หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 468-477
บทที่ 468 กล่องศิลาลึกลับ
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อมองของมีค่ามากมายที่กองอยู่ตรงหน้า หวังเป่าเล่อก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าตนเองเจอขุมทรัพย์เข้าให้แล้ว แม้ว่าก่อนหน้านี้ตอนที้หลอมวัตถุเวทและอาวุธเวท เขาเคยเห็นกองทรัพยากรมากมายเป็นภูเขาเลากามาแล้ว แต่ก็ยังตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่ตนเองชิงมาได้ในครั้งนี้อยู่ดี
เขาหายใจไม่เป็นจังหวะเมื่อมองกองทรัพย์สมบัติตรงหน้า รวมถึงสิ่งของมากมายในกระเป๋าคลังเก็บ หลายชิ้นเป็นของจำเป็นในการหลอมโอสถ หลายชิ้นจำเป็นในการหลอมวัตถุเวท แต่ของส่วนมากนั้นหวังเป่าเล่อไม่รู้จักว่าใช้ทำอะไร กระนั้นพลังปราณที่สิ่งของเหล่านี้ปล่อยออกมาก็บอกให้เขารู้ว่าแต่ละชิ้นมีคุณค่ามหาศาล
การปล้นมันเป็นเช่นนี้เองหรือนี่ … ดวงตาของหวังเป่าเล่อทอประกาย เขาเริ่มมองเห็นเส้นทางสู่ความมั่งคั่ง แม้จะเป็นทางที่เสี่ยงอย่างถึงที่สุด แต่หากทำสำเร็จก็คงนอนตีพุงสบายไปได้อีกสิบปี
ข้าว่าในนี้มีไม่กี่อย่างที่เป็นของสหพันธรัฐ ของส่วนมากน่าจะชิงมาจากดาวอื่นในจักรวาลมากกว่า… ชายหนุ่มพยายามปรับลมหายใจของตนให้กลับมาสงบอีกครั้ง ดวงตาของเขากระจ่างใสขณะมองไปที่ของแต่ละชิ้น ก่อนเหลือบไปมองวิญญาณวุธทั้งสามและสรรพสิ่งรอบตัวอีกครั้ง ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว
หากคนภายนอกล่วงรู้ว่าข้าฆ่าผู้ฝึกตนจากต่างดาวที่มีปราณขั้นจุติวิญญาณสามคนได้ ข้าจะได้อวยยศไหมนะ แถมข้ายังยึดชิ้นส่วนต้นกำเนิดดวงดาวกลับไปให้สหพันธรัฐได้อีกด้วย แต่ถึงอย่างไรข้าก็บอกคนอื่นเรื่องนี้ไม่ได้… หวังเป่าเล่อสองจิตสองใจ เขามั่นใจว่าจะได้รับเกียรติยศจากทางการแน่นอนหากประกาศว่าตนเป็นผู้จัดการสามคนนี้ แต่เรื่องวัตถุเวทแห่งความมืดก็จะถูกเปิดเผยต่อสาธารณชนเช่นกัน และแน่นอนว่ามันจะทำให้เขามีปัญหาต่อไปในอนาคต
แม้ปัญหานั้นจะไม่ทำให้เขาถึงชีวิต แต่ก็จะทำให้เขาติดอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก และทำให้ชื่อเสียงที่สั่งสมมาเสื่อมเสีย เหมือนที่อัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานระดับสูงบอกไว้ว่า คนเราเชื่อในความเมตตาของผู้อื่นได้ แต่ไม่ควรฝากฝังตนไว้กับความเมตตาของใคร ที่สำคัญที่สุดคือ ไม่ควรเปิดช่องให้ผู้อื่นมาเอาเปรียบเราได้!
มิเช่นนั้นแล้วทุกคนรอบตัวจะต้องเดือดร้อน นอกจากนี้สหายหรือผู้อาวุโสที่เคยมีเมตตาต่อกัน ก็จะเริ่มคิดสกปรกและเข้ามายุ่งวุ่นวายได้!
หลังจากผ่านไปสักพัก หวังเป่าเล่อก็ตัดสินใจได้ว่าตนเองควรทำอย่างไร เขาคิดได้แล้วว่าจะไม่บอกใครว่ามีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ส่วนทรัพยากรของสหพันธรัฐที่ชิงมานั้น เขาจะใช้ไปก่อน แล้วค่อยนำกลับมาคืนภายหลังเมื่อมีอำนาจพอที่จะทำได้
หวังเป่าเล่อไม่ใช่พ่อพระผู้ใจบุญ แต่เป็นเพียงแมลงตัวจ้อยเท่านั้น เมื่อตัดสินใจได้ เขาก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้อีกต่อไป ชายหนุ่มหันไปมองวิญญาณวุธทั้งสามก่อนเอ่ยออกมา
“จากวัตถุดิบทั้งหมดนี้ มีชิ้นใดที่ใช้ฟื้นฟูวัตถุเวทแห่งความมืดได้หรือไม่”
ราชครูและเด็กชายมองสิ่งของตรงหน้าและรู้สึกโลภขึ้นมาทันที แต่หวังเป่าเล่อได้ตัดสินใจไปแล้วว่าจะซ่อมแซมเรือสำปั้นแห่งความมืดก่อน แม้ทั้งสองจะอยากได้ทรัพยากรเหล่านั้นมาซ่อมวัตถุเวทของตน แต่ก็ทำได้เพียงแสดงความต้องการผ่านแววตาเท่านั้น ชายร่างหนาดูสงบนิ่งเสมอต้นเสมอปลาย ดูเหมือนกำลังวิเคราะห์วัตถุดิบแต่ละชิ้นอยู่ จากนั้นเขาก็คารวะหวังเป่าเล่อก่อนพูดด้วยเสียงทุ้ม
“นายท่าน ว่ากันตามทฤษฎีแล้ว ของเหล่านี้ใช้ซ่อมแซมเรือสำปั้นแห่งความมืดได้ขอรับ โดยเฉพาะภูเขาชิ้นส่วนต้นกำเนิดดวงดาวที่จะช่วยอย่างมากในการทำให้เรือสำปั้นกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง แม้ชิ้นส่วนเหล่านี้จะมีคุณภาพธรรมดาก็ตามที
“วัตถุดิบตรงด้านนั้นมีพลังปราณสะสมอยู่ และมีคุณลักษณะพิเศษที่จะช่วยให้เรือกลับมาทรงพลังอีกครั้ง โดยเฉพาะชุดเกราะเหล่านั้น หากนำมาแยกชิ้นส่วนและสกัดเอาแก่นของมันออกมา จะนำมาใช้ซ่อมแซมวัตถุเวทแห่งความมืดได้ขอรับ!
“ต่อไปก็ตะขาบตัวนี้ มันมีโลหิตพิเศษไหลเวียนอยู่ในกาย แต่ดูเหมือนจะได้รับการหลอมมาแบบผิดๆ หากนำมาสะกดไว้ภายในเรือสำปั้นแทน พลังของวัตถุเวทแห่งความมืดจะใช้ดูดซึมและพัฒนาขีดความสามารถมันได้ ทำให้มันทรงพลังยิ่งขึ้น แต่ข้อเสียก็คือเมื่อรวมตะขาบนี้เข้ากับวัตถุเวทแห่งความมืดแล้ว จะไม่สามารถแยกออกมาได้อีกขอรับ
“ส่วนธาราจอมตะกละนั้น ข้าขอเสนอให้นายท่านใช้วัตถุเวทแห่งความมืดสยบมัน และลบรอยสลักออกจากกายของมัน เมื่อพลังปราณของท่านบรรลุถึงขั้นจุติวิญญาณ ท่านจะสามารถใช้ธาราจอมตะกละนี้ท่องอวกาศได้ขอรับ!”
หวังเป่าเล่อรู้สึกพึงพอใจเมื่อได้ยินรายงานของวิญญาณวุธร่างหนา แต่ก็ปวดใจไม่แพ้กัน เขาดีใจที่สิ่งของเหล่านี้นำมาใช้ซ่อมแซมวัตถุเวทแห่งความมืดได้ แต่ก็เสียใจที่ต้องพรากจากพวกมันไปทั้งที่ยังไม่มีโอกาสได้ใช้งาน
“แล้วพวกวัตถุดิบที่น่ารักเหล่านี้จะทำให้เรือสำปั้นกลับมาใช้งานได้ร้อยละเท่าไหร่หรือ” หวังเป่าเล่อถามทันทีหลังจากที่สะกดความรู้สึกปวดใจลงไปได้
“ประมาณร้อยละสิบของรับนายท่าน!” วิญญาณวุธประจำเรือสำปั้นตอบหลังคำนวณอยู่สักพัก
“ร้อยละสิบเองหรือ” หวังเป่าเล่อปวดใจขึ้นอีกเมื่อได้ยิน ส่วนวิญญาณเรือสำปั้นยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยและนิ่งเงียบ เด็กชายและราชครูที่อยู่ข้างกายกลับรู้สึกดีใจเมื่อเห็นสีหน้าของหวังเป่าเล่อ ทั้งสองยังรู้สึกขึ้นมาเล็กน้อยว่าการกลับมามีเจ้านายให้รับใช้นั้นเป็นเรื่องดี อย่างน้อยก็สามารถกินอะไรก็ได้ที่ตนเองต้องการ เพียงแค่เอ่ยปากสั่งเท่านั้น ชีวิตของพวกเขาง่ายขึ้นมากเลยทีเดียวเมื่อมาเป็นวิญญาณวุธ
ความคิดของหวังเป่าเล่อตีกันอยู่ในหัวสักพัก เขามองทรัพย์สินมากมายตรงหน้าและลูบมันทีละชิ้นด้วยความรัก เขายังตัดสินใจไม่ได้ จนวิญญาณเรือสำปั้นพูดสำทับอีกครั้ง
“นายท่านขอรับ เมื่อเรือสำปั้นคืนสภาพกลับมาร้อยละสิบ จะสามารถปล่อยพลังของอาวุธเทพระดับสูงออกมาได้ วัตถุดิบเหล่านี้ช่างไร้ค่าเมื่ออยู่เดี่ยวๆ ต่อให้เรือสำปั้นคืนสภาพกลับมาเพียงร้อยละหนึ่ง ก็ยังสามารถสร้างเกราะที่ต้านทานการโจมตีทุกรูปแบบจากผู้ที่มีปราณต่ำกว่าขั้นจิตวิญญาณอมตะได้ สำหรับท่านที่เคลื่อนย้ายวัตถุเวทเหล่านี้ออกไปจากที่นี่ไม่ได้ การมีเกราะป้องกันติดตัวถือเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้วขอรับ!”
“ข้ารู้… งั้นก็หลอมสิ่งที่ควรหลอม สะกดสิ่งที่ควรสะกดไปเลยก็แล้วกัน แล้วก็… เปลี่ยนไอ้ที่มันควรจะเปลี่ยนด้วย!” หวังเป่าเล่อถอนใจ แต่ก็ยกมือขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อแยกกระบี่เหาะเหินสามสี แถบผ้า เกล็ดที่เหลืออยู่สามเกล็ด แผ่นหยก โอสถทั้งหมด รวมถึงสมบัติเวทอีกสองสามชิ้นที่คิดว่าจะมีประโยชน์กับตนเองออกมา
“พวกนี้นำไปหลอมไม่ได้ ส่วนที่เหลือจัดการตามที่เจ้าเห็นสมควรได้เลย!” ชายหนุ่มพูดด้วยหัวใจเจ็บปวด เขาทนดูไม่ได้อีกต่อไป จึงรีบหยิบกล่องหยกขึ้นมาเปิดแต่ก็เปิดไม่ได้ จึงหันไปมองวิญญาณวุธเรือสำปั้นเพื่อถาม
“ไอ้นี่มีค่าใช่หรือไม่”
วิญญาณเรือสำปั้นยังคงมีสีหน้าไร้อารมณ์ เขาโบกมือเพื่อเก็บวัตถุดิบทั้งหมดที่หวังเป่าเล่ออนุญาตให้ใช้เอาไว้ รวมถึงตะขาบที่ต้องนำไปรวมกับวัตถุเวทแห่งความมืด และธาราจอมตะกละที่ต้องนำไปดัดแปลงด้วย หลังจากนั้นชายร่างหนาก็มองกล่องหยกด้วยดวงตาสงสัย
“กล่องศิลานี้… ข้าไม่ทราบว่ามันคือสิ่งใด ดูเหมือนว่าจะเอาไว้เก็บเครื่องประดับของสตรีกระมังขอรับ”
ขณะวิญญาณวุธเรือสำปั้นพูด วิญญาณราชครูชุดคลุมแห่งความมืดก็มีสีหน้าอิ่มเอมใจ เขากระแอมกระไอแต่ยังไม่พูดอะไรออกมา
หวังเป่าเล่อเงยหน้ามองชายชรา หลังจากเดาได้ว่าราชครูเฒ่าต้องการอะไร เขาก็ยิ้มเยาะอยู่ในใจ พลางคิดว่าตนเองอ่านอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานระดับสูงมาอย่างทะลุปรุโปร่ง เมื่อบัดนี้ได้รับตำแหน่งขุนนางระดับสามชั้นสูงและเจ้าเมืองแล้ว เขาก็คุ้นชินกับการปกครองผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นอย่างดี หวังเป่าเล่อไม่ต้องคิดมากมายว่าจะทำอย่างไร เขาหันไปถามเด็กชายทันที
“เจ้ารู้หรือไม่”
เมื่อเห็นว่าหวังเป่าเล่อไม่ได้ถามเขา ราชครูชราก็มีสีหน้าประหลาดใจ เด็กชายข้างกายเขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอื้อนเอ่ยออกมา
“ข้าว่าคงเป็นกล่องเครื่องเขียนกระมัง…”
ชายชรายิ่งปลื้มใจขึ้นไปอีกเมื่อได้ยินคำตอบของเด็กชาย เขาเงยหน้าขึ้นรอคำถามของหวังเป่าเล่อ คิดเอาไว้ว่าจะใช้คำตอบนี้ทำให้หวังเป่าเล่อรู้ว่าตนเองมีค่าที่สุดในบรรดาวิญญาณวุธทั้งสาม
“นั่นสิ ข้าก็ว่าคำตอบของพวกเจ้าทั้งสองมีเหตุผล คงใช่จริงๆ นั่นล่ะ” หวังเป่าเล่อพยักหน้าด้วยสีหน้าพอใจ เขาโยนวัตถุดิบจากกองที่เลือกเก็บเอาไว้ก่อนหน้านี้ให้เด็กชาย
“นี่คือรางวัลของเจ้า!”
เด็กชายคว้าสมบัติเวทเอาไว้ด้วยสีหน้าตื่นเต้น ก่อนจะกลืนมันเข้าไปเต็มคำ วิญญาณของเขาเปล่งประกายขึ้นมาทันทีเหมือนได้รับการบำรุงเป็นอย่างดี
“เอาละ พวกเจ้าแยกย้ายกันไปได้ ข้าจะเริ่มกระบวนการหลอมของข้าเองแล้ว เห็นทีข้าจะต้องขอตัวไปก่อน พวกเจ้าอยู่ที่นี่ต้องเชื่อฟังคำสั่งของข้าให้มาก อย่าไปก่อกวนทำให้เกิดฝูงอสูรหลั่งไหลเข้าเล่า นครข้างบนสุสานใต้ดินนี้เป็นนครของข้า!” หวังเป่าเล่อโบกมือและกำลังจะลาจาก ราชครูกระวนกระวายใจเมื่อเห็นวิญญาณชายหื่นและเสี่ยวเปาได้รับรางวัล เขาจึงไม่เล่นลูกไม้อะไรอีกและพูดออกมาอย่างรวดเร็ว
“นายท่าน ข้ารู้ว่ากล่องหยกนั่นคือสิ่งใด”
“อ้าว ไม่ใช่กล่องเครื่องเขียนหรอกหรือ” หวังเป่าเล่อพออกพอใจอยู่ข้างใน แต่ทำเป็นดึงสีหน้าประหลาดใจ เขามองราชครูและหันไปมองเสี่ยวเป่า สายตานั้นทำให้เด็กชายตัวแข็งทื่อ ก่อนหันไปมองราชครูด้วยแววตาไม่พอใจ
เด็กชายคงไม่แสดงความไม่พอใจออกมา หากหวังเป่าเล่อไม่ได้ให้รางวัลเขา แต่ในเมื่อเขากินรางวัลนั้นเข้าไปแล้ว เสี่ยวเป่าจึงไม่พอใจที่ราชครูพูดหักหน้าตน
ราชครูถอนหายใจเมื่อรู้ว่าเจ้านายตนไม่ใช่คนที่จะเล่นลูกไม้ด้วยได้ง่ายๆ หวังเป่าเล่อใช้เพียงคำพูดไม่กี่คำในการทำให้เขาหมางใจกับวิญญาณไม้พายตะเกียงแก่หงำเหงือกที่ชอบทำตัวเป็นเด็กน้อย แต่จากอุปนิสัยของเจ้านายเขาคนนี้ วิญญาณชุดคลุมสีดำรู้ว่าหากตนยังเก็บข้อมูลไว้เป็นความลับ หวังเป่าเล่อจะต้องหาทางลงโทษตนอย่างแน่นอน
ดังนั้นราชครูเฒ่าจึงถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนค้อมตัวคำนับลงต่ำและพูดอย่างรวดเร็ว
“นายท่าน กล่องศิลานี้คือซองจดหมาย ข้างในน่าจะมีจดหมายอยู่ขอรับ!
“ในตอนที่ข้าลอยเคว้งคว้างอยู่ในอวกาศ ข้าเจอบันทึกโบราณที่เขียนความลับเกี่ยวกับตระกูลไม่รู้สิ้นเอาไว้ เอกสารหนึ่งในนั้นเขียนว่า เมื่อนานนมมาแล้ว เทพเจ้าแห่งตระกูลไม่รู้สิ้นได้สร้างซองจดหมายพิเศษจากชิ้นส่วนต้นกำเนิดดวงดาว ทว่าผู้ที่สร้างเป็นใครนั้นไม่มีผู้ใดล่วงรู้…”
บทที่ 469 สมบัติเวทจากต่างดาว!
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ซองจดหมายเช่นนั้นหรือ เจ้าเปิดได้หรือเปล่า” คำตอบของราชครูทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกกระปรี้กระเปร่าปนอยากรู้อยากเห็น หลังจากที่ถามและเห็นราชครูส่ายหน้าแล้ว เขาก็หยิบกล่องศิลาขึ้นมาเพื่อตรวจดูเงียบๆ
เขาไม่เห็นว่ากล่องนี้จะเป็นซองจดหมายไปได้อย่างไร ไม่ว่าจะพิจารณาจากมุมใดก็ตาม แต่เมื่อเห็นว่าราชครูมั่นใจในคำตอบของตนเองมาก เขาจึงคิดอยู่สักพักด้วยความรู้สึกเชื่อใจปนเคลือบแคลง และหยิบสมบัติเวทชิ้นหนึ่งออกมาโยนให้ราชครู ก่อนจะหันกลับไปจ้องเด็กชายตาเขม็ง
เด็กชายเสี่ยวเป่ากระวนการะวายใจทันที แต่ก็ไม่กล้ากล่าวโทษหวังเป่าเล่อ เขาจึงหันไปสำแดงความไม่พอใจใส่ราชครูแทน เด็กชายรู้สึกว่าความน่าเชื่อถือของตนถูกทำลาย เพราะตาแก่เศษผ้าขี้ริ้วมากเล่ห์ รู้ว่ากล่องนี้คือสิ่งใดแต่แรกแต่กลับไม่พูด มาพูดหลังจากที่เขาตอบออกไปแล้วเท่านั้น
หลังจากที่ประเมินสถานการณ์แล้ว เด็กชายก็พยายามหาทางหนีทีไล่ เมื่อเขาเห็นขวดโอสถ ดวงตาก็เป็นกระกายขึ้นและรีบชิงพูดออกมา
“นายท่าน ท่านไม่ควรกินโอสถเหล่านั้นโดยไม่ศึกษาให้ดีก่อน เนื่องจากอารยธรรมของแต่ละที่นั้นไม่เหมือนกัน ลักษณะทางกายภายก็ย่อมแตกต่างกันไป เป็นไปได้ว่าโอสถสำหรับพวกเขาอาจเป็นยาพิษสำหรับพวกเรา!”
“ข้าเชี่ยวชาญเรื่องโอสถเป็นอย่างมาก ข้าสามารถบอกท่านได้ว่าโอสถชนิดใดกินได้และกินไม่ได้ขอรับ!” ขณะพูดเด็กชายก็รีบเดินตรงไปยังขวดโอสถทันที ก่อนจะจับดูและหยิบขึ้นมาดม จากนั้นก็เลือกโอสถสองชนิดมาวางตรงหน้าหวังเป่าเล่อ
“นายท่าน โอสถสองชนิดนี้ไม่มีผลข้างเคียง เป็นเพียงยาบำรุงปราณสำหรับผู้มีปราณขั้นจุติวิญญาณเท่านั้น ส่วนโอสถชนิดอื่นนั้นมีผลข้างเคียงอยู่บ้าง แต่ต้องใช้เวลาและพลังชีวิตเพียงเล็กน้อยในการขจัดความไม่บริสุทธิ์ออกไป และท่านก็จะกินโอสถเหล่านี้ได้ขอรับ!” เด็กชายพูดอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าหวังเป่าเล่อมีสีหน้าพึงพอใจ เขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก เขารู้สึกตื่นเต้นเสียด้วยซ้ำเมื่อมองราชครู พลางทำหน้าพอใจในผลงานตนเอง
แม้ความรู้ของเด็กชายจะทำให้หวังเป่าเล่อสบายใจ แต่ชายหนุ่มก็อดสงสารราชครูไม่ได้ หากเขาเป็นราชครู เขาคงไม่สนใจนักถ้าคู่แข่งมีความสามารถมากกว่า แต่คงลำบากใจหากคู่แข่งโง่เง่ากว่าตน
แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาของหวังเป่าเล่อ เขาพอใจกับความสามารถของเสี่ยวเป่า จึงยิ้มให้เด็กชายอย่างมีเมตตามากขึ้น ซึ่งทำให้เสี่ยวเป่าตื่นเต้นขึ้นไปอีก เด็กชายหยิบขวดโอสถที่เหลือไป ตบหน้าอกตนเอง ก่อนประกาศว่าต้องการเวลาสองสามเดือนเป็นอย่างมากในการขจัดความไม่บริสุทธิ์ของโอสถ จากนั้นก็หันหลังกลับและหายตัวไป
ราชครูรู้สึกรำคาญใจ แต่ก็ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า เขาคารวะหวังเป่าเล่อด้วยความเคารพก่อนหายตัวไปเช่นกัน ส่วนวิญญาณร่างหนาประจำเรือนั้นมีสีหน้าไร้ความรู้สึกตั้งแต่ต้นจนจบเหตุการณ์ ไม่ใช่เพราะเขาโง่ไม่ทันกล แต่ในฐานะผู้พิทักษ์อาวุธเวทแห่งความมืดที่มีหน้าที่ช่วยให้หวังเป่าเล่อได้ครองอำนาจ ชายร่างหนาเป็นวิญญาณวุธที่หวังเป่าเล่อไว้ใจมากที่สุดแล้ว
เมื่อวิญญาณวุธทั้งสามสลายตัวไปตามระเบียบ หวังเป่าเล่อก็หยิบกระบี่เหาะเหินสามสีขึ้นมาพิจารณาดูใกล้ๆ ชายหนุ่มประเมินไอทรงพลังที่แผ่ออกมาจากกระบี่ และรู้ได้ทันทีว่าสมบัติเวทนี้ไม่ใช่สมบัติเวทระดับเจ็ด แต่เป็นระดับแปดหรือสูงกว่านั้น แม้จะหาข้อสรุปที่แน่นอนไม่ได้ แต่เขาก็รู้ว่าถึงอย่างไรกระบี่นี้ก็ไม่มีวันต่ำกว่าระดับแปดแน่นอน
อาวุธเวทระดับเก้าเช่นนั้นหรือ ไม่ใช่กระมัง… สมบัติเวทที่น่ารักทั้งหมดนี้ไม่มีวิญญาณวุธสิงสู่อยู่เลยแม้แต่ชิ้นเดียว ดังนั้นพวกมันจึงน่าจะเป็นเพียงวัตถุเวทเท่านั้น หาใช่อาวุธเวทไม่!
หวังเป่าเล่อหรี่ตาหลังจากคิดอยู่สักพัก ก่อนสร้างผนึกฝ่ามือด้วยมือขวาและชี้ไปที่กระบี่ในมือ กระบี่นั้นสั่นเทาทันทีที่พลังปราณของหวังเป่าเล่อไหลเวียนเข้าไปภายใน ก่อนจะเรืองแสงสว่างจ้าหลายครั้งและวูบดับลงอย่างรวดเร็ว
ไม่ใช่เพราะพลังปราณข้าไม่พอแน่ๆ น่าจะเป็นเพราะต้องใช้วิธีอื่นในการปลุก… หากเป็นคนอื่นคงคิดไม่ออกจนต้องตามหานักหลอมอาวุธเวทมาเพื่อปรึกษา แต่หวังเป่าเล่อเป็นนักหลอกอาวุธเวทมือฉมังที่เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธเวทถึงระดับเจ็ด ดวงตาเขาจึงสว่างวาบด้วยความตื่นเต้น ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นสร้างลูกไฟจากอากาศธาตุอันว่างเปล่า
แต่หวังเป่าเล่อก็รู้สึกว่าอุณหภูมิของลูกไฟนี้ยังไม่สูงพอ เขาจึงโบกมืออีกครั้ง สายฟ้าไหลบ่าออกจากฝ่ามือของเขา ชอนไชเข้าไปในลูกไฟ สายฟ้านั้นเพิ่มพลังให้ลูกไฟเป็นอันมาก ทำให้ลูกไฟขยายขนาดใหญ่ขึ้น ไม่เพียงเท่านั้น แก่นในแห่งความมืดในกายของหวังเป่าเล่อสั่นสะท้านจนปล่อยพลังออกจากร่างของเขา ส่งผลให้เกิดไอเย็นขึ้นที่ผิวนอกของลูกไฟ
ลูกไฟทั้งสองลูกที่ร้อนระอุอยู่ภายในและเย็นเยือกที่ภายนอก ดูเหมือนจะพุ่งเข้าปะทะกัน แต่สายฟ้ากลับเป็นตัวเชื่อมพวกมันไว้ หวังเป่าเล่อใช้พลังปราณของตนกดให้พวกมันหลอมรวมกันเป็นหนึ่ง เขาชี้นิ้วเพื่อส่งให้ลูกไฟเข้าโอบล้อมกระบี่เหาะเหินสามสีเอาไว้
ทันทีที่ลูกไฟเข้าห่อหุ้มกระบี่ หวังเป่าเล่อก็ปลุกผนึกฝ่ามืออย่างรวดเร็ว อักขราจารึกหลั่งไหลจากอากาศอันว่างเปล่า ขณะที่กระบี่บินถูกลูกไฟหลอม อักขราจารึกเหล่านั้นก็สลักตนเองลงบนกระบี่ หวังเป่าเล่อตั้งใจจะหลอมกระบี่สามสีนี้ซ้ำอีกครั้ง!
แม้กระบวนการนี้จะดูเหมือนการหลอมขึ้นมาใหม่ แต่ความจริงแล้วคือการแยกชิ้นส่วนวัตถุเวทนี้ต่างหาก!
อักขราจารึกคือหัวใจสำคัญในการเปิดโครงสร้างของกระบี่ออก เพื่อช่วยให้หวังเป่าเล่อทำความเข้าใจกระบวนการหลอมที่แตกต่างจากวิธีที่ใช้กันในสหพันธรัฐ เมื่อความลึกลับของกระบี่เหาะเหินสามสีถูกเปิดเผยต่อหน้าหวังเป่าเล่อ แรงต้านของมันก็ถูกกำราบไป กระบี่เริ่มแยกส่วนตนเองออกทีละชิ้น จนเผยให้เห็นด้ายบางสีดำอยู่ภายใน!
ด้ายดำหลายเส้นนี้สร้างมาจากพลังงานบางอย่าง และเป็นส่วนที่ยึดโยงแต่ละส่วนประกอบของกระบี่เข้าด้วยกัน
สิ่งที่เห็นทำให้หวังเป่าเล่อตาเป็นประกาย เป็นครั้งแรกที่เขาได้ชำแหละสมบัติเวทซึ่งไม่ได้มาจากสหพันธรัฐออกดู ความรู้เรื่องอาวุธเวทของเขาลึกซึ้งขึ้นขณะแยกชิ้นส่วนสมบัติเวทต่างดาวออกเพื่อศึกษา ราวกับได้รับการถ่ายทอดวิชาจากปรมาจารย์โดยตรง
สมบัติเวทต่างดาวนี้ไม่มีอักขราจารึก… หากแต่ทำมาจากชิ้นส่วนเล็กๆ มากมายที่ถักร้อยเข้าด้วยกันด้วยด้ายพลังงานซึ่งทำให้อาวุธเวทยึดติดกันได้! หวังเป่าเล่อสร้างผนึกฝ่ามือจากมือทั้งสองข้างด้วยความเร็วที่มากขึ้น ภายในครึ่งชั่วโมง เขาก็แยกชิ้นส่วนกระบี่สามสีออกเป็นชิ้นเล็กๆ ได้ครบสมบูรณ์ เขายกมือซ้ายขึ้นหยิบหินขนาดเท่ากำปั้นออกจากกองชิ้นส่วนเหล่านั้น!
ศิลานี้คือแกนกลางของสมบัติเวท และยังเป็นขุมพลังให้เส้นด้ายด้วย! ชายหนุ่มมองศิลาในมือ ไม่ต้องวิเคราะห์ดูก็รู้ว่ามันคือชิ้นส่วนต้นกำเนิดดวงดาว!
แต่เป็นชิ้นส่วนต้นกำเนิดดวงดาวคนละชนิดกับที่วิญญาณวุธเก็บไป เนื่องจากชิ้นส่วนนี้ผ่านการหลอมที่เป็นเอกลักษณ์ แม้แต่หวังเป่าเล่อซึ่งถือว่าเป็นปรมาจารย์ด้านอาวุธเวทยังไม่เข้าใจว่าศิลานี้สร้างขึ้นได้อย่างไร
ทว่าในเมื่อสามารถชำแหละมาถึงขั้นนี้ ก็มีความเป็นไปได้ที่เขาจะควบคุมอาวุธเวทต่างดาวนี้ได้ เพียงแต่พลังจะด้อยกว่าเท่านั้น หวังเป่าเล่อคิดว่าตนเองไม่ควรปล่อยให้สิ่งนี้เสียเปล่า เขาตั้งใจจะควบคุมมันด้วยวิธีในแบบของตนเองจะได้ไม่เสียของ
แต่จะทำอย่างไรนั้น หวังเป่าเล่อคิดวิธีออกนานแล้วระหว่างที่กำลังแยกส่วนอาวุธเวทนี้ เขาจะสลักอักขราจารึกลงไปบนชิ้นส่วนต้นกำเนิดดวงดาว เพื่อใช้พลังของมันช่วยในการควบคุมอาวุธเวทชิ้นนี้ วิธีนี้เหมือนการใช้ด้ายบางควบคุมแขนขาของหุ่นเชิดไม้ หวังเป่าเล่อจะเป็นผู้ควบคุมด้ายนั้น แม้จะควบคุมอาวุธเวทชิ้นนี้ไม่ได้ แต่เขาควบคุมด้ายได้และจะสามารถปลดปล่อยพลังของอาวุธเวทต่างดาวได้บางส่วน!
หวังเป่าเล่อใช้วิธีเดียวกันจัดการแถบผ้าและเกล็ด เวลาผ่านไปสองถึงสามวัน หวังเป่าเล่อจัดการสลักอักขราจารึกลงไปเรียบร้อย เขาโบกมือและกระบี่เหาะเหินสามสีก็เรืองแสงสว่างจ้า ก่อนกระบี่บินจำนวนมากจะปรากฏขึ้นห้อมล้อมร่างของเขาไว้ จัดเรียงแถวเป็นกองทัพกระบี่!
ขณะเดียวกัน แถบผ้าก็สะบัดวนรอบกายเขาเหมือนแถบผ้าของเทพเจ้านาจาผู้ยิ่งใหญ่
สมบัติเวททั้งสองชิ้นนี้ทรงพลังเป็นอันมากจนอยู่ในระดับเดียวกับอาวุธเวทระดับแปด!
หากมีโอกาส ข้าต้องหาทางเรียนวิธีการหลอมสมบัติเวทต่างดาวให้ได้เลยทีเดียวเชียว หวังเป่าเล่อมองกระบี่บินรอบกายด้วยสายตาพออกพอใจ เขาโบกมือเพื่อเก็บกระบี่และแถบผ้ากลับ จากนั้นก็แบฝ่ามือขึ้นมองเกล็ดสามเกล็ดในมือ
น่าเสียดายที่รอยแตกบนเกล็ดเหล่านี้ใหญ่เกินไป ทำให้ใช้เป็นเพียงระเบิดใช้แล้วทิ้งได้เท่านั้น แต่ก็คงจะทรงพลังอยู่มากทีเดียว หวังเป่าเล่อตบพุงตนเองด้วยความพอใจพลางคิดว่าจะออกไปดีหรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตระกูลนภาห้าสมัยกำลังวางแผนจะเปลี่ยนนครใหม่เป็นเขตนครพิเศษ ชายหนุ่มกลอกตา ความคิดกลับมาวิ่งวุ่นอีกครั้ง
ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เขาคงรู้สึกโกรธเกรี้ยวเป็นอันมาก แต่บัดนี้ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว ข้อเสนอของตระกูลนภาห้าสมัยทำให้หวังเป่าเล่อมีโอกาสก้าวหน้าอีกครั้ง
แต่ก็ยังมีปัญหาอยู่อย่างหนึ่ง ข้าได้แก่นในแห่งความมืดมา… แต่ก็เรียนศาสตร์เวทอสนีบาตมาจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ทันทีที่พลังปราณไหลออกจากกาย แก่นในแห่งความมืดภายในกายข้าจะเผยตนออกมาแน่นอน… หวังเป่าเล่อนวดหน้าผากอย่างหนักใจ ก่อนขบฟันแน่นและก้มลงมองโอสถที่วางอยู่
ข้าอาจต้องพยายามสร้างแก่นในแห่งอัสนีโดยใช้กระบวนท่าเต๋าสายฟ้าขั้นต้น หากทำสำเร็จก็จะดูเหมือนเป็นผู้ฝึกตนระดับกำเนิดแก่นในสายฟ้า แต่ความจริงแล้วข้าจะมีแก่นในคู่! หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอให้คอโล่งก่อนโบกมือขวา เขาผนึกโลกโดยรอบให้ปิดตายด้วยพลังของวัตถุเวทแห่งความมืด และนั่งลงขัดสมาธิ ชายหนุ่มใช้มือขวาหยิบโอสถที่เด็กชายบอกว่าจะช่วยเพิ่มขั้นปราณให้ผู้ใช้โดยไม่มีผลข้างเคียงขึ้นมา
หากผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณใช้โอสถนี้เพิ่มขั้นปราณของตนเองได้ ข้าที่มีปราณขั้นกำเนิดแก่นในต้องได้ประโยชน์มากกว่าแน่นอน!
บทที่ 470 เฝ้าดู
โดย
Ink Stone_Fantasy
หากกินเข้าไปแล้ว… ข้าจะไม่บวมอืดจนระเบิดใช่ไหมนี่ หวังเป่าเล่อกำขวดโอสถก่อนหยิบเม็ดยาออกมาสองเม็ด ยานั้นเป็นสีม่วง ไร้ซึ่งกลิ่นสมุนไพรโดยสิ้นเชิง มีเพียงอักขระที่ดูซับซ้อนประทับอยู่เท่านั้น แม้ชายหนุ่มจะไม่เข้าใจว่าอักขระนั้นคือสิ่งใด แต่ประสบการณ์ก็บอกให้เขารู้ว่าโอสถที่ตนถือครองอยู่นี้เป็นโอสถที่ทรงคุณค่า
หวังเป่าเล่อเริ่มกระวนกระวายใจ ด้วยความที่โอสถนี้เขาได้มาจากผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณ ชายหนุ่มจึงไม่แน่ใจว่าตนเองที่เป็นผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในจะย่อยมันได้หรือไม่
จะเป็นอะไรไปเล่า ก็แค่ยาเองมิใช่หรือ หากพวกจุติวิญญาณย่อยได้ ข้าก็ต้องย่อยได้สิ! หลังจากที่ต่อสู้กับตัวเองอยู่สักพัก ชายหนุ่มก็ก้มหน้าลงมองร่างตนเอง แววความมุ่งมั่นฉายขึ้นในดวงตา
ข้าเป็นบุตรแห่งโชคลาภ ย่อมไม่ตายเพราะเรื่องเพียงเท่านี้แน่นอน แถมข้ายังอยู่ภายในวัตถุเวทแห่งความมืดอีก ที่สำคัญที่สุดคือ… ข้าคือชายที่หุ่นเพรียวและรูปงามที่สุดในสหพันธรัฐ ยังเหลือที่ให้น้ำหนักขึ้นอีกมาก ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยสัดนิด! คิดได้ดังนั้น หวังเป่าเล่อก็หักเม็ดยาให้แตก
แข็งเหมือนกันนะนี่… ชายหนุ่มมองยาในมือและใช้แรงมากกว่าเดิมในการบิ เขาหยิบยาครึ่งเม็ดใส่ปาก
ยาที่สัมผัสปลายลิ้นนั้นให้รสเปรี้ยวและเผ็ดร้อนที่ระเบิดออกเต็มปากหวังเป่าเล่อ ความเปรี้ยวนั้นแหลมรุนแรงเหมือนเขากินองุ่นป่าเข้าไปชามใหญ่ในคำเดียว ต่อมรับรสของหวังเป่าเล่อหยุดทำงานไปทันที เขารู้สึกได้เพียงว่ามีพลังบางอย่างไหลขึ้นสู่สมอง ชายหนุ่มควบคุมตนเองไม่ได้ ร่างของเขาแข็งทื่อ สีหน้าบิดเบี้ยว ดวงตาเบิกโพลง
แย่แล้ว!
กระนั้นก่อนที่ชายหนุ่มจะทันได้ปรับตัว ความเปรี้ยวก็หายไป ความเผ็ดร้อนที่แซงหน้าโอสถมรณะไปไกลเข้ามาแทนที่ ความเผ็ดนั้นเหมือนปรมาณูที่ระเบิดในปากจนทำให้จิตใจสั่นคลอน
อ๊ากกกกก! หวังเป่าเล่ออยากกรีดร้องแต่ก็ส่งเสียงไม่ออกสักแอะ เขาอยากดื่มน้ำเพื่อบรรเทา แต่ก่อนที่จะคว้าน้ำมาได้ สมองก็ระเบิดขึ้นอีกครั้งจนเขากรีดร้องรับความเจ็บปวดไม่ทัน ชายหนุ่มบีบคอตนเองแน่น กระโดดผางขึ้นจากท่านั่งขัดสมาธิ และเริ่มวิ่งไปทั่วเหมือนคนเสียสติ
หวังเป่าเล่ออยู่ในสภาพนี้ไปอีกสิบนาที จนร่างกายของเขารับไม่ไหวอีกต่อไป และล้มตึงลงบนพื้นเสียงดังสนั่นหวั่นไหวก่อนสติจะดับวูบ คำถามเดียวที่ผุดขึ้นในใจเขาคือ เขารนหาที่ตายเองใช่หรือไม่…
แม้หวังเป่าเล่อจะสลบไปแล้ว แต่ร่างกายของเขายังคงสั่นเทาไม่หยุดโดยที่เจ้าของร่างไม่ได้รู้สึกตัว แขนขาของเขาดิ้นพราดเหมือนถูกไฟช็อต สะบัดขึ้นสะบัดลงเหมือนไส้เดือนบนพื้นแห้งๆ
ภาพนี้ไม่เพียงทำให้อสูรร้ายที่รายล้อมอยู่ตกใจ แต่ยังทำให้วิญญาณวุธทั้งสามที่ปรากฏตัวขึ้นมาดูสถานการณ์เพราะรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งผิดปกติตกใจด้วย พวกเขายืมล้อมหวังเป่าเล่อเอาไว้ จ้องมองร่างที่ชักกระตุกของชายหนุ่ม พากันอ้าปากค้างอย่างตื่นตะลึง ก่อนจะหันมามองหน้ากันด้วยความงุนงง
“นี่มัน… เจ้านายคนใหม่ของเราคงไม่ได้ตายลงท่านี้หรอกใช่ไหม” เสี่ยวเปาพึมพำด้วยสายตางุนงง ภาพตรงหน้าของเขาเหลือเชื่อและเกินความคาดคิดไปมาก
ราชครูเฒ่าที่ยืนอยู่ตรงมุมกระแอมกระไอ ก่อนมองเด็กชายด้วยสายตาชื่นชม ก่อนจะตบศีรษะตนเองด้วยมือขวา
“ทำได้ดีมาก!”
เด็กชายมีสีหน้างุนงง เขาไม่เข้าใจว่าชายชราหมายความว่าอย่างไร แต่ไม่นานก็เข้าใจว่าเกิดสิ่งใดขึ้นและตกใจจนตัวแข็ง เขารู้แล้วว่าหวังเป่าเล่อกินโอสถที่เขาบอกว่ากินได้ไม่มีปัญหาเข้าไป…
“นี่มัน… นี่มัน…” เสี่ยวเป่าน้ำตาคลอหน่วย เมื่อเห็นราชครูเดินเข้ามาหาเพื่อจะตบบ่า แววตาของเด็กชายก็วาบด้วยความอำมหิต เขากำลังจะโต้กลับ แต่ชายร่างหนาประจำเรือสำปั้นแห่งความมืดก็พูดขึ้นมาก่อนอย่างใจเย็น
“พอได้แล้วพวกเจ้าทั้งสอง เจ้าไม้พายเฒ่าไม่ได้ทำสิ่งใดผิด นายท่านต่างหากที่หักยาเองก่อนกิน ปกติแล้วชั้นนอกของยาสร้างมาเพื่อให้รสชาติของส่วนผสมภายในไม่ออกฤทธิ์ แต่นายท่านเป็นชายที่แข็งแกร่งมาก ร่างกายของเขาทนทานด้วยน้ำหนักซึ่งมากเกินปกติ นายท่านไม่เป็นไรหรอก!” วิญญาณเรือพูด พลังปราณระเบิดเป็นคลื่นออกจากร่างหวังเป่าเล่อที่ยังชักกระตุกอยู่ ตอนแรกพลังนั้นไหลบ่าออกจากท้องของเขาเหมือนสายน้ำ ไม่นานนักก็แปรสภาพเป็นสายธารเชี่ยวกรากภายในกาย
กว่าวิญญาณเรือจะพูดจบ กระแสปราณนั้นก็กลายสภาพเป็นมหาสมุทรที่ซัดสาดอย่างบ้าคลั่ง พลังปราณทะลักออกจากรูขุมขนหวังเป่าเล่อ ก่อนจะรวมตัวกันกลายเป็นหมอกวิญญาณที่แพร่กระจายไปทุกทิศทาง
หวังเป่าเล่อที่หมดสติอยู่โดนกระตุ้นจากปราณที่หลั่งไหลจึงตื่นขึ้นมาชั่วครู่ แม้เขาจะยังงุนงง แต่ก็ปลุกพลังของกระบวนท่าเต๋าสายฟ้าขั้นต้นขึ้นมาโดยสัญชาตญาณ ตอนนั้นเองเสียงคำรามของสายฟ้าบ้าคลั่งก็ระเบิดออกจากร่างของชายหนุ่ม พลังปราณถูกดูดเข้าไปในสายฟ้านั้น พุ่งตรงไปยังเส้นปราณทั่วร่างหวังเป่าเล่อ ไม่นานนักก็แทรกซึมเข้าไปในดอกบัวตูมดอกที่สาม ส่งให้กลีบดอกเริ่มผลิแย้ม!
พลังปราณที่ไหลเข้าแก่นในไปนั้น เปรียบเสมือนยาบำรุงและปุ๋ยเร่งที่ทำให้กลีบดอกบัวคลี่ออก จนกลายเป็นดอกบัวที่ใกล้บาน ในเวลาเดียวกันนั้น สายฟ้ารูปคันศรก็อุบัติขึ้นในกายเขา ก่อนวิ่งพล่านไปทั่วร่างหวังเป่าเล่อ
กระบวนการนี้กินเวลาทั้งหมดหกชั่วโมงด้วยกัน ในที่สุดการระเบิดของพลังปราณก็ค่อยๆ สงบลง ร่างของหวังเป่าเล่อกลับสู่สภาวะปกติอีกครั้ง เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้นด้วยความงุนงง ความรู้สึกเจ็บปวดแสนสาหัสกระจายไปทั่วร่าง จนทำให้ชายหนุ่มต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บ
วิญญาณวุธทั้งสามหายตัวไปก่อนที่หวังเป่าเล่อจะได้สติ
ชายหนุ่มร้องครวญครางด้วยร่างที่สะบักสะบอม และพยายามยันตัวลุกขึ้น เขาตัวสั่นเมื่อจำได้ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนจะหมดสติไป รสเปรี้ยวและเผ็ดนั้นทำให้จิตใจของเขาเย็นเยียบด้วยความกลัว สัญชาตญาณแรกบอกให้ตนเองล้มเลิกความพยายามนี้เสีย แต่ในตอนนั้นเองชายหนุ่มก็เบิกตากว้าง เขารู้สึกได้ว่าดอกบัวตูมภายในกายได้กลายเป็นดอกบัวที่ใกล้บานแล้ว!
ได้ผลจริงเสียด้วย! หวังเป่าเล่อทั้งประหลาดใจและดีใจ เขารีบลุกขึ้นยืนและปล่อยพลังปราณออก ชายหนุ่มโบกมือ กระแสไฟฟ้าวาบออกจากมือพร้อมเสียงระเบิดน่ากลัว หวังเป่าเล่อคะเนความรุนแรงของสายฟ้านั้นดู และสรุปได้ว่าพลังสายฟ้าขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นสมบูรณ์ของตนได้พัฒนาขึ้นไปอีก จนเทียบเท่าขั้นกำเนิดแก่นในแบบครึ่งใบโดยที่ไม่ต้องใช้พลังจากแก่นในแห่งความมืดด้วยซ้ำ
นี่ขนาดกินเข้าไปเพียงครึ่งเม็ดเองนะ!
ผลลัพธ์นี้ทำให้หวังเป่าเล่อมีความสุขมาก เขารีบหยิบยาอีกครึ่งเม็ดที่เหลือขึ้นมากลืนลงไปอีกครั้ง ร่างทั้งร่างพลันแข็งทื่อ ชายหนุ่มบีบคอตนเองแน่น ก่อนลมตึงลงไปบนพื้นพร้อมเสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด หวังเป่าเล่อชักกระตุกขณะสติค่อยๆ มืดดับลง วิญญาณวุธทั้งสามปรากฎกายขึ้นอีกครั้งเพื่อสังเกตการณ์…
“แข็งแกร่งดุจเทพเจ้า!”
“ช่างเป็นคนที่อำมหิตอะไรเช่นนี้!”
“ทรงพลังเหลือเกิน!” วิญญาณวุธทั้งสามพูดคุยกันเอง เมื่อเห็นว่าหวังเป่าเล่อไม่ตายเพราะฤทธิ์ยา พวกเขาพากันหายไปอีกครั้งก่อนที่หวังเป่าเล่อจะกลับมาได้สติ
ชายหนุ่มเดินหน้าทรมานตนเองแลกกับขั้นปราณต่อไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่อยากกลืนยาเข้าไปทั้งเม็ด แต่เขารู้สึกว่าตนเองควรดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป หากรีบร้อนเกินไปอาจตายได้โดยไม่คาดคิด
ความจริงแล้วหวังเป่าเล่อคิดถูกที่ทำเช่นนี้ หากเขากินยาเข้าไปทั้งเม็ดภายในคราวเดียว เขาอาจรอดชีวิตมาได้ แต่ก็คงบาดเจ็บปางตาย การแบ่งโอสถกินทีละครึ่งทำให้ร่างกายของเขาดูดซึมฤทธิ์ยาได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้จะเจ็บปวดมาก แต่ก็ไม่ได้มีผลข้างเคียงอื่น
ดังนั้นหลังจากที่กินโอสถเข้าไปครับสองเม็ดถ้วน ร่างของชายหนุ่มก็ปล่อยสายฟ้าออกมาอย่างต่อเนื่อง ดอกบัวดอกที่สามเบ่งบานเต็มที่ เผยให้เห็นฝักบัวที่อยู่ตรงกลางซึ่งเป็นแก่นในแห่งอัสนี!
ไอของแก่นในอัสนีแผ่ออกจากร่างของหวังเป่าเล่อ ก่อนกระจายออกทั่วทุกสารทิศ ชายหนุ่มระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความตื่นเต้นอัศจรรย์ใจ
หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่ามีคนอื่นที่มีแก่นในคู่เหมือนเขาหรือไม่ แต่หลังจากลองทดสอบพลังของมันดู ชายหนุ่มก็รู้ว่าแก่นในทั้งสองทำหน้าที่เหมือนจุดส่งผ่านของพลังปราณ เมื่อเขาปล่อยพลังปราณเข้าไปในดอกบัวแก่นในแห่งอัสนี พลังที่ไหลออกจากกายจะเป็นพลังปราณกำเนิดแก่นในสายฟ้า
เมื่อเขาปล่อยพลังปราณเข้าไปในแก่นในแห่งความมืด พลังปราณแห่งความมืดก็จะปรากฏออกมา
แก่นในทั้งสองทำงานสอดประสานกัน แม้จะยังไม่ราบรื่นมากนัก แต่ดูเหมือนว่าหากใช้จนร่างกายเคยชินและชำนาญกว่านี้ เขาคงสามารถสับเปลี่ยนพลังระหว่างสองแก่นได้ไม่สะดุดระหว่างการต่อสู้!
อีกความเปลี่ยนแปลงหนึ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อแปลกใจ คือพลังปราณเข้มข้นที่หมุนวนอยู่ในร่างกาย และจำนวนเส้นปราณทั่วร่างที่เพิ่มมากขึ้น เส้นปราณและพลังปราณของหวังเป่าเล่อสำแดงฤทธิ์ไปแล้วครั้งหนึ่ง ตอนที่เขาบรรลุปราณขั้นกำเนิดแก่นในแห่งความมืด เมื่อเส้นปราณกระจายไปทั่งร่าง พลังปราณก็ทวีความรุนแรงขึ้นเช่นกัน ตอนนี้เส้นปราณและพลังปราณของหวังเป่าเล่อเพิ่มขึ้นสองเท่าจากการมีแก่นในสองแก่น!
นี่ทำให้พลังการต่อสู้ของชายหนุ่มแซงหน้าคนในระดับเดียวกันไปมาก แม้เขาจะยังเป็นผู้มีปราณขั้นกำเนิดแก่นในขั้นต้นเท่านั้น!
ชายหนุ่มปลื้มปริ่มเป็นอันมากเมื่อรับรู้ความจริงข้อนี้ เขาวางทุกอย่างลงและตัดสินใจออกจากเกราะคุ้มกันที่สร้างไว้ก่อนหน้า หวังเป่าเล่อเดินออกจากโลกใต้ดินด้วยความกระตือรือร้น ขณะที่วิญญาณวุธทั้งสามเฝ้ามองเขาด้วยความเคารพ ชายหนุ่มเดินไปยังทางใต้ดินของนครอาวุธเทพใหม่ ตบพุงตนเองอย่างภาคภูมิใจ และหยิบแหวนสื่อสารของตนมาติดต่อหาเจ้านครดาวอังคาร แต่ท่านเจ้านครไม่รับสาย เขาจึงทิ้งข้อความเอาไว้ให้แทน
“ท่านเจ้านครขอรับ หวังเป่าเล่อผู้นี้ไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวัง หลังจากที่ถือสันโดษฝึกวิชาอยู่หลายเดือน ข้าก็บรรลุขั้นการฝึกตนอย่างง่ายดาย บัดนี้ข้า… เป็นผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในแล้ว!”
บทที่ 471 เป่าเล่อเป็นเด็กดี
โดย
Ink Stone_Fantasy
หวังเป่าเล่อไม่รอคำตอบจากเจ้านครดาวอังคาร เขารีบโทรไปหาประมุขสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ด้วยความตื่นเต้นดีใจทันที แต่กลับไม่มีใครรับสาย ชายหนุ่มพบเหตุการณ์เช่นนี้บ่อยครั้งแล้วจึงฝากข้อความเอาไว้แทน
“ท่านประมุขสำนัก หวังเป่าเล่อผู้นี้ไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวัง หลังจากที่ถือสันโดษฝึกวิชาอยู่หลายเดือน ข้าก็บรรลุขั้นการฝึกตนอย่างง่ายดาย บัดนี้ข้า…เป็นผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแกนในแล้ว!”
หวังเป่าเล่อตื่นเต้นดีใจหนัก เขารีบส่งข้อความไปหาผู้นำสหพันธรัฐอีก เขารู้สึกว่าการบรรลุขั้นกำเนิดแก่นใจของตนถือเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ทั้งสหพันธรัฐควรจะเฉลิมฉลองให้กับความสำเร็จในครั้งนี้ คนใหญ่คนโตควรจะมอบของขวัญแสดงความยินดีให้ เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อขุนนางระดับสามชั้นสูง
เจ้านครดาวอังคารนั่งอยู่ภายในสำนักงานประจำนครหลักดาวอังคารตอนที่ชายหนุ่มส่งข้อความมาหา แผ่นหยกบนโต๊ะของนางปล่อยแสงประหลาดเข้าโอบล้อมนางไปทั้งกาย
เหตุการณ์เดียวกันนี้เกิดขึ้นกับประมุขสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ประมุขสำนักศึกษาเต๋าอื่นๆ อีกสามคน ผู้นำคณะเสนาบดี เสนาบดีบางคน รวมถึงผู้แทนจากกลุ่มอำนาจการเมืองต่างๆ เช่น ตระกูลนภาห้าสมัย และบุคคลยศสูงจากกองทัพ เหล่าบุคคลสำคัญของสหพันธรัฐกำลังนั่งอยู่ในสำนักงานของตนโดยมีแสงจากแผ่นหยกแบบเดียวกันโอบล้อมกายไว้
ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่ได้ตอบข้อความของหวังเป่าเล่อตอนที่เห็นแจ้งเตือน เพราะตอนนี้ทุกคนกำลังจัดการประชุมสุดยอดของสหพันธรัฐผ่านทางแผ่นหยกพิเศษ!
สถานที่ที่ใช้จัดการประชุมคือชั้นบนสุดของตึกสูงในนครหลวงของสหพันธรัฐ ตึกนี้ออกแบบโดยผสมผสานรูปลักษณ์ของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาราเข้าด้วยกัน ภายในตึกมีห้องประชุมขนาดใหญ่อยู่หนึ่งห้อง
ในห้องมีรูปปั้นเก้าตัวตั้งอยู่รอบ แต่ละตัวปล่อยรังสีสังหารรุนแรงออกมา ใจกลางวงล้อมของรูปปั้นมีโต๊ะทรงรีทำจากหินอยู่ตัวหนึ่ง รอบโต๊ะมีเก้าอี้หลายสิบตัว แต่ละตัวมีร่างมายานั่งอยู่!
ร่างมายาเหล่านั้นคือเจ้านครดาวอังคาร ประมุขสำนักจากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋า ผู้แทนกลุ่มไตรจันทรา ผู้นำคณะเสนาบดีพ่วงด้วยหลินโยวและเสนาบดีอีกสองคน นอกจากนี้ยังมีผู้อาวุโสห้าคนจากตระกูลนภาห้าสมัย ผู้อาวุโสชั้นสูงจากสำนักรุ่งสางจักรพิภพ และประมุขสำนักชุมนุมสกุณา เหล่าบุคคลสำคัญของสหพันธรัฐต่างมารวมตัวกันพร้อมหน้าในห้องประชุมแห่งนี้
ผู้นำสหพันธรัฐไม่ได้ปรากฎกายในรูปแบบภาพมายา เขานั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะ แม้ขนาดร่างกายและเก้าอี้จะแตกต่างกันอยู่มาก แต่พลังที่พวยพุ่งออกมาจากกายนั้นทรงอำนาจกว่าคนอื่นๆ
การประชุมสุดยอดนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ห้า บัดนี้ได้เดินทางมาถึงช่วงสุดท้ายของการประชุมแล้วหลังจากถกกันมาหนึ่งวันเต็ม วาระหลักที่ถกกันคือเรื่องเหตุร้ายบนดาวพุธและร่องรอยของผู้บุกรุกจากต่างดาวทั้งสาม
แต่ไม่ว่าจะหาอย่างไรก็ไม่สามารถแกะรอยเหล่าผู้บุกรุกจากต่างดาวทั้งสามได้ มีความเห็นต่างๆ มากมายในที่ประชุมแต่ยังไม่ได้บทสรุป มาตรการคุ้มกันอย่างเข้มงวดและการเปิดใช้งานวงแหวนปราณทั่วระบบสุริยะกินพลังงานไปมากโข สำหรับสหพันธรัฐที่เพิ่งจะเริ่มก่อร่างสร้างอารยธรรมฝึกตนนั้น ยิ่งปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ยิ่งเป็นการยากที่พวกเขาจะคงสถานภาพนี้ไว้ได้
ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์เมื่อใกล้จะจบการประชุม เป็นคราวที่ประธานสหพันธรัฐต้องพูด ทุกคนจึงหยุดถกประเด็นและเงยหน้ามองต้วนมู่ฉี
“พี่ใหญ่โมเกาจื่อได้ออกค้นหาทั่วระบบสุริยะ และวงแหวนปราณของสหพันธรัฐก็เปิดใช้งานตลอดเวลา แต่เราก็ยังตรวจหาเบาะแสไม่พบเลยแม้แต่น้อย จากการประเมินของพี่ใหญ่โมเกาจื่อ…ทั้งสามน่าจะโดนจัดการเรียบร้อยไปแล้วหรือไม่ก็หนีออกจากระบบสุริยะไปด้วยวิธีการใดก็ไม่อาจทราบได้” ต้วนมู่ฉีกล่าว เสียงทุ้มต่ำของเขาดังก้องไปทั่วห้องประชุม
“มีโอกาสต่ำมากที่พวกเขาจะโดนจัดการไป แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นเช่นนั้น อย่างไรเสียระบบสุริยะแห่งนี้ก็มีสิ่งที่พวกเราไม่สามารถเข้าใจได้ซ่อนอยู่…เหล่าพลังปริศนาพวกนั้น!”
“ความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะหลบหนีออกจากระบบสุริยะไปแล้วนั้นสูงกว่า หากเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่า…เราอาจจะต้องเผชิญกับภัยคุกคามที่ร้ายแรงกว่านี้ในอนาคต!”
“เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีความจำเป็นที่จะเปิดใช้งานวงแหวนปราณระบบสุริยะไว้ แต่บทเรียนที่ได้จากเหตุร้ายบนดาวพุธก็ชี้ให้เห็นแล้วว่าวงแหวนปราณบนดาวเคราะห์แต่ละดวงจะต้องเปิดใช้งานไว้ตลอดเวลา!” ต้วนมู่ฉีพูดด้วยสีหน้าราบเรียบ ไม่มีใครดูออกว่าเขาคิดอะไรอยู่ ทุกคนตกอยู่ในภวังค์ความคิด ไม่มีใครปริปากพูดอะไรออกมา
เขากวาดตามองคนรอบๆ จากนั้นก็หัวเราะเสียงดัง รู้ดีว่าถึงไม่ได้พูดอะไรออกไป เหล่าคนที่อยู่ในห้องก็น่าจะรู้ดี เพราะแต่ละคนเคยผ่านประสบการณ์การวางแผนมามากมาย
อาจดูเหมือนว่าต้วนมู่ฉีวางแผนจะปิดอภิมหาวงแหวนปราณและลดระดับการคุ้มกันลง แต่เขาได้ติดต่อกับพี่ใหญ่โมเกาจื่อที่สนิทชิดเชื้อกันมาหลายปีอย่างลับๆ พวกเขาวางแผนจะใช้วิธีนี้ล่อกลุ่มผู้บุกรุกให้ปรากฎตัวอีกครั้ง ทำให้ภารกิจค้นหาของโมเกาจื่อยังไม่สิ้นสุดลง
แม้ไม่คิดว่าจะมีหนอนบ่อนไส้อยู่ภายในสหพันธรัฐ แต่เขาก็ยังระแวดระวังว่าอาจจะมีคนภายในคอยติดต่อกับเหล่าผู้บุกรุกจากต่างดาว ทำให้ไม่ได้บอกรายละเอียดแผนการทั้งหมดไป แต่ได้วางมาตรการป้องกันที่เข้มแข็งกว่าเอาไว้แทน
ต้วนมู่ฉีกำลังจะลุกขึ้นปิดการประชุมหลังจากจบประเด็นของตน ทันใดนั้นชายวัยกลางคนรูปงามคนหนึ่งจากตระกูลนภาห้าสมัยก็หัวเราะขึ้น
“สหายต้วนมู่ฉี ไหนๆ ก็ลงความเห็นประเด็นสำคัญต่างๆ ไปหมดแล้ว วงแหวนปราณระบบสุริยะก็จะปิดใช้งาน หมายความว่าทุกอย่างน่าจะกลับไปเป็นปกติ เช่นนั้นเรามาคุยกันเรื่องการยกระดับนครใหม่แห่งดาวอังคารกันดีหรือไม่” ชายที่เสนอขึ้นคือผู้นำตระกูลเฉิน บิดาของเฉินมู่!
ผู้นำตระกูลอื่นๆ ในตระกูลนภาห้าสมัยพยักหน้ารับทันทีที่ชายผู้นี้พูดจบ ผู้นำตระกูลจั่วยิ้มพร้อมเอ่ยปากพูด
“นครใหม่แห่งดาวอังคารเป็นทรัพย์สินที่มีความสำคัญมาก แต่ด้วยขนาดในปัจจุบันทำให้ไม่สามารถสนับสนุนการขุดค้นอาวุธเทพได้เพียงพอ อีกทั้งยังมีปัญหาในส่วนของการรักษาความปลอดภัย ข้าขอสนับสนุนแผนยกระดับนครแห่งนี้ให้เป็นเขตนครพิเศษ!”
หลังจากผู้แทนตระกูลนภาห้าสมัยเห็นพ้องต้องกัน ผู้อาวุโสระดับสูงจากสำนักรุ่งสางจักรพิภพก็ยกยิ้มและพยักหน้า
“สำนักรุ่งสางจักรพิภพขอให้การสนับสนุนแผนการนี้ด้วยเช่นกัน!”
ประมุขสำนักชุมนุมสกุณายกมือแตะคาง เขามองไปทางตระกูลนภาห้าสมัยและประมุขสำนักจากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋า ก่อนจะเอ่ยปากให้การสนับสนุนเช่นเดียวกัน
กลุ่มไตรจันทราและคณะเสนาบดีไม่ได้พูดอะไร หลินโยวขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะหรี่ตามองประมุขสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์
ในสายตาของหลินโยว สีหน้าของประมุขสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ดูแปลกไปเล็กน้อยขณะก้มหัวอ่านอะไรบางอย่าง…ด้านสามสำนักศึกษาเต๋าที่เหลือ ประมุขสำนักศึกษาเต๋ากวางขาวแค่นเสียงทางจมูกแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร แผนการยกระดับนครใหม่นั้นผ่านฉลุยมาอยู่แล้ว กลุ่มอำนาจการเมืองต่างๆ ได้ข้อสรุปภายในแล้ว มีการแบ่งหน้าที่ต่างๆ ในเขตนครพิเศษเตรียมไว้ด้วยซ้ำ หากไม่มีการคุกคามจากผู้บุกรุกต่างดาว แผนการนี้คงดำเนินการไปนานแล้ว
เจ้านครอาณานิคมมีสีหน้าราบเรียบ แต่ไม่มีใครสังเกตว่านางเพิ่งจะก้มมองแหวนสื่อสาร
จากเสียงส่วนใหญ่ แผนการยกระดับนครใหม่ก็ผ่านวาระการประชุม ต้วนมู่ฉีไม่ได้กล่าวอะไร เขาเพียงซ่อนความเจ้าเล่ห์ในดวงตาเอาไว้
“ในเมื่อแผนการยกระดับนครใหม่ผ่านวาระไปแล้ว ต่อไปเราควรวางตัวเจ้าเมืองประจำเขตนครพิเศษ” เจ้านครอาณานิคมดาวอังคารพูดขึ้นหลังจากปิดปากเงียบอยู่นาน
“ผู้เข้ารับตำแหน่งจะต้องมีระดับการฝึกตนอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นใน น่าเสียดายแทนหวังเป่าเล่อ เขาเป็นเด็กดี แต่ยังไม่ได้บรรลุไปขั้นกำเนิดแก่นใน” ผู้นำตระกูลจั่วจากตระกูลนภาห้าสมัยส่ายหัวพลางถอนหายใจ
“แม้พวกเราจะมีอายุอานามมากแล้ว แต่ก็ยังสนับสนุนสหพันธรัฐและให้เวลาคนรุ่นใหม่ได้เติบโต โดยเฉพาะหวังเป่าเล่อผู้มากความสามารถ เขาไม่ควรจะมาเสียเวลาในจุดนี้ ควรเอาเวลาไปมุ่งฝึกวิชา!”
ประมุขสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ทุบโต๊ะพร้อมร้องคำรามขึ้นเมื่อได้ยินคำเสแสร้งจากคนเหล่านี้
“หวังเป่าเล่อสร้างความดีความชอบมากมายให้สหพันธรัฐและดาวอังคาร เขาสร้างนครใหม่ขึ้นมากับมือ ข้าขอเสนอให้ทางสหพันธรัฐตั้งกรณีตัวอย่างและอนุญาตให้หวังเป่าเล่อขึ้นเป็นเจ้าเมืองประจำเขตนครพิเศษ!”
“ไม่เห็นจะต้องโวยวายใหญ่โตเลยท่านประมุขสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ข้าเห็นด้วยว่าหวังเป่าเล่อเป็นคนที่น่ายกย่อง แต่กฎก็ต้องเป็นกฎ จะให้ไปแก้กฎง่ายๆ เช่นนั้นได้อย่างไร ถ้าระดับการฝึกตนของหวังเป่าเล่ออยู่ในขั้นกำเนิดแก่นใน ข้าก็คงจะสนับสนุนเขาเช่นกัน แต่เขตนครพิเศษดาวอังคารนั้นมีความเกี่ยวข้องกับอาวุธเทพ จะมองเป็นเรื่องเล่นๆ ไปไม่ได้ ท่านประมุขสำนักไม่ควรจะเอาเรื่องส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวโยงกับสวัสดิภาพของสหพันธรัฐ!” ผู้นำตระกูลเฉินจากตระกูลนภาห้าสมัยเอ่ยเสียงเรียบ ไม่ได้ขึ้นเสียงแต่อย่างใด แต่ทุกถ้อยคำนั้นแฝงไปด้วยความดุดัน
“เจ้า…” ประมุขสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์หน้าเคร่งเครียดจากนั้นก็ซีดเผือด ก่อนจะกลับมาเคร่งเครียดอีกครั้งขณะที่กำมือแน่น ไม่รู้จะพูดอะไรออกไปอีก
“ข้าเข้าใจความรู้สึกของท่านประมุขสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ หวังเป่าเล่อเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดในตำแหน่งนี้ แต่ระดับการฝึกตนของเขายังไม่ถึงขั้น นอกจากนี้ ตามกฎของสหพันธรัฐแล้ว เจ้าเมืองประจำเขตนครพิเศษจะต้องเข้ารับตำแหน่งเสนาบดี โดยเขาจะต้องมีตำแหน่งเป็นขุนนางระดับสองชั้นรองเป็นอย่างน้อย ซึ่งการจะขึ้นเป็นขุนนางระดับสองชั้นรองได้จะต้องมีระดับการฝึกตนอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นใน!” ผู้อาวุโสระดับสูงจากสำนักรุ่งสางจักรพิภพส่ายหัวพร้อมกับถอนหายใจ
“ก็ต้องว่ากันตามกฎ…”
ผู้แทนตระกูลนภาห้าสมัย ผู้แทนสำนักรุ่งสางจักรพิภพและผู้สนับสนุนคนอื่นๆ ต่างถอนหายใจออกมา คนจากตระกูลนภาห้าสมัยนั้นแสร้งทำท่าทีสงสารเต็มที่
ขณะที่พวกเขากำลังจะสรุปว่าใครจะได้รับตำแหน่งเจ้าเมืองไป เจ้านครดาวอังคารก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงและสีหน้าราบเรียบ
“ข้าเพิ่งได้ทราบข่าวใหม่ ตามที่พวกท่านทุกคนลงความเห็นว่าหวังเป่าเล่อเป็นคนที่เหมาะกับตำแหน่งที่สุด แต่ก็น่าเสียดายที่มีระดับการฝึกตนไม่ถึงขั้น เขาเพิ่งจะเก็บตัวฝึกวิชาเสร็จ ตอนนี้…เขาบรรลุขั้นกำเนิดแก่นในแล้ว!”
บทที่ 472 อัตชีวประวัติของท่านผู้นำ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เขา…บรรลุขั้นกำเนิดแก่นในแล้ว…”
ถ้อยคำดังกล่าวเป็นดังลมเบาบางพัดผ่านหูของกลุ่มคนที่กำลังถกกันเรื่องคนที่เหมาะที่สุดซึ่งจะเข้ามาดูแลเขตนครพิเศษบนดาวอังคาร เสียงนั้นก้องไปมาปนกับเสียงสนทนาเรื่องเจ้าเมืองคนใหม่…
ในที่สุด เสียงถกกันก็ค่อยๆ ซาลง เหล่าบุคคลสำคัญตัวแข็งทื่อ รีบหันไปมองเจ้านครอาณานิคมดาวอังคารที่ยังมีสีหน้านิ่งเฉยทันที บัดนี้…ทั้งห้องประชุมตกอยู่ในความเงียบ
ประมุขสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์กระแอมกระไอขึ้นมาเพื่อทำลายความเงียบ เสียงกระแอมกระไอของเขาดังก้องไปทั่วห้อง จากนั้นเสียงของประมุขสำนักศึกษาที่ใครหลายคนฟังแล้วรู้สึกระคายหูก็ดังขึ้น
“ข้าก็เพิ่งจะได้รับข่าว ตอนนี้หวังเป่าเล่อที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าเหมาะจะเป็นเจ้าเมืองประจำเขตนครแห่งใหม่ได้บรรลุขั้นกำเนิดแก่นในแล้ว ข้าขอขอบคุณสหายเต๋าทุกท่านที่เสนอชื่อเขาให้เข้ารับตำแหน่ง จริงๆ ข้าก็ไม่ควรจะผลักดันคนในสังกัดของตนเอง แต่เพื่อประโยชน์สุขของสหพันธรัฐ อีกอย่างทุกท่านยังเชื่อมั่นในความสามารถของศิษย์สำนักข้า ในฐานะประมุขสำนัก ข้าคงไม่สามารถปฏิเสธข้อเสนอของทุกท่านได้!”
“ท่านผู้นำ ในฐานะสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์และสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋า ข้าข้อเสนอชื่อหวังเป่าเล่อให้เข้ารับตำแหน่งเจ้าเมืองประจำเขตนครพิเศษ ด้วยความดีความชอบมากมายที่เขาสร้างให้แก่สหพันธรัฐและดาวอังคาร ข้าคิดว่าเขาควรจะได้ขึ้นเป็นขุนนางระดับสองชั้นรอง!” ทันทีที่ประมุขสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์พูด พลังขั้นกำเนิดแก่นในชั้นปลายก็พวยพุ่งออกมาจากร่าง ขณะที่เสียงของเขาดังก้องไปทั่วทั้งห้อง ราวกับว่ามีพายุหมุนก่อตัวขึ้นภายในที่ประชุม ถ้อยคำของเขา…เปี่ยมไปด้วยพลังแกร่งกล้าที่ไม่ได้เผยให้เห็นก่อนหน้า!
นี่เป็นเพราะเขาไม่ได้กล่าวในฐานะสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์เพียงอย่างเดียว แต่เป็นในฐานะสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าด้วย วาจาของเขาแสดงให้เห็นว่าอีกสามสำนักศึกษาเต๋าไม่สามารถปฏิเสธอะไรได้ถ้ายังอยากรักษาพันธมิตรสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าไว้ แม้ว่าจะมีปัญหาและข้อขัดแย้งภายใน แต่พวกเขาก็ต้องแสดงให้เห็นถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันต่อหน้าที่ประชุม!
หากทั้งสี่สำนักศึกษาเต๋าเกิดขัดแย้งกันเอง จะเป็นการสร้างผลเสียใหญ่โตให้กับชื่อสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋า อาจเกิดรอยร้าวในความสัมพันธ์ระหว่างสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์และอีกสามสำนักศึกษาเต๋า
อีกอย่างสิ่งที่ประมุขสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์พูดนั้นเป็นความจริง ไม่ว่าจะอย่างไร…หวังเป่าเล่อก็เป็นคนของสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋า เป็นเหตุให้หลังจากประมุขจากอีกสามสำนักศึกษาเต๋าสบตากับประมุขสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ก็เลือกที่จะไม่โต้แย้งอะไร ความรู้สึกแปลกประหลาดก่อตัวขึ้นภายในจิตใจ ประมุขสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ในตอนนี้ไม่ใช่คนที่ทุกคนรู้จักอีกต่อไป
ประมุขสำนักศึกษาเต๋ากวางขาวเงียบไปพักหนึ่ง แม้เขาจะไม่ชอบหวังเป่าเล่อ แต่สุดท้ายก็กล่าวขึ้น
“ข้าก็ขอเสนอให้เลื่อนขั้นหวังเป่าเล่อเป็นขุนนางระดับสองชั้นรองและเข้ารับตำแหน่งเจ้าเมืองเขตนครแห่งใหม่!”
หลังจากนั้นประมุขจากอีกสองสำนักศึกษาเต๋าก็เอ่ยสนับสนุนขึ้นเช่นกัน หลินโยวผุดยิ้มบางก่อนจะออกโรงสนับสนุนเป็นคนแรกในคณะเสนาบดี!
เมื่อเห็นว่าหลินโยวเอ่ยสนับสนุน เสนาบดีคนอื่นๆ ก็มองหน้ากันก่อนจะหันไปมองผู้นำคณะเสนาบดี
ผู้นำคณะเสนาบดีมีสีหน้าเรียบเฉย เขาเหลือบมองหลินโยวก่อนจะผุดยิ้มเล็กๆ ขึ้น จากนั้นก็พยักหน้าและกล่าวออกมา “เป็นทางออกที่ดีเสียจริง!”
สีหน้าของเหล่าผู้แทนตระกูลนภาห้าสมัย สำนักรุ่งสางจักรพิภพ และสำนักสหชุมนุมสกุณาเปลี่ยนไปทันควัน คำพูดของผู้นำเสนาบดีมีน้ำหนักในที่ประชุมมากจนทำให้พวกเขาเริ่มขมวดคิ้ว ผู้นำตระกูลในสังกัดตระกูลนภาห้าสมัยบางคนรู้สึกเจ็บใจเกินกว่าจะบรรยาย พวกเขาขุ่นเคืองใจเกินกว่าจะวัดประเมินได้ หวังเป่าเล่อช่างเลือกบรรลุขั้นการฝึกตนได้ถูกเวลาเสียจริง!
พวกเขายังต้องรักษาภาพลักษณ์ของตนเอง ทำให้ไม่สามารถกลืนวาจาที่ลั่นออกไปก่อนหน้านี้ได้ พวกเขากำลังคิดว่าจะเอ่ยออกไปอย่างไรดี อาจจะต้องพูดเรื่องอื่นขึ้นมาเพื่อชะลอวาระนี้ไว้แล้วค่อยกลับมาพิจารณาใหม่ทีหลัง ทันใดนั้นเอง ผู้แทนกลุ่มไตรจันทราก็หัวเราะขึ้นมา เขาเป็นผู้อาวุโสที่ไม่ได้ร่วมวงสนทนาในประเด็นเมื่อครู่ ชายผู้นี้คือน้องชายของนายใหญ่จิน ผู้นำตระกูลไตรจันทรา
“กลุ่มไตรจันทราจะเพิ่มการสนับสนุนเขตนครพิเศษด้วย!”
ตระกูลนภาห้าสมัยและพวกพ้องรู้สึกกดดันหนักขึ้นหลังจากได้ยินประโยคนี้ แม้กลุ่มไตรจันทราจะไม่ได้ประกาศจุดยืนอย่างเด่นชัด แต่การเอ่ยปากเพิ่มการสนับสนุนก็บ่งบอกได้ว่าพวกเขาอยู่ฝั่งไหน ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรอีก
เจ้านครอาณานิคมดาวอังคารไม่ได้พูดอะไร แต่ไม่จำเป็นต้องพูด พวกเขาก็รู้ได้ว่านางเลือกอยู่ฝั่งไหนตั้งแต่นางประกาศว่าหวังเป่าเล่อได้บรรลุขั้นกำเนิดแก่นในแล้ว
ทางกองทัพเองก็ไม่ต่างกัน แม้จะไม่ได้ประกาศจุดยืนแน่ชัด แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของพวกเขาก็เหมือนจะซุกซ่อนความหมายลึกซึ้งบางอย่างไว้!
เหตุการณ์กลับตาลปัตรครั้งนี้ทำให้ตระกูลนภาห้าสมัยตื่นตกใจ ในที่สุดระเบิดลูกสุดท้าย…จากผู้นำสหพันธรัฐต้วนมู่ฉีก็มาถึง!
ต้วนมู่ฉียกมือขึ้นโบก ไม่เปิดโอกาสให้ตระกูลนภาห้าสมัยได้พูดอะไร
“ทำดีต้องได้รับรางวัล คนมีความสามารถต้องใช้งานให้ถูกตำแหน่ง!”
“ข้าเคยบอกว่าสหพันธรัฐต้องการหวังเป่าเล่อสักร้อยคน วันนี้ข้าขอถอนคำพูด สหพันธรัฐต้องการหวังเป่าเล่อสักหมื่นคนต่างหาก!”
“ประกาศให้ประชาชนทราบว่าหวังเป่าเล่อจะได้รับยศขุนนางระดับสองชั้นรองและได้เป็น…เจ้าเมืองประจำเขตนครพิเศษของดาวอังคาร นอกจากนี้เขาจะได้เข้าร่วมเป็นเสนาบดีคนที่สิบแปดของคณะเสนาบดี!” ผู้นำสหพันธรัฐต้วนมู่ฉีประกาศชัดเจนก่อนจะลุกยืนเป็นการปิดการประชุม
เหล่าผู้นำตระกูลจากตระกูลนภาห้าสมัยได้แต่มองตาค้าง สัมผัสได้ว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล ต้วนมู่ฉีตัดสินใจเรื่องนี้เร็วเกินไป พวกเขามองหน้ากัน ครุ่นคิดอย่างหนัก กลุ่มอำนาจการเมืองอื่นๆ ก็มีสีหน้าพินิจพิเคราะห์ ก่อนจะกลับออกไปด้วยความคิดบางอย่างในมุมของตน
ภาพมายาของพวกเขาหายไปจากห้องประชุม สุดท้ายต้วนมู่ฉีก็เดินผ่านห้องโถงใหญ่ไปทางประตู
แผ่นหลังของเขาเป็นดังกระบี่แหลมคม พลังวิญญาณของเขาซึมออกมาในทุกๆ ย่างก้าว ราวกับว่าเขากำลังพยายามเก็บกักพลังปราณไว้
อีกเดี๋ยว…ก็จะบรรลุขั้นแล้ว…น่าเสียดายที่ข้ายังตามหลังตาเฒ่าคนนั้นอยู่หนึ่งก้าว ต้วนมู่ฉีส่ายหน้าก่อนจะแย้มยิ้มขึ้น เขาสังเกตเห็นสีหน้าพินิจพิเคราะห์ของคนอื่นๆ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร คิดว่าอีกไม่นานพวกเขาคงจะรู้
มีเหตุผลสามประการที่ทำให้ต้วนมู่ฉีตัดสินใจไปอย่างรวดเร็วเช่นนั้น เหตุผลแรกคือเขาคาดหวังในตัวหวังเป่าเล่อมาก แต่ก็ไม่ได้มากเสียจนจะยื่นมือเข้าไปสนับสนุน เหตุผลที่สองคือ…สหพันธรัฐในตอนนี้ต้องการวีรบุรุษ!
หลังจากโศกนาฏกรรมบนดาวพุธ ประชาชนในสหพันธรัฐก็ยังไม่คลายความกังวลและยังจมอยู่กับความโศกเศร้า สหพันธรัฐต้องการเปลี่ยนภาพลักษณ์ของตนในสายตาประชาชน จึงจำเป็นต้องชูวีรบุรุษที่ทุกคนรู้จักขึ้นมา!
วีรบุรุษคนนี้จะดึงความสนใจจากประชาชนและกระตุ้นให้พวกเขาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ภาพลักษณ์ของหวังเป่าเล่อไม่ได้ตรงกับที่เขาคิดไว้ ชายหนุ่มอาจจะมีภูมิหลังครอบครัวที่ไม่น่ามีใครกังขา และค่อยๆ ไต่เต้ามาเรื่อยๆ ภายใต้การเฝ้ามองของทุกคน แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่ต้วนมู่ฉีจะเลือกเขาอยู่ดี
หากมีแค่สองเหตุผลนี้ ต้วนมู่ฉีคงจะชะลอเรื่องนี้ไปเพื่อใช้เป็นหมากต่อรอง รอดูสถานการณ์จากทั้งสองฝ่าย จากนั้นก็จะสานสัมพันธ์กลุ่มอำนาจการเมืองขึ้นใหม่ โดยใช้ประโยชน์จากการเฟ้นหาเจ้าเมืองเขตนครพิเศษประจำดาวอังคารให้มากที่สุด
แต่ด้วยเหตุผลข้อที่สาม สถานการณ์จึงเปลี่ยนไป เหตุผลข้อนี้เป็นรากฐานของทุกอย่าง และเขาต้องประเมินความสำคัญของเหตุผลอีกสองข้อดูใหม่ ถ้าไม่มีเหตุผลข้อที่สามนี้…ทุกอย่างก็จะไม่เกิดขึ้น!
เหตุผลข้อที่สามคือ…ผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ผู้นำสหพันธรัฐคนก่อนที่นำสหพันธรัฐเข้าสู่ยุคกำเนิดวิญญาณ ผู้ที่เคยเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในสหพันธรัฐ หลี่ซิงเหวิน กำลังจะบรรลุขั้นการฝึกตนจากขั้นกำเนิดแก่นในไปขั้นจุติวิญญาณ!
แม้สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์จะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ แต่ก็ไม่อาจปิดต้วนมู่ฉีที่กำลังจะบรรลุขั้นการฝึกตนได้ เขาสัมผัสได้ถึงพลังแกร่งกล้าราวกับจะพุ่งขึ้นทะลุสวรรค์จากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ที่คนอื่นๆ ไม่ทันสังเกต!
เขาสัมผัสได้ถึงความมั่นใจที่มากกว่าครั้งไหนๆ ของประมุขสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เป็นสัมผัสที่บ่งบอกถึงอำนาจที่มีเหนือกว่าผู้อื่น!
“สามารถเร่งการก่อสร้างวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายได้…” ต้วนมู่ฉีพึมพำออกมาขณะเดินไปตามทาง
การประชุมสุดยอดจบลง และประกาศแต่งตั้งตำแหน่งของหวังเป่าเล่อก็ถูกปล่อยออกมา หวังเป่าเล่อที่กลับมายังนครใหม่แห่งดาวอังคารและพบว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป ในที่สุดก็ได้รับข่าวที่รอมานาน!
หวังเป่าเล่อแสนสุขใจจนหัวเราะออกมาเสียงดังเมื่อได้ทราบข่าว เขาตื่นเต้นหนัก รู้สึกว่าตนได้ก้าวเข้าไปใกล้ตำแหน่งผู้นำสหพันธรัฐขึ้นเรื่อยๆ ก่อนหน้านี้สิ่งนี้เป็นเพียงเป้าหมายที่ไกลเกินคว้า แต่บัดนี้นั้นมันใกล้จนเกือบจะเอื้อมถึงได้ถึง!
จากนี้ไป ข้าจะเริ่มเขียนอัตชีวประวัติของตัวเอง พอเขียนเสร็จก็จะใช้มันบอกเล่าเรื่องราวของหวังเป่าเล่อ ผู้นำสหพันธรัฐในตำนาน ที่คอยทำงานอย่างหนัก มุ่งมั่นพัฒนาตนอย่างขยันขันแข็งไปทีละขั้น ไม่พึ่งพาความช่วยเหลือจากผู้อื่น ใช้เพียงหยาดเหงื่อและหยดน้ำตาของตนเองจนกลายเป็นบุตรแห่งโชคลาภให้เด็กรุ่นใหม่ได้รู้!
ข้าคิดชื่อไว้แล้ว มันจะมีชื่อว่าอัตชีวประวัติของท่านผู้นำ! หวังเป่าเล่อหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง รู้สึกว่าตนได้มาถึงจุดสุดยอดของชีวิตแล้ว
ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังสุขใจเกินบรรยาย สื่อทั่วสหพันธรัฐก็เริ่มเสนอข่าวเรื่องหวังเป่าเล่อโดยพร้อมเพรียงกัน ทุกเมืองบนดวงดาวของสหพันธรัฐทั่วระบบสุริยะขึ้นรูปหวังเป่าเล่อบนจอภาพทุกจอในทันที
น้ำเสียงตื่นเต้นตามด้วยเพลงประกอบยิ่งใหญ่อลังการประกาศก้องถึงการแต่งตั้งตำแหน่งของหวังเป่าเล่อ!
ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในที่มีอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหพันธรัฐ!
เจ้าเมืองและขุนนางระดับสองชั้นรองที่มีอายุน้อยที่สุด!
สมาชิกคณะเสนาบดีที่มีอายุน้อยที่สุด!
ชื่อของหวังเป่าเล่อกระจายไปทั่วสหพันธรัฐในทันใด กลายเป็นชื่อในใจประชาชน ไม่มีใครไม่รู้จักชื่อของเขา ชายหนุ่มกลายเป็น…ดาวรุ่งดวงใหม่ของสหพันธรัฐ!
บทที่ 473 การกลับมาครั้งยิ่งใหญ่
โดย
Ink Stone_Fantasy
ขณะที่สื่อและเครือข่ายวิญญาณทุกๆ เมืองบนดวงดาวต่างๆ ของสหพันธรัฐกำลังแพร่ภาพหวังเป่าเล่อ เรื่องในวัยเด็กของชายหนุ่มก็เริ่มเผยสู่สาธารณชนผ่านกลุ่มคนที่รู้เรื่องราว
“ข้าเป็นสามีเก่าของครูตอนประถมของเจ้าเมืองหวังเป่าเล่อ ข้าเห็นแววว่าเขาจะขึ้นมาเป็นวีรบุรุษตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ทั้งตั้งใจเรียนอยากหนัก คอยช่วยเหลือนักเรียนหญิงที่อ่อนแอ ช่างเป็นคุณสมบัติของบุคคลที่น่ายกย่อง! นอกจากนี้ยังพาเพื่อนๆ ลดน้ำหนักอยู่เป็นประจำ ช่างเป็นเด็กดีเสียเหลือเกิน เขาทำเช่นนั้นก็เพื่อเตรียมร่างกายเพื่อนๆ ให้พร้อมสร้างความดีความชอบให้แก่สหพันธรัฐ!”
“ข้าเป็นเพื่อนรักของเจ้าเมืองหวังเป่าเล่อ นั่งอยู่หลังเขาในห้องเรียนมาสามปี เขาเป็นแรงบันดาลใจของข้าตลอดทั้งสามปี เขามีความสำคัญกับชีวิตข้ายิ่งนัก เป็นหวังเป่าเล่อผู้นี้เองที่สอนข้าให้คอยพัฒนาตนอยู่เสมอ!”
“เจ้าเมืองหวังเป่าเล่อเคยจีบข้า ข้าไม่อยากขวางอนาคตเขาเลยบอกปฏิเสธไป แต่ตอนนี้ข้าอยากบอกว่า หวังเป่าเล่อ ข้ารอเจ้าอยู่ที่นครปักษาเพลิงนะ!”
เรื่องราวมากมายเริ่มผุดขึ้นและแพร่กระจายผ่านสื่อต่างๆ เรียกความสนใจจากประชาชนได้เป็นอย่างดี แต่ก็มีเสียงเห็นต่างผุดขึ้นมาเช่นกัน บ้างก็ว่าหวังเป่าเล่อเป็นโรคจิต บางคนบอกว่าตอนเป็นเด็ก ชายหนุ่มคอยตีสนิทแต่คนมีอำนาจเพื่อหาผลประโยชน์ใส่ตัว บางส่วนบอกว่าเขาเป็นอันธพาลในโรงเรียน…
ข่าวด้านลบโดนกระแสชมเชยกลบไปหมด แทบไม่ได้พื้นที่ในสื่อเลย พิธีกรคนหนึ่งในเครือข่ายวิญญาณออกมาตีข่าวเรื่องการเลื่อนขั้นของชายหนุ่ม
“สหายเก่า เจ้าจำข้าได้ไหม ข้าเต๋าน้อยเอง ข้ามาจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เคยผ่านอะไรกับเจ้าเมืองหวังเป่าเล่อมามาก เคยรายงานข่าวสุดพิเศษไปหลายเรื่องแล้ว วันนี้รอติดต่อชมกันให้ดีเพราะข้าจะพาพวกท่านเข้าไปในโลกของเจ้าเมืองหวังเป่าเล่อเพื่อจะได้รู้จักเขาให้มากขึ้น!” เต๋าน้อยผู้ที่เคยเป็นพิธีกรในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ใช้โอกาสนี้กลับไปที่สำนักศึกษาเต๋าอีกครั้ง เขากลับไปเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ ในสำนักพร้อมรายงานข้อมูลสุดพิเศษเกี่ยวกับชีวิตวัยเรียนของหวังเป่าเล่อไปด้วย อาจจะฟังดูเกินจริงไปสักหน่อยแต่ก็ดังระเบิดเลยทีเดียว
การเลื่อนขั้นครั้งนี้บรรลุเป้าหมายที่สหพันธรัฐตั้งไว้ นั่นก็คือการดึงความสนใจจากประชาชน โศกนาฏกรรมบนดาวพุธจมหายเข้าไปลึกสุดในใจ ไม่ได้มาปรากฎเด่นชัดอยู่ตรงหน้าหรือในหัวอีกต่อไป
เมื่อหวังเป่าเล่อพบว่าทางสหพันธรัฐตีข่าวการเลื่อนขั้นของตนผ่านเครือข่ายวิญญาณและข้อความเสียง เขาก็ตื่นเต้นดีใจ ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอ่านบทความข่าวเกี่ยวกับตัวเองบนเครือข่ายวิญญาณพลางลูบท้องหยิบขนมกินพร้อมหัวใจอันพองโต
อาจเป็นเพราะอารมณ์ดีจนเผลอกินมากเกินไป หรือเพราะไม่ได้ออกกำลัง หรือเพราะหลี่หว่านเอ๋อร์ใกล้จะบรรลุขั้นการฝึกตนจึงเก็บตัวฝึกวิชาทำให้มาช่วยเขาออกกำลังกายไม่ได้ ชายหนุ่มจึงสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่างขณะลูบหน้าท้อง จากประสบการณ์การลดน้ำหนักมากมายทำให้หวังเป่าเล่อบอกได้ว่า…ตนอ้วนขึ้นอีกแล้ว
ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนโดนผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณทุบเอาด้วยพลังทั้งหมดเมื่อพบว่าตนอ้วนขึ้น ใจนึกอยากจะโยนน่องไก่ในมือที่กินไปแล้วครึ่งหนึ่งทิ้ง แต่ครุ่นคิดอยู่สักพักก็ไปยืนมองรูปร่างตัวเองในกระจก พอพบว่ายังดูผอมเพรียวอยู่ก็ลังเลใจขึ้นมา
นี่จะเป็นน่องสุดท้ายของวันนี้ กินเสร็จ ข้าจะเริ่มลดน้ำหนักวันพรุ่งนี้! หวังเป่าเล่อกัดฟันแน่น มองดูน่องไก่ในมือราวกับโกรธแค้นกันมาแต่ชาติปางก่อน เขากัดกินหมดเกลี้ยงภายในสองสามคำ หลังจากนั้นก็นั่งลงสูดหายใจลึก นัยน์ตาฉายแววมุ่งมั่น
เป็นคนรูปงามที่สุดในสหพันธรัฐก็ต้องคอยรักษารูปลักษณ์ของตัวเองไว้ น่าปวดหัวจริงๆ หวังเป่าเล่อก้มมองหน้าท้องตนเอง ตระหนักแล้วว่าหลายวันมานี้ตนปล่อยตัวมากเกินไป แม้ว่าหลังจากยกระดับนครใหม่ขึ้นเป็นเขตนครพิเศษแล้วภาระงานจะมากขึ้น แต่เขาก็มีประสบการณ์จากการขยายนครอยู่สองสามครั้งรวมทั้งการแก้ปัญหาเหตุอสูรหลั่งไหลในสุสานใต้ดิน ทำให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นตามแผน
จินตั้วหมิงและคนอื่นๆ เองก็ได้เลื่อนยศและตำแหน่ง ทำให้มีอำนาจในมือมากขึ้น หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน ตนก็จะมีเวลาว่างล้นเหลือ
ข้าจะปล่อยเนื้อปล่อยตัวไม่ได้… หวังเป่าเล่อลูบหน้าผาก นั่งคิดอยู่สักพักก็ตัดสินใจจะเดินทางกลับโลก เขาตั้งใจจะกลับโลกตั้งแต่กลับมาถึง แต่เพราะหลี่หว่านเอ๋อร์ยังเก็บตัวฝึกวิชาประกอบกับการยกระดับนครทำให้ชายหนุ่มตัดสินใจจะดูแลการจัดการภายในนครไปสักพักก่อน
กระบวนท่าเต๋าสายฟ้าของข้ายังอยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่น ข้าต้องกลับไปเลือกเคล็ดเวทขั้นกำเนิดแก่นในที่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์…น่าเสียดายที่เคล็ดเวทในนิมิตมืดมีความข้องเกี่ยวกับปราณมืดแทบทั้งหมด ส่วนที่ไม่เกี่ยวกับปราณมืดก็ต้องบรรลุไปขั้นจิตวิญญาณอมตะก่อนถึงจะฝึกได้…ช่างดูถูกขั้นกำเนิดแก่นในเสียจริง หวังเป่าเล่อถอนหายใจ
แม้การกลับไปเอาเคล็ดเวทที่สำนักจะเป็นเรื่องสำคัญ แต่หากมีแค่เรื่องนี้ หวังเป่าเล่อก็ไม่จำเป็นต้องกลับไปด้วยตนเอง ชายหนุ่มพูดคุยกับบิดามารดาผ่านแหวนสื่อสารเป็นพักๆ แต่เขาไม่ได้เจอทั้งสองมานานแล้ว
ด้วยเหตุนี้หวังเป่าเล่อจึงคิดอยากกลับโลกไปหาพ่อแม่และรับเคล็ดเวทที่สำนักศึกษาเต๋า มีอีกเรื่องหนึ่งที่ติดอยู่ในใจเขาเช่นกัน ชายหนุ่มกำลังคิดว่าควรจะให้พ่อแม่ของตนพักอยู่ที่นครปักษาเพลิงต่อไปดีหรือไม่
แม้จะเป็นเรื่องยากสำหรับคนแก่ทั้งสองที่จะออกจากบ้านเกิด แต่ด้วยสถานะและขั้นการฝึกตนที่มากขึ้น ทั้งด้วยความรู้และความเข้าใจสิ่งต่างๆ หวังเป่าเล่อคิดว่าแม้สหพันธรัฐจะปลอดภัย แต่ก็มีโอกาสที่จะเกิดเหตุไม่คาดฝันเช่นโศกนาฏกรรมบนดาวพุธขึ้น
นอกจากนี้ ถึงแม้ระบบการปกครองในสหพันธรัฐจะดูมั่นคงดี แต่ชายหนุ่มก็รู้ว่ามีหลายคนที่คิดอิจฉา มีความแค้นฝังใจ หรือเห็นไม่ตรงกันกับเขาอยู่
หวังเป่าเล่อไม่มั่นใจว่านครปักษาเพลิงจะปลอดภัยพอหรือไม่ เขาคงวางใจไม่ได้แม้สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์จะส่งคนไปช่วยคุ้มกันอย่างลับๆ ก็ตาม
ข้าจะคุยกับท่านแม่ คงจะดีถ้าพวกท่านย้ายมานครศักดิ์สิทธิ์ ที่นั่นน่าจะปลอดภัยกว่า หวังเป่าเล่อได้ข้อสรุป เขาจะกลับไปคุยกับมารดา ส่วนบิดาจะคิดอย่างไรเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก ตามความเข้าใจของชายหนุ่ม ในเมื่อป้าข้างบ้านเรียกบิดาเขาว่าตาแก่หวัง บิดาคงจะไม่ได้เป็นใหญ่ในครอบครัวสักเท่าไหร่
สงสารท่านพ่อจัง โลกใบนี้ช่างโหดร้าย ตาแก่หลี่ ตาแก่หลิว ตาแก่จางข้างบ้านก็ฟังดูไม่มีปัญหาอะไร แต่พอพวกเขาเรียกตาแก่หวังข้างบ้านละก็… หวังเป่าเล่อส่ายหัวพร้อมกับถอนหายใจ ชายหนุ่มส่งคำร้องไปยังเจ้านครดาวอังคาร จากนั้นก็เรียกกงเต๋า จินตั้วหมิง หลินเทียนหาวและคนอื่นๆ มาฟังคำสั่ง ถัดมาในตอนเย็น เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาก็มาส่งเขาขึ้นเรือบินอวกาศของเขตนครพิเศษดาวอังคาร
ในฐานะที่เป็นขุนนางระดับสองชั้นรอง ทุกๆ การกระทำของเขาจำต้องรายงานให้สหพันธรัฐทราบ ทางสหพันธรัฐรับตารางการเดินทางของชายหนุ่มมา กองทัพประจำดาวอังคารจัดแจงเรือบินคุ้มกันสี่ลำให้เดินทางไปพร้อมด้วย
เรือบินสี่ลำนั้นบินรอบล้อมเรือบินหลักขณะท่องไปในอวกาศ เมื่อผ่านดวงจันทร์ เรือบินอีกสามลำจากฐานทัพบนดวงจันทร์ก็บินตามไปด้วยคำสั่งของสหพันธรัฐ บัดนี้เรือบินทั้งแปดลำกำลังพุ่งทะยานไปยังโลก
หวังเป่าเล่อยืนอยู่ในเรือบินหลัก เขาเตะเจ้าลาที่กำลังเลียพื้นเรือบินด้วยสีหน้าบ่งบอกว่าอยากลองแทะชิมดูสักนิด จากนั้นก็เลื่อนสายตาออกไปมองนอกหน้าต่าง เมื่อเห็นว่าดวงดาวสีฟ้าดูใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แววตาของชายหนุ่มก็แสดงออกชัดเจนว่าคิดถึงบ้านเกิด
ชายหนุ่มผุดคิดถึงตอนออกจากโลกครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้นเขายังอยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่น เป็นเพียงขุนนางระดับห้าชั้นรอง เดินขึ้นเรือบินมุ่งหน้าสู่ดาวอังคารไปพร้อมความฝัน เข้าประจำการในฝ่ายการศึกษา ฝ่าฟันผ่านการทดสอบมากมายกว่าจะมายืนในจุดนี้ได้
ตอนนี้ชายหนุ่มเป็นขุนนางระดับสองชั้นรอง ระดับขั้นการฝึกตนบรรลุมาถึงขั้นกำเนิดแก่นใน สถานะและตำแหน่งในตอนนี้และตอนนั้นช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
จะได้กลับบ้านแล้ว! หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึก เรือบินลำที่เขาอยู่กำลังมุ่งหน้าไปยังโลกพร้อมเรือบินอีกเจ็ดลำที่บินอยู่ล้อมรอบ ไม่นานก็ผ่านวงแหวนปราณของโลกเข้าไปยังชั้นบรรยากาศ ก่อนจะมุ่งหน้าตรงไปยังท่าอากาศยานประจำนครหลวงของสหพันธรัฐ!
ทางสหพันธรัฐเตรียมคณะต้อนรับที่อากาศยานไว้รอ คนที่มารอต้อนรับกว่าร้อยคน กำลังมองเรือบินที่แล่นลงจอดด้วยรอยยิ้ม เสียงเครื่องยนต์ดังสนั่นไปทั่ว กลุ่มคนที่ปรากฎตัวเป็นอันดับแรกคือนักการยุทธ์กว่าร้อยคนจากเรือบินคุ้มกันเจ็ดลำที่รับหน้าที่ปกป้องหวังเป่าเล่อ พวกเขาวิ่งออกมาตรวจตรารอบๆ หลังจากมั่นใจแล้วว่าทุกอย่างปลอดภัยดี ประตูเรือบินหลักก็ค่อยๆ เปิดออก
ทันทีที่ประตูเปิด หวังเป่าเล่อที่เพิ่งจัดแจงชุดของตนเสร็จก็ตีหน้าขรึม ค่อยๆ เดินลงจากเรือบิน เจ้าลาเดินตามหลังมาด้วยความตื่นเต้น มองไปรอบๆ ไม่หยุดเพราะทุกอย่างรอบตัวดูแปลกใหม่ไปหมด
“เจ้าเมืองหวัง ขอต้อนรับกลับโลก!” คณะต้อนรับก้มหัวทักทายทันทีเมื่อเห็นหวังเป่าเล่อ!
ผู้ที่นำคณะต้อนรับคือชายวัยกลางคนขั้นกำเนิดแก่นใน เขาแย้มยิ้มอบอุ่นพร้อมกุมมือก้มหัวทักทายหวังเป่าเล่อ
บทที่ 474 กลับบ้าน
โดย
Ink Stone_Fantasy
แม้หวังเป่าเล่อจะไม่รู้ว่าชายตรงหน้าเป็นใคร แต่เขาก็ทำงานในฝ่ายปกครองสหพันธรัฐมานานจนเคยชินกับมารยาททางสังคมในวาระเช่นนี้ ชายหนุ่มเดินลงจากเรือบิน โค้งคำนับให้กับกลุ่มคนที่มารอต้อนรับ จากนั้นก็กุมมือก้มหัวทักทายชายวัยกลางคนพร้อมรอยยิ้ม
เมื่อชายที่เป็นหัวหน้าต้อนรับเห็นหวังเป่าเล่อก้มหัวทักทายตนก็ยิ้มออกมา เขาได้ยินชื่อหวังเป่าเล่อมาหลายครั้งหลายครา ตอนนี้ได้มาพบตัวจริง ก็สามารถบอกได้จากท่าทีเล็กๆ น้อยๆ ของหวังเป่าเล่อได้ว่าชายผู้นี้รู้ว่าต้องทำตนต่อหน้าฝูงชนอย่างไร
ชายหนุ่มชอบคนเช่นนี้ แม้ว่าจะดูรับมือยาก แต่ก็เหมาะกับสถานการณ์ของสหพันธรัฐในตอนนี้ เมื่อหวังเป่าเล่อแย้มยิ้มออกมา ชายตรงข้ามก็หัวเราะเสียงดัง เขาก้าวเข้าไปหาหวังเป่าเล่อ หลังจากพูดคุยกันเล็กน้อย หวังเป่าเล่อก็ได้รู้ว่าชายวัยกลางคนผู้นี้เป็นใคร
เขาเป็นขุนนางระดับสองชั้นรองเช่นกัน แต่ต่างจากหวังเป่าเล่อที่เป็นตัวแทนขึ้นไปปกครองเมืองอาณานิคมใหม่ ชายผู้นี้เป็นหัวหน้าฝ่ายเลขานุการประจำสำนักผู้นำสหพันธรัฐ เปรียบเหมือนมุขมนตรีของเหมืองหลวงและผู้เป็นใต้บังคับบัญชาที่ซื่อสัตย์ของผู้นำสหพันธรัฐ
การต้อนรับของเขาเป็นการแสดงออกทางทัศนคติของผู้นำสหพันธรัฐที่มีต่อหวังเป่าเล่อ หลังจากทราบว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ชายหนุ่มก็ทราบเหตุผลที่ชายผู้นี้มาปรากฎตัว เขายิ้มกว้างขณะพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน เมื่อรู้เหตุผลว่าเหตุใดหวังเป่าเล่อจึงอยากเดินทางไปยังเมืองปักษาเพลิง ชายวัยกลางคนก็รีบจัดแจงเรือบินให้
“แม้ว่าเราจะมีหน้าที่ปกป้องมนุษยชาติและสหพันธรัฐ ทว่าแก่นของพวกเราก็ยังเป็นผู้ฝึกตน พวกเราเดินทางไปมาในอวกาศไม่ได้จึงต้องใช้เรือบิน แต่ตอนนี้ข้าได้กลับมายังดาวบ้านเกิดอีกครั้ง จึงไม่จำเป็นต้องใช้เรือบินอีก ข้าเหาะไปเองได้” หวังเป่าเล่อยิ้มและบอกปฏิเสธอย่างมีชั้นเชิง ชายวัยกลางคนตีความคำตอบของชายหนุ่มอยู่พักหนึ่งก็ตัดสินใจไม่รบเร้าไปมากกว่านี้
หวังเป่าเล่อสั่งให้นักการยุทธ์ที่ติดตามเขามาให้รออยู่ในนครหลวง จากนั้นก็กล่าวลาหัวหน้าฝ่ายเลขานุการ เขาก้าวไปข้างน้อยเล็กน้อยก่อนจะโบกมือเรียกกระบี่บินออกมาจากกำไลคลังเวท จากนั้นก็ขึ้นเหยียบบนกระบี่บินก่อนจะทะยานขึ้นบนฟากฟ้า แหวกสรวงสวรรค์เป็นทางสายรุ้ง
คณะต้อนรับมองตามหวังเป่าเล่อจากพื้นเบื้องล่าง ลมพัดผ่านใบหน้า เส้นผมปลิวไหวไปตามสายลม แม้จะมีรูปร่างอ้วนกลมแต่เขาก็ดูเหมือนเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ที่ละจากทางโลก ชายหนุ่มพุ่งทะยานหายไปในอากาศ
“ผู้ฝึกตนอย่างพวกเราก็ควรเป็นให้ได้เช่นนั้น!” หัวหน้าฝ่ายเลขานุการประจำสำนักผู้นำสหพันธรัฐยิ้มและพูดขึ้น ถ้อยคำของเขาดังก้องไปในอากาศ ดวงตาของทุกคนฉายแววริษยาเมื่อได้ยินเช่นนั้น
มีเพียงผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในที่จะสามารถเหาะเหินเดินอากาศในระยะทางไกลๆ ได้ ผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นก็สามารถทำได้เช่นกัน แต่ได้เพียงแค่ระยะทางสั้นๆ เท่านั้น หากไกลเกินไปก็จะคุมสถานะไว้ไม่ไหว
“เมื่อไหร่เราถึงจะเหาะข้ามเมืองด้วยกระบี่บินเช่นเจ้าเมืองหวังเป่าเล่อได้บ้างนะ!” ฝูงชนถอนหายใจก่อนจะกระจายตัวกันออกไป ส่วนหวังเป่าเล่อนั้นก็กำลังเหาะข้ามเขตนครหลวง มุ่งหน้าไปยังเมืองปักษาเพลิงบนกระบี่บิน
เขาอารมณ์ดีเกินบรรยาย ชายหนุ่มเลือกไม่เดินทางด้วยเรือบินเพราะคิดว่าตนเป็นผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในแล้ว คงจะไม่เหมาะกับระดับขั้นของตนเองถ้ายังเดินทางด้วยเรือบินอยู่
ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในควรจะเหาะเอา เป็นวิธีเดียวที่เหมาะกับระดับของพวกเรา หวังเป่าเล่อแสนเปรมปรีดิ์ เขาเร่งความเร็วทะยานฝ่าคลื่นลม
ชายหนุ่มพุ่งไปในอากาศเกิดเป็นเสียงดังสนั่นจนอสูรเบื้องหลังตัวแข็งทื่อเมื่อได้ยิน พลังขั้นกำเนิดแก่นในที่แผ่ออกมาทำให้อสูรระดับการฝึกตนโบราณและระดับลมหายใจเที่ยงแท้ตัวสั่นด้วยความกลัว ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง
เมื่อชายหนุ่มพุ่งผ่านเมืองเล็กๆ คนในเมืองได้ยินเสียงกัมปนาทบนฟ้าก็เงยหน้าขึ้นมอง เห็นร่างพร่ามัวที่พุ่งผ่านฟากฟ้าไปราวกับเป็นอัสนีบาต
ทุกคนตื่นตะลึงไป ในสหพันธรัฐนั้นจะเคยชินกับผู้ฝึกตนระดับการฝึกตนโบราณและระดับลมหายใจเที่ยงแท้ อาจจะเคยเจอผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นบ้าง แต่สำหรับผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในนั้น…ถือว่าเป็นบุคคลสำคัญที่มีอยู่จำนวนไม่มาก ยากมากที่จะมีโอกาสได้เห็นกับตา
หวังเป่าเล่อที่ใช้กระบี่บินเหาะไปในอากาศเรียกความสนใจจากผู้คนมากมายระหว่างทาง แม้ว่าคนจำนวนมากจะไม่รู้ระดับการฝึกตนที่แน่ชัดของหวังเป่าเล่อและไม่ได้เห็นเขาอย่างชัดเจน เหล่าผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นที่อยู่ในเมืองต่างๆ ก็สามารถสัมผัสได้ถึงพลังกล้าแกร่งของบุคคลที่เหาะผ่านข้ามเมืองไป! เป็นพลังที่ทำให้พวกเขาต้องสั่นกลัว!
“ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นใน!”
“มีศิษย์พี่ขั้นกำเนิดแก่นในเหยียบกระบี่เหาะผ่านไป!”
เสียงตื่นตะลึงดังก้องไปทั่ว หวังเป่าเล่อเพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนดูเหมือนเป็นเส้นสายฟ้าที่เคลื่อนตัวไปในอากาศ เขาเหลือบตามองผู้โดยสารบนเรือบินสองสามลำที่ตนเหาะแซงหน้า เห็นสายตาตื่นตะลึงที่จ้องกลับมา
ข่าวเริ่มแพร่สะพัดไปทั่วเครือข่ายวิญญาณและสื่อต่างๆ
ผ่านไปไม่นานหวังเป่าเล่อก็เริ่มเสียใจกับการตัดสินใจของตัวเอง…เขาคิดว่าการใช้กระบี่บินเหาะไปในอากาศคงจะเป็นเรื่องสนุก แต่พอได้ลองทำดูจริงๆ แล้ว ประกอบกับด้วยระยะทางที่ยาวไกล ชายหนุ่มก็ได้รู้ว่าสายลมแรงที่พัดกระทบใบหน้าเป็นอย่างไร และความหนาวเหน็บข้างบนนี้เป็นเช่นไร
ยิ่งเพิ่มความเร็ว ลมก็ยิ่งแรงขึ้น แรงปะทะก็มากขึ้น ถ้อยคำที่ว่าสายลมพัดกระทบใบหน้าอาจฟังดูไพเราะราวกับบทกลอน แต่พอได้มากระทบเข้าสักพักจริงๆ สายลมก็เป็นดังลมหนาวที่กรีดลึกเข้าไปถึงกระดูก หากจะปล่อยพลังปราณเพื่อใช้เป็นเกราะกำบัง ก็จะเป็นการใช้พลังปราณมากขึ้นอีก
หวังเป่าเล่อบ่นอุบกับตัวเอง จากนั้นพอผ่านไปได้ครึ่งทางก็ตัดสินใจล้มเลิกแผนเหาะกลับบ้าน ถ้าเทียบกับการได้อวดพลังแล้ว ความสุขสบายของตนเองย่อมต้องมาก่อน เขาได้บทเรียนจากความคิดที่ผิดพลาดเพราะความฮึกเหิมที่เพิ่งจะได้บรรลุขั้นกำเนิดแก่นในและได้ขึ้นเป็นขุนนางระดับสองชั้นรอง ชายหนุ่มจึงหยิบเรือบินออกมา และนั่งกินขนมสบายใจเฉิบขณะขับเรือบินมุ่งหน้าไปทางเมืองปักษาเพลิง
แม้ว่าเมืองปักษาเพลิงจะอยู่ห่างจากนครหลวงอยู่มาก แต่ด้วยการเสริมพลังจากหวังเป่าเล่อ เรือบินก็ทะยานไปอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาเพียงสองชั่วโมง เมืองปักษาเพลิงก็ปรากฎให้เห็นเด่นในสายตา
มีฝูงชนหลายร้อยคนรอพบเขาอยู่ด้านนอกเมือง หวังเป่าเล่อไม่แปลกใจกับภาพที่ได้เห็น จากที่ได้อ่านอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูง ชายหนุ่มรู้ดีว่าขุนนางระดับสองชั้นรองที่เพิ่งกลับมายังเมืองจะต้องได้รับการต้อนรับจากเจ้าเมือง หากไม่เป็นเช่นนั้นคงจะถือว่ามีอะไรผิดแปลกไป
เมื่อเรือบินของหวังเป่าเล่อลงจอดด้านนอกเมืองปักษาเพลิง เขาก็ได้รับการต้อนรับจากเจ้าพนักงานประจำเมืองซึ่งนำโดยบิดาของหลิวต้าวปิน ที่บิดาของหลิวต้าวปินจัดคณะมาต้อนรับชายหนุ่มเป็นเพราะเขาได้เลื่อนขั้นมาเป็นเจ้าเมืองปักษาเพลิง
จริงๆ แล้วเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการที่หลิวต้าวปินเป็นลูกน้องที่หวังเป่าเล่อไว้ใจ และได้ไปประจำการบนดาวอังคารด้วย
หลังจากการต้อนรับอย่างอบอุ่นผ่านไป บิดาของหลิวต้าวปินก็ไม่รบกวนเวลาของหวังเป่าเล่อมากนัก เนื่องจากรู้ดีว่าชายหนุ่มมาพบครอบครัว จึงพยายามคุมให้การต้อนรับเป็นไปอย่างกระชับแต่ก็แสดงให้เห็นชัดเจนถึงความยินดีที่ได้เห็นอีกฝ่ายกลับมา
หวังเป่าเล่อสุขใจยิ่งนัก เขาเองก็ไม่อยากเสียเวลาตรงนี้มากเกินไป หัวใจของเขาร่ำร้องหาแต่บ้าน ชายหนุ่มรีบปลีกตัวออกมาและมุ่งหน้ากลับบ้านอย่างรวดเร็ว
รอบๆ บ้านของเขาเปลี่ยนไปมากทีเดียว ไม่เหมือนภาพที่จำได้ในหัว มีคนแปลกหน้ามากมายรายล้อม หลายๆ คนเป็นผู้ฝึกตนระดับลมหายใจเที่ยงแท้ มีสามคนอยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่น พวกเขาแต่งกายด้วยชุดคลุมประจำสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ปรากฎตัวออกมาจากแต่ละมุมถนน ก่อนจะยกมือกุมโค้งทักทายชายหนุ่ม
พวกเขาเป็นศิษย์ที่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์มอบหมายให้มาคุ้มกันครอบครัวของหวังเป่าเล่อ อีกทั้งยังเป็นคนคุ้มกันรอบๆ เขตพักอาศัยที่มีการป้องกันภัยอย่างแน่นหนา
หวังเป่าเล่อพยักหน้าให้ จากนั้นก็ยกมือขึ้นกุมและก้มหัวตอบก่อนจะเดินไปทางบ้านของตน พอเข้าไปใกล้ก็ได้ยินเสียงไม่พอใจของบิดาดังออกมาจากในบ้าน
“ทำไมข้าถึงไปรับลูกชายตัวเองไม่ได้ เจ้าหลิวน้อยก็บ้าพิธีการมากเกิน พอข้าบอกไปว่าอยากไปรับลูก เจ้านั่นก็หน้าตื่น บอกว่าเดี๋ยวรับผิดชอบเอง กลัวว่าเป่าเล่อจะเข้าใจผิดถ้าข้าไปด้วยตัวเอง!”
“พอได้แล้ว เขาเองก็มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ เจ้าเป็นแค่ผู้นำกลุ่มโบราณคดี แค่ท่านเจ้าเมืองให้การเคารพเจ้าทุกครั้งที่เจอหน้าก็ดีแค่ไหนแล้ว!” เสียงมารดาดังตามมาติดๆ น้ำเสียงดูปกติเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่พอนางพูดจบ บิดาตนก็เงียบไป
หวังเป่าเล่อแย้มยิ้มกว้างเมื่อได้ยินบทสนทนาของทั้งสอง ลืมไปเลยว่าตนเป็นขุนนางระดับสองชั้นรอง เป็นถึงเจ้าเมืองเขตนครพิเศษและผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นใน เขากลับมาเป็นตนเองเมื่อครั้งก่อนขณะที่ผลักประตูเข้ามาพร้อมตะโกนเสียงดัง
“แม่ พ่อ ข้ากลับมาแล้ว!”
ทันใดที่ประตูเปิดออก สิ่งแรกที่เขาเห็นคือม้านั่งตัวหนึ่ง บิดาของเขานั่งกอดอกอยู่บนม้านั่งตัวนั้น ขณะที่มารดาซึ่งสวมผ้ากันเปื้อนกำลังวางจานขาหมูลงบนโต๊ะอาหาร ทั้งสองหันมามองหวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่ตรงประตู
“เจ้าเด็กเฮงซวย ทำไมทักทายแม่ก่อนพ่อกัน” บิดาของหวังเป่าเล่อดีใจเมื่อได้เห็นลูกชาย กำลังจะลุกขึ้นแต่ก็สัมผัสได้ว่ามีอะไรแปลกๆ เขาเหลือบมองหน้านิ่งพร้อมเอ่ยถามขึ้น
ทว่าขณะที่เหลือบมองไปทางลูกชาย ผู้เป็นภรรยาก็จ้องเขม็งมายังตนเสียก่อน
“ไปยกอาหารลงจากหม้อเร็ว!” มารดาของหวังเป่าเล่อไม่สนใจสามี เดินเข้าไปหยิกแก้มลูกชายด้วยแววตาเศร้าสร้อย
“เป่าเล่อ อาหารบนดาวอังคารไม่อร่อยหรือ เจ้าผอมลงไปมาก แม่แทบจะจำเจ้าไม่ได้เลย…”
บทที่ 475 คู่ครอง
โดย
Ink Stone_Fantasy
หวังเป่าเล่อมองมารดาเดินเข้ามาหยิกแก้มตัวเอง เขาสูดหายใจลึกด้วยความหวาดกลัวก่อนจะรีบข่มพลังปราณในกายเอาไว้ จากนั้นก็รีบคลายกล้ามเนื้อบนใบหน้าเพื่อที่มารดาจะไม่ได้รับแรงสะท้อนจากการหยิกแก้ม เป็นเรื่องที่ยากลำบากไม่น้อย แต่ชายหนุ่มก็กลัวว่าพลังปราณและร่างกายของตนในปัจจุบันอาจจะทำร้ายทั้งคู่เอาได้
โชคดีที่หวังเป่าเล่อตอบสนองได้อย่างว่องไว ข่มพลังปราณและคลายกล้ามเนื้อบนใบหน้าได้ทัน มารดาจึงหยิกแก้มเขาได้อย่างปลอดภัย แววตาเศร้าสร้อยของนางทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกถึงความอบอุ่นที่แผ่ไปทั่วร่าง
เป็นความอบอุ่นที่ไม่สามารถสัมผัสได้บนดาวอังคาร แม้จะมีเพื่อนอยู่รอบกาย แต่ก็เทียบกับความรู้ในตอนนี้ไม่ได้เลย เขายิ้มพร้อมลูบท้องตัวเอง
“แม่ ดูสิ ข้ามีเนื้อตรงพุงตั้งเยอะ ไม่ต้องห่วง น้ำหนักไม่ลดหรอก”
“พุงเจ้าเล็กลงตั้งเยอะ!” มารดาหวังเป่าเล่อถอนหายใจ นางดึงชายหนุ่มไปนั่งบนม้านั่งก่อนจะเริ่มถามไถ่ชีวิตบนดาวอังคารอย่างละเอียดยิบ แววตาของนางเปี่ยมไปด้วยความรักใคร่ หวังเป่าเล่อเริ่มผ่อนคลายเมื่อสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นอันมากล้น
“คนรักหรือ มีสิ! แม่ ข้าจะบอกให้ ข้ามีคนรักมากมาย มากจนปวดหัวเลย”
“มีคนดูแลหรือไม่อย่างนั้นหรือ แม่ ข้าเป็นขุนนางระดับสองชั้นรองแล้ว มีคนมากมายคอยมาประจบเอาอกเอาใจกันยกใหญ่ คนคุ้มกันส่วนตัวยังมีเลย ไม่ต้องเป็นห่วง”
“เอ่อ แม่ ข้าว่าแม่ดูเด็กลง ไปซื้อเสื้อผ้ามาจากไหนหรือ นำสมัยมากเลย!” หวังเป่าเล่อใช้ทักษะเปลี่ยนบทสนทนาเพื่อเบี่ยงความสนใจของมารดา เมื่อเห็นว่าได้ผลก็กล่าวชมอีกยกใหญ่
มารดาของหวังเป่าเล่อหัวเราะก่อนตีหัวชายหนุ่ม แววตาของนางเป็นประกายด้วยความรักใคร่ ไม่ได้หันมองสามีตนที่ยกอาหารออกมาจากครัวแม้แต่น้อย หวังเป่าเล่อได้แต่ถอนหายใจและนึกสงสารบิดาอยู่ในใจ
ไม่นานอาหารทุกจานก็มาวางบนโต๊ะ ทั้งสามนั่งพร้อมหน้าพร้อมตารับประทานอาหารมื้อแรกหลังจากไม่ได้พบกันนาน หวังเป่าเล่อนำบทสนทนา บรรยากาศเป็นไปอย่างอบอุ่นด้วยเสียงหัวเราะของมารดา ก่อนจะสะดุดลงด้วยเสียงแค่นจมูกของบิดา
หัวข้อสนทนาเปลี่ยนจากเรื่องของหวังเป่าเล่อไปเป็นเรื่องหลาน มารดาของเขาดูจะเป็นกังวลกับเรื่องนี้
“เป่าเล่อ เจ้าบอกว่าเจ้ามีคนรักมากมาย ทำไมรอบนี้ไม่พากลับบ้านมาสักคนล่ะ เจ้าต้องรีบลงหลักปักฐานได้แล้ว…ไม่สิ พรุ่งนี้เจ้าตามแม่ไปดีกว่า แม่จะพาไปพิธีดูตัว แม่ว่าลูกสาวของรองเจ้าเมืองสวีเหมาะกับเจ้าดี นางเป็นมิตรกับแม่ทุกครั้งที่เจอหน้า ดูมีแววจะคลอดลูกชายให้ด้วย!”
หวังเป่าเล่ออึ้งไปเมื่อได้ยินเช่นนั้น ชายหนุ่มคิดมาตลอดว่าพิธีดูตัวเป็นเรื่องน่าขายหน้า โดยเฉพาะกับคนที่หล่อเหลาที่สุดในสหพันธรัฐเช่นตัวเขา เหตุใดเขาจะต้องพึ่งพิธีดูตัวกัน
“ไร้สาระ!” ก่อนที่หวังเป่าเล่อจะทันได้พูดอะไร บิดาตนก็วางตะเกียบลงก่อนจะเงยหน้าขึ้น เขาเอ่ยเสียงแข็ง “เป่าเล่อเป็นเสนาบดีแล้ว เป็นเจ้าเมืองเขตนครพิเศษอีกด้วย จะมาพูดไร้สาระเรื่องงานแต่งทำไม”
“ตาแก่หวัง กล้าดีเสียจริง เดี๋ยวนี้กล้าขึ้นเสียงใส่ข้าเชียวหรือ เจ้าเป็นแค่หัวหน้ากลุ่มโบราณคดีที่เอาแต่ดื่มด่ำกับความสำเร็จของลูกข้า เจ้ากล้าดีมาวางท่ากับข้าได้อย่างไร” มารดาของหวังเป่าเล่อรักใคร่ใจดีกับเขามาตลอด แต่พอเป็นกับสามีกลับดูแข็งกร้าวไป นางจ้องสามีตาถลน บิดาตนตัวสั่นไม่กล้าเถียงกลับ ได้แต่ก้มหน้าพึมพำเสียงเบา
“เขาก็ลูกข้าเหมือนกัน”
“กินข้าวไปเงียบๆ!”
หวังเป่าเล่อมองและยิ้มกับภาพที่เห็น ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าตนเปลี่ยนไป ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยรู้สึกอะไรตอนกลับมาบ้าน แต่ตอนนี้กลับรู้สึกลำบากใจถ้าจะต้องกลับ
เขาเริ่มสงสัยว่าตนมัวแต่ง่วนอยู่กับความฝันจนละเลยสองคนที่บ้านไปหรือเปล่า…
ชายหนุ่มติดต่อมาหาทั้งสองเป็นประจำ บางทีก็ส่งคนเอาโอสถมาให้ แม้ว่าบิดามารดาของเขาจะไม่มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตน แต่โอสถก็ช่วยให้พวกเขาเพิ่มระดับไปถึงจุดสูงสุดของขั้นการฝึกตนโบราณ
หากพูดให้ชัดๆ ก็คือ ช่วยยืดอายุขัยออกไปได้ระดับหนึ่ง
แต่จู่ๆ หวังเป่าเล่อก็กลัวขึ้นมาจับจิต กลัวการผันแปรอันโหดร้ายของวันเวลาขณะที่เขามุ่งฝึกวิชา วันหนึ่ง…เขาอาจเก็บตัวฝึกวิชา และกลับออกมาพบว่าโลกเปลี่ยนไป ทุกคนที่รู้จักจากไปหมดแล้ว
“แม่นางน้อย มีโอสถหรือสมุนไพรอะไรในโลกที่ช่วยยืดอายุขัยของคนธรรมดาได้หรือไหม” หวังเป่าเล่อเอ่ยถามขึ้นในหัว
ตั้งแต่แม่นางน้อยบอกว่าจะเข้าไปนอนหลับในวัตถุเวทแห่งความมืด นางก็เงียบหายไปเลย ตอนที่หวังเป่าเล่อกลับออกมาจากวัตถุเวทแห่งความมืดและพยายามติดต่อหานาง นางก็ไม่ตอบ ตอนนี้เสียงของแม่นางน้อยดังขึ้นเบาๆ ในหัว น้ำเสียงของนางฟังดูเศร้าสร้อยเล็กน้อย อีกทั้งยังแฝงไปด้วยความสงสาร
“มีสิ!”
หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึก ผุดยิ้มขึ้น หากมีอยู่จริง เขาก็จะหาทางนำมันมาให้ได้ จะได้ช่วยคลายความกังวลใจที่มี ชายหนุ่มหันมองบิดามารดา ก่อนจะพูดขึ้นพร้อมหัวเราะ
“แม่ เราย้ายบ้านกันไหม ย้ายไปอยู่ข้างๆ สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ในนครศักดิ์สิทธิ์กัน!”
บิดาของหวังเป่าเล่อได้ยินดังนั้นก็กำลังจะเอ่ยอะไรขึ้น แต่มารดากลับแค่นเสียงทางจมูกขึ้นก่อน บิดาจึงรีบก้มหัวตั้งหน้าตั้งตากินข้าว ทำตามที่ภรรยาของตนสั่งไว้ คือกินแต่ข้าว ไม่แตะกับเลยแม้แต่นิด…
“เป่าเล่อ ข้าว่าจะคุยเรื่องนี้กับเจ้าถึงแม้ว่าเจ้าจะไม่พูดขึ้นมาก่อน อยู่ที่เมืองปักษาเพลิงไม่ได้รู้สึกสบายใจเหมือนก่อนแล้ว ย้ายบ้านก็คงจะดีเหมือนกัน” มารดาของเขาคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย นางไม่ได้ถามหาเหตุผลเพราะรู้อยู่แก่ใจดี ลูกชายของตนเป็นบุคคลยศสูงน่ายกย่อง สำหรับคนเป็นพ่อเป็นแม่แล้ว จะมีช่วงเวลาใดที่พวกตนต้องทำตนไม่ให้เป็นภาระกับลูกเหมือนเช่นตอนนี้อีก
ถ้าลูกชายบอกว่าพวกตนควรย้าย นางก็จะย้าย!
นางยังคิดเรื่องพิธีดูตัวอยู่ คิดว่าคงจะมีโอกาสหาลูกสะใภ้ในเมืองใหญ่อย่างนครศักดิ์สิทธิ์ได้มากกว่า น่าจะมีตัวเลือกหลากหลายกว่าในนครปักษาเพลิง
พวกเขากินข้าวเย็นกันอย่างมีความสุข ราตรีมาถึง หวังเป่าเล่อล้มตัวลงนอนบนเตียงขนาดเล็กในห้องนอนแคบๆ เงยหน้ามองดวงจันทร์ด้านนอก เขายิ้ม ไม่ได้ทำสมาธิหรือฝึกวิชา แค่หลับตาแล้วปล่อยร่างกายให้ผ่อนคลาย จากนั้นก็เข้าสู่ห้วงความฝันที่ไม่เคยไปเยือนมานานแสนนาน
เวลาล่วงเลยผ่านไปห้าวัน หลังจากครอบครัวของเขาจัดการทุกอย่างเสร็จ ทั้งสามก็ขึ้นเรือบินของหวังเป่าเล่อไป
แม้ว่าบิดาของหลิวต้าวปินจะไม่อยากให้พวกเขาไป แต่ก็รู้ดีว่าด้วยสถานะและระดับการฝึกตนของหวังเป่าเล่อในตอนนี้ คงจะไม่เหมาะถ้าให้ครอบครัวของเขาอยู่ในเมืองนี้ต่อไป ความปลอดภัยของพวกเขาควรมาก่อน อย่างไรเสียเมืองปักษาเพลิงก็เป็นเมืองเล็กๆ เทียบกับนครศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ข้างๆ สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ไม่ติด
ด้วยสถานะของหวังเป่าเล่อ ครอบครัวของเขาจะได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนาในนครศักดิ์สิทธิ์ ไม่ต้องพบกับความลำบากอีกต่อไป
เมื่อเข้าใจดังนั้น บิดามารดาตนก็เก็บงำความลำบากใจตอนที่จากมาไว้ แล้วขึ้นเรือบินไปกับลูกชาย คนมากมายมารอส่งพวกเขา เรือบินทะยานขึ้นฟ้า มุ่งหน้าไปยังนครศักดิ์สิทธิ์!
หวังเป่าเล่อปล่อยให้เรือบินทะยานไปอย่างไม่รีบร้อน เหตุผลหนึ่งเป็นเพราะว่าจะได้มั่นใจว่าการเดินทางของบิดามารดาเป็นไปอย่างสะดวกสบาย อีกเหตุผลหนึ่งเป็นเพราะมารดาของเขาไม่เคยออกเดินทางไกลขนาดนี้มาก่อนในชีวิต ในขณะที่บิดาได้ออกจากเมืองบ่อยๆ เพราะเป็นหัวหน้ากลุ่มโบราณคดี ชายหนุ่มจึงอยากใช้โอกาสนี้พาครอบครัวเที่ยวไปด้วย
ด้วยระดับการฝึกตนของหวังเป่าเล่อในปัจจุบัน แม้จะไม่ได้แกร่งกล้าขนาดไม่กลัวตาย แต่เขาก็สามารถปกป้องครอบครัวของตนจากภัยอันตรายบนโลกได้ ความโศกเศร้าที่ต้องจากลาบ้านเก่าเลือนหายไปจากใจผู้สูงวัยทั้งสองคนเมื่อได้เห็นทิวทัศน์เบื้องล่าง พวกเขาบินผ่านเทือกเขาและลงจอดบนยอดเขาที่เต็มไปด้วยหิมะ ทั้งสามละลายหิมะและตั้งน้ำชงชาพลางจ้องมองหมู่เมฆบนฟากฟ้า จากนั้นก็หันมองธาราสีฟ้าด้านล่างภูเขาหิมะ!
พวกเขาบินผ่านป่า เห็นนกกำลังดมกลิ่นดอกไม้ในป่าลึก ทั้งสามมองเห็นฝูงอสูรร้ายกลายเป็นลูกหมาแสนเชื่อง หงายพุงอ้อนเอาใจ
ผ่านทะเลทรายกว้างใหญ่และหยุดดื่มน้ำใสสะอาดจากโอเอซิสกลางทะเลทราย
เรือบินนำครอบครัวหวังเป่าเล่อเคลื่อนตัวผ่านฟากฟ้าสีคราม ผ่าหมู่เมฆ ข้ามป่าเขา ชีวิตของผู้ฝึกตนเผยให้เห็นในสายตาบิดามารดาตน
แม่ ตอนข้าเป็นเด็ก ข้าเคยบอกว่าจะพาพ่อกับแม่ไปท่องโลก… หวังเป่าเล่อมองใบหน้ายิ้มแย้มมีความสุขของบิดามารดา มองทั้งสองถ่ายรูปทุกที่ที่ไป เขายืนอยู่บนเรือบิน ภายในใจอัดแน่นไปด้วยความสุข เป็นความสุขที่เหนือกว่าการได้เลื่อนขึ้นมาเป็นขุนนางระดับสองชั้นรอง
บทที่ 476 ลงหลักปักฐาน ณ นครศักดิ์สิทธิ์
โดย
Ink Stone_Fantasy
นับเป็นครั้งแรกที่หวังเป่าเล่อได้พาบิดามารดาออกมาท่องเที่ยวทางไกล พวกเขาเดินทางข้ามภูเขาล่องแม่น้ำ ผ่านป่ารกทึบและทะเลทรายกว้างใหญ่
ไม่สำคัญว่าสถานที่นั้นจะเป็นดินแดนที่คลาคล่ำไปด้วยอสูรดุร้าย ดินแดนแห้งแล้ง ทุ่งรกร้าง หรือสถานที่ที่มีภูมิอากาศย่ำแย่เสียจนคนธรรมดาไม่กล้าย่างกรายเข้าไป เว้นไว้เสียแต่เพียงอาณาเขตหวงห้ามบางแห่งบนโลก ด้วยการฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มสามารถพาบิดามารดาท่องไปได้ทั่วโดยไร้ซึ่งปัญหา
ขั้นกำเนิดวิญญาณเป็นระดับการฝึกตนสูงสุดในสหพันธรัฐขณะนี้ เพราะฉะนั้น ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในนั้น…ก็ถือได้ว่าอยู่ในระดับผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งที่สุดในสหพันธรัฐ
ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยตำแหน่งขุนนางระดับสองชั้นรอง ส่งผลให้หวังเป่าเล่อสามารถเข้าถึงข้อมูลลับที่ขุนนางระดับเดียวกันกับเขาหรือสูงกว่าเท่านั้นจึงจะล่วงรู้ได้ ชายหนุ่มได้อ่านเอกสารเกี่ยวกับอภิมหาวงแหวนปราณดาวโลก ซึ่งระบุไว้ชัดเจนว่า…ขุนนางระดับสองชั้นรองขึ้นไปเท่านั้นที่จะได้สิทธิ์ใช้งานอภิมหาวงแหวนปราณดาวโลกได้ แม้ว่าสิทธิ์นั้นจะค่อนข้างจำกัด แต่การได้สิทธิ์นี้ก็ช่วยยืนยันว่าจะไม่มีผู้ที่มียศถาต่ำกว่าเขากล้าล่วงเกินชายหนุ่มได้
การพักผ่อนหย่อนใจอย่างไร้ปัญหากินเวลาไปกว่าหนึ่งเดือน หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ว่าบุพการีเริ่มจะเหนื่อยอ่อน ไม่ใช่ทางกายแต่ทางใจ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจจบการเดินทางและพาพวกเขาไปยัง…นครศักดิ์สิทธิ์!
นครศักดิ์สิทธิ์นั้นยิ่งใหญ่กว่าเมืองปักษาเพลิงหลายเท่านัก มันทั้งหรูหราและตั้งอยู่บนชัยภูมิที่เยี่ยมยอด ทั้งขนาดของนครรวมไปถึงจำนวนประชากรและจำนวนผู้ฝึกตนมากฝีมือ อีกทั้งความสำคัญของนครนี้ต่อโลก ส่งผลให้นครศักดิ์สิทธิ์ติดหนึ่งในห้าจากสิบเจ็ดนครหลักของโลกไปอย่างง่ายดาย!
และเพราะมีสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่ใกล้ๆ ทำให้ประสิทธิภาพการป้องกันนครนั้นแข็งแกร่งขึ้นมาก ยิ่งไปกว่านั้น นครศักดิ์สิทธิ์นี้ตั้งอยู่บริเวณศูนย์กลางของภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ของสหพันธรัฐ และแผ่อิทธิพลครอบคลุมทั้งภูมิภาคไปราวกับเป็นใยแมงมุมขนาดมหึมา นับได้ว่านครศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เป็นนครหลวงของภูมิภาคโดยแท้จริง
ด้วยเหตุนี้ผู้ฝึกตนและผู้คนจำนวนมากจึงแห่แหนมายังนครศักดิ์สิทธิ์ มีทั้งมาเปลี่ยนเส้นทางที่นี่ มีทั้งมาหางาน และมาค้าขายต่างๆ นครแห่งนี้จึงเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ตอนกลางวันมีทั้งยวดยานและคนเดินเท้าสัญจรกันขวักไขว่ ส่วนตอนกลางคืนก็สว่างไปด้วยแสงไฟ
ส่งผลให้ราคาสินค้าในนครศักดิ์สิทธิ์สูงกว่าในเมืองปักษาเพลิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาที่ดินที่แพงลิบลิ่วเพราะมีอุปสงค์สูงกว่าอุปทาน
อย่างไรเสีย นครศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ถือเป็นนครหลวงของภูมิภาค เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและกิจกรรมการเมืองทั้งในช่วงสงบและเวลามีสงคราม ผู้มีอันจะกินจำนวนมากพากันมารวมตัวอยู่อาศัยในนครศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ทรัพยากรและทรัพย์สินเงินทองที่ได้มาอย่างลับๆ ก็ถูกนำมาเก็บซ่อนและลงทุนที่นครแห่งนี้เช่นกัน
ไม่มีผู้ใดที่เดินอยู่บนถนนของนครศักดิ์สิทธิ์สมควรถูกดูถูก เพราะแม้กระทั่งคนที่ดูธรรมดาๆ ก็อาจร่ำรวยมหาศาลอย่างไม่น่าเชื่อ สิ่งนี้กลายเป็นเรื่องปกติของนครแห่งนี้ไปเสียแล้ว
ความเหนือชั้นกว่าในหลายๆ ด้านของนครศักดิ์สิทธิ์ทำให้ประชากรของที่นี่รู้สึกดูถูกคนนอกอยู่พอสมควร ยิ่งไปกว่านั้นสถานะและความมั่งคั่งของนครศักดิ์สิทธิ์ยังทำให้ผู้ที่มาเยือนเป็นครั้งแรกถึงกับตกตะลึง ทั้งความหรูหราและยิ่งใหญ่ของนครส่งผลให้เหล่าผู้มาเยือนอดรู้สึกด้อยกว่าไม่ได้
บิดามารดาของหวังเป่าเล่อเป็นเพียงคนธรรมดาที่อยู่ในเมืองปักษาเพลิงมาทั้งชีวิต แม้ว่าบิดาจะเคยมาทำงานในนครศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้มาก่อน แต่การมาเยือนครั้งนี้แตกต่างกัน พวกเขากำลังจะย้ายมาอยู่ที่นี่ เมื่อเรือบินเข้ามาถึงเขตนคร บิดาเริ่มรู้สึกถึงความอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก มารดาของเขาเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน
“นครแห่งนี้กว้างใหญ่เกินไป…ช่างไม่เป็นมิตรเหมือนเมืองปักษาเพลิงของเราเอาเสียเลย…”
“มันใหญ่แถมยังมีคนมากมายเกินไป ผู้คนต้องไม่เป็นมิตรแน่นอน…”
“เป่าเล่อ ข้าเคยได้ยินว่าผู้คนในนครใหญ่ๆ อย่างนี้ไม่ต้อนรับคนนอกสักเท่าใด…” ความคิดนั้นไม่เคยเกิดขึ้นในใจมารดาของหวังเป่าเล่อมาก่อนระหว่างที่เดินทางมาที่นี่ ทว่ายิ่งนางเข้าใกล้นครแห่งนี้เท่าใด นางก็ยิ่งรู้สึกไม่แน่ใจจึงเริ่มบ่นขึ้นมา
หวังเป่าเล่อยืนอยู่ข้างมารดาด้วยสีหน้าเปื้อนรอยยิ้ม เมื่อชายหนุ่มปลอบประโลมนางเสร็จ นางจึงดูค่อยคลายกังวลลงบ้าง เห็นได้ชัดว่านางมีเรื่องให้กังวลใจหลายประการนัก แม้นางจะรู้ดีแก่ใจว่าบุตรชายของนางยอดเยี่ยมเพียงใด หรือนางจะไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วตนกังวลเรื่องใดกันแน่ แต่ก็เพียงรู้สึกว่าทุกๆ สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนั้นเกินจริงไปมากจนเหลือเชื่อ
หวังเป่าเล่อเข้าใจความรู้สึกของมารดาดี หลังจากใคร่ครวญอยู่พักใหญ่ ชายหนุ่มก็ส่งข้อความเสียงไปหาหลินโยวเมื่อเรือบินเดินทางมาถึงท่าอากาศยานของนครศักดิ์สิทธิ์
หลินโยวขณะนั้นอยู่ในที่พัก กำลังเฝ้ามองต้นไม้โบราณตรงหน้าขณะที่ข้อความเสียงจากหวังเป่าเล่อมาถึง เขากำศิลาวิญญาณก้อนหนึ่งอยู่ในมือ หลินโยวไม่ได้ฝึกตนอยู่ แต่กำลังครุ่นคิดปัญหาที่เกี่ยวข้องกับคณะเสนาบดี ชายชราติดนิสัยชอบลูบคลำพื้นผิวอันเกลี้ยงเกลาของศิลาวิญญาณขณะที่ต้องใช้ความคิด เป็นนิสัยที่ติดมาตั้งแต่ครั้งสงครามอสูร
แต่เมื่อได้รับข้อความจากหวังเป่าเล่อ หลินโยวก็หยุดครุ่นคิดชั่วขณะ เขาเปิดแหวนสื่อสารขึ้น ก่อนจะก้มลงมองข้อความแล้วหัวเราะชอบใจ ชายชราคาดหวังกับหวังเป่าเล่อเอาไว้สูงนักเพราะหลินเทียนหาวเองขณะนี้ก็ทำงานเข้าขากับหวังเป่าเล่อได้ดีเยี่ยม อีกประการหนึ่งคือขณะนี้ทั้งหลินโยวและหวังเป่าเล่อต่างก็มีสถานะใกล้เคียงกัน หลินโยวจึงให้ความสำคัญกับการที่หวังเป่าเล่อย้ายครอบครัวมาที่นี่ยิ่งนัก ชายชรารีบจัดแจงการต้อนรับทันที
ด้วยเหตุนี้ เมื่อเรือบินของหวังเป่าเล่อลงจอดที่ท่าอากาศยานนครศักดิ์สิทธิ์ ชายหนุ่มก็เห็นหลินโยวพร้อมด้วยคณะติดตามเฝ้ารอต้อนรับอยู่ด้วยตนเอง ทันทีที่หวังเป่าเล่อลงจากเรือบิน ชายหนุ่มก็รีบยกมือคารวะหลินโยวตามแบบที่ผู้น้อยควรทำต่อผู้ใหญ่ หลินโยวหัวเราะชอบใจ ก่อนจะก้าวออกมาตบบ่าหวังเป่าเล่ออย่างคุ้นเคย!
พวกเขาเคยพบกันมาบ้างก่อนหน้านี้และยังคงติดต่อสื่อสารกันอยู่ตลอด เพราะฉะนั้นการพบกันครั้งนี้จึงไม่ได้กระอักกระอ่วน กลับกันพวกเขากลับพูดคุยทักทายกันอย่างคุ้นเคย หลินโยวเองก็สุภาพกับบิดามารดาของหวังเป่าเล่อเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากที่ได้รู้ว่าบุรุษตรงหน้าพวกเขาคือเจ้านครแห่งนครศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ บิดามารดาของหวังเป่าเล่อก็รู้สึกเกร็งขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ หลินโยวรู้สึกได้ถึงความไม่สบายใจของแขกทั้งสอง จึงส่งยิ้มมาให้อย่างอ่อนโยน แถมยังทำกริยาเฉกเช่นคนธรรมดาราวกับเป็นเพื่อนบ้านผู้แสนเป็นมิตร แถมยังไม่วายพูดจาหยอกเย้าเป็นครั้งคราว
“ท่านพี่หวัง ท่านพี่หญิงหวัง หลังจากเสร็จธุระแล้ว ข้าอยากจะขอให้ท่านช่วยพูดกับเป่าเล่อ ลูกชายท่านสักหน่อย เรื่องนี้ออกจะน่าอายอยู่ไม่น้อย บุตรชายคนเดียวของข้า เจ้าเด็กเหลือขอนั่นตอนนี้กำลังทำงานอยู่กับหวังเป่าเล่อ”
บิดามารดาของหวังเป่าเล่อระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ทั้งสองรู้ดีว่าหลินโยวกำลังล้อพวกเขาเล่นเพื่อลดความประหม่า ในขณะเดียวกันก็พยายามจะบอกพวกเขาว่าหวังเป่าเล่อนั้นไม่ใช่คนธรรมดาอีกต่อไป ชายชรากำลังพยายามเพิ่มพูนความมั่นใจในตัวหวังเป่าเล่อให้คนทั้งคู่
หวังเป่าเล่อปลาบปลื้มยินดีเป็นล้นพ้นกับสถานการณ์ตรงหน้า เขาหันไปโค้งคำนับหลินโยวอีกครั้ง
หลินโยวจัดการที่ทางไว้อย่างดี หลังจากที่ต้อนรับครอบครัวหวังเรียบร้อย เขาก็พาทั้งสามเดินทางไปยังเขตนครชั้นใน ใกล้ๆ ที่พักของเจ้านคร ก่อนจะให้หวังเป่าเล่อยืมบ้านขนาดค่อนข้างใหญ่เพื่อพักอาศัย
เป็นการให้ยืมแต่เพียงในนามเท่านั้น แต่ในทางปฏิบัติคือการให้เปล่า
อาณาเขตของบ้านนั้นกว้างใหญ่ มีสนามหญ้าและสวนมากมาย แถมยังมีตำหนักอีกสามแห่ง สถานที่แห่งนี้ตกแต่งอย่างหรูหราแถมยังเงียบสงบ สถานที่เงียบสงบในนครที่วุ่นวายเช่นนี้มีราคาแพงลิบ ยิ่งไปกว่านั้น ที่พักนี้ยังอยู่ในเขตนครชั้นใน ทำให้หวังเป่าเล่อวางใจได้ในแง่ความปลอดภัย
หลินโยวได้จัดแจงหาข้ารับใช้ไว้ให้เช่นกัน ทว่าบิดามารดาของหวังเป่าเล่อไม่คุ้นชินกับการมีข้ารับใช้ หลังจากที่หวังเป่าเล่อปฏิเสธข้อเสนอนี้อย่างสุภาพ หลินโยวก็ขอตัวกลับไป
หลังจากที่หลินโยวและผู้ติดตามจากไปแล้ว บิดามารดาของหวังเป่าเล่อยังคงจ้องไปที่บ้านหลังใหญ่อย่างตื่นตะลึง พวกเขารู้สึกราวกับว่าอยู่ในความฝัน ความรู้สึกภาคภูมิใจในตัวบุตรชายเบ่งบานขึ้นมาในหัวใจอีกครั้ง
หลินโยวยังจัดแจงการต้อนรับเอาไว้อีก ไม่กี่วันต่อมา หลังจากที่พูดจาปราศรัยกับครอบครัวหวังเรียบร้อย แผนกโบราณคดีของนครก็ได้มีที่ปรึกษาคนใหม่ ได้แก่บิดาของหวังเป่าเล่อนั่นเอง!
ตำแหน่งใหม่ที่ค่อนข้างมีอิทธิพลก็ถูกแต่งตั้งขึ้นพร้อมๆ กัน ณ แผนกการศึกษาของนคร และผู้ที่ได้รับตำแหน่งนี้ก็คือมารดาของหวังเป่าเล่อนั่นเอง!
หลินโยวเชื่อว่าวิธีการปรับตัวเข้าสู่นครแห่งใหม่ไม่ใช่การป่าวประกาศว่าหวังเป่าเล่อเป็นใคร และให้มีผู้คนสอพลอจำนวนมากมารายล้อม หากแต่คือการสร้างที่ทางในฝ่ายบริหารของนครศักดิ์สิทธิ์ให้บิดามารดาของหวังเป่าเล่อ เพื่อให้สะดวกแก่พวกเขาในการสร้างวงสังคมของตนเอง
ไม่มีความจำเป็นจะต้องโอ้อวดหรือซ่อนเร้นสถานะของพวกเขา แต่ปล่อยให้พบปะผู้คนตามธรรมชาติ อย่างไรเสีย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น และไม่ว่าพวกเขาจะพบปัญหารูปแบบใด หากเป็นเรื่องที่หวังเป่าเล่อและหลินโยวสามารถแก้ไขได้ ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่อย่างใด!
ผู้สูงอายุทั้งสองเริ่มทำงานในที่ทำงานแห่งใหม่ทันที พวกเขาเริ่มปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมและเริ่มมีงานการให้ทำฆ่าเวลา และในไม่ช้า ครอบครัวหวังก็เริ่มลงหลักปักฐานในนครศักดิ์สิทธิ์เป็นอันเรียบร้อย
บิดาของหวังเป่าเล่อมุ่งมั่นกับการทำงานอย่างยิ่ง กลับกันมารดาของเขากลับให้ความสำคัญกับงานแต่งงานของบุตรชายมากกว่า นางใช้เวลาส่วนมากหาสตรีผู้ซึ่งเหมาะสมจะมาเป็นคู่ครองให้ชายหนุ่ม
หวังเป่าเล่อเริ่มคิดว่าเขาควรจะกลับไปยังสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ตอนนี้หรือไม่ ชายหนุ่มจำเป็นต้องไปรับเคล็ดวิชาฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในและจัดการธุระบางประการ
ไม่กี่วันต่อมา หวังเป่าเล่อออกจากบ้านแต่เช้าตรู่ ชายหนุ่มพุ่งทะยานด้วยความเร็วสูงจนดูคล้ายสายรุ้งไปยัง…สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์!
บทที่ 477 บุกเข้าไปในตำหนักหลอมโอสถ!
โดย
Ink Stone_Fantasy
หวังเป่าเล่อเป็นหนึ่งในศิษย์เก่าที่โดดเด่นที่สุดของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ หากเขาได้แจ้งไว้ก่อนว่าจะเดินทางกลับมา สำนักศึกษาจะต้องจัดพิธีการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่แน่นอน
ชายหนุ่มอาจต้องการเช่นนั้นหากเขาเพิ่งได้เลื่อนขั้นขึ้เป็นขุนนางระดับสองชั้นรอง ทว่าตอนนี้เวลาก็ล่วงเลยมาระยะหนึ่งแล้ว ความต้องการเช่นนั้นจึงเบาบางลง อันที่จริงแล้ว หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าจะเป็นการยุ่งยากเสียเปล่าๆ เขาจึงเลือกที่จะไม่แจ้งสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์อย่างเป็นทางการว่าตนจะกลับมา ชายหนุ่มเพียงส่งข้อความเสียงไปยังประมุขสำนักก่อนที่จะตรงมายังสำนัก
หวังเป่าเล่อหยุดอยู่กลางอากาศเหนือเกาะมหาปราชญ์ชั้นรอง ชายหนุ่มก้มศีรษะลงมองบรรดาศิษย์ในเกาะนั้น และทิ้งสายตาอ้อยอิ่งอยู่ที่สาขาอาวุธเวทนานกว่าที่อื่นสักหน่อย เขาอดหัวเราะไม่ได้เมื่อความทรงจำครั้งเก่าย้อนมาปรากฏอยู่ในใจ จากนั้นชายหนุ่มจึงหันหลังแล้วตรงไปทางเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง
วงแหวนปราณของเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงปล่อยหวังเป่าเล่อให้เข้ามา เพราะอย่างไรเสียเขาก็เป็นศิษย์เก่าของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ หลังจากที่ผ่านทะลุวงแหวนปราณเข้ามาอย่างง่ายดาย หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้มุ่งหน้าไปหาประมุขสำนัก กลับกันชายหนุ่มกลับหันหัวมุ่งหน้าไปที่ยอดเขาตำหนักสาขาหลอมโอสถอย่างรวดเร็ว!
นอกจากการมารับเคล็ดวิชาฝึกตนใหม่แล้ว ยังมีสิ่งสำคัญอีกสิ่งที่หวังเป่าเล่อวางแผนจะทำเมื่อกลับมาถึงสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เป็นสิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกร้อนรนใจเมื่อครั้งอยู่บนดาวอังคาร เขาจึงวางแผนจะมาสะสางให้ได้สักวันหนึ่ง สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับ…การถือสันโดษของกระต่ายน้อย!
ป่านนี้นางคงจะเป็นกระต่ายชราไปแล้ว ก็เล่นถือสันโดษนานเสียขนาดนั้น ตำหนักหลอมโอสถตั้งใจทำเช่นนี้อย่างแน่นอน พวกเขารู้เรื่องของข้ากับกระต่ายน้อย เป็นเหตุให้เลือกที่จะเพ่งเล็งนาง! หวังเป่าเล่อพ่นลมหายใจออกมาอย่างขัดใจ ชายหนุ่มตัดสินใจแล้ว เขาต้องการคำอธิบายจากอาจารย์ของกระต่ายน้อย ชายชราจะต้องมีอธิบายว่าทำไมนางจึงถือสันโดษอยู่โดนตลอด หวังเป่าเล่อไม่พอใจอย่างยิ่ง
ทันทีที่ชายหนุ่มพุ่งตัวออกมาจากวงแหวนปราณ เขาก็มุ่งหน้าไปยังตำหนักหลอมโอสถทันที
แม้ว่าชายหนุ่มจะเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังมีศิษย์บนเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงบางคนที่มองเห็นร่างของหวังเป่าเล่ออยู่รางๆ หากเป็นคนอื่นก็อาจจะไม่มีใครมองเห็น แต่หวังเป่าเล่อบัดนี้มีชื่อเสียงโด่งดัง แถมยัง…เป็นคนที่ง่ายต่อการมองเห็นเอามากๆ
จู่ๆ ก็มีเสียงอุทานออกมาจากฝูงชน
““ข้าคิดว่า…ข้าเห็นศิษย์พี่ใหญ่หวังเป่าเล่อนะ”
“ข้าก็เห็น! ต้องใช่ศิษย์พี่หวังเป่าเล่อแน่ๆ แต่ทำไมเขาจึงไม่ไปที่ตำหนักอาวุธเวทเล่า กลับมุ่งหน้าไปที่ตำหนักหลอมโอสถเสียได้”
“สวรรค์ ศิษย์พี่ใหญ่กลับมาเช่นนั้นหรือ”
เสียงอุทานด้วยความตกใจดังไปทั่ว และในที่สุดใครบางคนก็โพสต์เกี่ยวกับเรื่องนี้บนเครือข่ายวิญญาณด้วยความตื่นเต้น เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าหวังเป่าเล่อกลายมาเป็นวีรบุรุษในสายตาของศิษย์สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ทุกคน และเริ่มมีศิษย์ปัจจุบันเรียกเขาว่าศิษย์พี่ใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อผู้คนบนเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงเริ่มระแคะระคายเรื่องนี้มากขึ้น และเมื่อศิษย์จำนวนมากเริ่มออกมาในที่แจ้ง โดยหวังว่าจะได้เห็นหวังเป่าเล่อกับตาสักครั้ง หวังเป่าเล่อก็มาถึงด้านนอกของตำหนักหลอมโอสถและกำลังจะบุกเข้าไป แต่วงแหวนปราณของตำหนักก็หยุดเขาเอาไว้เสียก่อน
ทุกๆ ตำหนักบนเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงมีวงแหวนปราณของตนเอง หากไม่ได้รับอนุญาต ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับตำหนักก็ไม่อาจเข้าไปได้ วงแหวนปราณทำหน้าที่เป็นเพียงสิ่งกีดขวางเท่านั้น ไม่มีความสามารถในการจู่โจมแต่อย่างใด เพราะอย่างไรเสียเด็กๆ เหล่านี้ก็เป็นศิษย์ในสำนัก
วงแหวนปราณถือเป็นอุปสรรคอันยิ่งใหญ่สำหรับผู้ที่อยู่ในขั้นลมหายใจเที่ยงแท้ แม้กระทั่งผู้ฝึกตนในขั้นรากฐานตั้งมั่นก็อาจต้องพบกับความยากลำบากหากจะฝ่าไป แต่สำหรับหวังเป่าเล่อที่เป็นผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นใน…วงแหวนปราณนั้นไม่มีผลกับเขาแต่อย่างใด
ทันทีที่หวังเป่าเล่อเดินเข้าไปในวงแหวนปราณและวงแหวนเริ่มทำงานก็เกิดเสียงกัมปนาทดังสนั่น หวังเป่าเล่อยิ้มเยาะ วงแหวนปราณของตำหนักหลอมโอสถเริ่มบิดเบี้ยว มันไม่อาจหยุดยั้งหวังเป่าเล่อได้ ชายหนุ่มเดินอาดๆ เข้าไปในตำหนักอย่างง่ายดาย
ขณะที่หวังเป่าเล่อบุกรุกเข้าไปนั้น สัญญาณเตือนภัยก็ดังขึ้น เสียงนั้นสะท้อนก้องไปทั้งตำหนักหลอมโอสถ บรรดาศิษย์และผู้อาวุโสต่างก็ตื่นตกใจไปตามๆ กัน
“มีผู้บุกรุกเข้าตำหนักหลอมโอสถ!”
“วงแหวนปราณก็หยุดเขาเอาไว้ไม่ได้!”
“ใครกันนะ ใครกันที่อาจหาญบุกรุกเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง!”
กลุ่มศิษย์จำนวนมากออกมาจากถ้ำที่พักด้วยความตื่นตกใจ ผู้อาวุโสในขั้นรากฐานตั้งมั่นก็เหาะออกมาอย่างเกรี้ยวกราดเช่นกัน พวกเขาตั้งใจจะออกมาสั่งสอนผู้บุกรุกให้รู้สำนึก ทว่าทันทีที่บรรดาศิษย์มองเห็นรูปร่างที่คุ้นเคยก้าวออกมาจากวงแหวนปราณพวกเขาก็ตกตะลึง
“ศิษย์พี่ใหญ่หวังเป่าเล่อ”
“ใช่ศิษย์พี่ใหญ่หวังเป่าเล่อจริงๆ ด้วย!”
เหล่าสานุศิษย์แห่งตำหนักหลอมโอสถอ้าปากค้าง พวกเขาต่างพากันโค้งคำนับหวังเป่าเล่อ ลืมไปเสียสนิทว่าอีกฝ่ายขณะนี้มีสถานะผู้บุกรุก สายตาของพวกเขาแวววาวด้วยความปลาบปลื้มและชื่นชม
มีศิษย์จำนวนหนึ่งที่สอบเข้าตำหนักหลอมโอสถได้หลังจากที่หวังเป่าเล่อเรียนจบไปแล้ว แม้พวกเขาจะตื่นเต้นไม่แพ้กันแต่ก็ยังต้องกระซิบถามเพื่อนด้วยความประหม่า
“เอ่อ…พวกเราควรจะทำอย่างไรกับศิษย์พี่ใหญ่ที่บุกรุกผ่านวงแหวนปราณเข้ามาดีเล่า”
ทุกคนที่ยืนล้อมเขาอยู่พากันตอบคำถามนี้อย่างพร้อมเพรียง ทุกคนหันมาจ้องมองเขาด้วยสายตาชิงชัง ก่อนจะเริ่มดุว่าเขาพร้อมๆ กัน
“เจ้าหลอมโอสถมากจนเสียสติไปแล้วหรือ ศิษย์พี่ใหญ่เข้ามาในตำหนักจะถือเป็นการบุกรุกได้อย่างไรกัน เขาเดินเข้ามาในบ้านของตนเอง เพียงแต่ไม่เคาะประตูก่อนก็เท่านั้น”
ประโยคนั้นฟังดูสมเหตุสมผลอย่างเหลือเชื่อ บรรดาศิษย์ใหม่พากันรู้สึกว่าเป็นพวกเขาเองที่เข้าใจสถานการณ์ผิดถนัด ก่อนจะพากันเห็นด้วยและเลิกคิดเรื่องการบุกรุกไปอย่างสิ้นเชิง
บรรดาผู้อาวุโสขั้นรากฐานตั้งมั่นต่างอับจนปัญญา พากันปวดศีรษะไปตามๆ กัน แถมยังไม่มีใครกล้าพูดว่าหวังเป่าเล่อใช้กำลังบุกรุกเข้ามาอีกด้วย พวกเขาล้วนยกมือคารวะหวังเป่าเล่อ
หวังเป่าเล่อพอใจที่เหล่าศิษย์น้องต่างเป็นคนเข้าใจง่าย เขาหยุดอยู่กลางอากาศ ก่อนจะยกมือขึ้นมาคารวะเหล่าศิษย์ของตำหนักหลอมโอสถที่อยู่รายรอบ
“ศิษย์น้องทั้งชายและหญิงของข้า ข้าเข้าใจดีว่าการปรากฏตัวอย่างปุบปับของข้าอาจรบกวนการฝึกปราณของพวกเจ้า ได้โปรดอย่าถือโทษโกรธข้าเลย” น้ำเสียงอบอุ่นของหวังเป่าเล่อสะท้อนก้องอยู่ในอากาศ สานุศิษย์รอบกายเขายิ่งพากันตื่นเต้น ก่อนจะซุบซิบกันเองอยู่ไปมา
“ศิษย์พี่ใหญ่เป่าเล่อช่างเป็นมิตรจริงๆ เขายิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้นแต่กลับพูดกับพวกเราอย่างสุภาพ ข้าได้ยินมาว่าเขายังไม่มีคู่ครอง…ศิษย์พี่ใหญ่เป่าเล่อ ข้ารักท่าน!”
“นั่นก็เพราะว่าศิษย์พี่ใหญ่เป่าเล่อปฏิบัติกับเราทุกคนเช่นพี่น้องอย่างไรเล่า เขาจะแสดงด้านที่น่ากลัวเฉพาะกับศัตรูเท่านั้น เราทุกคนเป็นเสมือนครอบครัว!”
“ใช่แล้ว ศิษย์พี่ใหญ่เป่าเล่อ พวกเราไม่ใส่ใจหรอก อีกประการ ท่านก็ไม่ได้หยาบคายแต่อย่างใด ก็เหมือนท่านกลับบ้านตนเอง ท่านเพียงแค่ไม่ได้เคาะประตูก่อน แต่ว่าใครจะเคาะประตูบ้านตนเองกันเล่า”
“ข้าคิดมานานแล้วว่าวงแหวนปราณนั้นช่างอัปลักษณ์นัก ศิษย์พี่ใหญ่หวังท่านทำได้ดีมาก!”
ศิษย์จากตำหนักหลอมโอสถมาปรากฏตัวมากขึ้นเรื่อยๆ เสียงโห่ร้องสนับสนุนหวังเป่าเล่อก็ดังขึ้นทุกขณะ ในไม่ช้าเสียงอึกทึกก็ดังลั่นทั้งตำหนัก ความครึกครื้นและเสียงดังสนั่นนั้นดึงความสนใจของศิษย์ตำหนักอื่นๆ ที่เดินผ่านไปมา ทันทีที่มองเห็น พวกเขาก็เดินเข้ามาออกันอยู่ด้านนอก พยายามชะเง้อมองดูว่าเกิดอะไรขึ้นด้านใน
หลังจากที่ยกมือขึ้นคารวะทักทายทุกคนเสร็จ หวังเป่าเล่อก็สูดลมหายใจเข้าลึกและพูดขึ้นอีกครั้ง
“ศิษย์พี่น้องทั้งหลายเอ๋ย เหตุผลที่ข้ามาที่นี่ในวันนี้นั้น ก็เพราะเมื่อครั้งที่ข้าเป็นศิษย์อยู่ที่เกาะมหาปราชญ์ชั้นรอง ตัวข้าเองมีเพื่อนสนิทสตรีนามว่ากระต่ายน้อย…ไม่ใช่สิ นามของนางคือโจวเสี่ยวหยา ตั้งแต่นางได้มาเป็นศิษย์ของอาจารย์ไร้จริยธรรม นางก็ถูกบังคับให้ถือสันโดษอยู่ตลอด พวกเราไม่ได้พบหน้ากันมานานหลายปี ข้าอยากจะถามพวกเจ้าว่า การกระทำเช่นนี้สมเหตุสมผลแล้วอย่างนั้นหรือ”
คำพูดของหวังเป่าเล่อดังก้องสะท้อนไปทั่ว และเพราะบรรดาศิษย์ที่รายล้อมอยู่ล้วนรักเขา จึงต่างพากันเข้าข้างเขาทันที เหล่าศิษย์เริ่มไม่พอใจกับเรื่องนี้ มีกระทั่งศิษย์บางคนที่เริ่มส่งเสียงตะโกนไปทางตำหนักหลอมโอสถ
“ปล่อยศิษย์พี่โจวเสี่ยวหยาเดี๋ยวนี้!”
ศิษย์ของตำหนักหลอมโอสถทุกคนดูโกรธเกรี้ยวและพร้อมจะใช้ความรุนแรง เมื่อเห็นดังนั้นหวังเป่าเล่อก็มีกำลังใจขึ้นมา ชายหนุ่มรู้สึกว่าศิษย์เหล่านี้ล้วนเป็นศิษย์น้องที่น่ารัก เขาหันไปหายอดเขาตำหนักหลอมโอสถและตะโกนว่า
“ท่านผู้อาวุโส ท่านส่งตัวกระต่ายน้อยมาเดี๋ยวนี้เถิด ข้าจะนับถึงสาม ถ้าหากท่านยังไม่ปล่อยนางมา ข้าจะขึ้นไปหาท่านเอง”
เสียงของหวังเป่าเล่อดังสนั่นราวฟ้าผ่า เสียงนั้นสะท้อนก้องไปในอากาศ บนยอดเขานั้น ผู้อาวุโสกลุ่มหนึ่งกำลังหงุดหงิดพลางจ้องมองไปยังชายชราคนหนึ่งที่กำลังเดินไปมาอยู่ตรงหน้าพร้อมกับถอนหายใจ
ชายชราผู้นี้คืออาจารย์ของโจวเสี่ยวหยา เขาเคยเป็นหนึ่งในสี่ผู้อาวุโสแห่งตำหนักหลอมโอสถ ขณะนี้เขาดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสชั้นสูงของตำหนักหลอมโอสถ
“ท่านผู้อาวุโสชั้นสูง โปรดพูดอะไรสักหน่อยเถิด”
“ใช่ เจ้าหวังเป่าเล่อขณะนี้อยู่ในขั้นกำเนิดแก่นใน เขาต่อสู้จนกระทั่งมาถึงจุดนี้ ช่างเป็นคนที่มีพรสวรรค์อย่างหาตัวจับยาก!”
“ผู้อาวุโสชั้นสูง ท่านเองก็ผิดด้วยเช่นกัน แม่นางเสี่ยวหยาแม้จะมีพรสวรรค์ แต่ท่านก็ไม่ควรจะแยกคู่พวกเขาออกจากกัน ทำไมท่านจึงต้องบังคับให้นางถือสันโดษด้วยเล่า นางต้องถือสันโดษมาโดยตลอด ข้าเองก็ทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน” ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งเริ่มประท้วงอย่างมีโทสะ ส่วนหวังเป่าเล่อก็เริ่มนับถอยหลังอยู่ด้านนอก
“สาม สอง…”
ขณะที่ชายหนุ่มนับอยู่นั่นเอง ผู้อาวุโสชั้นสูงแห่งตำหนักหลอมโอสถก็กระทืบเท้าเสียงดัง ก่อนจะตะโกนไปทางผู้อาวุโสที่ยืนล้อมเขาอยู่
“เจ้าโทษข้าไม่ได้ ข้าทำตามที่ผู้อาวุโสสูงสุดสั่ง ข้ามีทางเลือกอื่นหรืออย่างไร”
เมื่อผู้อาวุโสชั้นสูงพูดจบ หวังเป่าเล่อก็นับถึงสามพอดี ชายหนุ่มก้าวออกมาด้านหน้า สายฟ้าฟาดลงมา ก่อให้เกิดเสียงดังที่เขย่าทั้งสวรรค์และพื้นพิภพ ชายหนุ่มแปลงกายเป็นสายฟ้า พุ่งตรงขึ้นไปยังยอดเขา ดูราวกับว่าเขากำลังจะบุกรุกเข้าไป
ทันใดนั้นเอง เสียงของชายชราก็ดังก้องไปถึงท้องฟ้า ก่อนจะก่อตัวเป็นปราการที่มองไม่เห็น คล้ายผนึก มันหล่นลงใส่หวังเป่าเล่อและขังเขาเอาไว้ด้านใน!
“เจ้าอ้วนน้อย ไหนลองทำลายปราการนี้ดูหน่อย ถ้าเจ้าทำได้ ข้าจะยอมตอบคำถามเจ้าเอง!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น