ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 470-476

 ตอนที่ 470 สาขาห่านฟ้า

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ศิษย์พี่เย่ เคยมีคนฝ่าด่านชั้นที่สามสิบหกจนกลายเป็นศิษย์สายในหรือไม่?” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกตกตะลึง ต่อให้ตนเองจะฝึกฝนจนถึงระดับของเหลวขั้นปลาย แต่ก็มีโอกาสน้อยมากที่จะเอาชนะปีศาจอสูรพร้อมกันถึงสี่ตัวได้


“บอกศิษย์น้องหลิ่วอย่างไม่ปิดบัง ตามที่ข้าทราบมา ในระยะสิบกว่าปีมานี้ บรรดาศิษย์สายนอกของทั้งแปดสาขาใหญ่หลายหมื่นคน ที่สามารถฝ่าชั้นที่สามสิบหกจนกลายเป็นศิษย์สายในได้นั้น มีอยู่น้อยมาก นอกจากนี้ ประมุขนิกายยอดบริสุทธิ์ในขณะนี้ เมื่อหลายปีก่อนก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์การฝึกฝนที่หมื่นปีถึงพบเจอสักครั้ง เคยมีสถานะเป็นศิษย์สายตรงระดับแก่นแท้ อึดใจเดียวก็สามารถฝ่าไปถึงชั้นที่เจ็ดสิบสอง สุดท้ายก็เอาชนะการร่วมมือกันของราชาปีศาจทั้งหกที่อยู่ระดับแก่นแท้ขั้นปลายได้ ตอนนั้นเรื่องนี้เป็นที่ฮือฮากันมากในนิกาย ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการปูพื้นฐานสู่การเป็นประมุขนิกายยอดบริสุทธิ์อย่างราบรื่นในภายหลัง” เล่ามาถึงจุดนี้ เย่ถูก็มีสีหน้าเลื่อมใสเป็นอย่างมาก


หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ก็พูดอะไรไม่ออกทันที


เจดีย์ซวีหลิงบุกยากเช่นนี้ หากคิดจะอาศัยวิถีทางนี้กลายเป็นศิษย์สายใน คงต้องวางแผนระยะยาวแล้ว


“ศิษย์น้องหลิ่ว ได้ยินมาว่าเจ้าเป็นผู้สืบทอดของศิษย์สายตรงในยอดเขาเมฆาเขียวเมื่อหลายพันปีก่อน ด้วยคุณสมบัติกับระดับการฝึกฝนของศิษย์น้อง ไม่ต้องพูดถึงการบุกเจดีย์ซวีหลิง ก็ยังมีความหวังในการเข้าสู่ระดับผลึกก่อนอายุห้าสิบไม่น้อย” เย่ถูเห็นหลิ่วหมิงมีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นนี้ ก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม


หลิ่วหมิงก็ได้แต่หัวเราะแหะๆ


แม้คนผู้นี้จะพูดจ้อเป็นต่อยหอย แต่ก็ทำให้เขาได้ข้อมูลสำคัญมาไม่น้อย


ต่อมา หลิ่วหมิงก็ถามต่อจนทราบเรื่องเกี่ยวกับศิษย์สายในกับศิษย์สายตรง


ตามความคิดเห็นของนิกายยอดบริสุทธิ์ ศิษย์สายนอกที่ได้รับการคัดเลือกจากนิกายทั้งหมดกับศิษย์สายในจะถูกแบ่งไปสังกัดยอดเขาแต่ละลูก และศิษย์สายตรงก็จะเลือกมาจากศิษย์สายใน สถานะของพวกเขาจะไม่เหมือนกับศิษย์ทั่วไป และอยู่ในตำแหน่งเท่าเทียมกับผู้อาวุโสแต่ละยอดเขา และบรรดาผู้อาวุโสสาขาต่างๆ ส่วนประมุขนิกายยอดบริสุทธิ์ในอนาคต เจ้าวิหารสำคัญต่างๆ ก็จะเลือกจากศิษย์สายตรง ด้วยเหตุนี้จึงเป็นสุดยอดในบรรดาสุดยอดด้วยกัน


พอนึกถึงปรมาจารย์ลิ่วยินแห่งนิกายปีศาจ ที่เคยดำรงตำแหน่งนี้ในนิกายยอดบริสุทธิ์แล้ว หลิ่วหมิงก็รู้สึกปลงอนิจจังอย่างอดไม่ได้


เย่ถูกระตุ้นรถเหาะพาหลิ่วหมิงไปสาขาห่านฟ้า ขณะเดียวกันก็ตอบข้อสงสัยของหลิ่วหมิงอย่างละเอียด


ครึ่งชั่วยามผ่านไป ทั้งสองก็มาถึงภายในหุบเขาขนาดใหญ่ ที่อยู่ท่ามกลางยอดเขาสูงต่ำขนาดต่างๆ ที่รายล้อมอยู่


ทางใต้ของหุบเขาเป็นยอดเขาค่อนข้างเล็กสองลูก มีไผ่เขียวปกคลุมเป็นจำนวนมาก บริเวณไหล่เขาก็มีหอสองสามหลังกับลานลหน้าห้องมุขแห่งหนึ่ง


ทางเหนือก็เป็นยอดเขาสูงตระหง่านเสียดฟ้าสามลูกที่เรียงติดๆ กัน บนนั้นมีหินยักษ์สีขาวเทากองระเกะระกะ และไม่มีสิ่งก่อสร้างใดๆ แลดูโล่งมาก


และตรงหน้ายอดเขาทางด้านตะวันออกที่ไม่เล็กไม่ใหญ่มากนัก จะเป็นวิหารใหญ่ที่สูงสิบกว่าจั้ง


วิหารแห่งนี้ สร้างจากหินอ่อนสีขาว เทียบกับหองานนอกแล้ว มันดูภูมิฐานกว่าเล็กน้อย


“ศิษย์น้องหลิ่ว ที่นี่ก็คือสาขาห่านฟ้า” เย่ถูชี้ไปยังวิหารใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าไกลๆ และกล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้ม


พอหลิ่วหมิงมองออกไป ก็ค้นพบว่าหินหยกสีขาวแผ่นหนึ่งที่แขวนอยู่นอกประตูวิหาร มีอักขระที่ดูทรงพลังสลักอยู่ “สาขาห่านฟ้า”


ครู่ต่อมา ทั้งสองก็นั่งรถเหาะร่อนลงหน้าวิหารใหญ่


“ศิษย์น้องหลิ่ว ข้ายังมีเรื่องอื่นที่ต้องทำ ต้องขอตัวก่อน” หลังจากเย่ถูส่งหลิ่วหมิงมาถึงเป้าหมายแล้ว เขาก็กล่าวลาทันที


“ขอบคุณพี่เย่ที่มาส่ง ถนอมตัวด้วย” หลิ่วหมิงโค้งตัว และประสานมือคารวะชายชุดแดง


เย่ถูพยักหน้า จากนั้นก็หมุนตัวกระโดดขึ้นบนรถเหาะ และทะยานขึ้นฟ้าอีกครั้ง


 หลิ่วหมิงไม่ได้รีบร้อนเข้าไปในวิหาร แต่กลับสังเกตสิ่งก่อสร้างภายนอกอย่างละเอียดอีกครั้ง


ด้านข้างวิหารใหญ่มีหอสูงต่ำอยู่สองสามหลัง ด้านหลังเป็นบ้านไม้ทั้งแถบ ส่วนอีกด้านเป็นทางเดินคดเคี้ยวเล็กๆ สายหนึ่งที่มีต้นไม้ไม่ทราบชื่อขนาบอยู่ทั้งสองข้างทาง ไม่รู้ว่ามันมุ่งไปยังสถานที่ใด


แม้หลิ่วหมิงจะรู้แปลกใจเล็กน้อย แต่เนื่องจากมาที่นี่เป็นครั้งแรก จึงไม่กล้าเดินสะเปะสะปะ หลังจากลังเลเล็กน้อยแล้ว ก็เดินเข้าไปในวิหารใหญ่


พอเขาเดินเข้าไปในวิหาร กลับถูกชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ขวางไว้


“เจ้าเป็นใคร มาสาขาห่านฟ้าทำไม?” ชายที่มีใบหน้าปูดโปนซักถามเขาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น


“ข้าเป็นศิษย์สายนอกที่มาใหม่ ตั้งใจมาคารวะหัวหน้าสาขา” หลิ่วหมิงมองชายผู้นี้ทีหนึ่ง จากนั้นก็ชูป้ายในมือและกล่าวด้วยสีหน้าสงบ


“ทำไมถึงรับคนในเวลานี้! เจ้ารอก่อน หัวหน้าสาขาไม่อยู่ ข้าจะไปรายงานรองหัวหน้า” ชายผู้นี้มองป้ายอย่างละเอียด และขมวดคิ้วกล่าว จากนั้นกันหมุนตัวก้าวยาวๆ เข้าไปด้านใน ไม่นานก็หายลับไปกับตา


“รบกวนแล้ว!” หลิวหมิงประสานมือคารวะเล็กน้อย จากนั้นก็สังเกตดูด้านในของวิหาร


เทียบกับความโอ่อ่าที่มองมาจากด้านนอกแล้ว ด้านในนี้มีความพิเศษกว่ามาก!


ในห้องโถงมีขนาดร้อยกว่าจั้ง บนเสาหินสีดำที่แบกรับน้ำหนักไว้ มีภาพมังกรสลักอยู่ และผนังบริเวณรอบๆ ก็ก่อขึ้นจากหินสีดำขนาดใหญ่ แต่บนพื้นผิวมีลวดลายไม่ทราบชื่อประทับอยู่ คิดว่าคงถูกวางชั้นจำกัดไว้ไม่น้อย บนผนังมีผลึกหินฝังอยู่จำนวนหนึ่ง มันส่องแสงจนภายในสว่างไสว


ภายในห้องโถงจัดอย่างเรียบร้อยด้วยโต๊ะและเก้าอี้ไม้สีเขียวแก่สองแถว และตรงท้ายสุดของห้องโถง ดูเหมือนว่าจะมีศิษย์สองสามคนกำลังกระซิบกระซาบอะไรกันอยู่


เนื่องจากอยู่ไกลกันเล็กน้อย หลิ่วหมิงจึงได้ยินไม่ชัดเจนว่าพวกเขากำลังพูดคุยอะไรกันอยู่ จึงได้แต่ยืนรอตรงประตูอย่างเงียบๆ


เวลาผ่านไปราวๆ หนึ่งถ้วยชา มีชายวัยกลางคนเดินออกมาจากส่วนลึกของห้องโถง ชายผู้นี้สวมชุดคลุมยาวสีขาว ปลายคิ้วเฉียงขึ้นด้านบน ประจักษ์ชัดว่าเป็นคนที่น่าเกรงขามมาก และด้านหลังของเขาก็มีชายหนุ่มรูปโฉมงดงาม ที่ดูอ่อนแอเดินตามมาด้วยคนหนึ่ง


“เจ้าคือศิษย์สายนอกคนใหม่ที่มารายงานใช่ไหม ชื่ออะไรล่ะ?” ชาวผู้นี้มีสายตาหลักแหลม เขาเอ่ยปากถามอย่างราบเรียบ


“เรียนผู้อาวุโส ผู้น้อยหลิ่วหมิง” หลิ่วหมิงรู้สึกว่าสายตาของฝ่ายตรงข้ามมีความรู้สึกกดดันอยู่ เขาจึงได้แต่ก้มหน้าลงเล็กน้อย และกล่าวอย่างนอบน้อม


“ข้าคือเหลียงจ้านเกอ รองหัวหน้าสาขา นำป้ายของเจ้าออกมาเถอะ!” ชายผู้นี้กล่าวอย่างราบเรียบ พอพลิกฝ่ามือก็มีสมุดหยกเล่มหนึ่งปรากฏออกมา


“ส่งพลังเวทเข้าไปในป้ายของเจ้าเล็กน้อย” พอเห็นหลิ่วหมิงนำป้ายออกมาแล้ว ชายผู้นี้ก็กล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล


พอหลิ่วหมิงได้ยิน ก็ส่งพลังเวทใส่ป้ายโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง แต่จะเห็นว่ามีแสงสีเขียวไหลวนอยู่บนป้ายชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นแสงสีเขียวก็พุ่งออกมา และพุ่งไปยังสมุดหยกของชายผู้นี้


“ฟิ้ว!” แสงสีเขียวเปล่งประกายบนสมุดหยก จากนั้นก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง


“อวี๋ซิ่น เจ้าพาเขาไปเลือกถ้ำที่พักเถอะ!” ชายวัยกลางคนสะบัดแขนเสื้อเก็บสมุดหยกเข้าไป และหันไปกล่าวกับชายหนุ่มรูปงามที่อยู่ด้านหลังด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก


พอกล่าวจบ ชายวัยกลางคนก็ยกมือขวาขึ้น จากนั้นแผ่นหยกก็พุ่งออกจากแขนเสื้อ และตกลงบนมือหลิ่วหมิงอย่างมั่นคง


“แผ่นหยกนี้บันทึกเกี่ยวกับข้อบังคับของสาขาห่านฟ้าเรา เจ้าต้องท่องจำให้ขึ้นใจ บทลงโทษสำหรับฝ่าฝืนกฎมีอะไรบ้าง ในแผ่นหยกได้บรรยายไว้หมดแล้ว” ชายวัยกลางคนกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย จากนั้นก็หมุนตัวเดินไปยังทิศทางที่จากมา


หลิ่วหมิงไม่ได้ใส่ใจความรู้สึกเย็นชาของชายวัยกลางคน เพียงแค่ใช้สายตาน้อมส่งเท่านั้น


“ศิษย์น้องหลิ่ว ข้าจะพาเจ้าไปเลือกถ้ำที่พัก” ชายหนุ่มรูปงามเดินมาด้านข้างหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้ม


“รบกวนศิษย์พี่อวี๋แล้ว” หลิ่วหมิงตอบรับด้วยรอยยิ้ม พอเหลือบตามองดูชายผู้นี้แล้ว ไม่รู้ทำไมรอยยิ้มของเขาถึงได้ดูไม่เป็นธรรมชาติเล็กน้อย


“ศิษย์น้องไม่ต้องเกรงใจ ตามข้ามาเถอะ!” ขณะที่พูดชายหนุ่มรูปงามก็เดินนำออกไปนอกวิหาร และยกแขนขึ้นมา


“พรึ่บ!”


หมอกควันสีเขียวพุ่งออกจากแขนเสื้อ จากนั้นก็เกาะตัวเป็นกลุ่ม และลอยอยู่ตรงหน้าชายหนุ่ม พอเขาทำท่ามือ ไอหมอกก็ค่อยๆ กระจายออก หลังจากมีเสียงร้องดังขึ้น อินทรีเขียวก็ปรากฏออกมาท่ามกลางแสงสีเขียวสลัวๆ


ชายหนุ่มกระโดดขึ้นหลังอินทรียักษ์ จากนั้นหลิ่วหมิงก็กระโดดตามขึ้นไป


อินทรียักษ์แผดเสียงร้องออกมา และทะยานขึ้นฟ้า จากนั้นก็พุ่งไปยังยอดเขาสามลูกที่ตั้งเรียงติดกัน


เมฆหมอกลอยวนบนยอดเขา สามารถรับรู้ถึงปราณจิตวิญญาณอันเข้มข้นที่แผ่ออกมาจากที่ไกลๆ จนหลิ่วหมิงต้องแอบชื่นชมอยู่ไม่หยุด


เทียบกับเขาเก้าทารกของนิกายปีศาจในปีนั้นแล้ว มันแตกต่างกันราวฟ้ากับดินเลยทีเดียว


“ศิษย์น้องหลิ่ว ศิษย์สาขาห่านฟ้าของเราส่วนใหญ่สร้างถ้ำที่พักบนยอดเขาสามลูกที่อยู่บนชีพจรจิตวิญญาณพอดี ที่นี่ปราณจิตวิญญาณหนาแน่น แต่เมื่อเทียบสถานที่ที่ปราณจิตวิญญาณหนาแน่นที่สุด กับสถานที่ที่มีปราณจิตวิญญาณเบาบางที่สุด มันแตกต่างกันแค่สองถึงสามเท่าขึ้นไปเท่านั้น” อวี๋ซิ่นชี้ไปยังชีพจรจิตวิญญาณด้านล่างแล้วค่อยๆ กล่าวออกมา


“ไม่ทราบศิษย์พี่อวี๋รู้ไหมว่า สถานที่แห่งใดมีปราณจิตวิญญาณหนาแน่นบ้าง?” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกใจเย็นสะท้าน เดิมทีคิดว่าทั่วทั้งชีพจรจิตวิญญาณนี้ ต่อให้จะมีความแตกต่างกันบ้าง มันก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่นี่แตกต่างกันสองถึงสามเท่าขึ้นไป มันกลับเหนือความคาดหมายของเขายิ่งนัก


“โดยพื้นฐานแล้ว สถานที่ที่มีปราณจิตวิญญาณหนาแน่น ต่างก็ถูกบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องครอบครองหมดแล้ว แต่มีถ้ำหลายแห่งที่ตอนนี้ว่างอยู่ ซึ่งเกิดจากการที่ศิษย์จำนวนหนึ่งกลายเป็นศิษย์สายใน แต่ว่า……” อวี๋ซิ่นหยุดชะงักเล็กน้อย


“ศิษย์น้องเพิ่งมาเป็นครั้งแรก ศิษย์พี่มีอะไรก็พูดมาได้เลย” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็พอจะคาดเดาอะไรได้อยู่ลางๆ แต่ยังคงกล่าวอย่างนอบน้อม


“ดูท่าศิษย์น้องก็เป็นคนเปิดเผยเหมือนกัน ถ้ำหลายแห่งนี้ เดิมทีหัวหน้าสาขาเตรียมไว้เป็นรางวัลสำหรับการประลองเล็กในครั้งหน้า แม้ภายหลังอาจจะจัดสรรกันใหม่อีกครั้ง แต่ศิษย์น้องสามารถพักอยู่ชั่วคราวได้เป็นเวลาสองปี แต่ว่า……” อวี๋ซิ่นหัวเราะออกมาอีกครั้ง


ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามเอ่ยปากออกมาแล้ว หลิ่วหมิงย่อมรู้แก่ใจดี เขาจึงหยิบถุงหินจิตวิญญาณออกมาให้อวี๋ซิ่นถุงหนึ่ง ซึ่งเป็นหินจิตวิญญาณที่หองานนอกมอบให้ มีหินจิตวิญญาณอยู่ในนั้นราวๆ สี่ห้าหมื่น


สำหรับเขาแล้ว เวลาในการฝึกฝนค่อนข้างกระชั้นชิดมาก และในขณะนี้เขาก็มีสมบัติค่อนข้างเยอะ หากสามารถใช้หินจิตวิญญาณจำนวนหนึ่งแลกกับถ้ำที่มีปราณจิตวิญญาณหนาแน่นกว่าสองสามเท่าล่ะก็ ถึงแม้จะเป็นเวลาไม่นาน แต่ก็เป็นข้อตกลงที่ดี


อวี๋ซิ่นรับหินจิตวิญญาณอย่างไม่เกรงใจ หลังจากใช้จิตกวาดดูแล้ว ก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม


“ศิษย์น้องหลิ่วปราดเปรื่องยิ่งนัก ข้าจะพาเจ้าไปดูถ้ำที่พักเดี๋ยวนี้”


ขณะที่พูดอวี๋ซิ่นก็ทำท่ามือไปด้วย แสงสีเขียวบนตัวอินทรียักษ์สว่างขึ้นกว่าเดิม จากนั้นก็ร่อนลงบนยอดเขาที่อยู่ตรงกลาง


ไม่นานทั้งสองก็มาถึงบนยอดเขาลูกเล็กๆ และกระโดดลงไป


พออวี๋ซิ่นโบกมือข้างหนึ่ง อินทรียักษ์สีเขียวก็กลายเป็นควันสีเขียวพุ่งกลับเข้าไปในแขนเสื้อ


“ศิษย์น้องหลิ่ว ถ้ำแห่งนี้เดิมทีเป็นของศิษย์พี่อู๋ ครึ่งปีก่อนศิษย์พี่เขาทะลวงเข้าสู่ระดับผลึก และกลายเป็นศิษย์สายในได้ หลังจากศิษย์พี่อู๋ย้ายออกไป ที่นี่ก็ว่างมาโดยตลอด ศิษย์น้องจงส่งพลังเวทเข้าไปในป้าย และประทับชื่อตนเองไว้บนถ้ำแห่งนี้” อวี๋ซิ่นอธิบายกับหลิ่วหมิง


หลิ่วหมิงได้ยินก็หยิบป้ายบนเอวออกมา พอปล่อยพลังเวทใส่เล็กน้อย ลำแสงสีแดงก็พุ่งออกมา และปะทะลงบนประตูหินของถ้ำ


บนประตูหินมีลวดลายสีดำประทับอยู่แน่นหนา หลังจากลำแสงจมหายเข้าไป มันก็เปล่งแสงสีแดงออกมา และพอมีเสียงดัง “ครืดคราด!” ประตูหินก็ค่อยๆ เปิดออกมา


ตอนที่ 471 วิหารห้าธาตุ

โดย

Ink Stone_Fantasy

พอหลิ่วหมิงรับรู้ได้ว่ามีปราณจิตวิญญาณหนาแน่นปะทะเข้ามา ก็รู้สึกดีใจมาก แม้จะสูญเสียหินจิตวิญญาณไปเล็กน้อย แต่ก็ดูเหมือนจะคุ้มค่าแล้ว


พอเขากวาดจิตดู ก็ค้นพบว่าในถ้ำมีห้องอยู่หลายห้อง และด้านในก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เขาจึงพยักหน้าด้วยความพอใจ


“ศิษย์น้องหลิ่ว จากนี้ไปถ้ำแห่งนี้ก็เป็นของเจ้าแล้ว ส่วนเรื่องอื่นๆ ข้าจะช่วยจัดการให้เรียบร้อย หากไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ข้าขอตัวก่อน” อวี๋ซิ่นกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“รบกวนศิษย์พี่อวี๋แล้ว” หลิ่วหมิงประสานมือคารวะศิษย์พี่ผู้นี้


“หากศิษย์น้องมีเรื่องลำบากอะไร ก็สามารถไปหาข้าได้” อวี๋ซิ่นกล่าวจบก็โบกแขนเสื้อ จากนั้นอินทรียักษ์ก็ทะยานขึ้นฟ้าอีกครั้ง


หลิ่วหมิงหรี่ตามองอินทรียักษ์ที่บินออกไปไกลๆ อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นถึงหันตัวเดินกลับเข้าไปในถ้ำ พอโบกมือข้างหนึ่ง ประตูหินก็ส่งเสียงดัง “ครืดคราด!” และค่อยๆ ปิดตัวลง


ถ้ำแห่งนี้มีที้งหมดสี่ห้อง ห้องแรกเป็นห้องโถงที่กว้างห้าหกจั้ง และสูงสามจั้ง มีโต๊ะเก้าอี้หินจัดวางอย่างง่ายๆ


ห้องทางซ้ายคงเป็นห้องหลอมวุธ หลิ่วหมิงจำลวดลายเปลวไฟจำนวนหนึ่งที่สลักอยู่บนผนังได้ มันเหมือนกับที่ประทับอยู่บนประถ้ำของหวงเจินไม่มีผิด คิดว่าคงเป็นค่ายกลหรือชั้นจำกัดที่ช่วยเพิ่มพลังในการหลอมอาวุธ


ทางขวาของห้องโถงเป็นระเบียงหินที่ยาวหลายจั้ง ปลายสุดของระเบียงเป็นห้องหินสองห้อง


ห้องทางด้านซ้ายมีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย กว้างราวๆ เจ็ดแปดจั้ง ผนังภายในห้องเปล่งแสงสีแดงเล็กน้อย


ภายใต้การกวาดสายตามองของหลิ่วหมิง เขาค้นพบว่ามีเศษโอสถอยู่มุมหนึ่งของห้อง ส่วนอีกมุม ก็เป็นดินเหนียวที่ใช้ปลูกพืชจิตวิญญาณ ดูท่าศิษย์พี่อู๋ผู้นี้คงจะเชี่ยวชาญวิชาปรุงโอสถด้วย สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย


ด้านขวาของระเบียงเป็นห้องลับเล็กๆ มีขนาดแค่สามสี่จั้ง แต่ปราณจิตวิญญาณในห้องลับหนาแน่นกว่าด้านนอกมาก


หลังจากตรวจสอบอย่างละเอียดอีกรอบ ตอนแรกหลิ่วหมิงก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย แต่ไม่นานก็หัวเราะออกมา


ที่แท้ผนังด้านหนึ่งของห้องลับ มีผลึกหินแวววาวฝังอยู่ก้อนหนึ่ง ผลึกหินมีขนาดเท่าลูกกำปั้น บริเวณรอบๆ มีไอจิตวิญญาณสีขาวสลัวๆ ลอยวนเวียน


หลิ่วหมิงแตะลงบนผิวของผลึกหิน เขารู้สึกว่าไอจิตวิญญาณพุ่งเข้ามือเป็นระลอกๆ และวิ่งไปตามจุดชีพจรต่างๆ อย่างรวดเร็ว ขณะที่พลังจิตวิญญาณไหลทะลักไม่หยุด ก็ทำเขาให้รู้สึกสบายมาก ใบหน้าของเขาดูเบิกบานขึ้นมา


ผลึกหินจิตวิญญาณนี้ ก็คือหินน้ำพุจิตวิญญาณในตำนานนั่นเอง!


หินน้ำพุจิตวิญญาณที่พูดถึง แท้จริงแล้วเป็นหินจิตวิญญาณชนิดพิเศษที่อยู่ในภูเขา มันดูดซับปราณจิตวิญญาณฟ้าดิน และควบแน่นตนเองหลังจากผ่านมานานหลายพันหลายหมื่นปี


เนื่องจากมันสามารถดูดซับปราณจิตวิญญาณฟ้าดินให้มารวมตัวกันได้ จึงทำให้ปราณจิตวิญญาณบริเวณรอบๆ หนาแน่นกว่าสถานที่อื่นๆ หลายเท่า และถ้ำที่มีหินน้ำพุจิตวิญญาณอยู่ ก็เป็นถ้ำน้ำพุจิตวิญญาณตามที่เล่าลือ มีปราณจิตวิญญาณฟ้าดินอยู่ไม่ขาด ถือว่าเป็นพื้นที่ล้ำค่าที่ผู้ฝึกฝนจำนวนมากใฝ่หา


ข้อเสียเพียงอย่างเดียวก็คือ มันไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ พอมันไปไกลจากแหล่งกำเนิด ก็จะค่อยๆ กลายเป็นผลึกหินธรรมดาๆ ก้อนหนึ่ง


หลิ่วหมิงไม่รู้ว่าอวี๋ซิ่นรู้เรื่องหินน้ำพุจิตวิญญาณหรือไม่ แต่การใช้หินจิตวิญญาณแค่ไม่กี่หมื่นก็สามารถหาถ้ำเช่นนี้ได้ ย่อมคุ้มค่าเป็นอย่างยิ่ง


ขณะนั้น เขากลับไปในห้องโถงด้วยใบหน้าเบิกบานอีกครั้ง ในใจได้วางแผนไว้แล้ว เขาไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงถ้ำแต่อย่างใด เพียงแค่เตรียมเพิ่มชั้นจำกัดไว้ในห้องลับฝึกฝนที่มีหินน้ำพุจิตวิญญาณอยู่เท่านั้น


ส่วนการประลองเล็กในอีกสองปีให้หลัง เพื่อที่จะให้ได้ถ้ำแห่งนี้มา เกรงว่าจะต้องช่วงชิงมาให้ได้แล้ว


……


ครึ่งเดือนต่อมา


หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องลับ เหนือศีรษะของเขามีเสียงมังกรพยัคฆ์แผดร้องไม่ขาดสาย แต่จะเห็นว่ามังกรหมอกดำกับพยัคฆ์หมอกดำตัวหนึ่ง กำลังหมุนวนกลางอากาศราวกับมีชีวิต


เขาลืมตาทั้งคู่ขึ้นมาทันที พอตะคอกเสียงออกมา ไอดำก็พุ่งออกจากตัวอีกครั้ง และจมหายไปในร่างมังกรพยัคฆ์ ทำให้มันทั้งสองดูหนาแน่นขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย


ต่อมา เขาก็ประกบมือทั้งสองเข้าด้วยกัน และแยกออกไปทางด้านล่าง แขนทั้งสองส่งเสียงดังเปรี๊ยะๆ จากนั้นมังกรพยัคฆ์ทมิฬก็กลายเป็นไอดำพวยพุ่งเข้าไปในศีรษะของเขา


ช่วงเวลาที่ย้ายเข้ามาในถ้ำแห่งนี้ เขาใช้เวลาส่วนใหญ่นั่งเข้าฌานกับฝึกฝนวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ


“ดูท่าขั้นที่สองวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ คงต้องใช้เวลาอีกเล็กน้อย” หลิ่วหมิงพูดพึมพำออกมา จากนั้นก็นั่งครุ่นคิด


เหลือเวลาไม่ถึงหนึ่งปีครึ่ง เจ้าฟองอากาศลึกลับก็จะดูดกลืนพลังเวทแล้ว ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ บวกกับการฝึกฝนภายในถ้ำน้ำพุจิตวิญญาณที่มีปราณจิตวิญญาณเต็มเปี่ยม คงพอที่จะรับมือกับการดูดกลืนครั้งนี้ได้แล้ว


แน่นอน! หากว่าสามารถฝึกวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬขั้นที่สองสำเร็จ และทะลวงเข้าสู่ระดับของเหลวขั้นปลายได้ก่อน เรื่องนี้ก็จะง่ายขึ้นยิ่งกว่าเดิม


โชคดีที่ว่าขณะที่ฝึกฝนวิชานี้ เขาได้ทานเนื้อแห้งอสูรโฉดตั้งแต่อยู่ในถ้ำสายแร่ใต้ทะเลลึกแล้ว จึงไม่ต้องใช้พลังภายนอกมาชุบเลี้ยงร่างกาย แค่ฝึกฝนพลังเวทอย่างเงียบๆ ก็พอแล้ว


เขากวาดจิตรับรู้ไปยังถุงหนังบนเอว


ตั้งแต่แมงป่องกระดูกและหัวปีศาจ เผชิญกับหัวปีศาจยักษ์ในเหลวลึกครั้งนั้น ยังคงไม่ได้สติจนถึงวันนี้ ขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้นานมาก เหนือความคาดหมายของเขายิ่งนัก


แต่ทั้งสองเคยมีประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงในก่อนหน้ามาหลายครั้ง หลิ่วหมิงถึงไม่ค่อยกังวลอะไรในเรื่องนี้


หลังจากเขาคิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ก็พลิกฝ่ามือหยิบกล่องหยกสีขาวออกจากหอยสังข์ย่อส่วนมาหนึ่งใบ


พอสะบัดแขนเสื้อเบาๆ กล่องหยกก็ค่อยๆ เปิดออก ในนั้นมีไผ่ที่เปล่งแสงสีเงินแวววาวอยู่ท่อนหนึ่ง


มีลวดลายจำนวนมากปกคลุมอยู่บนพื้นผิว มันคือไผ่ว่างเปล่าที่เขาได้มาจากคลังสมบัติของพรรคฉางเฟิงนั่นเอง


หลิ่วหมิงหยิบไผ่มาชื่นชมครู่หนึ่ง มือข้างหนึ่งจับปลายด้านหนึ่งไว้ และส่งพลังเวทเข้าไปในด้านในที่ว่างเปล่า หลังจากที่พื้นผิวของไผ่เปล่งแสงออกมา ลวดลายห้าสีก็กลายเป็นสีดำภายในพริบตา และเริ่มเคลื่อนไหวขยุกขยิก แลดูลึกลับยิ่งนัก


เขาลองเพิ่มพลังเวทเข้าไปอีกครั้ง แต่นอกจากลวดลายเหล่านี้ จะเลื้อยขยุกขยิกเร็วขึ้นเล็กน้อยแล้ว สีของมันกลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด และพอเขาเก็บพลังเวทออกมาจนหมดแล้ว ลวดลายก็กลับมาเป็นห้าสีเหมือนเดิม


หลิ่วหมิงค่อยๆ หลับตาทั้งคู่ลง และเปิดดูเคล็ดวิชากระบี่ปราณแกร่งในทะเลจิตรับรู้อีกครั้ง แต่ทว่าในคัมภีร์กลับไม่มีบันทึกเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงหลังจากที่ใส่พลังเวทเข้าไปในไผ่ท่อนนี้


หลังจากเขาคิดไตร่ตรองอีกครั้งแล้ว ก็ตัดสินใจทำการทดสอบอื่นๆ


เขาโยนไผ่ท่อนนี้ออกไป ทำให้มันลอยอยู่กลางอากาศ จากนั้นก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมา คมวายุสีเขียวขนาดหนึ่งฉื่อปรากฎขึ้นตรงหน้า พอโบกแขนเสื้อ มันก็พุ่งไปยังไผ่ว่างเปล่า


“ฟิ้ว!” แสงสีเขียวเปล่งประกาย จากนั้นคมวายุก็ดีดตัวออกไป


พื้นผิวของไผ่ว่างเปล่ากลับไม่มีร่องรอยใดๆ ทิ้งไว้


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็เผยสีหน้าดีใจออกมา จากนั้นก็ทำท่ามือจนมีแสงสีแดงปรากฏขึ้นตรงหน้าเป็นจุดๆ


ลูกเปลวไฟขนาดเท่าปากถ้วยค่อยๆ หมุนวนอยู่ตรงหน้า พอสะบัดแขน มันก็พุ่งไปหาไผ่ว่างเปล่า


“ตู๊ม!” เมฆหมอกสีแดงดำรูปดอกเห็ดพุ่งขึ้นกลางอากาศ จนทำให้ห้องลับสั่นสะเทือนเล็กน้อย


หลิ่วหมิงเขม้นตาจ้องมองออกไป


จะเห็นว่าหลังจากไอหมอกหายไปแล้ว ไผ่ว่างเปล่าก็ยังคงเป็นปกติเหมือนดังที่คาดไว้


เขาคว้ามือข้างหนึ่งไปกลางอากาศโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง กระบี่เล็กสีเงินโผล่ขึ้นในมือ พอปล่อยพลังเวทเข้าไปเล็กน้อย กระบี่เล็กสีเงินก็ฟันใส่ไผ่ว่างเปล่าทันที


ฉากอันน่าเหลือเชื่อได้ปรากฏขึ้นแล้ว!


หลังจากมีเสียงดัง “ฟิ้ว!” ลวดลายห้าสีบนไผ่ว่างเปล่าที่ลอยอยู่กลางอากาศ ก็เปล่งประกายอย่างบ้าคลั่ง และแสงกระบี่เล็กสีเงินตรงหน้า ก็กระพริบไปฟันผนังหินในห้องลับ จนทิ้งรอยกระบี่ที่ลึกหลายฉื่อไว้


ไผ่ว่างเปล่ามหัศจรรย์เช่นนี้ มิน่าตอนที่เฟิงจ้านได้มันมาในตอนแรก ถึงแม้จะไม่รู้ที่มาของมัน แต่ก็นำไปเก็บไว้ในคลังสมบัติ


หลิ่วหมิงทั้งตกใจระคนดีใจ หลังจากเก็บกระบี่เล็กสีเงินเข้าไปแล้ว ก็กวักมือเรียกไผ่ว่างเปล่ากลับมา หลังจากชื่นชมมันอยู่ครู่หนึ่ง ก็เก็บกลับเข้าไปในกล่องหยก และค่อยๆ ใส่เข้าไปในหอยสังข์ย่อส่วน


เวลาต่อมา หลิ่วหมิงพลิกดูวิธีหลอมตัวอ่อนกระบี่เขาพระสุเมรุ จากคัมภีร์เคล็ดวิชากระบี่ปราณแกร่งอีกครั้ง


หลังจากเขาศึกษาไปหนึ่งรอบ ก็ค้นพบว่าหากจะหลอมตัวอ่อนกระบี่นี้ ก็มีโอกาสล้มเหลวอยู่บ้าง


และหากอยากเพิ่มโอกาสสำเร็จ ทางที่ดีให้หาสถานที่ที่มีปราณจิตวิญญาณธาตุไม้หนาแน่น และทานโอสถจิตวิญญาณธาตุไม้จำนวนหนึ่ง แล้วค่อยทำการหลอม


สำหรับขั้นตอนการหลอมอื่นๆ กลับเป็นเหมือนการหลอมตัวอ่อนกระบี่ปราณแกร่งไม่มีผิด


หลิ่วหมิงอ่านจบก็คิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้น เขาก็หยิบแผ่นหยกออกมาจากอก สิ่งที่อยู่ในนั้นเป็นบันทึกเกี่ยวกับระเบียบข้อบังคับ และการปฏิบัติต่อศิษย์สายนอกจำนวนหนึ่ง


ในแผ่นหยกกล่าวไว้ง่ายมาก ศิษย์สายนอกทุกคน ต่อให้จะไม่มีแต้มคุณูปการใดๆ ก็ได้รับหินจิตวิญญาณเกือบหมื่นหินจิตวิญญาณกับแต้มคุณูปการหนึ่งร้อยแต้มทุกเดือน


หินจิตวิญญาณไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก แต่แต้มคุณูปการสามารถแลกโอสถจำนวนหนึ่งกับทรัพยากรการฝึกฝนอื่นๆ ได้ แม้กระทั่งสามารถใช้แต้มคุณูปการไปประกาศภารกิจจำนวนหนึ่งที่หอลี้ลับ เพื่อให้ศิษย์คนอื่นๆ มารับภารกิจนี้


หลิ่วหมิงใช้จิตรับรู้กวาดดูอีกรอบ ก็สะดุดกับระเบียบที่บันทึกไว้ว่า ศิษย์สายนอกสามารถใช้แต้มคุณูปการไปฝึกฝนที่ถ้ำห้าธาตุได้


เขาเก็บแผ่นหยกในทันที จากนั้นก็ลุกขึ้นมา และเดินออกไปจากถ้ำ


ต่อมา หลิ่วหมิงอยู่ในหอแห่งหนึ่งที่อยู่ข้างวิหารใหญ่ของสาขาห่านฟ้า เขาใช้หินจิตวิญญาณจำนวนหนึ่งแลกแผนที่เขาหมื่นวิญญาณมาหนึ่งผืน หลังจากกวาดสายตาดูเล็กน้อยแล้ว ก็ทะยานขึ้นฟ้าพุ่งไปยังวิหารห้าธาตุที่อยู่ห่างจากสาขาห่านฟ้าค่อนข้างไกล


เขาเหาะมาตามแผนที่ หลังจากผ่านยอดเขาขนาดต่างๆ จำนวนสิบกว่าลูกกับทะเลสาบขนาดใหญ่แห่งหนึ่งแล้ว ลานราบเรียบที่ยื่นออกจากหน้าผาสูงชะโงกเงื้อมแห่งหนึ่ง ก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า และวิหารขนาดใหญ่ต่างๆ ก็สร้างขึ้นบนพื้นราบเรียบแห่งนี้


สิ่งก่อสร้างหนึ่งในนั้น ถูกแสงอาทิตย์ร้อนแรงส่องสะท้อนจนเปล่งแสงทรงกลดห้าสีออกมา มันคือวิหารห้าธาตุที่เป็นที่ตั้งของถ้ำห้าธาตุนั่นเอง


พอเขาทอดสายตามองออกไป จะเห็นว่าวิหารนี้สูงหลายสิบจั้ง สร้างขึ้นมาจากกองหินยักษ์ห้าสี มีสีสันแพรวพราว แลดูยิ่งใหญ่มาก ศิษย์สวมชุดนิกายยอดบริสุทธิ์จำนวนหนึ่งเข้าๆ ออกๆ แลดูคึกคักยิ่งนัก


เมื่อหลิ่วหมิงขี่เมฆมาถึงหน้าวิหาร และร่อนลงไปแล้ว เขาก็ค่อยๆ ก้าวเข้าไปด้านใน


ขณะนี้ มีผู้คนอยู่ในวิหารราวๆ ยี่สิบถึงสามสิบคน เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ค่อนข้างคึกคักมาก และมีคนต่อแถวยาวตรงหน้าผู้ดำเนินการสองสามคน


ตอนที่ 472 ป้ายประกาศลี้ลับ

โดย

Ink Stone_Fantasy

จะเห็นว่าในมือของผู้ดำเนินการแต่ละคน ต่างก็ถือพู่กันหยกสีเขียวคนละหนึ่งด้าม หลังจากพูดคุยกับศิษย์ที่อยู่ตรงหน้าเล็กน้อยแล้ว ก็แตะลงบนป้ายประจำตัวของศิษย์เหล่านั้นเบาๆ จากนั้นศิษย์ผู้นั้นก็เก็บป้ายเข้าไป และหมุนตัวเดินไปทางเดินที่อยู่ข้างวิหาร


ศิษย์เหล่านี้ส่วนใหญ่ดูเหมือนจะเป็นศิษย์ที่ธรรมดาที่สุดของนิกายยอดบริสุทธิ์ มีส่วนน้อยที่สวมชุดศิษย์สายนอกอย่างลิ่วหมิง นอกจากนี้ยังมีคนจำนวนหนึ่งจับกลุ่มสองสามคนอยู่ตรงมุมห้องโถง ดูเหมือนกำลังพูดคุยเรื่องอะไรกันอยู่


“ขอถามศิษย์พี่ท่านนี้ ที่นี่มีคนไปถ้ำห้าธาตุเยอะทุกวันเลยหรือ?” หลิ่วหมิงเห็นว่าชายหนุ่มชุดดำที่อยู่ไม่ไกลดูคล้ายกับผู้ดำเนินการ จึงรีบเดินเข้าไปถาม


“ศิษย์น้องเพิ่งเข้ามาใหม่สินะ ข้าเป็นศิษย์ที่มาเปลี่ยนเวรที่นี่ เรียกข้าว่าหยวนหรงก็พอ แต่ก่อนที่นี่มีคนเยอะสุดวันละเกือบร้อยคนเท่านั้น แต่วันนี้ไม่รู้เพราะอะไรถึงมารวมตัวกันมากมายเช่นนี้” ชายชุดดำสังเกตดูหลิ่วหมิงเล็กน้อย หลังจากเห็นเขาใส่ชุดศิษย์สายนอก ก็ทำการคารวะก่อนตอบกลับไป


“ที่แท้ก็เป็นศิษย์พี่หยวน ข้าน้อยหลิ่วหมิง เป็นศิษย์สายนอกที่เพิ่งมาใหม่จริงๆ ที่มาในวันนี้เพราะอยากทำความเข้าใจเกี่ยวกับการฝึกฝนในถ้ำห้าธาตุ หวังว่าศิษย์พี่จะชี้แนะข้าบ้าง” หลิ่วหมิงถามหยวนหรงด้วยสีหน้านอบน้อม


“เรื่องนี้นับว่าศิษย์น้องถามถูกคนแล้ว ถ้ำห้าธาตุนี้นับว่าเป็นสถานที่ฝึกฝนพิเศษของนิกายเรา ได้ผลดียิ่งนักสำหรับวิชาที่เกี่ยวข้องกับห้าธาตุ แต่ตามสถานะที่แตกต่างของศิษย์ในนิกาย แต้มคุณูปการที่ใช้ในการเข้าถ้ำห้าธาตุ ก็แตกต่างกันไปด้วย โดยพื้นฐานแล้ว ศิษย์สายนอกได้ส่วนลดสองในสิบ ส่วนศิษย์สายในจะได้ส่วนลดสี่ในสิบ ศิษย์สายตรงได้ส่วนลดหกในสิบ ส่วนศิษย์ธรรมดาในนิกายต้องจ่ายเต็ม นอกจากนี้ถ้ำห้าธาตุยังแบ่งออกเป็นเก้าระดับ แต้มคุณูปการที่ใช้ก็แตกต่างกันไป ระดับหนึ่งถึงสองที่เป็นระดับสูงสุดนั้น เวลาหนึ่งชั่วยามต้องใช้แต้มคุณูปการเกือบหมื่นแต้ม แต่ว่าถ้ำระดับนี้ไม่เพียงแต่มีจำนวนน้อย ขณะเดียวกัน ก็ไม่ใช่สิ่งที่ศิษย์ทั่วไปจะสามารถเข้าไปได้ คาดว่าลำพังแค่ความหนาแน่นของปราณจิตวิญญาณห้าธาตุที่อยู่ในนั้น ก็พอที่จะให้ผู้ที่มีระดับการฝึกฝนไม่เพียงพอ ร่างระเบิดจนเสียชีวิตได้” หยวนหรงเล่าออกมาภายในอึดใจเดียวอย่างกระตือรือร้น หลิ่วหมิงก็รับฟังอยู่ข้างๆ


“สำหรับระดับของเหลวขั้นกลางอย่างศิษย์น้อง โดยทั่วไปแล้วระดับที่หกเจ็ดจะเหมาะสมที่สุด แต่หากกายเนื้อค่อนข้างแข็งแกร่ง และระดับการฝึกฝนไม่ใช่สิ่งที่ศิษย์ระดับเดียวกันสามารถเทียบได้ล่ะก็ ลองดูชั้นที่สูงกว่าหน่อยก็ได้” หยวนหรงกวาดสายตาดูร่างหลิ่วหมิงแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ขอบคุณศิษย์พี่หยวนที่ชี้แนะ” หลิ่วหมิงได้ยินก็ยิ้มเล็กน้อย และพยักหน้าโดยไม่ออกความเห็นใดๆ


ตามที่เขาคาดการณ์ไว้ ด้วยการฝึกฝนระดับของเหลวขั้นกลางอย่างเขา บวกกับความแข็งแกร่งของกายเนื้อที่ผู้แข็งแกร่งระดับผลึกไม่อาจต้านทานได้ คงพอที่แบกรับระดับสี่ของถ้ำจิตวิญญาณแห่งนี้ได้


แต่หากทำเช่นนี้จริงๆ ล่ะก็ เกรงว่าจะเป็นจุดสนใจไปหน่อย ถ้ำจิตวิญญาณระดับสี่ก็ใช้แต้มคุณูปการจำนวนมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจแบกรับได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ


ด้วยเหตุนี้ ถ้ำจิตวิญญาณระดับห้าที่เสียแต้มคุณูปการวันละสองร้อยแต้ม จึงเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุดสำหรับสถานการณ์ของเขาในตอนนี้


หลิ่วหมิงคาดการณ์อยู่ในใจ แต่แต้มคุณูปการในขณะนี้มีไม่เพียงพอ จึงได้แต่ไปจากที่นี่ก่อน


แต่ขณะนั้นเอง ชายหนุ่มชุดฟ้าที่มีลักษณะท่าทางฮึกเหิม ก็ก้าวยาวๆ เข้ามาในวิหารใหญ่


พอหยวนหรงเห็นคนผู้นี้ ก็รีบกล่าวลาหลิ่วหมิง และรีบไปต้อนรับคนผู้นี้อย่างนอบน้อม “ศิษย์พี่โจว”


และพอกลุ่มคนที่เข้าแถวอยู่ตรงหน้า เห็นชายชุดฟ้าเดินเข้ามา ก็ค่อยๆ เปิดทางให้ และแสดงสีหน้านอบน้อมเช่นกัน


“เอาถ้ำจิตวิญญาณทองคำระดับห้าให้ข้า ระยะเวลาหนึ่งเดือน” ชายหนุ่มชุดฟ้าเดินมาตรงหน้าศิษย์ดำเนินการด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก พอยื่นป้ายประจำตัวออกไปแล้วก็กล่าวอย่างราบเรียบ


พอศิษย์ดำเนินการผู้นั้นรับแผ่นป้ายมาแล้ว ก็รีบจัดการอย่างรวดเร็ว


หลังจากศิษย์พี่โจวผู้นี้รับป้ายคืนไปแล้ว ก็พูดคุยกับศิษย์บริเวณนั้นสองสามประโยค จากนั้นก็เดินไปยังด้านข้างห้องโถง ประจักษ์ชัดว่าจะไปกักตัวที่ถ้ำจิตวิญญาณแล้ว


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ดวงตาก็ค่อยๆ เป็นประกายขึ้นมา


ชายหนุ่มชุดฟ้าผู้นี้ดูเหมือนจะมีอายุพอๆ กับตน การฝึกฝนก็อยู่ราวๆ ระดับของเหลว แต่ดูจากท่าทีของเขาแล้ว เห็นได้ชัดว่ามีที่มาไม่ธรรมดา


เขาวกความคิดกลับมาอย่างรวดเร็ว และก้าวไปถามหยวนหรง


“ศิษย์พี่หยวน ศิษย์พี่โจวผู้นี้มีที่มาอย่างไร เป็นศิษย์สายนอกเหมือนกันหรือไม่?”


“โจวเทียนรุ่ยเป็นศิษย์สายนอกของสาขาห่านฟ้า ไม่เพียงแต่เป็นหนึ่งในสามที่มีพลังแข็งแกร่งสุดในสาขา แต่ยังเป็นหนึ่งในศิษย์สายนอกที่มีความหวังสูงสุดว่าจะกลายเป็นศิษย์สายในในช่วงสิบปีมานี้” หยวนหรงกล่าวอย่างราบเรียบ แววตาเต็มไปด้วยความอิจฉา


หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกใจเย็นสะท้าน หลังจากสอบถามอีกรอบแล้ว เขาถึงทราบว่า ตามกฎของนิกายยอดบริสุทธิ์ ศิษย์สาขาจะมีการประลองเล็กสามปีครั้ง ประลองใหญ่สิบปีครั้ง โดยเฉพาะอย่างหลัง สิบคนแรกไม่เพียงแต่จะได้รับทรัพยากรการฝึกฝนกับแต้มคุณูปการจำนวนมากเท่านั้น ในระหว่างการประลองยังมีผู้อาวุโสแต่ละยอดเขาไปดูด้วย หากเข้าตาก็จะใช้สิทธิ์ที่มีอยู่ รับเข้าไปเป็นศิษย์สายใน


นี่เป็นวิธีการที่เร็วที่สุดในการเป็นศิษย์สายใน


และศิษย์พี่โจวผู้นี้ก็มีพลังน่าตกใจ เขาเข้าสู่สิบอันดับแรกในการประลองเล็กทั้งสองรอบติดต่อกัน ดังนั้นย่อมแตกต่างจากศิษย์ทั่วไป


“ขอบคุณศิษย์พี่หยวนที่ชี้แนะ” หลังกล่าวขอบคุณหยวนหรงแล้ว หลิ่วหมิงก็หมุนตัวเดินออกไป แต่ในใจกลับทำการคิดไตร่ตรองอีกครั้ง


ประลองเล็กสามปีครั้ง ประลองใหญ่สิบปีครั้ง นี่ก็เป็นโอกาสอันดีที่เขาจะออกหน้าออกตา


แม้คุณสมบัติของเขาจะไม่ได้ แต่หากเข้าสิบอันดับแรกได้ล่ะก็ ไม่แน่อาจจะทำให้ผู้อาวุโสยอดเขาซักแห่ง รับเขาเป็นศิษย์สายในก็ได้


แต่สำหรับเขาแล้ว ทั้งหมดนี้มันเร็วไปหน่อย


เขาต้องฝึกเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬขั้นที่สองให้สำเร็จ จากนั้นก็เข้าสู่ระดับของเหลวขั้นปลาย พอรับมือกับการดูดกลืนพลังเวทของฟองอากาศลึกลับแล้ว ถึงสามารถคิดเรื่องเหล่านี้ได้


สิ่งที่เขาต้องทำในตอนนี้ก็คือ ไปหอลี้ลับที่ประกาศภารกิจของนิกายก่อน เพราะตอนนี้การสะสมแต้มคุณูปการถึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด


ไม่นาน หลิ่วหมิงก็ทะยานฟ้าไปยังหอศิลาดำที่ทั้งเตี้ยและเล็กแห่งหนึ่ง


เมื่อเขาเดินเข้าไปในห้องโถง และสังเกตดูเล็กน้อยแล้ว ก็รู้สึกตกตะลึงขึ้นมา


ภายในห้องโถงของหอลี้ลับที่มีขนาดหมู่กว่าๆ มีคนเนืองแน่นอยู่ราวๆ สามสี่ร้อยคน พวกเขากำลังล้อมหน้าล้อมหลังกำแพงหยกขนาดสิบกว่าจั้ง ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางห้องโถง มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันดังออกมาไม่ขาดสาย


คนเหล่านี้มีทั้งศิษย์ธรรมดาและศิษย์สายนอก แต่เห็นได้ชัดว่าศิษย์ธรรมดามีมากกว่า และศิษย์สายในกลับไม่เห็นเลยแม้แต่คนเดียว


“ข้าน้อยหลิ่วหมิง เป็นศิษย์ที่เพิ่งเข้ามาใหม่ มาหอลี้ลับเป็นครั้งแรก ไม่ทราบว่าภายในหอลี้ลับแห่งนี้ คึกคักเช่นนี้ทุกวันหรือไม่?” หลิ่วหมิงถามชายชุดเขียวบริเวณนั้นด้วยความประหลาดใจ


ฝ่ายตรงข้ามเป็นศิษย์ธรรมดา แต่มีหนวดเคราเต็มใบหน้า ดูๆ แล้วมีอายุมากกว่าหลิ่วหมิงไม่น้อย


“ศิษย์น้องหลิ่ว ไม่จำเป็นต้องเกรงใจเช่นนี้ ปกติที่นี่ไม่ค่อยจะมีคนเยอะขนาดนี้ ความจริงแล้วเป็นเพราะว่ามีผู้อาวุโสในนิกายหลายคนปล่อยข่าวออกมาล่วงหน้า ว่ากันว่าจะประกาศภารกิจจำนวนมากบนป้ายประกาศลี้ลับ ด้วยเหตุนี้จึงมีศิษย์มาวัดดวงเป็นจำนวนมาก” พอชายผู้นี้เห็นว่าหลิ่วหมิงเป็นศิษย์สายนอก ก็ตอบกลับอย่างสุภาพ


หลิ่วหมิงแหงนหน้ามองกำแพงหยกที่อยู่กลางห้องโถงทีหนึ่ง แต่จะเห็นว่าพื้นผิวของมันมีแสงสีขาวปล่งประกายอยู่ ด้านบนสุดมีอักขระเปล่งแสงสีเงินแวววาว ‘ป้ายประกาศลี้ลับ’ ด้านล่างมีภารกิจประกาศอยู่บางตาพร้อมกับรางวัลที่ได้รับ นอกจากนั้นพื้นที่ที่เหลือก็ว่างเปล่า คิดว่าคงมีคนรับภารกิจไปแล้ว


ขณะนี้ ศิษย์ที่รายล้อมอยู่ต่างก็จ้องมองป้ายประกาศบนกำแพงหยก แต่กลับไม่มีคนไปรับภารกิจในนั้น


“สำหรับศิษย์อย่างพวกเราและศิษย์ธรรมดาที่เข้าไม่ถึง หากแย่งภารกิจที่อันตรายน้อยได้ และได้แต้มคุณูปการพอประมาณ ย่อมเป็นเรื่องที่เหมาะสมอย่างมาก หากแย่งภารกิจที่มีแต้มคุณูปการมาก และระดับความยากต่ำ ก็สามารถหาคนที่รู้จักไปทำด้วยกันได้ แล้วมาแบ่งแต้มคุณูปการกัน ใช่สิ! ศิษย์น้องสนใจเข้าร่วมกับพวกเราไหม พอถึงเวลานั้นจะต้องไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน” ชายชุดเทาอธิบายเบาๆ และชี้ไปยังศิษย์ธรรมดาสองสามคนที่อยู่ข้างๆ


พอคนเหล่านั้นเห็นว่าหลิ่วหมิงเป็นศิษย์สายนอก ก็หันมาคารวะอย่างนอบน้อม


หลิ่วหมิงย่อมปฏิเสธอย่างนุ่มนวล จากนั้นก็เงยหน้ามองป้ายประกาศต่อ และศึกษาภารกิจที่อยู่บนนั้น


เพราะด้วยพลังของเขาในตอนนี้ ย่อมไม่จำเป็นต้องร่วมมือกับคนอื่น


พอเขาสังเกตดูอีกรอบ ก็ค้นพบว่าภารกิจที่เหลืออยู่บนนั้น ส่วนมากเป็นภารกิจที่ให้หินจิตวิญญาณกับแต้มคุณูปการน้อยมาก ดังนั้นเขาจึงรอคอยอยู่ท่ามกลางฝูงชนอย่างเงียบๆ


ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป แสงสีขาวก็หมุนวนอยู่บนป้ายปรากาศไม่หยุด พื้นที่ที่เคยว่างเปล่า ก็ค่อยๆ มีอักขระโผล่ออกมา


“รีบดูเร็ว ป้ายประกาศได้เปลี่ยนใหม่แล้ว!”


“รีบดูเร็วว่ามีภารกิจอะไรดีๆ บ้าง”


“ศิษย์พี่หลิน ภารกิจจับวิหคขาว พวกเรามาร่วมมือกันดีหรือไม่?”


ขณะที่มีภารกิจใหม่ปรากฏออกมาท่ามกลางแสงสีขาว ศิษย์ที่รายล้อมอยู่ก็พากันฮือฮาขึ้นมา บ้างก็ประเมินค่าภารกิจที่ปรากฏออกมาใหม่ บ้างก็เรียกสหายให้เข้ากลุ่มด้วย


และผู้ที่มีปฏิกิริยารวดเร็ว ก็โบกป้ายประจำตัวไปยังมุมหนึ่งของป้ายประกาศ ทันใดนั้นป้ายประกาศก็เปล่งแสงลี้ลับใส่ป้ายของคนเหล่านี้


ไม่นาน ภารกิจบนป้ายประกาศก็ถูกแย่งไปเกือบครึ่งหนึ่งแล้ว


หลิ่วหมิงกลับไม่ได้ตื่นเต้นเหมือนคนเหล่านี้ เขาค่อยๆ ตรวจดูภารกิจเหล่านี้อย่างไม่รีบร้อน


หลังจากดูได้สักพัก เขาก็ค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้นมา


ค่าตอบแทนของภารกิจเหล่านี้ โดยทั่วไปจะเป็นหินจิตวิญญาณกับแต้มคุณูปการ ภารกิจที่มีหินจิตวิญญาณเป็นค่าตอบแทนยังพอว่า ผู้ปล่อยภารกิจนี้ค่อนข้างใจกว้างมาก ภารกิจหนึ่งก็ให้หลายหมื่นหินจิตวิญญาณแล้ว


เมื่อเทียบกับสิ่งนี้แล้ว ภารกิจที่ให้แต้มคุณูปการกลับได้น้อยมาก และผู้ปล่อยภารกิจส่วนใหญ่จะตระหนี่มาก ให้น้อยสุดไม่เกินสิบแต้ม มากสุดก็ดูเหมือนจะไม่เกินห้าหกสิบแต้ม


หลังจากถูกศิษย์เหล่านั้นแย่งไปแล้ว ตอนนี้ภารกิจที่มีแต้มคุณูปการก็เหลืออยู่น้อยมาก


และระดับความอันตรายของภารกิจ ก็ต่ำกว่าที่คาดคิดไว้มาก ส่วนใหญ่เป็นการสังหารอสูรธรรมดาทั่วไป เพื่อรวบรวมแก่นปีศาจ การค้นหาวัตถุดิบดั้งเดิม ส่งสิ่งของเป็นต้น ซึ่งเป็นภารกิจที่สิ้นเปลืองแรงและเวลา คาดว่าผู้ปล่อยภารกิจคงจะขี้เกียจเสียเวลา จึงให้ศิษย์ระดับต่ำเหล่านี้ทำแทน


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกหงุดหงิดมาก และรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย


ตอนที่ 473 ทดสอบ

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังจากหลิ่วหมิงกวาดสายตามองดูแล้ว ก็ค้นพบว่าบริเวณกำแพงหยก ยังมีคนที่สวมชุดศิษย์ดำเนินการอยู่สองสามคน และมีคนเข้าไปถามอยู่ตลอดเวลา พอคนเหล่านี้คลายข้อสงสัยแล้วก็จากไป


หลิ่วหมิงฉุกคิดขึ้นมาอย่รวดเร็ว หลังจากรอจนคนเริ่มน้อยลงแล้ว ก็เดินไปหาคนที่ว่างอยู่


“รบกวนศิษย์พี่ท่านนี้แล้ว ศิษย์น้องมีปัญหาบางอย่าง อยากขอให้ท่านช่วยชี้แนะเล็กน้อย” หลิ่วหมิงเดินมาตรงหน้าศิษย์คนหนึ่ง และประสานมือคารวะก่อนกล่าวออกมา


คนผู้นี้ดูมีอายุราวๆ สามสิบต้นๆ แลดูฉลาดเฉียบแหลมมาก ดวงตาทั้งคู่แหลมคม ประจักษ์ชัดว่าเป็นผู้ที่มีสติปัญญาและมีประการณ์มาก


“อ๋อ! ที่แท้ก็เป็นศิษย์สายนอก มีเรื่องอันใดก็สอบถามได้เลย” ก่อนหน้านั้นชายผู้นี้ถูกศิษย์ธรรมดาหลายคนรุมถามจนเผยสีหน้าเหนื่อยหน่ายออกมา แต่พอเห็นหลิ่วหมิงที่สวมชุดศิษย์สายนอก ก็รีบเปลี่ยนสีหน้าทันที


“ข้าเพิ่งเข้านิกายไม่นาน และมาหอลี้ลับเป็นครั้งแรก จึงมีเรื่องสงสัยอยากให้ศิษย์พี่ช่วยชี้แนะเล็กน้อย” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“ไม่เป็นไร ข้าทำงานที่หอลี้ลับมาระยะหนึ่งแล้ว หากศิษย์น้องมีอะไรไม่เข้าใจก็สอบถามได้เลย” ซุนสือรับปากโดยไม่ลังเล


หลิ่วหมิงเห็นคนผู้นี้เป็นคนตรงไปตรงมา เขาจึงถามข้อสงสัยในเมื่อครู่ทันที


“อ๋อ! ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ บอกศิษย์น้องอย่างไม่ปิดบัง ป้ายที่แสดงอยู่นี้เป็นป้ายประกาศนอก ด้านในหอลึกลับยังมีป้ายประกาศในอยู่ ภารกิจในนั้นอันตรายกว่าป้ายประกาศนอกมาก และค่าตอบแทนก็มีแต้มคุณูปการเป็นหลัก”


“ในเมื่อศิษย์น้องเข้านิกายแล้ว คงจะค้นพบว่าในนิกายยอดบริสุทธิ์ของเรา ใช้แต้มคุณูปการมากกว่าหินจิตวิญญาณ ดังนั้นภารกิจบนป้ายประกาศในจึงยากตามไปด้วย มีภารกิจไม่น้อยที่มีอันตรายถึงชีวิต ดังนั้นภารกิจบนป้ายประกาศนี้ จึงไม่ใช่สิ่งที่ศิษย์ธรรมดาจะสัมผัสได้ มีแค่ศิษย์สายในกับศิษย์สายนอกที่มีพลังมากเท่านั้น ถึงมีคุณสมบัติรับภารกิจไป” ชายผู้ตอบกลับอย่างรวดเร็ว


ขณะนี้ หลิ่วหมิงถึงแสดงสีหน้าเข้าใจในฉับพลัน ชายผู้นี้หัวเราะแล้วกล่าวต่อ


“ในเมื่อศิษย์น้องหลิ่วเพิ่งเป็นศิษย์สายนอก ไม่สู้ลองรับภารกิจบนป้ายประกาศนอกก่อน ส่วนภารกิจบนป้ายประกาศใน รอผ่านไประยะหนึ่งจะดีกว่า”


ที่แท้ป้ายประกาศลี้ลับนี้ ก็แบ่งเป็นป้ายประกาศนอกกับป้ายประกาศใน ซุนสือผู้นี้พูดถึงอันตรายของภารกิจบนป้ายประกาศในอยู่หลายครั้ง ประจักษ์ชัดว่ามันคงไม่ใช่ข่าวที่แสร้งปล่อยออกมาเพื่อเขย่าขวัญอย่างแน่นอน


แต่ขณะนี้ หลิ่วหมิงรีบร้อนใช้แต้มคุณูปการจำนวนมาก เรื่องการหลอมตัวอ่อนกระบี่เขาพระสุเมรุ ก็เป็นเรื่องเร่งด่วนยิ่งกว่า


หลังจากเขาคิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ก็กล่าวออกมาอย่างเด็ดเดี่ยว


“ขอบคุณศิษย์พี่ที่เตือน แต่ข้าเชื่อว่าตนเองยังพอมีความสามารถอยู่บ้าง ขอศิษย์พี่ให้ความกระจ่างว่า ทำอย่างไรถึงจะรับภารกิจป้ายประกาศในได้?”


ชายที่ดูเฉียบแหลมได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกตกใจในตอนแรก จากนั้นก็พูดเกลี้ยกล่อมทันที


หลิ่วหมิงย่อมไม่เปลี่ยนความตั้งใจอย่างแน่นอน


ชายฉลาดที่ดูเฉียบแหลมได้แต่ควักยันต์เก็บของมอบให้หลิ่วหมิงอย่างไม่มีทางเลี่ยง จากนั้นก็ชี้ไปยังประตูที่อยู่ด้านข้าง และกล่าวออกมา


“ในเมื่อศิษย์น้องยืนกรานเช่นนี้ ก็ผ่านประตูนี้ไป และเปลี่ยนชุดที่อยู่ในนี้ จากนั้นก็จะพบกับป้ายประกาศในเอง แต่ว่าในระหว่างทางจะต้องผ่านการทดสอบหนึ่งอย่าง ถึงจะมีสิทธิ์ได้สัมผัสกับป้ายประกาศใน ข้าขอกล่าวเพียงเท่านี้ ขอให้รักษาตัวด้วย” ซุนสือกล่าวจบ ก็หันไปตอบคำถามศิษย์คนอื่นๆ ต่อ


หลิ่วหมิงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย หลังจากกล่าวขอบคุณแล้ว ก็รับยันต์เก็บของและเดินผ่านไป


พอเข้าเดินเข้าไปในประตูที่อยู่ด้านข้าง ก็ค้นพบว่าตรงหน้าเป็นทางแคบยาวสายหนึ่ง


ทันใดนั้น หลิ่วหมิงก็ขยี้ยันต์เก็บของในมือจนแตกกระจาย เผยให้เห็นเสื้อผ้าสีเทาชุดหนึ่ง เขารีบสวมมันอย่างรวดเร็ว และปิดคลุมร่างกายไว้อย่างแน่นหนา


ขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกตกใจเมื่อค้นพบว่า เสื้อผ้าชุดนี้ทำมาจากวัสดุพิเศษ บนเนื้อผ้ามีอักขระแปลกประหลาดปกคลุมอยู่เต็มไปหมด ทำให้กลิ่นไอของเขาไม่สามารถหลุดรอดออกมาได้ และจิตรับรู้ก็ไม่สามารถออกไปจากร่างได้เลยแม้แต่น้อย


“นิกายยอดบริสุทธิ์มีสมบัติลึกล้ำจริงๆ แค่เสื้อผ้าตัวเดียวยังสามารถบดบังกลิ่นไอได้อย่างง่ายดาย ผลลัพธ์ยังเหนือกว่าวิชาซ่อนเร้นทั้งหลายมาก ใช้ในการดักซุ่มยิ่งสะดวกสบายมากขึ้น ในโลกภายนอกคงมีมูลค่าอย่างน้อยหลายหมื่นหินจิตวิญญาณล่ะมัง……” หลิ่วหมิงรู้สึกทอดถอนใจขึ้นมา จากนั้นก็เดินไปยังส่วนลึกของทางเดิน


“ศิษย์ใหม่เหล่านี้ แต่ละคนยังจมอยู่ในวงวันในก่อนหน้า คิดว่าตนเองแตกต่างจากคนอื่น มีความสามารถโดดเด่น รอได้ลิ้มรสความทุกข์ก่อนเถอะ แล้วจะรู้ว่าตนเองเป็นแค่กบในกะลาเท่านั้น” ชายที่ดูเฉียบแหลมเหลือบมองหลิ่วหมิงที่หายไปในประตู และส่ายหน้า จากนั้นก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น


ทางเดินสายนี้ยาวสิบจั้งกว่าๆ มันก่อขึ้นมาจากหินสีดำ ผนังที่อยู่ไม่ไกลมีหินเรืองแสงสีขาวเลี่ยมฝังอยู่ก้อนหนึ่ง มันส่องแสงสว่างให้กับพื้นที่ในนี้


เนื่องจากหลิ่วหมิงไม่สามารถนำจิตรับรู้ออกจากร่างได้ เขาจึงเดินอย่างระมัดระวัง


และคำพูดของซุนสือในก่อนหน้านั้น ก็พูดเป็นนัยๆ ว่าทางเดินไปป้ายประกาศในสายนี้ จะต้องไม่สงบราบรื่นอย่างแน่นอน


ไม่นาน ก็มีประตูใหญ่ขวางอยู่ตรงปลายสุดของทางเดิน


หลิ่วหมิงสูดหายใจลึกๆ หลังจากผลักประตูออกแล้ว ก็ค้นพบว่าในนั้นเป็นอุโมงค์ทางเดินมืดๆ สายหนึ่ง


ปากอุโมงค์มีบันไดลาดเอียงลงไปด้านล่าง มันยากที่จะจินตนาการได้ว่ามุ่งไปยังสถานที่แห่งใด


หลังจากหลิ่วหมิงลังเลเล็กน้อยแล้ว ก็เดินลงไป


อุโมงค์ไม่ยาวมาก ไม่นานก็มาถึงหน้าห้องลับธรรมดาแถวหนึ่ง


ห้องที่อยู่ตรงกลางสุดได้ปิดไปแล้ว บนประตูมีลวดลายจิตวิญญาณที่ลึกล้ำจนยากจะเข้าใจประทับอยู่จำนวนหนึ่ง


หลิ่วหมิงเดินเข้าไปหนึ่งในห้องลับที่เปิดประตูอยู่ โดยไม่ได้คิดอะไรมาก


ด้านในห้องลับค่อนข้างกว้างขวาง มีขนาดหลายสิบจั้ง


พอเขาเข้าไปด้านใน ประตูที่อยู่ด้านหลังก็ปิดตัวลงอย่างไร้สุ้มเสียง


ภายใต้การกวาดสายตามองของหลิ่วหมิง ก็ถูกเงาร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ในห้องลับดึงดูดความสนใจทันที


นี่เป็นหุ่นนักรบสูงใหญ่ตัวหนึ่ง ตัวดำทั้งตัว ดูเหมือนว่าร่างของมันจะหล่อหลอมมาจากหินผาชนิดหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ร่างของมันถูกเกราะสีแดงอ่อนห่อหุ้มไว้ บนหัวมีเขาสีเลือดอยู่สองอัน คมเขี้ยวเต็มปาก ดวงตาทั้งคู่เปล่งแสงสีแดงออกมา ราวกับเปลวไฟปีศาจสีแดงที่เปล่งประกายอยู่ไม่หยุด


ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังสังเกตอยู่นั้น หุ่นนักรบก็ดูเหมือนจะรับรู้ได้ถึงการดำรงอยู่ของเขา มันจึงหันหน้ามาทันที


มีเสียง “แคล็กๆ!” ดังออกมาจากร่างของมันชั่วขณะหนึ่ง


หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจมาก เขายังไม่ทันได้ทำอะไร หุ่นนักรบก็คำรามออกมา ร่างหนักอึ้งของมันโค้งงอ และพุ่งขึ้นราวกับลูกธนู


พอมีเงาดำกระพริบอยู่ตรงหน้า หุ่นนักรบก็พุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงราวกับพายุ ครู่ต่อมาก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าหลิ่วหมิง พอกางนิ้วทั้งห้าออกก็คว้าลงบนศีรษะ


หลิ่วหมิงขมวดคิ้วขึ้นมา ร่างของเขาเคลื่อนไหวจนหลบการโจมตีนี้ได้ ขณะเดียวกัน ก็ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นมา ภายใต้การเปล่งประกายของแสงสีเขียว คมวายุขนาดเท่าบานประตูก็ก่อตัวขึ้นตรงหน้า


“ไป!”


หลิ่วหมิงคำรามเสียงออกมา พอสะบัดข้อมือ คมวายุยักษ์ก็พุ่งออกไป และฟันลงบนหลังหุ่นนักรบ


“เต๊ง!”


แสงสีแดงเปล่งประกายอยู่บนหลังหุ่นนักรบชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นก็ก่อตัวเป็นม่านแสงหนึ่งชั้น พอคมวายุปะทะกับมัน ก็กลายเป็นจุดแสงแวววาว


ดูเหมือนว่าการโจมตีของหลิ่วหมิงในเมื่อครู่ จะกระตุ้นให้หุ่นนักรบโมโหจนถึงขีดสุด พอมันแผดเสียงคำรามออกมา ร่างของมันก็พร่ามัวอีกครั้ง


มีเงาร่างสีดำกระพริบอยู่กลางอากาศ หุ่นนักรบชกไปยังศีรษะของหลิ่วหมิงด้วยความเร็วที่รวดเร็วกว่าก่อนหน้านั้น


ความเร็วเช่นนี้ หลิ่วหมิงกลับไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย หลังจากหลบหลีกไปได้แล้ว เขาก็ทำท่ามือขึ้นมา


ทันใดนั้น ไอเย็นก็แผ่ออกมารอบด้าน ครู่เดียวก็ก่อตัวเป็นแท่งน้ำแข็งที่ยาวหลายจั้ง


“ไป!”


แท่งน้ำแข็งยักษ์พุ่งออกไปด้วยเสียงอันดัง มันกระพริบแค่ทีเดียวก็โจมตีลงบนหน้าอกของหุ่นนักรบ


แสงสีแดงเปล่งประกายออกมา ม่านแสงสีแดงปรากฏออกมาอีกครั้ง และต้านทานวิชาแท่งวารีไว้


“เพล้ง!”


พอแท่งน้ำแข็งยักษ์ปะทะกับม่านแสง มันก็ระเบิดออกมาทันที แต่ไอเย็นที่มากับวิชาแท่งวารีกลับไม่ได้หายไป ทันใดนั้นมันก็เกาะตัวเป็นน้ำแข็ง และห่อหุ้มร่างครึ่งหนึ่งของหุ่นนักรบไว้อย่างแน่นหนา ร่างขนาดใหญ่ของมันชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง


หลิ่วหมิงตาเป็นประกายขึ้นมา และแวบไปอยู่ตรงหน้าหุ่นนักรบทันที ไอดำที่พวยพุ่งอยู่บนร่างได้กลายเป็นมังกรพยัคฆ์ และลอยวนอยู่บนตัวเขาตั้งนานแล้ว ท่ามกลางเสียงแผดร้องของมังกรพยัคฆ์ เขาก็ชกกำปั้นใส่หน้าอกหุ่นนักรบอีกครั้ง


“เต๊ง!”


ร่างมหึมาของหุ่นนักรบถูกโจมตีจนกระเด็นออกไปหลายจั้ง และตกลงบนพื้นอย่างรุนแรง ห้องลับสั่นสะเทือนจนฝุ่นคลุ้งขึ้นมา


พอหุ่นนักรบตกลงพื้น มันก็พลิกตัวลุกขึ้นมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เห็นได้ชัดว่ารอยกำปั้นจางๆ บนหน้าอก เป็นร่องรอยการโจมตีของหลิ่วหมิงในเมื่อครู่


“หุ่นนักรบนี้แข็งแกร่งมาก บนตัวยังมีเกราะสีฟ้าที่เป็นอาวุธจิตวิญญาณที่ไม่ธรรมดา มีความสามารถต้านทานการโจมตีเทียบเท่ากับปีศาจอสูรระดับของเหลวขั้นปลาย แตกต่างจากราชาอสูรตั๊กแตนโลหิตในทะเลหนานไห่ไม่มาก” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็พูดพึมพำออกมา


ขณะนี้ หุ่นนักรบได้จับตำแหน่งของหลิ่วหมิงไว้ และพุ่งเข้ามาอีกครั้ง ร่างของมันเคลื่อนไหวติดต่อกันอย่างรวดเร็ว จนทิ้งเงาจำนวนมากไว้เบื้องหลัง ส่วนหลิ่งหมิงก็เริ่มร่นถอยออกไปอย่างรวดเร็ว


หุ่นนักรบย่อมไม่ละทิ้งความพยายามอย่างแน่นอน มันไล่ตามหลิ่วหมิงอยู่ในห้องลับราวกับว่าพลังบนตัวไม่มีวันหมด การโจมตีแต่ละครั้งมีอานุภาพรุนแรงมาก


หลิ่วหมิงเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วราวกับสายลมพัดขนปุยสีขาว ด้านหนึ่งหลบหลีกกำปั้นพายุของหุ่นนักรบ อีกด้านหนึ่งก็สังเกตดูบนตัวของมัน


หลังจากหลบหลีกกำปั้นของหุ่นนักรบไปหนึ่งลูก หลิ่วหมิงก็กระโดดเตะข้อพับขาที่เป็นจุดสำคัญของหุ่นนักรบอย่างรุนแรง


หุ่นนักรบหยุดชะงักในทันที ท่าทีของมันเชื่องช้าลงครึ่งหนึ่ง


หลิ่วหมิงอาศัยโอกาสนี้แผ่ไอดำออกมา และบิดตัวมาด้านหน้าหุ่นนักรบ ไม่รู้ว่ามีมุกสีดำสองเม็ดปรากฏบนมือเขาตั้งแต่เมื่อใด หลังจากเอาฝ่ามือทั้งสองมาถูกันแล้ว มันก็รวมเป็นเม็ดเดียว และถูกเขากำไว้แน่น


จากนั้นก็มีร้องคำรามของมังกรพยัคฆ์ดังออกมา กำปั้นที่เปล่งแสงสีดำของหลิ่วหมิงโจมตีรอยเว้าบนหน้าอกของมันอย่างรุนแรง


ทันใดนั้น พลังมหาศาลทะลักออกมา เกิดเสียงดังอู้อี้บริเวณหน้าอกของหุ่นนักรบ เกราะสีฟ้าเกิดรอยร้าวขึ้นมา และแผ่ขยายไปอย่างรวดเร็ว


“เพล้ง!”


รูขนาดเท่าปากถ้วยปรากฏบนหน้าอกของหุ่นนักรบ และค่ายกลควบคุมที่อยู่ในร่างของมัน ก็โผล่ออกมากลางอากาศ และส่งเสียงดัง “ฟู่!” จากนั้นก็กลายเป็นแสงสีขาวก่อนที่จะสลายไปในอากาศ


หุ่นนักรบร่นถอยออกไปติดต่อกัน แสงสีแดงในดวงตาดับลง จากนั้นก็ล้มโครมลงพื้น


ตอนที่ 474 เทือกเขาตะวันมืด

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังจากหุ่นนักรบล้มลงไปแล้ว ก็มีแสงทรงกลดสีขาวสว่างขึ้นตรงใจกลางห้องลับ และแผ่ขยายออกไป


อักขระสีเงินจำนวนมากปรากฏออกมาท่ามกลางแสงสีขาว และกระพือขึ้นลงรอบจุดศูนย์กลางอยู่ไม่หยุด ภายใต้การประสานสลับกันไปมา ไม่นานก็ก่อตัวเป็นค่ายกลสีขาวสลัวๆ หลังหนึ่ง


พอมีลำแสงเปล่งประกายออกมา แผ่นป้ายขนาดเท่าฝ่ามือก็โผล่ขึ้นจากกลางค่ายกล


“นี่คือค่ายกลส่งตัว……” หลิ่วหมิงเก็บมุกพลังวารี และไอมังกรพยัคฆ์ทมิฬบนตัวเข้าไป หลังจากเดินวนสำรวจดูค่ายกลส่งตัวไปหนึ่งรอบแล้ว ก็พูดพึมพำออกมา


ในเมื่อค่ายกลปรากฏออกมา ก็แสดงว่าเขาผ่านการทดสอบนี้แล้ว


และป้ายอันนี้กับป้ายประจำตัวของเขา มีจุดที่คล้ายกันหลายแห่ง คิดว่าคงใช้ในตอนที่รับภารกิจบนป้ายประกาศใน


หลิ่วหมิงก้มลงหยิบแผ่นป้าย และค่อยๆ เดินเข้าไปกลางค่ายกล


ค่ายกลส่งตัวเปล่งแสงเจิดจ้าออกมาทันที จากนั้นคลื่นอากาศก็ก่อตัวขึ้น


หลิ่วหมิงรู้สึกว่าภาพบริเวณรอบด้านพร่ามัว พอได้สติกลับมา ก็มาปรากฏตัวในมุมหนึ่งของหอขนาดใหญ่


“ที่นี่คงเป็นหอใน” หลิ่วหมิงถือป้ายไว้ และสำรวจดูรอบด้าน


การตกแต่งของสถานที่แห่งนี้ คล้ายกับหอใหญ่ในก่อนหน้านั้นมาก เสาหินขนาดใหญ่ค้ำยันอยู่ตรงมุมทั้งสี่ ใจกลางหอมีกำแพงหยกที่ค่อนข้างเล็กตั้งอยู่ มันเปล่งแสงสีเงินจางๆ ออกมา มีภารกิจเรียงรายเป็นแถวๆ


เพียงแต่ว่า ‘ป้ายประกาศลี้ลับ’ ที่ปรากฏบนกำแพงหยกกลับเป็นสีทอง


และที่แตกต่างจากหอนอกที่มีกลุ่มคนจำนวนมากก็คือ ดูเหมือนที่นี่จะมีคนอยู่แค่ยี่สิบคน ประจักษ์ชัดว่ากว้างโล่งมาก และแต่ละคนต่างก็สวมชุดคลุมสีเทาเหมือนกับหลิ่วหมิง นอกจากรูปร่างอ้วนผอมสูงต่ำแล้ว ก็ไม่สามารถตรวจสอบกลิ่นไอใดๆ ได้เลย


กลุ่มคนเหล่านี้ไม่มีคนพูดคุยกัน เทียบกับหอนอกที่คึกคักแล้ว ที่นี่เต็มไปด้วยความสงบ และมีบรรยากาศที่ดูอึดอัดใจกว่ามาก


พอหลิ่วหมิงปรากฏตัว ผู้คนที่ล้อมรอบกำแพงหยกอยู่ ก็มีคนสองสามคนหันมามองทีหนึ่ง จากนั้นก็หันหน้ากลับไปอย่างรวดเร็ว ประจักษ์ชัดว่าไม่ได้สนใจเขาแต่อย่างใด


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ไม่ได้ใส่ใจ หลังจากเดินเข้าไปในกลุ่มคนแล้ว ก็ค่อยๆ กวาดสายตาไปบนกำแพงหยกที่อยู่ตรงหน้า


……


และในขณะเดียวกัน ภายในห้องลับบางแห่งในหอลี้ลับ ศิษย์ชุดคลุมสีเหลืองที่รูปร่างอ้วนท้วนคนหนึ่ง กำลังเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ ในมือกำลังประคองแผ่นค่ายกลด้วยสีหน้าสบายอกสบายใจ อักขระหยกที่อยู่บนนั้นแตกร้าวไปกว่าครึ่งหนึ่ง มีเพียงแค่กระจกทองแดงที่ยังคงมีสภาพสมบูรณ์


ข้างในกระจกกำลังแสดงรูปภาพช่วงหนึ่ง มันคือฉากที่หลิ่วหมิงต่อสู้กับหุ่นนักรบในเมื่อครู่ ระยะเวลาการต่อสู้ไม่นานมากนัก ทั้งสองแลกมือกันไม่ถึงชั่วเวลาครึ่งถ้วยชา ก็รู้ผลแพ้ชนะแล้ว


พอศิษย์ชุดคลุมสีเหลืองกวาดสายตามองอย่างไม่ใส่ใจ ก็เห็นว่าหลิ่วหมิงกำลังแสดงเงาร่างมังกรพยัคฆ์ เขาจึงรู้สึกตกตะลึงในทันที ร่างที่เอนตัวอยู่ก็ค่อยๆ ตั้งตรงขึ้นมา


“ไอ้โง่คนใดไปฝึกฝนวิชาโง่ๆ อย่างเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬกัน แต่ดูท่าทีแล้วแม้แต่ขั้นที่สองก็ยังฝึกฝนไม่สำเร็จ คาดว่าน่าจะเป็นศิษย์สายในที่เพิ่งเข้ามาใหม่” ศิษย์ชุดคลุมสีเหลืองเกาศีรษะ และพูดพึมพำออกมา


ชายร่างอ้วนส่ายศีรษะ พอสะบัดแขนเสื้อ ภาพบนกระจกทองแดงก็กระพริบหายไป


เขาเอนหลังลงบนเก้าอี้อีกครั้ง มือขนาดใหญ่ล้วงบริเวณหน้าอกสองที ไม่รู้ว่าเขาเอาน่องไก่ย่างสีเหลืองออกมาจากไหน จากนั้นก็กัดกินราวกับว่าลืมเรื่องราวเมื่อครู่ไปจนหมดสิ้น


……


ภายในหอลี้ลับ


ขณะนี้หลิ่วหมิงกวาดสายตาดูภารกิจบนกำแพงหยกแบบผ่านๆ ไปหนึ่งรอบ สีหน้าเขาดูเคร่งขรึมขึ้นมาเล็กน้อย


ภารกิจในนี้อันตรายกว่าป้ายประกาศนอกมาก ภารกิจส่วนใหญ่ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกขนลุกอย่างช่วยไม่ได้ แต่ขณะเดียวกันแต้มคุณูปการที่เป็นค่าตอบแทน ก็สูงเกินกว่าที่ป้ายประกาศนอกจะเปรียบเทียบได้


ยกตัวอย่างเช่น รวบรวมหนวดสัมผัสของมดสายไฟ หนึ่งเส้นจะได้รับห้าร้อยแต้มคุณูปการ


หลิ่วหมิงเคยอ่านเจอมดสายไฟในคัมภีร์ของพรรคฉางเฟิง มดสายไฟเป็นแมลงอสูรดุร้ายที่ปรากฏตัวในเขตภูเขาไฟ ลำตัวยาวสองสามหมี่ ทั้งยังจัดการได้ยากมาก เปลวไฟปีศาจที่มันพ่นออกมา พอที่จะเทียบเท่ากับเปลวไฟในภูเขาไฟได้ พออาวุธจิตวิญญาณทั่วไปสัมผัสกับมัน ก็จะละลายในทันที พลังของมันก็พอที่จะเทียบเท่ากับผู้ฝึกฝนระดับของเหลวได้


หากเป็นเช่นนี้ก็ดี แต่สิ่งที่แมลงอสูรทำให้คนรู้สึกปวดหัวก็คือ พวกมันเคลื่อนไหวเป็นฝูงมาโดยตลอด ฝูงหนึ่งมีหลายร้อยหลายพันตัว


อสูรตั๊กแตนโลหิตที่เขา ซินหยวน ฟางเหยา และคนอื่นๆ ออกไปล่าในก่อนหน้านั้น มีพลังแค่ระดับศิษย์จิตวิญญาณ มีแค่ราชาอสูรเท่านั้นที่อยู่ระดับของเหลวจิตวิญญาณ แต่ยังต้องวางค่ายกล และเสียพลังไปมาก ทั้งยังต้องสูญเสียสหายร่วมทางไปคนหนึ่ง ถึงสามารถทำลายรังของมันได้ และเพื่อสิ่งนี้หลิ่วหมิงถึงกับต้องใช้ทรายทองคำร่วงที่เป็นหนึ่งในไพ่ตายของเขา


พอนึกถึงมดสายไฟระดับของเหลวหลายร้อยตัว พ่นไฟปีศาจละลายหินละลายภูเขากระโจนเข้ามา หลิ่วหมิงก็รู้สึกขนลุกขนชันอย่างช่วยไม่ได้


ลำดับต่อมา ล่าผีเสื้อแห่งฝัน นำหินโอสถที่อยู่ในร่างของมันออกมา แต่ละก้อนจะได้หนึ่งพันแต้มคุณูปการเป็นค่าตอบแทน


ผีเสื้อแห่งฝันเป็นปีศาจอสูรที่สีรูปร่างคล้ายผีเสื้อ มีพลังไม่มากนัก โดยทั่วไปจะอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นต้น ศิษย์ระดับของเหลวทั่วไปสามารถรับมือแบบหนึ่งต่อหนึ่งได้อย่างง่ายดาย และอสูรชนิดนี้ก็ไม่ได้ปรากฏตัวเป็นฝูง


ผีเสื้อแห่งฝันตัวผู้ที่ตัวโตเต็มที่ จะเกาะตัวหินโอสถในร่างได้หนึ่งก้อน หินโอสถชนิดนี้เป็นวัตถุดิบของโอสถที่ประสิทธิผลมาก และเป็นหนึ่งในวัตถุดิบหลักของการปรุงโอสถระดับสุดยอดหลายชนิด


แม้จะบอกว่าฝีเสื้อแห่งฝันมีพลังอ่อนแอ แต่ปีศาจอสูรชนิดนี้กลับใช้ชีวิตอยู่ในหมู่มวลบุปผาพิษราตรีตลอดปี


และบุปผาพิษราตรีเป็นบุปผาพิเศษชนิดหนึ่งในแผ่นดินจงเทียน ปกติจะเกิดในสิ่งแวดล้อมที่เปียกชื้น และก่อตัวเป็นบุปผาทะเลในระยะหลายร้อยลี้ ขณะเดียวกันก็แผ่ไอพิษร้ายแรงออกมาไม่ขาดสาย หากผู้ฝึกฝนธรรมดาสูดดมไอพิษโดยไม่ทันระวังล่ะก็  ไม่อยากจะนึกถึงผลลัพธ์ที่ตามมาเลย


ด้วยเหตุนี้ สำหรับผู้ฝึกฝนระดับของเหลวแล้ว หากไปล่าผีเสื้อแห่งฝันจากสถานที่เช่นนี้ ต่อให้มีหลายชีวิตก็ไม่พอที่จะใช้


หลังจากหลิ่วหมิงดูเสร็จ ก็พูดอะไรไม่ออกเล็กน้อย


บนป้ายประกาศใน เขาพบเจอแม้กระทั่งภารกิจล่าแก่นปีศาจของราชาอสูรตั๊กแตนโลหิต ค่าตอบแทนของมันก็ไม่ใช่น้อย ดูเหมือนวจะได้แต้มคุณูปการเป็นพันแต้ม


แต่หากไม่มีผู้ร่วมดำเนินการกับค่ายกลคอยช่วยล่ะก็ เขาไม่เชื่อมั่นว่าจะรับมือกับอสูรทะลที่สามาถควบคุมโลหิตนั้นได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จะหาฝูงอสูรตั๊กแตนโลหิตท่ามกลางทะเลกว้างใหญ่ได้อย่างไร


หลิ่วหมิงสำรวจดูอีกซักพักใหญ่ๆ จนเมื่อคนที่อยู่ในนั้นเหลืออยู่บางตา เขาถึงโบกป้ายในมือไปยังมุมหนึ่งของป้ายประกาศ แต่พอป้ายประกาศเปล่งแสงออกมา มันก็กระพริบลงบนป้ายในมือของเขา


ภารกิจที่เขารับคือ รวบรวมไข่ของแมงมุมขาหิมะ ไข่แต่ละใบสามารถแลกแต้มคุณูปการได้หนึ่งร้อยแต้ม


หากเขาโชคดีล่ะก็ ไม่แน่ว่ารวบรวมแค่สองสามครั้ง ก็ได้แต้มคุณูปการเพียงพอที่จะไปหลอมตัวอ่อนกระบี่ที่ถ้ำห้าธาตุก็เป็นได้


ปีศาจอสูรอย่างแมงมุมขาหิมะนี้ มักจะเคลื่อนไหวครั้งละสามถึงห้าตัว และมีพลังอยู่ที่ระดับของเหลวโดยประมาณ ค่อนข้างอันตรายอยู่บ้าง แต่เทียบกับมดสายไฟและบุปผาพิษราตรีแล้ว มันปลอดภัยกว่ามาก


แน่นอน สิ่งสำคัญที่หลิ่วหมิงเลือกภารกิจนี้ ก็เพราะว่าผู้ปล่อยภารกิจได้พูดถึงขอบเขตการปรากฏตัวคร่าวๆ ของแมงมุมขาหิมะไว้ ซึ่งมันอยู่ในเทือกเขาอีกแห่งที่อยู่ไม่ไกลจากเทือกเขาหมื่นวิญญาณ


เมื่อรับภารกิจเสร็จ เขาก็ไม่คิดจะอยู่ที่นี่นานมากนัก พอกวาดสายตาดูรอบด้าน ก็ค้นพบว่า มุมแต่ละแห่งของหอในมีค่ายกลส่งตัวขนาดเล็กวางอยู่สิบกว่าหลัง


หลิ่วหมิงเลียนแบบคนอื่นๆ เหยียบเข้าไปในค่ายกลหลังหนึ่ง พอมีแสงเปล่งประกาย เขาก็มาปรากฏตัวบนยอดเขาแห่งหนึ่งที่อยู่บริเวณหอลี้ลับ


เขาถอดชุดคลุมสีเทาออกมาทันที จากนั้นก็ขี่เมฆเหาะกลับไปยังสาขาห่านฟ้า


หลิ่วหมิงเตรียมการอีกเล็กน้อย ขณะเดียวกันก็คิดทบทวนเกี่ยวกับภารกิจนี้อย่างละเอียดอีกรอบ เช้าวันที่สองก็ออกเดินทางไปจากเขาหมื่นวิญญาณ


หลังจากหลิ่วหมิงจากไปไม่นาน ก็มีแสงสีเขียวพุ่งลงมาหน้าประตูถ้ำของเขา พอลำแสงดับลง ก็เผยให้เห็นหญิงสาวที่สวมชุดศิษย์สายในนางหนึ่ง


นางมีอายุราวๆ ยี่สิบปี ม้วนผมกลมๆ ปากนิดจมูกหน่อย ผิวขาวราวหิมะ ดวงตาทั้งคู่เต็มไปด้วยพลัง ราวกับคนในรูปวาด


นางสังเกตหน้าประตูถ้ำทีหนึ่ง และพยักหน้าก่อนเดินไปเคาะห่วงทองแดงสองที


แต่ทว่าประตูหินปิดสนิท ไม่มีทีท่าว่าจะเปิดเลยแม้แต่น้อย


“โชคไม่ดีจริงๆ ศิษย์น้องหลิ่วผู้นี้ไม่ได้อยู่ในถ้ำ ดูท่าคงต้องมาใหม่แล้ว” นางพูดพึมพำออกมา และส่งเสียงเรียกอยู่ครู่หนึ่ง แต่กลับค้นพบว่าถ้ำยังคงปิดสนิทอยู่ จึงได้แต่พุ่งขึ้นฟ้าด้วยความผิดหวัง


และหลิ่วหมิงในขณะนี้ ได้ออกจากเทือกเขาหมื่นวิญญาณไปนานแล้ว ย่อมไม่รับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นหน้าถ้ำที่พัก


ครึ่งเดือนต่อมา เขาอยู่ในเทือกเขาทางด้านตะวันออกที่อยู่ห่างออกไปหลายพันลี้


กลุ่มเขาบริเวณนี้สูงชะโงกเงื้อมและเต็มไปด้วยอันตราย ภูเขาแต่ละลูกราวกับคมเขี้ยวหมาป่ายักษ์ที่เสียบอยู่บนพื้น มีเสียงคำรามของปีศาจอสูรดังออกจากในนั้นตลอดเวลา เพิ่มสีสันแปลกประหลาดให้กับสถานที่แห่งนี้ไม่น้อย


และหินภูเขาบนยอดเขาแต่ละลูก ล้วนเป็นหินผาหยาบๆ ต้นไม้โบราณขนาดใหญ่เกิดขึ้นในนั้น เถาวัลย์รัดพันจนไม่อาจมองเห็นพื้น


เทียบกับเทือกเขาหมื่นวิญญาณที่มีสิ่งแวดล้อมอันงดงามแล้ว ที่นี้มีพลังชีวิตแต่ไม่มีกลิ่นไอของเซียนเลยแม้แต่น้อย


ที่นี่ก็คือเทือกเขาตะวันมืดที่เป็นเป้าหมายของหลิ่วหมิงนั่นเอง


บริเวณตีนเขามีตลาดอยู่แห่งหนึ่ง มีชื่อเรียกว่าตลาดตะวันมืด


ก่อนมาหลิ่วหมิงได้ทำความเข้าใจไปหนึ่งรอบ แม้ตลาดแห่งนี้จะไม่ใหญ่มาก แต่กลับมีชื่อเสียงไม่เบา


เหตุผลเป็นเพราะว่าเทือกเขาตะวันมืด เป็นสถานที่จัดหาปีศาจอสูร และวัสดุต่างๆ ที่อยู่ใกล้เทือกเขาหมื่นวิญญาณมากที่สุด และเป็นสถานที่ที่ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์จำนวนมากมาหาประสบการณ์


ไม่รู้ว่ามีผู้ฝึกฝนอิสระ และตระกูลผู้ฝึกฝนในแผ่นดินจงเทียนจำนวนเท่าไหร่ ที่อยากจะเชื่อมสัมพันธ์กับนิกายยอดบริสุทธิ์ นานๆ ครั้งก็จะมีผู้ฝึกจากภายนอกจำนวนมาก นำสิ่งของพิเศษจำนวนหนึ่งมายังสถานที่แห่งนี้ ทำให้ผู้คนได้เปิดหูเปิดตาไม่น้อย ดึงดูดให้ผู้ฝึกฝนจำนวนมากมาที่นี่เพราะเลื่อมใสในชื่อเสียง


หลิ่วหมิงร่อนลงบริเวณใกล้ๆ และไม่ได้รีบเข้าตลาดในทันที แต่กลับหาสถานที่เปล่าเปลี่ยวเปลี่ยนชุดเป็นชุดธรรมดา ดูๆ แล้วราวกับเป็นผู้ฝึกฝนธรรมดาคนหนึ่ง จากนั้นถึงค่อยๆ เดินเข้าไปในตลาด


ตลาดตะวันมืดถูกกำแพงโกโรโกโสล้อมรอบไว้ กินพื้นที่หนึ่งลี้กว่าๆ ด้านในมีถนนสายหลักที่ทอดยาวไปทางตะวันตก ทั้งสองข้างทางเป็นบ้านขนาดต่างๆ มีทั้งบ้านหลายชั้น หอสูง และบ้านเล็กๆ จำนวนมาก ดูไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยเลย


ตลอดทางที่เดินเข้ามา หลิ่วหมิงค้นพบว่าในฝูงชนมีคนสวมชุดแปลกๆ ไม่น้อย บ้างก็พกปีศาจอสูรประหลาดๆ ทำให้คนที่เดินอยู่ใกล้ๆ พากันหลบหลีก และคนส่วนมากก็ดูเหมือนจะไม่แปลกใจกับสิ่งนี้


บ้านทั้งสองข้างทางส่วนใหญ่เป็นร้านค้า ในนั้นส่วนมากขายวัสดุปีศาจอสูร มีร้านค้าบางส่วนซื้อขายโอสถ ยันต์ และอาวุธจิตวิญญาณชนิดต่างๆ


หลิ่วหมิงเดินวนในนั้นไปหนึ่งรอบ ก็พบเจอสิ่งของหายากจำนวนไม่น้อย ยกตัวอย่างเช่น หินแร่ที่หาได้ยากในโลกภายนอก วัตถุดิบโอสถ และยังมีแก่นปีศาจอสูรที่ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน เป็นต้น


หลังจากเขาเดินอย่างไม่ใส่ใจอยู่พักหนึ่ง ก็หมุนตัวเดินเข้าไปในร้านค้าที่ขายแผนที่ของเทือกเขาตะวันมืด


ไม่นานหลิ่วหมิงก็เดินออกมาด้วยสีหน้าราบเรียบ ในอ้อมกอดมีแผนที่เทือกเขาอยู่ชุดหนึ่ง จากนั้นก็พุ่งขึ้นฟ้าออกไปจากตลาดอย่างรวดเร็ว และเข้าไปในเทือกเขาเพียงลำพัง


ตอนที่ 475 แมงมุมขาหิมะ

โดย

Ink Stone_Fantasy

สี่วันต่อมา ท่ามกลางกองหินสีขาวเทาที่วางระเกะระกะ หลิ่วหมิงยืนนิ่งอยู่บนก้อนหินยักษ์ค่อนข้างสูงก้อนหนึ่ง เขาหรี่ตาทั้งคู่มองดูถ้ำที่อยู่ไม่ไกล


ไอเย็นที่มองเห็นด้วยตาเปล่าแผ่ออกมาจากด้านในอยู่ไม่หยุด แม้กระทั่งบริเวณถ้ำยังเกาะตัวเป็นน้ำค้างแข็ง ทำให้รับรู้ถึงระดับความหนาวเย็นได้


ที่นี่เป็นถ้ำที่อยู่อาศัยของแมงมุมขาหิมะ แม้หลิ่วหมิงจะรู้เขตที่อยู่ของปีศาจอสูรประเภทนี้คร่าวๆ แต่ยังคงใช้เวลาไม่น้อยในการตามหา


พอหลิ่วหมิงสะบัดแขนเสื้อ ธงค่ายกลหลายอันก็ปรากฏบนมือ เมื่อยกแขนข้างหนึ่งขึ้น ธงเหล่านี้ก็จมหายไปในบริเวณปากถ้ำที่อยู่ไม่ไกล


ต่อมาเขาทำท่ามือ และปล่อยลูกเปลวไฟขนาดเท่าศีรษะไปยังถ้ำ


ไอร้อนที่ลูกเปลวไฟแผ่ออกมากวาดผ่านไอเย็นตรงปากถ้ำ ทำให้น้ำค้างแข็งละลายออกมา จากนั้นก็พุ่งเข้าไปในส่วนลึกของถ้ำ


“ตู๊ม!” เปลวไฟพวยพุ่งภายในถ้ำ


แต่ครู่ต่อมา หลังจากมีเสียงดัง “ฟู่!” ไอเย็นก็ทะลักออกมาจากส่วนลึกของถ้ำ


ผนังหินบริเวณปากถ้ำที่เพิ่งละลายไปเกาะตัวขึ้นอีกครั้ง และกลายเป็นน้ำค้างแข็งชั้นหนึ่ง


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็รีบเก็บกลิ่นไอของตนเอง และหายแวบไปซ่อนตัวหลังก้อนหินยักษ์ที่อยู่ในบริเวณนั้น


“ชือๆ!” มีเสียงดังเข้ามา แมงมุมสีม่วงจำนวนห้าตัวที่มีหิมะสีขาวลอยวนเวียนอยู่บนขาพุ่งออกมาจากถ้ำ


พอหลิ่วหมิงใช้จิตกวาดดู ก็ค้นพบว่ารูปร่างหน้าตาของแมงมุมเหล่านี้ เหมือนกับแมงมุมขาหิมะที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ไม่มีผิด!


แต่รูปร่างของมันมีขนาดใหญ่จั้งกว่าๆ และตัวที่อยู่ตรงกลางมีขนาดใหญ่กว่าอีกสี่ตัวหนึ่งเท่า กลิ่นไอก็แข็งแกร่งกว่ามาก


พอแมงมุมเหล่านี้ปรากฏตัวออกมา ก็ดูเหมือนจะไม่ค้นพบความผิดปกติใดๆ มันใช้คมเคี้ยวคู่หนึ่งที่อยู่ในปาก พลิกกองหินที่อยู่บริเวณรอบๆ


เศษหินกระเด็นขึ้นมา และพอมันสัมผัสกับไอเย็นของแมงมุมเหล่านี้ ก็ตกลงมาเป็นก้อนน้ำแข็ง พอแมงมุมวาดขาออก มันก็แตกร้าวออกมา


หลิ่วหมิงสะบัดแขนเสื้อในทันที กระบี่เล็กสีเงินปรากฏอยู่บนมือ พอทำท่ามือด้วยมือเดียว กระบี่ก็ค่อยๆ สั่นสะท้านขึ้นมา ทันใดนั้นมันก็กลายเป็นแสงสีเงินม้วนตัวไปหาแมงมุมยักษ์ตัวที่มีขนาดใหญ่สุด


แมงมุมขาหิมะตัวนี้รู้ตัวไวมาก มันหดขาทั้งแปดในพริบตา และย่อตัวลง ทำให้กระบี่เล็กสีเงินแฉลบผ่านหลังของมันไป


และในขณะเดียวกัน แมงมุมตัวนี้ก็ส่งเสียงร้องออกมา เกราะน้ำแข็งก่อตัวขึ้นบนหลังอย่างรวดเร็ว กระบี่เล็กสีเงินได้เพียงแต่ทิ้งร่องรอยลึกๆ เอาไว้เท่านั้น ไม่อาจทำลายร่างกายมันได้เลยแม้แต่น้อย


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็เผยแววตาเยือกเย็นออกมา และชี้มือข้างหนึ่งไปกลางอากาศ


กระบี่เล็กสีเงินส่งเสียงดังกังวาน มันหมุนตัวกลับมา และกลายเป็นสายรุ้งสีเงินพุ่งใส่แมงมุมอีกตัวที่อยู่ด้านข้าง


“ฟิ้ว!”


หลังจากแสงสีเงินเปล่งประกายผ่านไป แมงมุมตัวนั้นไม่ทันได้ระวัง ขาซ้ายทั้งสี่จึงถูกตัดขาด เลือดสีม่วงทะลักออกมา ทันใดนั้นมันก็ล้มลงพื้นทันที และไม่อาจกระดิกตัวได้อีก


เสียงแผดร้องดังออกจากปากแมงมุมตัวที่เหลือ และพวกมันก็อ้าปากพ่นไอเย็นออกมา


พอหลิ่วหมิงแหงนหน้าดู ก็ค้นพบว่าชั้นสีขาวบนพื้นแผ่ขยายไปอย่างรวดเร็ว และแมงมุมสามสี่ตัวตรงหน้า ก็กระโดดพุ่งเข้ามา จนเผยให้เห็นถึงขาหิมะอันแหลมคมของมัน


หลิ่วหมิงร่นถอยออกไปโดยไม่ต้องคิด


“เพล้งๆ!” แมงมุมสองตัวที่อยู่หน้าสุดถูกม่านแสงสีฟ้ากักขังไว้ ซึ่งมันก็คือธงค่ายกลสองชุดที่หลิ่วหมิงวางไว้ในก่อนหน้านั้น


ภายใต้ความตกใจ แมงมุมทั้งสองแผ่ไอเย็นออกมามากกว่าเดิม มันพยายามใช้เท้ายักษ์โจมตีม่านแสง จนเกิดเสียงแหลมดังขึ้นมา


ขณะนี้ แมงมุมอีกสองตัวที่เหลือ ก็พุ่งเข้ามาถึงด้วยท่าทีอันดุร้าย


“ไป!”


พอหลิ่วหมิงส่งเสียงคำราม ลูกเปลวไฟสีแดงก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ทันทีที่สะบัดแขนเสื้อ มันก็กลายเป็นแสงสีแดงพุ่งออกไปต้านทานการโจมตีไว้


เกิดเสียงดังโครมคราม


แมงมุมขนาดใหญ่เล็กสองตัวที่มีลักษณะคล้ายกัน ถูกเปลวไฟกดดันจนร่วงลงไป แต่กลับไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ เลย


ขณะนั้นเอง สายรุ้งสีเงินก็เปล่งประกายเข้ามาถึง และผ่ากลางแมงมุมตัวที่มีขนาดเล็กกว่าออกเป็นสองส่วน จากนั้นก็หมุนตัวพุ่งไปหาแมงมุมขาหิมะระดับของเหลวขั้นกลางทันที


แต่แมงมุมยักษ์กลับอ้าปากพ่นตาข่ายใยแมงมุมที่มีกลิ่นเหม็นเน่าออกมา มีแสงแปลกประหลาดที่ดูคล้ายกับเปลวไฟสีม่วงเปล่งประกายอยู่บนพื้นผิว


สายรุ้งสีเงินเพียงแค่หยุดชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็กลายเป็นกระบี่เล็กสีเงินทะลุออกจากตาข่ายใยแมงมุม แต่แสงบนตัวกลับมืดลงในพริบตา ขณะเดียวกันความเร็วก็ลดลงไปมาก


เพียงแค่แมงมุมยักษ์โบกสะบัดขาหน้า กระบี่เล็กก็ถูกดีดกระเด็นออกไปอย่างง่ายดาย และขาแหลมส่วนหลังก็โบกสะบัดจนเกิดเป็นแสงสีขาวพุ่งยิงใส่หลิ่วหมิง


หลิ่วหมิงทำท่ามือด้วยมือเดียว และยกแขนปล่อยลูกเปลวไฟสีแดงใส่แสงสีขาวหนึ่งลูก


“เพล้ง!” หลังจากที่แสงสีขาวปะทะกับลูกเปลวไฟ มันก็ระเบิดออกมาในพริบตา จากนั้นก็กลายเป็นหมอกสีขาวกระจายไปในอากาศ


พอหลิ่วหมิงเห็นว่าแสงสีขาวนี้มีความคล้ายคลึงกับวิชาแท่งวารี เขาก็รู้สึกดีใจอยู่ลึกๆ มือทั้งสองโบกสะบัดอย่างต่อเนื่อง ลูกเปลวไฟขนาดเท่ากำปั้นจำนวนมากพุ่งเข้าใส่แมงมุมขาหิมะ


เดิมทีแมงมุมขาหิมะตัวที่มีขนาดใหญ่สุด ได้ปล่อยแสงสีขาวกับตาข่ายพิษออกมาต้านทานลูกเปลวไฟไว้ แต่พอเห็นว่าไม่ได้ผลเลยแม้แต่น้อย มันก็ม้วนตัวเข้าหากัน จากนั้นหมอกขาวก็พวยพุ่งรอบตัวในทันที และเกาะตัวเป็นเกราะน้ำแข็งปกป้องร่างของมันไว้ บริเวณที่ลูกเปลวไฟแฉลบผ่าน ทำให้เกราะน้ำแข็งเกิดความเสียหายเล็กน้อย แต่พอไอหมอกพวยพุ่งขึ้นมา มันก็กลับมามีสภาพสมบูรณ์ดังเดิม


แต่ขณะนั้นเองหลิ่วหมิงทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่ง จากนั้นลูกเปลวไฟขนาดเท่าอ่างล้างหน้าก็ปรากฏออกมา พอสะบัดแขนเสื้อ มันก็พุ่งยิงออกไป


บริเวณที่ลูกเปลวไฟยักษ์เคลื่อนตัวผ่าน ทำให้น้ำแข็งที่เกาะอยู่บนพื้นละลายกลายเป็นไอหมอกในทันที


ท่ามกลางเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น เมฆอัคคีรูปดอกเห็ดก็พุ่งขึ้นฟ้า และเปลวไฟอันคุโชนก็ห่อหุ้มแมงมุมยักษ์ไว้


แม้จะเป็นลูกเป็นไฟยักษ์เหมือนกัน แต่อานุภาพที่ปล่อยออกมาในตอนที่หลิ่วหมิงเข้าสู่ระดับของเหลวขั้นกลาง ย่อมแตกต่างจากตอนที่เป็นศิษย์จิตวิญญาณราวฟ้ากับดิน


แมงมุมยักษ์ส่งเสียงคำรามออกมา มันปล่อยแสงสีขาวขับไล่เปลวไฟอยู่ไม่หยุด แต่เกราะน้ำแข็งแวววาวบนตัวก็ค่อยๆ ถูกเปลวไฟกลืนกินจนหมดสิ้น ทันใดนั้นมันก็เผยแววตาโหดเหี้ยมออกมา และพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงพร้อมกับเปลวไฟที่แผดเผา ราวกับว่าจะแลกชีวิตกับหลิ่วหมิงเป็นครั้งสุดท้าย


หลิ่วหมิงมีสีหน้าอึมครึมลง เขาเพียงแค่คว้าฝ่ามือข้างหนึ่งไปกลางอากาศ ก็มีไอหมอกสีดำพวยพุ่งอยู่บนแขน จากนั้นก็ก่อตัวเป็นหนวดสัมผัสสีดำ และพุ่งยิงออกไป


แมงมุมยักษ์ไม่ทันได้ตั้งตัว จึงถูกหนวดสัมผัสสีดำรัดพันไว้อย่างแน่นหนา แม้มันจะโบกสะบัดขาฉีกหนวดสัมผัสจนขาด แต่ก็ต้องหยุดชะงักอยู่กลางอากาศครู่หนึ่ง


และขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงก็คว้ามือข้างหนึ่งไปกลางอากาศ จากนั้นกระบี่เล็กสีเงินก็ปรากฏออกมา และกลายเป็นสายรุ้งสีเงินอันครั่นคร้ามม้วนตัวออกไป


“ฟิ้ว!”


พอสายรุ้งสีเงินหมุนวนรอบหัวแมงมุมยักษ์หนึ่งรอบ หัวของมันก็กลิ้งตกลงมาทันที ร่างไร้หัวล้มลงพื้น หลังจากกระตุกสองสามทีแล้ว ก็นอนไร้ลมหายใจอยู่ท่ามกลางกองเลือด


ส่วนแมงมุมขาหิมะอีกสองตัวที่มีขนาดเล็กลงมาหน่อย ก็ยังคงพยายามโจมตีม่านแสงอยู่ไม่หยุด


หลิ่วหมิงเพียงแค่กระตุ้นสายรุ้งสีเงินด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก มันก็สังหารแมงมุมสองตัวที่อยู่ในม่านแสงจนหมดสิ้น


เขาเก็บขาหิมะกับแก่นของแมงมุมเหล่านี้ และเก็บธงค่ายกลเข้าไป จากนั้นก็ปล่อยพลังจิตกวาดดูภายในถ้ำ หลังจากมั่นในว่าไม่มีกลิ่นไอของแมงมุมอยู่ด้านในแล้ว เขาก็กระพริบหายเข้าไปในนั้น


ถ้ำแห่งนี้อยู่ใต้กองหินขนาดใหญ่หลายก้อน ค่อนข้างเร้นลับมาก ด้านในกว้างหลายสิบจั้ง พอเขาเหยียบเท้าเข้าไป ไอเย็นที่ผสมปนเปกันกลิ่นเหม็นคาวก็ม้วนตัวเข้ามา


หลิ่วหมิงตรวจค้นด้านในถ้ำอย่างละเอียดไปหนึ่งรอบ สุดท้ายก็พบเจอไข่สีขาวแวววาวหกใบที่มีขนาดเท่าไข่ไก่ วางอยู่ใต้ก้อนหินยักษ์สีเทาก้อนหนึ่ง


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ย่อมรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านี่เป็นไข่ของแมงมุมขาหิมะเหล่านั้น


เขาพลิกฝ่ามือหยิบถุงหนังสำหรับใส่ไข่โดยเฉพาะออกมา จากนั้นก็ค่อยๆ นำไข่ใส่เข้าไปอย่างระมัดระวัง และเก็บมันเข้าไปในแขนเสื้อ


หลังจากนี้ เขาก็ค้นหาส่วนอื่นๆ ของถ้ำไปอีกรอบ แต่น่าเสียดายที่ไม่พบไข่ใบอื่นๆ อีก แต่ไข่หกใบก็เป็นการเก็บเกี่ยวที่ไม่เลวแล้ว


หลิ่วหมิงทานโอสถไปหลายเม็ด และนั่งปรับชีพจรอย่างง่ายๆ ไปหนึ่งรอบ จากนั้นก็ไปหาแมงมุมขาหิมะที่อื่นต่อ


ครึ่งเดือนต่อมา ชายหนุ่มชุดดำผู้หนึ่งเดินออกมาจากเขาตะวันมืด และพุ่งตรงไปยังตลาดที่อยู่ตรงขอบเทือกเขา


คนผู้นี้ก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง และถุงหนังบนเอวของเขาใบหนึ่ง ก็มีไข่สีขาวอยู่สิบกว่าใบ


หลังจากที่เขาหาโรงเตี๊ยมพักผ่อนอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ก็มาซื้อยันต์กับโอสถที่ตลาดตะวันมืด


เทือกเขาตะวันมืดแห่งนี้อันตรายเป็นอย่างมาก ส่วนลึกของเทือกเขามีไอหมอกพิษปกคลุมอยู่หนาแน่น ทั้งยังมีปีศาจอสูรระดับของเหลวเป็นจำนวนมาก ไม่ใช่ว่าจะสามารถหลบหลีกได้โดยง่าย ด้วยเหตุนี้จึงสูญเสียยันต์ และโอสถที่ใช้ในการฟื้นฟูพลังไปไม่น้อย


ไข่หนึ่งใบแลกแต้มคุณูปการได้หนึ่งร้อยแต้ม สิบกว่าใบก็แลกได้แค่หนึ่งพันกว่าแต้มเท่านั้น และการไปฝึกฝนที่ถ้ำห้าธาตุจะต้องใช้แต้มคุณูปการวันละสองร้อยแต้ม ไข่ที่มีอยู่ในขณะนี้ เพียงพอให้เขาฝึกฝนได้แค่อาทิตย์เดียว ซึ่งมันยังคงขาดอีกมาก


เขาพักผ่อนอยู่ที่ตลาดตะวันมืดสองวัน จากนั้นก็เข้าไปในเขาอีกครั้ง


……


ส่วนลึกของเทือกเขาตะวันมืด หลิ่วหมิงกำลังวางธงค่ายกลอยู่ตรงหน้าถ้ำที่ถูกน้ำแข็งปิดผนึกอยู่


ช่วงเวลาครึ่งเดือนนี้ เขาไปมาแล้วหลายยอดเขา แต่หารังของแมงมุมขาหิมะพบเพียงแค่แห่งเดียวเท่านั้น หลังจากสังหารมันแล้ว ก็ไม่เจอไข่แมงมุมขาหิมะในถ้ำอื่นๆ อีกเลย


เพื่อหลีกเลี่ยงปีศาจอสูรระดับของเหลวตัวอื่นๆ เขาจึงซ่อนกลิ่นไอไว้ และเดินทางอย่างระมัดระวัง จึงต้องใช้เวลาเป็นจำนวนมาก


และสถานที่แห่งนี้ ก็เป็นรังแมงมุมแห่งที่สองที่เขาพบเจอในการเข้าเขามาในครั้งนี้


หลังจากวางธงค่ายกลเสร็จแล้ว เขาก็ถอยห่างออกไปหลายสิบจั้ง และปล่อยลูกเปลวไฟยักษ์ใส่ปากถ้ำหนึ่งลูก จากนั้นก็บดบังกลิ่นไอตนเองไว้ และซ่อนตัวอยู่หลังก้อนหินยักษ์


หลังจากมีเสียงดังขึ้น กลับไม่มีไอเย็นปรากฏออกมาอย่างที่เขาคาดการณ์ไว้ แต่กลับเป็นไอหมอกสีดำราวกับหมึกพวยพุ่งออกมาสองกลุ่ม


จากนั้นก็มีเสียงคำรามดังออกมา อสรพิษยักษ์ที่มีลวดลายสีดำปกคลุมเต็มตัวพุ่งออกมาท่ามกลางไอหมอกอันพวยพุ่ง ดวงตาขนาดใหญ่ทั้งสี่เปล่งแสงสีแดงระยิบระยับ ดูเหมือนว่ามันจะรู้สึกโมโหอย่างถึงขีดสุด


“แย่แล้ว!”


พริบตานั้น หลิ่วหมิงก็รู้ว่าตนเองพบเจอกับปัญหาใหญ่แล้ว


ตอนที่ 476 อสูรเกราะมังกร

โดย

Ink Stone_Fantasy

ถ้ำของแมงมุมขาหิมะถูกอสรพิษยักษ์สองตัวนี้คว้าเอาไปก่อน และกลายเป็นรังของมันไปแล้ว


พริบตาที่อสรพิษยักษ์ปรากฏตัวออกมา หลิ่วหมิงได้ปล่อยพลังจิตกวาดดูแล้ว และค้นพบว่ามันทั้งสองต่างก็มีพลังอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นปลาย เขาจึงเกิดความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา


ขณะนี้ อสรพิษยักษ์หนึ่งในนั้นได้ส่ายหัวทีหนึ่ง ดูเหมือนว่ามันจะค้นพบตำแหน่งซ่อนตัวของหลิ่วหมิงแล้ว จากนั้นไอหมอกดำรอบตัวก็เกาะตัวเป็นลูกธนูหมอกจำนวนมาก และพุ่งยิงออกไป


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็หลบหลีกอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็ตัดสินใจวิ่งหนีทันที


เพราะในถ้ำไม่มีไข่แมงมุมที่เขาต้องการแล้ว และการรับมือกับปีศาจอสูรระดับของเหลวขั้นปลายสองตัวพร้อมกัน มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ต่อให้จะเอาชนะได้ ก็ต้องสูญเสียพลังเวทมาก ไม่แน่อาจจะทำลายพลังต้นกำเนิดไปด้วยก็ได้ ภายใต้สถานการณ์ที่เขาจำเป็นต้องใช้แต้มคุณูปการอย่างเร่งด่วน ย่อมไม่ยอมทำเรื่องสิ้นเปลืองพลังอย่างแน่นอน


“ตู๊ม!” หลังจากอสรพิษยักษ์ตนหนึ่งพุ่งเข้ามา มันก็พุ่งเข้าไปในธงค่ายกลที่หลิ่วหมิงวางไว้พอดี ทำให้ม่านแสงสีฟ้าสั่นสะเทือนอยู่ไม่หยุด และเกิดรอยร้าวในพริบตา จากนั้นก็แตกกระจายออกมา


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ไม่ลังเลอะไรอีก เขาขยี้ยันต์สีเหลืองผืนหนึ่งจนแตกกระจาย ทันใดนั้น อักขระสีเหลืองสิบกว่าตัวก็โผล่ออกมา และค่อยๆ จมหายเข้าไปในร่าง


เขาถูกแสงสีเหลืองห่อหุ้มไว้ และหายวับไปในพื้นดินบริเวณใกล้ๆ


ดูเหมือนอสรพิษยักษ์สองตัวจะโมโหจนไม่ยอมปล่อยหลิ่วหมิงไปง่ายๆ ไอดำรอบตัวพวกมันสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง จากนั้นก็บิดตัวมุดลงไปใต้ดิน


แต่โชคดีที่ว่า แม้อสรพิษยักษ์จะมีวิชาดำดิน แต่ความเร็วเทียบไม่ได้กับหลิ่วหมิงที่มียันต์คอยช่วย หลังจากหนีไปได้ไกลสิบกว่าลี้ ก็ไม่ได้กลิ่นไอของอสรพิษยักษ์ที่ตามมาอีก


หลิ่วหมิงรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย แต่ก็ยังคงไม่ประมาท หลังจากหนีออกไปอีกสิบกว่าลี้ และมั่นใจว่าอสรพิษไม่ตามมาแล้ว เขาถึงขึ้นมาบนพื้น จากนั้นก็หาถ้ำเล็กๆ แห่งหนึ่งเพื่อทานโอสถ และทำการพักผ่อน


การหนีอย่างบ้าคลั่งในครั้งนี้ ทำให้เขาสูญเสียพลังเวทไปจำนวนหนึ่ง ต้องฟื้นฟูให้มีสภาพสมบูรณ์ถึงจะได้ มิเช่นนั้น หากเจอปีศาจอสูรที่แข็งแกร่งอีก อาจเกิดปัญหาใหญ่ได้


……


สามวันต่อมา ในที่สุดหลิ่วหมิงก็หาไข่แมงมุมขาหิมะจากถ้ำแห่งหนึ่งมาได้สี่ห้าใบ ในขณะนั้น เขาเตรียมออกจากเทือกเขาตะวันมืด เพื่อกลับไปเสริมกำลังที่ตลาด


แต่ทว่าระหว่างทางที่ผ่านยอดเขาเล็กๆ ที่ดูไม่เตะตาลูกหนึ่ง ก็มีเงาดำพุ่งออกมาจากพุ่มไม้ตรงหน้า และกระโจนเข้าหาหลิ่วหมิงจากด้านหลัง


พอหลิ่งหมิงรับรู้ได้ว่ามีกลิ่นไออันแข็งแกร่งพุ่งเข้ามาจากด้านหลัง เขาก็กระโดดไปด้านหน้าสิบกว่าจั้ง ขณะเดียวกัน ในมือก็ถือกระบี่เล็กสีเงินไว้


เดิมทีคิดว่ามีคนแอบโจมตีด้านหลังเพื่อชิงของล้ำค่า แต่พอเขาหันกลับไปดูกลับค้นพบว่าเป็นปีศาจอสูรแปลกประหลาดที่มีเกราะแข็งแกร่งห่อหุ้มเต็มตัว


อสูรตนนี้มีขนาดจั้งกว่าๆ มีรูปร่างคล้ายตัวนิ่ม ดวงตาสีเขียวขนาดเล็กทั้งคู่เป็นประกายแวววาว ผิวหนังสีเทาที่เผยให้เห็นร่องหนาๆ มีลวดลายสีม่วงเปล่งประกายอยู่รำไร ดูจากกลิ่นไออันแข็งแกร่งที่แผ่ออกมา พอจะรับรู้ได้คร่าวๆ ว่ามันมีพลังอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นปลาย


พอหลิ่วหมิงเขม้นตาดู ก็รู้ที่มาของปีศาจอสูรตนนี้ มันคืออสูรเกราะมังกรที่พบเจอได้น้อยมาก


แต่อสูรเกราะมังกรตรงหน้า แตกต่างจากอสูรเกราะมังกรทั่วไปที่หลิ่วหมิงอ่านเจอในคัมภีร์เล็กน้อย บนหัวของมันมีเขาแหลมสีเงินคู่หนึ่งที่ยาวชุ่นกว่าๆ และดูเหมือนว่ามันได้กลายพันธุ์ไปแล้ว แม้ว่าจะมีพลังอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นปลาย แต่เกรงว่าพลังคงจะเหนือกว่าปีศาจอสูรระดับของเหลวขั้นปลายโดยทั่วไปมาก


หลังจากที่การโจมตีแรกไม่สำเร็จ มันก็ไม่หลับหูหลับตาโจมตีอีกครั้ง แต่กลับยืนนิ่งอยู่กับที่ ดวงตาเล็กๆ ทั้งคู่จ้องมองหลิ่วหมิงไม่กระพริบ ดูเหมือนจะระวังทุกท่าทีของเขา


เดิมทีหลิ่วหมิงคิดจะหลบหนีไปให้ไกลๆ แต่หลายวันนี้ต้องถูกปีศาจอสูรที่ร้ายกาจไล่ล่าอยู่บ่อยครั้ง ยันต์เทพเคลื่อนไหวที่ซื้อมา ก็ถูกใช้หมดไปนานแล้ว


อีกอย่าง เขาค้นพบว่าอสูรตัวนี้มาเพียงตัวเดียว และไม่มีกองกำลังสนับสนุน เขาจึงเกิดความคิดอย่างอื่นขึ้นมา


อสูรเกราะมังกรเป็นปีศาจอสูรที่หาได้ยากมาก เกราะบนตัวใช้ทำเสื้อเกราะจิตวิญญาณระดับสูง แก่นปีศาจของมันยิ่งมีมูลค่าไม่น้อย เป็นวัตถุดิบชั้นยอดในการปรุงโอสถระดับสูง


ส่วนอสูรเกราะมังกรที่กลายพันธุ์แล้ว ย่อมมีมูลค่าเพิ่มขึ้นมาหลายเท่า


หลิ่วหมิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หายใจเข้าลึกๆ และตัดสินใจในทันที


ทันใดนั้น ไอดำก็พวยพุ่งออกจากร่างของเขา กระบี่เล็กในมือถูกโบกสะบัดในทันที เงากระบี่จำนวนมากปรากฏออกมา และพุ่งยิงไปยังอสูรเกราะมังกร


พออสูรเกราะมังกรเห็นหลิ่วหมิงทำการโจมตี มันกลับไม่คิดหลบหลีกเลยแม้แต่น้อย มันเพียงแค่อ้าปากพ่นไอหมอกสีเทาออกมาปกคลุมร่างไว้ และเกราะแข็งแกร่งบนตัวก็ตั้งตรง และขดตัวจนเป็นลูกกลมๆ เพื่อรับมือกับแสงสีเงินที่พุ่งเข้ามา


พอเงากระบี่จำนวนมากปะทะกับอสูรตนนี้ ก็เกิดเสียงดัง “เต๊งๆ!” และกระเด็นออกไปรอบด้าน


เมื่อแสงสีเงินสลายไปจนหมดสิ้น อสูรเกราะมังกรก็คลายตัวออกมาอีกครั้ง แต่ร่างของมันไม่ได้รับความเสียหายใดๆ เลย


ตอนแรกหลิ่วหมิงรู้สึกตกตะลึงมาก แต่ก็รีบกระตุ้นเคล็ดกระบี่โดยไม่ต้องคิด กระบี่เล็กในมือสั่นสะท้าน จากนั้นเงากระบี่ยักษ์สีเงินที่ยาวเจ็ดแปดจั้ง ก็ปรากฏออกมา


“ไป!”


หลังจากชี้ไปกลางอากาศ เงากระบี่ยักษ์ก็แผดเสียงพุ่งใส่อสูรเกราะมังกร


อสูรเกราะมังกรสั่นหัวและหดตัวอีกครั้ง เท้าทั้งคู่แตะลงพื้น และกระโจนเข้าใส่เงากระบี่


พอหลิ่วหมิงสะบัดมือ เงากระบี่ยักษ์กลางอากาศก็ยกตัวขึ้น และฟันลงไปอย่างโหดเหี้ยม


เสียงดังตูมตามแสบแก้วหูดังออกมา!


จะเห็นว่าเงากระบี่ยักษ์ฟันลงบนเกราะหนังของอสูรเกราะมังกรอย่างรุนแรง แต่ทว่านอกจากตำแหน่งที่ถูกฟัน จะกลายเป็นรอยลึกๆ แล้ว ก็ไม่ได้ถูกฟันจนขาดออกจากกัน


ชั่วขณะนั้น ทั้งสองต่างก็ไม่มีใครตกเป็นเบี้ยล่าง


อสูรเกราะมังกรคำรามด้วยความโมโห ลวดลายสีม่วงบนเกราะหนังมีแสงหมุนวนอยู่ครู่หนึ่ง เงากระบี่ยักษ์ถูกหนังหนาๆ ดีดกระเด็นออกไป จากนั้นส่วนที่ถูกฟันก็ทิ้งไว้เพียงรอยกระบี่สีขาวเท่านั้น


เกราะหนังของอสูรตนนี้แข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบมิได้ แม้แต่วิชาขี่กระบี่ก็ไม่สามารถทำอะไรมันได้


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ย่อมรู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก แต่เขากลับไม่หยุดทำท่ามือ หลังจากกระบี่เล็กสีเงินกระพริบหายไป เขาก็คว้ามือทั้งสองไปกลางอากาศ และมุกพลังวารีสองเม็ดก็ปรากฏออกมา


ร่างของเขาพร่ามัวอยู่ชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นก็กระพริบไปทางอสูรเกราะมังกร


ในเมื่อวิชาขี่กระบี่ทำอะไรไม่ได้ คงได้แต่อาศัยพลังแข็งแกร่งในการเอาชนะแล้ว


แต่พอเขากระพริบมาปรากฏตัวตรงหน้าอสูรเกราะมังกร ฉากที่เหนือความคาดหมายก็ได้บังเกิดขึ้น


มีเสียงฟ้าร้องดังมาจากเขาสีเงินบนหัวอสูรตนนี้ จากนั้นสายฟ้าสีเงินก็ปรากฏออกมา และฟาดไปทางหลิ่วหมิงอย่างโหดเหี้ยม


การโจมตีครั้งนี้เหนือความคาดหมายของหลิ่วหมิงยิ่งนัก ทั้งยังรวดเร็วจนไม่สามารถรับมือได้ทัน!


หลิ่วหมิงขยับแขนทั้งสองด้วยความตกใจ ทันใดนั้นก็กลายเป็นเงาพร่ามัว


“ตู๊ม!”


สายฟ้าสีเงินฟาดแฉลบผ่านข้างกายเขาไป และโจมตีพื้นด้านหลังจนกลายเป็นหลุมขนาดใหญ่


หลิ่วหมิงมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา เขาเอามือทั้งสองถูกันอย่างรวดเร็ว และโยนออกไป มุกพลังวารีสองเม็ดรวมกันเป็นหนึ่งและหลุดออกไปจากมือ จากนั้นก็กลายเป็นกลุ่มแสงสีดำทุบใส่อสูรเกราะมังกร


แสงสีเงินเปล่งประกายบนหัวอสูรเกราะมังกร จากนั้นสายฟ้าสีเงินก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง และฟาดใส่กลุ่มแสงสีดำโดยตรง


เกิดเสียงฟ้าผ่าดังลั่นท่ามกลางอากาศที่ปลอดโปร่ง!


มุกพลังวารียังคงมีสภาพสมบูรณ์ มันเพียงแค่หยุดชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็ทุบใส่อสูรเกราะมังกรอย่างโหดเหี้ยม


อสูรเกราะมังกรอาศัยโอกาสนี้บิดตัว และกระโดดติดต่อกันจนออกไปไกลสิบกว่าจั้ง การเคลื่อนไหวของมันรวดเร็วอย่างน่าประหลาดใจ!


เกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น!


มุกพลังวารีหล่นลงพื้นจนทำให้เกิดเป็นหลุมยักษ์ที่ลึกจั้งกว่าๆ พื้นดินบริเวณนั้นแตกร้าวออกมา


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็มีสีหน้าหนักอึ้งทันที


อสูรเกราะมังกรตัวนี้ดูเหมือนจะไม่คล่องแคล่ว แต่กลับเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังมีสติปัญญาระดับหนึ่ง


ด้วยความสามารถในการป้องกันอันน่าตกใจของมัน ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากคิดจะเผด็จศึกให้ได้โดยเร็ว คงเป็นไปไม่ได้


ดูท่าวิธีการเดียวที่จะเอาชนะได้ คงต้องทำให้พลังเวทของมันหมดสิ้น แล้วค่อยหาวิธีทำลายการป้องกันของมัน


หลิ่วหมิงคิดวิธีรับมือได้ภายในพริบตา เขาเรียกมุกพลังวารีกลับมา และปล่อยกระบี่เล็กสีเงินออกไปจนกลายเป็นเงากระบี่จำนวนมาก เพื่อก่อกวนอสูรเกราะมังกร


ในขณะเดียวกัน เขาก็หยิบโอสถออกมาทาน และหยิบหินจิตวิญญาณระดับสุดยอดออกมาก้อนหนึ่ง เพื่อดูดซับพลังเวทอยู่ไม่หยุด


…….


“ฟู่!”


กำปั้นที่ถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ดมังกรแดง กลายเป็นกลุ่มเงาโจมตีใส่อสูรเกราะมังกร จนทำให้ร่างของมันสั่นสะท้าน จากนั้นก็กระเด็นออกไปเจ็ดแปดจั้ง และตกลงพื้นอย่างรุนแรง


อสูรเกราะมังกรส่งเสียงคำรามออกมา และพลิกตัวลุกขึ้นมาอีกครั้ง มันใช้ดวงตาโหดเหี้ยมจ้องมองศัตรูตรงหน้า แต่กลับไม่กล้าพุ่งเข้าใส่


หลังจากผ่านการต่อสู้มานานสามชั่วยาม อสูรตัวนี้ก็สูญเสียพลังเวทไปมาก ในที่สุดการป้องกันอันน่ากลัวของหนังหนาๆ ก็ไม่อาจยืนหยัดได้อีกต่อไป ขณะนี้มันไม่เพียงแต่มีบาดแผลเต็มตัว อานุภาพของสายฟ้าสีเงินที่ปล่อยออกไป ก็เห็นได้ชัดว่าด้อยกว่าก่อนหน้านั้นมาก


และสถานการณ์เช่นนี้ ย่อมส่งผลดีต่อหลิ่วหมิงมาก


การกระตุ้นกระบี่เล็กสีเงินโจมตีอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานเช่นนี้ ทำให้เขาสูญเสียพลังเวทไปกว่าครึ่งหนึ่ง แม้ว่าจะมีโอสถกับหินจิตวิญญาณคอยช่วยเสริม แต่ก็ต้องเริ่มใช้กำปั้นทั้งคู่โจมตีติดต่อกันอยู่หลายครั้ง


ขณะนี้ เขาส่งพลังเวททั้งหมดเข้าไปในกระบี่เล็กสีเงิน และเพียงพอที่จะทิ้งรอยกระบี่ลึกๆ ไว้บนตัวอสูรเกราะมังกรแล้ว


ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังคิดไตร่ตรองด้วยความดีใจ และคิดหาโอกาสเอาชีวิตของอสูรเกราะมังกรตัวนี้นั้น ดวงตาทั้งคู่ของอสูรเกราะมังกรกลับหมุนติ้วๆ ทันใดนั้นก็มีแสงสีเหลืองเจิดจ้าเปล่งประกายออกมาจากตัว จากนั้นมันก็มุดหายเข้าไปใต้ดินอย่างไร้ร่องรอย


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)