หมอดูยอดอัจฉริยะ 474-477

 ตอนที่ 474 หุ้นส่วน

โดย

Ink Stone_Fantasy

คนจีนนั้นแต่ไหนแต่ไรมาเป็นคนดุร้าย เพราะทำสงครามกันมาตลอด เพียงแต่หลายพันปีมานี้ได้มีหลักคำสอนใหม่ให้ทุกคนมีไมตรีจิต เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน ทำให้คนในประเทศไม่อยากมีเรื่องมีราวกับใคร แต่นี่ก็ไม่ได้แปลว่าคนจีนนั้นอ่อนแอสามารถรังแกได้ เหมือนกับที่นโปเลียนในปั้นปลายชีวิตอยู่ที่เซ้นต์เฮเลน่ากล่าวไว้ว่า ในซีกโลกวันออก ประเทศจีนเป็นมังกรที่หลับใหล


แต่ว่าหลังจากครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา เมื่อเกิดสงครามในคราวนั้น มังกรที่หลับใหลตัวนี้ได้ตื่นขึ้นมาแล้ว หลายสิบปีมานี้ได้มีการพัฒนาประเทศ ทำให้ความน่าเกรงขามของประเทศจีนถูกพูดถึงในเวทีนานาชาติ ที่เห็นได้ชัดและเห็นได้บ่อยก็คือ สถานะของประเทศจีนนั้นไต่ระดับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง


แต่ในความสงยนี้ การแข่งขันกันในระดับประเทศก็ทำให้เกิดสงครามการค้าขึ้นมาอย่างเงียบๆ แต่สงครามระหว่างภาคเอกชนด้วยกันกับรุนแรงยิ่งกว่า เมื่อเยี่ยเทียนตัดแขนขาของคาโต้ ทาคุมิแล้ว หลังจากดื่มฉลองด้วยเหล้าแก้วใหญ่ๆ ก็เดินจากมา ภาพแผ่นหลังสีขาวนั้นได้ติดอยู่ในความทรงจำของพวกเหล่าบรรดาเศรษฐีทั้งหลายแล้ว


“เฮ้ย รอบเมื่อซักครู่นั้นไม่ได้พนันกันเลยนะ”


“นั่นสิ เสียดายมาก ไม่อย่างนั้นฉันจะพนันข้างอาจารย์เยี่ย!”


“น่าเสียดายอะไรกัน วันนี้รอบนี้ นับว่าไม่ได้มาเสียเที่ยว ชาตินี้ทั้งชาติก็ลืมไม่ลง!”


หลังจากเสียงปรบมือที่แสดงความเคารพต่อเยี่ยเทียนหยุดลงไป พลันก็มีคนส่งเสียงอึกทึก ภาพการต่อสู้นี้ถึงแม้จะดูน่าปีติยินดี ทำให้ความอัดอั้นในใจมลายหายไป แต่การที่ไม่สามารถลงพนันได้ก็ทำให้หลายคนรู้สึกเสียดาย


แน่นอนว่า มีใครซักคนในนั้นบอกว่า ไม่ว่าจะเป็นอันเดรวิชกับจางซานปะทะกัน หรือว่าเยี่ยเทียน ใช้ทวนเดียวต่อสู้กับผีร้ายญี่ปุ่น ผลแพ้และชนะทั้งสองรอบในวันนี้ จะทำให้พวกเขาลืมไม่ลงไปตลอดชีวิต



หลังจากกลับมาอยู่ในห้องควบคุมบนตึกแล้ว รองเท้าของเยี่ยเทียนก็มีคนเอาไปทำความสะอาดลบรอยเลือดที่ติดอยู่ให้ จู้เหวยเฟิงไม่รู้ว่าไปทำอะไรอยู่ แต่ก็ให้ชิวเหวินตงอยู่เป็นเพื่อนเยี่ยเทียน


“อาจารย์ มันตื่นเต้นมากจริงๆ!”


เมื่อเห็นชิวเหวินตงกำลังเล่นภาพซ้ำไปมา หมัดของโจวเซี่ยวเทียนก็กำแน่น อยากจะให้คนที่แสดงฝีมือเป็นที่ประจักษ์เมื่อซักครู่เป็นตัวเองก็คงจะดี คนหนุ่มมักจะชอบความรู้สึกถูกผู้คนนับถือเพราะเป็นผู้แข็งแกร่ง ในเวลานี้ ในใจของโจวเซี่ยวเทียนนั้นมีแต่ความเคารพเยี่ยเทียนมากขึ้น


“เยี่ยเทียน คิดไม่ถึงว่าเธอจะใช้ทวนได้ดีขนาดนี้ ” มองดูหน้าจอที่เล่นซ้ำไปมา หูหงเต๋อก็ตาเป็นประกาย โดยเฉพาะหลังจากที่เห็นเยี่ยเทียนปล่อยพู่ทวน จึงยิ่งตะโกนเสียงดังขึ้น


การกระทำของเยี่ยเทียนบนเวทีมวย เหมือนกับประโยคที่ว่า “กวนอูไม่ลืมตา หากลืมตาจะต้องฆ่าคน” หูหงเต๋อก็ดูอย่างสะใจไม่อาจควบคุมตัวเองได้


“เหล่าหู อย่ายกยอปอปั้นผมให้มากไปเลย โบราณว่าไว้กระบวนท่าเดียวที่ชำนาญก็ทำให้ร้อยวิชาล้วนชำนาญไปด้วย เกรงว่าวิชาทวนนี้จะไม่ด้อยไปใช่ไหม?”


เยี่ยเทียนหัวเราะทำไม้ทำมือ ชี้ไปที่ภาพบนหน้าจอแล้วหันไปทางชิวเหวินตง กล่าวว่า “เหล่าชิว นอกจากภาพที่ฉันกำลังพูดอยู่นั่น ที่เหลือที่เป็นภาพในระหว่างการต่อสู้ให้ลบออกให้หมด ฉันจะนั่งมองอยู่ตรงนี้…นายลบออกที!”


ที่ต้องมาห้องควบคุมเพราะว่าเยี่ยเทียนต้องการมาดูกล้องวงจรปิดนั่น ถึงแม้เขาจะไม่กลัวตระกูลคิตะมิยะมาแก้แค้น แต่เบื้องลึกและรายละเอียดของตัวเองนั้นก็ไม่อยากให้คนอื่นรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เขาโกรธ


วิถีดาบของคาโต้ ทาคุมินั้นอาจจะไม่ได้เก่งมาก แต่ที่ญี่ปุ่นบางทีก็จะมีคนที่มีพรสวรรค์อยู่บ้าง มีบางคนที่ความคิดฉลาด หรือแม้กระทั่งแอบเรียนวิชาพลังภายในของจีน คิดอยากจะพัฒนาวิชาดาบที่ส่งต่อกันมาเป็นพันปีอีกครั้ง


ผู้ร่วมก่อตั้งประเทศเคยกล่าวไว้ครั้งหนึ่ว่า “ในด้านยุทธศาสตร์ พวกเราจะต้องดูแคลนศัตรู แต่ในด้านเทคนิคแล้วพวกเราจะต้องให้ความสำคัญกับศัตรู” นับตั้งแต่ได้ฟังประสบการณ์เรื่องราวในพม่าจากศิษย์พี่ใหญ่แล้วนั้น เยี่ยเทียนไม่คิดที่จะดูแคลนใคร หรืออยากมีเรื่องกับใครเลย


อีกทั้งเยี่ยเทียนเองก็ไม่อยากให้ภาพตอนลงมือถูกปล่อยออกไป โบราณว่าไว้ผู้คนกลัวคนมีชื่อเสียงและแข็งแรงกว่า หากถูกพวกระดับสูงเห็นแล้วเพ่งเล็งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องดี ทั้งประเทศอาจจะโยนความชอบธรรมทั้งหมดมาให้เยี่ยเทียนแบกรับไว้ก็ได้  สำหรับตัวเยี่ยเทียนเองสามารถรับได้ แต่หากพาดพิงไปถึงครอบครัวแล้วก็เป็นสิ่งที่เขาไม่อยากให้เกิดขึ้น


“นี่มัน…น้องเยี่ย ฉัน…ฉันเป็นแค่หุ้นส่วนตัวเล็กๆ ที่นี่ ลบข้อมูลวีดีโอ ฉันไม่ได้รับสิทธิ์นั้น”


หลังจากได้ฟังเยี่ยเทียนแล้ว ชิวเหวินตงก็แสดงสีหน้าลำบากใจ ห้องควบคุมนี้เป็นสถานที่สำคัญของเวทีมวยทั้งหมด หากจู้เวยเฟิงไม่อนุญาต เขาไม่กล้าที่จะตัดสินใจลบวีดีโอพวกนี้โดยพลการ


ในตอนที่ไม่รู้ว่าจะอธิบายกับเยี่ยเทียนอย่างไรนั้น จู้เวยเฟิงก็เดินเข้าประตูมา หัวเราะกล่าวว่า “เหล่าชิว ฟังน้องเยี่ยเทียนเถอะ ลบภาพที่บันทึกไว้เมื่อซักครู่ออกให้หมดเถอะ!”


“ประธานจู้ งั้นก็ขอบคุณมาก!” เยี่ยเทียนมองอย่างยิ้มแย้มไปที่จู้เวยเฟิง โบราณว่าไว้พึ่งพาอาศัยกัน คนอื่นไว้หน้าแล้วเยี่ยเทียนแน่นอนว่าก็ต้องมีมารยาทด้วย


“น้องเยี่ยพูดอะไรกัน หากจะขอบคุณ ต้องเป็นฉันที่ขอบคุณนายและก็คุณหู!” จู้เวยเฟิงโบกมือ กล่าวว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะทั้งสองคน งานวันนี้ของฉันก็คงขายขี้หน้าในระดับนานาชาติไปแล้ว”


เยี่ยเทียนขมวดคิ้ว กล่าวว่า “คนเรามีผิดพลาดกันได้ การแพ้ชนะในคราวเดียว นับว่าไม่ได้มีอะไร เยี่ยเทียนคนนี้ขอพูดอะไรที่อาจจะเสียมารยาทเสียหน่อย ยอดฝีมือในเวทีมวยของคุณนั้น ยังไม่มีคนที่แกร่งจริงๆ นะ?”


“น้องเยี่ย นายคิดว่าฉันไม่อยากรับคนที่มีฝีมือสูงเข้ามาหรือไงกัน”


จูเวยเฟิงกล่าวอย่างไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ “คนที่มีฝีมือก็ปฏิบัติตามกฏระเบียบของประเทศไม่สู้รบกับคนอื่น ใช่ว่าเชิญด้วยเงินแล้วจะได้ ต่อให้เป็นนักมวยพวกนี้ ฉันก็ต้องทุ่มเทเลี้ยงดูและพัฒนาเป็นอย่างมาก”


จู้เวยเฟิงเคยวิ่งรอกไปมณฑลเหอหนานและมณฑลเหอเป่ยสองเมืองใหญ่ที่มีการฝึกวรยุทธ์มาก คารวะนักสู้ที่มีชื่อเสียงหลายคน เพียงแต่คนที่ฝึกวรยุทธ์ในตอนนี้ ฝึกวิชาทั้งหมดก็เพื่อทำให้ร่างกายแข็งแรงเท่านั้น ไม่เหมาะกับการใช้ในสถานการณ์จริง สำหรับการเข่นฆ่ารบรานั้นจึงมีความกังวลใจอยู่


แล้วยิ่งมีหลายแขนงการคัดเลือกลูกศิษย์ก็ยิ่งเข้มงวด ผู้อาวุโสก็ไม่ยอมให้พวกลูกศิษย์ยอมต่อสู้เพื่อเงิน ดังนั้น จู้เวยเฟิงวิ่งรอกมารอบหนึ่ง ก็หาได้แต่พวกมือดีระดับรองสามถึงห้าคนเท่านั้น ใช้แข่งขันต่อสู้ภายในประเทศได้ แต่หากเผชิญกับผู้มีฝีมือจากต่างประเทศ ความแตกต่างก็ปรากฏออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน


ประเทศจีนกำลังเผชิญกับความยากลำบาก พวกปรมาจารย์หมัดมวยกลับเก็บรักษาเคล็ดวิชาเอาไว้ราวกับเป็นสิ่งมีค่า ไม่เหมือนกับหาดเซี่ยงไฮ้ที่มีนักสู้รักประเทศกลุ่มหนึ่ง นำเอาวิชาการต่อสู้ออกมาเผยแพร่ ให้ผู้คนได้ออกกำลังกายทำให้แข็งแรง


แนวความคิดนี้ดีที่สุด แต่ว่าไม่สามารถทำให้เป็นจริงได้ อันดับแรกประเทศต้องไม่อนุญาต เพราะไม่ว่าจะยุคสมัยใด “นักรบก็ใช้กำลังเข้าสู้” ประโยคนี้ใช้ได้กับทั้งหมด คนเมื่อฝึกวิชาแล้วเลือดลมสูบฉีด ทำให้เกิดปัจจัยที่ไม่สงบสุขให้เกิดแก่ประชาชน


ลองคิดดูว่า ถ้าในแต่ละวันคนเรามีปากเสียงกันจากเรื่องเล็กน้อยมากมาย หากว่าเมื่อทะเลาะกันก็เริ่มไปฝึกซ้อมวิชาหมัดมวยมาตีกันหัวร้างข้างแตก ตำรวจก็ไม่เป็นอันทำอะไรกันพอดี ในแต่ละวันทำคดีเล็กน้อยพวกนี้ก็ทำให้พวกเขายุ่งจนไม่มีเวลาแล้ว


อีกอย่างคนเรานั้นก็มีทั้งดีและทั้งไม่ดี หากถ่ายทอดให้คนดีนั่นก็ไม่มีอะไร แต่หากว่าคนที่ไม่ดีทำเรื่องเลวร้ายแอบเรียนไป จะยิ่งทำให้เป็นอันตรายกับสังคมเข้าไปอีก นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมคนในยุทธภพจึงได้ให้ความสำคัญและเข้มงวดกับการเลือกผู้สืบทอดมาก


“ที่นายพูดก็เป็นจริง ยุทธภพในปัจจุบัน ไม่ค่อยเหมือนกับในตอนนั้นแล้ว แต่ว่าก็ยังดี นี่แสดงว่าสังคมมีขื่อมีแปขึ้นมาแล้ว!”


มองไปยังประตูที่เปิดค้างเอาไว้ก็เห็นคนหยิบรองเท้าคู่นั้นของเขาไปทำความสะอาดกลับมาและกำลังเคาะประตู เยี่ยเทียนจึงสวมรองเท้าและลุกขึ้นยืน กล่าวว่า “นี่ก็ดึกแล้ว ประธานจู้ พวกเรายังต้องกลับปักกิ่ง วันนี้ก็พอแค่นี้ก่อนแล้วกัน”


มีการแข่งขันหลายรอบต่อเนื่อง แต่ในตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าแล้ว สำหรับสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีแล้วชีวิตยามราตรีอาจจะเพิ่งเริ่มต้น แต่สำหรับเยี่ยเทียนที่มีเวลาพักผ่อนที่แน่นอนเป็นระเบียบ จึงรู้สึกไม่คุ้นเคยเป็นอย่างมาก


“น้องเยี่ย รอประเดี๋ยว ฉันยังมีอีกสองเรื่องที่จะพูด…” เมื่อเห็นเยี่ยเทียนเปลี่ยนรองเท้าจะเดินออกไป จู้เหวยเฟิงก็รีบร้องเรียกให้หยุด


“อืม มีเรื่องอะไร” เยี่ยเทียนหันหัวกลับมา ท่าทางแสดงออกว่าไม่สามารถรอต่อไปได้อีก


“นี่เป็นเงินสิบล้านที่เหล่าหูสู้กับอันเดรวิช รหัสคือ 123456 หรือจะเบิกเงินสดก็ได้หรือจะโอนเข้าบัญชีก็ได้” จู้เหวยเฟิงหยิบบัตรธนาคารออกมาส่งให้เยี่ยเทียน เมื่อครู่ที่เขาออกไปก็เพื่อไปที่ตู้เซฟหยิบบัตรธนาคารออกมา


เยี่ยเทียนส่ายหัว และไม่ได้รับบัตรใบนั้น แต่มองไปที่หูหงเต๋อและกล่าวว่า “เหล่าหู คุณรับไว้เถอะ คนที่สู้จะเป็นจะตายก็คือคุณ!”


“ได้ งั้นก็รับไว้แล้วกันนะ” หูหงเต๋อก็ไม่เล่นตัว ยื่นมือออกไปรับบัตรใบนั้นมา นี่เป็นเรื่องที่คุยกันไว้ก่อนแล้ว เขาหยิบไปอย่างไม่รู้สึกกังวลใจ


หลังจากให้บัตรธนาคารไป จู้เวยเฟิงก็หยิบเอกสารที่ซ้อนกันออกมา กล่าวว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง เยี่ยเทียน นี่เป็นหลังสือโอนมอบอำนาจหุ้นสิบห้าเปอร์เซ็นต์ของสนามมวย นายแค่เซ็นชื่อด้านบน ก็จะกลายเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของสนามมวยใต้ดินแล้ว!”


จู้เวยเฟิงเปิดสนามมวยใต้ดินแห่งนี้ วัตถุประสงค์ไม่ได้เพื่อเงินทั้งหมด เขานั้นชมชอบความรู้สึกตื่นเต้นเร้าใจ ที่ดิ้นรนว่าจะเป็นหรือตาย ดังนั้นเพื่อให้สนามมวยอยู่รอดได้ เขาเองจึงส่งมอบหุ้นออกไปเกือบหมด


ในตอนก่อนที่เยี่ยเทียนจะมาที่สนามมวยใต้ดินแห่งนี้ จู้เวยเฟิงได้ให้คนเตรียมสัญญาโอนมอบเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ว่าในตอนนั้นจำนวนเงินบนสัญญาเป็นห้าเปอร์เซ็น นี่ก็เป็นเพราะจู้เวยเฟิงแบ่งออกมาจากหุ้นยี่สิบเปอร์เซ็นต์ของตัวเอง


เดิมทีจู้เหวยเฟิงคิดว่าหุ้นห้าเปอร์เซ็นต์นั้นไม่น้อยแล้ว นี่ก็เท่ากับแต่ละปีส่งเงินให้เยี่ยเทียนใช้เปล่าๆ ปีละสิบล้าน ในปักกิ่งแห่งนี้นอกจากคนห้าคนแล้ว ไม่มีใครได้มากกว่าเยี่ยเทียน


แต่ว่าหลังจากเยี่ยเทียนเอาชนะคาโต้ ทาคุมิได้ จู้เหวยเฟิงก็คิดได้ว่า หุ้นห้าเปอร์เซ็นต์นี้สำหรับเยี่ยเทียนแล้วไม่มากจริงๆ แล้วยังไม่ต้องพูดถึงภูมิหลังตระกูลซ่งของเขา แค่พูดเรื่องที่ว่าเป็นปรมาจารย์ทางด้านวิชาเท่านั้น หุ้นแค่นี้เขาก็ไม่พอแล้ว


ต้องทราบว่า พื้นฐานการอยู่รอดของสนามมวย ยังคงอาศัยการต่อสู้เป็นหลัก นี่จำเป็นต้องการผู้มีฝีมือที่คุมสถานการณ์ได้ เหมือนกับเรื่องราวทั้งสองเรื่องที่เกิดในวันนี้ ที่ต้องแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้มีฝีมือยอดเยี่ยม สนามมวยแห่งนี้ของจู้เหวยเฟิง ที่ขาดไปก็คือยอดฝีมือที่เหมือนกับเยี่ยเทียน


ดังนั้นจู้เหวยเฟิงจึงได้ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว ไม่เพียงแต่ตัวเองควักหุ้นสิบเปอร์เซ็นต์ของตนเองออกมา ยังไปคุยส่วนตัวกับหูจวินอีกรอบ แล้วจึงได้หุ้นมาจากเขาอีกห้าเปอร์เซ็นต์ เมื่อนำมารวมกันทั้งหมดจึงเป็นหุ้นสิบห้าเปอร์เซ็นต์เพื่อมอบให้กับเยี่ยเทียน


……


ตอนที่ 475 ปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา

โดย

Ink Stone_Fantasy

ตั้งแต่จู้เวยเฟิงได้ก่อตั้งเวทีมวยใต้ดินแห่งนี้มา สัดส่วนของหุ้นก็ถูกแยกย่อยออกเป็นคนละสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น หากเยี่ยเทียนรับหุ้นจำนวนนี้ ก็เท่ากับว่าเขาจะขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ทันที


หลังจากจู้เหวยเฟิงบอกจำนวนสัดส่วนหุ้นออกไปแล้ว ชิวเหวินตงที่ไม่รู้เรื่องก็ตกใจเป็นอันมาก สัดส่วนหุ้นสิบห้าเปอร์เซ็นต์จะมีรายรับราวสิบล้านทุกปี นี่แข่งบุญแข่งวาสนากับคนมันน่าโมโหจริงๆ ชิวเหวินตงลำบากลำบนช่วยจัดการต่างๆ นานา นานถึงสามปี หุ้นที่ได้มาก็แค่เพียงเศษเสี้ยวของเยี่ยเทียนเท่านั้น


“หุ้นสิบห้าเปอร์เซ็นต์ของสนามมวย? ให้ผม?”


เยี่ยเทียนส่งสายตาสงสัยมองไปยังหนังสือสัญญาบนมือของจู้เหวยเฟิง แต่ไม่ได้ยื่นมือออกไปรับ เขาไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองแข่งขันต่อยมวยแล้วจะสามารถแลกมาด้วยหุ้นมูลค่าหลายร้อยล้านขนาดนี้


จู้เหวยเฟิงพยักหน้า กล่าวว่า “ใช่แล้ว น้องเยี่ย ผู้มีอิทธิพลในสี่เขต เก้าเมือง จะมากจะน้อยก็จะต้องมีหุ้นอยู่บ้าง นายเอาไปเถอะไม่ต้องกังวล ไม่ทำให้นายต้องเดือดร้อนอะไรแน่ๆ!”


หากเทียบกับมูลค่าหุ้นที่ให้ไป จู้เหวยเฟิงรู้สึกว่าให้หุ้นเยี่ยเทียนไปสิบห้าเปอร์เซ็นต์นั้นคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม เพราะคนพวกนั้นส่วนมากเมื่อรับเงินไปแล้วก็จะไม่มาหาเรื่องสนามมวย แต่ไม่มีผลต่อการพัฒนาสนามมวยให้ดีขึ้น


แต่หากว่าเยี่ยเทียนเข้าร่วมด้วยนั่นก็ไม่เหมือนกันแล้ว มีเขาที่มีฝีมือสูงส่งอยู่ จู้เหวยเฟิงจะสามารถติดต่อกับสนามมวยใต้ดินได้อีกหลายแหล่ง ชักจูงให้พวกนักมวยต่างชาติเข้ามาในจีน สรุปว่าหากมีเยี่ยเทียนอยู่เป็นหลักก็ไม่ต้องกลัวนักมวยต่างชาติมาทำให้ขายหน้า


“ช่างเถอะ ผมไม่สนใจเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ น้ำใจของประธานจู้ผมขอรับเอาไว้ก็แล้วกัน”


เยี่ยเทียนส่ายหัว ปฏิเสธออกไปอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด อย่าว่าแต่เงินปันผลหุ้นที่ได้ปีละสิบล้าน ตอนนั้นที่กงเสี่ยวเสี่ยวมอบหุ้นมูลค่าแปดร้อยล้านให้กับเขา เขายังไม่รับ


เยี่ยเทียนเข้าใจหลักที่ว่า บนโลกนี้ ไม่มีของที่ได้ฟรีโดยเด็ดขาด ได้รับของบางอย่างในเวลาเดียวกันก็จะต้องตอบแทนด้วยบางสิ่งเช่นกัน ความสามารถหรือว่าคุณธรรมก็เป็นเช่นเดียวกัน  เมื่อได้รับยิ่งมากเสียไปก็ยิ่งมาก


สำหรับความคิดของจู้เหวยเฟิงนั้น เยี่ยเทียนก็พอจะคาดเดาได้ อยากจะใช้หุ้นสนามมวยอันน้อยนิดจับเขาเอาไว้ แบบนั้นก็ถือว่าดูถูกเยี่ยเทียนคนนี้มากไปแล้ว เงินทองนั้นไม่ได้ดูล่อตาล่อใจสำหรับเยี่ยเทียน แค่เยี่ยเทียนพยักหน้า เขาก็สามารถใช้ทรัพย์สินมูลค่ามหาศาลหลายหมื่นล้านดอลลาห์สหรัฐได้ตลอดเวลา


เมื่อเห็นเยี่ยเทียนไม่รับ จู้เหวยเฟิงรีบกล่าวต่อว่า “น้องเยี่ย นี่เป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ของฉัน แล้วอีกอย่าง คนในปักกิ่งแต่ละคนก็มีหุ้นจะมากบ้างน้อยบ้างก็ตามแต่ นายรับไปใช่ว่าจะไม่เหมาะสม”


จู้เหวยเฟิงกล่าวแบบมีนัยยะอีกชั้น นั่นก็คือหากเยี่ยเทียนรับหุ้นเอาไว้ ก็จะกลายเป็นคนในแวดวงเดียวกับเขาแล้ว สำหรับลูกหลานของเหล่าผู้ก่อตั้งประเทศนี้ ถึงแม้ปกติจะทำอะไรด้วยความถ่อมตน แต่ภายในใจนั้นก็รู้สึกภาคภูมิใจอยู่ และไม่ใช่ว่าใครก็สามารถเข้ามาในแวดวงของพวกเขาได้


“เหอะๆ ประธานจู้ คุณดูว่าผมเหมือนคนขาดเงินเหรอ”


เยี่ยเทียนหัวเราะขึ้นมา สายตาดูเหมือนหยอกเย้ามองไปทางจู้เหวยเฟิง กล่าวว่า “ผมเยี่ยเทียนคนนี้เป็นชาวบ้านธรรมดา เกรงว่าจะเข้าสังคมกับคนเมืองไม่ได้ ก็ยังเหมือนประโยคก่อนหน้า น้ำใจของประธานจู้ขอรับไว้แล้วกัน วันนี้พอแค่นี้เถอะนะครับ!”


หลังจากได้ฟังคำของเยี่ยเทียน จู้เหวยเฟิงลอบถอนใจออกมา เขาทราบถึงบางเรื่องเกี่ยวกับมารดาของเยี่ยเทียน ใช้คำว่าร่ำรวยคับประเทศอธิบายผู้หญิงคนนั้นก็ไม่เกินไป ดังนั้นตอนที่ให้หุ้นพวกนี้ เขาก็เตรียมตัวไว้แล้วที่จะโดนปฏิเสธ


และไม่ว่าเยี่ยเทียนจะเป็นหลานคนโตของตระกูลซ่ง หรือว่าเป็นปรมาจารย์วิชามวย ล้วนแล้วแต่ไม่ได้ทำให้เขาเหมาะกับการที่จะเป็นนักมวยใต้ดินได้เลย จู้เหวยเฟิงยอมรับว่าก่อนหน้านี้ตัวเขาเองคิดไม่รอบคอบ เขาก็เป็นคนเด็ดขาดคนหนึ่ง ในเมื่อเรื่องราวมาถึงตรงนี้ ในตอนนั้นจึงเอาสัญญาวางไว้บนโต๊ะ ลุกขึ้นยืนกล่าวว่า “เอาเถอะ ฉันให้คนไปส่ง น้องเยี่ยเทียน กับคนอื่นๆ ก็แล้วกัน วันหลังหากไม่มีธุระอะไร ก็มานั่งเล่นที่นี่บ่อยๆ นะครับ…”


“ได้ อย่างนั้นขอขอบคุณประธานจู้มาก หูจวิน มีเวลาว่างมาดื่มชาด้วยกันบ้างนะ อย่ามัวแต่หมกมุ่นอยู่กับการหาเงินทั้งวันล่ะ”


เมื่อเห็นหูจวินและชิวเหวินตงไม่ได้จะกลับเหมือนกัน เยี่ยเทียนจึงรู้ว่าพวกเขายังมีเรื่องต้องคุยกัน จึงรีบทักทายกับหูจวิน ลุกขึ้นแล้วจากไป


จู้เหวยเฟิงส่งรถเบนซ์หรูคันหนึ่งไปส่งเยี่ยเทียน หลังจากขึ้นรถถามที่อยู่เรียบร้อย คนขับรถคนนั้นก็เอากระจกกั้นเสียงขึ้นอย่างรู้งาน เห็นได้ชัดว่าเขารับส่งเศรษฐีผู้มีอิทธิพลบ่อยมาก


“เยี่ยเทียน ทำไมถึงยังไว้ชีวิตไอ้คนญี่ปุ่นคนนั้นเอาไว้ล่ะ”


ตอนที่อยู่ที่สนามมวย หูหงเต๋อมีบางคำที่ไม่ได้พูดออกมา เขาทราบดีว่าอาศัยความสามารถของเยี่ยเทียน ก็สามารถใช้ทวนกระบวนท่าเดียวฆ่าคาโต้ ทาคุมิได้ แต่กลับไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงใช้วิธีการที่เหี้ยมโหดทรมาน ถึงแม้จะเป็นคนญี่ปุ่น แต่ก็เป็นนักสู้คนหนึ่ง


“เหล่าหู คำที่ผมพูดบนเวทีมวย คุณไม่ได้ยินเหรอ”เยี่ยเทียนเงยหน้ามองไปทางหูหงเต๋อ “ผมไม่ได้บอกเหรอว่า เจ้าคาโต้ ทาคุมิติดค้างเราแค่แขนสองข้าง ตัดแขนขาเขาแล้ว ก็พอดีกับเงินต้นบวกดอกเบี้ย!”


“ไม่ใช่อย่างนั้นแน่  เจ้าเด็กนี่ทำแบบนี้ยังจะต้องมีความคิดอื่นอีก หรือว่าจะตีวัวกระทบคราด ล่อให้ตัวใหญ่ออกมา”


หูหงเต๋อส่ายหัว ถึงแม้อารมณ์ของเขานั้นจะรุนแรง แต่ไม่ได้เป็นคนโง่ คนที่ไม่ฉลาดเลยแม้แต่น้อย จะสามารถฝึกวิชาจนอยู่ในขั้นนนี้ได้อย่างไร แค่เพียงพริบตาก็สามารถเดาความคิดของเยี่ยเทียนออกมาได้เจ็ดสิบแปดสิบเปอร์เซ็นแล้ว


หูหงเต๋อและโจวเซี่ยวเทียนล้วนแต่เป็นคนที่เชื่อใจได้ เยี่ยเทียนในตอนนี้ก็ไม่ได้ปิดบัง เงียบไปชั่วครู่แล้วจึงพูดว่า “ถูกแล้ว ผมอยากจะล่อให้อาจารย์ของคาโต้ ทาคุมิออกมา เหล่าหู แขนซ้ายของศิษย์พี่ใหญ่ ถูกอาจารย์ของเขาคิตะมิยะ ฮิเดโอะตัดไป”


“อะไรนะ แขนของท่านลุงถูกคนญี่ปุ่นตัดไป” หูหงเต๋อตกใจไม่น้อย ลุกขึ้นยืนจากที่นั่งขึ้นมา เพียงแต่ลืมไปว่าตัวเองอยู่บนรถ หัวกระแทกเข้ากับหลังคาของรถเบนซ์พอดี


หูหงเต๋อไม่สนใจอาการปวดที่หัวถูกกระแทก มือหนึ่งจับเยี่ยเทียนกล่าวถามว่า “เยี่ยเทียน นี่มันเรื่องอะไรกัน ฉันจำได้ว่าเมื่อสี่ห้าปีก่อนที่คนญี่ปุ่นยอมแพ้นั้น แขนของท่านลุงยังอยู่ดีนี่นา?”


โก่วซินเจียก่อนจะไปที่ไต้หวัน เคยไปที่เทือกเขาฉางไป๋ซานครั้งหนึ่ง เขาอยากจะชวนหูอวิ๋นเป้าไปด้วย เพียงแต่ว่าหูอวิ๋นเป้านั้นอยู่ที่บ้านเกิดไม่อยากที่จะจากไป ในตอนท้ายก็อยู่ต่อ นั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่หูหงเต๋อเห็นโก่วซินเจีย


“เรื่องราวเป็นมายังไงคุณไม่ต้องถามแล้ว รู้แค่ว่าคนญี่ปุ่นนั้นมีชื่อคาตะมิยะ ฮิเดโอะก็เพียงพอแล้ว”


เรื่องทองคำยี่สิบตันต่อให้ความสัมพันธ์ดีมากขนาดไหน ต่อให้เยี่ยเทียนสามารถเชื่อถือหูหงเต๋อและโจวเซี่ยวเทียนได้ ก็ไม่ได้พูดเรื่องนี้ออกมา บนโลกนี้คนที่รู้เรื่องทองจำนวนนี้ เกรงว่านอกจากเขาสามศิษย์พี่น้องแล้ว ก็เห็นจะมีแต่พวกญี่ปุ่นที่เข้าร่วมขโมยกับโก่วซินเจียเท่านั้นที่รู้


“เยี่ยเทียน เธอยืนยันได้เหรอว่าเป็นคนนี้ทำ แค่พวกญี่ปุ่นนั้น เกรงว่าจะทำอันตรายอะไรท่านลุงไม่ได้”


โก่วซินเจียในตอนนั้นเป็นผู้นำในฉีเหมินที่ผู้คนมากมายเคารพนับถืออยู่ที่แผ่นดินใหญ่ ถือว่าเป็นหนามยอกอกของพวกญี่ปุ่นที่มายังประเทศจีน พวกญี่ปุ่นนั้นคิดหาวิธีกันแทบตายก็ไม่สามารถจัดการกับ “อินทรีย์เนตรทอง” ได้หูหงเต๋อไม่เชื่อว่าหลังจากสงครามแล้ว โก่วซินเจียจะถูกพวกญี่ปุ่นจัดการ


“คุณคิดว่าพวกญี่ปุ่นจะปะทะกับศิษย์พี่ซึ่งหน้าเหรอ”


เยี่ยเทียนหัวเราะเย็น กล่าวว่า “คนร้อยคนล้อมคนยี่สิบกว่าคน แล้วยังวางกับดักเอาไว้ก่อนแล้ว ศิษย์พี่จึงได้พลาดท่า เหล่าหู ไม่เป็นไร คิตะมิยะ ฮิเดโอะไม่ได้ตาย บัญชีนี้จะต้องได้ชำระกันในซักวันหนึ่ง!”


นับตั้งแต่ได้พบกับคิตะมิยะ ทาโร่ที่เขตมหาวิทยาลัยหวาชิง เยี่ยเทียนก็เริ่มมีความคิดที่จะแก้แค้นให้กับศิษย์พี่ เขาจึงลอบลงมือทำร้ายอวัยวะภายในของคิตะมิยะ ทาโร่ ตอนนี้ก็น่าจะเดินทางไปพบกับเทพ “อะมะเตะระสุ” ที่ปกปักคุ้มครองเขาอยู่แล้วกระมัง(หมายถึงตายแล้ว)


เพียงแต่คิตะมิยะ ทาโร่ จะมีอาการออกมาก็น่าจะเป็นตอนที่เขาไปอยู่เกาหลีแล้ว ดังนั้นตระกูลคิตะมิยะจึงยังไม่สามารถรู้ได้ว่าเรื่องนี้เยี่ยเทียนเป็นคนทำในทันที แต่ครั้งนี้ตัดแขนขาของคาโต้ ทาคุมิ กลับเป็นการท้าทายโดยตรงกับตระกูลคิตะมิยะ


ก่อนหน้านี้เยี่ยเทียนกลัวคนในครอบครัวเป็นอันตราย ทำแบบไม่ออกหน้า แต่ตอนนี้เขาได้รับการรับรองจากซ่งเฮ่าเทียนแล้วจึงไม่ต้องกังวลกับตระกูลคิตะมิยะอีก ดังนั้นจึงลดความกังวลลงไป เขารีบอยากจะให้ตระกูลคิตะมิยะส่งมือดีมาหรือแม้แต่ให้คิตะมิยะ ฮิเดโอะมาที่ประเทศจีนเอง


ในคืนนั้นเมื่อกลับมาถึงเรือนสี่ประสาน ก็เป็นเวลาตีสองแล้ว แต่ที่ทำให้พวกเยี่ยเทียนคิดไม่ถึงก็คือ โก่วซินเจียยังไม่ได้นอน แต่รอพวกเขาอยู่ที่ลานกลางบ้าน


“ศิษย์พี่ใหญ่ นี่ก็ดึกแล้วทำไมพี่ยังไม่พักผ่อน?”


มองดูโก่วซินเจียที่แขนขวาว่างเปล่านั้น ในใจของเยี่ยเทียนก็รู้สึกเจ็บปวด ในช่วงเวลานี้ได้ฟังเรื่องราวความหลังของโก่วซินเจียก็ไม่น้อย เยี่ยเทียนรู้สิ่งที่ศิษย์พี่ใหญ่คนนี้ทำในครึ่งทศวรรษที่ผ่านมา แน่นอนถือว่าเป็นวีรบุรุษของเหล่าราษฎร


“ไอ้เจ้าเด็กนี่ ทำไมถึงชอบฆ่าฟันนักนะ” โก่วซินเจียมองไปที่เยี่ยเทียน ใบหน้าปรากฏรอยยิ้ม “ในตอนที่จะไปก็บอกเธอแล้วว่าอย่าโมโหใช้อารมณ์ ทำไมถึงลงมือทำร้ายคนอีกเล่า”


โก่วซินเจียสัมผัสได้กับการขับเคลื่อนพลังพิฆาตของเยี่ยเทียน ทำให้กลิ่นคาวเลือดบนตัวของเยี่ยเทียนนั้นไม่อาจปิดบังเขาได้ โดยเฉพาะพลังจิตสังหารนั้นเยี่ยเทียนไม่ได้เก็บซ่อนเอาไว้เลย ทำให้โก่วซินเจียที่อาศัยอย่างสงบสุขมาหลายสิบปีอดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้


เยี่ยเทียนหันกลับไปมองทั้งสองคน กล่าวว่า “พวกคุณไปพักผ่อนเถอะ ผมกับศิษย์พี่จะคุยกันซักหน่อย!”


“ศิษย์พี่ วันนี้ได้เจอคนตระกูลคิตะมิยะแล้ว พี่จะไม่ให้ฉันลงมือได้ยังไง”


รอจนหูหงเต๋อและโจวเซี่ยวเทียนจากไป เยี่ยเทียนก็เล่าเรื่องวันนี้ที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ฟังอีกรอบ เขาไม่ได้ปิดบังความคิดที่จะสู้กับตระกูลคิตะมิยะเพื่อช่วยโก่วซินเจีย


“วิชามวยของยุโรปก็ยังมีบางส่วนที่นำมาใช้ได้ แต่หากเทียบกับมวยภายในของจีนเราแล้ว ถือว่ายังห่างชั้นกันอีกมาก เต๋อหว๋าจึสู้ได้ดี ฮ่าๆ มีบางส่วนคล้ายกับซุนลู่ถังในปีนั้น!”


หลังจากฟังเยี่ยเทียนแล้ว โก่วซินเจียไม่ได้กล่าวถึงเรื่องของตระกูลคิตะมิยะอีก แต่กลับให้ความสนใจในการต่อสู้ของหูหงเต๋อและอันเดรวิช และสอบถามรายละเอียดไม่น้อย


ในตอนที่ซุนลู่ถังอายุเกือบห้าสิบปีนั้น ได้ขึ้นชกกับ “เปตรอฟ” นักต่อต่อสู้ชื่อดังชาวรัชเซียจนมึนงงไป หลังจากนั้นชื่อเสียงก็เพิ่มมากขึ้น ได้รับสมญานามว่า ราชาพยัคฆ์และเป็นหนึ่งในใต้หล้า


“คนญี่ปุ่นโหดร้ายทารุณ จุดประสงค์ที่พวกเขามาประเทศจีนนั้นคงไม่ธรรมดาแน่ๆ! ” หลังจากชมเชยหูหงเต๋อแล้ว โก่วซินเจียก็ดึงหัวข้อสนทนากลับไปที่เรื่องคนญี่ปุ่น


……


ตอนที่ 476 กรมการค้า

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ศิษย์พี่ ความแค้นระหว่างจีนและญี่ปุ่นทั้งสองประเทศไม่มีทางสลายหายไปได้หรอก พวกมันจะมีวัตถุประสงค์อะไรได้?” หลังจากได้ฟังโก่วซินเจียพูดแล้ว เยี่ยเทียนก็ตกตะลึงไป ตามที่เขาคิด การได้พบกับคาโต้ ทาคุมินั้นเป็นแค่ความบังเอิญเท่านั้น เยี่ยเทียนจึงไม่ได้คิดให้ลึกลงไป


โก่วซินเจียส่ายหัว กล่าวว่า “เธอไม่เข้าใจตระกูลคิตะมิยะ นับตั้งแต่จักรพรรดิมุตสึฮิโตะ เท็นโนเป็นต้นมา พวกเขาก็เริ่มมีอำนาจบาตรใหญ่ในประเทศญี่ปุ่น พอมาถึงยุคสงครามญี่ปุ่นกับจีน แค่ตระกูลคิตะมิยะที่เป็นขุนพลอย่างเดียวก็มีเป็นสิบกว่าคนแล้ว เป็นทีมที่มีอำนาจและมากฝีมือของฝั่งญี่ปุ่น…”


ปีนั้นที่ถูกคิตะมิยะ ฮิเดโอะลอบทำร้ายตัดแขนซ้ายขาด โก่วซินเจียเกิดความโกรธแค้นมาตลอด ในระหว่างที่เขารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ยังไม่ถูกคุณชายเจียงหมายหัวนั้น เขาเคยใช้เงินทุนตัวเองสืบเรื่องของตระกูลคิตะมิยะ


พอได้สืบถึงได้พบว่ากำลังของตระกูลคิตะมิยะนั้นแข็งแกร่งมาก แกร่งเกินกว่าที่เขาคาดคิดไว้ ทั้งทหารบก ทหารอากาศและทหารเรือสามเหล่าทัพของญี่ปุ่น ล้วนแล้วแต่มีเงาของตระกูลคิตะมิยะอยู่เบื้องหลัง ปีนั้นมีนายพลคนหนึ่งในตระกูลคิตะมิยะ ได้รับมอบหมายให้ขุดและซ่อนทองคำที่พม่าในคราวนั้น


โก่วซินเจียเขาเป็นคนประเภทที่กล้าทำกล้ารับ ในข้อมูลเหล่านี้ เขาพบว่ามีเหตุการณ์บางอย่างน่าสนใจ นั่นก็คือ…ตระกูลคิตะมิยะถึงแม้จะมีชื่อเสียงเลืองลื่อว่าจงรักภักดีกับจักรพรรดิ แต่ว่าพวกเขากลับมาจากสมัยบาคุฟุ ในช่วงนั้น อำนาจของจักรรพดิญี่ปุ่นถูกลิดรอน ทำให้แผ่นดินว่างมาเป็นพันกว่าปีแล้ว


หรืออีกนัยหนึ่ง นั่นก็คือตระกูลคิตะมิยะมีความภักดีต่อจักรพรรดิอย่างมีขอบเขต โก่วซินเจียยังพบเอกสารต่างๆ ของคนที่ดำรงตำแหน่งทางการทหารในตระกูลคิตะมิยะ จริงๆ แล้วจุดเริ่มต้นมาจากความโลภมากกว่าความภักดีต่อประเทศ แต่โก่วซินเจียที่รู้จักมักคุ้นกับหัวหน้าทีมของกองพลโอซาก้าที่สี่ ก็คือคนของตระกูลคิตะมิยะ


หากพูดถึงกองพลโอซาก้าที่สี่ แม้แต่โก่วซินเจียเองก็สงวนท่าทีเอาไว้ไม่ได้ กองพลนี้มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า “กองพลพ่อค้า” ในตอนที่ญี่ปุ่นรุกรานจีนตลอดแปดปีนั้นกองพลโอซาก้าที่สี่ทำการค้ากับโก่วซินเจียไม่น้อย เล็กสุดคือปืนและระเบิด ใหญ่สุดก็คือเอกสารลับราชการ ล้วนแต่เป็นเครื่องหมายการค้าของพวกเขา


กองพลที่โอซาก้าที่สี่มีกำลังพลประมาณสองหมื่นสองพันคน ในเขตปกครองมีสี่กองร้อย มีอุปกรณ์กันกระสุนระดับมาตรฐานและอุปกรณ์อื่นๆ อีกจัดได้ว่าเป็น “หัวกะทิ” ของทหารญี่ปุ่น เนื่องจากการทำสงครามของญี่ปุ่นกับเยอรมนีมีการรบแพ้ชนะสลับกันหลายครั้ง จึงได้ฉายาว่า “แปดกองร้อยแพ้ไม่กลัว” และ “กองพลไร้น้ำยาอันดับหนึ่งของจักรวรรดิ”


เนื่องจากในการนำของบุคคลที่ไม่เคารพในองค์จักรพรรดิของตระกูลคิตะมิยะ เมื่อกองพลที่สี่เข้ามาในจีนก็ไม่เปลี่ยนนิสัยขี้เกียจ เอ้อระเหยแม้แต่น้อย


ในปี 1939 สหภาพโซเวียตและญี่ปุ่นเกิดสงคราม โนะมอนฮาน ที่บริเวณพื้นที่ชายแดนของจีนและมองโกเลีย กองทัพตะวันออกเฉียงเหนือมีคำสั่งให้กองพลโอซาก้าที่สีและกองพลเซ็นไดที่อยู่ทางด้านเหนือของประเทศแมนจูรีบเตรียมกองกำลังไปช่วยแนวหน้าสู้รบ


กองกำลังเซ็นไดหลังจากได้รับคำสั่งแล้ว รีบเดินทัพอย่างเร่งด่วนสี่วันจาก ไห่ลาเอ่อร์ ไปยังโนะมอนฮาน พอไปถึงสมรภูมิรบก็เข้าร่วมการรบ แต่ไม่นานก็ถูกทหารโซเวียตตีแตกพ่ายแพ้อย่างยับเยิน


ทางกลับกัน กองพลหารที่สี่ถึงแม้คำสั่งจะถูกส่งลงมา แต่ก็ยังชักช้า “ไม่เคลื่อนย้ายทหาร” ข้ออ้างคือเมื่อมีคำสั่งเคลื่อนกำลังทหารลงมา ผู้เจ็บป่วยในกองทัพมีเพิ่มมากขึ้น มองไปทางไหนในค่ายก็มีแต่ทหารที่ขออาสาเฝ้าค่าย ด้วยเหตุผลร้อยแปดเหล่านี้จึงไม่เคลื่อนกำลังทหาร


เหล่าขุนพลกองกำลังทหารญี่ปุ่นเกิดความโมโห เข้าไปนั่งอยู่ในห้องพยาบาล ตรวจสอบอาการด้วยตนเอง ถึงได้รวบรวมทีมได้อย่างทุลักทุเลไปยังแนวหน้า จากนั้นเรื่องราวก็ยังไม่จบ พวกกำลังพลที่อยู่ในกองพลที่สี่ยังได้มีเล่ห์เพทุบายใหม่เกิดขึ้น…ทำตามอย่างชักช้าอืดอาดที่สุด


จากไห่ลาเอ่อร์ไปยังโนะมอนฮาน กองทหารที่สองเดินกันสี่วัน กองทหารที่สี่กลับเดินกันแปดวันเต็มๆ และมีหลายคนที่หนีทหาร ที่ประจวบเหมาะพอดีก็คือ ในวันก่อนที่กองพลรบที่สี่ส่งมาจะมาถึง โซเวียตและญี่ปุ่นก็ประกาศหยุดทำสงคราม


หลังจากข่าวแพร่ออกมา ขุนพลทหารที่แตกแถวออกไปของกองพลที่สี่ก็เหมือนได้กิน “ยาขนานดี” รีบกลับมาเข้ากองทัพทันที แม้แต่พลทหารที่ป่วยอยู่ก็ “พาโรค” ของตัวเองวิ่งมาที่แนวหน้าด้วย ด้านหนึ่งบ่นเสียดาย ว่าตัวเองไม่มีโอกาสได้เข้าร่วมรบในสงครามครั้งนี้! ในตอนนั้นขุนพลผู้นำกองพลโซดะ ชิเกรุ แก้ตัวว่าเพราะกองพลที่สี่นั้นมีที่อยู่กระจัดกระจาย


ถึงแม้ว่าจะได้รับการกระแทแดกดันอย่างมาก ตอนที่กลับมากองพลทหารที่สี่ ก็มีคนเต็มกำลัง และไม่อ่อนแรง กลายเป็นกองพลทหารที่น่าเกรงขามที่สุดในกองทัพญี่ปุ่น กองพลทหารที่สองที่รีบไปสมทบก่อนหน้านั้นกลายเป็นกองพลที่สูญเสียทหารและมีผู้บาดเจ็บเต็มค่าย


ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องตลก แต่กองพลที่สี่ก็ถือว่ายังโชคดี เพราะในตอนนั้นกองทัพญี่ปุ่นที่รุกรานประเทศจีนอยู่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม ต้องการกำลังเพิ่ม กองกำลังญี่ปุ่นจึงได้แต่ยอมละทิ้งการลงโทษกองพลที่สี่  รีบสั่งการให้ย้ายลงไปด้านทิศใต้ กองพลที่สี่พลันเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ กลายเป็นทีมหัวกะทิของทหารญี่ปุ่นจากสิบเอ็ดกองพล


หากจะกล่าวอย่างจริงจัง กองพลโอซาก้าที่สี่นับได้ว่าทำประโยชน์ในสงครามครั้งนี้ เนื่องจากในตอนสงครามสวี๋โจว หลี่จงเหรินและกองกำลังกว่าสี่แสนคนหลบหนีออกจากการล้อมของทหารญี่ปุ่นแล้ว คนเหนื่อย ม้าอ่อนแรงพลังการรบนั้นลดลงเป็นอย่างมาก ในขณะที่กำลังหลบหนีบนถนนเส้นหนึ่งในดินแดนของซานตง เจียงซูและอันฮุยนั้น พบว่าด้านหน้านั้นมีทหารญี่ปุ่นกำลังกระชับพื้นที่เข้ามา และสวมชุดเกราะอย่างดี


ทหารจีนที่กำลังอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรงในตอนนั้นตกใจลนลาน รีบหนีตายจากถนนและหลบไปยังภูเขาด้านข้าง ที่น่าแปลกก็คือ เวลาผ่านไปตั้งนานแต่ก็ไม่เห็นมีทหารญี่ปุ่นตามมา นายทหารที่สั่งการงุนงงเป็นอย่างมากสั่งให้ทหารไปสืบดู กลับเห็นว่าทหารญี่ปุ่นเหล่านั้นไม่ได้มีทีท่าว่าจะไล่ตาม ตรงกันข้ามยังอยู่บริเวณสองข้างทางและก่อไฟหุงข้าวกันอยู่


เนื่องจากว่าเพิ่งหนีออกมาจากการล้อมของญี่ปุ่น สถานการณ์นั้นยังคงอันตรายอยู่มาก กองทหารของจีนจึงได้แต่ใจแข็ง ดึงดันตัดข้ามถนนสายนั้นไป ปรากฏว่าตลอดทางนั้นไม่มีอันตรายใดๆ หลังจากเกิดเรื่อง หัวหน้าทหารกองร้อยญี่ปุ่นจึงได้แต่อาศัยข้ออ้างรายงานว่า “ได้ปฏิบัติตามกฎการรบอย่างเคร่งครัด” เป็นเหตุผลเพื่อรายงานต่อเบื้องบนอย่างสวยหรูว่า ไม่ได้รับคำสั่งให้จู่โจมกองทัพทหารจีน”


หลังจากนั้นในตอนที่พบกันที่ฉางซา กองพลที่สี่เป็นแกนหลักในการโจมตี เมื่อเพิ่งเข้าไปถึงฉางซาก็ถูกไล่ออกมา เนื่องจากกองพลที่สี่กลายเป็น “ดาวนพเคราะห์” ของทหารญี่ปุ่น กองพลไหนก็ไม่ต้องการตัว ค่ายใหญ่จึงทำได้เพียงตั้งให้เป็นกองพลเขตปกครองตนเอง


ครั้งนี้ทหารในกองพลที่สี่คุยโม้ว่า “เป็นทหารก็ได้อยู่แต่กองพลชั้นหนึ่ง เมื่อออกรบก็อยู่ในระดับหัวกะทิ เมื่อต่อสู้ขึ้นมาในสิบเอ็ดกองพล…ก็ยังเป็นที่หนึ่ง สุดท้ายสิบเอ็ดกองพลก็รับพวกเขาไม่ไหว จึงได้กลายเป็นกองพลปกครองค่ายใหญ่…”


ในเดือนสิงหาคมปี 1945 ญี่ปุ่นยอมแพ้ กองพลที่สี่ ตอนนั้นรวมตัวอยู่ที่ กรุงเทพ ประเทศไทย ไม่เหมือนกับกองทหารญี่ปุ่นอื่นที่ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ กองพลที่สี่ยอมแพ้และกลับประเทศไปด้วยความรวดเร็วและราบรื่น


ตอนปรากฏตัวที่ท่าเรือญี่ปุ่นนั้น ทั้งหมดมีสีหน้าแดงระเรื่อ ทหารกองพลที่สี่มีสุขภาพแข็งแรงปรากฏตัวขึ้น ในพื้นที่ส่วนมากเป็นพวกทหารที่ขาดสารอาหาร คนญี่ปุ่นที่ผอมแห้งล้วนแต่ตกตะลึง และสรุปได้ว่ากองพลที่สี่ของกองทัพญี่ปุ่นเป็นกองทัพแดนใต้ที่สูญเสียน้อยที่สุดและอาวุธยุทโธปกรณ์เหลือครบครันที่สุด


กองทัพอเมริกาให้ความคิดเห็นต่อกองพลนี้ว่า “งานอดิเรกคือรักสงบ” หลังจากกองพลที่สี่กลับประเทศไปแล้ว ก็ได้แสดง “ความสามารถพิเศษนี้” ออกมา หลังจากกลับประเทศเป็นวันที่สอง ก็มีทหารวิ่งไปที่หน้าค่ายของทหารอเมริกา ตั้งร้านขายของอย่างเป็นระเบียบ ขายของที่ระลึกจากสงคราม


“แปลกมาก ถ้าหากญี่ปุ่นมีแต่กองทหารแบบนี้ อย่างนั้นสงครามการรุกรานจีนของญี่ปุ่นครั้งนั้นก็คงไม่เกิดขึ้น”


หลังจากได้ฟังที่โก่วซินเจียเล่าถึงกองทหารโอซาก้าแล้ว เยี่ยเทียนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินว่าบนโลกนี้มีกองทหารแบบนี้ด้วย


“เป็นเพราะการเสี้ยมสอนของตระกูลคิตะมิยะ หลังจากสงครามแล้ว เศรษฐกิจของโอซาก้านั้นพัฒนาได้เร็วกว่าใครเพื่อน ดังนั้นพวกคนตระกูลคิตะมิยะ ล้วนแต่ชอบเงินตรา หากว่าไม่มีผลประโยชน์ พวกเขาคงไม่มาที่ประเทศจีน”


เมื่อพูดถึงตระกูลคิตะมิยะ สีหน้าของโก่วซินเจียก็หม่นลง ถึงแม้ตระกูลนี้ไม่สนใจในอำนาจของจักรพรรดิ แต่เมื่อเป็นเรื่องของการหาผลประโยชน์เข้าตระกูลแล้วจะกลายเป็นโหดเหี้ยมขึ้นมาทันที และทำทุกวิถีทางให้ได้มา


เหมือนกับทองคำที่ขุดและซ่อนไว้ที่ประเทศพม่า ตระกูลคิตะมิยะเดิมทีก็ไม่ได้มีความคิดว่าจะส่งคืนให้กับประเทศ แต่ที่ทำให้พวกเขาคิดไม่ถึงก็คือ โก่วซินเจียกลับยื่นขาเข้ามาเอี่ยวด้วย แย่งเอาทองคำไป แน่นอนโก่วซินเจียก็ได้แลกมาด้วยแขนซ้ายและชีวิตของเพื่อนพ้องอีกกว่าสิบชีวิตเป็นการตอบแทน


ความเป็นจริงนั้นก็เป็นเหมือนที่โก่วซินเจียพูดทั้งหมด ครั้งนี้ตระกูลคิตะมิยะเล็งเห็นถึงตลาดวิชาดาบที่ใหญ่โตของประเทศจีนและเกาหลี เพียงแต่ว่าพวกเขาดำเนินการที่ประเทศเกาหลีผ่านไปได้ด้วยดี แต่หลังจากที่มาถึงประเทศจีนแล้วสถานการณ์ของคาโต้ ทาคุมินั้นกลับน่าอนาจยิ่งนัก


“ศิษย์พี่ วรยุทธ์ของคาโต้ ทาคุมินั้นไม่อ่อนแอ. น่าจะเป็นคนสำคัญที่ทางตระกูลคิตะมิยะฝึกฝนและพัฒนาขึ้นมา ผมไม่เชื่อว่าพวกนั้นจะนั่งมองอย่างไม่สนใจ ถึงตอนนั้นพวกเราศิษย์พี่น้องก็ค่อยต่อสู้กับพวกมันให้รู้แพ้รู้ชนะไปเลย!”


เยี่ยเทียนกล่าวอย่างตื่นเต้น พลางเอามือเปิดเหล้าเหมาไถที่จู้เหวยเฟิงให้มาแล้วยังไม่ได้ดื่ม หลังจากดื่มไปครึ่งขวดในครั้งเดียวแล้ว ก็ส่งให้โก่วซินเจีย กล่าวว่า “ศิษย์พี่ ปีนั้นพี่ตัวคนเดียวได้รับอันตรายอยู่ที่ต่างประเทศ ถึงได้เสียทีเพลี่ยงพล้ำขนาดนี้ ตอนนี้อยู่ในพื้นที่ของพวกเราแล้ว พวกเราจะต้องทำให้พวกมันมาแต่กลับไปไม่ได้!”


“พื้นที่ของเรา เหอะๆ พูดถูกแล้ว ที่นี่เป็นประเทศจีน ฉันเป็นคนจีน…”


โก่วซินเจียหัวเราะแบบเหงาหงอย โบกไม้โบกมือกล่าวว่า “เยี่ยเทียน เรื่องตระกูลคิตะมิยะนั้นเอาไว้ก่อน พวกมันทำการอะไรระมัดระวัง ไม่มาแก้แค้นง่ายๆ หรอก แต่ฉันตอนนี้รู้สึกจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ลองทำนายดูแล้ว เหมือนกับว่าทองคำพวกนั้นจะมีปัญหา”


“ทองคำของพม่า” เยี่ยเทียนได้ยินก็ตกใจ “ศิษย์พี่ พี่ไม่ได้บอกเองเหรอว่าสถานที่ซ่อนทองนั้นลึกลับซับซ้อนมาก น่าจะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอกมั้ง?”


“ฉันก็ไม่รู้ เรื่องเกี่ยวกับตัวเอง การทำนายนั้นคลุมเครือเป็นอย่างมาก อีกอย่างเรื่องนี้ก็หลายทศวรรษมาแล้ว ภูมิทัศน์ของที่นั่นไม่แน่ว่าอาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ทองคำนั่นอาจจะถูกคนอื่นค้นพบก่อนก็ไม่แน่…”


หลายวันมานี้โก่วซินเจียพยายามหันเหความสนใจจากเรื่องของทองคำนั้น วันนี้เยี่ยเทียนพูดถึงตระกูลคิตะมิยะขึ้นมา ทำให้โก่วซินเจียรู้สึกสัมผัสได้มากกว่าเดิม


เพราะในจุดที่ตระกูลคิตะมิยะลอบฆ่าเขานั้น ห่างจากที่ซ่อนทองไปไม่ถึงสิบกิโลเมตร ซึ่งไม่ไกลเลย หากครึ่งทศวรรษที่ผ่านมาตระกูลคิตะมิยะไม่ละทิ้งการตามหาล่ะก็ อาจจะพบเจอสถานที่เก็บซ่อนทองคำเอาไว้ก็ได้


โก่วซินเจียเงยหน้าขึ้นหยิบเอาเหล้าที่เยี่ยเทียนส่งให้ครึ่งขวดกระดกพรวด มองไปทางเยี่ยเทียนกล่าวว่า “ศิษย์น้องเล็ก ทองคำนั้นเดิมทีก็เป็นคนญี่ปุ่นไปแย่งชิงเอามาจากเอเชียตะวันออก จะให้พวกนั้นเอาไปไม่ได้ ศิษย์พี่คนนี้ไม่มีห่วงอะไร ทองคำนี้เธอก็เอาไปเถอะ!”


“ให้ผมไปเอา?” เยี่ยเทียนได้ฟังก็ใจเต้นขึ้นมาอยู่บ้าง แต่ก็ถอนหายใจตามมา และกล่าวว่า “ศิษย์พี่ นั่นมันทองคำยี่สิบตัน มันหนักกว่าสองพันกิโลกรัม ศิษย์พี่จะให้ผมไปเอายังไง? ถึงแม้จะหาเจอ แต่ผมก็ขนกลับมาไม่ได้อยู่ดี!”


โก่วซินเจียส่ายหัว กล่าวว่า “เรื่องนี้เธอไม่ต้องกังวล ขอเพียงแต่เธอสามารถย้ายทองออกมาจากที่ซ่อนได้ แน่นอนว่าจะมีคนมารับเธอ ถึงตอนนั้นพวกเขาจะช่วยเธอขนทองกลับประเทศ…”


“ซ่งเฮ่าเทียน?” ตาของเยี่ยเทียนหรี่ลง คนที่สามารถทำได้เหมือนกับที่โก่วซินเจียพูด ในโลกนี้เกรงว่าจะมีแต่ซ่งเฮ่าเทียนเท่านั้น


“เจ้าเด็กนี่ อย่ากัดไม่ยอมปล่อยได้ไหม?”


โก่วซินเจียชี้ไปที่เยี่ยเทียนและดุว่า “น้องเหวินซวนก็เป็นคนอายุแปดสิบกว่าปีแล้ว เขาได้ยอมลงมาขอขมาเธอแล้ว เธอจะเอาอะไรอีก? หรือจะต้องมาคุกเข่าอ้อนวอนเธอ?


เยี่ยเทียน เธอจะต้องหัดปล่อยวางและให้อภัย ถือว่าเห็นแก่หน้าศิษย์พี่ ปล่อยความบาดหมางใจกับตระกูลซ่งไปได้ไหม?!”


ถึงแม้จะรู้จักและอยู่กับเยี่ยเทียได้ไม่นาน แต่โก่วซินเจียรู้ว่า ศิษย์น้องเล็กของตัวเองเป็นคนที่ใครดีมาดีตอบ ใครร้ายมาร้ายตอบ ถึงแม้เขาจะแสดงออกมาว่าจะคืนดีกับตระกูลซ่ง แต่ในใจยังคงไม่หายไปอยู่ดี


เยี่ยเทียนพลันมองไปที่โก่วซินเจีย กล่าวว่า “ศิษย์พี่ บอกซ่งฮ่าวเทียนเรื่องนี้เหรอ เขาไม่ตื่นเต้นเหรอครับ?”


“เขาไม่รู้เรื่องทองคำ .ฉันแค่บอกว่ามีเรื่องเงินทองจะมอบให้กับเธอ ถึงตอนนั้นจึงต้องการความช่วยเหลือจากเขา”


โก่วซินเจียอธิบายประโยคเดียว ตามด้วยการกล่าวหัวเราะแบบแกนๆ “ศิษย์น้องเล็ก ซ่งฮ่าวเทียนจะดีจะร้ายยังไงก็เคยเป็นเศรษฐีพันล้านมาก่อน เขาไม่สนใจทองคำนั้นหรอก ฉันว่า  เธอควรจะนึกถึงตาของเธอในแง่ดีบ้างไม่ได้เลยหรือ?”


“ตกลง พวกเราไม่คุยกันเรื่องนี้แล้ว”


เยี่ยเทียนไม่อยากพูดถึงเรื่องตระกูลซ่งอีก โบกมือกล่าวว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ การขนย้ายทองคำยี่สิบตันนี้ อย่างน้อยต้องการคนสิบกว่าคน เวลาน้อยแค่นี้ผมจะไปหาคนที่เชื่อถือได้มาจากไหนล่ะ?”


เนื่องจากเรื่องที่พ่อถูกคนอื่นหลอก เยี่ยเทียนตอนนี้รู้สึกอายมาก ตอนกลางคืนก็ยังตบหน้าตัวเองขนานใหญ่ที่ไม่รับหุ้นที่จู้เหวยเฟิงมอบให้ ทำให้เงินเขาขัดสนเงินทอง และไม่พอให้เขายาไส้ไปอีกสักพัก


……


ตอนที่ 477 ว่าจ้าง (1)

โดย

Ink Stone_Fantasy

“เต๋อหวาจึกับเซี่ยวทียนเชื่อถือได้ แล้วก็ยังมีบอดี้การ์ดสองสามคนนั่นของเธออีก ที่ยังพอใช้ได้ ส่วนคนอื่นอาจจะต้องให้เธอคิดหาวิธีเอาเองนะ”


โก่วซินเจียหยิบกระดาษถ่ายเอกสารออกมา 16 แผ่น ส่งให้กับเยี่ยเทียนกล่าวว่า “แผนที่ซ่อนทองคำฉันวาดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เธอจำได้แล้วก็เผาทิ้งซะ อีกอย่างตอนที่ไปพม่า หาเหตุผลดีๆ หน่อย ไม่งั้นฉันกลัวว่าเธอจะถูกคนเพ่งเล็ง”


เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ โก่วซินเจียไม่อยากให้เป็นเพราะเรื่องทองคำ ทำให้เยี่ยเทียนเกิดเรื่องร้ายๆ ขึ้นมา ต่อให้ความสามารถส่วนบุคคลจะสูง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ระดับประเทศหรือแข็งแกร่งกว่านั้น ยังคงไม่พอ


ตอนนั้นโก่วซินเจียก็ใช่ว่าจะไม่แข็งแกร่ง และลูกน้องที่เขานำทีมไปนั้นก็เป็นคนที่มีชื่อเสียงในประเทศทั้งนั้น แต่ท่ามกลางการโอบล้อมของตระกูลคิตะมิยะ จึงมีกำลังอ่อนแอสู้ไม่ได้ กระทั่งโก่วซินเจียเองก็ยังเกือบจะทิ้งชีวิตไว้ที่ประเทศพม่า


“ศิษย์พี่ พี่ว่าพวกมาราไกย์พวกนั้นเชื่อถือได้เหรอ”


เยี่ยเทียนรับแผนที่ไปแต่ไม่ได้ตรวจดู พลางมองไปที่โก่วซินเจียอย่างประหลาดใจ โบราณว่าไว้ไม่ใช่พวกเดียวกันยากที่จะเดินทางเดียวกัน เยี่ยเทียนไม่เชื่อว่าพวกมาราไกย์พอเห็นทองคำจำนวนมหาศาลนั้นแล้ว จะไม่คิดคดทรยศ?


โก่วซินเจียส่ายหัว กล่าวว่า  “พวกเขาเป็นทหารรับจ้าง การปฏิบัติตามสัญญานั้นค่อนข้างเข้มงวด ขอแค่เธอให้เงินที่เพียงพอ พวกเขาจะไม่ทรยศหรอก”


ในตอนปีสามศูนย์สี่ศูนย์นั้น โก่วซินเจียก็เคยสมาคมกับคนอเมริกันอยู่มาก พวกทหารอเมริกันที่ปลดประจำการหลังจากได้ผู้หญิงและเงินจนเป็นที่พอใจแล้ว ก็ช่วยประเทศจีนอย่างถวายชีวิต ทหารเสือบินของทีมเสือบินก็เป็นเช่นนั้น


“ได้ ผมจะลองไปพูดกับพวกเขาดู ส่วนคนอื่นที่เหลือสามารถไปหาได้ที่ชิวเหวินตง ไม่เป็นปัญหา”


ได้ฟังโก่วซินเจียพูดแบบนี้แล้ว เยี่ยเทียนกลับคิดว่ามีโอกาสเป็นไปได้เพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน ในฐานะสายเลือดสืบทอดของสำนักเสื้อป่าน การดูคนของเยี่ยเทียนนั้น แน่นอนว่าไม่ต้องพูดถึง หากว่าเป็นพวกชั่วร้าย เขาก็คงไม่เอาเข้ามาร่วมในทีมหาสมบัติด้วยแน่


“ตกลง ดูแผนที่ให้หมดแล้วทำลายซะ รีบพักผ่อน พยายามไปภายในสองสามวันนี้นะ”


ทองคำจำนวนนี้เหมือนกับก้อนหินใหญ่ที่กดไว้ในใจของโก่วซินเจียมามากกว่าครึ่งศตวรรษ หลังจากให้แผนที่ไปแล้ว สีหน้าของโก่วซินเจียก็มีแววผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง เขาเชื่อว่าศิษย์น้องเล็กจะต้องจัดการได้เรียบร้อย


“ครับ ศิษย์พี่ใหญ่ เมื่อผมหาคนได้แล้วก็จะออกเดินทางครับ”


เยี่ยเทียนพยักหน้า แล้วนำแผนที่ที่วาดจากมือไปส่องกับแสงไฟในลานบ้าน โก่วซินเจียวาดภาพได้ละเอียดมาก โดยเฉพาะบริเวณที่เก็บซ่อนทองไว้ แม้แต่ต้นไม้ใบหญ้าโดยรอบก็ยังวาดออกมา


เมื่อถือแผนที่ดูได้ประมาณห้านาที เยี่ยเทียนจึงหลับตาทั้งสองข้าง หลังจากรอให้ในหัวของเขาปรากฏภาพแผนที่แล้ว สองมือของเยี่ยเทียนจึงขยำเข้าด้วยกัน เกิดการเสียดสีกันของพลังหยินหยาง แล้วกระดาษสีขาวนั้นก็เกิดไฟลุกขึ้นมา


เมื่อกล่าวราตรีสวัสดิ์ศิษย์พี่ใหญ่แล้ว ทั้งสองคนก็ไปพักผ่อน


พอนั่งโคจรลมปราณพักผ่อนอยู่หลายชั่วโมง ฟ้าก็สางแล้ว คนที่พักอยู่ที่เรือนสี่ประสานไม่กี่คนนี้ล้วนแต่ไม่ใช่คนธรรมดา และดูเหมือนจะพร้อมใจกันออกมาจับจองพื้นที่ในลานฝึกซ้อมตอนเช้าพร้อมกัน เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อวาน สำหรับเยี่ยเทียนและหูหงเต๋อแล้ว ไม่สามารถทำให้อารมณ์ของพวกเขาหวั่นไหวได้


“เหล่าหม่า มานี่!” ประมาณเจ็ดโมงกว่า เยี่ยเทียนเปิดประตูเรือนสี่ประสาน มองไปแวบเดียวก็เห็นมาราไกย์เดินวนไปวนมาอยู่หน้าปากทาง ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา


เหมือนกับที่โก่วซินเจียบอกทุกประการ พวกทหารรับจ้างพวกนี้ล้วนแล้วแต่เคร่งครัดในหน้าที่ นอกจากตัวเองบอกชัดเจนแล้วว่าไม่ให้พวกเขาตามมา แม้แต่ตอนกลางคืนทั้งสี่คนก็ผลัดกันเฝ้าเรือนแห่งนี้ของเขา กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้น


“คุณเยี่ย คุณจะไปข้างนอกใช่ไหมครับ?”


พรสวรรค์ทางภาษาของมาราไกย์นั้นไม่เลว อาศัยอยู่ที่ปักกิ่งแค่ช่วงหนึ่ง กลับสามารถฟังพูดภาษาจีนง่ายๆ ได้บ้าง แถมยังแฝงสำเนียงปักกิ่งอีกด้วย


เยี่ยเทียนหัวเราะแล้วตบไหล่มาราไกย์ กล่าวว่า “ไปกัน ฉันจะพานายไปเลี้ยงอาหารเช้าของปักกิ่ง”


“โอ้ ขอบคุณครับบอส!” ตามเยี่ยเทียนมาหลายเดือนแล้ว มาราไกย์ไหนเลยจะเคยได้อภิสิทธิ์แบบนี้ พลันรู้สึกดีใจจนทำอะไรไม่ถูก รีบตามหลังเยี่ยเทียนไปทันที


ที่หน้าปากซอยมีร้านขายอาหารเช้า เยี่ยเทียนสั่งปาท่องโก๋ ซาลาเปาและน้ำเต้าหู้ เรียกให้มาราไกย์นั่งลง ชาวต่างชาติอาศัยที่ปักกิ่งมีเยอะ คนที่นั่งทานอาหารเช้าโดยรอบกลับไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร


“เหล่าหม่า สัญญาของพวกนายจะหมดลงเมื่อไร?” ขณะที่เอาปาท่องโก๋จุ่มน้ำเต้าหู้แล้วกัดคำหนึ่ง เยี่ยเทียนจึงมองไปที่มาราไกย์ แต่ตอนนี้ได้เปลี่ยนเป็นพูดภาษาอังกฤษแล้ว


“บอส ยังเหลืออีกแปดเดือนครับ” มาราไกย์มองเยี่ยเทียนหนึ่งที และพูดอย่างลังเล “บอส หวังว่าในวันข้างหน้าคุณจะให้พวกเราได้ติดตามคุณนะครับ ไม่อย่างนั้น ผมก็ยากที่จะอธิบายกับคุณผู้หญิงซ่ง”


ในฐานะที่เป็นทหารรับจ้างที่ดีที่สุดในโลกทีมหนึ่ง การปฏิบัติหน้าที่ในครั้งนี้กลับรู้สึกอัดอั้นอย่างไม่ต้องสงสัย


ไม่ใช่เพราะภารกิจนั้นยาก ตรงกันข้ามภารกิจในครั้งนี้กลับง่ายเกินไป ง่ายจนทำให้พวกเขาเหมือนคนไม่มีงานทำนั่งมองประตูใหญ่อยู่ทุกวัน สำหรับมาราไกย์และคนอื่นที่มักจะขยับเฉียดเข้าไปกับเขตแดนความตาย รู้สึกเป็นความทรมานที่ยากจะทนได้รูปแบบหนึ่ง


และความแข็งแกร่งของเยี่ยเทียน ก็ทำให้พวกเขายากที่จะพูดออกมา หากว่าไม่ใช่เพราะเงินสามสิบล้านต่อปีที่จะทำให้ชีวิตปั้นปลายสุขสบายแล้ว เชื่อได้ว่ามาราไกย์จะต้องขอยกเลิกสัญญาว่าจ้างนี้กลางคันแน่นอน


หลังจากฟังมาราไกย์บ่นรอบหนึ่งแล้ว เยี่ยเทียนก็หยิบซาลาเปาที่มีน้ำซุปส่งเข้าปาก กล่าวอย่างงึมงำว่า “เหล่าหม่า ช่วงนี้ผมต้องออกเดินทางไกลสักรอบหนึ่ง”


“เดินทางไกล?” มาราไกย์ได้ยินจึงทำสีหน้าขมขื่น “บอส ครั้งนี้จะต้องให้พวกเราติดตามไปด้วยนะครับ ไม่อย่างนั้น ภารกิจของพวกเราไม่สามารถทำได้จริงๆ”


ก่อนหน้านั้นที่เยี่ยเทียนไปยังภูเขาฉางไป๋ซาน เขาก็สั่งให้มาราไกย์และคนอื่นรออยู่ที่ปักกิ่ง แต่คิดไม่ถึงว่าซ่งเวย หลันในตอนนั้นเองจะกลับมาที่ปักกิ่ง หลังจากได้ทราบว่ามาราไกย์ไม่ได้ตามติดเยี่ยเทียนไป จึงสั่งให้คนมาดุว่าพวกเขาไปหนึ่งรอบ ทำให้เหล่าหม่ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก


มองเห็นมาราไกย์ทำท่าเหมือนอาหารไม่ย่อยแบบนั้น เยี่ยเทียนก็อดหัวเราะไม่ได้ “เหล่าหม่า ฉันจะบอกนายให้นะ ฉันไปครั้งนี้ค่อนข้างอันตราย นายแน่ใจว่าจะตามไปใช่ไหม?”


“แน่นอน บอส ภารกิจยิ่งอันตรายมันถึงจะยิ่งมีความท้าทาย!”


หลังจากได้ฟังคำของเยี่ยเทียนแล้ว มาราไกย์ก็ตาวาว “บอส คุณสามารถไปลองหาข่าวของพวกทหารรับจ้างข้ามชาติดูได้ อัตราการทำภารกิจสำเร็จที่อิรักของผมในปีนั้นทั้งหมดคือหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ และในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งนี้จะมีอะไรที่ยากเกินกว่าพวกเราจะรับมือได้?”


เหมือนจะนึกถึงฝีมือของเยี่ยเทียนได้ มาราไกย์จึงแค่นหัวเราะและกล่าวต่อว่า “แน่นอนว่า หากเทียบกับบอสแล้ว พวกเราก็ยังห่างชั้นอยู่นิดหน่อย!”


เยี่ยเทียนพยักหน้า กล่าวว่า “ดี ฉันเชื่อในความมีจริยธรรมในอาชีพของพวกนาย แต่ว่านะเหล่าหม่า ฉันจะต้องเซ็นสัญญากับพวกนายใหม่ หากว่าครั้งนี้พวกนายติดตามฉันไปแล้วสามารถทำภารกิจสำเร็จ เงินสามสิบล้านดอลล่าร์สหรัฐไม่ต้องรอให้ครบปี หลังจากลับมาฉันจ่ายให้พวกนายเลย!”


เมื่อถูกพวกมาราไกย์พวกนี้จ้องทั้งวัน เยี่ยเทียนก็รู้สึกรำคาญอยู่บ้าง ถึงอย่างไรแม่ก็กลับประเทศเดือนหน้า ถึงตอนนั้นค่อยว่ากัน และเชื่อว่าแม่จะต้องยอมจ่ายเงินนี้ก่อนแน่นอน


“บอส.. นี่..จะออกไปทำอะไรกันแน่ครับ ถ้าหากจะทำสงคราม อาวุธในมือของพวกเราไม่โอเคนะครับ”


เยี่ยเทียนทำท่าเคร่งขรึมขึ้นมา ทำให้ในใจของมาราไกย์พลันเต้นตึกตัก เพราะการที่ทำให้เยี่ยเทียนที่สามารถฆ่าทหารรับจ้างได้สิบกว่าคนที่โหดเหี้ยมรู้สึกไม่สบายใจและอันตรายได้นั้น เรื่องนั้นจะต้องไม่ใช่เรื่องเล็กแน่นอน


ในฐานะที่เป็นทหารรับจ้างแบบมาราไกย์ จะต้องทำความเข้าใจกับความยากของภารกิจก่อนแล้วจึงจะตัดสินใจอีกครั้ง แน่นอนว่า เหมือนกับที่โก่วซินเจียกล่าว หากมาราไกย์ยอมรับในภารกิจแล้ว ทั้งสองฝ่ายตกลงทำสัญญา พวกเขาก็จะทุ่มสุดตัวเหมือนกัน


“ไปประเทศหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไปหาสมบัติจำนวนหนึ่งที่ซ่อนอยู่ พวกนายแค่คอยช่วยเหลือฉัน หรือบางทีอาจจะเกิดการสู้รบบ้าง หรือบางทีอาจจะไร้อุปสรรค ระยะเวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์ถึงครึ่งเดือนโดยประมาณ พวกนายสามารถเก็บไปคิดให้ดีก่อน!”


สาเหตุที่บอกว่าทองคำกลายเป็นสมบัตินั้น เพราะเยี่ยเทียนไม่อยากให้ข้อมูลหลุดรอดออกไป แต่ก็จำเป็นให้มาราไกย์ได้รู้ว่าพวกเขาจะไปทำอะไร เพื่อที่หลังจากเห็นทองคำแล้วคนพวกนั้นจะไม่เกิดความคิดทรยศ


“หาสมบัติเหรอ”


สีหน้ามาราไกย์ปรากฏแววตื่นเต้นออกมา เสียงที่พูดนั้นเหมือนควบคุมตัวเองอยู่บ้าง ทำให้คนที่กินอาหารเช้ารอบๆ มองจ้องมากันเป็นทิวแถว “โอ้ ขอโทษครับ บอส ผมตื่นเต้นเกินไป ภารกิจนี้พวกเราตกลงรับครับ”


ราวกับกลัวว่าเยี่ยเทียนจะไม่ยอมตกลง มาราไกย์กล่าวต่อไปอย่างรีบร้อนว่า “คุณวางใจได้ พวกเรารับแต่เงินที่ควรได้ จะไม่ไปแย่งชิงสมบัติของคุณที่ซ่อนไว้โดยเด็ดขาด!”


ในประเทศแถบตะวันตกนั้นมีข่าวลือมากมายเกี่ยวกับการลักขโมยเงินทองและปล้นสมบัติที่ซ่อนเอาไว้ คนตะวันตกหลายคนตั้งแต่เด็กก็มีความฝันแบบนี้ มาราไกย์และคนอื่นถึงแม้จะรวมกลุ่มกันเป็นทหารรับจ้าง ประการแรกก็เพื่อหาเงิน ประการต่อมาคือชื่นชอบในการใช้ชีวิตบนความตื่นเต้น การค้นหาสมบัติ แน่นอนว่าต้องทำให้พวกเขายิ่งรู้สึกตื่นเต้นเข้าไปใหญ่


“ดี สองสามวันนี้ฉันจะร่างสัญญาให้กับพวกนาย ไม่ว่าครั้งนี้ที่ออกไปจะค้นหาสมบัติพบไหมนั้น เงินสามสิบล้านนั่นก็จะจ่ายให้พวกนาย…”


เยี่ยเทียนพยักหน้า แล้วซื้ออาหารเช้าสำหรับสองสามคนเพิ่มอีก ลุกขึ้นเดินไปยังเรือนสี่ประสาน ในตอนที่จะเดินถึงประตู เยี่ยเทียนกล่าวกับมาราไกย์ที่ตามอยู่ด้านหลังว่า ”หลังจากออกนอกประเทศ พวกนายจะต้องพกอาวุธเพิ่มขึ้น นี่คงไม่เป็นปัญหาใช่ไหม?”


เมื่อห้าสิบปีก่อน คนของตระกูลคิตะมิยะเคยใช้อาวุธสมัยใหม่ลอบทำร้ายโก่วเจียซินและคนอื่นๆ พวกเขาเดิมทีก็ไม่มีจิตใจของนักสู้อะไร แต่ออกตามหาทองคำในครั้งนี้จะต้องพบเจอกับอะไรบ้าง เยี่ยเทียนก็ยังไม่รู้ ดังนั้นหากเรื่องยังไม่สำเร็จจึงต้องเตรียมการไว้ก่อน


“บอส คุณวางใจได้ อาวุธของพวกเราสี่คนนั้นเกื้อกูลกันเป็นอย่างมาก สามารถสู้รบกับกองทัพเล็กๆ ได้ครับ!”


เมื่อกล่าวถึงอาวุธสมัยใหม่ สีหน้าของมาราไกย์ก็ปรากฏแววภาคภูมิใจทันที พวกเขาล้วนแล้วแต่ปลดประจำการจากกองรบพิเศษของอเมริกาและออกมาด้วยเหตุผลต่างๆ นานา สำหรับการรบแบบสมัยใหม่นั้นจึงมีความเข้าใจมากกว่าเยี่ยเทียนมาก


สำหรับที่มาของอาวุธ มาราไกย์มีช่องทางของพวกเขาเอง ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่เปิดให้ซื้อขายอาวุธปืนอย่างเสรี อาวุธประจำกายของพวกเขา ที่พกไว้อาจจะดีกว่าของกองทัพด้วยซ้ำไป


“ได้ พวกนายไปเตรียมตัวเถอะ สองสามวันนี้ก็ไม่ต้องตามฉันแล้ว” เยี่ยเทียนคิดสักครู่ กล่าวว่า “จะออกเดินทางในอีกห้าวัน จุดหมายคือย่างกุ้งประเทศพม่า พวกนายสามารถขนส่งอาวุธไปก่อนได้!”


……

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)