ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา 472-478

 บทที่ 472 มื้อฆ่าหมู

โดย

Ink Stone_Fantasy

วินนี่ใส่หมวกงอบไว้บนหัวฉินสือโอว แล้วก็ถ่ายรูปให้เขาทุกมุม


ฉินสือโอวเก็บเบ็ดขึ้นมามองดูรูปถ่าย พยักหน้าแล้วพูดพร้อมหัวเราะว่า “ไม่เลว นี่สิถึงจะได้บรรยากาศ ‘ตกปลาเดียวดายในแม่น้ำเย็นเยือกหิมะโปรย’ คุณส่งมาในมือถือผมนะ ผมจะเอาไปตั้งเป็นภาพพื้นหลัง”


ตกปลาริมแม่น้ำตลอดช่วงบ่ายเก็บเกี่ยวได้ไม่น้อยเลย ตกปลาลิ่นตัวใหญ่ขนาดยี่สิบกว่าเซนติเมตรได้เจ็ดถึงแปดตัว ตกปลาเพิร์ชได้สิบกว่าตัว นอกเหนือจากนี้ยังตกได้ปลาคาร์ฟ ปลาแมนดารินกับปลาดุกด้วย


แต่ที่ทำให้ฉินสือโอวประหลาดใจก็คือ ทางฝั่งเออร์บักนั้นตกได้ปลาทรายแดงสองตัว เป็นปลาดีที่หาเจอได้น้อยมากในช่วงหลายปีมานี้


เออร์บักไม่รู้จักปลาชนิดนี้ ตอนตกได้ยังคิดว่าปลาตัวเล็กไปกะจะโยนทิ้งไปเสียด้วยซ้ำ


ฉินสือโอวอธิบายให้เขาฟังว่า “ปลาชนิดนี้ปกติตัวจะไม่ใหญ่มาก ปลาโตเต็มตัวแล้วก็ยังมีขนาดไม่ถึงสิบห้าเซนติเมตร ปลาสองตัวนี้ถือว่าเป็นปลาโตเต็มตัวแล้วล่ะ”


เออร์บักเข้าใจแจ่มแจ้ง ที่เขาไม่เคยเห็นปลาแบบนี้มาก่อน เพราะที่แคนาดาไม่มี นี่คือปลาน้ำจืดที่เป็นเอกลักษณ์ของเมืองจีน


ในแม่น้ำไป๋หลงไม่ค่อยมีปลาตัวใหญ่นัก ทั่วทั้งประเทศจีนตอนเหนือก็มีแต่ทางตะวันออกเฉียงเหนือเท่านั้นที่มีปลาตัวใหญ่ นอกจากนั้นก็มีบ้างแถบน่านน้ำแยงซีกับฮวงโห ซึ่งจะไม่เหมือนกับอเมริกาเหนือ ที่แคนาดานั้นไม่ว่าจะในทะเลหรือในแม่น้ำ ล้วนแต่มีปลาตัวใหญ่เยอะกว่าทั้งนั้น


ครั้งนี้ปลาตัวเล็กที่สุดที่ฉินสือโอวตกได้คือปลาดุกหัวเหลือง เขาเองก็ไม่รู้ว่าชื่อทางวิทยาศาสตร์ของปลาชนิดนี้เรียกว่าอะไร ที่แคนาดาก็ไม่มี ดังนั้นจึงไม่เคยหาข้อมูลมาก่อน รู้แต่เพียงว่าหากนำปลาชนิดนี้ไปราดซอสแล้วนั้นรสชาติอร่อยมาก


เมื่อถือปลาเต็มตะกร้าในมือ ฉินสือโอวก็กลับบ้านอย่างมีความสุข พอกลับถึงบ้านเห็นต้าเป่ากับพาวลิสกำลังแกล้งแหย่ฉงต้าอยู่ ดูท่าพวกเขาคงกลายเป็นเพื่อนกันไปแล้ว


ต้าเป่าเห็นฉินสือโอวกลับมา พูดว่า “อาครับ พ่อผมให้ผมมาบอกอาว่า เย็นวันนี้ที่บ้านผมจะฆ่าหมู ให้อากับคุณปู่ไปกินข้าวเย็นด้วยกันที่บ้านครับ”


ฉินสือโอวบอกว่าได้เลยไม่มีปัญหา ในหมู่บ้านนี้บ้านเขามีศักดิ์ค่อนข้างอาวุโสกว่า เด็กส่วนมากที่อายุต่ำกว่ายี่สิบปีต่างก็เรียกพ่อเขาว่าคุณปู่ทั้งนั้น เมื่อก่อนฉินสือโอวชอบการไปไหว้ปีใหม่ในวันที่หนึ่งที่สุด เพราะตลอดทางมีแต่คนเรียกตัวเองว่าคุณอาไม่ก็คุณปู่ ทำให้เขารู้สึกดีมาก


เมื่อเห็นฉินสือโอวเอาปลากลับมาด้วยเยอะแยะ พ่อของฉินสือโอวก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย พูดว่า “ตอนนี้ในแม่น้ำมีปลาเยอะขนาดนี้แล้วเหรอ? สองวันก่อนฉันเห็นตาแก่คนหนึ่งไปหว่านแหในแม่น้ำมา ก็ไม่เห็นว่าจะตกปลาได้สักเท่าไรเลย”


ฉินสือโอวหัวเราะแล้วพูดว่า “เรื่องแบบนี้อยู่ที่ฝีมือ พ่อ ฝีมือการตกปลาหาปลาของลูกชายพ่อตอนนี้เนี่ยไม่มีใครสู้ได้หรอก”


 “แล้วเรื่องมีลูกล่ะ?”


 “อ้อ ว่าไปแล้วแม่น้ำไป๋หลงของเราในตอนนี้ดูแลได้ไม่เลวเลยนะ ผมว่าในแม่น้ำต้องมีปลามากกว่าเมื่อก่อนแน่เลย” ฉินสือโอวรีบเปลี่ยนเรื่องคุย


พ่อของฉินสือโอวถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ส่ายหัวไปมาแล้วพูดมาประโยคหนึ่งว่างานหลักล่ะไม่ยอมทำ


ช่วงไม่กี่วันที่เพิ่งถึงบ้านฉินสือโอวยุ่งอยู่ตลอดเวลา เพราะต้องไปบ้านญาติหลายคน ไหนจะต้องไปร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์ต่างๆ ของพวกเพื่อนนักเรียนอีก เรียกได้ว่ายุ่งจนเท้าแทบไม่ติดพื้นเลย


หลังกินมื้อเที่ยงเสร็จ เมื่อเห็นว่าอากาศเริ่มดีหิมะไม่ตกแล้ว ฉินสือโอวจึงขับรถพาพ่อแม่กับวินนี่ไปบ้านคุณยายและอยู่ที่นั่นเป็นเวลาครึ่งค่อนบ่าย


คุณยายของฉินสือโอวอายุใกล้จะเก้าสิบแล้ว ผมขาวโพลนเต็มหัว สายตาก็ฝ้าฟาง ได้พวกคุณลุงทั้งหลายที่คอยผลัดเปลี่ยนกันมาดูแลท่าน ดังนั้นการไปหาคราวนี้เขาจึงนำของขวัญไปให้พวกคุณลุงเยอะแยะมากมาย


เป็นเวลาครึ่งปีแล้วที่ไม่ได้เจอฉินสือโอว คุณยายลืมไปแล้วว่าเขาเป็นใคร แม่ของฉินสือโอวยิ้มแล้วพูดอย่างจำใจว่า “คุณยายของแกน่ะความจำไม่ค่อยดีแล้ว บางครั้งแม้แต่แม่กับพ่อท่านก็ยังลืมเลย”


ฉินสือโอววางปลิงทะเล โสมอเมริกา อาหารทะเลแห้งทั้งหลายแหล่กับขนมขบเคี้ยวลง ชี้ไปที่วินนี่แล้วแนะนำให้คุณยายฟังว่านี่น่ะคือหลานสะใภ้ที่เขาพามาให้กับท่าน คุณยายไม่ได้ถึงกับไม่รับรู้อะไรเลย เพราะท่านดึงมือวินนี่มาแล้วยังพูดอีกว่าเป็นเด็กที่ดีจริงๆ


หลังจากอยู่คุยกับคุณยายอย่างทุลักทุเลถึงสองชั่วโมงกว่าๆ ฉินสือโอวถึงกับเสียงแหบไปเลย หูของคุณยายนั้นอาการหนักมาก ฟังที่เขาพูดได้ไม่ค่อยชัด เขาจึงจำใจต้องพูดโดยตะโกนออกไป


วินนี่ที่ตอนแรกยังไม่รู้เรื่องนี้ ยังคิดว่าเขาไปทะเลาะกับคนแก่เสียด้วยซ้ำ…


หลังกลับจากบ้านคุณยายแล้ว ฉินสือโอวก็ไปตระเวนเยี่ยมบ้านคุณป้ากับคุณลุงต่อ แต่ละบ้านต่างก็ได้รับของขวัญกองโต ของขวัญที่ให้นอกจากบางชิ้นที่เป็นของขึ้นชื่อของแคนาดาแล้ว ส่วนมากก็เป็นของที่เพิ่งซื้อจากซูเปอร์มาร์เก็ตเสียมากกว่า


เมื่อถึงตอนพลบค่ำ ฉินสือโอวขับรถกลับถึงบ้านก่อน จึงค่อยไปกินข้าวที่บ้านเหวินซูกับพ่อ


เมื่อเห็นฉินสือโอวมาแล้ว ต้าเป่ารีบเสนอหน้ามามองซ้ายขวา เมื่อมองไม่เห็นเชอร์ลี่ย์ก็แสดงสีหน้าผิดหวังออกมา


ทำเอาฉินสือโอวแอบยิ้มไม่หยุดเลย วัยรุ่นก็อย่างนี้แหละรักคนง่าย ดูท่าแล้วต้าเป่าคงคิดอะไรกับสาวตาใสแบ๊วคนนั้นแล้วแน่ๆ


เมื่อวานที่เกิดเรื่องกันขึ้นมา ก็เป็นเพราะตอนนั้นต้าเป่าเกิดตะลึงกับใบหน้าสะสวยของสาวตาแบ๊วขึ้นมาอยากดึงความสนใจจากเธอโดยการหาเรื่องเธอ แต่น่าเสียดายที่ดันไปเจอเข้ากับหู่จือกับเป้าจือที่ดุดันเกินปกติเข้า สุดท้ายจึงกลายเป็นว่าทำให้ตัวเองเสียหน้ายกใหญ่


แม้ว่าบ้านเกิดของฉินสือโอวจะมีธรรมเนียมฆ่าหมูวันปีใหม่ แต่ตอนนี้ธรรมเนียมก็จางหายไปมากแล้ว จึงไม่ค่อยมีคนเชิญคนในหมู่บ้านมากินมื้อหมูปีใหม่กัน อย่างมากก็เชิญแค่คณะกรรมการในหมู่บ้านหรือญาติๆ เท่านั้น ประชาชนคนธรรมดาอย่างคุณพ่อนั้น ปกติแล้วจะไม่ถูกเชิญ


ครั้งนี้ถูกเหวินซูเชิญอย่างเป็นทางการแบบนี้ พ่อของฉินสือโอวรู้ว่าตัวเองนั้นได้รับบารมีนี้ผ่านลูกชายตัวเอง คนในหมู่บ้านต่างก็รู้ว่าลูกชายเขานั้นไปเติบโตที่ต่างประเทศ กลับมาฉลองปีใหม่คราวนี้ยังพาสะใภ้ พาบอดี้การ์ดต่างชาติมาด้วยอีก ทำให้ได้รับความเคารพนับถือจากคนในหมู่บ้าน


อากาศหนาวขนาดนี้ แต่ในสวนกลับร้อนอบอ้าว เพราะมีหม้อใบใหญ่สองหม้อกำลังต้มอาหารอยู่ในสวน ใบหนึ่งที่กำลังเดือดอยู่นั้นกำลังต้มเนื้อหมูอยู่ ส่วนอีกใบนั้นก็ไว้ต้มเนื้อหมา


เมื่อเห็นฉินสือโอวพ่อลูกเดินถือของฝากพวกเหล้าบุหรี่มาด้วย เหวินซูที่มือเลอะน้ำมันก็รีบเชิญพวกเขาเข้าบ้าน ในบ้านมีคนนั่งอยู่กันเต็ม เป็นกลุ่มของพวกเลขาหมู่บ้าน ผู้อำนวยการหมู่บ้าน แล้วก็มีฉินเผิง เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของเหวินซู


ฉินสือโอวนั่งลงข้างฉินเผิง ฉินเผิงดึงตัวเขาแล้วพูดเสียงเบาว่า “ตอนนี้นายมีหน้ามีตาใหญ่แล้วนะ ขนาดฉันยังพลอยถูกเชิญมากินมื้อหมูปีใหม่กับนายด้วยเลย เมื่อก่อนตอนพี่ฉันฆ่าหมูปีใหม่ไม่เคยเรียกฉันมาก่อนเลย”


ฉินสือโอวหัวเราะแล้วพูดว่า “นายคิดว่าอาหารมื้อนี้อร่อยเหรอ? ฉันบอกนายเลยนะ สักพักถ้านายได้รู้ราคาอาหารมื้อนี้แล้วล่ะก็ นายต้องกินไม่ลงแน่ เชื่อไหม?”


ฉินเผิงถาม “หมายความว่าไง? ทำไมถึงมีค่าอาหารด้วย?”


ฉินสือโอวหัวเราะแล้วก็เปลี่ยนเรื่องคุย เลขากับผู้อำนวยการหมู่บ้านกำลังยื่นบุหรี่ให้พ่อของฉินสือโอวอย่างกระตือรือร้น ฉินสือโอวในตอนนี้มีสายตาเฉียบคมกว่าเมื่อก่อนมาก จะไม่รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของคนพวกนี้ได้อย่างไร?


เหวินซูที่เสร็จจากงานที่สวนแล้ว ก็สั่งลูกชายให้ช่วยยกโต๊ะแปดเซียนย้ายไปไว้ในห้องรับแขก


บนโต๊ะได้วางอาหารจำพวกกับแกล้มไว้บางส่วนแล้ว เช่นไข่เยี่ยวม้าราดพริกสด ถั่วลิสงคั่ว กับตีนไก่ดองพริก จากนั้นเขาก็ไปหยิบเหล้ามาอีกหลายขวด พ่อของฉินสือโอวมองแล้ว ก็หัวเราะแล้วพูดว่า “โห เหล้ากล่องเหล็กด้วยเหรอ”


เหวินซูหัวเราะ แล้วพูดว่า “เทียบไม่ได้กับเหล้านอกที่คุณเอามาให้ผมหรอกครับ พอถูไถได้น่ะ วันหลังมาที่นี่อีกครั้งนะครับ ถึงตอนนั้นมาชิมเหล้านอกที่เสี่ยวโอวเอามาฝากด้วยกัน”


บ้านเกิดของฉินสือโอวมีธรรมเนียมอยู่ก็คือหากมีแขกถือของขวัญมาให้ ไม่ควรเปิดของขวัญแล้วเอาของออกมาต้อนรับแขกทันที นั่นก็เพราะเมื่อก่อนทุกบ้านต่างก็ยากจน ของขวัญที่เอามาฝากก็ไม่ได้เป็นของดีอะไร ดังนั้นการแกะต่อหน้านั้นไม่ค่อยดี เป็นเหมือนการฉีกหน้าคนให้


ฉินสือโอวเองพกบุหรี่ด้วยจำนวนหนึ่ง เป็นยี่ห้อจากโรงงานบุหรี่ในควิเบกชื่อเบนสันโกลด์ ที่แคนาดาบุหรี่ราคาสูงมาก เพราะต้องมีการเสียภาษีเพิ่มต่างหาก อีกอย่างการจะซื้อก็ค่อนข้างยุ่งยาก ฉินสือโอวจึงเลือกมั่วๆ มาไม่กี่อย่าง


เพราะหากเทียบกับบุหรี่ของจีนแล้ว คุณภาพของบุหรี่แคนาดาก็ไม่เท่าไร ราคาสูงอีกต่างหาก อย่างเบนสันโกลด์หนึ่งซองมี 25 มวน ราคาคือ 78 ดอลลาร์แคนาดา คิดเป็นเงินหยวนก็เท่ากับว่าราคาเกือบสี่ร้อยหยวน พ่อของฉินสือโอวเคยสูบแล้ว ก็รู้สึกว่ารสชาติเฉยๆ มาก


บางครั้งฉินสือโอวยังเคยคิด ว่าประเทศจีนถูกต่างประเทศทำการทุ่มตลาดมาตลอด ทำไมถึงไม่ใช้สินค้าที่ขึ้นชื่อของตัวเองทำการทุ่มตลาดไปต่างประเทศบ้าง? อย่างเช่นบุหรี่ ถ้าหากบุหรี่ของจีนไปถึงแคนาดาแล้วล่ะก็ เห็นทีคงทำให้โรงงานบุหรี่ของฝรั่งร้องไห้ออกมาแน่


แน่นอนว่า ถ้าหากสามารถให้คุณลุงรัฐบาลไปเป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่แคนาดาได้ นั่นก็ต้องเป็นเรื่องที่สะใจแน่ๆ เช่นกัน…


บทที่ 473 โรงงานผลไม้กระป๋อง

โดย

Ink Stone_Fantasy

เมนูหลักของมื้อค่ำนี้คือเนื้อหมูกับเนื้อหมา ล้วนแล้วแต่เป็นเนื้อดีชิ้นใหญ่ๆ ทั้งนั้น ถูกตุ๋นในซุปร้อนๆ จนหอมฟุ้ง กินคู่กับกระเทียมสับกับดอกกุ้ยช่ายสับ กินเนื้อคำหนึ่งดื่มซุปคำหนึ่ง ร่างกายของคนก็อบอุ่นขึ้นมาได้เลยทันที


หมูปีใหม่นั้นล้วนแต่เป็นหมูบ้านของพื้นที่นี้ทั้งนั้น เหมือนกับหมูดำตัวเล็กที่ฉินสือโอวนำกลับไปที่เกาะแฟร์เวล เลี้ยงทีหนึ่งก็ใช้เวลาหนึ่งปี เพราะเป็นหมูที่เพิ่งซื้อมาตอนต้นปีพอดี เมื่อถึงปลายปีแล้วก็ฆ่าเสีย ก็เพื่อทำมาทำมื้อค่ำต้อนรับปีใหม่นี้มื้อเดียว


เลขาหมู่บ้านที่กำลังเคี้ยวเนื้อหมูอยู่ในปาก พูดด้วยเสียงทอดถอนใจออกมาว่า “ฉันเห็นจากในอินเทอร์เน็ตว่าวัยรุ่นสมัยนี้รู้สึกว่าการปฏิรูปเศรษฐกิจจีนนั้นไม่ดี ทำเอาใจหายน่าดู แต่ฉันรู้สึกว่านะ เด็กหนุ่มอย่างพวกเธอน่ะโชคดีแต่ดันไม่รู้ตัวมากกว่า ถ้าเป็นสมัยพวกฉันหนุ่มๆ ล่ะก็ ฆ่าหมูปีใหม่ทั้งที มีใครบ้างที่กินเนื้อทันทีโดยไม่เสียดายเลย? ความจริงขอแค่ได้กินเครื่องในสักสองชิ้นก็ถือว่าดีมากแล้ว”


หัวหน้าหมู่บ้านยกแก้วเหล้าขึ้นมาแล้วพูดว่า “พอแล้วน่าคุณเลขา เลิกคุยเรื่องพวกนี้เถอะ มาๆ ๆ พวกเราดื่มเหล้ากัน การที่ชีวิตมันดีขึ้นก็เป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอ?”


ภรรยาของเหวินซูยกอาหารมาเสิร์ฟไม่หยุด อาหารพวกนี้ไม่ใช่ของที่ทำเอง แต่เป็นอาหารที่เหวินซูโทรสั่งมาจากร้านอาหารในเขตอำเภอ ทั้งสะดวก และอร่อย


เมื่อได้เห็นอาหารพวกนี้ ฉินเผิงก็เริ่มคิดถึงคำพูดก่อนหน้านี้ของฉินสือโอวขึ้นมา ฆ่าหมูปีใหม่แต่ก็ยังสั่งอาหารมาจากในอำเภออีก นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านตระกูลฉินเป็นครั้งแรก ดูท่าพวกคณะกรรมการหมู่บ้านพวกนี้คงมีจุดประสงค์แอบแฝงอย่างแน่นอน


ฉินสือโอวไม่ได้สนใจเรื่องนี้ เขากำลังตั้งหน้าตั้งตากินข้าวดื่มเหล้าอยู่ พอมีคนพูดด้วยเขาก็แค่ขานรับสั้นๆ กลับไป


ตอนหลังได้มีการเสิร์ฟไส้กรอกเลือดที่ตัดออกเป็นท่อนๆ เขาใช้ตะเกียบหยิบมาสองชิ้น ชิ้นหนึ่งจิ้มกับกระเทียมบด อีกชิ้นจิ้มกับดอกกุ้ยช่ายบด กินจนปากมันเยิ้ม และชมไม่หยุดปากว่า “อืม ไส้กรอกเลือดบ้านพี่ผมนี่อร่อยจริงๆ ผมทำยังไงก็ทำรสชาติแบบนี้ออกมาไม่ได้”


ไส้กรอกเลือดพวกนี้ก็คือไส้กรอกที่ใส่เลือดหมูเข้าไป วัตถุดิบหลักคือเต้าหู้กับเลือดหมู นำมาบดผสมให้เข้ากัน ใส่หัวหอม ขิง กระเทียม ผงพริกไทยเสฉวน น้ำตาล ผงปรุงรสเข้าไป แล้วใช้หม้อใบใหญ่นึ่ง เมื่อสุกแล้วนำมากินตอนร้อนๆ รสชาติอร่อยกว่าเนื้อเสียอีก


เมื่อได้ยินเขาพูดชม เหวินซูปัดมือ แล้วพูดว่า “ถ้าเสี่ยวโอวชอบกิน งั้นก่อนกลับก็เอากลับไปด้วยหลายๆ ท่อนนะ ที่บ้านมีเยอะ อยากได้เท่าไรก็เอาไปได้เลย”


ฉินสือโอวหัวเราะ บอกว่าพี่ชายผมดีกับผมจริงๆ ทำเอาผมไม่รู้จะตอบแทนยังไงเลย


เหวินซูเอามือลูบจมูก เริ่มพูดเข้าประเด็น “เอ่อ เสี่ยวโอว ที่พี่ให้ไส้กรอกเลือดนาย พี่ไม่ได้ต้องการอะไรตอบแทนจริงๆ ของแบบนี้ไม่มีค่าอะไรหรอก แต่ว่านายนะ เหอๆ คือว่านายก็เห็นแล้ว ใช่ไหม เหอๆ เอ่อ…”


ฉินเผิงที่เห็นว่าการแสดงจะเริ่มขึ้นแล้ว จึงถือตะเกียบกับถ้วยแล้วเริ่มดูโชว์อย่างมีความสุข


เหวินซูรู้สึกเกรงใจที่จะพูด เลขาหมู่บ้านที่อายุพอๆ กับพ่อของฉินสือโอวจึงพูดแทนว่า “เสี่ยวโอว ถ้านับตามศักดิ์แล้วนายต้องเรียกฉันว่าคุณปู่ แต่ฉันในวันนี้ไม่ได้จะเอาเรื่องนี้มาสั่งการอะไร พวกเราทุกคนเห็นแล้วว่าในตอนนี้นายประสบความสำเร็จแล้ว แต่ว่าหมู่บ้านเรานี่สิยังยากจนอยู่เลย”


ฉินสือโอวพยักหน้า บอกเป็นนัยให้เลขาหมู่บ้านพูดต่อไป


เลขาหมู่บ้านถอนหายใจเฮือกหนึ่ง แล้วพูดว่า “ตอนนี้นายมีเงินแล้ว นายจะช่วยเหลือหมู่บ้านเราหน่อยได้ไหม? นายให้เงินทุนมาส่วนหนึ่ง ฉันก็จะไปในเมืองเพื่อขอกู้เงินมาด้วยอีกส่วนหนึ่ง พวกเรามาสร้างโรงงานผลไม้แปรรูปเหมือนกับเมืองหนานเซิ่งดีไหม? สร้างเล็กๆ ก็พอ คนในหมู่บ้านจะได้หาเงินได้มากขึ้นมาอีกนิด”


บ้านเกิดของฉินสือโอวล้อมรอบไปด้วยภูเขา ใกล้เขาก็พึ่งเขา ใกล้น้ำก็พึ่งน้ำ ในสมัยก่อนแม่น้ำไป๋หลงเคยเป็นหนึ่งในคลองใหญ่ที่ใช้เป็นเส้นคมนาคมค้าขาย ทำให้หมู่บ้านเล็กๆ ใกล้ๆ สามารถหาเงินกับมันได้ แต่หลังจากสร้างประเทศแล้วคลองใหญ่ก็ไม่ได้ใช้งาน จึงหาเงินจากแม่น้ำไป๋หลงไม่ได้อีกต่อไป ตอนนี้ก็ใช้แค่นำมารดน้ำในสวนได้เท่านั้น


ส่วนภูเขารอบๆ นั้นถึงแม้ว่าจะมีจำนวนไม่น้อย แต่ตอนนี้ทางรัฐบาลไม่อนุญาตให้เปิดเหมืองเองโดยพลการ ทำให้เหล่าชาวบ้านทำได้แค่ปลูกต้นไม้กัน แต่พอต้นไม้เศรษฐกิจเติบโตช้า จึงเปลี่ยนมาปลูกต้นผลไม้แทน


แต่การปลูกต้นผลไม้ก็มีอีกปัญหาหนึ่ง คือผลไม้ออกเยอะมากจนล้นไม่ก็เจอสภาพอากาศแย่จนเก็บเกี่ยวได้น้อย ไม่ว่าจะเก็บเกี่ยวได้มากจนล้นหรือเก็บเกี่ยวได้น้อยก็ตาม สุดท้ายคนที่เสียหายก็คือพวกชาวสวน


หากเก็บเกี่ยวได้เยอะ ราคาก็ถูกลง เพราะในหมู่บ้านไม่มีห้องเย็น เมื่อขายไม่ออกก็จะเสีย หากเก็บเกี่ยวได้น้อย ราคาดีก็จริง แต่เพราะผลไม้มีไม่มาก ทำให้ทำกำไรไม่ได้อยู่ดี


พ่อและแม่ของฉินสือโอวก็เคยทำสวนผลไม้มาก่อน ก็เพราะเห็นว่าทำเงินไม่ได้สุดท้ายจึงตัดต้นผลไม้ทิ้งทั้งหมดเปลี่ยนไปปลูกผักแทน


เมื่อเลขาหมู่บ้านเสนอเรื่องการสร้างโรงงานผลไม้ขึ้นมา ฉินสือโอวเองก็รู้สึกว่าเป็นความคิดที่ดีเลยทีเดียว ข้อแรกคือโรงงานแบบนี้ถ้าสร้างเสร็จแล้วยังไงก็ทำกำไรได้ ข้อสองคือเป็นการปลดแอกให้กับพ่อและแม่ของฉินสือโอวด้วย เขากะว่าจะให้ทั้งสองคนไปขลุกอยู่ในโรงงานแทน เมื่อเป็นแบบนี้แล้วทั้งสองคนก็จะไม่ต้องไปลำบากทำงานในสวนอีกแล้ว


ถึงแม้เลขาหมู่บ้านจะไม่พูดขึ้นมา ฉินสือโอวก็คงจะเสนอขึ้นมาเอง ถ้าให้เขาแบ่งเงินให้คนในหมู่บ้าน เขาคงไม่เอาด้วยแน่นอน เพราะการให้ต้องได้รับด้วย แต่การสร้างโรงงานผลไม้ถือว่าเป็นความคิดที่ไม่เลวเลย ถึงแม้ว่าตัวเขาจะไม่ได้กำไร แต่ให้พ่อและแม่รู้สึกมีหน้ามีตาที่ลูกชายประสบความสำเร็จแล้วก็ถือว่าเป็นเรื่องดีเช่นกัน


เมื่อกลืนเนื้อในปากลงไปแล้ว ฉินสือโอวจึงพูดเข้าประเด็นทันทีว่า “คิดว่าต้องใช้เงินลงทุนเท่าไรครับ?”


เมื่อได้ยินคำพูดนี้ก็เท่ากับว่ามีหวัง เลขาหมู่บ้านจึงรีบมองไปที่เหวินซู เหวินซูพูดว่า “ฉันเคยคำนวณแล้ว เรื่องที่ดินทางหมู่บ้านเราจะเป็นคนจัดการเอง อันนี้นายไม่ต้องออกเงิน คณะกรรมการจัดการได้อยู่แล้ว แต่การสร้างตัวโรงงานต้องใช้ประมาณสี่แสนกว่าหยวน เงินจำนวนนี้แหละที่เป็นเรื่องใหญ่”


 “ต่อไปก็คือพวกเครื่องจักร เครื่องจักรพวกเราจะใช้ของเหมือนกับเมืองหนานเซิ่ง ทั้งเครื่องล้างผลไม้ เครื่องล้างสเตนเลส เครื่องปิดฝากระป๋อง หม้อผสมน้ำตาล เครื่องพิมพ์บาร์โค้ด เครื่องฆ่าเชื้ออุณหภูมิต่ำ ชุดเครื่องจักรพวกนี้ หากเป็นของใหม่ก็ราคาประมาณสองแสนกว่าหยวน ปกติต้องใช้สองชุด ถ้าหากพวกเราไปซื้อเองถึงทางใต้ราคาอาจถูกลงนิดหน่อย”


 “หากรวมค่าจิปาถะเข้าไป เปิดโรงงานผลไม้กระป๋องขนาดเล็ก ก็ต้องใช้ประมาณหนึ่งล้านกว่าหยวน”


ขณะพูด เหวินซูให้ภรรยาไปเอาสมุดโน้ตมาเล่มหนึ่ง ในนั้นเป็นบันทึกที่เขาจดไว้ตอนไปสำรวจโรงงานผลไม้กระป๋องที่เมืองหนานเซิ่ง


เลขาหมู่บ้านพูดว่า “หมู่บ้านไปขอกู้เงิน น่าจะกู้ได้ประมาณสี่แสนกว่าหยวน ยังขาดอีกห้าแสนกว่าหยวน”


ฉินสือโอวดูสมุดจดบันทึกคิดคำนวณอยู่สักพักแล้วแหงนหน้ามาพูดว่า “ได้ครับ ไปกู้เงินจากในเมืองมาสี่แสนหยวน ผมจะให้อีกหนึ่งล้านหยวน!”


เหล่าคณะกรรมการหมู่บ้านพากันตะลึง เลขาหมู่บ้านพูดออกมาอย่างประหลาดใจว่า “เงินหนึ่งล้านก็สร้างโรงงานอาหารกระป๋องได้แล้ว ยังจะไปขอกู้อีกทำไม?”


ฉินสือโอวอธิบายว่า “ผมเห็นในสมุดของพี่เขียนไว้ว่าการสร้างห้องเย็นขนาด 100 ตันต้องใช้เงินอย่างน้อยสามแสนห้าหมื่นหยวน แต่ถ้าเราจะสร้างโรงงานผลไม้กระป๋องจริงๆ ก็ต้องเตรียมห้องเย็นด้วย ไม่ต้องไปเช่าคนอื่น เพราะว่ามันไม่คุ้ม”


เหวินซูพยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่ สามแสนห้าหมื่นหยวน จะได้ขนาดสามร้อยสี่สิบตารางเมตร รวมเครื่องทำน้ำเย็นขนาด 26 โวลต์สองเครื่อง กับเครื่องทำความเย็นตระกูล DD ขนาด 200 ตารางเมตรอีกสองเครื่อง ก็ราคานี้”


 “งั้นตอนนี้พวกเราก็เสร็จเรื่องแล้วใช่ไหม?” เลขาหมู่บ้านพูดพร้อมหัวเราะฮ่าๆ


ฉินสือโอวบอกว่า “จุดสำคัญคือตลาด ต้องมีตลาดก่อนจึงจะถือว่าเสร็จเรื่องแล้วจริงๆ


 “เรื่องนี้ให้ฉันจัดการเอง พวกเราทำกระป๋องให้สะอาด ดูสวย จากนั้นฉันจะเอาไปตลาดการเกษตรในเมือง คนใหญ่คนโตที่นั่นเป็นเพื่อนสมัยมัธยมปลายของฉันเอง สนิทกันมาก” หัวหน้าหมู่บ้านพูดพร้อมตบอกตัวเอง


 “แล้วอย่างนี้เรื่องคนบริหาร?” เลขาหมู่บ้านถามหยั่งเชิง เพราะนี่สิถึงจะเป็นเรื่องสำคัญที่สุด


ฉินสือโอวหัวเราะ แล้วพูดว่า “เรื่องการบริหาร คนในหมู่บ้านห้ามเข้ามายุ่ง! ผมจะไปจ้างผู้จัดการกับนักบัญชีมาจากในเมือง เรื่องนี้จำเป็นต้องให้มืออาชีพมาบริหาร ก่อนที่โรงงานผลไม้กระป๋องจะได้กำไร เงินเดือนพวกเขาผมจะเป็นคนจ่ายเอง หลังได้กำไรแล้วก็ให้โรงงานเป็นคนจ่าย แต่ว่า หุ้นโรงงานนั้นจะแบ่งให้คนทั้งหมู่บ้าน ทุกบ้านจะมีหุ้นกันหมด ทุกๆ ไตรมาสจะทำการแบ่งเงินปันผลให้หนึ่งครั้ง


เมื่อได้ยินคำนี้ พวกเลขาหมู่บ้านค่อนข้างเสียดาย แต่ก็พอใจ แค่ประโยคที่ว่าปันผลให้คนทั้งหมู่บ้าน พวกเขาก็ชูนิ้วโป้งให้ฉินสือโอวกันแล้ว


บทที่ 474 งานเลี้ยงรวมตัวก่อนปีใหม่

โดย

Ink Stone_Fantasy

ฉินสือโอวรับปากว่าจะลงทุนในการสร้างโรงงาน ทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเริ่มระอุขึ้นมา กลุ่มคณะกรรมการหมู่บ้านต่างก็ทยอยพากันยกแก้วดื่มให้กับพ่อของฉินสือโอว คำพูดชมเชยฉินสือโอวนั้นมีมากเสียจนตัวเขาฟังจนแทบจะอ้วกแล้ว แต่คุณพ่อกลับเต็มไปด้วยสีหน้าพอใจ


 “ตั้งแต่เสี่ยวโอวเด็กฉันก็เห็นแล้วว่าเด็กคนนี้น่ะเก่ง ตอนประถมก็เรียนได้ที่หนึ่งของหมู่บ้านมาตลอด เก่งมาก มา ดื่มกัน”


 “ตอนเสี่ยวโอวสอบเข้ามหาวิทยาลัยฉันก็บอกกับคนในหมู่บ้านนะว่าเราต้องได้รับบารมีจากเสี่ยวโอวแน่นอน ดูสิ ฉันพูดถูกใช่ไหม? มา ดื่มอีกแก้ว”


 “เสี่ยวโอวเก่งมาตั้งแต่เด็กแล้ว ตอนเรียนจบยังเคยทำงานในบริษัทน้ำมันด้วยนี่ใช่ไหม? นี่นะ เด็กจบใหม่สมัยนี้จะมีกี่คนกันที่ได้เข้าทำงานในที่ดีๆ แบบนั้นใช่ไหม? งานดีแบบนั้นแต่เสี่ยวโอวยังไม่อยากทำเลย มา พอละ!”


 “ต้าเผิง อย่ามัวแต่เอาแต่กิน นายน่ะเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเสี่ยวโอว ฟังคำพี่นะ ต้องเรียนรู้จากเสี่ยวโอวเยอะๆ พอแล้ว หยุดกินไส้กรอกเลือดได้แล้ว ขนาดพี่ยังไม่สวาปามกินเลย”


ฉินเผิงหมดคำจะพูด สุดท้ายก็พูดขึ้นว่า “งั้นผมช่วยอีกแรง จากนี้ไปผมรับผิดชอบเรื่องการซ่อมรถขนส่งของโรงงานผลไม้กระป๋องของเราเอง ไม่คิดเงินด้วยซ่อมให้ฟรี โอเคไหมครับ?”


เลขาหมู่บ้านพยักหน้าจริงจัง พูดว่า “ต้าเผิง เด็กคนนี้ก็ไม่เลว แม้ว่าเขาจะเปิดแค่อู่ซ่อมรถเทียบกับเสี่ยวโอวไม่ได้ แต่ว่าก็ทำได้ไม่เลว ฉันได้ยินคนในเมืองพากันพูดว่า ปลอดภัยต้องไปทางตะวันตก แต่ซ่อมรถต้าเผิงจากหมู่บ้านตระกูลฉินเป็นที่หนึ่ง!”


เหวินซูพอได้ฟังเลขาหมู่บ้านพูดแบบนี้ก็พยักหน้าเห็นด้วย ตบบ่าฉินเผิงแล้วพูดว่า “ตั้งหน้าตั้งตาทำงานนะ น้องชาย อีกหน่อยถ้าโรงงานผลไม้กระป๋องของหมู่บ้านแบ่งเงินปันผลให้นายแล้ว นายก็เอาไปขยายร้าน เอาให้เป็นอู่ซ่อมรถที่ใหญ่ที่สุดในอำเภอเลย”


ฉินเผิงยิ้มขื่นๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้ “โอเค จากนี้ไปผมจะไม่มากินมื้อหมูปีใหม่อีกแล้ว นี่มันเวรกรรมชัดๆ ”


ดื่มเหล้ากันชุ่มคอ กินอาหารกันหนำใจแล้ว ฉินสือโอวก็พูดขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่งว่า “คุณน้า คุณลุง พี่ ผมอยากสอบถามเรื่องหนึ่งครับ พวกคุณว่าถ้าผมอยากรับเหมาแม่น้ำไป๋หลงมาทำฟาร์มปลา จะสามารถรับเหมาแม่น้ำในเขตหมู่บ้านเราได้ไหมครับ?”


ความจริงก่อนเขาจะกลับบ้าน ก็คิดว่าจะลงทุนช่วยหมู่บ้านให้หาเงินได้มากขึ้นอีกนิด แผนที่วางไว้ตอนแรกคือฟาร์มเลี้ยงปลา ทำการล้อมแม่น้ำไป๋หลงในเขตหมู่บ้านตระกูลฉินไว้ น่าจะทำกำไรได้ก้อนหนึ่ง


ตอนนี้ในหมู่บ้านจะสร้างโรงงานผลไม้กระป๋องอยู่แล้ว อีกอย่างแทบจะทุกครัวเรือนในหมู่บ้านก็มีสวนผลไม้ทั้งบนเขาและพื้นที่รอบๆ หมู่บ้านอยู่แล้ว งั้นการเลี้ยงปลาในแม่น้ำไป๋หลงก็ไม่ต้องให้หมู่บ้านแล้ว เก็บไว้ให้ตัวเองแล้วกัน


ที่ฉินสือโอวคิดไว้ การเลี้ยงปลาในแม่น้ำไป๋หลงน่าจะทำกำไรได้มากกว่า ก็งานนี้เป็นงานถนัดเขานี่นา อีกอย่าง ในแม่น้ำไป๋หลงยังมีเงินตำลึงสมัยราชวงศ์หมิงอยู่คู่หนึ่งด้วย ไว้มีโอกาสไปงมขึ้นมาแล้วหาวิธีจัดการเสียหน่อย ตอนนั้นเงินลงทุนอะไรก็กลับมาหมดแล้ว


เมื่อได้ฟังคำพูดเขาแล้ว เลขาและหัวหน้าหมู่บ้านปัดมือ แล้วพูดว่า “เรื่องเล็ก นายไปรับเหมาได้เลย ไม่ต้องจ่ายค่ารับเหมาอะไรทั้งนั้น ถือว่าเป็นของขวัญตอบแทนเล็กน้อยที่นายช่วยให้คนในหมู่บ้านมีชีวิตดีขึ้นแล้วกัน”


ในเมื่อตกลงกันได้แล้วแล้ว ฉินสือโอวตัดสินใจแล้วว่าหลังปีใหม่จะไปเลี้ยงปลาน้ำจืดในแม่น้ำไป๋หลง แบบนี้ถ้าพ่อกับแม่ไม่อยากไปทำงานในโรงงาน งั้นก็ไปดูแลฟาร์มปลาแทน สรุปคือต้องไม่ให้พวกเขาต้องไปเหนื่อยในสวนอีก


วันที่สองหลังอาหารมื้อนั้น ฉินสือโอวไปธนาคารในเมืองทำบัตรกดเงินสดให้คุณพ่อหนึ่งใบ ในบัตรมีเงินหนึ่งล้านหยวน เขาให้คุณพ่อดูแลเงินจำนวนนี้ แบบนี้ทุกครั้งที่หมู่บ้านต้องการใช้เงินก็ต้องมาหาพ่อ ให้เขามีหน้ามีตามากขึ้น


ข่าวที่ฉินสือโอวสนับสนุนเงินทุนสร้างโรงงานผลไม้กระป๋องนั้นได้แพร่ไปทั่วหมู่บ้าน ตอนนี้ไม่ว่าบ้านไหนฆ่าหมูปีใหม่ ก็จะเชิญฉินสือโอวกับคุณพ่อไปด้วยทั้งนั้น บางครั้งยังให้เขาพาภรรยาไปด้วย ทำเอาวินนี่กลัวไปเลย ฉลองปีใหม่แค่ปีเดียวเท่านั้น น้ำหนักจะขึ้นมาเท่าไรกัน?


วันที่ยี่สิบสี่เดือนสิบสอง เป็นตรุษจีนเล็กตามธรรมเนียมของประเทศจีน จากวันนี้เป็นต้นไป ก็จะมีบางบริษัทที่ทยอยให้พนักงานหยุดกลับบ้าน


ฉินเผิงเป็นคนนำจัดงานเลี้ยงรุ่นของเพื่อนสมัยมัธยมต้น ให้ไปกินข้าวร้องเพลงกันในเมือง แน่นอนว่าฉินสือโอวเองก็ต้องไปร่วมงานด้วย


ขับรถไปที่ซูเปอร์มาร์เก็ตคาร์ฟูร์เพื่อเตรียมซื้อของที่จะใช้ในมื้อคืนปีใหม่ จากนั้นก็ไปที่โรงแรมที่นัดกันไว้ ฉินสือโอวเพิ่งลงรถโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นมา เขาเห็นว่าเบอร์ที่โทรมาเป็นเบอร์ที่โทรทางไกลมาจากต่างประเทศจึงรับสาย


หลังรับสายแล้วก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหู “ไฮ สวัสดี ฉินใช่ไหม? ผมคือเจมส์ เจมส์ คาเมรอน หวังว่าผมจะไม่ได้มารบกวนเวลาพักผ่อนของคุณนะครับ”


ทำไมอยู่ดีๆ ก็ได้รับสายจากผู้กำกับฮอลลีวูด? ฉินสือโอวประหลาดใจเล็กน้อย แล้วก็พูดทักทายกับคาเมรอนสักพัก


หลังจากทักทายกันจบแล้ว คาเมรอนก็พูดว่า “คือแบบนี้นะครับ สองปีก่อนผมก็มีความคิดที่อยากจะถ่ายทำหนังเกี่ยวกับภัยพิบัติของมหาสมุทรอยู่แล้ว แต่อย่างที่คุณทราบ ‘ไททานิก’ เป็นผลงานที่ประสบความสำเร็จมาก ผมเลยรู้สึกประหม่ามาก”


 “แต่ตอนนี้หลังจากมีข่าวเรื่องภัยมรสุมคราเคน18 แล้ว ทำให้ผมมีความคิดใหม่ขึ้นมา ผมอยากนำเรื่องราวของพวกคุณไปทำเป็นภาพยนตร์ ไม่รู้ว่าคุณสนใจไหมครับ? ที่ผมพูดคือให้คุณมอบอำนาจให้ผม ผมจะเป็นคนแก้ไขเรื่องราว ผมกับแฟรงค์ ดิลเลนกำลังเขียนบทกันอยู่”


แฟรงค์ ดิลเลนเป็นผู้ช่วยเขียนบทที่คาเมรอนร่วมงานด้วยเป็นประจำ มีชื่อเสียงในฮอลลีวูดมากเช่นกัน อย่างภาพยนตร์ชื่อดังของฮอลลีวูดเช่น ‘ไททานิก’ ‘คนเหล็ก’ ‘เอเลี่ยน’ ‘คนเหล็ก ผ่านิวเคลียร์’ ก็เป็นผลงานของเขาเช่นกัน


นี่ก็คือการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศในยุโรปและอเมริกา อย่างเรื่องจากชีวิตจริงแบบนี้หากว่าจะนำไปแก้ไขทำเป็นเกม นิยาย หรือภาพยนตร์แล้ว จำเป็นต้องได้รับการยินยอมจากผู้คนในเหตุการณ์ก่อน ไม่อย่างนั้นก็รอรับหมายศาลได้เลย


ฉินสือโอวคิดทบทวนสักพัก รู้สึกว่าเรื่องแบบนี้ตกลงไปก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดีอะไร แต่ก็ควรจะระวังหน่อยดีกว่า จึงพูดว่า “ขอเวลาผมคิดได้ไหมครับ? เดี๋ยวผมให้ทนายของผมคุณเออร์บักติดต่อกลับไปหาคุณ เพื่อแจ้งการตัดสินใจของผมนะครับ”


 “ขอบคุณครับ”


พอฉินสือโอววางสาย เขาก็ถูกคนตบตัวจากทางข้างหลัง เขาหันกลับไปมองปรากฏว่าเป็นเพื่อนสมัยมัธยมต้นที่ไม่เจอมานานคนหนึ่ง จึงเข้าไปกอดอย่างตื่นเต้นดีใจ ถามว่า “เบอร์เกอร์ตอนนี้นายไปรวยอยู่ที่ไหนแล้วล่ะ?”


ชื่อเพื่อนของเขาคนนี้คือหานเป่าเป่า ตอนนั้นก็สนิทกันพอสมควร เพราะว่าฉายาได้กระฉ่อนไปทั่วโรงเรียน คนหนึ่งคือฉินโซ่ว คนหนึ่งคือแฮมเบอร์เกอร์


หานเป่าเป่าหัวเราะแล้วพูดว่า “รวยอะไรกัน เป็นลูกจ้างอยู่เลย ลำบากน่าดูเลย ได้ยินว่านายมีชีวิตที่ดีไม่เลวเลยนี่นา เมื่อกี้ใครโทรมาหานายเหรอ เหมือนฉันจะได้ยินนายพูดภาษาอังกฤษด้วยใช่ไหม?”


ฉินสือโอวยื่นมือถือให้ดูแล้วพูดว่า “เจมส์ คาเมรอนน่ะ คุณลุงผู้กำกับจากฮอลลีวูดคนนั้นนั่นแหละ”


ห่านเป่าเป่าชูนิ้วโป้งให้เขาแล้วพูดว่า “ไอ้หมอนี่อวดรวยได้อย่างมีระดับจริงๆ ข้าน้อยคนขี้อวดมือใหม่ขอคารวะ”


ฉินเผิงเรียกคนมาทั้งหมดสิบห้าคน มีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ครึ่งหนึ่งต่างก็แต่งงานแล้ว ฉินสือโอวมองดูเพื่อนที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาอย่างน้อยก็สิบปีแล้วก็มีความรู้สึกหดหู่ขึ้นมา


เวลาผ่านไปไวจริงๆ


ฉินเผิงนำรูปสมัยมัธยมต้นมาด้วยจำนวนหนึ่ง รวมไปถึงรูปที่ถ่ายวันจบการศึกษาด้วย เมื่อได้เห็นรูปพวกนี้ฉินสือโอวก็ตื่นตัวขึ้นมาทันที เขารีบแย่งรูปไปแล้วพูดว่า “นายยังเก็บของพวกนี้ไว้อีกเหรอ? เลวจริงๆ เมื่อก่อนไม่เห็นเคยให้ฉันดูเลย!”


ฉินเผิงมีสีหน้าหดหู่ ฉินสือโอวรู้ว่าเจ้าหมอนี่เป็นคนละเอียด ในบ้านคงยังเก็บของสมัยเด็กไว้อีกมากมายไว้ทีเดียว ในตอนนี้ของพวกนี้เป็นของมีค่ามากเลย เสียดายที่ฉินสือโอวเป็นคนไม่ค่อยมีระเบียบ ของต่างๆ จึงถูกเขาทิ้งไปตั้งนานแล้ว


ฉินสือโอวเรียนมัธยมต้นในหมู่บ้านชาวไร่ สุดท้ายได้เข้าเรียนมัธยมปลายแล้วก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ในห้องเรียนมีกันแค่หกถึงเจ็ดคน ในงานเลี้ยงครั้งนี้กลับมีเขาแค่คนเดียว เพื่อนคนอื่นที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ต่างก็ต้องทำงานกันหมด กลับมาไม่ได้


คนพวกนี้ส่วนมากก็แต่งงานมีลูกกันแล้ว ดังนั้นในงานเลี้ยงรุ่นครั้งนี้จึงกลายเป็นการเปรียบเทียบลูกตัวเองกัน การเลื่อนโทรศัพท์ในงานเลี้ยง ล้วนแต่เป็นรูปของลูกๆ ทั้งนั้น


ทางฝั่งฉินสือโอวทำอะไรไม่ถูก จึงตบโต๊ะแล้วตะโกนว่า “ตอนนี้ฉันเป็นเศรษฐีบ้านนอกแล้ว แถมยังเป็นเศรษฐีบ้านนอกรายใหญ่ที่โอนสัญชาติแล้วด้วย ให้ฉันอวดหน่อยไม่ได้เหรอ?”


บทที่ 475 ตลาดนัดประจำปี

โดย

Ink Stone_Fantasy

การมารวมตัวกับเพื่อนนักเรียน สุดท้ายฉินสือโอวก็อวดรวยได้สำเร็จ เพราะเขาได้ถูกมอมเหล้าจนอ้วกแล้ว…


ความจริงที่เขาขับรถมาเอง ก็เพื่ออยากจะเลี่ยงการถูกมอมเหล้า แต่สุดท้ายกลายเป็นว่าทุกคนต่างก็เปี่ยมไปด้วยความยกย่องชื่นชมต่อเศรษฐีบ้านนอกคนนี้ และต่างก็อยากมาดื่มกับเขาแก้วสองแก้ว เมื่อได้ดื่มสองแก้วๆ ติดๆ กัน ฉินสือโอวจึงเริ่มอ้วกออกมา


ยังดีที่ฉินเผิงไม่เป็นอะไร เขามองฉินสือโอวที่อุ้มขวดเหล้าใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความสุข แล้วก็หามือถือของฉินสือโอวมากะว่าจะโทรหาวินนี่ เมื่อหยิบมือถือออกมาดู กลายเป็นว่าเข้ารหัสไว้ “พี่ชาย รหัสคืออะไร…”


 “บัตรใบไหนล่ะ?” ฉินสือโอวถามด้วยเสียงเมามาย


ฉินเผิง “…”


เมื่อขอรหัสปลดล็อกมือถือได้มาอย่างยากลำบากแล้ว แต่พอเปิดดูก็เริ่มปวดหัวอีก นี่นายคิดอะไรถึงใช้เวอร์ชันภาษาอังกฤษล่ะเนี่ย? ชื่อคนยังจะใช้ภาษาอังกฤษอีก? ฉันเรียนไม่จบมัธยมปลายด้วยซ้ำ นายให้ฉันอ่านภาษาอังกฤษเหรอ?


จนปัญญา ฉินเผิงจึงต้องโทรหาพ่อของฉินสือโอวแทน เมื่อวินนี่ได้รับที่อยู่แล้วก็พาเบิร์ดรีบตามมาหา


พอได้เห็นใบหน้าสะสวย บุคลิกดีงามของวินนี่แล้ว พวกเพื่อนนักเรียนที่ไม่ค่อยได้ติดต่อกับฉินสือโอวจึงมั่นใจได้เรื่องหนึ่ง ก็คือเหมือนว่าไอ้หมอนี่คงจะกลายเป็นเศรษฐีบ้านนอกไปแล้ว


และพอได้เห็นเบิร์ดที่ท่าทางน่าเกรงขาม ร่างกายกำยำออกมา และออกท่าทางเหมือนบอดี้การ์ด ตอนนี้พวกเขาเชื่อหมดใจแล้ว เจ้าฉินสือโอวกลายเป็นเศรษฐีบ้านนอกไปแล้วจริงๆ!


เบิร์ดแบกฉินสือโอวไว้ วินนี่คอยดูแลตลอดทาง ส่วนฉินสือโอวก็อ้วกตลอดทางกลับบ้าน


มื้อนี้ทำให้ฉินสือโอวเข็ดหลาบ ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันใกล้จะปีใหม่ เขาเข้มงวดในการดื่มเหล้าของเขามาก ดื่มเพียงแก้วสองแก้วพอเป็นพิธีเท่านั้น อีกอย่างงานสังสรรค์หลังจากนั้นส่วนใหญ่ก็มีแต่เพียงเพื่อนเท่านั้น เขาจึงพาวินนี่ไปด้วย เมื่อไรที่เขาดื่มไม่ไหวแล้ว วินนี่ก็จะรีบออกตัวดื่มแทนเขา


วันเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ถึงแม้วันปีใหม่จะใกล้เข้ามาแล้ว แต่คนในหมู่บ้านกลับไม่ได้เฝ้ารอวันนี้เหมือนกับเมื่อก่อน แต่กลับถามถึงความคืบหน้าของโรงงานผลไม้กระป๋องทุกวันแทน


สำหรับหมู่ตระกูลฉินแล้ว โรงงานผลไม้กระป๋องถือเป็นเรื่องใหญ่มาก การฉลองปีใหม่สามารถทำได้ทุกปี แต่เรื่องนี้ถือเป็นธุรกิจแรกในหมู่บ้านของพวกเขา


คณะกรรมการหมู่บ้านเคยพูดไว้แล้ว โรงงานผลไม้กระป๋องนั้น นอกจากผู้จัดการโรงงานและนักบัญชีที่จ้างมาจากข้างนอกแล้ว พนักงานที่เหลือจะจ้างเฉพาะคนในหมู่บ้านเท่านั้น โรงงานผลไม้กระป๋องที่มีไลน์ผลิตสองสาย ห้องเก็บความเย็นที่จุได้หนึ่งร้อยตัน และงานจิปาถะอื่นๆ รวมๆ กันแล้วต้องใช้คนงานอย่างน้อยยี่สิบสามสิบคน นี่ถือได้ว่าเป็นการแก้ปัญหาเรื่องงานใช้แรงงานของหมู่บ้านได้ส่วนหนึ่ง


ยิ่งไปกว่านั้น ผลประกอบการของโรงงานผลไม้กระป๋องนี้จะถูกแบ่งให้กับทุกคนในหมู่บ้าน อีกหน่อยจะมีการแบ่งเงินให้กับแต่ละคนด้วย นี่คือเรื่องที่สำคัญที่สุด


คณะกรรมการหมู่บ้านได้เลือกพื้นที่ที่จะสร้างแล้ว เป็นพื้นที่ผืนใหญ่ทั้งหมดที่ติดถนนหลักด้านหลังของหมู่บ้านใกล้เคียง คนในหมู่บ้านที่เป็นเจ้าของที่ใจดีมาก เขาบอกว่าเอาไปใช้ก็พอ เงินชดเชยอะไรนั่นไม่สำคัญ ขอเพียงแค่โรงงานผลไม้กระป๋องสร้างเสร็จแล้ว รายรับที่หาได้จากที่ผืนนั้นจะเทียบได้อย่างไร?


วันจ่ายวันที่ 29 เป็นตลาดนัดปีใหม่ของเมือง วันนี้ถือเป็นวันที่ครึกครื้นที่สุดในรอบปี แน่นอนว่าฉินสือโอวต้องพาวินนี่และเด็กๆ ไปชมงานด้วย


ก่อนจะออกจากบ้าน แม่ของฉินสือโอวจัดเสื้อให้พวกเด็กๆ แล้วก็พูดกำชับเน้นย้ำกับฉินสือโอวว่า “ต้องดูแลเด็กๆ ให้ดีๆ นะ ตอนนี้มีคนเลวเยอะ งานตลาดนัดปีใหม่ของปีที่แล้วคนของหมู่บ้านตระกูลสื่อก็ทำเด็กหายไป จนถึงตอนนี้ก็ยังหาไม่เจอเลย!”


ฉินสือโอวบอกแม่ว่าวางใจเถอะ เด็กๆ ของเราล้วนแต่เป็นคนต่างชาติ สะดุดตาเกินไป ต้องเป็นคนโง่แค่ไหนกันถึงจะกล้ามาฉุดเด็กแบบนี้?


แม่ของฉินสือโอวรู้สึกว่าคำพูดของฉินสือโอวฟังดูมีเหตุผล จึงวางใจลงไปบ้าง


แต่เพื่อปลอดภัยไว้ก่อน แม่ของฉินสือโอวให้พวกเด็กๆ จูงสุนัขไปด้วย เมื่อมีทั้งคนทั้งสุนัขจะทำให้ดูเหมือนเป็นตัวถ่วงได้ ยิ่งดูเป็นตัวถ่วงและสะดุดตามากเท่าไร พวกแก๊งลักพาตัวก็จะยิ่งไม่กล้าแตะ


พวกเขาออกเดินทางอย่างมีความสุข ฉินสือโอวอธิบายให้วินนี่ เบิร์ดและพวกเด็กๆ ฟังว่า “อีกเดี๋ยวทุกคนต้องเดินไปด้วยกันนะ เบิร์ดอุ้มหู่จือ ฉันจะอุ้มเป้าจือไว้ มีคนเยอะมาก ต้องเดินไปด้วยกัน ห้ามเดินหายไปเข้าใจไหม?”


 “คนเยอะมากเลยเหรอ?”


 “อยู่ที่แคนาดาพวกเธอคงไม่มีทางนึกภาพออกแน่ว่าที่นี่มีคนเยอะแค่ไหน นี่คืองานเทศกาลที่ใหญ่ที่สุดของปีของเมืองเลย คนจากในเมืองแทบจะทั้งหมดต่างก็พากันมาร่วมงานในเขตอำเภอนี้ ถึงขั้นว่ามีคนจากอำเภอข้างๆ ก็มาร่วมงานด้วยนะ”


 “ก่านจี๋ (ตลาดนัด)? หมายความว่าอะไรน่ะเหรอ?”


 “ก็คือการรีบมารวมตัวกัน (ก่านหมายถึงเร่งรีบ จี๋หมายถึงรวมตัว) เชื่อฉันสิ อีกเดี๋ยวพอพวกเธอไปถึงตลาดแล้วต้องรู้สึกตะลึงแน่นอน”


แม้ว่าฉินสือโอวได้พูดให้วินนี่ เบิร์ดและพวกเด็กๆ เตรียมใจไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่ว่าเมื่อรถขับไปถึงทางเข้าหลักของเมืองแล้ว ทุกคนก็ยังตะลึงจนอึ้งอยู่ดี!


ยังไม่ทันถึงถนนของตลาดนัด แต่สิ่งที่พวกเขาเห็นก็คือรถ ทั้งบนถนน พื้นที่ว่างหน้าบ้านของพวกชาวบ้าน แม้แต่ผืนดินที่เพิ่งมีต้นกล้าข้าวขึ้นมา ล้วนอัดแน่นไปด้วยรถ


รถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ตลอดทางที่ผ่านมาพวกเขาเห็นรถจำนวนนับไม่ถ้วนมากมาย กอร์ดอนที่ว่างไม่มีอะไรทำยังอยากจะนับจำนวนรถพวกนี้ สุดท้ายนับไปได้ไม่กี่นาทีเท่านั้นก็ไม่นับแล้ว คนที่คำนวณเลขที่คูณด้วยเก้าขึ้นไปยังทำไม่ได้อย่างเขาในสถานการณ์อย่างนี้ยิ่งไม่ไหวแน่นอน


เมื่อมาถึงทางเข้าตลาดฝั่งตะวันออกตะวันตก คนกลุ่มนี้ยิ่งตะลึงเข้าไปอีก พวกเขาเห็นอะไรน่ะเหรอ? ก็ฝูงคนยั้วเยี้ย! เดินไหล่ชนกันที่แท้จริง ปาดเหงื่ออย่างกับปาดน้ำฝน และคนมัวฟ้ามัวดินที่แท้จริง!


ถนนหลักของเมืองชนบทนั้นค่อนข้างกว้าง ถนนของหมู่บ้านฉินสือโอวกว้างประมาณเจ็ดแปดเมตร แต่ว่าแม้แต่ถนนที่กว้างขนาดนี้ยังอัดแน่นไปด้วยผู้คน อัดแน่นอย่างจริงจัง คนคนหนึ่งหากอยากจะเดินไปข้างหน้า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าเขาจะอยากเดินไหม แต่อยู่ที่กระแสคนจะพาเขาเดินไปหรือเปล่า!


เมื่อมองไปที่หัวของคนที่อัดแน่นกันอยู่นั้น กล้ามเนื้อบนหน้าของเบิร์ดกระตุกไปทีหนึ่ง แล้วพึมพำออกมาว่า “นอกจากตอนไปรักษาความปลอดภัยที่ชายแดนอิรักแล้ว ผมยังไม่เคยเห็นคนเยอะขนาดนี้มาก่อนเลย! นี่มันดูเวอร์ยิ่งกว่าพวกลี้ภัยเสียอีก!”


เด็กทั้งสี่คนยิ่งตะลึง พวกเขาอาศัยอยู่แต่ที่นิวฟันด์แลนด์ ไม่มีทางนึกภาพกลุ่มคนที่เยอะขนาดนี้ได้แน่นอน ทั้งประเทศแคนาดามีพื้นที่เพียงแค่หนึ่งพันตารางกิโลเมตรจะมีคนสักเท่าไรกันเชียว? สามสิบล้านคน! จำนวนคนแค่นั้นไม่มีค่าอะไรเลย!


วินนี่พูดอย่างถอดใจว่า “ถึงว่าคุณถึงบอกว่าจะอุ้มหู่จือกับเป้าจือเดินตลาด พระเจ้า ถ้าเดินจูงพวกมันล่ะก็ เจ้าสองตัวนั้นคงถูกเหยียบจนกลายเป็นเนื้อบดแน่!”


ฉินสือโอวเปิดกระเป๋าสะพาย เป้าจือก็รีบวิ่งเข้าไป หลังสะพายมันขึ้นแล้ว ขาสองข้างของมันพาดออกไปข้างนอกกระเป๋า และหดตัวอยู่ในกระเป๋าอย่างสงบเสงี่ยม ไม่ส่งเสียงอะไร แม้แต่หมายังตกใจ…..


คนเยอะ ร้านเยอะ แผงลอยเยอะ ฉินสือโอวดึงวินนี่เดินนำทางอยู่ข้างหน้า เบิร์ดเดินปิดท้าย เด็กสี่คนเดินอยู่ตรงกลาง ทุกคนเดินเบียดเข้าไปในฝูงชนอย่างยากลำบาก ก่อนจะเริ่มเดิน ฉินสือโอวซื้ออมยิ้มให้พวกเด็กๆ ก่อน บอกว่าเอาไว้เติมพลัง


มิเชลกัดทีนึงแล้วกินเข้าไป พูดว่า “มีรสเปรี้ยว มีรสหวาน ไม่เลวเลย”


เทียบกับอมยิ้มแล้ว พาวลิสชอบอ้อยมากกว่า ที่นิวฟันด์แลนด์มีอ้อยค่อนข้างน้อย ถึงมีก็ราคาแพงมาก


ฉินสือโอวบอกว่าที่นี่อ้อยถูก เธอไปถามสิ เชอร์ลี่ย์เดินเบียดอย่างลำบากเดินไปที่แผงขายอ้อยเพื่อถามราคาให้กับพาวลิส คุณลุงขายอ้อยคงจะเพิ่งเคยเห็นเด็กต่างชาติเป็นครั้งแรก จึงถามตาปริบๆ ว่า “สาวน้อย เธอเป็นคนอเมริกันเหรอ?”


คนรอบข้างก็ยืนมองพวกวินนี่อย่างประหลาดใจ ความสวยและบุคลิกที่สง่าของวินนี่ ร่างกายกำยำของเบิร์ด และเด็กๆ สี่คนที่หน้าตาแปลกประหลาดล้วนเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยเจอมาก่อน ฉินสือโอวคิดว่าพวกเขาน่าจะเป็นชาวต่างชาติกลุ่มแรกในเมืองบ้านเกิดเขาเป็นแน่


ดีที่ตอนนี้ทั้งโทรทัศน์และอินเทอร์เน็ตแพร่หลาย คนส่วนมากจึงพอคุ้นเคยคนต่างชาติบ้างบางคนที่ไปทำงานที่เมืองใหญ่ก็มีเคยเห็นชาวต่างชาติมาบ้าง ดังนั้นจึงไม่มีคนมารุมล้อม เพียงแต่เมื่อเจอแล้วก็มองอย่างประหลาดใจเท่านั้น แน่นอนพวกที่หยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูปก็มีเยอะเช่นกัน


คุณลุงพูดติดสำเนียงมาก เชอร์ลี่ย์ฟังไม่เข้าใจ ฉินสือโอวจึงช่วยแปลให้ เชอร์ลี่ย์ยักไหล่ทำท่าว่าเข้าใจแล้ว และพูดว่า “ไม่ใช่ค่ะ พวกเรามาจากแคนาดา อยู่ทางเหนือของอเมริกาค่ะ อ้อยราคาเท่าไรคะ?”


บทที่ 476 เด็กไปไหนแล้ว

โดย

Ink Stone_Fantasy

คุณลุงไม่ได้ตอบทันที แต่หันไปพูดกับคนที่ขายของอยู่แผงข้างๆ อย่างประหลาดใจว่า “นายดูสิ หาดูได้ยากจริงๆ นะ สาวน้อยต่างชาติคนนี้พูดจีนกลางได้ดีกว่าพวกเราอีก”


คนที่เป็นเจ้าของแผงลอยขายเมล็ดทานตะวันพูดพร้อมหัวเราะว่า “ลุงหลิว ลุงอย่าพูดพร่ำทำเพลงอีกเลย รีบขายอ้อยให้เขาเร็ว ระดับภาษาจีนกลางของลุงเนี่ย ลุงยังกล้าพูดว่าตัวเองพูดได้อีกเหรอ?”


กลุ่มคนพากันหัวเราะขึ้นมา คุณลุงตัด ‘ฉับๆ ’ แบ่งอ้อยเป็นสองท่อนพร้อมปอกเปลือกให้ ใช้ถุงพลาสติกห่อตรงปลายด้านหนึ่งไว้ยื่นให้กับเชอร์ลี่ย์ แล้วพูดแล้วโบกมือว่า “ไม่คิดเงิน ฮ่าๆ คุณลุงให้หนูกิน”


เชอร์ลี่ย์วางแบงก์ใหญ่หนึ่งร้อยหยวนไว้ แล้วพูดอย่างได้ใจว่า “พวกหนูมีเงินค่ะ”


เธอหันตัวเตรียมจากไป เพราะฉินสือโอวเคยพูดกับเธอว่า เงินหนึ่งร้อยหยวนนี้เทียบเท่ากับเงินยี่สิบเหรียญของแคนาดา และที่นิวฟันด์แลนด์ เงินยี่สิบเหรียญก็พอๆ กับที่จะซื้ออ้อยแบบนี้ได้


แต่สุดท้ายคุณลุงดึงเธอไว้ แล้วทอนเงินให้เธอมากำมือหนึ่ง เชอร์ลี่ย์ยัดกลับไปให้อย่างสงสัย ถามว่า “ทำไมถูกขนาดนี้คะ?”


ฉินสือโอวไม่อยากให้เธอพูดเรื่องค่าเงินและสภาพเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ เขาเองก็รู้สึกหมดทางรับมือกับพรสวรรค์ด้านตัวเลขของเชอร์ลี่ย์ จึงได้แต่พูดอย่างง่ายๆ ว่า “คุณลุงเห็นหนูหน้าตาสวย ก็เลยลดราคาให้น่ะ”


เมื่อได้ฟังคำพูดนี้ พาวลิสและพวกก็มองตากันครู่หนึ่ง จากนั้นไม่ว่าจะซื้ออะไร พวกเขาก็จะให้เชอร์ลี่ย์เป็นคนซื้อ ส่วนเชอร์ลี่ย์ที่ทุกครั้งที่ซื้อของก็จะซื้อได้แต่ของราคาถูก เด็กทั้งสี่คนนึกว่าตัวเองโชคดี ทำให้หัวเราะร่ามีความสุขกันตลอดทาง


ในตลาดนัดครั้งนี้ฉินสือโอวเองก็มีของที่ต้องซื้ออีกมากมาย หลักๆ เลยคือพวกของจำพวกผลไม้อบแห้งกับเครื่องดื่ม ความจริงพ่อของฉินสือโอวก็ได้เตรียมผลไม้อบแห้งไว้เยอะแล้ว แต่ว่าพวกเมล็ดทานตะวันน่ะ ฉินสือโอวไม่ชอบกินของพวกนี้ เขามาเพื่อซื้อถั่วพิสตาชิโอ เม็ดมะม่วง อัลมอนด์ และเมล็ดสนถั่วจำพวกนี้


ถนนในเขตอำเภอเป็นรูปทรงไม้กางเขน ถนนสายหนึ่งล้วนแต่เป็นสินค้าพวกเสื้อผ้ารองเท้า อีกสายล้วนเป็นอาหารจำพวกผลไม้ อีกสายล้วนเป็นสินค้าพวกผักสด เนื้อ และอาหารทะเลสด ส่วนอีกสายก็จะขายของจิปาถะที่ขายทุกอย่าง


ฉินสือโอวพาวินนี่และพวกไปเดินถนนเส้นที่ขายของจิปาถะเป็นหลัก เพราะถนนนี่แหละถึงจะน่าเดิน


บนถนนมีทั้งคนปั้นขนมหวาน วินนี่ก็รู้สึกสนใจสิ่งนี้เป็นพิเศษด้วย เดินไปซื้อมาหลายแท่ง จากนั้นก็พูดอธิบายให้ฉินสือโอวฟังว่า “ตอนเด็กตอนอยู่ปักกิ่ง คุณปู่มักจะซื้ออันนี้กับพุทราเชื่อมมาให้ฉันบ่อยๆ ความจริงฉันในตอนนั้นไม่ชอบกินทั้งสองอันเลย แต่ฟอกส์พี่สาวของฉันนั้นชอบทำท่าทางดีใจที่ได้กิน ทำให้คุณปู่คุณย่าของฉันดีใจมาก เมื่อเป็นอย่างนี้ฉันก็เลยต้องก้มหน้าก้มตากินต่อไปอย่างเลือกไม่ได้…”


ฉินสือโอวฟังวินนี่บ่น รู้สึกว่าน่าสนใจ


ในตลาดนัดมีคนใช้นิ้วมือจุ่มสีเพื่อเขียนหนังสือวาดภาพ นี่ถือเป็นทักษะอย่างหนึ่ง คุณลุงใช้ทุกนิ้วของมือทั้งสองข้างชี้ไปมาสิบกว่าวินาทีก็สามารถวาดรูปทิวทัศน์ออกมาได้แล้ว แถมบนนั้นยังมีคำอวยพรจำพวก ‘เดินทางปลอดภัย’ ‘ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้า’ อีกด้วย


พวกวินนี่รู้สึกสนใจมาก จึงให้เบิร์ดนำทางเบียดเข้าไปดู เป้าจือโชคร้ายหน่อย โดนเบียดเสียจนร้องโอดครวญออกมาไม่หยุด


ภาพหนึ่งใบราคาสิบห้าหยวน ฉินสือโอวให้คุณลุงวาดมาหกใบ แต่ละใบให้เขียนชื่อของแต่ละคนไว้ จากนั้นก็นำไปให้พวกเขา


พวกเด็กๆ รับไว้อย่างดีใจ ส่วนเบิร์ดนั้นถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ถึงขั้นพูดออกมาว่า “ผมว่านี่ถือว่าเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมหรือเปล่านะ? ดังนั้นผมต้องเก็บไว้อย่างดี ไม่แน่นะหลายปีผ่านไปมันอาจกลายเป็นสมบัติอย่างหนึ่งเลยก็ได้”


“ถ้านายอยากจะเก็บไว้เป็นมรดกให้กับคนรุ่นหลังล่ะก็ งั้นฉันมีของอย่างอื่นมอบให้นายนะ” ฉินสือโอวยิ้มแล้วพาทุกคนเดินหน้าต่อไป จากนั้นก็พูดว่า “ทุกคนเบิกตาให้กว้างนะ ป้ายหน้าถนนแห่งศิลปะของชาวบ้านชาวจีน ออกเดินทางอย่างเป็นทางการ!”


ที่เขาพูดนั้นไม่เวอร์เกินไปเลย เพราะเพียงเดินไปข้างหน้าไม่กี่ก้าวเท่านั้น ก็มีแผงของคนเป่าน้ำตาลอยู่


พอดีกับที่เจ้าของแผงกำลังเป่ารูปล็อบสเตอร์อยู่ น้ำตาลเหลวสีส้มเหลืองนั้นถูกเป่าเป็นรูปขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เชอร์ลี่ย์กับพวกเด็กๆ ที่มองอยู่ต่างก็ร้องกรี๊ดกันออกมา


วินนี่กอดอกแล้วหัวเราะออกมา พูดว่า “นี่คืองานฝีมือของประชาชนในเมืองปักกิ่ง ใช่ไหมคะ? ฉันเคยเห็นมาบ้างตอนอยู่ปักกิ่ง ทำได้น่าประทับใจมากเลย ตอนนั้นฉันถึงกับเคยคิดว่าจะเป็นนักศิลปะแบบนี้บ้างเลยล่ะ”


ฉินสือโอวเดินแวะทุกร้านตลอดทาง มีทั้งร้านจัดดอกไม้ ร้านเมล็ดข้าวแกะสลัก ร้านกระดูกแกะสลัก ร้านตุ๊กตาแป้งข้าวเหนียว ร้านขนมรูปวาดน้ำตาลแบบหมุนสุ่ม ร้านขนมรูปวาดน้ำตาลธรรมดา ร้านแป้งข้าวเหนียวปั้นเป็นหน้าคน ร้านการตัดกระดาษ ร้านเซรามิกแกะสลัก ขอเพียงแค่เป็นของที่สามารถทำออกมาได้ในระยะเวลาอันสั้น เขาล้วนซื้อให้คนข้างๆ คนละชิ้นทั้งนั้น


การเดินเบียดตลอดทาง ถึงแม้จะช้าไปบ้างแต่สุดท้ายก็ทำให้สามารถเบียดไปถึงทางออกตอนใต้สุดของตลาดนัดได้ ฉินสือโอวปาดเหงื่อไปทีหนึ่ง แม้จะอยู่ในช่วงฤดูหนาวแต่ก็ทำเอาเขาเหงื่อชุ่มไปทั้งตัวเลยทีเดียว การมาตลาดนัดประจำปีครั้งนี้มาได้คุ้มเสียจริง แบบนี้คงไม่ต้องไปซาวน่าแล้ว


พวกเด็กๆ ต่างก็ตื่นเต้นกันจนหน้าน้อยๆ นั้นแดงระเรื่อ ในกระเป๋าน้อยๆ ของพวกเขานั้นเต็มไปด้วยเซรามิกแกะสลัก กระดาษตัดเป็นรูปต่างๆ กับหุ่นแป้งข้าวเหนียวของเล็กน้อยจำพวกนี้ เชอร์ลี่ย์พูดอย่างดีใจว่า “พวกเรานำกลับไปเกาะแฟร์เวลด้วยดีไหม? ถึงตอนนั้นพวกเราสร้างกลุ่มมากลุ่มหนึ่ง แล้วเล่าเรื่องศิลปะของประเทศจีนให้คนบ้านนอกพวกนั้นฟังกัน”


ฉินสือโอวบอกว่าเป็นอย่างนั้นก็ดี เขาก็มีความคิดที่อยากจะให้พวกเด็กๆ พวกนี้ทำแบบนี้เหมือนกัน จากนั้นข้างหน้าก็มีเสียงผู้หญิงคนหนึ่งกรีดร้องออกมา คนข้างหน้าเดินเบียดถอยมาข้างหลัง ทำให้มีที่ว่างออกมา


 “มีเรื่องชกต่อยเหรอ?” ฉินสือโอวถามพลางขมวดคิ้ว เขาดึงเชอร์ลี่ย์มาหลบไว้ข้างหลัง จากนั้นก็ให้พวกเด็กๆ ยืนรวมกัน


งานตลาดนัดประจำปีคนเยอะเกินไป เรื่องการถูกเบียดถูกชนเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ บางครั้งก็จะเกิดทะเลาะวิวาทขึ้นมา แต่โดยส่วนมากแล้ว ผู้คนจะพยายามห้ามใจไว้ไม่ให้มีเรื่องมากกว่า เพราะอย่างไรเสียก็ใกล้จะวันที่สามสิบแล้ว มาทะเลาะกันในวันดีแบบนี้ไม่ค่อยดีนัก


คนรอบข้างพากันพูดคุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ฉินสือโอวฟังแล้วรู้สึกว่าไม่เหมือนกับการทะเลาะวิวาทกัน เขาจึงรีบเบียดเข้าไปดู ก็เห็นผู้หญิงอายุหกสิบกว่าปีคนหนึ่งนั่งอยู่บนพื้น ในมือถือหมวกผ้าฝ้ายใบเล็กใบหนึ่ง ร้องไห้แล้วพูดว่า “หลานของฉันล่ะ? ฮือๆ ฮือๆ หลานของฉันหายไปแล้ว? มีใครเห็นปิงปิงหลานฉันบ้าง? ช่วยทีเถอะ บอกฉันที ฮือๆ หลานฉัน ฮือๆ ไปไหนแล้ว…”


ชายหนุ่มวัยกลางคนในชุดสูทที่ยืนอยู่ข้างๆ ถามอย่างร้อนรนว่า “คุณครับ อย่าเพิ่งร้อง อย่าเพิ่งร้องไห้ หายไปตอนไหนครับ? ฮะ? รีบบอกมาเร็ว!”


ดูออกว่าผู้หญิงคนนี้คงทำอะไรไม่ถูกแล้ว ได้แต่อุ้มหมวกใบเล็กแล้วร้องไห้สะอื้นอยู่ ปากก็เอาแต่พูดซ้ำๆ ว่า ‘หลานหายไปแล้ว’


ชายกลางคนคนหนึ่งหยิบมือถือออกมาแล้วพูดว่า “เด็กถูกลักพาตัวไปแล้วหรือเปล่า? รีบแจ้งตำรวจเถอะ? เด็กถูกลักพาตัวไปแล้วหรือเปล่า?”


คนรอบข้างต่างก็พากันถามอย่างร้อนรน แต่ผู้หญิงคนนั้นก็เอาแต่ร้องไห้ ชายกลางคนเขย่าตัวเธอ เธอถึงจะได้สติขึ้นมา แล้วรีบดึงชายกลางคนไว้แล้วถามว่า “น้องชาย เธอเห็นปิงปิงของฉันหรือเปล่า? สามขวบกว่าๆ สูงประมาณนี้ อ้วนประมาณนี้…”


ชายหนุ่มในชุดสูทสะบัดมือผู้หญิงออก แล้วตะโกนออกมาว่า “เด็กหายไปตอนไหนล่ะ? คุณพูดให้ชัดเจนสิ”


ผู้หญิงร้องไห้แล้วพูดออกมาว่า “ก็ไม่นานเอง เมื่อกี้ฉันซื้อภาพตัดแปะอยู่ หลังจากซื้อแล้วหันกลับมาดูหลานก็ไม่อยู่แล้ว ฉันถามคนข้างๆ เขาบอกว่าเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งพาไปทางใต้นี้ ก็เลยรีบไล่ตามมา แต่ว่าไม่เจอเลย…”


คนรอบตัวพากันวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นาๆ แต่ที่นี่คนเยอะมากจริงๆ ใครจะไปทันสังเกตว่ามีคนอุ้มเด็กสามขวบมาหรือเปล่ากัน? ถึงแม้จะสังเกตเห็นแต่ก็เป็นเรื่องปกติมาก เพราะคนที่พาเด็กมาเดินในตลาดนัดนั้นมีเยอะยิ่งกว่า


คนหนุ่มในชุดสูทถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วพูดว่า “งั้นก็ลำบากแล้วนะ คุณน่าจะตะโกนเรียกตั้งแต่แรกแต่กลับมาตะโกนเอาป่านนี้ รีบแจ้งตำรวจเถอะ ขอให้ยังทันเวลาทีเถอะ”


วินนี่เดินเบียดเข้ามายื่นมือมาดึงตัวฉินสือโอวไว้ พร้อมถามอย่างร้อนรนว่า “เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”


ฉินสือโอวพูดอย่างโกรธเคืองว่า “ให้ตายเถอะ คุณแม่พูดไว้ไม่ผิดเลย ในตลาดนัดประจำปีนี้มีคนลักพาตัวจริงๆ ด้วย หลานของคุณย่าคนนี้โดนอุ้มไปแล้ว!”


 “พระเจ้า ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้? ไอ้สารเลวพวกนี้!” หน้าสวยของวินนี่หน้าซีดไปทันที “แล้วจะทำอย่างไรล่ะ? รีบช่วยกันหาเด็กสิคะ”


ผู้หญิงคนนั้นร้องไห้แล้วลุกขึ้นมา หันไปรอบด้านแล้วเรียกชื่อหลานของตัวเอง คนรอบๆ ก็ถามไถ่กันไปมา แต่ไม่มีเบาะแสเลย


ฉินสือโอวมองดูท่าทางสิ้นหวังของผู้หญิงคนนั้นแล้วก็รู้สึกสะเทือนใจ เบิร์ดที่อุ้มหู่จืออยู่ก็เบียดเข้ามา ถามว่า “บอส มีปัญหาอะไรครับ?”


เมื่อได้เห็นหู่จือที่ถูกเบียดจนเบลออยู่ ในหัวเขาก็เกิดความคิดขึ้นมา


บทที่ 477 จมลงไป

โดย

Ink Stone_Fantasy

ฉินสือโอวกวาดตามองไปทั่วทั้งสี่ทิศ ที่นี่ถือได้ว่าเป็นช่วงท้ายของตลาดนัดแล้ว ถึงที่นี่ก็แทบจะไม่มีแผงลอยแล้ว แต่รอบด้านยังคงอัดแน่นไปด้วยผู้คน


ถนนทั้งสองด้านเต็มไปด้วยรถจอดอยู่ ทั้งรถตู้และรถเก๋งต่างก็จอดเรียงรายอย่างไม่เป็นระเบียบ ช่องว่างระหว่างรถก็มีพวกรถมอเตอร์ไซต์ รถไฟฟ้าและจักรยานจอดอยู่ สรุปก็คือถ้าขับรถมาด้วย ก็คงต้องรอตลาดนัดเลิกเท่านั้นจึงจะขับรถออกไปได้


เขาเดินไปถามกับผู้หญิงคนนั้นว่า “คุณน้า หลานของคุณหายไปนานแค่ไหนแล้วครับ? ขอเวลาแบบละเอียดนะครับ! สักพักเจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะมาแล้ว ผมจะได้บอกกับเขาให้ชัดเจน!”


เมื่อได้ยินคำว่า ‘เจ้าหน้าที่ตำรวจ’ ผู้หญิงคนนั้นก็ได้สติขึ้นมาอีกนิด เธอปาดน้ำตาบนหน้าแล้วชี้ไปที่แผงลอยภาพตัดแปะที่อยู่ไม่ไกลแล้วพูดว่า “หายไปตรงนั้นแหละค่ะ ฉันก็ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้ว ฉันงงไปหมดแล้ว… น้องชาย ช่วยน้าหน่อยนะ ถ้าหลานหายไปจริงๆ น้าก็คงอยู่ต่อไม่ได้แล้วล่ะ!”


ระหว่างพูดอยู่ เธอก็ทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นมา แล้วรีบล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าหยิบกระเป๋าเงินใบเก่าออกมา ในนั้นมีรูปครอบครัวอยู่ เขานำรูปยื่นให้กับฉินสือโอวแล้วพูดว่า “คนนี้ก็คือหลานของฉัน คนนี้ก็คือหลานของฉัน…”


ฉินสือโอวคำนวณคร่าวๆ สักพัก แผงลอยภาพตัดแปะอยู่ห่างจากที่นี่ประมาณหนึ่งร้อยห้าสิบเมตร ผู้หญิงคนนี้เบียดมาที่นี่ก็คงใช้เวลาไม่ถึงสิบนาที


สิบนาที การที่คนลักพาตัวจะออกจากตลาดนัดไปนั้นคงเป็นไปไม่ได้ นอกเสียจากว่าจะขับรถออกไป แต่การจะขับรถมาก็คงจะติดแหง่กอยู่ที่นี่ ยิ่งทำให้ไปไหนไม่ได้อีก งั้นก็คงไปไหนได้ไม่ไกล


ฉินสือโอวหยิบหมวกของเด็กในมือของผู้หญิงคนนั้น ปล่อยเป้าจือที่แบกไว้ในกระเป๋าออกมาแล้วก็ให้เบิร์ดปล่อยหู่จือออกมาด้วย เขานำหมวกให้เจ้าสองตัวนั้นดม จากนั้นก็ตบเบาๆ ไปที่ก้นของพวกมันให้พวกมันตามกลิ่นออกไป


หู่จือกับเป้าจือขยับจมูกอยู่พักใหญ่ กะพริบตาปริบๆ มองไปที่ฉินสือโอว แล้วก็มองไปรอบด้าน


ในกลุ่มคนที่มามุงดูมีคนตะโกนขึ้นว่า “ที่นี่คนเยอะขนาดนี้ จมูกของหมาต้องดีขนาดไหนกันถึงจะตามกลิ่นของเด็กเจอ?”


ฉินสือโอวเองก็รู้สึกไม่ค่อยมั่นใจกับวิธีนี้นัก หากว่าฉงต้าอยู่ที่นี่ด้วยก็คงดี ความสามารถการดมกลิ่นของฉงต้านั้นต่อให้เอาหู่จือกับเป้าจือมารวมกันก็เทียบไม่ได้เลย


แต่ว่าเจ้าแลบราดอร์ก็เก่งมากเหมือนกัน ก็เป็นถึงสุนัขที่ใช้ตรวจยาเสพติดของตำรวจสากลนี่นา อีกอย่างพวกมันก็ถูกพลังโพไซดอนทำให้แข็งแกร่งด้วยอีก


หู่จือกับเป้าจือดมกันสุดฤทธิ์ ฉินสือโอวลูบหัวพวกมันแล้วพูดว่า ‘เด็กดี’ ไม่หยุด ดมไปประมาณสิบกว่าวินาที ทั้งสองตัวหันหลังกลับ วิ่งไปทางที่โล่งทางด้านเหนือข้างหลังตลาดนัด


ชายวัยกลางคนในชุดสูทพูดออกมาอย่างงุนงงว่า “นี่หมายความว่าอะไร? พวกมันดมผิดหรือเปล่า พวกมันไปหาทางที่คุณพี่กับเด็กมากันเหรอ?”


ผู้หญิงเองก็ร้องไห้พร้อมพูดออกมาว่า “ไม่ใช่ทางเหนือ มีคนบอกว่าโดนคนอุ้มไปทางใต้นะ”


ฉินสือโอวรู้สึกลำบากใจ เพราะมีความน่าจะเป็นเหมือนที่พวกเขาพูด ที่หู่จือกับเป้าจือจะดมกลิ่นไปทางที่ผู้หญิงกับเด็กมา


แต่เขาก็ค่อนข้างมั่นใจว่าพวกมันจะดมกลิ่นของเด็กได้แล้วจริงๆ เพราะเมื่อกี้ทั้งหู่จือและเป้าจือต่างก็ไม่มีความลังเลเลย หากว่าเด็กไปทางทิศใต้จริงๆ งั้นทั้งทางทิศใต้และเหนือก็ต้องมีกลิ่นของเด็กคนนั้นทั้งสองที่ พวกมันก็ต้องลังเลสิถึงจะถูก


แต่ตอนนี้ ทั้งสองตัวต่างก็ไม่มีความลังเล แต่กลับวิ่งหันหลังกลับไปทางทิศเหนือพร้อมกันเลย


ฉินสือโอวให้วินนี่ดูแลพวกเด็กๆ เขาพาเบิร์ดวิ่งอ้อมตลาดนัดไปทางทิศเหนือตามหู่จือกับเป้าจือไป ชายหนุ่มและชายวัยกลางคนบางคนก็วิ่งตามไปด้วย


หู่จือกับเป้าจือแหงนหน้าดมกลิ่นตลอดทาง วิ่งสักพักก็หยุดส่งเสียงร้องให้กับฉินสือโอวแล้วก็ออกวิ่งต่อ เสียงร้องก็ถี่ขึ้นเรื่อยๆ


ในใจฉินสือโอวรู้สึกว่าได้เรื่องแล้ว จึงพูดกับพวกผู้ชายที่ตามมาว่า “ไม่ผิดแน่นอน เด็กถูกอุ้มไปทางทิศเหนือนี่แหละ!”


ตลาดนัดเป็นทางสี่แยก ยิ่งเข้าไปตรงกลางคนจะยิ่งเยอะ ถึงแม้ว่าจะวิ่งอ้อมร้านต่างๆ แล้วก็ยังคงวิ่งยากอยู่ดี


แต่ว่าหู่จือกับเป้าจือนั้นกระฉับกระเฉงมาก ตัวหนึ่งวิ่งนำอยู่ข้างหน้า อีกตัววิ่งอยู่ข้างหลังพาพวกฉินสือโอวไป ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ตามมาด้วยเห็นอย่างนี้แล้วก็ทำเสียงประหลาดใจ ตะโกนบอกฉินสือโอวว่า “เจ้าสองตัวของคุณนี้พันธุ์อะไรครับ? ฉลาดมากเลย”


จากทางเข้าออกทางทิศใต้ของตลาดนัด หู่จือวิ่งไปถึงตรงกลางทางเข้า จากนั้นก็ทำท่าดมกลิ่นแล้วก็หยุดหมอบลงกับพื้น ไม่มีทีท่าเหมือนจะมาหาอะไรเลย


รอเป้าจือพาฉินสือโอวมาถึง หู่จือก็กระโดดลุกขึ้นมาทันที แล้ววิ่งไปที่ข้างหลังแผงขายผลไม้ตรงทางเข้าที่มีรถตู้ยี่ห้อจินเปยจอดอยู่ จากนั้นก็แหงนหน้าหอนไม่หยุด “อาววู้ๆ ๆ ๆ !”


เป้าจือที่ทำท่าดมกลิ่น ก็วิ่งอ้อมไปอีกทางจนถึงหน้ารถ ก็ส่งเสียงร้องตามด้วย


เมื่อได้เห็นหู่จือกับเป้าจือที่ส่งเสียงร้องโหยหวน ชายวัยรุ่นสองคนที่กำลังสูบบุหรี่อยู่ข้างๆ รถตู้ก็แสดงสีหน้าที่แปลกประหลาดออกมา แล้วถามว่า “ให้ตายเถอะนี่มันหมาบ้าบ้านไหนกัน? เกิดอะไรขึ้น?”


ฉินสือโอวเดินเข้าไปพูดว่า “คุณเปิดประตูรถด้วยครับ พวกเราจะหาของหน่อย”


ชายวัยรุ่นในเสื้อกันหนาวสีแดงกลอกตาอย่างหนักแน่นแล้วพูดว่า “เปิดอะไร พวกเราไม่เคยรู้จักกัน นายจะมาหาอะไรในรถพวกเรากัน? หาเรื่องหรือไง?”


ชายวัยรุ่นอีกคนที่สวมเสื้อโค้ตอยู่ก็พูดปลอบออกมาว่า “เอาน่าๆ นายเก็บอารมณ์บ้างเถอะเจ้าสี่ อย่าเอะอะก็หาเรื่องชกต่อยเลย” เมื่อพูดปลอบแล้วเขาก็หันหัวไปทางฉินสือโอว ยื่นบุหรี่ให้มวนหนึ่ง “น้องชายทำอย่างนี้หมายความว่าอะไร? มาหาอะไรในรถของพวกเราเหรอ?”


หู่จือกับเป้าจือยังคงร้องไม่หยุด ฉินสือโอวจึงดีดนิ้ว ทั้งสองตัวก็รีบหุบปากทันที แล้วลุกขึ้นมาแล้วกระโจนไปที่ชายวัยรุ่นสองคนแทน


วัยรุ่นทั้งสองตกใจหน้าถอดสี รีบก้าวถอยหลังทันที ฉินสือโอวจึงรีบเข้าไปดึงประตูรถออก เขามั่นใจในตัวของหู่จือกับเป้าจือมาก ในเมื่อเป้าหมายได้รับการยืนยันแล้ว ก็ขี้เกียจมาพูดเรื่องหลักฐานแล้ว


แต่กลายเป็นว่าประตูรถถูกล็อกอยู่ ฉินสือโอวจึงออกแรงแขนทั้งสองสุดฤทธิ์ เสียง‘แกร๊ก’ ดังขึ้นพร้อมกับล็อกประตูที่หลุดออก ทำให้ประตูรถถูกเปิดออก


พอประตูรถเปิดออกก็เผยให้เห็นถึงใบหน้าตื่นกลัวของผู้หญิงคนหนึ่ง ในอ้อมกอดของผู้หญิงคนนั้นยังอุ้มเด็กที่กำลังนอนอยู่ด้วยคนหนึ่ง ขาวๆ อ้วนๆ ใบหน้าเนียนนุ่ม อายุประมาณสามขวบ หน้าตาเหมือนกับเด็กที่เขาเห็นในรูปถ่ายเมื่อกี้ไม่มีผิด


เมื่อเห็นฉินสือโอว ผู้หญิงคนนั้นก็ยื่นมือจะข่วนหน้าเขา แล้วตะโกนออกมาว่า “นายทำอะไร? ช่วยด้วย มีนักเลงจะมาหาเรื่องแล้ว…”


ฉินสือโอวผลักผู้หญิงออกแล้วรีบแย่งเด็กมา จากนั้นผู้หญิงคนนั้นที่มือยังถือหมวกเด็กอยู่ที่วิ่งตามมาอย่างทุลักทุเล พอเห็นหน้าเด็กที่ฉินสือโอวแย่งมาได้ก็ร้องไห้ออกมาสุดเสียงแล้วพุ่งเข้าไปหา รีบอุ้มเด็กมาไว้ในอ้อมกอดทันที จากนั้นก็ชี้นิ้วไปที่ชายวัยรุ่นที่ใส่เสื้อกันหนาวสีแดงแล้วพูดว่า “ไอ้คนไม่มีหัวใจคนนี้แหละที่บอกฉันว่าเด็กถูกอุ้มไปทางทิศใต้แล้ว…”


เมื่อเรื่องถูกแฉแล้ว ตอนนี้ชายวัยรุ่นสองคนจึงกลัวสุดขีด พวกเขาหยิบมีดสั้นออกมาจากเอวแล้วตะโกนออกมาว่า “ให้ตายเถอะ ใครกล้าเข้ามาข้าจะฆ่าทิ้งให้หมดเลย!”


เมื่อเห็นชายวัยรุ่นสองคนจ่อมีดไปที่ฉินสือโอว เบิร์ดขมวดคิ้วทีหนึ่ง จากนั้นก็พุ่งเข้าไปหาทันที ชายวัยรุ่นคิดไม่ถึงว่าขนาดหยิบมีดออกมาแล้วยังควบคุมสถานการณ์ไม่อยู่ จึงตัดสินใจแทงมีดออกไป


การแทงมีดกะทันหันแบบนี้สำหรับเบิร์ดแล้วเป็นเรื่องเด็กๆ มาก เขาตาไวมือไวรีบคว้าข้อมือของวัยรุ่นคนนั้นไว้ จากนั้นก็รวบบิดข้อมือนั้น ‘แกร๊ก’ เสียงเดียวก็ทำให้อีกฝ่ายทรุดลงไปทันที จากนั้นเขาก็หลบหลีกการแทงมีดของวัยรุ่นอีกคนอย่างรวดเร็ว ระหว่างหันตัวกลับก็ฟาดขาลงไปที่ไหล่ของวัยรุ่นคนนั้น ทำเอาเขาทรุดลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้นเลย!


รอบเดียวเท่านั้น น็อกเอาท์อีกแล้ว!


กลุ่มคนรอบๆ ที่มุงดูอยู่ถามว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อได้รู้ว่าเป็นพวกแก๊งลักพาตัวเท่านั้น คนทั้งกลุ่มก็เดือดขึ้นมา เจ้าของแผงขายผลไม้หยิบเปลือกทุเรียนที่แกะเอาเนื้อออกแล้วขว้างออกไป ด่าว่า “ไอ้สารเลวพวกนี้สมควรตีให้ตาย!”


ไม่ต้องรอให้ฉินสือโอวสั่ง เบิร์ดเตะมีดออกไปอีกทาง กลุ่มคนที่มุงดูก็รีบพุ่งเข้าไป ไม่นานชายวัยรุ่นสองคนและผู้หญิงวัยกลางคนก็ถูกทำให้จมลงไปในฝูงคน


บทที่ 478 คืนพร้อมหน้า

โดย

Ink Stone_Fantasy

คนหนุ่มสองคนที่ถูกเบิร์ดจัดการจนมีสภาพอนาถอยู่แล้ว คนที่ข้อมือหักยังถือว่าดี แต่คนที่ถูกขาพาดไปที่บ่านั้นคิดว่ากระดูกคงแหลกไปแล้วแน่เลย และพอโดนกลุ่มประชาชนที่โกรธแค้นรุมทำร้ายอีก ใช้เวลาไม่นานชายหนุ่มสองคนนั้นก็มีแรงเหลือให้หายใจต่อแต่ไม่มีแรงจะหาเรื่องต่อแล้ว


ดีที่ตำรวจมาทันเวลาพอดี ในงานตลาดนัดของทุกปีทางสถานีตำรวจจะวางกำลังตำรวจตระเวนอยู่รอบๆ เพราะแทบจะทุกปีที่จะมีเรื่องชกต่อยหรือลักขโมยเกิดขึ้นอยู่แล้ว


นายตำรวจสองคนออกแรงเบียดฝูงชนเข้ามา มีคนถึงกับใช้กาน้ำชาที่พึ่งซื้อมาทุบไปที่หน้าของผู้หญิงที่ถูกลากลงรถคนนั้นอย่างแรง การกระทำแบบนี้เกือบจะทำให้เหล่าฝูงชนปะทุกันขึ้นมาอีกครั้งทีเดียว


พวกชาวบ้านเกลียดคนแบบนี้ที่สุด เรื่องการลักขโมยเล็กๆ น้อยน่ะไม่ใช่ปัญหาใหญ่เลย


คุณตำรวจหยิบกุญแจมือขึ้นมากระแทกไปบนรถ ดัง ‘แก๊งๆ’ เสียงนี้ทำให้เหล่าฝูงชนนั้นเงียบลง พวกเขาถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ผู้หญิงที่อุ้มหลานอยู่เล่าเรื่องให้ฟังตั้งแต่ต้นจนจบด้วยเสียงสะอื้น


ตำรวจรูปร่างอ้วนนายหนึ่งถีบไปที่ชายหนุ่มสวมเสื้อกันหนาวสีแดงที่นอนเป็นตายอยู่บนพื้นอย่างรังเกียจ พูดว่า “แกมันชั่วช้าสามานย์ อย่ามาทำเป็นแกล้งตายนะ ให้ตายเถอะ ไอ้พวกลักพาตัว แกนี่มันสารเลวจริงๆ !”


เหล่าฝูงชนตะโกนให้ตีพวกเขาให้ตาย ตำรวจที่ดูสูงอายุก็ตะโกนว่า “ประชาชนทุกคนใจเย็นๆ เงียบเดี๋ยวนี้นะให้ตายเถอะ! พวกเราต้องทำการสอบสวนนะ พวกลักพาตัวพวกนี้ต้องไม่ได้มีแค่พวกเขาสามคนแน่นอน! พวกเราต้องรวบพวกมันให้หมด!”


เมื่อคุณตำรวจตะโกนออกมา เหล่าฝูงชนที่แม้จะยังโกรธไม่หาย แต่ก็ยอมสงบลง เพราะเป็นงานในหมู่บ้านใกล้เรือนเคียง ตำรวจพวกนี้ก็มีญาติที่อาศัยอยู่ในอำเภอนี้ด้วย มีคนตะโกนพูดกับนายตำรวจรูปร่างอ้วนท้วมว่า “ต้าจิน นายต้องจับตาดูไอ้สารเลวนี่ให้ดีนะ! สอบสวนให้ดี ต้องทวงความยุติธรรมให้คนในหมู่บ้านให้ได้!”


ตำรวจอ้วนพูด “วางใจได้ครับน้า พอพวกผมนำตัวพวกเขากลับไปแล้วก็จะเริ่มสอบสวนทันที! จริงสิ แล้วชายหนุ่มที่เลี้ยงหมาล่ะ? เขาไปไหนแล้ว?”


คนทั้งกลุ่มพากันทำหน้าสับสน พวกเขามองซ้ายมองขวา ถึงรู้ว่าชายหนุ่มที่หาเด็กเจอกับชายต่างชาติร่างกายกำยำนั้นหายไปแล้ว แต่หายไปตอนไหนนั้น ใครจะรู้?


พอฉินสือโอวเห็นคนรอบๆ พากันรุมเข้าไปเขาก็พาเบิร์ดเดินจากไปแล้ว ภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว หากยังอยู่ต่อไปก็เท่ากับหาเรื่องให้ตัวเองแล้วล่ะ เขารู้ว่าหากตำรวจมาแล้วจะต้องลากเขาไปให้ปากคำอย่างแน่นอน อย่างนี้สู้รีบกลับบ้านดีกว่า


น่าเสียดายที่รถถูกปิดทางออกไว้ ฉินสือโอวจึงพาทุกคนนั่งไปกับรถตู้ที่ยืมมา กินพิสตาชิโอไปพลางพูดคุยกัน วินนี่หยิบเนื้อทอดที่ซื้อมาป้อนให้หู่จือกับเป้าจือ พร้อมกับพูดชมไม่หยุดปากว่าพวกมันเป็นเด็กดี


เมื่อกลับถึงบ้านตอนบ่าย เลขาหมู่บ้านรอพวกเขาอยู่ที่บ้าน บอกว่าสำนักงานรักษาความปลอดภัยจากในอำเภอโทรมาหาเขา ถามเขาเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น


ฉินสือโอวถามว่าต้องไปให้ปากคำหรือเปล่า เลขาหมู่บ้านหัวเราะแล้วพูดว่า “ปากคำอะไรกัน สิ่งที่พวกคุณทำเป็นเรื่องดี ยังต้องไปให้ปากคำอีกเหรอ? การหาตัวพวกลักพาตัวเจอนั้นถือเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก เดี๋ยวกลับไปผมต้องไปสถานีตำรวจขอธงเกียรติยศเสียหน่อยแล้ว ถึงตอนนั้นจะเอามาห้อยไว้ในกลุ่ม ให้หมู่บ้านเรามีหน้ามีตาเสียบ้าง”


เหวินซูหัวเราะเหอๆ แล้วพูดว่า “ห้อยไว้ที่กลุ่มไหนกัน? เดี๋ยวรอโรงงานกระป๋องสร้างเสร็จ ห้อยไว้ที่โรงงานแทนเลย!”


พูดคุยกันได้สักพัก พวกเลขาหมู่บ้านและเหวินซูก็กลับไป พ่อของฉินสือโอวและคนอื่นๆ ก็ได้รู้เรื่องราวทั้งหมด


วันที่ 28 เดือนสิบสอง (เดือนที่สิบสองตามปฏิทินจันทรคติ) เลขาหมู่บ้านได้มาเรียกให้ฉินสือโอวไปที่กลุ่มหมู่บ้าน จากนั้นก็ใช้เครื่องกระจายเสียงประกาศเรียกให้ทุกบ้านไปที่คลังเก็บของของหมู่บ้านเพื่อรับของขวัญประจำปีกัน


ของพวกนี้เป็นของที่ฉินสือโอวออกเงินซื้อให้ การทำแบบนี้ไม่ได้เป็นการอวดว่าตัวเองเป็นเศรษฐี แต่ปีใหม่ทั้งที สิ่งที่ผู้คนคาดหวังในวันนี้ก็มีแค่ขอให้มีความสุขกับโชคดีเท่านั้น ในทุกปีหมู่บ้านจะแจกของขวัญประจำปีอยู่แล้ว แต่เพราะไม่มีเงิน จึงแจกได้แค่ข้าวสารสองถุงกับไข่ไก่สองชั่งต่อหนึ่งครอบครัวเท่านั้นก็จบเรื่อง


ก่อนหน้านี้ฉินสือโอวเห็นว่าเหวินซูและหัวหน้าคณะกรรมการหมู่บ้านไปซื้อของขวัญที่จะแจกกัน เขาจึงให้พ่อเขาเอาเงินให้ไปสองแสนหยวน เพื่อจะได้ซื้อของขวัญได้เยอะขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้คนแก่ในหมู่บ้านได้ของเยอะขึ้นด้วย


ตอนเขาอยู่เกาะแฟร์เวลทำทั้งซ่อมแซมโบสถ์ไหนจะยังขยายฟาร์มปลาอีก หากกลับบ้านเกิดแล้วขี้เหนียวเกินไป คงจะไม่ดีแน่


หมู่บ้านตระกูลฉินมีทั้งหมดสี่ร้อยกว่าครัวเรือน ประชากรประมาณสองพันคน เงินสองแสนหยวนแบ่งให้คนในหมู่บ้านได้เฉลี่ยเพียงคนละหนึ่งร้อยกว่าหยวนเท่านั้น ความจริงแล้วไม่ถือว่าเยอะเลย แต่ว่าหากเปลี่ยนเป็นข้าวสาร เนื้อ ไข่แล้วก็ของอีกนิดหน่อย ก็ถือว่าเยอะแล้ว


เมื่อถึงเวลาแจกของขวัญ ปีนี้ถือว่าเป็นปีที่ครึกครื้นที่สุดที่หมู่บ้านตระกูลฉินเคยมีมาเลย แทบจะทุกครัวเรือนจะได้รับของมูลค่าสามสี่ร้อยหยวนไป ถือว่าเป็นของขวัญชิ้นใหญ่เลย


อีกวันเดียวก็จะเป็นวันที่29เดือนสิบสองแล้ว ต่อจากนี้ก็คือเวลาที่ฉินสือโอวจะช่วยคุณพ่อติดตุ้ยเหลียน [1]โคลงบนของหน้าประตูเขียนว่า ‘พสกนิกรอยู่เย็นกันทั่วหล้า’ โคลงล่างคือ ‘ฝนตกตามฤดูมีเก็บเกี่ยวกิน’ โคลงกลางคือ ‘เขาเขียวขจีแม่น้ำใสสวยงาม’


ฉินสือโอวเห็นแล้ว ก็หัวเราะพูดว่า “แหม พ่อนี่มีหัววิชาการจัง ทำไมตุ้ยเหลียนของบ้านเราปีนี้ถึงดูมีความรู้จัง?”


พ่อของฉินสือโอวยิ้มอย่างพอใจแล้วพูดว่า “บ้านเราตอนนี้ถือว่าดีมากแล้ว เป็นคนต้องรู้จักพอ สถานะในตอนนี้ของบ้านเราถ้าเป็นเมื่อก่อนคงไม่กล้าแม้แต่จะคิดด้วยซ้ำ คิดๆ ดูแล้วที่เป็นแบบนี้ก็เพราะประเทศสุขสงบนั่นล่ะ ถ้าเป็นเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว แกจะไปแคนาดาได้ยังไง?”


ลูบตุ้ยเหลียนให้เรียบเร็ว พ่อของฉินสือโอวพูด “ท้ายที่สุดแล้ว ก็ต้องประเทศเจริญ ประเทศร่ำรวย ประเทศดี แบบนั้นประชาชนถึงจะดีด้วย”


ฉินสือโอวคิดๆ ที่พ่อพูดว่าก็มีเหตุผล แต่ว่าเขาก็ยังชอบเกาะแฟร์เวลมากกว่าอยู่ดี


ก่อนวัน 29 บรรยากาศปีใหม่ยังไม่เข้มข้น ต้องรอวันที่ 30 บรรยากาศที่บ่มมาร่วมปีถึงจะหอมกรุ่นขึ้นมาทันที


แต่ประเทศจีนเป็นประเทศใหญ่ ขนบธรรมเนียมหลากหลาย ธรรมเนียมของหมู่บ้านของฉินสือโอวนั้นคือเช้าวันที่สามสิบจะกินข้าวสวยกับก๋วยเตี๋ยวหมูใส่ผักกาดขาวกัน


ปีนี้ที่บ้านคนเยอะ พ่อกับแม่ของฉินสือโอวใช้เตากระทะใหญ่ทำก๋วยเตี๋ยวหมูผักกาดขาวมาหม้อใหญ่ ตอนเช้าตื่นมาแต่เช้าตรู่ หลังล้างหน้าแปรงฟันแล้วก็จะไปกินข้าวกันที่เตียงตั่ง ฉินสือโอวใส่แผ่นเนื้อหมูแผ่นใหญ่ที่ต้มสุกแล้วให้กับพวกเด็กๆ คนละแผ่น


เชอร์ลี่ย์มองดูอย่างตกตะลึง แล้วถามด้วยเสียงเบาว่า “ฉิน หนูกินผักบ้างดีไหมคะ? เด็กผู้หญิงไม่ควรกินเนื้อเยอะเกินไปค่ะ”


ทางฝั่งวินนี่ยิ่งตะลึงกว่า เพราะทั้งพ่อและแม่ของฉินสือโอวต่างก็หยิบแผ่นเนื้อหมูให้เธอทั้งคู่ รวมเป็นเนื้อหมูสองแผ่นใหญ่!


ฉินสือโอวเห็นวินนี่กินไม่ลง จึงหัวเราะฮ่าๆ แล้วช่วยเธอกิน ทั้งสองคนแบ่งเนื้อหมูกันเธอหนึ่งแผ่นฉันหนึ่งแผ่น กินกันอย่างมีความสุข ทางฝั่งพ่อและแม่ของฉินสือโอวที่มองดูอยู่นั้นยิ่งมีความสุข


เมื่อกินข้าวเช้าเสร็จก็เตรียมห่อเกี๊ยวกัน เกี๊ยวนี่ไว้สำหรับกินวันพรุ่งนี้ แม่ของฉินสือโอวเตรียมไส้ไว้หลายอย่าง มีผักกุ้ยช่ายสด ไข่ไก่สด กุ้งฝอยสด รวมเป็นเกี๊ยวน้ำไส้สามสหาย และก็มีเกี๊ยวน้ำไส้เนื้อวัวกับหอมหัวใหญ่ เกี๊ยวน้ำไส้ปลาอินทรีบั้ง และก็เกี๊ยวน้ำไส้ถั่วดำ


แม่ของฉินสือโอวจะตะโกนเรียกพ่อของฉินสือโอวมาช่วยกันห่อเกี๊ยว แต่สุดท้ายไม่ทันถึงมือของทั้งสอง เพราะเชอร์ลี่ย์กับเด็กๆ ต่างก็พากันมาล้อมอยู่ที่โต๊ะช่วยกันห่อ เหมือนกับสายน้ำที่ไหลไปเรื่อยๆ ไม่นานเกี๊ยวที่รูปร่างเหมือนเงินตำลึงก็ออกมาแล้ว


แม่ของฉินสือโอวมองดูแล้วยิ้มอย่างมีความสุข ชมพวกเขาไม่หยุดปากว่าพวกเขาห่อได้ดี เพื่อนบ้านที่มาเที่ยวหา เมื่อเห็นเด็กต่างชาติสี่คนห่อเกี๊ยวแถมยังห่อได้ดีอีก ต่างก็พากันตกใจแล้วพูดว่า “ว้าว ดูเหมือนว่าไม่ได้มีเพียงอาหารจีนของเราเท่านั้นที่ดังไปทั่วโลก แม้แต่อาหารแป้งของจีนก็ดังขนาดนี้เลยเหรอ?”


ตอนเย็นฉินสือโอวตามคุณพ่อไปไหว้หลุมศพของคุณตาคุณยายกัน นี่คือกิจกรรมที่สำคัญที่สุดของเย็นวันที่สามสิบของปี ก็คือการเชิญเหล่าบรรพบุรุษกลับบ้านมาฉลองปีใหม่ด้วยกัน


เมื่อถึงสุสานของหมู่บ้านแล้ว พ่อของฉินสือโอวก็เผากระดาษจุดธูป ส่วนฉินสือโอวก็จุดประทัดแพ


ปีนี้พ่อของฉินสือโอวจัดการทุกอย่างอย่างใหญ่โต ประทัดแพนี้เป็นประทัดใหญ่ขนาดห้าร้อยลูก ทำให้ฉินสือโอวจำต้องหาไม้ไผ่ยาวสองอันมามัดรวมกันจึงจะสามารถห้อยประทัดแพนี้ขึ้นมาได้


หลังจากจุดประทัดดังเปรี้ยงปร้างแล้ว พ่อของฉินสือโอวก็ถอนหายใจแล้วพูดกับฉินสือโอวว่า “พ่อว่าแกลองหาเวลาย้ายหลุมศพของคุณปู่รองมาที่นี่ด้วยดีไหม? ใบไม้ร่วงยังคืนสู่ราก คุณปู่รองของแกน่ะ ก็คงอยากกลับบ้านอยู่เหมือนกันนะ”


ฉินสือโอวพยักหน้า หากมีโอกาสจะต้องย้ายหลุมฝังศพของคุณปู่รองมาที่นี่แน่นอน แต่เรื่องนี้คงไม่ง่ายนัก เพราะที่แคนาดานั้นเป็นการฝังศพไม่ได้เผา การจะขนโลงศพกลับมาที่นี่นั้นคงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก


……………………………………


[1] ตุ้ยเหลียน คือ บทกลอนคู่ มีรูปแบบเป็นคำกลอนคู่ซ้าย-ขวา ที่มีความคล้องจองและมีความหมายสัมพันธ์ต่อเนื่องกัน ในช่วงตรุษจีน คนจีนทุกบ้านจะเอาตุ้ยเหลียนติดไว้ที่หน้าบ้าน ตุ้ยเหลียนที่ใช้ในวันตรุษจีนมักใช้พื้นสีแดงตัวหนังสือสีทอง


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)