แสงสีเขียวลำหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงขอบฟ้า และพุ่งลงมาหน้าถ้ำที่พักของหลิ่วหมิง พอลำแสงดับลง ก็เผยให้เห็นใบหน้าหญิงสาวผู้หนึ่ง ซึ่งนางก็คือหลงเหยียนเฟยนั่นเอง
เมื่อหลิ่วหมิงเห็นศิษย์พี่หลงผู้นี้อีกครั้ง ก็รู้สึกกลืนไม่เข้าคลายไม่ออกทันที
ตั้งแต่นางจากไปในครั้งนั้น ภายในระยะเวลาสองเดือนนี้ ดูเหมือนว่าทุกๆ สิบกว่าวันนางจะมาหาหนึ่งครั้ง แม้นางจะอยู่พูดคุยเรื่องราวเกี่ยวกับการฝึกฝนในนิกายยอดบริสุทธิ์ไม่นาน แต่คำพูดในตอนท้ายกลับชวนเขาไปพูดคุยกับท่านย่าของนางที่หุบเขาน้ำพุเงิน
ครั้งนี้ หลังจากนางชวนหลิ่วหมิงอีกครั้ง หลิ่วหมิงก็คิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง และได้แต่พยักหน้าตอบรับ
นางได้ยินย่อมรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก จากนั้นทั้งสองก็ขี่เมฆทะยานขึ้นฟ้า และพุ่งออกไปจากเขาหมื่นวิญญาณ
และตั้งแต่เรื่องทารกเทียนฉานแพร่กระจายไปยังสาขาอื่นๆ หลิ่วหมิงก็นับว่ามีชื่อเสียงเล็กๆ ในบรรดาศิษย์สายนอก
แม้ปกติเขาจะปรากฏตัวน้อยมาก แต่ถูกศิษย์พี่สายในที่มีรูปร่างหน้าตาโดดเด่นมาเยี่ยมเยียนติดต่อกันบ่อยครั้ง ย่อมดึงดูดความสนใจจากผู้คนไม่น้อย
เหตุการณ์ที่เขาออกไปพร้อมกับหลงเหยียนเฟยในครั้งนี้ ถูกศิษย์ภายนอกจำนวนหนึ่งที่ผ่านมาพอดีค้นพบเข้า ข่าวนี้จึงเล่าลือไปในนิกาย และก่อให้เกิดความฮือฮาไม่น้อย
……
ภายในถ้ำฝึกฝนแห่งหนึ่งบนยอดเขาเลื่อนลอย
“พูดเช่นนี้ก็แสดงว่าศิษย์น้องหลงไปหาเจ้าเด็กที่ชื่อหลิ่วหมิงแล้ว ทั้งสองยังออกไปพร้อมกันด้วย?” ห้องโถงใหญ่ภายในถ้ำ ชายหนุ่มที่สวมชุดศิษย์สายใน ใบหน้าหล่อเหลา แต่สีหน้าอึมครึมอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง
“ถูกต้อง! เรื่องนี้ศิษย์สาขาห่านฟ้าจำนวนมากเห็นกับตา จะต้องเป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน” ชายร่างเล็กแต่งชุดศิษย์สายนอกที่ยืนอยู่ตรงหน้าชายหนุ่ม กล่าวด้วยสีหน้านอบน้อม เห็นได้ชัดว่าเขาหวาดกลัวชายหนุ่มตรงหน้าเล็กน้อย
“เพล้ง!”
แก้วหยกในมือชายหนุ่มถูกบีบจนแตกกระจายเป็นผุยผงก่อนร่วงลงพื้น
……
และในขณะเดียวกัน หลังจากหลิ่วหมิงเหาะตามหลงเหยียนเฟยผ่านเทือกเขาสูงต่ำหลายลูกแล้ว ก็พลันมีแสงสว่างขึ้นตรงหน้า และหุบเขาเล็กๆ เขียวชอุ่มปรากฏแก่สายตา
ประมาณครึ่งหนึ่งของหุบเขา ถูกครอบครองโดยทะเลสาบสีฟ้า พอทอดสายตามองออกไป จะเห็นว่ามีไอหมอกสีขาวจางๆ ปกคลุมอยู่เหนือทะเลสาบ
และใจกลางทะเลสาบ มีตาน้ำพุขนาดใหญ่สะดุดตาที่มีน้ำพุพุ่งออกมาอย่างไม่ขาดสาย และยังได้ยินเสียงน้ำไหลรินจากที่ไกลๆ
น้ำพุที่พุ่งออกมาสูงหลายจั้ง ภายใต้การส่องสะท้อนของแสงอาทิตย์ ก่อให้เกิดประกายสีเงินแวววาวท่ามกลางหมอกขาวที่ลอยวน แลดูมหัศจรรย์เป็นอย่างมาก
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่า สถานที่แห่งนี้ก็คือหุบเขาน้ำพุเงินที่หลงเหยียนเฟยพูดถึงนั่นเอง
ครู่ต่อมา หลิ่วหมิงและหลงเหยียนเฟยก็ร่อนลงตรงปากทางเข้าหุบเขา จากนั้นก็เดินตามทางคดเคี้ยวเล็กๆ เข้าไปด้านใน
หลังจากทั้งสองเดินข้ามสะพานหินที่พาดผ่านสายน้ำที่ไหลรินแล้ว ก็มาถึงหน้ากระท่อมสองสามหลังที่ดูโกโรโกโส
ด้านหนึ่งของกระท่อมเป็นแปลงสมุนไพรที่มีขนาดหนึ่งหมู่กว่าๆ ในนั้นมีพืชจิตวิญญาณจำนวนหนึ่งปลูกอยู่ และด้านหลังก็เป็นต้นไม้โบราณที่ออกผลสีชมพูเต็มไปหมด อีกด้านก็เป็นลานบ้านเล็กๆ นอกจากจะมีโต๊ะหินกับเก้าอี้หินไม่กี่ตัวแล้ว ยังมีกระถางไม้ดอกสีแดงเพลิงที่ดูเตะตาวางอยู่สองสามใบ
ที่นี่ก็คือหุบเขาน้ำพุเงินที่มีชื่อเสียงเล็กๆ ในเขาหมื่นวิญญาณนั่นเอง
ตอนที่ 483 สงสัย
โดย
Ink Stone_Fantasy
พอหลงเหยียนเฟยยกแขนขึ้นเบาๆ ประตูกระท่อมหลังหนึ่งก็เปิดออกมา จากนั้นนางก็ก้าวเข้าไปด้านใน
หลิ่วหมิงตามนางไปติดๆ
“ศิษย์น้องหลิ่วรออยู่ที่นี่สักครู่ ข้าไปจะแจ้งท่านย่า” หลงเหยียนเฟยเรียกให้หลิ่วหมิงนั่งลง จากนั้นก็เดินไปส่วนหลังของกระท่อม
หลิ่วหมิงพยักหน้าตอบรับ พอเขากวาดสายตาดู ก็ค้นพบว่าบ้านหลังนี้มีขนาดไม่ใหญ่มาก กว้างราวๆ ห้าหกจั้งเท่านั้น แม้ภายในห้องจะตกแต่งอย่างเรียบง่าย แต่โต๊ะเก้าอี้และสิ่งของอื่นๆ กลับมีครบครัน ดูเหมือนห้องรับแขกเลยทีเดียว
และรูปโบราณที่แขวนอยู่บนกำแพงด้านหนึ่ง ดึงดูดความสนใจของเขาขึ้นมา
ในรูปเป็นชายหนุ่มที่มีลักษณะท่าทางองอาจห้าวหาญ สวมชุดนักพรตสีดำ บนหลังมีกระบี่ยาวไร้ฝักอยู่เล่มหนึ่ง ไอดำลอยวนรอบตัว ระหว่างคิ้วดูฮึกเหิมดุเดือดรุนแรง ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกถูกกดขี่อยู่ลางๆ
“อะแฮ่ม!”
เสียงกระแอมไอเบาๆ ขัดจังหวะการจ้องมองของหลิ่วหมิง หลงเหยียนเฟยผลักรถเข็นที่มีหญิงวัยกลางคนนั่งอยู่เข้ามาด้านใน
“ท่านย่า ผู้นี้ก็คือหลิ่วหมิง ศิษย์ของท่านปู่เทียดลิ่วยิน” หลงเหยียนเฟยพูดคุยกับหญิงวัยกลางคนเบาๆ
“ข้าน้อยหลิ่วหมิง คารวะผู้อาวุโส” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รีบลุกขึ้นมา และประสานมือคารวะหญิงวัยกลางคนอย่างนอบน้อม
พอเขาปราดตามอง ก็ค้นพบว่าท่านย่าที่หลงเหยียนเฟยกล่าวถึง เป็นหญิงที่มีเสน่ห์เป็นพิเศษ เพียงแต่กระโปรงยาวข้างใต้ล้วนว่างเปล่า ไร้ซึ่งขาทั้งสองข้าง และดูจากกลิ่นไอที่ไม่ปิดบังแล้ว ทำให้รู้ว่าเป็นผู้ฝึกฝนระดับผลึกท่านหนึ่ง
“เฟยเอ๋อร์ ไปชงชาให้แขกกาหนึ่ง” หญิงผู้นี้พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม และแสดงท่าทีให้หลิ่วหมิงนั่งลง จากนั้นก็หันไปสั่งหลงเหยียนเฟย
หลงเหยียนเฟยได้ยินก็หมุนตัวเดินเข้าไปด้านใน
“ศิษย์หลานหลิ่ว ตอนนั้นปู่เทียดลิ่วยินของข้า ถูกม้วนเข้าไปในพายุกระหน่ำโดยไม่คาดคิด ตามที่เจ้าเล่ามาในก่อนหน้านั้น ดูเหมือนว่าจะล่องลอยไปยังสถานที่ที่มีชื่อว่าแผ่นดินอวิ๋นชวน และก่อตั้งนิกายปีศาจขึ้นมา สามารถบอกข้าได้หรือไม่ว่า ท่านปู่เทียดรับเจ้าเป็นศิษย์ได้อย่างไร?” หญิงผู้นี้สอบถามอย่างราบเรียบ
“เรียนผู้อาวุโส ในปีนั้นปรมาจารย์ลิ่วยินได้ก่อตั้งนิกายปีศาจขึ้นมาจริงๆ แต่ตอนที่ข้าเข้านิกายนั้น ปรมาจารย์ท่านได้ไปสู่แดนสวรรค์หลายร้อยปีแล้ว และผู้น้อยก็รู้เรื่องราวเกี่ยวกับปรมาจารย์จากอาจารย์ และประมุขนิกายเพียงเล็กน้อย” หลิ่วหมิงตอบตามตรง
“พูดเช่นนี้ก็หมายความว่า เจ้าแค่ถวายตัวเป็นศิษย์นิกายปีศาจเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นเจ้าได้เคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬมาได้อย่างไร? หรือว่าผู้สืบทอดของเขาถ่ายทอดให้กับเจ้า?” พอนางได้ยินเช่นนี้ ก็ยังคงถามด้วยน้ำเสียงปกติ แต่ดวงตากลับเผยแววประหลาดใจออกมา
“ปรมาจารย์ลิ่วยินไม่ได้ถ่ายทอดวิชาใดๆ ของนิกายยอดบริสุทธิ์ให้กับคนรุ่นหลัง และกลับเปลี่ยนความรู้ของท่านให้เป็นกำแพงเก็บเงาก้อนหนึ่ง ให้คนรุ่นหลังไปศึกษา และทิ้งจิตส่วนหนึ่งไว้ เนื่องจากตอนนั้นพลังของกำแพงเก็บเงาเหลืออยู่ไม่มาก และอาจสูญสิ้นพลังได้ตลอดเวลา ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ปรมาจารย์ลิ่วยินจึงมอบเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬให้ผู้น้อย และบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับนิกายยอดบริสุทธิ์ให้เล็กน้อย หวังว่าหากผู้น้อยมีโอกาส จะได้นำข่าวกลับมายังนิกายของท่าน” หลิ่วหมิงค่อยๆ บอกหญิงตรงหน้า แต่กลับไม่เอ่ยถึงตัวอ่อนกระบี่ปราณแกร่ง
ขณะนี้ หลงเหยียนเฟยก็ยกชาเข้ามา
“ศิษย์น้องหลิ่ว เชิญดื่มชา ชาจิตวิญญาณนี้ข้าปลูกเองกับมือ มีผลต่อความบริสุทธิ์ของพลังเวทยิ่งนัก” ขณะที่พูด หลงเหยียนเฟยก็วางถ้วยชาไว้บนโต๊ะที่อยู่ข้างตัวหลิ่วหมิง จากนั้นก็กลับไปยืนอยู่ด้านหลังของหญิงวัยกลางคน
“ขอบคุณศิษย์พี่หลง” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างเกรงใจ หลังจากเปิดฝาจิบไปหนึ่งที ชาที่มีกลิ่นหอมจรุงใจก็ไหลผ่านลำคอ ทำให้เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา
“ศิษย์หลานหลิ่ว ขณะที่เจ้าติดต่อกับจิตรับรู้ของบรรพบุรุษข้านั้น ท่านได้พูดถึงจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่หรือไม่? หรือว่านิกายปีศาจของพวกเจ้ามีเรื่องเล่าลือเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่?” ดวงตาของหญิงวัยกลางคนเปล่งประกายในขณะที่สอบถามเกี่ยวกับจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่
หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกเย็นสะท้านในใจ แต่ก็รีบปฏิเสธด้วยสีหน้าปกติ
“ปรมาจารย์ลิ่วยินไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้”
พอนางได้ยินคำตอบของหลิ่วหมิง ดวงตางดงามก็กลอกไปมาทีหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ซักไซ้ไล่เลียงแต่อย่างใด เพียงแค่สอบถามเรื่องราวอื่นๆ ของปู่เทียดลิ่วยินกับหลิ่วหมิงด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
หลายชั่วยามผ่านไป นางก็ให้หลงเหยียนเฟยส่งหลิ่วหมิงออกไปจากหุบเขา
……
“เฟยเอ๋อร์ หลิ่วหมิงผู้นั้นไปแล้วหรือ?” หญิงวัยกลางคนจ้องมองภาพบนผนังราวกับกำลังคิดอะไรอยู่ ขณะที่หลงเหยียนเฟยก้าวเท้าเข้ามาในห้อง นางก็เอ่ยปากถามออกมา
“เรียนท่านย่า ข้าส่งเขาออกนอกหุบเขา และรอจนมั่นใจว่าเขาไปแล้ว ข้าถึงกลับมา” หลงเหยียนเฟยตอบอย่างนอบน้อม
“ตอนที่ย่าเทียดละสังขารในปีนั้น ได้ทิ้งคำพูดไว้ว่า ก่อนปู่เทียดจะหายตัวไปก็ได้เริ่มหลอมตัวอ่อนกระบี่ปราณแกร่งแล้ว อีกอย่างเส้นทางที่ท่านฝึกฝนในตอนนั้น ก็ไม่ใช่สายกระบี่ ดังนั้นจึงแสดงออกอย่างชัดเจนว่า ท่านได้เตรียมจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่นี้ไว้ให้คนรุ่นหลัง ตนเองจะไม่นำมาใช้เด็ดขาด ในเมื่อหลิ่วหมิงผู้นี้ได้พบกับจิตรับรู้ที่ปู่เทียดลิ่วยินทิ้งไว้ และปู่เทียดยังมอบเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬให้กับเขา ทั้งยังให้เขามาที่นิกายยอดบริสุทธิ์ แล้วทำไมจะไม่พูดถึงเรื่องสำคัญอย่างจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่นี้ล่ะ” หญิงวัยกลางคนขมวดคิ้ว และกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งครึม
“ท่านย่า เมื่อครู่ข้าได้สังเกตดูหลิ่วหมิงในตอนที่ตอบคำถาม สีหน้าของเขาดูสงบมาก ดูไม่เหมือนคนที่พูดปดเลยแม้แต่น้อย” หลงเหยียนเฟยขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วตอบกลับไป
“ก็เพราะเขาดูสงบจนเกินไป ข้าถึงเกิดความสงสัย เฟยเอ๋อร์ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าต้องหาวิธีเข้าใกล้หลิ่วหมิงให้มาก ลองดูว่าจะหาเบาะแสของจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่เจอหรือไม่” หญิงวัยกลางคนออกคำสั่ง
“ทราบ! เฟยเอ๋อร์รู้แล้ว” หลงเหยียนเฟยได้ยินก็รีบตอบรับทันที
……
ขณะนี้ หลิ่วหมิงกำลังขี่เมฆกลับไปยังถ้ำที่พัก
จากการสนทนาในก่อนหน้านั้น เขาย่อมรับรู้อย่างลางๆ ว่าหญิงวัยกลางคนได้สงสัยตนเองแล้ว แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ย่อมไม่สามารถอธิบายอะไรได้มาก
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ดูเหมือนว่าเขาจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงเลี้ยวไปยังทิศทางบางแห่ง
เวลาผ่านไปราวๆ หนึ่งถ้วยชา หลิ่วหมิงก็มาถึงนอกหอใหญ่สีขาวเทาที่ตั้งอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่ง
ดูๆ แล้วหอนี้ก็มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก มีขนาดราวๆ ร้อยกว่าจั้ง สร้างขึ้นจากหินสีขาวเทา
“หอนานัปการ”
หลิ่วหมิงจ้องมองป้ายที่แขวนอยู่บนประตู และมีอักขระสีดำติดอยู่ก่อนที่จะพูดพึมพำเบาๆ
แท้จริงแล้วหอนานัปการที่พูดถึง เป็นสถานที่ที่ให้โอสถและยันต์กับบรรดาศิษย์โดยเฉพาะ ซึ่งสามารถใช้แต้มคุณูปการแลกโอสถกับยันต์ระดับต่ำจนถึงระดับสูงได้
เขาค่อยๆ เดินเข้าไปด้านในทันที
ภายในหอขณะนี้ มีศิษย์สวมชุดสีต่างๆ อยู่หลายสิบคน พวกเขากำลังจับกลุ่มสองสามคนรวมตัวอยู่หน้าศิษย์ดำเนินการไม่กี่คน บ้างก็แลกโอสถกับยันต์ที่ต้องการ บ้างก็สุมหัวพูดคุยอะไรกันอยู่
“ศิษย์น้องฉิน ได้ยินมาว่าช่วงนี้ยอดเขาเลื่อนลอยของพวกเจ้า ได้รับศิษย์สายในหญิงที่มีรูปโฉมงดงามมาคนหนึ่ง เป็นเช่นนี้จริงหรือไม่?” ห่างออกไปไม่ไกล ชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่ที่สวมชุดศิษย์สายใน กำลังสอบถามชายหนุ่มที่มีท่าทีสะโอดสะอง
“เป็นเช่นนี้จริงๆ ข้าเองก็รู้มาจากศิษย์พี่คนหนึ่ง ฟังจากที่เขาบรรยายแล้ว นางผู้นี้มีอายุแค่ยี่สิบกว่าปี ผิวละเอียดเกลี้ยงเกลา งามล่มบ้านล่มเมือง หลายวันก่อนได้เห็นนางขี่เมฆผ่านโดยบังเอิญ ข้าคิดว่าเปรียบนางสวยราวกับเทพธิดาบนสรวงสวรรค์น่าจะเหมาะสมกว่า”
“ได้ยินมาว่านางมีร่างมายาสวรรค์ในตำนาน สามารถสะกดจิตของผู้คนได้ เจ้าคงไม่โดนวิชาของนางเข้าไปนะ” ชายรูปร่างสูงใหญ่เห็นชายหนุ่มมีท่าทีหลงใหลเช่นนี้ จึงตบไหล่ชายหนุ่มทันที
“ร่างมายาสวรรค์?”
ขณะที่ชายรูปร่างสูงใหญ่พูดคำนี้ออกมา หลิ่วหมิงที่กำลังเดินเข้ามาก็รู้สึกอึ้งไปทันที
คิดว่าที่ฝ่ายตรงข้ามพูดถึงคงเป็นเจียหลานแล้ว
“ขอบคุณศิษย์พี่เกอที่เตือน ต่อให้ศิษย์น้องผู้นี้จะไม่มีร่างมายาสวรรค์ ลำพังแค่รูปโฉม ก็พอที่จะทำให้ข้าบ้าคลั่งได้แล้ว” ขณะนี้ชายหนุ่มก็ส่ายหน้า และกล่าวด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น
แม้หลิ่วหมิงจะรู้สึกประหลาดใจ แต่สีหน้ายังคงเป็นปกติ จากนั้นก็เดินไปยังศิษย์ดำเนินการที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการแลกโอสถ
ผ่านไปซักพัก หลิ่วหมิงก็เดินออกจากหอนานัปการ และแต้มคุณูปการห้าพันกว่าแต้มที่เหลือ ก็ถูกใช้แลกโอสถต่างๆ ที่สามารถเพิ่มระดับการฝึกฝนไปจนหมด
เขาจ้องมองขวดหลายใบที่อยู่ในถุงแล้วพยักหน้าด้วยความพอใจ พอทำท่ามือ เมฆดำก็ปรากฏที่ใต้เท้า จากนั้นก็พุ่งไปยังถ้ำที่พัก
หลังจากกลับถึงถ้ำแล้ว หลิ่วหมิงก็เตรียมการเล็กน้อย และแขวนป้ายไม่รับแขกไว้หน้าประตู จากนั้นก็เข้าไปฝึกฝนในห้องลับ
……
กาลเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลิ่วหมิงไม่ได้ออกจากถ้ำเป็นเวลาครึ่งปีกว่าแล้ว
ตอนแรก หลงเหยียนเฟยจะมาหาหลิ่วหมิงทุกๆ สิบวันสิบห้าวัน แต่หลังจากผ่านไปหลายครั้ง ก็ยังเห็นป้ายไม่รับแขกแขวนอยู่ นางจึงเปลี่ยนเป็นมาหาทุกสองสามเดือนครั้ง แต่ทุกครั้งล้วนกลับไปด้วยความผิดหวัง และหลิ่วหมิงก็ไม่รับรู้เรื่องราวเหล่านี้เลย
วันนี้ หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ภายในห้องลับ มีไอดำลอยวนรอบตัวไม่หยุด และไอดำนี้หนาแน่นเป็นอย่างมาก
ทันใดนั้น ท่ามกลางไอดำที่พวยพุ่งอย่างรุนแรง มันก็แยกตัวเป็นไอหมอกดำสองสาย และพุ่งขึ้นด้านบน หลังจากมีเสียงมังกรพยัคฆ์คำรามออกมาแล้ว ไอหมอกดำทั้งสองก็กลายเป็นมังกรดำที่ยาวสิบกว่าจั้งกับพยัคฆ์ดำขนาดใหญ่ และมันทั้งสองก็หมุนวนอยู่ในห้องลับ
และไอหมอกดำที่พุ่งออกจากร่างหลิ่วหมิง ก็ยังคงทะลักเข้าไปในร่างของมังกรพยัคฆ์อย่างต่อเนื่อง จนทำให้มันดูแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม
ขณะที่ทั้งสองหมุนวนอยู่ไม่หยุด ร่างมังกรพยัคฆ์หมอกดำ ก็แจ่มชัดกว่าก่อนหน้านั้นมาก
แต่ไม่นานมังกรหมอกดำก็ส่งเสียงดังก้องเป็นระยะๆ ทำให้ไอหมอกรอบด้านพวยพุ่งไม่หยุด และพยัคฆ์ดำขนาดใหญ่ก็วิ่งไวราวกับพายุ จนก่อเกิดเป็นคลื่นสั่นสะเทือนกลางอากาศ
ครู่เดียว หลิ่วหมิงก็ลืมตาทั้งคู่ในฉับพลัน และแหงนหน้าตะโกนออกมา
เกิดเสียงดังเปรี๊ยะๆ ตามร่างกายและแขนขา จากนั้นร่างของเขาก็ขยายใหญ่ครึ่งจั้งกว่าๆ
และร่างของมังกรหมอกกับพยัคฆ์หมอก ก็หดเล็กลงกว่าเดิมเท่าตัว ขณะเดียวกัน ร่างของมันก็เด่นชัดกว่าเดิม และเริ่มหมุนวนรอบตัวหลิ่วหมิง
ขณะนี้ ร่างของหลิ่วหมิงมีขนาดจั้งกว่าๆ กล้ามเนื้อเป็นมัดๆ เส้นเอ็นปกคลุมเต็มตัว และภายใต้การหมุนวนของมังกรพยัคฆ์หมอกดำ ร่างของเขาก็แผ่กลิ่นไออสูรดุร้ายที่ทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดผวาออกมา
ดวงตาทั้งคู่ของเขาเป็นประกาย แขนทั้งสองแยกออกจากกันทันที มังกรพยัคฆ์หลุดออกจากตัวอีกครั้ง หลังจากบรรจบกันกลางอากาศ มันก็กลายเป็นหมอกดำสองกลุ่มก่อนที่จะจมหายเข้าไปในศีรษะของเขา
ตอนที่ 484 ความลับของต่างเผ่า
โดย
Ink Stone_Fantasy
ถึงตอนนี้ ขั้นที่สองของเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬก็ได้ฝึกสำเร็จแล้ว พอเขากำมือทั้งสอง ก็รับรู้ได้ถึงกายเนื้อที่แข็งแกร่งกับพลังที่เพิ่มขึ้นมาหนึ่งในสามส่วน
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้กลับค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้นมา แววตาของเขาเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด และสีหน้าก็เต็มไปด้วยความลังเล
แม้ตนเองจะฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬขั้นที่สองสำเร็จแล้ว แต่ดูเหมือนว่ายังอยู่ห่างจากระดับของเหลวขั้นปลายเล็กน้อย
หลังจากนั้นอีกหลายวัน หลิ่วหมิงก็ไม่ได้รีบร้อนออกไปจากถ้ำ แต่กลับทำเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬขั้นที่สองให้มั่นคง และถือโอกาสเสาะหาวิธีทะลุคอขวด
แต่ในขณะที่เขากำลังฝึกวิชานั้น ป้ายนิกายที่อยู่ในแขนเสื้อ ก็พลันเปล่งประกายไม่หยุด
พอเขาหยิบมันออกมา และใส่พลังเวทเข้าไปเล็กน้อย แสงสีเขียวก็กระพริบผ่านไป จากนั้นก็มีน้ำเสียงราบเรียบดังออกมา
“ศิษย์สายนอกที่ได้ข้อความนี้ ให้มารวมตัวกันในวิหารใหญ่ของสาขาห่านฟ้า”
แม้ไม่รู้ว่าทำไมครั้งนี้ถึงเรียกชุมนุมอย่างเร่งด่วน แต่ในเมื่อไม่ได้เรียกเขาแค่คนเดียว คิดว่าจะต้องมีเรื่องสำคัญอย่างแน่นอน
หลิ่วหมิงยกแขนเสื้อขึ้นโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง หลังจากเก็บขวดโอสถที่วางอยู่พื้นแล้ว ก็เดินออกจากถ้ำที่พัก และทะยานไปทางวิหารใหญ่
ครึ่งชั่วยามต่อมา หลิ่วหมิงก็มาถึงด้านในของวิหารใหญ่ ภายในวิหารขณะนี้ มีศิษย์สายนอกสามสิบคนรวมตัวกันจอแจ
ศิษย์สายนอกเหล่านี้ล้วนอายุยังน้อย อายุน้อยสุดก็สิบห้าสิบหกปี มากสุดก็ยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปี ดูจากกลิ่นไอที่แผ่ออกมาแล้ว ดูเหมือนจะมีตั้งแต่ระดับของเหลวขั้นต้นจนถึงขั้นปลาย
บ้างก็กำลังกระซิบกระซาบกัน บ้างก็สังเกตดูรอบด้านอยู่ไม่หยุด และส่วนมากก็นั่งขัดสามาธิหลับตาพักผ่อนอยู่
และรองหัวหน้าสาขา เหลียงจ้านเกอ ที่หลิ่วหมิงเจอในตอนมารายงานตัว ก็ยืนเก็บมืออยู่ข้างเก้าอี้หลักด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็เดินเข้าไปท่ามกลางฝูงชน และหาที่พื้นที่ว่างนั่งขัดสมาธิรอคอยอย่างเงียบๆ
เวลาต่อมา มีศิษย์สายนอกทยอยเข้ามาสิบกว่าคน และแทรกซึมเข้าไปฝูงชนอย่างเงียบๆ
ไม่นาน ภายในวิหารใหญ่ก็มีคนราวๆ สี่สิบกว่าคนแล้ว ด้วยเหตุที่รองหัวหน้าสาขาอย่างเหลียงจ้านเกอยังไม่ได้กล่าวอะไรออกมา พวกเขาจึงได้แต่รอต่อไป
ในนั้นย่อมมีเยี่ยนหมิงกับเสวี่ยอวิ๋นด้วย
พอทั้งสองเห็นหลิ่วหมิง ก็ก้มศีรษะให้จากที่ไกลๆ
ชั่วเวลาครึ่งถ้วยชาผ่านไป แสงหลบหลีกสีเทาลำหนึ่ง ก็พุ่งเข้ามานอกวิหารใหญ่ พอลำแสงดับลง ก็เผยให้เห็นถึงผู้อาวุโสสวมชุดผ้าป่านสีเทาผู้หนึ่ง
“หัวหน้าเจียง” พอรองหัวหน้าสาขาที่เงียบมาโดยตลอดอย่างเหลียงจ้านเกอเห็นผู้อาวุโสเดินเข้ามา เขาก็รีบประสานมือคารวะจากที่ไกลๆ
“หัวหน้าสาขา?”
พอคำพูดนี้ดังออกมา ศิษย์สายนอกที่กระซิบกระซาบกันอยู่ก็เงียบลงทันที และผู้ที่นั่งขัดสมาธิอยู่ก็พากันยืนขึ้น พวกเขาต่างก็มองไปที่หัวหน้าสาขาที่มาปรากฏตัวกระทันหันผู้นี้
หลิ่วหมิงเองก็ลืมตาแล้วลุกขึ้นมา เขามองตามสายตาของคนอื่นๆ และสังเกตดูหัวหน้าสาขาที่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน
แต่ดูเหมือนคนผู้นี้จะมีอายุหกสิบกว่าปี ใต้คางมีเคราแพะที่ยาวสามสี่ชุ่น แต่ใบหน้าแดงเปล่งปลั่ง ดูฉลาดเฉียบแหลมมาก
ภายใต้การจ้องมองของฝูงชน ผู้อาวุโสก็เดินเข้าไปนั่งบนเก้าอี้หลักอย่างช้าๆ
“ทุกท่าน ข้าเจียงจ้ง เป็นหัวหน้าสาขาห่านฟ้า เนื่องจากหลายปีมานี้มีเรื่องยุ่งเล็กน้อย จึงไม่ค่อยได้ดูแลสาขาห่านฟ้าเท่าไหร่ พวกเจ้าต่างก็เป็นศิษย์ที่เข้ามาในช่วงสามปีนี้ ดังนั้นจึงมีไม่กี่คนที่เคยเห็นข้า” ผู้อาวุโสฟั่นหนวดแล้วกล่าวอย่างราบเรียบ
หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ย่อมรีบก้าวไปคารวะ หลังจากผู้อาวุโสโบกมือแล้ว ก็บอกเหตุผลที่เรียกมาชุมนุมครั้งนี้
“ที่เรียกทุกท่านมาชุมนุมในครั้งนี้ ก็เพราะเรื่องงานประลองเล็กที่ใกล้จะมาถึง ตามกฎแล้วศิษย์สายนอกที่เข้ามาใหม่ จะต้องเข้าร่วมทดสอบเบื้องต้นที่สาขาทั้งแปดของเราจัดขึ้น หลังจากผ่านแล้วถึงมีคุณสมบัติเข้าร่วมการประลองเล็กที่สามปีจัดขึ้นหนึ่งครั้งกับการประลองใหญ่ที่สิบปีจัดขึ้นหนึ่งครั้งได้ และจะได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการจากศิษย์สายนอกคนอื่นๆ”
หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกตกตะลึงขึ้นมา เมื่อกวาดสายตามองดูศิษย์สายนอกคนอื่นๆ ก็ค้นพบว่านอกจากมีไม่กี่คนที่เผยสีหน้าประหลาดใจออกมาแล้ว คนอื่นๆ ล้วนมีสีหน้าสงบ ประจักษ์ชัดว่ารู้เรื่องนี้ตั้งแต่แรกแล้ว
เยี่ยนหมิงกับเสวี่ยอวิ๋นก็มีสีหน้าสงบ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ได้ยินเรื่องการทดสอบเบื้องต้นนี้เป็นครั้งแรก
แต่ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ที่สูงราวๆ สองจั้ง ดวงตาทั้งคู่เป็นสีม่วงจางๆ ดูไม่เหมือนมนุษย์ธรรมดา กลับดึงดูดความสนใจของหลิ่วหมิงมาก จนต้องมองดูเขาอีกสองสามที
และชายหนุ่มดวงตาสีม่วงผู้นี้ ก็ดูเหมือนจะรู้ตัวเร็วมาก พริบตาเดียวก็หันมามองหลิ่วหมิงทีหนึ่ง แต่หลังจากสบตากันเล็กน้อยแล้ว ก็รีบละสายตากลับไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกใจเย็นสะท้าน
“รายละเอียดข้าจะไม่พูดมากแล้ว พอถึงเวลาจะมีคนอธิบายให้ทุกท่านเอง นอกจากนี้ สถานที่ทำการทดสอบเบื้องต้นในครั้งนี้ ถูกจัดขึ้นที่ ‘แดนอบอ้าว’ ผู้ที่คิดว่าตนเองมีระดับการฝึกฝนไม่พอ หรือไม่คิดจะเข้าร่วมการประลองเล็กในปีหน้า ก็สามารถถอนตัวได้ รอเข้าร่วมการทดสอบในอีกสามปีให้หลังก็ได้” ผู้อาวุโสหยุดไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมา
ในขณะที่ได้ยินผู้อาวุโสพูดถึง ‘แดนอบอ้าว’ ศิษย์ส่วนมากก็ถอนหายใจยาวออกมา จากนั้นทุกคนก็ดูฮึกเหิมเล็กน้อย
“เอาล่ะ! ตอนนี้พวกเจ้ากลับไปเตรียมตัวได้ อีกสามวันให้หลังมาเจอกันที่นี่ พวกเราจะออกเดินทางไปแดนอบอ้าวพร้อมกับศิษย์ใหม่อีกเจ็ดสาขา”
พอเจียงจ้งกล่าวจบ ก็แสดงท่าทีให้ทุกคนแยกย้ายกันได้ ส่วนตนเองก็หมุนตัวเดินไปด้านหลังวิหาร
เหลียงจ้านเกอที่เป็นรองหัวหน้าสาขาก็รีบเดินตามไปทันที
“น้อมส่งหัวหน้าเจียง!” ศิษย์ทุกคนเห็นเช่นนี้ ก็พากันโค้งคารวะทันที
และผู้อาวุโสก็ไม่หันมาแต่อย่างใด เพียงแค่โบกมือให้กับฝูงชน จากนั้นค่อยๆ หายไปตรงปลายระเบียงทางเดินพร้อมกับเหลียงจ้านเกอ
ขณะที่ผู้คนพากันทยอยออกไปนั้น หลิ่วหมิงก็หาเยี่ยนหมิงกับเสวี่ยอวิ๋นจนพบ
“ศิษย์พี่เยี่ยน แม่นางเสวี่ยอวิ๋น” หลิ่วหมิงกุมมือคารวะ
“พี่หลิ่วเกรงใจแล้ว ข้าแค่อายุมากกว่าหน่อย พวกเขาถึงเรียกข้าว่าศิษย์พี่ ความจริงข้าเองก็เป็นศิษย์สายนอกที่มาใหม่เช่นกัน” เยี่ยนหมิงรีบคารวะกลับ
หลังจากเห็นหลิ่วหมิงฆ่าทารกเทียนฉานกับตาในวันนั้น ชายหนุ่มสะโอดสะองที่ดูหยิ่งยโส ย่อมไม่กล้าเมินเฉยต่อหลิ่วหมิงอีก
เสวี่ยอวิ๋นที่อยู่ข้างๆ ก็คารวะหลิ่วหมิงทีหนึ่ง
“พี่เยี่ยน ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องการทดสอบเบื้องต้น และแดนอบอ้าวมาก่อน ไม่ทราบว่าพี่เยี่ยนพอจะให้คำชี้แนะได้หรือไม่?” หลิ่วหมิงถามออกมาตามตรง
“พี่หลิ่วไม่รู้เรื่องการทดสอบ และเรื่องแดนอบอ้าวหรอกหรือ? อ้อ! เรื่องที่ผู้คนในสาขาวิพากษ์วิจารณ์กันในช่วงนี้ว่า มีศิษย์ที่ไม่ต้องผ่านการทดสอบคัดเลือก แต่กลับถูกหอคุมกฎส่งเข้าสาขาของเรา หรือว่าศิษย์ผู้นั้นจะเป็นพี่หลิ่ว?” เยี่ยนหมิงได้ยินก็รู้สึกตกใจในตอนแรก แต่ก็เข้าใจในทันที
“หากในสาขาห่านฟ้าไม่มีคนที่สองที่ถูกหอคุมกฎส่งตัวมาล่ะก็ คนผู้นั้นคงจะเป็นข้าแล้ว” หลิ่วหมิงได้ยินก็ตอบกลับด้วยสีหน้าสงบ
“หากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ พี่หลิ่วไม่รู้เรื่องการทดสอบก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร จะว่าไปแล้วการทดสอบเบื้องต้นนี้ มีต้นกำเนิดมาจากหายนะที่นิกายยอดบริสุทธิ์เคยเผชิญมาเมื่อหมื่นกว่าปีมาแล้ว หลังจากนั้นก็ได้สืบทอดประเพณีนี้ไว้ จุดมุ่งหมายหลักก็เพื่อทดสอบดูว่าศิษย์มีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับการต่อสู้จริงอย่างไรบ้าง แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วการทดสอบจะไม่ค่อยอันตรายมาก แต่ยังคงเสี่ยงต่อการสูญเสียชีวิต ทุกครั้งมักจะมีศิษย์หลายคนเสียชีวิตในการทดสอบอย่างไม่คาดคิด” เยี่ยนหมิงอธิบายออกมา
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” หลิ่วหมิงฟังถึงจุดนี้ ก็พยักหน้าราวกับกำลังคิดอะไรอยู่
“แดนอบอ้าวเป็นแดนลึกลับขนาดใหญ่ที่ทางนิกายยอดบริสุทธิ์เพิ่งค้นพบเมื่อร้อยกว่าปีมานี้ ด้านในมีปราณพลังอัคคีแฝงอยู่หนาแน่น และก่อกำเนิดอัคคีจิตวิญญาณจำนวนหนึ่ง พวกสิ่งมีชีวิตและพืชพันธุ์อื่นๆ ล้วนเป็นธาตุไฟ ในนั้นมีวัสดุจิตวิญญาณที่หาได้ยากในโลกภายนอก หลายครั้งก่อนหน้า ศิษย์ที่เข้าทดสอบในดินแดนแห่งนี้ ต่างก็ได้รับประโยชน์มากมายจากในนั้น และผู้ที่ฝึกฝนวิชาเกี่ยวกับธาตุไฟ ยิ่งได้รับผลประโยชน์ไม่น้อย แน่นอน! แม้ว่าอัคคีจิตวิญญาณเหล่านั้น จะมีสติปัญญาไม่สูงมาก แต่กลับมีพลังในการควบคุมเปลวไฟได้อย่างน่าตกใจ แก่นบริสุทธิ์ของมันยิ่งเป็นวัสดุชั้นยอดในการหลอมอาวุธ หากสามารถสยบได้สักตัวสองตัวล่ะก็ มันก็มีมูลค่ามหาศาลเช่นกัน” เยี่ยนหมิงเล่าต่อด้วยสีหน้าหนักแน่น
เมื่อเยี่ยนหมิงพูดถึง ‘อัคคีจิตวิญญาณ’ หลิ่วหมิงก็ใจเต้นขึ้นมา เขานึกถึงฉากต่อสู้ของเว่ยจ้งกับเจียหลานที่หุบเขาเปลวเฟลิงอย่างอดไม่ได้ หลังจากเว่ยจ้งใช้วิชารวมวิญญาณแล้ว มันก็กลายเป็นอัคคีจิตวิญญาณสีดำ แม้ในตอนท้ายจะพ่ายแพ้ แต่วิชาของเขาลึกล้ำมาก ทำให้หลิ่วหมิงจดจำมาจนถึงทุกวันนี้
“ขอบคุณศิษย์พี่เยี่ยนที่บอกให้ทราบ ใช่สิ! วันนี้ข้าเห็นศิษย์รูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งยืนอยู่ด้านหลังพวกท่านทั้งสอง ศิษย์พี่เยี่ยนพอจะรู้ที่มาของคนผู้นี้หรือไม่ ข้าเห็นดวงตาทั้งคู่ของเขาเป็นสีม่วง ดูเหมือนไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาอย่างพวกเรา” พอหลิ่วหมิงกล่าวขอบคุณเสร็จ ก็นึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้
“หากคนเป็นอื่นข้าอาจจะไม่ค่อยรู้มากนัก แต่คนผู้นี้เข้าเป็นศิษย์สายนอกพร้อมกับข้า จึงพอจะรู้เบื้องหลังอยู่บ้าง คนผู้นี้ชื่อจั้งเสวียน แน่นอนว่าไม่ใช่สายเลือดมนุษย์บริสุทธิ์ บนตัวยังมีสายเลือดเผ่าเนตรอินทนิลอยู่ด้วย ด้วยเหตุนี้เขาไม่เพียงแต่มีพลังไม่ธรรมดา แต่ยังอาศัยดวงตาทั้งคู่แสดงวิชาลี้ลับของเผ่าเนตรอินทนิลออกมาได้” เยี่ยนหมิงคิดไตร่ตรองเล็กน้อย และกล่าวออกมาอย่างไม่ปิดบัง
“สายเลือดต่างเผ่า?” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย
“พี่หลิ่วไม่ต้องตกใจถึงเพียงนี้ ต่างเผ่าที่พูดถึง แท้จริงแล้วเป็นกิ่งก้านสาขาของเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่เป็นเพราะว่าพื้นที่และสภาพแวดล้อม จนกระทั่งวิชาที่ฝึกฝนแตกต่างกัน จึงทำให้สายเลือดภายในร่างค่อยๆ กลายพันธุ์ ดังนั้นต่างเผ่าที่คนทั่วไปพูดถึง ส่วนมากก็มาจากเผ่ามนุษย์ นิกายยอดบริสุทธิ์ของพวกเรา และนิกายต่างๆ บนแผ่นดินจงเทียน ส่วนมากจะมีศิษย์ที่เป็นสายเลือดกลายพันธุ์อยู่ด้วย และจะไม่ถูกขับไล่ออกไป แต่จะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันในการรับเป็นศิษย์ อีกอย่างศิษย์ประเภทนี้มีพรสวรรค์พิเศษ ดังนั้นจึงเหมาะสมกับการฝึกฝนวิชาบางอย่างมากกว่าคนทั่วไป แม้กระทั่งทางนิกายยังให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ เนื่องจากคนเหล่านี้มาจากเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ จึงเมตตาและอ่อนโยนกับมนุษย์มาก แม้กระทั่งคิดว่าตนเองเป็นมนุษย์ผู้หนึ่ง แน่นอนว่าพวกเผ่าปีศาจ และเผ่าอื่นๆ ที่ไม่มีสายสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับมนุษย์ ถึงจะเป็นต่างเผ่าที่แท้จริง นิกายใหญ่แต่ละนิกายยังคงต้องระแวดระวัง และไม่รับมนุษย์ที่มีสายเลือดต่างเผ่าเหล่านี้เป็นศิษย์อย่างแน่นอน หรือหากจะรับเป็นกรณีพิเศษ ก็เป็นได้แค่ศิษย์ธรรมดาเท่านั้น จะไม่ได้ฝึกฝนวิชาที่แท้จริงของนิกายอย่างแน่นอน และมนุษย์ปีศาจที่ถูกไอปีศาจครอบงำ กับมนุษย์ที่กลายร่างเป็นปีศาจหลังจากฝึกฝนจนถูกธาตุไฟเข้าแทรก ต่อให้จะมีต้นกำเนิดเป็นมนุษย์ แต่กลับเป็นศัตรูที่ไม่สามารถอยู่ร่วมโลกกับมนุษย์เราได้ ไม่ว่ามนุษย์ผู้ใดก็ตาม หากถูกพบว่ามีสายเลือดปีศาจแฝงอยู่ ก็จะถูกสังหารทันที” เสวี่ยอวิ๋นใช้น้ำเสียงอันรื่นหูอธิบายให้กับหลิ่วหมิง
ตอนที่ 485 แดนอบอ้าว
โดย
Ink Stone_Fantasy
พอหลิ่วหมิงฟังมาถึงจุดนี้ ก็เข้าใจขึ้นมาในฉับพลัน
ที่แท้เผ่าเจ้าสมุทรกับเผ่าอื่นๆ ที่พบเจอในเขตทะเลชังไห่ในก่อนหน้านั้น แม้ดูๆ แล้วจะเป็นต่างเผ่า แต่ก็นับว่าเป็นกิ่งก้านสาขาของมนุษย์ ส่วนราชาปีศาจสมุทรและเผ่าปีศาจอื่นๆ ถึงนับว่าเป็นต่างเผ่าที่แท้จริง
ส่วนเจียหลานมีสายเลือดเผ่าเจ้าสมุทรครึ่งหนึ่ง แต่ยังคงกลายเป็นศิษย์สายในของนิกายยอดบริสุทธิ์ได้อย่างราบรื่น คิดว่าคงเป็นเพราะสาเหตุนี้
เวลาต่อมา หลิ่วหมิงก็ไม่ได้พูดอะไรกับทั้งสองมาก เพียงแค่พูดจาอย่างสุภาพไม่กี่ประโยคแล้ว ก็กล่าวคำอำลาก่อนจากไป
เนื่องจากก่อนหน้านั้น เขาเก็บตัวฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬมาโดยตลอด โอสถกับยันต์จึงหมดไปพอประมาณ เพื่อการทดสอบเบื้องต้นในอีกสามวันให้หลัง เขายังคงต้องไปตลาดในนิกายสักครั้ง
……
สามวันต่อมา ภายในวิหารใหญ่ของสาขาห่านฟ้า ศิษย์ที่ยินยอมเข้าร่วมการทดสอบต่างก็มารวมตัวกันที่นี่
กลุ่มคนเหล่านี้ บ้างก็มีอาการคันไม้คันมืออยากจะลองดู ราวกับมีความมั่นใจต่อการทดสอบที่จะมาถึงเป็นอย่างมาก บ้างก็พูดคุยเล่นกับคนที่อยู่ด้านข้าง บ้างก็มีสีหน้าเคร่งเครียด เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างตื่นเต้นมาก
หลิ่วหมิงก็มาถึงวิหารใหญ่ตั้งนานแล้ว ตอนนี้เขากำลังยืนอยู่ท่ามกลางผู้คน และกำลังพูดคุยกับเยี่ยนหมิงและเสวี่ยอวิ๋น เพื่อสอบถามสถานการณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับแดนอบอ้าว
ขณะนั้นเอง มีเสียงมีเท้าที่ดูมั่นคงดังออกมาจากด้านใน เจียงจ้ง หัวหน้าสาขาเดินออกมา และกวาดสายตามองดูผู้คนที่อยู่ ณ ที่นั้น
“คารวะหัวหน้าสาขา” ศิษย์สายนอกที่เข้ามาใหม่เหล่านี้ย่อมไม่กล้าชักช้าแต่อย่างใด พวกเขาพากันทำความเคารพร้อมกัน
“เอาล่ะ! ได้เวลาพอประมาณแล้ว คนที่ไม่มาถือว่าสละสิทธิ์ ไปกันเถอะ!” เว่ยจ้งไม่พูดจาไร้สาระอีก พอโบกแขนเสื้อ หมอกควันสีเหลืองจางๆ ก็ทะลักออกมาอย่างบ้าคลั่ง และปกคลุมศิษย์เหล่านี้ไว้
พริบตาเดียว กลุ่มเมฆสีเหลืองก็เหาะออกไปจากสาขาห่านฟ้า ผ่านยอดเขาสองสามลูก และพุ่งไปยังส่วนลึกของเขาหมื่นวิญญาณ
หนึ่งชั่วยามผ่านไป เจียงจ้งก็พาฝูงชนมาถึงเหนือยอดเขาเร้นลับแห่งหนึ่ง อากาศตรงหน้ามีชั้นจำกัดสีม่วงจางๆ ปกคลุมอยู่
เจียงจ้งปล่อยพลังแหวกมุมหนึ่งของชั้นจำกัดออก จากนั้นเมฆยักษ์ก็กระพริบเข้าไปด้านใน
หลิ่วหมิงรู้สึกว่ามีแสงสีม่วงกระพริบตรงหน้า จากนั้นอากาศตรงหน้าก็พร่ามัวขึ้นมา และสิ่งที่ปรากฏแก่สายตาก็เป็นยอดเขาที่ดูธรรมดาๆ ลูกหนึ่ง
ผ่านไปไม่นาน ก้อนเมฆสีเหลืองก็ร่อนลงบนลานราบเรียบที่อยู่บนยอดเขา ขณะนี้เขาถึงเห็นว่ามีวิหารสีดำหลังหนึ่งตั้งอยู่บนพื้นกว้างโล่ง
ดูจากภายนอกวิหารมีกลิ่นอายโบราณ ไม่มีแผ่นป้ายเลยสักแผ่น เห็นได้ชัดว่าลึกลับมาก และประตูวิหารก็ปิดสนิท ไม่มีคนยืนตรงประตูแม้แต่คนเดียว
ผู้อาวุโสชุดเทารอจนทุกคนลงไปหมดแล้ว เขาถึงยกแขนเก็บเมฆสีเหลืองเข้าไป จากนั้นก็เดินไปหน้าประตูไม้ และหยิบแผ่นหยกโบกไปยังประตู
ประตูวิหารสีดำเปิดออกมาท่ามกลางเสียงดังโครมคราม
ผู้อาวุโสเดินเข้าไปด้านใน
ฝูงชนสบตากันทีหนึ่ง และเดินตามผู้อาวุโสเข้าไป
หลังจากเดินตามระเบียงทางเดินไปได้ไม่นาน ตรงหน้าก็ดูโล่งขึ้นมาในฉับพลัน ห้องโถงขนาดกว้างยาวหลายสิบจั้งปรากฏขึ้นมา
ใจกลางห้องโถงเป็นค่ายกลขนาดมหึมา และมีอักขระซับซ้อนหลากสีประทับอยู่บนนั้นเป็นจำนวนมาก มันปกคลุมพื้นที่สิบกว่าจั้ง
รอบด้านค่ายกลยังมีแท่นสูงที่ดูคล้ายกันแปดแท่นล้อมรอบไว้แปดทิศทาง
และรอบๆ แท่นสูงทั้งเจ็ดแท่น ก็มีศิษย์สายนอกหลายสิบคนรวมตัวกันอยู่ ประจักษ์ชัดว่าเป็นศิษย์ใหม่ของทั้งเจ็ดสาขา
ภายใต้การใช้จิตกวาดดูของหลิ่วหมิง เขาค้นพบว่าศิษย์เหล่านี้ ดูเหมือนจะอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นกลางเป็นส่วนมาก ขั้นปลายนั้นมีอยู่น้อย ส่วนศิษย์ใหม่ที่อยู่ระดับศิษย์จิตวิญญาณ คิดว่าคงเป็นเพราะระดับการฝึกฝนค่อนข้างต่ำ บวกกับไม่เข้าร่วมประลองเล็กที่สามปีมีครั้ง จึงละทิ้งการทดสอบในครั้งนี้
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หลิ่วหมิงยังคงค้นพบศิษย์จิตวิญญาณเจ็ดแปดคนอยู่ในฝูงชน สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
เขากวาดสายตามองศิษย์สาขาต่างๆ อยู่รอบหนึ่ง ไม่นานก็ถูกคนเจ็ดคนที่ยืนอยู่บริเวณค่ายกลดึงดูดความสนใจของเขาในทันที
คนเหล่านี้คงเป็นหัวหน้าสาขาของสาขาทั้งเจ็ดแล้ว
หลิ่วหมิงเดินตามศิษย์สาขาห่านฟ้าไปยังแท่นสูงแท่นสุดท้ายที่ว่างอยู่ ขณะเดียวกันก็สังเกตคนทั้งเจ็ดไปด้วย
สามในเจ็ดคนนี้ คนที่อยู่ใกล้ค่ายกลที่สุดเป็นผู้อาวุโสคิ้วเหลืองที่มีใบหน้าซีดเชียว และเบ้าตาลึก อีกคนเป็นหญิงงดงาม สวมชุดสีแดง รูปร่างค่อนข้างดี และอีกคนเป็นชายวัยกลางคน คิ้วงอนเป็นรูปดาบ สวมชุดนักปราชญ์สีเขียว มีสีหน้าเมินเฉย
อีกสี่คนยืนอยู่ห่างจากค่ายกลค่อนข้างไกล พวกเขากำลังก้มหน้าพูดคุยอะไรกันอยู่ สองคนแต่งกายชุดนักพรต อีกสองคนแต่งกายธรรมดา
ชายสองคนที่สวมชุดนักพรต คนหนึ่งดูเหมือนจะมีอายุราวๆ สามสิบกว่าปี สวมชุดนักพรตสีดำ สะพายกระบี่ไม้อยู่บนหลัง อีกคนกลับสวมชุดสีม่วงทอง หนวดทั้งสามปอยยาวถึงหน้าอก ดวงตารูปสามเหลี่ยมทั้งคู่มีตาดำน้อยกว่าตาขาว แลดูเหี้ยมไปหน่อย
อีกสองคนที่แต่งชุดธรรมดาเป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ผู้ชายรูปร่างค่อนข้างเตี้ยและท้วม อายุราวๆ สี่สิบกว่าปี สวมหมวกกลมๆ ใบหนึ่ง แต่งตัวราวกับพ่อค้าในโลกมนุษย์ มีลูกคิดแขวนอยู่บนเอว
ส่วนผู้หญิงกลับดูมีอายุน้อยสุด อายุพอๆ กับหลิ่วหมิง สวมชุดสีเขียวอ่อน ใบหน้างดงามเป็นอย่างมาก
คนทั้งเจ็ดและเจียงจ้งต่างก็มีกลิ่นไอที่ไม่อาจคาดเดาได้ ดูคล้ายกับราชาปีศาจสมุทรที่หลิ่วหมิงพบในตอนแรก ประจักษ์ชัดว่าเป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ทั้งหมด
“พี่เจียง วันนี้ท่านมาช้าไปนะ” พอเห็นเจียงจ้งเอ้อระเหยลอยชายพาศิษย์สาขาห่านฟ้าค่อยๆ เดินมาตรงแท่นสูง หญิงใบหน้างดงามก็เผยสีหน้าเหนื่อยหน่าย และกล่าวออกมา
พอคนทั้งสี่ที่อยู่ห่างจากค่ายกลค่อนข้างไกลเห็นเช่นนี้ ก็หยุดพูดคุยในทันที จากนั้นก็เดินเข้ามาใกล้ค่ายกล
“ข้ามีเรื่องสำคัญจึงมาช้าไปหน่อย ขอทุกท่านโปรดอภัย!” เจียงจ้งได้ยินก็แสดงท่าทีให้หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ยืนรออยู่ที่เดิม จากนั้นตนเองก็เดินไปทางค่ายกล และกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“เรื่องสำคัญ? เรื่องอันใดสำคัญกว่าการทดสอบเบื้องต้นเล่า? ท่านประมุขได้จัดการทดสอบนี้ที่แดนอบอ้าว เพื่อการทดสอบนี้ศิษย์ของสาขาทั้งเจ็ด ได้เตรียมการอยู่ที่นี่มาหลายวันแล้ว มีเพียงแค่สาขาห่านฟ้าเท่านั้นที่ยังเอ้อระเหยลอยชายอยู่ อันนี้ไม่เท่าไหร่ แต่ตอนนี้พี่เจียงยังมาสายอีก มันดูไม่มีเหตุผลไปหน่อยไหม” ดูเหมือนหญิงงดงามจะไม่พอใจที่เจียงจ้งมาสายเป็นอย่างมาก จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็น
“วันนี้ผู้อาวุโสซือถูออกคำสั่งเรียกให้ไปรวมตัวกัน ข้าไม่อาจฝืนคำสั่งได้” เมื่อถูกหญิงชุดแดงว่าให้ฉอดๆ เจียงจ้งก็ไม่ได้โมโหแต่อย่างใด ยังคงตอบกลับอย่างไม่รีบร้อน
“ผู้อาวุโสซือถู?” หญิงงดงามได้ยินเช่นนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย และลดท่าทีจองหองลงไปมาก
“เอาล่ะ! เอาล่ะ! ทั้งสองอย่าได้ทะเลาะกันเลย ในเมื่อผู้อาวุโสซือถูเรียกพี่เจียงเข้าพบ ย่อมต้องมีเรื่องสำคัญ พวกเราอย่าได้ปล่อยไก่ต่อหน้าบรรดาศิษย์เลย” พอชายร่างท้วมที่กำลังเดินเข้ามา เห็นว่าทั้งสองพูดจาไม่ปรองดองกัน เขาจึงรีบเกลี้ยกล่อมด้วยรอยยิ้มขัน
“ในเมื่อพี่เจียงมาแล้ว ก็อย่าพูดจาไร้สาระอีกเลย รีบเริ่มการทดสอบเถอะ” ผู้อาวุโสคิ้วเหลืองที่ยืนอยู่ข้างหญิงงดงามกล่าวออกมา
เดิมทีสาขาใหญ่ทั้งแปดของนิกายยอดบริสุทธิ์ ต่างก็มีการแข่งขันกันมาโดยตลอด โดยเฉพาะผลการประลองใหญ่ของศิษย์สายนอก จะเป็นตัวตัดสินชื่อเสียงของสาขาในสายตาของนิกาย และทางนิกายจะแบ่งทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนให้แต่ละสาขาตามลำดับที่จัดไว้
ด้วยเหตุนี้ความสัมพันธ์ระหว่างสาขาจึงบอบบางมาโดยตลอด
ระหว่างนั้น จะเห็นว่ามีเงาร่างสีเขียวเคลื่อนไหว ชายคิ้วรูปดาบได้เหาะขึ้นบนแท่นสูงแห่งหนึ่ง และยืนเอามือไขว้หลังไว้
“พวกเราก็เริ่มกันเถอะ!” ชายร่างท้วมเห็นเช่นนี้ ก็หัวเราะแห้งๆ ออกมา จากนั้นก็กระโดดขึ้นบนแท่นสูงแห่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนจะเร็วกว่าชายคิ้วรูปดาบในก่อนหน้าเล็กน้อย
คนที่เหลือย่อมพยักหน้า และพากันกระโดดขึ้นไปยืนอยู่บนแท่นสูงแต่ละแท่น ขณะเดียวกัน พวกเขาต่างก็พลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมา เผยให้เห็นป้ายสีแดงที่เปล่งแสงสีแสงอยู่ จากนั้นมันก็ลอยอยู่อากาศตรงหน้า
พอป้ายทั้งแปดปรากฏออกมา มันก็กระพริบระยิบระยับ ราวกับกำลังขานรับกันไปมา และดูเหมือนจะมีชีวิต
หลิ่วหมิงแอบสังเกตดูหัวหน้าสาขาทั้งแปดอยู่ตลอด เขาเห็นว่าทั้งแปดรวมตัวเข้าด้วยกัน และขยับริมฝีปากเบาๆ แต่กลับไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา ประจักษ์ชัดว่าได้กระตุ้นเคล็ดวิชาบางอย่างเพื่อปิดกั้นเสียงไว้
หลิ่วหมิงตาเป็นประกายขึ้นมา เขาปล่อยพลังจิตกวาดดูป้ายตรงหน้าผู้อาวุโสคิ้วเหลืองเล็กน้อย แต่พอจิตสัมผัสกับป้าย ก็ถูกชั้นจำกัดไร้รูปบางอย่างดีดกระเด็นออกมา
ดูเหมือนผู้อาวุโสจะรับรู้ได้ จึงมองด้วยสายตาเมินเฉย หลิ่วหมิงรีบก้มหน้าลงด้วยความตกใจ
ผู้อาวุโสคิ้วเหลืองละสายตากลับมาอย่างไม่ใส่ใจ ทันใดนั้นก็แอมไอเบาๆ และกล่าวออกมา
“ศิษย์สายนอกทุกท่านฟังไว้ให้ดี ข้าคือหัวหน้าสาขาวายุทะยานฟ้า ตอนนี้ข้าจะอธิบายเนื้อหาการทดสอบโดยคร่าวๆ การทดสอบนี้ดำเนินการในแดนอบอ้าวตามที่พวกเจ้าได้ยินมาในก่อนหน้านั้น หลังจากศิษย์ทุกคนเข้าไปในแดนอบอ้าวแล้ว ไม่ว่าจะใช้วิธีการใดก็ตาม เพียงแค่ได้แก่นบริสุทธิ์ของอัคคีจิตวิญญาณมาสามเม็ด ก็นับว่าผ่านการทดสอบแล้ว และการทดสอบในครั้งนี้มีเวลาจำกัดคือหนึ่งเดือน ในระหว่างเวลานี้ ทุกอย่างที่ได้มาจากแดนอบอ้าวจะเป็นของตนเองทั้งหมด ซึ่งนับว่าเป็นการดูแลพิเศษต่อศิษย์ใหม่อย่างพวกเจ้า การทดสอบต่อไปในอนาคต จะไม่มีผลประโยชน์เช่นนี้อีก นอกจากนี้ในระหว่างการทดสอบเบื้องต้น จะไม่มีข้อห้ามไม่ให้ศิษย์แข่งขันกันเอง แต่หากถูกค้นพบว่าเจตนาฆ่าศิษย์คนอื่นๆ ล่ะก็ จะถูกทำลายการฝึกฝน และขับไล่ออกจากนิกายยอดบริสุทธิ์ทันที!”
พอผู้อาวุโสคิ้วเหลืองกล่าวมาถึงจุดนี้ ก็มีพลังกดดันไร้รูปอันมหาศาลทะลักออกมา
หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านล่างรับรู้ได้ถึงพลังมหาศาลที่กดดันเข้ามา ศิษย์ที่มีระดับการฝึกฝนค่อนข้างอ่อนแอต้องร่นถอยออกไปหลายก้าว และต่างก็มีสีหน้าหวาดผวาเป็นอย่างมาก
“อีกประเดี๋ยว พวกข้าจะรวมพลังกันเปิดทางเข้าแดนอบอ้าว แต่ว่าปราณพลังฟ้าดินในแดนอบอ้าวค่อนข้างบ้าระห่ำมาก ด้วยเหตุนี้ตำแหน่งที่ถูกส่งเข้าไปล้วนแล้วแต่โอกาส และตอนกลับมามันก็ง่ายมาก อีกสักครู่ จะมีการแจกจ่ายตราหยกให้กับพวกเจ้าคนละอัน เพียงแค่บีบตราหยกให้ละเอียด พวกข้าก็จะรับรู้ได้อย่างรวดเร็ว และกระตุ้นพลังของชั้นจำกัดรับพวกเจ้ากลับมา” พอผู้อาวุโสคิ้วเหลืองเห็นว่าศิษย์ที่อยู่ด้านล่างมีท่าทีนอบน้อมเป็นอย่างมาก เขาก็ลดน้ำเสียงลง และดึงพลังกดดันมหาศาลกลับมา
ตอนที่ 486 อีกาเพลิง
โดย
Ink Stone_Fantasy
“พลังในแดนอบอ้าวค่อนข้างพิเศษมาก ด้วยเหตุนี้ผู้ฝึกฝนระดับผลึกขึ้นไปไม่อาจเข้าไปได้ ในนั้นมีแม้กระทั่งมีอัคคีจิตวิญญาณที่มีพลังแข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่าระดับของเหลวขั้นปลาย แม้นิกายยอดบริสุทธิ์เราจะห้ามไม่ให้ศิษย์ต่อสู้กันเอง แต่หากสะเพร่าเพียงเล็กน้อย ก็จะถูกปีศาจสังหารจนเสียชีวิต ตรงนี้ทางนิกายไม่สามารถรับผิดชอบได้ ดังนั้นหากเผชิญกับอันตรายที่อาจทำให้เสียชีวิตได้ล่ะก็ ทางที่ดีที่สุดให้รีบบีบตราหยกให้แตกละเอียดทันที” เจียงจ้งที่อยู่บนแท่นสูงอีกแห่งกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
บรรดาศิษย์สายในได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกใจเย็นสะท้าน ความรู้สึกผ่อนคลายในตอนแรกกลายเป็นเคร่งเครียดขึ้นมาทันที
ผู้อาสุโสคิ้วเหลืองกลับปรบมือเบาๆ ทันใดนั้นศิษย์ดำเนินการหลายคน ก็เดินออกมาจากทางเดินสายหนึ่ง และแจกจ่ายตราหยกสีขาวที่กว้างสองชุ่น และยาวสามชุ่นให้กับหลิ่วหมิงและคนอื่นๆ
บนตราหยกมีอักขระคล้ายไส้เดือนประทับอยู่อย่างง่ายๆ นอกจากนี้แล้วก็ไม่มีอะไรพิเศษอีก แม้แต่คลื่นสั่นสะเทือนของพลังเวทก็ไม่อาจสัมผัสได้
ส่วนแผนที่ของแดนอบอ้าว หลิ่วหมิงและศิษย์คนอื่นๆ ต่างก็ได้เตรียมไว้เองตั้งแต่แรกแล้ว
หลิ่วหมิงตรวจสอบดูตราหยกในมือ พอคิดว่าไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ก็เก็บมันเข้าไปในหอยสังข์ย่อส่วนอย่างระมัดระวัง
พอผู้อาวุโสคิ้วเหลืองเห็นว่าได้แจกจ่ายตราหยกเสร็จสิ้นแล้ว ก็โบกมือให้สัญญาณกับหัวหน้าสาขาทั้งเจ็ด จากนั้นพวกเขาทั้งแปดก็ทำท่ามือและร่ายคาถาออกมา
ป้ายทั้งแปดที่ลอยอยู่กลางอากาศเปล่งแสงสีแดงออกมาทันที
หลังจากที่พวกเขาเปลี่ยนท่ามือ วงแหวนแสงสีแดงก็ปรากฏออกมา และป้ายทั้งแปดก็เรียงตัวติดต่อกัน
จากนั้นอักขระจำนวนมากก็ค่อยๆ กระพริบออกมาจากป้าย และพุ่งไปกลางอากาศเหนือค่ายกล หลังจากทอประสานกันไปมาแล้ว ก็ก่อตัวเป็นค่ายกลอักขระทรงกลมขนาดใหญ่ที่ดูซับซ้อนอย่างหาที่เปรียบมิได้
พอทั้งแปดยื่นมือขวาไปกลางอากาศ ค่ายกลอักขระก็ส่งเสียงดัง “ฟู่!” และร่วงลงไปยังค่ายกลที่อยู่ด้านล่าง จากนั้นก็จมหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ครู่ต่อมา ค่ายกลยักษ์ก็ส่งเสียงดังหวึ่งๆ แสงสีแดงขนาดใหญ่พุ่งออกจากใจกลางค่ายกล และแผ่ขยายปกคลุมพื้นผิวของค่ายกลอย่างรวดเร็ว ครู่เดียวก็ทำให้ผิวหนังของคนที่อยู่บริเวณนั้นกลายเป็นสีแดงจางๆ
ขณะที่แสงสีแดงบนค่ายกลหมุนวนนั้น ศิษย์สายนอกที่อยู่รอบๆ แท่นสูง ต่างก็รับรู้ถึงคลื่นความร้อนที่แผ่เข้ามาได้อย่างลางๆ บวกกับพลังผลักดันบางอย่าง จึงทำให้พวกเขาค่อยๆ ถูกดันออกไป
เจียงจ้งและหัวหน้าสาขาทั้งเจ็ด ปล่อยพลังใส่ป้ายตรงหน้าอย่างต่อเนื่อง ลำแสงสีแดงขนาดเท่าแขนพุ่งออกจากป้ายอีกครั้ง และค่อยๆ จมหายเข้าไปในค่ายกลที่อยู่ด้านล่าง
พื้นห้องโถงสั่นสะเทือนเบาๆ แสงสีแดงกลางค่ายกลพวยพุ่งขึ้นมาทันที
“ฟู่!”
แสงสีแดงเข้มพวยพุ่งอยู่ชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นก็กลายเป็นมือยักษ์สีแดงหนึ่งคู่ และท่ามกลางเสียงฉีกขาด อากาศเหนือค่ายกล ก็ถูกมือยักษ์ค่อยๆ แหวกรูมิติสีดำที่มีขนาดหลายจั้งออกมา
ศิษย์ที่อยู่รอบด้านต่างก็อุทานออกมาด้วยความตกใจต่อปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
หลิ่วหมิงก็มีสีหน้าตกใจเช่นกัน
“เอาล่ะ! ทางเข้าแดนอบอ้าวได้เปิดออกแล้ว พวกเจ้าจับกลุ่มสิบคนเดินเข้าไปในค่ายกล พวกข้าจะส่งพวกเจ้าเข้าไป” ผู้อาวุโสคิ้วเหลืองส่งเสียงดังมาจากบนแท่นสูง
ศิษย์สาขาใหญ่ทั้งแปดได้ยินเช่นนี้ ก็ไม่กล้าชักช้าอีกต่อไป พวกเขาทยอยเข้าไปในค่ายกลติดต่อกัน
ศิษย์แต่ละกลุ่มพากันเข้าไปในค่ายกลภายใต้แสงสีแดงที่เปล่งประกาย จากนั้นร่างของพวกเขาก็ถูกดูดเข้าไปในช่องสีดำที่อยู่ด้านบน และหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ไม่นานหลิ่วหมิงและศิษย์สาขาห่านฟ้าอีกเก้าคน ก็เข้าไปในค่ายกลพร้อมกัน หนึ่งในนั้นเป็นเผ่าเนตรอินทนิลที่มีชื่อว่าจั้งเสวียน
แสงสีแดงเปล่งประกายขึ้นมา!
หลิ่วหมิงรู้สึกเหมือนโลกกำลังหมุน ภาพตรงหน้าพร่ามัวอยู่ชั่วขณะหนึ่ง พอลืมตาทั้งคู่อีกครั้ง ก็ค้นพบว่าตนเองอยู่ในแดนที่มีสีแดงเข้ม
และศิษย์อีกเก้าคนที่ถูกส่งมาพร้อมกับเขาก็อยู่บริเวณใกล้ๆ และกำลังสังเกตดูสภาพแวดล้อมแปลกประหลาดรอบด้านด้วยความประหลาดใจ
แดนอบอ้าวเป็นเสมือนชื่อของมันจริงๆ ซึ่งเป็นดินแดนที่ร้อนแรงไปทั้งแถบ!
หินภูเขาบริเวณรอบๆ เป็นสีแดง พื้นดินสีแดงเข้ม ต้นไม้ใบหน้าที่ปรากฏแก่สายตาก็มีไอร้อนระอุจนดูบิดเบี้ยว และเปล่งแสงสีแดงจางๆ ออกมา พอแหงนหน้ามองขึ้นไป แม้แต่ท้องฟ้าเบื้อง บนก็เป็นสีแดงเข้มและดูพร่ามัว
กลุ่มเมฆที่ลอยอยู่ตรงขอบฟ้า ก็ดูราวกับเปลวไฟที่ลุกโชน
ขณะที่คลื่นความร้อนถาโถมเข้ามา พวกเขาก็รู้สึกร้อนราวกับถูกเผา
มีศิษย์สายนอกสองคนที่ฝึกฝนวิชาควบคุมพอดี พวกเขารีบทำท่ามือปล่อยปราณแกร่งออกมา และควักยันต์มาแปะไว้บนตัว
พอหลิ่วหมิงยืนมั่นคงแล้ว ก็ปล่อยจิตอออกไปสำรวจดูสภาพแวดล้อมบริเวณรอบๆ
แต่ดูเหมือนจะค่อนข้างโชคดีมาก บริเวณนี้นอกจากพวกเขาสิบคนแล้ว ก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นๆ แฝงอยู่
หลิ่วหมิงรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย จากนั้นก็ปล่อยไอดำอันพวยพุ่งออกมา และก่อตัวเป็นฉากกำบังกั้นไอร้อนไว้ได้ในพริบตา
และในขณะเดียวกัน แสงสีม่วงพร่างพราวก็แผ่ออกจากร่างของจั้งเสวียนชายหนุ่มเนตรอินทนิล และแผ่ปกคลุมร่างของเขาไว้ ขณะเดียวกันแสงสีม่วงก็หมุนวนอยู่ในลูกตา ประจักษ์ว่าเขาก็กำลังสำรวจดูบริเวณรอบๆ เช่นกัน
คนอื่นๆ ย่อมสำรวจดูบริเวณรอบๆ เช่นกัน
“ทุกท่าน ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาถึงแดนอบอ้าวแล้ว ก่อนหน้านั้นหัวหน้าสาขาก็พูดแล้วว่า การทดสอบในครั้งนี้เพียงแค่พวกเราแต่ละคน นำแก่นบริสุทธิ์ของอัคคีจิตวิญญาณออกไปได้สามเม็ด ก็นับว่าผ่านการทดสอบแล้ว ในเมื่อต้องเผชิญหน้ากับอัคคีจิตวิญญาณเหล่านี้ พวกเราก็ลงมือด้วยกันเลยดีหรือไม่?” ชายหนุ่มชุดขาวกระแอมไอเบาๆ แล้วกล่าวออกมา
“ไม่เลว! ว่ากันว่าอัคคีจิตวิญญาณในแดนอบอ้าวนี้ร้ายกาจจริงๆ หากพวกเราลงมือพร้อมกันล่ะก็ คิดว่าคงจะปลอดภัยกว่ามาก อย่างไรซะการทดสอบในครั้งนี้ ก็ไม่ได้มีกฎให้ล่าแก่นบริสุทธิ์เพียงลำพัง” ข้อเสนอแนะของชายหนุ่มชุดขาว ถูกชายรูปร่างผอมสูงที่อยู่บริเวณนั้นกล่าวสำทับอีกที
คนอื่นๆ ที่เหลือได้ยินเช่นนี้ ก็มองหน้ากันอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
“ร่วมมือ! ฮ่าๆ ช่างน่าขันสิ้นดี! อยากร่วมมือพวกเจ้าก็ร่วมมือกันเองเถอะ ข้าไม่เข้าร่วมด้วยหรอก!”
จั้งเสวียนได้ยินกลับหัวเราะแล้วกล่าวออกมา จากนั้นก็ก้าวยาวๆ ออกไป ทุกย่างก้าวทำให้ร่างของเขาเคลื่อนไหวไปไกลถึงสองจั้ง พริบตาเดียวก็หายไปในป่าสีแดงที่อยู่บริเวณนั้น
ชายชุดขาวเห็นเช่นนี้ก็ดูเสียหน้ามาก
พอเห็นว่ามีคนออกไปก่อนแล้ว คนอื่นๆ ก็สบตากันทีหนึ่ง และพากันแยกย้ายออกไป
หลิ่วหมิงเองก็ยิ้มแล้วเดินจากไป
ผู้ที่สามารถเข้ามาเป็นศิษย์สายนอกของนิกายยอดบริสุทธิ์ได้ ล้วนเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติเหนือผู้อื่น มีท่าทีหยิ่งยโส พวกเขาเชื่อมั่นในความสามารถของตัวเองมากกว่าที่จะลงมือด้วยกัน
ผ่านไปไม่นาน ก็มีคนแค่สามคนที่ยังยืนอยู่ที่เดิม นอกจากชายชุดขาวกับชายรูปร่างผอมสูงแล้ว ยังมีศิษย์หญิงหน้าตาธรรมดาคนหนึ่ง
ชายชุดขาวยิ้มในใจอย่างขมขื่น จากนั้นก็รีบตั้งสติอย่างรวดเร็ว หลังจากพูดคุยแผนการกับทั้งสองคร่าวๆ แล้ว พวกเขาก็ไปจากสถานที่แห่งนี้ทันที
……
ภายในภูเขาลูกเล็กๆ ที่อยู่ห่างจากจุดออกเดินทางไปหลายลี้ หลิ่วหมิงก็ออกเดินทางคนเดียวเช่นกัน
ในมือของเขากำลังถือแผนที่แดนอบอ้าวอยู่ ขณะที่ค่อยๆ เดินไปนั้น เขาก็สังเกตดูพื้นที่บริเวณนี้กับแผนที่อย่างละเอียด
สถานการณ์ในแดนอบอ้าวแห่งนี้ เลวร้ายกว่าที่หลิ่วหมิงคาดคิดไว้มาก แม้แต่ร่างกายที่แข็งแกร่งของเขา ก็ถูกไอร้อนระอุทำให้สูญเสียพลังเวทได้ตลอดเวลา
ดีที่ว่าในหลายวันก่อน วิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬของเขาได้บรรลุไปอีกขั้นแล้ว พลังเวทก็หนาแน่นขึ้นมาอีกเล็กน้อย สำหรับเขาแล้ว การสูญเสียเช่นนี้จึงนับว่าน้อยมาก
เขาดูเหมือนจะมีสีหน้าผ่อนคลาย แต่ความจริงแล้วกลับระมัดระวังตัวมาตลอดการเดินทาง โดยปล่อยพลังจิตสำรวจดูพื้นที่ภายในระยะหลายสิบลี้อยู่ตลอดเวลา
หลังจากเปรียบเทียบพื้นที่กับแผนที่ราวๆ ครึ่งชั่วยามแล้ว เขาก็ค่อยๆ มองออกว่าสถานที่แห่งนี้ก็คือ เขตภูเขาเล็กๆ ที่ทำเครื่องหมายไว้บนซ้ายล่างของแผนที่
และดูจากการชี้นำบนแผนที่แล้ว โอกาสการพบเจออัคคีจิตวิญญาณในบริเวณนี้มีไม่ค่อยมาก และตลอดการเดินทางที่ผ่านมาก็ยังไม่พบเจอเลย
และหลังจากเดินทางจากจุดนี้ไปทางเหนือราวๆ หนึ่งชั่วยาม ก็จะไปถึงตีนภูเขาไฟแห่งหนึ่ง และที่นั่นถึงจะมีอัคคีจิตวิญญาณปรากฏตัวบ่อยครั้ง
หลิ่วหมิงวางแผนไว้ในใจ และเก็บแผนที่เข้าไป ขณะที่กำลังจะทะยานขึ้นฟ้านั้น สีหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนไปในทันที และร่างของเขาก็พร่ามัวไปหลบอยู่หลังต้นไม้สีแดงยักษ์ต้นหนึ่ง
จากนั้นก็มีเสียงแปลกประหลาดดังมาจากขอบฟ้าตรงหน้า “กากา!” เมฆสีแดงปรากฏออกมา และมีจุดแสงสีแดงปรากฏอยู่ในนั้นอย่างรำไร
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ใจเต้นขึ้นมา เขาส่งพลังเวทไปที่ดวงตา และเขม้นมองออกไปทันที
ขณะที่เมฆสีแดงเคลื่อนตัวผ่าน จุดแสงที่อยู่ในนั้นก็ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ อีกาสีแดงขนาดฉื่อกว่าๆ สิบกว่าตัวปรากฏออกมา พอวิหคเหล่านี้กระพือปีก เปลวไฟสีแดงสดก็พวยพุ่งออกมาไม่หยุด ขณะเดียวกัน ไอร้อนแผดเผาก็แผ่โจมตีจากอากาศ ทำให้อากาศบริเวณรอบๆ ดูบิดเบี้ยวขึ้นมา
“อีกาเพลิง!”
สีหน้าหลิ่วหมิงยังคงไม่เปลี่ยนไป แต่กลับพูดพึมพำออกมา
หลายวันนี้ เขาใช้เวลาไปรวบรวมข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับแดนอบอ้าวไปไม่น้อย แม้กระทั่งยังตั้งใจไปหอเก็บคัมภีร์หนึ่งครั้งโดยใช้แต้มคุณูปการเข้าแลก
อีกาเพลิงชนิดนี้ เป็นวิหคธาตุไฟที่พบเจอได้บ่อยที่สุดในแดนอบอ้าว โดยทั่วไปจะถือกำเนิดในสถานที่ที่มีพลังธาตุไฟหนาแน่น
พวกมันมีพลังไม่ค่อยมาก สูงสุดก็แค่ระกับศิษย์จิตวิญญาณเท่านั้น แต่หากเผชิญกับฝูงอีกาเพลิงจำนวนหลายร้อยหลายพันตัวล่ะก็ ภายใต้การม้วนตัวของทะเลเพลิง ต่อให้จะเป็นระดับของเหลวขั้นปลาย ก็ยากที่จะรอดไปได้อย่างปลอดภัย
แต่สำหรับอีกาเพลิงสิบกว่าตัวตรงหน้าแล้ว หลิ่วหมิงย่อมนำกระบี่ยาวสีฟ้าครามมาตั้งขวางไว้บริเวณหน้าอกโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
เพื่อการทดสอบในครั้งนี้ เขาตั้งใจซื้อกระบี่จิตวิญญาณธาตุน้ำระดับกลางจากตลาดในนิกายมาเล่มหนึ่ง
“กา!” มีเสียงร้องดังเข้ามา
อีกาเพลิงตัวที่อยู่หน้าสุดมีสายตาแหลมคมเป็นพิเศษ ประจักษ์ชัดว่ามันค้นพบหลิ่วหมิงเข้าแล้ว และยังกระโจนเข้าหาพร้อมกับเสียงร้องแปลกๆ
หลิ่วหมิงตาเป็นประกาย พอทำท่ามือ แสงกระบี่สีฟ้าครามก็พุ่งขึ้นฟ้า และพริบตาเดียวก็ขยายใหญ่กว่าเดิมหลายเท่า จากนั้นก็กลายเป็นปราณกระบี่ยักษ์ขนาดหลายจั้ง และฟันไปยังอีกาเพลิงตัวนั้น
อีกาเพลิงส่งเสียงร้องออกมา ทันใดนั้น มันก็อ้าปากพ่นเปลวไฟออกมาสายหนึ่ง เพื่อพยายามต้านทานปราณกระบี่ของหลิ่วหมิงไว้
…………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น